www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 1
คณะผู้จัดท�ำ
ผู้อุปถัมภ์โครงการ
พระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
พระราชภาวนาจารย์ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ที่ปรึกษา
พระมหา ดร. สมชาย             ฐานวุฑฺโฒ
พระมหาสมเกียรติ                 วรยโส ป.ธ.๙
พระมหาบุญชัย                      จารุทตฺโต
พระมหาวีรวัฒน์                    วีรวฑฺฒโก       ป.ธ.๙    
พระมหา ดร. สุธรรม             สุรตโน            ป.ธ.๙
พระครูใบฎีกาอ�ำนวยศักดิ์       มุนิสกฺโก
พระมหา ดร. สมบัติ               อินฺทปญฺโญ     ป.ธ.๙
พระมหาวิทยา               จิตฺตชโย     ป.ธ.๙
เรียบเรียง
พระมหาอารีย์       พลาธิโก      ป.ธ.๗
พระมหาสมบุญ    อนนฺตชโย   ป.ธ.๘
จัดรูปเล่ม
พระมหาสมบุญ    อนนฺตชโย   ป.ธ.๘
พระมหาวันชนะ   ญาตชโย      ป.ธ.๕
พระมหาอภิชาติ    วชิรชโย       ป.ธ.๗
พระมหาเฉลิม       ฉนฺทชโย     ป.ธ.๔
ผู้ตรวจทาน
นายสุเทพ    นากุดนอก   ป.ธ.๔   อาจารย์สอนบาลีประโยค ๑-๒  ส�ำนักเรียนวัดพระธรรมกาย
ออกแบบปก/ภาพวาด
พระมหาสมบุญ  อนนฺตชโย   และ กองพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : พฤษภาคม   ๒๕๕๖    จ�ำนวน      ๖๐๐  เล่ม     พิมพ์ที่  โรงพิมพ์สุขขุมวิทการพิมพ์
พิมพ์ครั้งที่ ๒ :    กรกฎาคม   ๒๕๕๖    จ�ำนวน  ๑,๕๐๐  เล่ม     พิมพ์ที่  โรงพิมพ์โอ เอส  พริ้นติ้ง เฮ้าส์ จ�ำกัด
พิมพ์ครั้งที่ ๓ :    กรกฎาคม   ๒๕๕๗    จ�ำนวน  ๒,๐๐๐ เล่ม     พิมพ์ที่  โรงพิมพ์โอ เอส  พริ้นติ้ง เฮ้าส์ จ�ำกัด
พิมพ์ครั้งที่ ๔ :    กรกฎาคม   ๒๕๕๘    จ�ำนวน  ๒,๐๐๐ เล่ม     พิมพ์ที่  โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง
ลิขสิทธิ์ : ส�ำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย  ต.คลองสาม  อ.คลองหลวง  จ.ปทุมธานี
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
2
ค�ำน�ำ
ด้วยตระหนักและเห็นความส�ำคัญอย่างยิ่งยวดของการศึกษาพระปริยัติธรรม ของพระภิกษุ
สามเณร ดังค�ำกล่าวยืนยันของพระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)  
ซึ่งได้กล่าวไว้ในโอกาสที่ได้จัดงานมุทิตาสักการะแก่พระภิกษุสามเณร ผู้สอบได้เปรียญธรรม
๙ ประโยค เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ อันเป็นปีที่ ๑๓ ของการจัดงานมุทิตาสักการะแก่พระ
ภิกษุสามเณร ผู้สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ว่า
“ผู้ที่สอบได้เปรียญธรรม ถือว่าเป็น วีรบุรุษกองทัพธรรม เป็นผู้น�ำความภาคภูมิใจ
มาสู่คณะสงฆ์ หลวงพ่อรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งและปรารถนาจะให้ก�ำลังใจแก่ผู้ที่สอบได้
และผู้ที่ก�ำลังจะสอบได้ตามมา ให้เห็นความส�ำคัญและรับรู้ว่า สิ่งที่ท่านทั้งหลายก�ำลังพากเพียร
ศึกษาอยู่นี้ มีความส�ำคัญมาก และยังมีผู้คนทั้งหลายรอคอยและปรารถนาจะเห็นความส�ำเร็จ
ของทุกท่าน ผู้จะเป็นก�ำลังส�ำคัญในการท�ำงานพระศาสนา เพื่อความเจริญยิ่งยืนนาน
ของพระพุทธศาสนาสืบต่อไปในอนาคต”
พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าส�ำนักเรียน มีความยินดี
เป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุน และขอปวารณาที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ในการส่งเสริมการศึกษา
พระปริยัติธรรม  ของพระภิกษุสามเณร  ตลอดไปตราบนานเท่านาน
และได้มีด�ำริให้จัดท�ำ  โครงการส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ
สามเณรทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้การส่งเสริม
สนับสนุนเป็นก�ำลังใจ อีกทั้งมุ่งหมายจะก่อให้เกิดการตื่นตัวด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม
ของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ  รวมถึงเป็นสื่อกลางให้คณะสงฆ์ผู้บริหารการศึกษาทั่วสังฆมณฑล
ได้มาร่วมปรึกษา เพื่อการพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรมให้ก้าวหน้า ไปในทิศทางเดียวกัน
โดยเริ่มต้นจากการถวายทุนการศึกษา การจัดงานมุทิตาสักการะแก่พระภิกษุสามเณรผู้สอบได้
เปรียญธรรม ๙ ประโยค  การจัดพิมพ์ต�ำราคู่มือบาลีถวายแก่ส�ำนักเรียนที่สนใจ และอื่นๆ
ที่จะได้ริเริ่มจัดท�ำในโอกาสต่อไป
หนังสือธรรมบทสองภาษาบาลี-ไทย ภาค๑-๘  ส�ำหรับนักเรียนบาลีชั้นประโยค๑-๒
และ ป.ธ.๓ นี้  ทางคณาจารย์โรงเรียนพระปริยัติธรรม ได้รวบรวมเรียบเรียงขึ้น โดยอาศัยความรู้
จากต�ำรา และบูรพาจารย์ทั้งหลาย  จัดพิมพ์ขึ้น เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม  
ของพระภิกษุสามเณร ผู้แรกเริ่มศึกษาภาษาบาลี และผู้สนใจทั่วไป เพื่ออ�ำนวยประโยชน์
เป็นวิทยาทาน แก่ผู้ศึกษาอย่างเต็มที่  ให้เรียนรู้ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
อนึ่งหากหนังสือเล่มนี้ยังมีการขาดตกบกพร่องประการใด หรือมีข้อเสนอแนะที่เป็น
ประโยชน์ ขอความอนุเคราะห์โปรดแจ้งให้ทางส�ำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย
ทราบด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เพื่อจะได้น�ำมาปรับปรุงแก้ไขให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น ในการ
จัดพิมพ์ครั้งต่อไป
ส�ำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย   จ.ปทุมธานี
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 3
สารบัญธรรมบทภาค ๑
เรื่อง											 หน้าที่
ปณามคาถา ๑
๑. ยมกวรรค วรรณนา
๑. เรื่องพระจักขุปาลเถระ ๓
๒. เรื่องมัฏฐกุณฑลี ๒๓
๓. เรื่องพระติสสเถระ ๓๕
๔. เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี ๔๒
๕. เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ๔๙
๖. เรื่องจุลกาลและมหากาล ๖๑
๗. เรื่องพระเทวทัต ๗๐
๘. เรื่องสัญชัยปริพาชก ๗๕
๙. เรื่องพระนันทเถระ ๑๐๕
๑๐. เรื่องนายจุนทสูกริก ๑๑๖
๑๑. เรื่องธัมมิกอุบาสก ๑๒๐
๑๒. เรื่องพระเทวทัต ๑๒๔
๑๓. เรื่องนางสุมนาเทวี ๑๔๑
๑๔. เรื่องภิกษุ ๒ สหาย ๑๔๔
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
4
““การศึกษานั้น สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้ศึกษา ให้สูงกว่าพื้นเดิม
คนที่มีการศึกษาดี จะได้อะไรก็ดีกว่าประณีตกว่าผู้อื่น คนมีวิชาเท่ากับ
ได้สมบัติจักรพรรดิ กินใช้ไม่หมด””
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน�้ำ ภาษีเจริญ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 1
ธมฺมปทฏฺฐกถา
ปณามคาถา
มหาโมหตโมนทฺเธ โลเก โลกนฺตทสฺสินา
เยน สทฺธมฺมปชฺโชโต ชลิโต ชลิติทฺธินา
ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา สมฺพุทฺธสฺส สิรีมโต
สทฺธมฺมญฺจสฺส ปูเชตฺวา		 กตฺวา สงฺฆสฺส จญฺชลึ,
“ตํ ตํ การณมาคมฺม		 ธมฺมาธมฺเมสุ โกวิโท
สมฺปนฺนสทฺธมฺมปโท		 สตฺถา ธมฺมปทํ สุภํ
เทเสสิ กรุณาเวค สมุสฺสาหิตมานโส
ยํ เว เทวมนุสฺสานํ ปีติปาโมชฺชวฑฺฒนํ
ปรมฺปราภตา ตสฺส นิปุณา อตฺถวณฺณนา,
ยา ตามฺพปณฺณิทีปมฺหิ ทีปภาสาย สณฺ€ิตา
น สาธยติ เสสานํ สตฺตานํ หิตสมฺปทํ,
อปฺเปว นาม สาเธยฺย สพฺพโลกสฺส สา หิตํ
อิติ อาสึสมาเนน ทนฺเตน สมจารินา
กุมารกสฺสเปนาหํ เถเรน ถิรเจตสา
สทฺธมฺมฏฺ€ิติกาเมน สกฺกจฺจํ อภิยาจิโต,
ตํ ภาสํ อติวิตฺถารํ คตญฺจ วจนกฺกมํ
ปหายาโรปยิตฺวาน ตนฺตึ ภาสํ มโนรมํ,
“
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
2
คาถานํ พฺยญฺชนปทํ ยํ ตตฺถ น วิภาวิตํ
เกวลนฺตํ วิภาเวตฺวา เสสนฺตเมว อตฺถโต
ภาสนฺตเรน ภาสิสฺสํ อาวหนฺโต วิภาวินํ
มนโส ปีติปาโมชฺชํ อตฺถธมฺมูปนิสฺสิตนฺติ.
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 3
๑.อ.กถาเป็นเครื่องพรรณนาซึ่งเนื้อความแห่งวรรค
อันบัณฑิตก�ำหนดแล้ว ด้วยเรื่องอันเป็นคู่
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว)
๑. อ.เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าจักขุบาล
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
(อ. อันถามว่า) ว่า อ. พระธรรมเทศนานี้ว่า
อ. ธรรม ท. มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจประเสริฐที่สุด
ส�ำเร็จด้วยใจ, หากว่า อ.บุคคล มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว
กล่าวอยู่ หรือ หรือว่า กระท�ำอยู่ ไซร้, อ.ทุกข์ ย่อมไปตาม
ซึ่งบุคคล นั้น เพราะทุจจริต มีอย่าง ๓ นั้น เพียงดัง
อ.ล้อหมุนไปตามอยู่ ซึ่งรอยเท้า แห่งโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง
ตัวน�ำไปอยู่ซึ่งแอก ดังนี้
(อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว ในที่ไหน ดังนี้ฯ
(อ. อันตอบ ว่า อ. พระธรรมเทศนา นี้อันพระศาสดา ตรัสแล้ว)
ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี (ดังนี้) ฯ
(อ. อันถาม ว่า อ. พระธรรมเทศนา นี้ อันพระศาสดา)
ทรงปรารภ ซึ่งใคร (ตรัสแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี) ดังนี้ ฯ
(อ. อันตอบ ว่า อ.พระธรรมเทศนา นี้ อันพระศาสดา
ทรงปรารภ) ซึ่งพระเถระชื่อว่าจักขุบาล (ตรัสแล้ว ในเมืองชื่อว่า
สาวัตถี ดังนี้) ฯ
ได้ยินว่า (อ. เศรษฐี) ชื่อว่ามหาสุวรรณ เป็นผู้มีขุมทรัพย์
เป็นผู้มั่งคั่ง เป็นผู้มีทรัพย์มาก เป็นผู้มีโภคมาก เป็นผู้มีบุตรหามิได้
ได้มีแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ
ในวันหนึ่ง อ.เศรษฐีนั้น ไปแล้ว สู่ท่าเป็นที่อาบ อาบแล้ว มาอยู่
เห็นแล้ว ซึ่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่า ต้นหนึ่ง มีกิ่งอันถึงพร้อมแล้ว
ในระหว่างแห่งหนทาง, (คิดแล้ว) ว่า อ.ต้นไม้ นี้จักเป็นต้นไม้ อันเทวดา
ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ถือเอารอบแล้ว จักเป็น ดังนี้(ยังบุคคล) ให้ช�ำระแล้ว
ซึ่งส่วนภายใต้ แห่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่านั้น (ยังบุคคล)
ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งการแวดล้อมด้วยก�ำแพง (ยังบุคคล) ให้เกลี่ยลงแล้ว
ซึ่งทราย (ยังบุคคล) ให้ยกขึ้นแล้ว ซึ่งธงชัยและธงแผ่นผ้า
กระท�ำให้พอแล้ว ซึ่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่า กระท�ำแล้ว
ซึ่งความปรารถนา ว่า (อ. เรา) ได้แล้ว ซึ่งบุตร หรือ หรือว่า ซึ่งธิดา
จักกระท�ำ ซึ่งสักการะใหญ่ แก่ท่าน ท. ดังนี้หลีกไปแล้ว ฯ
ครั้งนั้น อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในท้อง
ของภรรยา ของเศรษฐีนั้น ฯ อ. เศรษฐี นั้น ได้ให้แล้ว ซึ่งเครื่อง
บริหารซึ่งครรภ์ แก่ภรรยา นั้น ฯ อ. ภรรยานั้น คลอดแล้ว ซึ่งบุตร
โดยกาลเป็นที่ล่วงไปแห่งเดือนสิบ ฯ
อ. เศรษฐี ได้กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ. ปาละ ดังนี้ให้เป็นชื่อ
ของบุตรนั้น เพราะความที่ (แห่งบุตรนั้น) เป็นผู้อันตน อาศัยแล้ว
ซึ่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่า อันอันตนรักษาแล้ว ได้แล้ว ฯ
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก (อ.เศรษฐีนั้น) ได้แล้ว ซึ่งบุตร อื่น ฯ
(อ.เศรษฐีนั้น) กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ.จุลลปาละ ดังนี้ให้เป็นชื่อ
ของบุตรนั้น,
๑. ยมกวคฺควณฺณนา
๑. จกฺขุปาลตฺเถรวตฺถุ. (๑)
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา,
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา,
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทนฺติ.
อยํ ธมฺมเทสนา กตฺถ ภาสิตาติ.
“สาวตฺถิยํ.”
“กํ อารพฺภาติ.
“จกฺขุปาลตฺเถรํ.
สาวตฺถิยํ กิร มหาสุวณฺโณ นาม กุฏุมฺพิโก
อโหสิ อฑฺโฒ มหทฺธโน มหาโภโค อปุตฺตโก.
โส เอกทิวสํ นหานติตฺถํ คนฺตฺวา นหาตฺวา
อาคจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค สมฺปนฺนสาขํ เอกํ
วนปฺปตึ ทิสฺวา“อยํ มเหสกฺขาย เทวตาย ปริคฺคหิโต
ภวิสฺสตีติ ตสฺส เหฏฺฐาภาคํ โสธาเปตฺวา ปาการปริกฺเขปํ
การาเปตฺวา วาลุกํ โอกิราเปตฺวา ธชปตากํ อุสฺสาเปตฺวา
วนปฺปตึ อลงฺกริตฺวา “ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา ลภิตฺวา
ตุมฺหากํ มหาสกฺการํ กริสฺสามีติ ปตฺถนํ กตฺวา
ปกฺกามิ.
อถสฺส ภริยาย กุจฺฉิยํ คพฺโภ ปติฏฺฐาสิ .
โส ตสฺสา คพฺภปริหารํ อทาสิ. สา ทสมาสจฺจเยน
ปุตฺตํ วิชายิ.
เสฏฺฐี อตฺตนา ปาลิตํ วนปฺปตึ นิสฺสาย
ลทฺธตฺตา ตสฺส “ปาโลติ นามํ อกาสิ.
อปรภาเค อญฺญํ ปุตฺตํ ลภิ. ตสฺส “จุลฺลปาโลติ
นามํ กตฺวา,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
4
กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ.มหาปาละ ดังนี้ให้เป็นชื่อ ของบุตรนอกนี้ฯ
(อ. มารดาและบิดา ท.) ผูกแล้ว ซึ่งบุตร ท. เหล่านั้น ผู้ถึงแล้ว
ซึ่งวัย ด้วยเครื่องผูกคือเรือน ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก อ.มารดา
และบิดา ท. ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ ฯ (อ.ญาติ ท.) แบ่งแล้ว
ซึ่งโภคะ ทั้งปวง (แก่บุตร ท.) สองนั่นเทียว ฯ
ในสมัยนั้น อ.พระศาสดา ผู้มีจักรคือธรรมอันประเสริฐ
อันให้เป็นไปทั่วแล้ว เสด็จไปแล้ว โดยล�ำดับ ย่อมประทับอยู่
ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวัน อันอันมหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ
สละ ซึ่งทรัพย์มีโกฏิห้าสิบสี่เป็นประมาณ แล้วยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว,
ทรงยังมหาชน ให้ตั้งเฉพาะอยู่ ในหนทางแห่งสวรรค์ด้วย ในหนทาง
แห่งธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นด้วย ฯ
จริงอยู่ อ.พระตถาคตเจ้า ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จ�ำพรรษา
หนึ่งนั่นเทียว ในมหาวิหารชื่อว่านิโครธ อันอันพันแห่งตระกูล
แห่งพระญาติแปดสิบสองหน ท. คือ (อันพันแห่งตระกูลแห่งพระญาติ ท.)
๘๐ ข้างฝ่ายแห่งพระมารดา (อันพันแห่งตระกูลแห่งพระญาติ ท.)
๘๐ ข้างฝ่ ายแห่งพระบิดา ทรงยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว,
(ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จ�ำพรรษา ท.) ยี่สิบหย่อนด้วยหนึ่ง
ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวัน อันอันมหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ
ยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว (ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จ�ำพรรษา ท.)
หก ในมหาวิหารชื่อว่าบุพพาราม อันอันนางวิสาขา ยังนายช่าง
ให้กระท�ำแล้ว ด้วยการบริจาคซึ่งทรัพย์มีโกฏิยี่สิบเจ็ดเป็นประมาณ
ทรงอาศัย ซึ่งเมืองชื่อว่าสาวัตถี ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่
จ�ำพรรษา ท. ยี่สิบห้า เพราะทรงอาศัย ซึ่งความที่แห่งตระกูล ท.
สอง เป็นตระกูลมีคุณใหญ่ ด้วยประการฉะนี้ ฯ
แม้ อ.มหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ แม้ อ.นางวิสาขา
ผู้มหาอุบาสิกา ย่อมไป สู่ที่เป็นที่บ�ำรุง ซึ่งพระตถาคตเจ้า สิ้นวาระ ท.
สอง แห่งวัน เนืองนิตย์ ฯ ก็ (อ. ชน ท. สอง เหล่านั้น) เมื่อไป
เป็นผู้มีมือเปล่าไปแล้วในก่อน (เป็นผู้ไม่เคยมีมือเปล่าไปแล้ว)
(ด้วยอันคิด) ว่า อ. ภิกษุหนุ่มและสามเณร ท. จักแลดู ซึ่งมือ ท.
ของเรา ท. ดังนี้(ย่อมเป็น) หามิได้: เมื่อไป ในกาลก่อนแต่กาลแห่งภัตร
ยังบุคคลให้ถือเอาแล้ว (ซึ่งวัตถุ ท.) มีของอันบุคคลพึงเคี้ยวเป็นต้น
ย่อมไป, (เมื่อไป) ในกาลภายหลังแต่กาลแห่งภัตร (ยังบุคคล
ให้ถือเอาแล้ว) ซึ่งเภสัช ท. ห้า ด้วย ซึ่งน�้ำเป็นเครื่องดื่ม ท. แปด ด้วย
(ย่อมไป) ฯ
อนึ่ง อ.อาสนะ ท. เป็นวัตถุอันบุคคลปูลาดแล้ว เนืองนิตย์
เพื่อพันแห่งภิกษุ ท. สอง สอง ในที่เป็นที่อยู่ ท. ของชน ท. สอง
เหล่านั้น นั่นเทียว ย่อมเป็น ฯ
อ.ภิกษุ ใด ย่อมปรารถนา ในข้าวและน�้ำเป็นเครื่องดื่มและ
เภสัช ท. หนา ซึ่งวัตถุใด, อ.วัตถุนั้น ย่อมถึงพร้อม แก่ภิกษุนั้น
ตามความปรารถนานั่นเทียว ฯ
อ.ปัญหา เป็นสภาพอัน- ในชน ท. สอง เหล่านั้นหนา
-มหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ ไม่เคยทูลถามแล้ว กะพระศาสดา
ในวันหนึ่งนั่นเทียว (ย่อมเป็น) ฯ
อิตรสฺส “มหาปาโลติ นามํ กริ.
เต วยปฺปตฺเต ฆรพนฺธเนน พนฺธึสุ. อปรภาเค
มาตาปิตโร กาลมกํสุ. สพฺพํ โภคํ ทฺวินฺนํเยว วิวเรสุํ.
ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก
อนุปุพฺเพน คนฺตฺวา, อนาถปิณฺฑิกมหาเสฏฺฐินา
จตุปฺปญฺญาสโกฏิธนํ วิสฺสชฺเชตฺวา การิเต
เชตวนมหาวิหาเร วิหรติ; มหาชนํ สคฺคมคฺเค
จ โมกฺขมคฺเค จ ปติฏฺฐาปยมาโน.
ตถาคโต หิ “มาติปกฺขโต อสีติยา ปิติปกฺขโต
อสีติยาติ เทฺวอสีติญาติกุลสหสฺเสหิ การิเต
นิโคฺรธมหาวิหาเร เอกเมว วสฺสาวาสํ วสิ,
อนาถปิณฺฑิเกน การิเต เชตวนมหาวิหาเร เอกูนวีสติ,
วิสาขาย สตฺตวีสติโกฏิธนปริจฺจาเคน การิเต
ปุพฺพาราเม ฉ วสฺสาวาเสติ ทฺวินฺนํ กุลานํ
คุณมหนฺตตํ ปฏิจฺจ สาวตฺถึ นิสฺสาย ปญฺฺจวีสติ
วสฺสาวาเส วสิ.
อนาถปิณฺฑิโกปิ วิสาขาปิ มหาอุปาสิกา นิพทฺธํ
ทิวสสฺส เทฺว วาเร ตถาคตสฺส อุปฏฺฐานํ คจฺฉนฺติ.
คจฺฉนฺตา จ “ทหรสามเณรา โน หตฺเถ โอโลเกสฺสนฺตีติ
ตุจฺฉหตฺถา น คตปุพฺพา: ปุเรภตฺตํ คจฺฉนฺตา
ขาทนียาทีนิ คาหาเปตฺวา คจฺฉนฺติ, ปจฺฉาภตฺตํ
ปญฺจ เภสชฺชานิ อฏฺฐ จ ปานานิ.
นิเวสเนสุ ปน เตสํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขุสหสฺสานํ
นิจฺจํ ปญฺญตฺตาเนวาสนานิ โหนฺติ.
อนฺนปานเภสชฺเชสุ โย ยํ อิจฺฉติ, ตสฺส ตํ
ยถิจฺฉิตเมว สมฺปชฺชติ,
เตสุ อนาถปิณฺฑิเกน เอกเมว ทิวสํ สตฺถารํ
ปญฺโห น ปุจฺฉิตปุพฺโพ.
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 5
ได้ยินว่า อ.มหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะนั้น คิดแล้ว ว่า
อ.พระตถาคต เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์
ผู้ละเอียดอ่อน (เป็น) เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม แก่เรา (ด้วยทรงพระด�ำริ)
ว่า อ. คฤหบดี เป็นผู้มีอุปการะมาก แก่เรา (ย่อมเป็น) ดังนี้
พึงทรงล�ำบาก ดังนี้, ย่อมไม่ทูลถาม ซึ่งปัญหา เพราะความรัก
มีประมาณยิ่ง ในพระศาสดา ฯ
ส่วนว่า อ. พระศาสดา ครั้นเมื่อเศรษฐีนั้น เป็นผู้สักว่านั่งแล้ว
นั่นเทียว (มีอยู่) (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า อ.เศรษฐี นี้ย่อมรักษา ซึ่งเรา ใน
ฐานะอันบุคคลไม่พึงรักษา, เพราะว่า อ.เรา ตัดแล้ว ซึ่งศีรษะ ของ
ตน อันเรา ทั้งกระท�ำให้พอแล้วทั้งตกแต่งแล้ว ควักขึ้นแล้ว
ซึ่งนัยน์ตา ท. ยังเนื้อแห่งหทัย ให้เพิกขึ้นแล้ว บริจาคแล้ว
ซึ่งบุตรและภรรยา ผู้เสมอด้วยลมปราณ ยังบารมี ท. เมื่อให้เต็ม
สิ้นอสงไขย ท. สี่ อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป
์ (ยังบารมี ท.) ให้เต็มแล้ว
เพื่ออันแสดงซึ่งธรรม แก่ชน ท. เหล่าอื่นนั่นเทียว, อ. เศรษฐี นั่น
ย่อมรักษาซึ่งเรา ในฐานะอันบุคคลไม่พึงรักษา ดังนี้ ตรัสแล้ว
ซึ่งพระธรรมเทศนา กัณฑ์หนึ่งนั่นเทียว ฯ
ในกาลนั้น อ. โกฏิแห่งมนุษย์ ท. เจ็ด ย่อมอยู่ ในเมืองชื่อว่า
สาวัตถี ฯ (ในมนุษย์ ท.) เหล่านั้นหนา อ. มนุษย์ ท. มีโกฏิห้า
เป็นประมาณ ฟังแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ของพระศาสดา
เป็นอริยสาวก เกิดแล้ว, (อ.มนุษย์ ท.) มีโกฏิสองเป็นประมาณ
(ฟังแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ของพระศาสดา) เป็นปุถุชน
(เกิดแล้ว) ฯ
อ. กิจ ท. ๒ นั่นเทียวได้มีแล้ว (ในมนุษย์ ท.) เหล่านั้นหนา
(แก่มนุษย์ ท.) ผู้เป็นอริยสาวก, (อ. อริยสาวก ท.) ย่อมถวาย
ซึ่งทาน ในกาลก่อนแห่งภัตร, (อ. อริยสาวก ท.) ผู้มีวัตถุมีของหอม
และระเบียบเป็นต้นในมือ ยังบุคคลให้ถือเอาแล้ว (ซึ่งวัตถุ)
มีผ้าและยาและน�้ำเป็นเครื่องดื่มเป็นต้น ย่อมไป เพื่อต้องการ
แก่อันฟังซึ่งธรรม ในกาลภายหลังแห่งภัตร ฯ
ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล เห็นแล้ว ซึ่งอริยสาวก ท.
ผู้มีวัตถุมีของหอมและระเบียบเป็นต้นในมือ ผู้ไปอยู่ สู่วิหาร,
ถามแล้ว ว่า อ. มหาชน นี้ จะไป ในที่ไหน ดังนี้ ฟังแล้ว ว่า
(อ. มหาชนนี้ ย่อมไป ) เพื่ออันฟังซึ่งธรรม ดังนี้, (คิดแล้ว) ว่า
แม้ อ. เรา จักไป ดังนี้ ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา
นั่งแล้ว ณ ที่สุดรอบแห่งบริษัท ฯ
ก็ ชื่อ อ. พระพุทธเจ้า ท. เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม, ทรงตรวจดูแล้ว
ซึ่งธรรมอันเป็นอุปนิสัย (แห่งคุณ ท.) มีสรณะและศีลและบรรพชา
เป็นต้น ย่อมทรงแสดง ซึ่งธรรม ด้วยอ�ำนาจแห่งอัธยาศัย;
เพราะเหตุนั้น ในวันนั้น อ. พระศาสดา ทรงตรวจดูแล้ว
ซึ่งธรรมอันเป็นอุปนิสัย แห่งกุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น เมื่อทรงแสดง
ซึ่งธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวโดยล�ำดับ ฯ
(อ. อันถามว่า อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่อง
กล่าวโดยล�ำดับ) อย่างไรนี้(ดังนี้) ? (อ.อันแก้ว่า อ.พระศาสดา)
ทรงประกาศแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งทาน ซึ่งวาจาเป็น
เครื่องกล่าวซึ่งศีล ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งสวรรค์
โส กิร “ ตถาคโต พุทฺธสุขุมาโล ขตฺติยสุขุมาโล
“ พหุปกาโร เม คหปตีติ มยฺหํ ธมฺมํ เทเสนฺโต
กิลเมยฺยาติ, สตฺถริ อธิมตฺตสิเนเหน ปญฺหํ น ปุจฺฉติ.
สตฺถา ปน ตสฺมึ นิสินฺนมตฺเตเยว “ อยํ เสฏฺฐี
มํ อรกฺขิตพฺพฏฺฐาเน รกฺขติ , อหํ หิ กปฺปสต-
สหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสงฺเขยฺยานิ อลงฺกตปฺปฏิยตฺตํ
อตฺตโน สีสํ ฉินฺทิตฺวา อกฺขีนิ อุปฺปาเฏตฺวา หทยมํสํ
อุพฺพตฺเตตฺวา ปาณสมํ ปุตฺตทารํ ปริจฺจชิตฺวา
ปารมิโย ปูเรนฺโต ปเรสํ ธมฺมเทสนตฺถเมว ปูเรสึ ,
เอส มํ อรกฺขิตพฺพฏฺฐาเน รกฺขตีติ เอกํ ธมฺมเทสนํ
กเถสิเยว.
ตทา สาวตฺถิยํ สตฺต มนุสฺสโกฏิโย วสนฺติ.
เตสุ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ปญฺจโกฏิมตฺตา มนุสฺสา
อริยสาวกา ชาตา, เทฺวโกฏิมตฺตา ปุถุชฺชนา.
เตสุ อริยสาวกานํ เทฺวเยว กิจฺจานิ อเหสุํ:
ปุเรภตฺตํ ทานํ เทนฺติ, ปจฺฉาภตฺตํ คนฺธมาลาทิหตฺถา
วตฺถเภสชฺชปานกาทึ คาหาเปตฺวา ธมฺมสฺสวนตฺถาย
คจฺฉนฺติ.
อเถกทิวสํ มหาปาโล อริยสาวเก คนฺธมาลาทิหตฺเถ
วิหารํ คจฺฉนฺเต ทิสฺวา, “อยํ มหาชโน กุหึ คจฺฉตีติ
ปุจฺฉิตฺวา, “ ธมฺมสฺสวนายาติ สุตฺวา , “ อหํปิ
คมิสฺสามีติ, คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปริสปริยนฺเต
นิสีทิ.
พุทฺธา จ นาม ธมฺมํ เทเสนฺตา , สรณสีล-
ปพฺพชฺชาทีนํ อุปนิสฺสยํ โอโลเกตฺวา อชฺฌาสยวเสน
ธมฺมํ เทเสนฺติ;
ตสฺมา ตํทิวสํ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสยํ
โอโลเกตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺโต อนุปุพฺพีกถํ กเถสิ.
เสยฺยถีทํ? ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
6
ซึ่งโทษ ซึ่งการกระทําต�่ำ ซึ่งความเศร้าหมองพร้อมแห่งกาม ท.
ซึ่งอานิสงส์ ในการออกบวช (ดังนี้) ฯ
อ.กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล ฟังแล้ว ซึ่งพระดํารัสนั้น คิดแล้ว ว่า
อ.บุตรและธิดา ท. หรือ หรือว่า อ.โภคะ ท. ย่อมไม่ไปตาม (ซึ่งบุคคล)
ผู้ไปอยู่ สู่โลกอื่น, แม้ อ. สรีระ ย่อมไม่ไป กับ ด้วยตน, อ. ประโยชน์
อะไร ของเรา ด้วยการอยู่ครองซึ่งเรือน , อ. เรา จักบวช ดังนี้ ฯ
อ. กุฏุมพีชื่อว่ามหาบาล นั้น เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา ทูลขอแล้ว ซึ่งการบวช ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว กะกุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น ว่า
อ. ญาติ ผู้ควรแล้ว แก่ความเป็นผู้อันท่านพึงอําลา บางคน ของท่าน
ย่อมไม่มี หรือ ? ดังนี้ฯ (อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล กราบทูลแล้ว ว่า)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของข้าพระองค์ มีอยู่
ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า) ถ้าอย่างนั้น อ.ท่าน จงอําลา
ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น ดังนี้ ฯ
อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น รับพร้อมแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้
ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ไปแล้ว สู่เรือน ยังบุคคล ให้ร้องเรียกแล้ว
ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุด (กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ อ. ทรัพย์ไร ๆ
อันเป็นไปกับด้วยวิญญาณและไม่มีวิญญาณใด มีอยู่ ในตระกูล นี้,
อ.ทรัพย์นั้นทั้งปวง เป็นภาระของท่าน(จงเป็น), อ.ท่าน จงครอบครอง
ซึ่งทรัพย์นั้นดังนี้ฯ (อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้นถามแล้ว)ว่าข้าแต่นาย
ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ? ดังนี้ ฯ (อ. กุฏุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น กล่าวแล้ว)
ว่า อ. เรา จักบวช ในสํานัก ของพระศาสดา ดังนี้ ฯ
(อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พี่ อ. ท่าน
กล่าวแล้ว ซึ่งคําอะไร, อ. ท่าน ครั้นเมื่อมารดา ตายแล้ว เป็นผู้ อันเรา
(ได้แล้ว) ราวกะ อ. มารดา (ย่อมเป็น), (อ. ท่าน) ครั้นเมื่อบิดา ตายแล้ว
เป็นผู้อันเรา (ได้แล้ว) ราวกะ อ. บิดา (ย่อมเป็น), อ. สมบัติอันบุคคล
พึงเสวยใหญ่ (มีอยู่) ในเรือน ของท่าน ท., (อันท่าน ท.) ผู้อยู่ครอบครองอยู่
ซึ่งเรือนนั่นเทียว อาจ เพื่ออันกระทํา ซึ่งบุญ ท., อ. ท่าน ท.
อย่าได้กระทําแล้ว อย่างนี้ ดังนี้ ฯ
(อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ อ. พระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา อันเรา ฟังแล้ว, ก็ อ. ธรรมอันงามในเบื้องต้นและ
ท่ามกลางและที่สุดลงรอบ อันพระศาสดา ทรงยกขึ้นแล้ว สู่ลักษณะ ๓
ทั้งละเอียดทั้งอ่อน ทรงแสดงแล้ว, อ. ธรรมอันงามในเบื้องต้นและ
ท่ามกลางและที่สุดลงรอบนั้น (อันเรา) ไม่อาจ เพื่ออันให้เต็มได้
ในท่ามกลางแห่งเรือน, แน่ะพ่อ อ. เรา จักบวช ดังนี้ ฯ
(อ.น้องชายผู้น้อยที่สุด กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พี่ เออก็ (อ.ท่าน ท.)
เป็นคนหนุ่ม (ย่อมเป็น) ก่อน, อ.ท่าน ท. จักบวช ในกาลแห่งตน
เป็นคนแก่ ดังนี้ ฯ
(อ.กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลกล่าวแล้ว)ว่า แน่ะพ่อ ก็ แม้ อ.มือและเท้าท.
ของตน แห่งคนแก่ เป็นอวัยวะไม่ฟังตาม ย่อมเป็น, ย่อมไม่เป็นไป
ในอํานาจ, ก็ อ. องค์อะไรเล่า อ. ญาติ ท. (จักเป็นไป ในอํานาจ),
อ. เรา นั้น จะไม่กระทํา ซึ่งคํา ของท่าน, อ. เรา ยังความปฏิบัติแห่งสมณะ
จักให้เต็ม,
กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ
ปกาเสสิ.
ตํ สุตฺวา มหาปาโล กุฏุมฺพิโก จินฺเตสิ “ปรโลกํ
คจฺฉนฺตํ ปุตฺตธีตโร วา โภคา วา นานุคจฺฉนฺติ, สรีรํปิ
อตฺตนา สทฺธึ น คจฺฉติ ; กึ เม ฆราวาเสน ,
ปพฺพชิสฺสามีติ.
โส เทสนาปริโยสาเน สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา
ปพฺพชฺชํ ยาจิ.
อถ นํ สตฺถา “นตฺถิ เต โกจิอาปุจฺฉิตพฺพยุตฺตโก
ญาตีติ อาห. “กนิฏฺฐภาตา เม อตฺถิ ภนฺเตติ.
“เตนหิ ตํ อาปุจฺฉาหีติ.
โส “สาธูติ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา
เคหํ คนฺตฺวา กนิฏฺฐํ ปกฺโกสาเปตฺวา “ตาต ยํ
อิมสฺมึ กุเล สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกํ ธนํ กิญฺจิ
อตฺถิ, สพฺพนฺตํ ตว ภาโร, ปฏิปชฺชาหิ นนฺติ.
“ตุมฺเห ปน สามีติ. “อหํ สตฺถุ สนฺติเก
ปพฺพชิสฺสามีติ .
“ กึ กเถสิ ภาติก ; ตฺวํ เม มาตริ มตาย มาตา
วิย, ปิตริ มเต ปิตา วิย ลทฺโธ ,เคเห โว มหาวิภโว,
สกฺกา เคหํ อชฺฌาวสนฺเตเหว ปุญฺญานิ กาตุํ ;
มา เอวมกตฺถาติ.
“ตาตมยาสตฺถุ ธมฺมเทสนา สุตา, สตฺถารา หิ
สณฺหสุขุมํ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา อาทิมชฺฌ-
ปริโยสานกลฺยาณธมฺโม เทสิโต. น สกฺกา โส
อคารมชฺเฌ ปูเรตุํ; ปพฺพชิสฺสามิ ตาตาติ.
“ ภาติก ตรุณาปิ จ ตาว , มหลฺลกกาเล
ปพฺพชิสฺสถาติ.
“ตาต มหลฺลกสฺส หิ อตฺตโน หตฺถปาทาปิ
อนสฺสวา โหนฺติ, น วเส วตฺตนฺติ, กิมงฺคํ ปน
ญาตกา , สฺวาหํ ตว วจนํ น กโรมิ, สมณปฏิปตฺตึ
ปูเรสฺสามิ,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 7
ชราชชฺชริตา โหนฺติ หตฺถปาทา อนสฺสวา
ยสฺส, โส วิหตตฺถาโม กถํ ธมฺมํ จริสฺสติ,
ปพฺพชิสฺสาเมวาหํ ตาตาติ.
ตสฺส วิรวนฺตสฺเสว,สตฺถุ สนฺติกํคนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ
ยาจิตฺวา, ลทฺธปพฺพชฺชูปสมฺปโท อาจริยุปชฺฌายานํ
สนฺติเก ปญฺจ วสฺสานิ วสิตฺวา, วุตฺถวสฺโส
ปวาเรตฺวา, สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ปุจฺฉิ
“ภนฺเต อิมสฺมึ สาสเน กติ ธุรานีติ.
“คนฺถธุรํ วิปสฺสนาธุรนฺติ เทฺวเยว ธุรานิ ภิกฺขูติ.
“กตมํ ปนภนฺเต คนฺถธุรํ, กตมํ วิปสฺสนาธุรนฺติ.
“อตฺตโน ปญฺญานุรูเปน เอกํ วา เทฺว วา
นิกาเย สกลํ วา ปน เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา
ตสฺส ธารณํ กถนํ วาจนนฺติ อิทํ คนฺถธุรํ นาม .
สลฺลหุกวุตฺติโน ปน ปนฺตเสนาสนาภิรตสฺส
อตฺตภาเว ขยวยํ ปฏฺ€เปตฺวา สาตจฺจกิริยาวเสน
วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตคฺคหณนฺติ อิทํ
วิปสฺสนาธุรํ นามาติ.
“ภนฺเต อหํ มหลฺลกกาเล ปพฺพชิโต คนฺถธุรํ
ปูเรตุํ น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุรํ ปน ปูเรสฺสามิ;
กมฺมฏฺ€านํ เม กเถถาติ.
อถสฺส สตฺถา ยาว อรหตฺตา กมฺมฏฺฐานํ
กเถสิ.
โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, อตฺตนา สหคามิโน ภิกฺขู
ปริเยสนฺโต สฏฺ€ี ภิกฺขู ลภิตฺวา, เตหิ สทฺธึ
นิกฺขมิตฺวา, วีสโยชนสตมคฺคํ คนฺตฺวา, เอกํ มหนฺตํ
ปจฺจนฺตคามํ ปตฺวา, ตตฺถ สปริวาโร ปิณฺฑาย
ปาวิสิ.
มนุสฺสา วตฺตสมฺปนฺเน ภิกฺขู ทิสฺวา ปสนฺนจิตฺตา,
อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทาเปตฺวา, ปณีเตนาหาเรน
ปริวิสิตฺวา, “ภนฺเต กุหึ อยฺยา คจฺฉนฺตีติ
ปุจฺฉิตฺวา, “ยถาผาสุกฏฺ€านํ อุปาสกาติ วุตฺเต,
อ.มือและเท้า ท. ของบุคคคลใด เป็นอวัยวะคร�่ำคร่าแล้วเพราะชรา
เป็นอวัยวะไม่ฟังตาม ย่อมเป็น, อ. บุคคลนั้น ผู้มีเรี่ยวแรงอันชรา
ก�ำจัดแล้ว จักประพฤติ ซึ่งธรรม อย่างไร,
แน่ะพ่อ อ. เรา จักบวชนั่นเทียว ดังนี้ฯ
เมื่อน้องชายผู้น้อยที่สุด นั้น ร้องไห้อยู่นั่นเทียว, (อ. กุฎุมพี
ชื่อว่ามหาบาลนั้น) ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ทูลขอแล้ว
ซึ่งบรรพชา, ผู้มีบรรพชาและอุปสมบทอันได้แล้ว อยู่แล้ว สิ้นปี ท.
๕ ในส�ำนัก ของพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ท., ผู้มีกาลฝน
อันอยู่แล้ว ปวารณาแล้ว, เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว
ทูลถามแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ธุระ ท. ในศาสนานี้
เท่าไร ดังนี้ ฯ
(อ.พระศาสดาตรัสแล้ว)ว่าดูก่อนภิกษุอ.ธุระท.สองนั่นเทียว
คือ อ. คันถธุระ อ. วิปัสสนาธุระ ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุชื่อว่ามหาบาล ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็ อ. คันถธุระ เป็นไฉน ?, อ. วิปัสสนาธุระ เป็นไฉน ? ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า อ.ธุระนี้คือ อ. การเรียนเอาแล้ว
ซึ่งนิกาย หนึ่ง หรือ หรือว่า ซึ่งนิกาย ท. สอง ก็หรือว่า ซึ่งพระพุทธพจน์
คือ ประชุมแห่งปิฎกสาม ทั้งสิ้น ทรงจ�ำ กล่าว บอก ซึ่งพระพุทธพจน์
นั้น ตามสมควรแก่ปัญญาของตน ชื่อว่า คันถธุระ ฯ
ส่วนว่า อ. ธุระนี้ คือ อ. การ เริ่มตั้งแล้ว ซึ่งความสิ้นไปและ
ความเสื่อมไป ในอัตภาพ ยังวิปัสสนา ให้เจริญแล้ว ด้วยสามารถ
แห่งการกระท�ำโดยความเป็นแห่งความติดต่อ ถือเอาซึ่งความเป็น
แห่งพระอรหันต์ (แห่งภิกษุ) ผู้ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะอันสงัดแล้ว
ผู้มีความประพฤติเบาพร้อม ชื่อว่าวิปัสสนาธุระ ดังนี้ ฯ
(อ. ภิกษุชื่อว่ามหาบาล กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. ข้าพระองค์ บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่ จักไม่อาจ
เพื่ออันยังคันถธุระให้เต็ม, แต่ว่า อ. ข้าพระองค์ ยังวิปัสสนาธุระ
จักให้เต็ม ; อ. พระองค์ ท. ขอจงตรัสบอก ซึ่งกัมมัฏฐาน
แก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ซึ่งกัมมัฏฐาน เพียงใด
แต่ความเป็นแห่งพระอรหันต์ แก่ภิกษุชื่อว่ามหาบาลนั้น ฯ
อ. ภิกษุชื่อว่ามหาบาลนั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา,
แสวงหาอยู่ซึ่งภิกษุ ท.ผู้ไปโดยปกติกับด้วยตน,ได้แล้วซึ่งภิกษุ ท.
หกสิบ, ออกไปแล้ว กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น, ไปแล้ว สิ้นหนทาง
มีร้อยแห่งโยชน์ยี่สิบเป็นประมาณ, ถึงแล้ว ซึ่งบ้านอันเป็นที่สุดเฉพาะ
หมู่ใหญ่ ต�ำบลหนึ่ง, ผู้เป็นไปกับด้วยบริวาร ได้เข้าไปแล้ว
ในบ้านนั้น เพื่อก้อนข้าว ฯ
อ. มนุษย์ ท. เห็นแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร
เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว (เป็น), ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะ ท. (ยังภิกษุ ท.)
ให้นั่งแล้ว อังคาสแล้ว ด้วยอาหารอันประณีต ถามแล้ว ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.พระผู้เป็นเจ้า ท. จะไป ในที่ไหน ดังนี้
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท. (อ. เรา ท. จะไป)
สู่ที่อันมีความส�ำราญอย่างไร ดังนี้ (อันภิกษุ ท. เหล่านั้น)
กล่าวแล้ว,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
8
ปณฺฑิตมนุสฺสา “วสฺสาวาสํ เสนาสนํ ปริเยสนฺติ
ภทนฺตาติ ญตฺวา “ภนฺเต สเจ อยฺยา อิมํ เตมาสํ อิธ
วเสยฺยุํ;มยํสรเณสุปติฏฺ€าย, สีลานิ คณฺเหยฺยามาติ
อาหํสุ.
เตปิ “มยํ อิมานิ กุลานิ นิสฺสาย, ภวนิสฺสรณํ
กริสฺสามาติ อธิวาเสสุํ. มนุสฺสา เตสํ ปฏิญฺญํ
คเหตฺวา วิหารํ ปฏิชคฺคิตฺวา รตฺติฏฺ€านทิวาฏฺ€านานิ
สมฺปาเทตฺวา อทํสุ. เต นิพทฺธํ ตเมว คามํ
ปิณฺฑาย ปวิสนฺติ.
อถ เน เอโก เวชฺโช อุปสงฺกมิตฺวา, “ภนฺเต
พหุนฺนํ วสนฏฺฐาเน อผาสุกํปิ นาม โหติ, ตสฺมึ
อุปฺปนฺเน, มยฺหํ กเถยฺยาถ; เภสชฺชํ กริสฺสามีติ
ปวาเรสิ.
เถโร วสฺสูปนายิกาทิวเส เต ภิกฺขู อามนฺเตตฺวา
ปุจฺฉิ “ อาวุโส อิมํ เตมาสํ กตีหิ อิริยาปเถหิ
วีตินาเมสฺสถาติ.
“จตูหิ ภนฺเตติ.
“ กึ ปเนตํ อาวุโส ปฏิรูปํ , นนุ อปฺปมตฺเตหิ
ภวิตพฺพํ? มยํ หิ ธรมานสฺส พุทฺธสฺส สนฺติกา
กมฺมฏฺ€านํ คเหตฺวา อาคตา,
พุทฺธา จ นาม น สกฺกา สเ€น อาราเธตุํ,
กลฺยาณชฺฌาสเยน เหเต อาราเธตพฺพา, ปมตฺตสฺส
จ นาม จตฺตาโร อปายา สกเคหสทิสา, อปฺปมตฺตา
โหถาวุโสติ.
“ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ.
“อหํ ตีหิ อิริยาปเถหิ วีตินาเมสฺสามิ, ปิฏฺฐึ
น ปสาเรสฺสามิ อาวุโสติ.
“สาธุ ภนฺเต, อปฺปมตฺตา โหถาติ.
เถรสฺส นิทฺทํ อโนกฺกมนฺตสฺส, ปฐมมาเส
อติกฺกนฺเต , อกฺขิโรโค อุปฺปชฺชิ. ฉิทฺทฆฏโต
อุทกธารา วิย อกฺขีหิ ธารา ปคฺฆรนฺติ. โส สพฺพรตฺตึ
สมณธมฺมํ กตฺวา, อรุณุคฺคมเน คพฺภํ ปวิสิตฺวา
นิสีทิ.
อ. มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิต ท. ทราบแล้ว ว่า อ. ท่านผู้เจริญ ท.
แสวงหาอยู่ ซึ่งเสนาสนะ อันเป็นที่อยู่จ�ำซึ่งพรรษา ดังนี้ กล่าวแล้ว
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ. พระผู้เป็นเจ้า ท. พึงอยู่ ในที่นี้
ตลอดหมวดแห่งเดือนสาม นี้ไซร้ ; อ.ข้าพเจ้า ท. ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว
ในสรณะ ท. , พึงถือเอา ซึ่งศีล ท. ดังนี้ฯ
อ. ภิกษุ ท. แม้เหล่านั้น (ยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว (ด้วยอันคิด)
ว่า อ. เรา ท. อาศัยแล้ว ซึ่งตระกูล ท. เหล่านี้, จักกระท�ำ
ซึ่งการออกไปจากภพ ดังนี้ ฯ อ. มนุษย์ ท. รับแล้ว ซึ่งปฏิญญา
ของภิกษุ ท. เหล่านั้น จัดแจงแล้ว ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ยังที่เป็นที่พัก
ในกลางคืนและที่เป็นที่พักในกลางวัน ท. ให้ถึงพร้อมแล้ว
ได้ถวาย แล้ว ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ย่อมเข้าไป สู่บ้าน นั้นนั่นเทียว
เพื่อบิณฑะ เนืองนิตย์ ฯ
ครั้งนั้น อ.หมอ คนหนึ่ง เข้าไปหาแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น
ปวารณาแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อแม้ อ.ความทุกข์
มิใช่ความส�ำราญ ย่อมมี ในที่เป็นที่อยู่ แห่งพระผู้เป็นเจ้า ท. มาก
ครั้นเมื่อความทุกข์มิใช่ความส�ำราญนั้น เกิดขึ้นแล้ว อ.ท่าน ท.
พึงบอกแก่ข้าพเจ้า อ.ข้าพเจ้า จักกระท�ำ ซึ่งยา ดังนี้ฯ
อ.พระเถระ เรียกมาแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ถามแล้ว ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.ท่าน ท. จักยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ
ด้วยอิริยาบถ ท. เท่าไร ตลอดหมวดแห่งเดือนสามนี้ ดังนี้
ในวันคือดิถีเป็นที่น้อมเข้าไปใกล้แห่งกาลฝน ฯ
(อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ. กระผม ท. จักยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. สี่
ตลอดหมวดแห่งเดือนสามนี้ ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. ก็
อ.อันยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. สี่ ตลอดหมวด
แห่งเดือนสามนี้ แห่งท่าน ท. นั่น เป็นกรรมอันสมควร ย่อมเป็น
หรือ อันเรา ท. พึงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว พึงเป็น มิใช่หรือ, เพราะว่า
อ.เรา ท. เรียนเอาแล้ว ซึ่งพระกรรมฐาน จากส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า
ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ มาแล้ว,
จริงอยู่ ชื่อ อ. พระพุทธเจ้า ท. อันบุคคลผู้โอ้อวด ไม่อาจ
เพื่ออันทรงให้ยินดียิ่ง, ด้วยว่า อ. พระพุทธเจ้า ท. เหล่านั่น อันบุคคล
ผู้มีอัธยาศัยอันงาม พึงให้ทรงยินดียิ่ง, จริงอยู่ อ. อบาย ท. สี่
เป็นเช่นกับด้วยเรือนของตน (ย่อมเป็น) ชื่อแห่งบุคคลผู้ประมาทแล้ว,
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ท่าน ท. เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว จงเป็น ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ?
ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท.
อ.เรา จักยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. สาม,
อ. เรา จักไม่เหยียด ซึ่งหลัง ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว)
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ดีละ, อ.ท่าน ท. จงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
(จงเป็น) ดังนี้ ฯ
เมื่อพระเถระ ไม่ก้าวลงอยู่ สู่ความหลับ, ครั้นเมื่อเดือนที่หนึ่ง
ก้าวล่วงแล้ว, อ. โรคในนัยน์ตา เกิดขึ้นแล้ว ฯ อ. สายน�้ำ ท.
ย่อมไหลออกจากนัยน์ตาท.ราวกะอ.สายแห่งน�้ำท.(ไหลออกอยู่)
จากหม้ออันทะลุแล้ว ฯ อ. พระเถระนั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งสมณธรรม
ตลอดราตรีทั้งปวง, เข้าไปแล้ว สู่ห้อง ในกาลเป็นที่ขึ้นไปแห่งอรุณ
นั่งแล้ว ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 9
ภิกฺขู ภิกฺขาจารเวลาย เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา
“ภิกฺขาจารเวลา ภนฺเตติ อาหํสุ.
“ เตนหาวุโส คณฺหถ ปตฺตจีวรนฺติ อตฺตโน
ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา นิกฺขมิ.
ภิกฺขู ตสฺส อกฺขี ปคฺฆรนฺเต ทิสฺวา “กิเมตํ
ภนฺเตติ ปุจฺฉึสุ.
“อกฺขี เม อาวุโส วาตา วิชฺฌนฺตีติ.
“นนุ ภนฺเต เวชฺเชนมฺห ปวาริตา, ตสฺส
กเถยฺยามาติ.
“สาธาวุโสติ.
เต เวชฺชสฺส กถยึสุ.
โส เตลํ ปจิตฺวา เปเสสิ.
เถโร นาสาย เตลํ อาสิญฺจนฺโต นิสินฺนโกว
อาสิญฺจิตฺวา อนฺโตคามํ ปาวิสิ.
เวชฺโช ทิสฺวา อาห “ภนฺเต อยฺยสฺส กิร อกฺขี
วาโต วิชฺฌตีติ.
“อาม อุปาสกาติ.
“ภนฺเต มยา เตลํ ปจิตฺวา เปสิตํ, นาสาย
โว อาสิตฺตนฺติ.
“อาม อุปาสกาติ.
“อิทานิ กีทิสนฺติ.
“รุชเตว อุปาสกาติ.
เวชฺโช “มยา เอกวาเรเนว วูปสมนตฺถํ เตลํ ปหิตํ,
กินฺนุ โข โรโค น วูปสนฺโตติ จินฺเตตฺวา “ภนฺเต
นิสีทิตฺวา โว อาสิตฺตํ, นิปชฺชิตฺวาติ ปุจฺฉิ.
เถโร ตุณฺหี อโหสิ; ปุนปฺปุนํ ปุจฺฉิยมาโนปิ
น กเถสิ. โส “วิหารํ คนฺตฺวา วสนฏฺ€านํ
โอโลเกสฺสามีติ จินฺเตตฺวา “เตนหิ ภนฺเต คจฺฉถาติ
เถรํ วิสฺสชฺเชตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา เถรสฺส
วสนฏฺ€านํ โอโลเกนฺโต จงฺกมนนิสีทนฏฺ€านเมว ทิสฺวา
สยนฏฺ€านํ อทิสฺวา “ ภนฺเต นิสินฺเนหิ โว
อาสิตฺตํ, นิปฺปนฺเนหีติ ปุจฺฉิ.
เถโร ตุณฺหี อโหสิ.
“ มา ภนฺเต เอวมกตฺถ; สมณธมฺโม นาม ,
สรีเร ยาเปนฺเต , สกฺกา กาตุํ ; นิปชฺชิตฺวา
อาสิญฺจถาติ ปุนปฺปุนํ ยาจิ.
“คจฺฉาวุโส, มนฺเตตฺวา ชานิสฺสามีติ.
อ. ภิกษุ ท. ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระเถระ ในเวลาเป็นที่เที่ยวไป
เพื่อภิกษา กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ ( อ. เวลานี้)
เป็นเวลาเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุท. ถ้าอย่างนั้น
อ.ท่านท.จงถือเอาซึ่งบาตรและจีวรดังนี้ (ยังภิกษุท.)ให้ถือเอาแล้ว
ซึ่งบาตรและจีวร ของตน ออกไปแล้ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึ่งนัยน์ตา ท. ของพระเถระนั้น
อันหลั่งออกอยู่ถามแล้วว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญอ.เหตุนั่นอะไรดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ) (กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ลม ท.
ย่อมเสียดแทง ซึ่งนัยน์ตา ท. ของเรา ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. เรา ท.)
เป็นผู้อันหมอปวารณาแล้ว ย่อมเป็น มิใช่หรือ, อ. เรา ท. พึงบอก
แก่หมอนั้น ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
ท. อ. ดีละ ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น บอกแล้ว แก่หมอ ฯ
อ. หมอนั้น หุงแล้ว ซึ่งน�้ำมัน ส่งไปแล้ว ฯ
อ. พระเถระ เมื่อหยอด ซึ่งน�้ำมัน ผู้นั่งแล้วเทียว หยอดแล้ว
โดยจมูก ได้เข้าไปแล้ว สู่ภายในแห่งบ้าน ฯ
อ. หมอ เห็นแล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า
อ. ลม ย่อมเสียดแทง ซึ่งนัยน์ตา ท. ของพระผู้เป็นเจ้า หรือ ดังนี้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก เออ (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ
(อ.หมอ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. น�้ำมัน อันกระผม
หุงแล้ว ส่งไปแล้ว, (อ.น�้ำมัน) อันท่าน ท. หยอดแล้วโดยจมูก หรือ
ดังนี้ ฯ (อ.พระเถระกล่าวแล้ว)ว่า ดูก่อนอุบาสกเออ (อ.อย่างนั้น)
ดังนี้ฯ
(อ. หมอ กล่าวแล้ว) ว่า ในกาลนี้(อกฺขิยุคํ อ. คู่แห่งนัยน์ตา)
เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า
ดูก่อนอุบาสก (อ. ลม) เสียดแทงอยู่นั่นเทียว ดังนี้ ฯ
อ. หมอ คิดแล้ว ว่า อ. น�้ำมัน อันเรา ส่งไปแล้ว เพื่ออันยังโรค
ให้เข้าไปสงบวิเศษ โดยวาระหนึ่งนั่นเทียว , อ. โรค ไม่เข้าไปสงบ
วิเศษแล้ว เพราะเหตุอะไรหนอแล ดังนี้ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ (อ. น�้ำมัน) อันท่าน ท. นั่งแล้ว หยอดแล้ว หรือ, ( หรือว่า
อ. น�้ำมัน อันท่าน ท.) นอนแล้ว (หยอดแล้ว) ดังนี้ฯ
อ. พระเถระ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว; แม้ผู้อันหมอถามอยู่ บ่อย ๆ
ไม่บอกแล้ว ฯ อ. หมอนั้น คิดแล้ว ว่า อ. เรา ไปแล้ว สู่วิหาร
จักตรวจดู ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ดังนี้ (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน ท. จงไป ดังนี้ ผละแล้ว ซึ่งพระเถระ ไปแล้ว
สู่วิหาร ตรวจดูอยู่ ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของพระเถระ เห็นแล้ว ซึ่งที่เป็นที่จงกรม
และที่เป็นที่นั่งนั่นเที่ยว ไม่เห็นแล้วซึ่งที่เป็นที่นอน ถามแล้ว ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. น�้ำมัน) อันท่าน ท. ผู้นั่งแล้ว หยอดแล้วหรือ,
(หรือว่า อ. น�้ำมัน อันท่าน ท.) ผู้นอนแล้ว (หยอดแล้ว) ดังนี้ ฯ
อ. พระเถระ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ
(อ.หมอ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท.
อย่าได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ : ชื่อ อ. สมณธรรม, ครั้นเมื่อสรีระ
เป็นไปอยู่, (อันท่าน ท.) อาจ เพื่ออันกระท�ำ ; อ. ท่าน ท.
ขอจงนอนหยอด ดังนี้ อ้อนวอนแล้ว บ่อย ๆ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน จงไป,
อ. เรา ปรึกษาแล้ว จักรู้ ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
10
เถรสฺส จ ตตฺถ เนว ญาตี น สาโลหิตา อตฺถิ,
เกน สทฺธึ มนฺเตยฺย? กรชกาเยน ปน สทฺธึ มนฺเตนฺโต
“ วเทหิ ตาว อาวุโส ปาลิต, กึ อกฺขี โอโลเกสฺสสิ
อุทาหุ พุทฺธสาสนํ? อนมตคฺคสฺมึ หิ สํสารวฏฺเฏ
ตว อกฺขิกาณสฺส คณนา นตฺถิ, อเนกานิ ปน
พุทฺธสตานิ พุทฺธสหสฺสานิ อตีตานิ; เตสุ
เอกพุทฺโธปิ น ปริจฺฉินฺโน, อิทานิ อิมํ อนฺโตวสฺสํ
ตโย มาเส น นิปชฺชิสฺสามีติ เต มานสํ พทฺธํ;
ตสฺมา จกฺขูนิ เต นสฺสนฺตุ วา ภิชฺชนฺตุ วา;
พุทฺธสาสนเมว ธาเรหิ , มา จกฺขูนีติ ภูตกายํ
โอวทนฺโต อิมา คาถา อภาสิ
“จกฺขูนิ หายนฺตุ มมายิตานิ,
โสตานิ หายนฺตุ, ตเถว เทโห,
สพฺพมฺปิทํ หายตุ เทหนิสฺสิตํ;
กึการณา ปาลิต ตฺวํ ปมชฺชสิ.
จกฺขูนิ ชีรนฺตุ มมายิตานิ,
โสตานิ ชีรนฺตุ , ตเถว กาโย,
สพฺพมฺปิทํ ชีรตุ กายนิสฺสิตํ;
กึการณา ปาลิต ตฺวํ ปมชฺชสิ.
จกฺขูนิ ชีรนฺตุ มมายิตานิ,
โสตานิ ชีรนฺตุ , ตเถว กาโย,
สพฺพมฺปิทํ ชีรตุ กายนิสฺสิตํ;
กึการณา ปาลิต ตฺวํ ปมชฺชสีติ.
(อ.อันถาม)ว่าก็อ.ญาติท.ของพระเถระ(ย่อมไม่มีนั่นเทียว)
ในบ้านนั้น (อ. ชน ท.) ผู้เป็นไปกับด้วยเลือด (ของพระเถระ) ย่อมไม่มี
(ในบ้านนั้น) (อ. พระเถระ) พึงปรึกษา กับ ด้วยใคร ? (ดังนี้) ฯ
(อ.อันแก้) ว่า (อ.พระเถระ พึงปรึกษา กับ ด้วยกรัชกาย ดังนี้) ฯ
ก็ (อ. พระเถระ) เมื่อปรึกษา กับ ด้วยกรัชกาย กล่าวสอนอยู่
ซึ่งกายอันมีแล้ว ว่า แน่ะ ปาลิต ผู้มีอายุ อ. ท่าน จงกล่าว ก่อน ,
อ. ท่าน จักแลดู ซึ่งนัยน์ตา ท. หรือ หรือว่า (อ. ท่าน จักแลดู)
ซึ่งค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ? จริงอยู่ อ. อันนับ ซึ่งอันบอดแห่งนัยน์ตา
แห่งท่าน ย่อมไม่มี ในสังสารวัฏฏ์ อันมีที่สุดและเบื้องต้น
อันบุคคลผู้ไปตามอยู่ ไม่รู้แล้ว, ก็ อ. ร้อยแห่งพระพุทธเจ้า ท.
อ. พันแห่งพระพุทธเจ้า ท. มิใช่หนึ่ง ล่วงไปแล้ว ; ในพระพุทธเจ้า ท.
เหล่านั้นหนา แม้ อ. พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง (อันท่าน)
ไม่ก�ำหนดแล้ว, ในกาลนี้ อ. ใจ อันท่าน ผูกแล้ว ว่า อ. เรา
จักไม่นอน สิ้นเดือน ท. สาม ตลอดภายในแห่งกาลฝนนี้ ดังนี้ ;
เพราะเหตุนั้น อ. นัยน์ตา ท. ของท่าน จงฉิบหายหรือ หรือว่า
จงแตก ; อ. ท่าน จงทรงไว้ ซึ่งค�ำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเทียว ,
(อ. ท่าน จงอย่าทรงไว้) ซึ่งนัยน์ตา ท. ดังนี้ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา
ท. เหล่านี้ว่า
อ. นัยน์ตา ท. อันโลกนับถือแล้วว่าเป็นของแห่งเรา จงเสื่อม,
อ. หู ท. จงเสื่อม, อ. กาย (จงเสื่อม) อย่างนั้นนั่นเทียว,
อ. อวัยวะ นี้ แม้ทั้งปวง อันอาศัยแล้วซึ่งกาย จงเสื่อม,
แน่ะปาลิต อ. ท่าน ประมาทอยู่ เพราะเหตุไร ฯ
อ. นัยน์ตา ท. อันโลกนับถือแล้วว่าเป็นของแห่งเรา จงคร�ำ่คร่า,
อ. หู ท. จงคร�ำ่คร่า, อ.กาย (จงคร�ำ่คร่า) อย่างนั้นนั่นเทียว,
อ. อวัยวะนี้ แม้ทั้งปวง อันอาศัยแล้วซึ่งกาย จงคร�ำ่คร่า,
แน่ะปาลิต อ.ท่าน ประมาทอยู่ เพราะเหตุไร ฯ
อ. นัยน์ตา ท. อันโลกนับถือแล้วว่าเป็นของแห่งเรา จงแตก,
อ. หู ท. จงแตก, อ. รูป (จงแตก) อย่างนั้นนั่นเทียว,
อ. อวัยวะนี้ แม้ทั้งปวง อันอาศัยแล้วซึ่งรูป จงแตก,
แน่ะปาลิต อ. ท่าน ประมาทอยู่ เพราะเหตุไร ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 11
เอวํ ตีหิ คาถาหิ อตฺตโน โอวาทํ ทตฺวา
นิสินฺนโกว นตฺถุกมฺมํ กตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ.
เวชฺโช ทิสฺวา “กึ ภนฺเต นตฺถุกมฺมํ กตนฺติ ปุจฺฉิ.
“อาม อุปาสกาติ.
“กีทิสํ ภนฺเตติ.
รุชเตว อุปาสกาติ.
“นิสีทิตฺวา โว ภนฺเต กตํ, นิปชฺชิตฺวาติ.
เถโร ตุณฺหี อโหสิ; ปุนปฺปุนํ ปุจฺฉิโตปิ, น กิญฺจิ
กเถสิ.
อถ นํ เวชฺโช “ภนฺเต ตุมฺเห สปฺปายํ น กโรถ,
อชฺช ปฏฺ€าย “อสุเกน เม เตลํ ปกฺกนฺติ
มา วทิตฺถ, อหํปิ “มยา โว เตลํ ปกฺกนฺติน วกฺขามีติ
อาห.
โสเวชฺเชนปจฺจกฺขาโต,วิหารํคนฺตฺวา “เวชฺเชนาปิ
ปจฺจกฺขาโตสิ , อิริยาปถํ มา วิสฺสชฺชิ สมณาติ,
“ปฏิกฺขิตฺโต ติกิจฺฉาย เวชฺเชนาสิ วิวชฺชิโต
นิยโต มจฺจุราชสฺส, กึ ปาลิต ปมชฺชสีติ
อิมาย คาถาย อตฺตานํ โอวทิตฺวา สมณธมฺมํ อกาสิ.
อถสฺส มชฺฌิมยาเม อติกฺกนฺตมตฺเต,
อปุพฺพํ อจริมํ อกฺขีนิ เจว กิเลสา จ ปภิชฺชึสุ .
โส สุกฺขวิปสฺสโก อรหา หุตฺวา คพฺภํ ปวิสิตฺวา นิสีทิ.
ภิกฺขู ภิกฺขาจารเวลาย คนฺตฺวา “ภิกฺขาจารกาโล
ภนฺเตติ อาหํสุ.
“กาโล อาวุโสติ.
“อาม ภนฺเตติ. “เตนหิ
คจฺฉถาติ.
“ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ.
“อกฺขีนิ เม อาวุโส ปริหีนานีติ.
เต ตสฺส อกฺขีนิ โอโลเกตฺวา อสฺสุปุณฺณเนตฺตา
หุตฺวา “ภนฺเต มา จินฺตยิตฺถ,
(อ. พระเถระ) ครั้นให้แล้ว ซึ่งโอวาท แก่ตน ด้วยคาถา ท. สาม
อย่างนี้ผู้นั่งแล้วเทียว กระท�ำแล้วซึ่งกรรมคืออันนัตถุ์ ได้เข้าไปแล้ว
สู่บ้าน เพื่อบิณฑะ ฯ
อ. หมอ เห็นแล้ว ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กรรมคือ
การนัตถุ์ (อันท่าน) กระท�ำแล้วหรือ ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก เออ (อ.กรรม
คือการนัตถุ์ อันเรา กระท�ำแล้ว ดังนี้ ฯ (อ.หมอนั้น ถามแล้ว) ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.คู่แห่งนัยน์ตา) เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
(อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก (อ.คู่แห่งนัยน์ตา)
ปวดอยู่นั่นเทียว ดังนี้ฯ
(อ.หมอ ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.กรรมคือการนัตถุ์)
อันท่าน ท. นั่งแล้ว ท�ำแล้วหรือ, (หรือว่า อ. กรรมคือการนัตถุ์
อันท่าน ท.) นอนแล้ว (ท�ำแล้ว) ดังนี้ ฯ
อ.พระเถระ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว แม้ผู้อันหมอนั้นถามแล้ว
บ่อย ๆ ไม่กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำอะไร ๆ ฯ
ครั้งนั้น อ.หมอ กล่าวแล้ว กะพระเถระนั้น ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ.ท่าน ย่อมไม่กระท�ำ ซึ่งความสบาย อ.ท่าน อย่ากล่าวแล้ว ว่า
อ.น�้ำมัน อันหมอโน้น หุงแล้ว แก่เรา ดังนี้แม้ อ.กระผม จักไม่กล่าว
ว่า อ.น�้ำมัน อันกระผมหุงแล้ว แก่ท่าน ดังนี้จ�ำเดิมแต่วันนี้ดังนี้ฯ
อ. พระเถระนั้น ผู้อันหมอบอกคืนแล้ว ไปแล้ว สู่วิหาร (คิดแล้ว)
ว่า อ.ท่าน เป็นผู้แม้อันหมอบอกคืนแล้ว ย่อมเป็น, ดูก่อนสมณะ
อ.ท่าน อย่าสละแล้ว ซึ่งอิริยาบถ ดังนี้ สอนแล้ว ซึ่งตน ด้วยคาถา
นี้ว่า
(อ. ท่าน) เป็นผู้อันอันหมอ ปฏิเสธแล้ว เป็นผู้อันหมอ
เว้นแล้วจากอันเยียวยา (การรักษา) ย่อมเป็น (อ. ท่าน)
เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อมัจจุผู้พระราชา (ย่อมเป็น) ดูก่อนปาลิตะ
อ. ท่าน ย่อมประมาท เพราะเหตุไร ดังนี้
ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งสมณธรรม ฯ
ครั้งนั้น ครั้นเมื่อยามอันมีในท่ามกลาง เป็นกาลสักว่าก้าวล่วงแล้ว
(มีอยู่), อ.นัยน์ตาท. ด้วยนั่นเทียว อ.กิเลสท. ด้วย ของพระเถระนั้น
แตกทั่วแล้ว ไม่ก่อน ไม่หลัง ฯ อ. พระเถระนั้น เป็นพระอรหันต์
ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง เป็น เข้าไปแล้ว สู่ห้อง นั่งแล้ว ฯ
อ.ภิกษุ ท. ไปแล้ว ในเวลาเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา กล่าวแล้ว
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.กาลนี้) เป็นกาลเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา
(ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ ถามแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุท.
(อ.กาลนี้)เป็นกาล (ย่อมเป็นหรือ)ดังนี้ฯ (อ.ภิกษุ ท.กล่าวแล้ว)
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอรับ (อ.กาลนี้เป็นกาล ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
(อ.พระเถระกล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ.ท่าน ท. จงไปเถิด ดังนี้ฯ
(อ.ภิกษุ ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ดังนี้ฯ
(อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.นัยน์ตา ท.
ของกระผม เสื่อมรอบแล้ว ดังนี้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น แลดูแล้ว ซึ่งนัยน์ตา ท. ของพระเถระนั้น
เป็นผู้มีดวงตาอันเต็มแล้วด้วยน�้ำตา เป็น ยังพระเถระ ให้หายใจ
ออกแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. อย่าคิดแล้ว,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
12
มยํ โว ปฏิชคฺคิสฺสามาติ เถรํ อสฺสาเสตฺวา
กตฺตพฺพยุตฺตกํ วตฺตปฏิวตฺตํ กตฺวา คามํ ปวิสึสุ.
มนุสฺสา เถรํ อทิสฺวา “ภนฺเต อมฺหากํ อยฺโย
กุหินฺติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา ยาคุํ เปเสตฺวา
สยํ ปิณฺฑปาตํ อาทาย คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา
ปาทมูเล ปวฏฺฏมานา โรทิตฺวา “ มยํ ภนฺเต
ปฏิชคฺคิสฺสาม, ตุมฺเห มา จินฺตยิตฺถาติ สมสฺสาเสตฺวา
ปกฺกมึสุ.
ตโต ปฏฺ€าย นิพทฺธํ ยาคุภตฺตํ วิหารเมว
เปเสนฺติ.
เถโรปิ อิตเร สฏฺ€ิภิกฺขู นิรนฺตรํ โอวทติ.
เต ตสฺโสวาเท €ตฺวา อุปกฺกฏฺ€าย ปวารณาย,
สพฺเพว สห ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณึสุ,
วุตฺถวสฺสา จ ปน สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามา หุตฺวา เถรํ
อาหํสุ “ภนฺเต สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามมฺหาติ.
เถโร เตสํ วจนํ สุตฺวา จินฺเตสิ “อหํ ทุพฺพโล,
อนฺตรามคฺเค จ อมนุสฺสปริคฺคหิตา อฏวี อตฺถิ,
มยิ เอเตหิ สทฺธึ คจฺฉนฺเต , สพฺเพ กิลมิสฺสนฺติ ,
ภิกฺขํปิ ลภิตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ, อิเม ปุเรตรเมว
เปเสสฺสามีติ.
อถ เน อาห “ อาวุโส ตุมฺเห ปุรโต คจฺฉถาติ.
“ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ.
“อหํ ทุพฺพโล, อนฺตรามคฺเค จ อมนุสฺสปริคฺคหิตา
อฏวี อตฺถิ , มยิ ตุมฺเหหิ สทฺธึ คจฺฉนฺเต , สพฺเพ
กิลมิสฺสถ, ตุมฺเห ปุรโต คจฺฉถาติ.
“มา ภนฺเต เอวํ กริตฺถ, มยํ ตุมฺเหหิ สทฺธึเยว
คมิสฺสามาติ.
“มา โว อาวุโส เอวํ รุจฺจิตฺถ, เอวํ สนฺเต มยฺหํ
อผาสุกํ ภวิสฺสติ , มยฺหํ กนิฏฺโ€ ตุมฺเห ทิสฺวา
ปุจฺฉิสฺสติ, อถสฺส มม จกฺขูนํ ปริหีนภาวํ
อาโรเจยฺยาถ; โส มยฺหํ สนฺติกํ กญฺจิเทว ปหิณิสฺสติ;
เตน สทฺธึ อาคจฺฉิสฺสามิ; ตุมฺเห มม วจเนน
ทสพลญฺจ อสีติมหาเถเร จ วนฺทถาติ เต อุยฺโยเชสิ.
อ. เรา ท. จักปฏิบัติ ซึ่งท่าน ท. ดังนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งวัตรและ
วัตรตอบ อันควรแล้วแก่วัตรอันตนพึงกระท�ำ เข้าไปแล้ว สู่บ้าน ฯ
อ.มนุษย์ ท. ไม่เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ อ.พระผู้เป็นเจ้า ของเรา ท. (ไปแล้ว) ในที่ไหน ดังนี้ฟังแล้ว
ซึ่งความเป็นไปทั่วนั้น ส่งไปแล้ว ซึ่งข้าวยาคู ถือเอา ซึ่งบิณฑบาต
เอง ไปแล้ว ไหว้แล้ว ซึ่งพระเถระ ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่แล้ว
ณ ที่ใกล้แห่งเท้า (ยังพระเถระ) ให้หายใจออกคล่องดีแล้ว
(ด้วยค�ำ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. เรา ท. จักปฏิบัติ, อ. ท่าน ท.
อย่าคิดแล้ว ดังนี้หลีกไปแล้ว ฯ
(อ. มนุษย์ ท.) ย่อมส่งไป ซึ่งข้าวต้มและข้าวสวย สู่วิหาร
นั่นเทียว เนืองนิตย์ จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ
แม้ อ. พระเถระ ย่อมกล่าวสอน ซึ่งภิกษุหกสิบ ท. นอกนี้
สิ้นกาลมีระหว่างออกแล้ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ตั้งอยู่แล้ว ในโอวาท ของพระเถระนั้น
ครั้นเมื่อปวารณา เข้าไปตั้งใกล้แล้ว, ทั้งปวงเทียว บรรลุแล้ว
ซึ่งพระอรหัต กับ ด้วยปฏิสัมภิทา ท., ก็แล (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น)
ผู้มีกาลฝนอันอยู่แล้ว เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ
้ า ซึ่งพระศาสดา เป็น
กล่าวแล้ว กะพระเถระ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม ท.
เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ
้ า ซึ่งพระศาสดา ย่อมเป็น ดังนี้ ฯ
อ. พระเถระ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำ ของภิกษุ ท. เหล่านั้น คิดแล้ว ว่า
อ. เรา เป็นผู้มีก�ำลังอันโทษประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็น), อนึ่ง อ. ดง
อันอมนุษย์ถือเอารอบแล้ว มีอยู่ ในระหว่างแห่งทาง, ครั้นเมื่อเรา
ไปอยู่ กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั่น , อ. ภิกษุ ท. ทั้งปวง จักล�ำบาก,
( อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้) จักไม่อาจ เพื่ออันได้ แม้ซึ่งภิกษา, อ. เรา
จักส่งไป ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านี้ก่อนกว่านั่นเทียว ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น ( อ. พระเถระ) กล่าวแล้ว กะภิกษุ ท.เหล่านั้น ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ท่าน ท. จงไป ข้างหน้า ดังนี้ ฯ
(อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท.
เล่า? ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นผู้มีก�ำลังอันโทษ
ประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็น), อนึ่ง อ. ดง อันอมนุษย์ถือเอารอบแล้ว
มีอยู่ ในระหว่างแห่งหนทาง, ครั้นเมื่อเรา ไปอยู่ กับ ด้วยท่าน ท.
อ. ท่าน ท. ทั้งปวง จักล�ำบาก, อ. ท่าน ท. จงไป ข้างหน้า ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท.
อย่ากระท�ำแล้ว อย่างนี้, อ. กระผม ท. จักไป กับ ด้วยท่าน ท.
นั่นเทียว ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ) ส่งไปแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น (ด้วยค�ำ) ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ท่าน ท. อย่าชอบใจแล้ว อย่างนี้,
ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น มีอยู่ อ. ความไม่ส�ำราญ จักมี แก่เรา,
อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของเรา เห็นแล้ว ซึ่งท่าน ท. จักถาม,
ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น(มีอยู่)อ.ท่านท.พึงบอกซึ่งความที่แห่งจักษุ
ท. ของเราเป็นธรรมชาติเสื่อมรอบแล้ว แก่น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น ;
อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น จักส่งไป ซึ่งใคร ๆ สู่ส�ำนัก ของเรานั่นเทียว ;
(อ. เรา) จักมา กับ ด้วยบุคคลนั้น ; อ. ท่าน ท. จงไหว้ ซึ่งพระทศพล
ด้วย ซึ่งพระมหาเถระแปดสิบ ท. ด้วย ตามค�ำ ของเรา ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 13
เต เถรํ ขมาเปตฺวา อนฺโตคามํ ปวิสึสุ.
มนุสฺสา เต นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ ทตฺวา “ กึ ภนฺเต
อยฺยานํ คมนากาโร ปญฺญายตีติ.
“อาม อุปาสกา, สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามมฺหาติ.
เต ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวา เตสํ คมนฉนฺทเมว ญตฺวา
อนุคนฺตฺวา ปริเทวิตฺวา นิวตฺตึสุ.
เตปิ อนุปุพฺเพน เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารญฺจ
มหาเถเร จ เถรสฺส วจเนน วนฺทิตฺวา ปุนทิวเส,
ยตฺถ เถรสฺส กนิฏฺโ€ วสติ; ตํ วีถึ ปิณฺฑาย ปวิสึสุ.
กุฏุมฺพิโก เต สญฺชานิตฺวา นิสีทาเปตฺวา
กตปฏิสนฺถาโร, “ภาติกตฺเถโร เม กุหินฺติ ปุจฺฉิ.
อถสฺส เต ตํ ปวตฺตึ อาโรเจสุํ.
โส เตสํ ปาทมูเล ปวฏฺเฏนฺโต โรทิตฺวา ปุจฺฉิ
“อิทานิ ภนฺเต กึ กาตพฺพนฺติ.
“เถโร อิโต กสฺสจิ คมนํ ปจฺจาสึสติ, คตกาเล
เตน สทฺธึ อาคมิสฺสตีติ.
“อยํ เม ภนฺเต ภาคิเนยฺโย ปาลิโต นาม,
เอตํ เปเสถาติ. “เอวํ เปเสตุํ น สกฺกา, มคฺเค
ปริปนฺโถ อตฺถิ, ปพฺพาเชตฺวา เปเสตุํ วฏฺฏตีติ.
“ เอวํ กตฺวา เปเสถ ภนฺเตติ.
อถ นํ ปพฺพาเชตฺวา อฑฺฒมาสมตฺตํ
จีวรคฺคหณาทีนิ สิกฺขาเปตฺวา มคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา
ปหิณึสุ. โส อนุปุพฺเพน ตํ คามํ ปตฺวา คามทฺวาเร
เอกํ มหลฺลกํ ทิสฺวา “อิมํ คามํ นิสฺสาย โกจิ
อารญฺญโก วิหาโร อตฺถีติ ปุจฺฉิ.
“อตฺถิ ภนฺเตติ.
“โก ตตฺถ วสตีติ.
“ปาลิตตฺเถโร นาม ภนฺเตติ.
“มคฺคํ เม อาจิกฺขถาติ.
“โกสิ ตฺวํ ภนฺเตติ.
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ยังพระเถระ ให้อดโทษแล้ว เข้าไปแล้ว
สู่ภายในแห่งบ้าน ฯ อ. มนุษย์ ท. ยังภิกษุ ท. เหล่านั้นให้นั่งแล้ว
ถวายแล้ว ซึ่งภิกษา (ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อาการคือ-
อันไป แห่งพระผู้เป็นเจ้า ท. ย่อมปรากฏหรือ ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสกและ
อุบาสิกา ท. เออ (อ. อย่างนั้น) , อ. เรา ท. เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ
้ า
ซึ่งพระศาสดาย่อมเป็นดังนี้ ฯ อ.มนุษย์ ท.เหล่านั้นอ้อนวอนแล้ว
บ่อย ๆ รู้แล้ว ซึ่งความพอใจในการไป แห่งภิกษุ ท. เหล่านั้นนั่นเทียว
ตามไปแล้ว คร�่ำครวญแล้ว กลับแล้ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. แม้เหล่านั้น ถึงแล้ว ซึ่งพระเชตวัน โดยล�ำดับ
ไหว้แล้ว ซึ่งพระศาสดาด้วย ซึ่งพระมหาเถระ ท. ด้วย ตามค�ำ
ของพระเถระ ในวันรุ่งขึ้น, อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของพระเถระ
ย่อมอยู่ ในถนนใด ; เข้าไปแล้ว สู่ถนนนั้น เพื่อบิณฑะ ฯ
อ. กุฎุมพี รู้พร้อมแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น (ยังภิกษุ ท. เหล่านั้น)
ให้นั่งแล้ว ผู้มีปฏิสันถารอันกระท�ำแล้ว , ถามแล้ว ว่า
อ.พระเถระผู้เป็นพี่ชาย ของกระผม (ย่อมอยู่) ในที่ไหน ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ.ภิกษุ ท. เหล่านั้น บอกแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่ว นั้น
แก่กุฎุมพีนั้น ฯ
อ. กุฎุมพีนั้น ร้องไห้กลิ้งเลือกอยู่แล้ว ณ ที่ใกล้แห่งเท้า
ของภิกษุ ท. เหล่านั้น ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในกาลนี้
อ. กรรมอะไร (อันกระผม) พึงกระท�ำ ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท.
เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. พระเถระ ย่อมหวังเฉพาะ ซึ่งการไป
แห่งใครๆจากที่นี้, (อ.พระเถระนั้น) จักมา กับด้วยบุคคล นั้น
ในกาลแห่งบุคคลนั้นไปแล้ว ดังนี้ ฯ
(อ. กุฎุมพี กล่าวแล้ว ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. เด็ก) นี้
เป็นผู้ชื่อว่าปาลิต ผู้เป็นหลาน ของกระผม (ย่อมเป็น), อ. ท่าน ท.
จงส่งไป ซึ่งหลานนั่น ดังนี้ ฯ (อ.ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว ว่า
อันเรา ท.) ไม่อาจ เพื่ออันส่งไป อย่างนี้, อ.อันตรายเป็นเครื่อง
เบียดเบียนรอบ ในหนทาง มีอยู่, อ. อัน (อันเรา ท. ยังเด็ก นั้น)
ให้บวชแล้ว ส่งไปย่อมควร ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.ท่านท.กระท�ำแล้วอย่างนี้จงส่งไปเถิดดังนี้ฯ
ครั้งนั้น (อ . ภิกษุ ท.) ยังเด็กนั้น ให้บวชแล้ว (ยังสามเณร)
ให้ศึกษาแล้ว (ซึ่งกิจ ท.) มีการรับซึ่งจีวรเป็นต้น (สิ้นกาล)
สักว่าเดือนด้วยทั้งกึ่ง บอกแล้ว ซึ่งหนทาง ส่งไปแล้ว ฯ
อ. สามเณรนั้น ถึงแล้ว ซึ่งบ้านนั้น โดยล�ำดับ เห็นแล้ว ซึ่งคนแก่
คนหนึ่ง ใกล้ประตูแห่งบ้าน ถามแล้ว ว่า อ. วิหาร อันตั้งอยู่ในป่า
บางแห่ง อาศัย ซึ่งบ้าน นี้มีอยู่หรือ ดังนี้ ฯ
(อ.คนแก่กล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.วิหาร)มีอยู่ดังนี้ฯ
(อ. สามเณร ถามแล้ว) ว่า อ. ใคร ย่อมอยู่ ในวิหารนั้น ดังนี้ฯ
(อ. คนแก่ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อ อ. พระเถระ
ชื่อว่าปาลิต (ย่อมอยู่ ในวิหารนั้น) ดังนี้ฯ
(อ. สามเณร กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท่าน ท. ขอจงบอก ซึ่งหนทาง
แก่เรา ดังนี้ฯ
(อ. คนแก่ ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน เป็นใคร
ย่อมเป็นดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
14
“เถรสฺส ภาคิเนยฺโยมฺหีติ.
อถ นํ คเหตฺวา วิหารํ เนสิ. โส เถรํ วนฺทิตฺวา
อฑฺฒมาสมตฺตํ วตฺตปฏิวตฺตํ กตฺวา เถรํ สมฺมา
ปฏิชคฺคิตฺวา “ ภนฺเต มาตุลกุฏุมฺพิโก เม ตุมฺหากํ
อาคมนํ ปจฺจาสึสติ; เอถ, คจฺฉามาติ อาห.
“เตนหิ เม ยฏฺ€ิโกฏึ คณฺหาหีติ.
โส ยฏฺ€ิโกฏึ คเหตฺวา เถเรน สทฺธึ อนฺโตคามํ
ปาวิสิ. มนุสฺสา เถรํ นิสีทาเปตฺวา “ กึ ภนฺเต
คมนากาโร โว ปญฺญายตีติ ปุจฺฉึสุ.
“อาม อุปาสกา, คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิสฺสามีติ.
เต นานปฺปกาเรน ยาจิตฺวา อลภนฺตา เถรํ
อุยฺโยเชนฺตา อุปฑฺฒปถํ คนฺตฺวา โรทิตฺวา นิวตฺตึสุ.
สามเณโร เถรํ ยฏฺ€ิโกฏิยา อาทาย คจฺฉนฺโต
อนฺตรามคฺเค อฏวิยํ สงฺกฏฺ€นครํ นาม เถเรน
อุปนิสฺสาย วุตฺถปุพฺพคามํ สมฺปาปุณิ.
โส ตโต นิกฺขมิตฺวา อรญฺญ คายิตฺวา ทารูนิ
อุทฺธรนฺติยา เอกิสฺสา อิตฺถิยา คีตสทฺทํ สุตฺวา สเร
นิมิตฺตํ คณฺหิ.
อิตฺถีสทฺโท วิย หิ อญฺโญ สทฺโท ปุริสานํ
สกลสรีรํ ผริตฺวา €าตุํ สมตฺโถ นาม นตฺถิ.
เตนาห ภควา “นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกสทฺทมฺปิ
สมนุปสฺสามิ, โย เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย
ติฏฺ€ติ; ยถยิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีสทฺโทติ.
สามเณโร ตตฺถ นิมิตฺตํ คเหตฺวา ยฏฺ€ิโกฏึ
วิสฺสชฺเชตฺวา “ติฏฺ€ถ ตาว ภนฺเต, กิจฺจํ เม
อตฺถีติ ตสฺสา สนฺติกํ คโต.
สา ตํ ทิสฺวา ตุณฺหี อโหสิ.
โส ตาย สทฺธึ สีลวิปตฺตึ ปาปุณิ.
(อ. สามเณรนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นหลาน ของพระเถระ
ย่อมเป็น ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น (อ. คนแก่นั้น) พาเอา ซึ่งสามเณรนั้น น�ำไปแล้ว
สู่วิหาร ฯ อ. สามเณรนั้น ไหว้แล้ว ซึ่งพระเถระ กระท�ำแล้ว
ซึ่งวัตรและวัตรตอบ สิ้นกาลสักว่าเดือนทั้งด้วยกึ่ง ปฏิบัติแล้ว
ซึ่งพระเถระ โดยชอบ กล่าวแล้วว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กุฎุมพี
ผู้เป็นลุง ของกระผม ย่อมหวังเฉพาะ ซึ่งการมา แห่งท่าน ท. ;
อ. ท่าน ท. จงมา, อ. เรา ท. จะไป ดังนี้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน จงถือเอา
ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ของเรา ดังนี้ฯ
อ. สามเณรนั้น ถือเอาแล้ว ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ได้เข้าไปแล้ว
สู่ภายในแห่งบ้าน กับ ด้วยพระเถระ ฯ อ. มนุษย์ ท. ยังพระเถระ
ให้นั่งแล้ว ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.อาการคือการไป
แห่งท่าน ท. ย่อมปรากฏหรือ ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท.
เออ (อ. อย่างนั้น), อ, เรา ไปแล้ว จักถวายบังคม ซึ่งพระศาสดา
ดังนี้ฯ
อ. มนุษย์ ท. เหล่านั้น อ้อนวอนแล้ว โดยประการต่าง ๆ
เมื่อไม่ได้ ส่งไปอยู่ ซึ่งพระเถระ ไปแล้ว สิ้นหนทางเข้าไปด้วยทั้งกึ่ง
ร้องไห้แล้ว กลับแล้ว ฯ
อ. สามเณรพาเอาซึ่งพระเถระ ด้วยปลายแห่งไม้เท้า ไปอยู่ ถึง
พร้อมแล้ว ซึ่งบ้านอันอันพระเถระเคยเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว ชื่อว่า
สังกัฏฐนคร ใกล้ดง ในระหว่างแห่งหนทาง ฯ
อ. สามเณรนั้น ฟังแล้วซึ่งเสียงแห่งเพลงขับ ของหญิง คนหนึ่ง
ผู้ออกแล้วจากบ้านนั้น ขับแล้ว เก็บอยู่ ซึ่งฟืน ท. ในป่า ถือเอาแล้ว
ซึ่งนิมิต ในเสียง ฯ
จริงอยู่ อ. เสียงอื่น ชื่อว่าสามารถ เพื่ออันแผ่ไปแล้ว สู่สรีระ
ทั้งสิ้น ของบุรุษ ท. ตั้งอยู่ ราวกะ อ. เสียงแห่งหญิง ย่อมไม่มี ฯ
เพราะเหตุนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท.
อ. สัททชาตนี้คือ อ. เสียงแห่งหญิง ฉันใด, ดูก่อนภิกษุ ท., อ. เสียงใด
ครอบง�ำแล้วซึ่งจิตของบุรุษย่อมตั้งอยู่,อ.เราย่อมไม่พิจารณาเห็น
แม้ซึ่งเสียงอย่างหนึ่งอื่น (นั้น) ฉันนั้น ดังนี้ฯ
อ. สามเณร ถือเอาแล้ว ซึ่งนิมิต ในเสียงนั้น ปล่อยแล้ว
ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท.
จงหยุด ก่อน, อ. กิจ ของกระผม มีอยู่ ดังนี้ ไปแล้ว สู่ส�ำนัก
ของหญิงนั้น ฯ
อ. หญิงนั้น เห็นแล้ว ซึ่งสามเณรนั้น เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ
อ.สามเณรนั้นถึงแล้วซึ่งความวิบัติแห่งศีลกับด้วยหญิงนั้นฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 15
เถโร จินฺเตสิ “อิทาเนเวโก คีตสทฺโท สูยิตฺถ,
โส จ โข อิตฺถิยา , สามเณโรปิ จิรายติ , โส
สีลวิปตฺตึ ปตฺโต ภวิสฺสตีติ.
โสปิ อตฺตโน กิจฺจํ นิฏฺ€าเปตฺวา อาคนฺตฺวา
“คจฺฉาม ภนฺเตติ อาห.
อถ นํ เถโร ปุจฺฉิ “ปาโป ชาโตสิ สามเณราติ.
โส ตุณฺหี หุตฺวา ปุนปฺปุนํ ปุฏฺโ€ปิ น กิญฺจิ กเถสิ.
อถ นํ เถโร อาห “ ตาทิเสน ปาเปน มม
ยฏฺ€ิโกฏิคฺคหณกิจฺจํ นตฺถีติ.
โส สํเวคปฺปตฺโต กาสายานิ อปเนตฺวา
คิหินิยาเมน ปริทหิตฺวา “ภนฺเต อหํ ปุพฺเพ สามเณโร,
อิทานิ ปนมฺหิ คิหี ชาโต; ปพฺพชนฺโตปิจาหํ
น สทฺธาย ปพฺพชิโต, มคฺคปริปนฺถภเยน ปพฺพชิโต;
เอถ, คจฺฉามาติ อาห.
“อาวุโส คิหิปาโปปิ สมณปาโปปิ ปาโปเยว ;
ตฺวํ สมณภาเว €ตฺวาปิ สีลมตฺตํ ปูเรตุํ นาสกฺขิ;
คิหี หุตฺวา กินฺนาม กลฺยาณํ กริสฺสสิ; ตาทิเสน
ปาเปน มม ยฏฺ€ิโกฏิคฺคหณกิจฺจํ นตฺถีติ.
“ภนฺเต อมนุสฺสุปทฺทูโต มคฺโค, ตุมฺเห จ
อนฺธา, กถํ อิธ วสิสฺสถาติ.
อถ นํ เถโร “ อาวุโส ตฺวํ มา เอวํ
จินฺตยิ , อิเธว เม นิปชฺชิตฺวา มรนฺตสฺสาปิ อปราปรํ
ปวฏฺเฏนฺตสฺสาปิ , ตยา สทฺธึ คมนํ นาม นตฺถีติ
วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
“หนฺทาหํ หตจกฺขุสฺมิ กนฺตารทฺธานมาคโต,
สยมาโน น คจฺฉามิ; นตฺถิ พาเล สหายตา.
หนฺทาหํ หตจกฺขุสฺมิ กนฺตารทฺธานมาคโต
มริสฺสามิ, โน คมิสฺสามิ; นตฺถิ พาเล สหายตาติ.
อ. พระเถระ คิดแล้ว ว่า อ. เสียงแห่งเพลงขับ เสียงหนึ่ง (อันเรา)
ฟังแล้ว ในกาลนี้นั่นเทียว, ก็แล อ. เสียงแห่งเพลงขับนั้น (เป็นเสียง
แห่งเพลงขับ) ของหญิง (ย่อมเป็น), แม้ อ. สามเณร ประพฤติช้าอยู่,
อ. สามเณรนั้น เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความวิบัติแห่งศีล จักเป็น ดังนี้ฯ
อ. สามเณรแม้นั้น ยังกิจ ของตน ให้ส�ำเร็จแล้ว มาแล้ว
กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. เรา ท. จงไป ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. พระเถระ ถามแล้ว ซึ่งสามเณรนั้น ว่า ดูก่อนสามเณร
อ. เธอ เป็นคนลามก เป็นผู้เกิดแล้ว ย่อมเป็นหรือ ดังนี้ ฯ
อ.สามเณรนั้น เป็นผู้นิ่ง เป็น แม้ผู้อันพระเถระถามแล้ว บ่อย ๆ
ไม่กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำอะไร ๆ ฯ
ครั้งนั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้ว กะสามเณรนั้น ว่า
อ.กิจคือการถือเอาซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ด้วยบุคคลผู้ลามก
ผู้เช่นกับด้วยเธอ ย่อมไม่มี แก่เรา ดังนี้ ฯ
อ.สามเณรนั้น ผู้ถึงแล้วซึ่งความสลด น�ำไปปราศแล้ว
ซึ่งผ้าอันบุคคลย้อมแล้วด้วยน�้ำฝาด ท. นุ่งห่มแล้ว โดยท�ำนอง
แห่งคฤหัสถ์ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม เป็นสามเณร
(ได้เป็นแล้ว) ในกาลก่อน, แต่ว่า อ. กระผม เป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้เกิดแล้ว
ย่อมเป็น ในกาลนี้, เออก็ อ. กระผม เมื่อบวช เป็นผู้บวชแล้ว
ด้วยศรัทธา (ย่อมเป็น) หามิได้ , อ. กระผม เป็นผู้บวชแล้ว
เพราะความกลัวแต่อันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบในหนทาง
(ย่อมเป็น) ; อ. ท่าน ท. จงมา, อ. เรา ท. จะไป ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. คฤหัสถ์
ผู้ลามกก็ดี อ. สมณะผู้ลามกก็ดี เป็นผู้ลามกนั่นเทียว (ย่อมเป็น),
อ.เธอแม้ตั้งอยู่แล้วในความเป็นแห่งสมณะไม่ได้อาจแล้วเพื่ออัน
(ยังคุณ) สักว่าศีลให้เต็ม ; อ. เธอ เป็นคฤหัสถ์ เป็น จักกระท�ำ
ซึ่งกรรมอันงามชื่ออย่างไร;อ.กิจคือการถือเอาซึ่งปลายแห่งไม้เท้า
ด้วยบุคคลผู้ลามก ผู้เช่นกับด้วยเธอ ย่อมไม่มี แก่เรา ดังนี้ฯ
(อ. นายปาลิตนั้นกล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. หนทาง
เป็นหนทางอันอมนุษย์เข้าไปเบียดเบียนแล้ว (ย่อมเป็น) , อนึ่ง
อ. ท่าน ท. เป็นคนบอด (ย่อมเป็น) , อ. ท่าน ท. จักอยู่ ในที่นี้
อย่างไร ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้ว กะนายปาลิตนั้น ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. เธอ อย่าคิดแล้ว อย่างนี้, เมื่อเรา นอนตายอยู่
ในที่นี้นั่นเทียวก็ดี กลิ้งเกลือก ไป ๆ มา ๆ อยู่ (ในที่นี้นั่นเทียว) ก็ดี,
ชื่อ อ. การไป กับ ด้วยเธอ ย่อมไม่มี ดังนี้ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ท.
เหล่านี้ว่า
เอาเถิด อ. เรา เป็นผู้มีจักษุอันโรคขจัดแล้ว เป็นผู้มาแล้ว
สู่หนทางไกลคือกันดาร ย่อมเป็น, อ. เรา นอนอยู่ จะไม่ไป,
(เพราะว่า) อ. คุณเครื่องความเป็นแห่งสหาย ย่อมไม่มี
ในเพราะชนพาล ฯ เอาเถิด อ. เราเป็นผู้มีจักษุอันโรคขจัดแล้ว
เป็นผู้มาแล้ว สู่หนทางไกลคือกันดาร ย่อมเป็น, อ. เราจักตาย,
อ. เรา จักไม่ไป, (เพราะว่า) อ. คุณเครื่องความเป็นแห่งสหาย
ย่อมไม่มี ในเพราะชนพาล ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
16
ตํ สุตฺวา อิตโร สํเวคชาโต, “ภาริยํ วต เม
สาหสิกํ อนนุจฺฉวิกํ กมฺมํ กตนฺติ พาหา ปคฺคยฺห
กนฺทนฺโต วนสณฺฑํ ปกฺขนฺทิตฺวา ตถา ปกฺกนฺโตว
อโหสิ.
เถรสฺสาปิ สีลเตเชน สฏฺ€ิโยชนายามํ
ปณฺณาสโยชนวิตฺถตํ ปณฺณรสโยชนพหลํ ชยสุมน-
ปุปฺผวณฺณํ นิสีทนุฏฺ€หนกาเลสุ โอนมนุนฺนมนปกติกํ
สกฺกสฺส เทวราชสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ
ทสฺเสสิ.
สกฺโก “ โก นุ โข มํ €านา จาเวตุกาโมติ
โอโลเกนฺโต ทิพฺเพน จกฺขุนา เถรํ อทฺทส.
เตนาหุ โปราณา
“สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท ทิพฺพจกฺขุํ วิโสธยิ
`ปาปครหี อยํ ปาโล อาชีวํ ปริโสธยิ’,
สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท ทิพฺพจกฺขุํ วิโสธยิ
`ธมฺมครุโก อยํ ปาโล นิสินฺโน สาสเน รโตติ.
อถสฺส เอตทโหสิ “สจาหํ เอวรูปสฺส ปาปครหิโน
ธมฺมครุกสฺส อยฺยสฺส สนฺติกํ น คมิสฺสามิ, มุทฺธา
เม สตฺตธา ผเลยฺย; คมิสฺสามิสฺส สนฺติกนฺติ .
ตโต สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท เทวรชฺชสิรีธโร
ตํขเณน อาคนฺตฺวา, จกฺขุปาลํ อุปาคมิ.
อุปคนฺตฺวา จ ปน เถรสฺสาวิทูเร ปทสทฺทํ อกาสิ.
อถ นํ เถโร ปุจฺฉิ “โก เอโสติ.
“อหํ ภนฺเต อทฺธิโกติ.
“กุหึ ยาสิ อุปาสกาติ.
“สาวตฺถิยํ ภนฺเตติ.
“ยาหิ อาวุโสติ.
“อยฺโย ปน ภนฺเต กุหึ คมิสฺสตีติ.
อ. นายปาลิตนอกนี้ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ผู้มีความสลดเกิดแล้ว,
(คิดแล้ว) ว่า อ.กรรมอันหนักหนออันเป็นไปกับด้วยความผลุนผลัน
อันไม่สมควร อันเรา กระท�ำแล้ว ดังนี้ ประคองแล้ว ซึ่งแขน ท.
คร�่ำครวญอยู่แล่นไปแล้วสู่ชัฏแห่งป่าเป็นผู้หลีกไปแล้วอย่างนั้นเทียว
ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ของท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ
อันยาวโดยโยชน์ ๖๐ อันกว้างแล้วโดยโยชน์ ๕๐ อันหนาโดยโยชน์
๑๕ มีสีเพียงดังสีแห่งดอกชัยพฤกษ์ มีอันยุบลงและอันฟูขึ้นเป็นปกติ
ในกาลเป็นที่ประทับนั่งและเป็นที่เสด็จลุกขึ้น ท. แสดงแล้ว
ซึ่งอาการอันร้อน ด้วยเดชแห่งศีล แม้ของพระเถระ ฯ
อ. ท้าวสักกะ ทรงตรวจดูอยู่ ว่า อ. ใคร หนอ แล เป็นผู้ใคร่-
เพื่ออัน ยังเรา ให้เคลื่อน จากที่ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ได้ทรงเห็นแล้ว
ซึ่งพระเถระ ด้วยจักษุ อันเป็นทิพย์ ฯ
เพราะเหตุนั้น อ. อาจารย์ผู้มีในกาลก่อน ท. กล่าวแล้ว ว่า
อ.ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ทรงยังจักษุอันเป็นทิพย์
ให้หมดจดวิเศษแล้ว ว่า อ.พระเถระ ชื่อว่าปาละ นี้
ผู้ติเตียนซึ่งคนชั่วโดยปกติ ยังอาชีพ ให้หมดจดรอบแล้ว
(ดังนี้), อ. ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ทรงยังจักษุ-
อันเป็นทิพย์ ให้หมดจดวิเศษแล้ว ว่า อ. พระเถระชื่อว่าปาละ
นี้ ผู้หนักในธรรม ยินดีแล้ว ในศาสนา นั่งแล้ว ดังนี้ (ดังนี้) ฯ
ครั้งนั้น อ. ความคิดนั่น ว่า ถ้าว่า อ. เรา จักไม่ไป สู่ส�ำนัก
ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้หนักในธรรม ผู้ติเตียนซึ่งคนชั่วโดยปกติ
ผู้มีอย่างนี้เป็นรูปไซร้, อ. ศีรษะ ของเรา พึงแตก โดยส่วนเจ็ด;
อ. เรา จักไป สู่ส�ำนัก ของพระเถระชื่อว่าปาละนั้น ดังนี้ ได้มีแล้ว
แก่ท้าวสักกะนั้น ฯ
ในล�ำดับนั้น อ. ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ผู้ทรงไว้
ซึ่งสิริคือความเป็นแห่งพระราชาแห่งเทพ เสด็จมาแล้ว โดยขณะนั้น,
ได้เสด็จเข้าไปหาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่า จักขุบาล ฯ
ก็แล (อ. ท้าวสักกะ) ครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว ได้ทรงกระท�ำ
แล้ว ซึ่งเสียงแห่งพระบาท ในที่อันไม่ไกล แห่งพระเถระ ฯ
ครั้งนั้น อ. พระเถระ ถามแล้ว ซึ่งท้าวสักกะนั้น ว่า อ. ใครนั่น
ดังนี้ฯ
(อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม
เป็นผู้ไปสู่หนทางไกล (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
(อ. พระเถระ ถามแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก อ. ท่าน จะไป
ในที่ไหน ดังนี้ ฯ
(อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. กระผม
จะไป) ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ดังนี้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน
จงไป ดังนี้ ฯ
(อ. ท้าวสักกะ ตรัสถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็
อ.พระผู้เป็นเจ้า จักไป ในที่ไหน ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 17
“อหํปิ ตตฺเถว คมิสฺสามีติ.
“เตนหิ เอกโตว คจฺฉาม ภนฺเตติ.
“อหํ ทุพฺพโล, มยา สทฺธึ คจฺฉนฺตสฺส ตว
ปปญฺโจ ภวิสฺสตีติ.
“มยฺหํ อจฺจายิกํ นตฺถิ; อหํปิ อยฺเยน สทฺธึ
คจฺฉนฺโต ทสสุ ปุญฺญกิริยาวตฺถูสุ เอกํ ลภิสฺสามิ;
เอกโตว คจฺฉาม ภนฺเตติ.
เถโร “เอโส สปฺปุริโส ภวิสฺสตีติ จินฺเตตฺวา
“เตนหิ ยฏฺ€ิโกฏึ คณฺห อุปาสกาติ อาห.
สกฺโก ตถา กตฺวา ป€วึ สงฺขิปนฺโต สายณฺหสมเย
เชตวนํ สมฺปาเปสิ. เถโร สงฺขปณวาทิสทฺเท
สุตฺวา “กตฺเถโส สทฺโทติ ปุจฺฉิ.
“สาวตฺถิยํ ภนฺเตติ.
“มยํ คมนกาเล จิเรน คมิมฺหาติ.
“อหํ อุชุกมคฺคํ ชานามิ ภนฺเตติ.
ตสฺมึ ขเณ เถโร “ นายํ มนุสฺโส , เทวตา
ภวิสฺสตีติ สลฺลกฺเขสิ.
สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท เทวรชฺชสิรีธโร
สงฺขิปิตฺวาน ตํ มคฺคํ ขิปฺปํ สาวตฺถิมาคมิ.
โส เถรสฺเสวตฺถาย กนิฏฺ€กุฏุมฺพิเกน การิตํ
ปณฺณสาลํ เนตฺวา ผลเก นิสีทาเปตฺวา ปิยสหาย
วณฺเณน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา “สมฺม ปาลาติ
ปกฺโกสิ.
“กึ สมฺมาติ. “เถรสฺส อาคตภาวํ ชานาสีติ.
“น ชานามิ, กึ ปน เถโร อาคโตติ. “อาม สมฺม,
อิทานาหํ วิหารํ คนฺตฺวา เถรํ ตยา การิตปณฺณสาลายํ
นิสินฺนกํ ทิสฺวา อาคโตมฺหีติ วตฺวา ปกฺกามิ.
กุฏุมฺพิโกปิ วิหารํ คนฺตฺวา เถรํ ทิสฺวา ปาทมูเล
ปวฏฺเฏนฺโต โรทิตฺวา “ อิทํ ทิสฺวา อหํ ภนฺเต
ตุมฺหากํ ปพฺพชิตุํ นาทาสินฺติอาทีนิ วตฺวา เทฺว
ทาสทารเก ภุชิสฺเส กตฺวา เถรสฺส สนฺติเก
ปพฺพาเชตฺวา
(อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า แม้ อ. เราจักไป ในเมืองชื่อว่า
สาวัตถีนั้นนั่นเทียว ดังนี้ ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น อ. เรา ท. จงไป โดยความเป็น
อันเดียวกันเทียว ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา
เป็นผู้มีก�ำลังอันโทษประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็น), อ. ความเนิ่นช้า
จักมี แก่ท่าน ผู้ไปอยู่ กับ ด้วยเรา ดังนี้ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว)
ว่า อ. ความรีบร้อน แห่งกระผม ย่อมไม่มี; แม้ อ. กระผม ไปอยู่
กับ ด้วยพระผู้เป็นเจ้า จักได้ ในบุญกิริยาวัตถุ ท. สิบหนา
ซึ่งบุญกิริยาวัตถุอย่างหนึ่ง; ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. เรา ท. จงไป
โดยความเป็นอันเดียวกันเทียว ดังนี้ ฯ
อ. พระเถระ คิดแล้ว ว่า อ.บุรุษ นั่น เป็นสัตบุรุษ จักเป็น
ดังนี้ กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนอุบาสก ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน จงจับ
ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ดังนี้ ฯ อ.ท้าวสักกะ ทรงกระท�ำแล้ว
อย่างนั้น ทรงย่นอยู่ ซึ่งแผ่นดิน (ทรงยังพระเถระ) ให้ถึงพร้อมแล้ว
ซึ่งพระเชตวันในสมัยเป็นที่สิ้นไปแห่งวันฯ อ.พระเถระ ฟังแล้ว
ซึ่งเสียงแห่งดนตรีมีสังข์และบัณเฑาะว์เป็นต้น ท. ถามแล้ว ว่า
อ. เสียงนั่น เป็นเสียง ในที่ไหน (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
(อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. เสียงนี้
เป็นเสียง) ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ
กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา ท. ไปแล้ว โดยกาลนาน ในกาลเป็นที่ไป
ดังนี้ฯ (อ.ท้าวสักกะตรัสแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญอ.กระผม
ย่อมรู้ ซึ่งหนทางตรง ดังนี้ฯ ในขณะนั้น อ. พระเถระ ก�ำหนดแล้ว
ว่า อ. บุรุษนี้เป็นมนุษย์ (ย่อมเป็น) หามิได้, (อ.บุรุษนี้) เป็นเทวดา
จักเป็น ดังนี้ฯ
(เพราะเหตุนั้น อ. อาจารย์ผู้มีในกาลก่อน ท. กล่าวแล้ว) ว่า
อ. ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ผู้ทรงไว้ซึ่งสิริคือ-
ความเป็นแห่งพระราชาแห่งเทพ ทรงย่นแล้ว ซึ่งหนทางนั้น
เสด็จมาแล้ว สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี พลัน ดังนี้ ฯ
อ. ท้าวสักกะนั้น ทรงน�ำไปแล้ว สู่บรรณศาลา อันอันกุฎุมพี
ผู้น้อยที่สุด (ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว เพื่อประโยชน์ แก่พระเถระ
นั่นเทียว (ยังพระเถระ) ให้นั่งแล้ว บนแผ่นกระดาน เสด็จไปแล้ว
สู่ส�ำนักของกุฎุมพีนั้น ด้วยเพศแห่งสหายผู้เป็นที่รัก ทรงร้องเรียกแล้ว
ว่า แน่ะปาละ ผู้สหาย ดังนี้ ฯ
(อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย อ. อะไร ดังนี้ ฯ
(อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า อ. ท่าน ย่อมรู้ ซึ่งความที่แห่งพระเถระ
เป็นผู้มาแล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา
ย่อมไม่รู้, ก็ อ. พระเถระ มาแล้ว หรือ ดังนี้ฯ (อ. ท้าวสักกะ
ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนสหาย เออ (อ. อย่างนั้น), ในกาลนี้ อ. เรา
เป็นผู้ไปแล้ว สู่วิหาร เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้นั่งแล้ว ในบรรณศาลา
อันอันท่าน (ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว มาแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้
เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ
แม้ อ. กุฎุมพีไปแล้ว สู่วิหาร เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ร้องไห้
กลิ้งเกลือกอยู่แล้ว ณ ที่ใกล้แห่งเท้า กล่าวแล้ว ( ซึ่งค�ำ ท.) มีค�ำ
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม เห็นแล้ว ซึ่งเหตุนี้ ไม่ได้ให้แล้ว
เพื่ออันบวช แก่ท่าน ท. ดังนี้เป็นต้น กระท�ำแล้ว ซึ่งเด็กผู้เป็นทาส
ท. ๒ ให้เป็นไท ให้บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระเถระ (กล่าวแล้ว) ว่า
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
18
“อนฺโตคามโต ยาคุภตฺตาทีนิ อาหริตฺวา เถรํ
อุปฏฺ€หถาติ ปฏิปาเทสิ. สามเณรา วตฺตปฏิวตฺตํ
กตฺวา เถรํ อุปฏฺ€หึสุ.
อเถกทิวสํ ทิสาวาสิโน ภิกฺขู “สตฺถารํ
ปสฺสิสฺสามาติ เชตวนํ อาคนฺตฺวา สตฺถารํ
วนฺทิตฺวา อสีติมหาเถเร ทิสฺวา วิหารจาริกํ จรนฺตา
จกฺขุปาลตฺเถรสฺส วสนฏฺ€านํ ปตฺวา “อิทํปิ
ปสฺสิสฺสามาติ สายํ ตทภิมุขา อเหสุํ.
ตสฺมึ ขเณ มหาเมโฆ อุฏฺ€หิ. เต “อิทานิ
สายญฺจ, เมโฆ จ อุฏฺ€ิโต, ปาโตว อาคนฺตฺวา
ปสฺสิสฺสามาติ นิวตฺตึสุ.
เทโว ป€มยาเม วสฺสิตฺวา มชฺฌิมยาเม วิคโต.
เถโร อารทฺธวิริโย อาจิณฺณจงฺกมโน; ตสฺมา
ปจฺฉิมยาเม จงฺกมนํ โอตริ.
ตทา ปน นววุฏฺ€าย ภูมิยา พหู อินฺทโคปกา
อุฏฺ€หึสุ. เต เถเร จงฺกมนฺเต , เยภุยฺเยน วิปชฺชึสุ.
อนฺเตวาสิกา เถรสฺส จงฺกมนฏฺ€านํ กาลสฺเสว
น สมฺมชฺชึสุ.
อิตเร ภิกฺขู “เถรสฺส วสนฏฺ€านํ ปสฺสิสฺสามาติ
อาคนฺตฺวา จงฺกมเน ปาณเก ทิสฺวา “ โก อิมสฺมึ
จงฺกมตีติ ปุจฺฉึสุ. “อมฺหากํ อุปชฺฌาโย ภนฺเตติ.
เต อุชฺฌายึสุ “ปสฺสถ สมณสฺส กมฺมํ;
สจกฺขุกาเล นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายนฺโต กิญฺจิ อกตฺวา,
อิทานิ จกฺขุวิกลกาเล `จงฺกมามีติ เอตฺตเก ปาเณ
มาเรสิ; `อตฺถํ กริสฺสามีติ อนตฺถํ อกรีติ.
อถ เต คนฺตฺวา ตถาคตสฺส อาโรเจสุํ “ภนฺเต
จกฺขุปาลตฺเถโร `จงฺกมามีติ พหู ปาณเก มาเรสีติ.
“กึ ปน โส ตุมฺเหหิ มาเรนฺโต ทิฏฺโ€ติ.
“น ทิฏฺโ€ ภนฺเตติ.
อ. ท่าน ท. น�ำมาแล้ว (ซึ่งวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวย
เป็นต้น จากภายในแห่งบ้านจงบ�ำรุง ซึ่งพระเถระ ดังนี้ (ยังข้าวต้ม
และข้าวสวย) ให้ถึงเฉพาะแล้ว ฯ อ. สามเณร ท. กระท�ำแล้ว
ซึ่งวัตรและวัตรตอบ บ�ำรุงแล้ว ซึ่งพระเถระ ฯ
ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. ภิกษุ ท. ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ มาแล้ว
สู่พระเชตวัน (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา ท. จักเฝ
้ า ซึ่งพระศาสดา
ดังนี้ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ
ผู้ใหญ่แปดสิบ ท. เที่ยวไปอยู่ สู่ที่เป็นที่เที่ยวไปในวิหาร ถึงแล้ว
ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของพระเถระชื่อว่าจักขุบาล เป็นผู้มีหน้าที่เฉพาะ
ต่อที่นั้น ได้เป็นแล้ว ในเวลาเย็น (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา ท. จักเห็น
ซึ่งที่เป็นที่อยู่แม้นี้ดังนี้ ฯ
ในขณะนั้น อ. เมฆใหญ่ ตั้งขึ้นแล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. เหล่านั้น
(คิดแล้ว) ว่า อ. กาลนี้ เป็นเวลาเย็น (เกิดแล้ว) ด้วย , อ. เมฆ
ตั้งขึ้นแล้วด้วย, อ. เรา ท. มาแล้ว จักเห็นในเวลาเช้าเทียว ดังนี้
กลับแล้ว ฯ
อ. ฝน ตกแล้ว ในยามที่หนึ่ง ไปปราศแล้ว ในยามอันมี
ในท่ามกลาง ฯ
อ. พระเถระ เป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เป็นผู้มีจงกรม
อันประพฤติทั่วแล้ว (ย่อมเป็น); เพราะเหตุนั้น (อ. พระเถระ)
ข้ามลงแล้ว สู่ที่เป็นที่จงกรม ในยามอันมีในภายหลัง ฯ
ก็ในกาลนั้นอ.แมลงค่อมทองท.มาก ตั้งขึ้นแล้วบนภาคพื้น
อันอันฝนตกแล้วใหม่ ฯ อ. แมลงค่อมทอง ท. เหล่านั้น ครั้นเมื่อ
พระเถระ จงกรมอยู่, วิบัติแล้ว โดยมาก ฯ อ. อันเตวาสิก ท.
ไม่กวาดแล้ว ซึ่งที่เป็นที่จงกรม ของพระเถระ ต่อกาลนั่นเทียว ฯ
อ.ภิกษุท.นอกนี้มาแล้ว(ด้วยความหวัง)ว่าอ.เราท.จักเห็น
ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของพระเถระ ดังนี้ เห็นแล้ว ซึ่งสัตว์มีปาณะ ท.
ในที่เป็นที่จงกรม ถามแล้วว่า อ. ใคร ย่อมจงกรม ในที่เป็นที่จงกรม
นี้ดังนี้ฯ (อ. อันเตวาสิก ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ. พระอุปัชฌาย์ ของกระผม ท. (ย่อมจงกรม ในที่เป็นที่จงกรม นี้)
ดังนี้ฯ
อ.ภิกษุท.เหล่านั้นยกโทษแล้วว่าอ.ท่านท.จงเห็น ซึ่งกรรม
ของสมณะ, อ. พระเถระนี้ นอนประพฤติหลับอยู่ ในกาลแห่งตน
เป็นไปกับด้วยจักษุ ไม่กระท�ำแล้วซึ่งกรรมไรๆ,ยังสัตว์มีปาณะท.
มีประมาณเท่านี้ ให้ตายแล้ว (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา จะจงกรม
ดังนี้ในกาลแห่งตนมีจักษุอันวิกล ในกาลนี้; (อ. พระเถระ คิดแล้ว)
ว่า อ. เราจักกระท�ำ ซึ่งประโยชน์ ดังนี้ ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม
อันมิใช่ประโยชน์ ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว กราบทูลแล้ว
แก่พระตถาคตเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระเถระชื่อว่า
จักขุบาล ยังสัตว์มีปาณะ ท. มาก ให้ตายแล้ว (ด้วยอันคิด) ว่า
อ. เรา จะจงกรม ดังนี้ดังนี้ ฯ
(อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ก็ อ. ภิกษุชื่อว่าจักขุบาลนั้น
(ยังมีสัตว์มีปาณะ ท.) ให้ตายอยู่ อันเธอ ท. เห็นแล้ว หรือ ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
(อ. พระเถระ ชื่อว่าจักขุบาลนั้น ยังสัตว์มีปาณะ ท. ให้ตายอยู่
อันข้าพระองค์ ท.) ไม่เห็นแล้ว ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 19
“ยเถว ตุมฺเห ตํ น ปสฺสถ; ตถา โสปิ เต
ปาเณ น ปสฺสติ, ขีณาสวานํ มรณเจตนา นาม
นตฺถิ ภิกฺขเวติ.
“ภนฺเต อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสเย สติ, กสฺมา
อนฺโธ ชาโตติ.
“อตฺตนา กตกมฺมวเสน ภิกฺขเวติ.
“กึ ปน ภนฺเต เตน กตนฺติ.
“เตนหิ ภิกฺขเว สุณาถ:
อตีเต พาราณสิยํ พาราณสีราเช รชฺชํ กาเรนฺเต,
เอโก เวชฺโช คามนิคเม จริตฺวา เวชฺชกมฺมํ กโรนฺโต
เอกํ จกฺขุทุพฺพลํ อิตฺถึ ทิสฺวา ปุจฺฉิ “ กินฺเต
อผาสุกนฺติ. “อกฺขีหิ น ปสฺสามีติ.
“เภสชฺชนฺเต กริสฺสามีติ. “กโรหิ สามีติ.
“กึ เม ทสฺสสีติ. “สเจ เม อกฺขีนิ ปากติกานิ
กาตุํ สกฺขิสฺสสิ, อหนฺเต สทฺธึ ปุตฺตธีตาหิ ทาสี
ภวิสฺสามีติ.
โส “สาธูติ เภสชฺชํ สํวิทหิ. เอกเภสชฺเชเนว
อกฺขีนิ ปากติกานิ อเหสุํ. สา จินฺเตสิ “อหํ เอตสฺส
`สปุตฺตธีตา ทาสี ภวิสฺสามีติ ปฏิชานึ , น โข
ปน มํ สณฺเหน สมุทาจริสฺสติ, วญฺเจสฺสามิ นนฺติ.
สา เวชฺเชนาคนฺตฺวา “กีทิสํ ภทฺเทติ ปุฏฺ€า,
“ปุพฺเพ เม อกฺขีนิ โถกํ รุชฺชึสุ, อิทานิ อติเรกตรํ
รุชฺชนฺตีติ อาห.
เวชฺโช “อยํ มํ วญฺเจตฺวา กิญฺจิ อทาตุกามา,
น เม เอตาย ทินฺนภติยา อตฺโถ, อิทานิ ตํ อนฺธํ
กริสฺสามีติ จินฺเตตฺวา เคหํ คนฺตฺวา ภริยาย ตมตฺถํ
อาจิกฺขิ. สา ตุณฺหี อโหสิ. โส เอกํ เภสชฺชํ โยเชตฺวา
ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา “ภทฺเท อิมํ เภสชฺชํ อญฺชาหีติ
อญฺชาเปสิ. เทฺว อกฺขีนิ ทีปสิขา วิย วิชฺฌายึสุ.
โส เวชฺโช จกฺขุปาโล อโหสิ.
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า อ. เธอ ท. ย่อมไม่เห็น ซึ่งภิกษุ
ชื่อว่าจักขุบาลนั้นฉันใดนั่นเทียว; อ.ภิกษุชื่อว่าจักขุบาลแม้นั้น
ย่อมไม่เห็น ซึ่งสัตว์มีปาณะ ท. เหล่านั้น ฉันนั้น, ดูก่อนภิกษุ ท.
ชื่อ อ. เจตนาเป็นเหตุตาย แห่งพระขีณาสพ ท. ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
(อ. พระเถระชื่อว่าจักขุบาล นั้น) ครั้นเมื่อธรรมอันเป็นอุปนิสัย
แห่งพระอรหัต มีอยู่, เป็นคนบอด เกิดแล้ว เพราะเหตุไร ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ภิกษุชื่อว่า
จักขุบาลนั้น เป็นคนบอด เกิดแล้ว) ด้วยอ�ำนาจแห่งกรรม
อันตนกระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ทูลแล้ว) ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ (อ. กรรม) อะไร อันพระเถระชื่อว่า
จักขุบาลนั้น กระท�ำแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า
ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้าอย่างนั้น อ. เธอ ท. จงฟัง (ดังนี้ทรงน�ำมาแล้ว
ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว) ว่า
ในกาลอันล่วงไปแล้ว ครั้นเมื่อพระราชาผู้เป็นใหญ่
ในเมืองชื่อว่าพาราณสี (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่
ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในเมืองชื่อว่าพาราณสี , อ.หมอคนหนึ่ง
เที่ยวไปแล้ว ในบ้านและนิคม กระท�ำอยู่ ซึ่งเวชกรรม เห็นแล้ว
ซึ่งหญิง ผู้มีจักษุมีก�ำลังอันโทษประทุษร้ายแล้ว คนหนึ่ง ถามแล้ว
ว่า อ. ความไม่ส�ำราญ แห่งท่าน อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ. หญิงนั้น
กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา ย่อมไม่เห็น ด้วยนัยน์ตา ท. ดังนี้ ฯ
(อ.หมอนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งยาแก่ท่าน ดังนี้ฯ
(อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย อ. ท่าน จงกระท�ำ ดังนี้ฯ
(อ. หมอนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท่าน จักให้ (ซึ่งวัตถุ) อะไร แก่เรา
ดังนี้ ฯ (อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าว่า อ. ท่าน จักอาจ
เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งนัยน์ตา ท. ของเรา ให้เป็นของตั้งอยู่ตามปกติไซร้,
อ.เรา กับ ด้วยบุตรและธิดา ท. เป็นทาสี ของท่านจักเป็นดังนี้ฯ
อ.หมอนั้น(รับพร้อมแล้ว)ว่าอ.ดีละดังนี้จัดแจงแล้วซึ่งยา ฯ
อ. นัยน์ตา ท. เป็นของตั้งอยู่ตามปกติ ได้เป็นแล้ว ด้วยยาขนานเดียว
นั่นเทียว ฯ อ. หญิงนั้น คิดแล้ว ว่า อ. เรา ปฏิญญาแล้ว ว่า
(อ. เรา) ผู้เป็นไปกับด้วยบุตรและธิดา เป็นทาสีจักเป็น ดังนี้
แก่หมอนั่น, แต่ว่า (อ. หมอนั้น) จักประพฤติร้องเรียก ซึ่งเรา
ด้วยค�ำอันอ่อนหวาน หามิได้แล, อ. เรา จักลวง ซึ่งหมอนั้น ดังนี้ฯ
อ. หญิงนั้น ผู้อันหมอ มาแล้ว ถามแล้ว ว่า แน่ะนางผู้เจริญ
(อ. คู่แห่งนัยน์ตา) เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น) ดังนี้, กล่าวแล้ว ว่า
อ. นัยน์ตา ท. ของเรา เสียดแทงแล้ว หน่อยหนึ่ง ในกาลก่อน,
ในกาลนี้(อ. นัยน์ตา ท.) ย่อมเสียดแทง ยิ่งเกิน ดังนี้ ฯ
อ. หมอคิดแล้ว ว่า อ. หญิงนี้เป็นผู้ใคร่เพื่ออันลวง ซึ่งเรา แล้ว
ไม่ให้ ซึ่งวัตถุไร ๆ (ย่อมเป็น) อ. ความต้องการ ด้วยค่าจ้าง
อันหญิงนั่นให้แล้ว (ย่อมมี) แก่เรา หามิได้ , ในกาลนี้ อ. เรา
จักกระท�ำ ซึ่งหญิงนั้น ให้เป็นหญิงบอด ดังนี้ ไปแล้ว สู่เรือน
บอกแล้ว ซึ่งเนื้อความนั้น แก่ภรรยา ฯ อ.ภรรยานั้น เป็นหญิงนิ่ง
ได้เป็นแล้ว ฯ อ. หมอนั้น ประกอบแล้ว ซึ่งยา ขนานหนึ่ง ไปแล้ว
สู่ส�ำนักของหญิงนั้น (กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะนางผู้เจริญ อ. ท่าน
จงหยอดซึ่งยานี้ดังนี้(ยังหญิงนั้น)ให้หยอดแล้วฯ อ.นัยน์ตาท.
สอง ดับแล้ว ราวกะ อ. เปลวแห่งประทีป ฯ อ. หมอนั้น เป็นภิกษุ
ชื่อว่า จักขุบาล ได้เป็นแล้ว (ดังนี้) ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
20
“ภิกฺขเว ตทา มม ปุตฺเตน กตกมฺมํ ปจฺฉโต
ปจฺฉโต อนุพนฺธิ , ปาปกมฺมํ หิ นาเมตํ ธุรํ วหโต
พลิวทฺทสฺส ปทํ จกฺกํ วิย อนุคจฺฉตีติ อิทํ วตฺถุํ
กเถตฺวา อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ปติฏฺ€าปิตมตฺติกํ สาสนํ
ราชมุทฺทาย ลญฺฉนฺโต วิย ธมฺมราชา อิมํ คาถมาห
“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ€า มโนมยา;
มนสา เจ ปทุฏฺเ€น ภาสติ วา กโรติ วา,
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทนฺติ.
ตตฺถ “มโนติ กามาวจรกุสลาทิเภทํ สพฺพมฺปิ
จตุภูมิกจิตฺตํ. อิมสฺมึ ปน ปเท ตทา ตสฺส เวชฺชสฺส
อุปฺปนฺนจิตฺตวเสน นิยมิยมานํ ววตฺถาปิยมานํ
ปริจฺฉิชฺชมานํ, โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ
จิตฺตเมว ลพฺภติ.
ปุพฺพงฺคมาติ:เตนป€มคามินาหุตฺวาสมนฺนาคตา.
ธมฺมาติ: คุณเทสนาปริยตฺตินิสฺสตฺตนิชฺชีววเสน
จตฺตาโร ธมฺมา นาม.
เตสุ
“ น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน,
อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคฺคตินฺติ
อยํ คุณธมฺโม นาม.
“ธมฺมํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณนฺติ
อยํ เทสนาธมฺโม นาม.
“อิธ ปน ภิกฺขเว เอกจฺเจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ
ปริยาปุณนฺติ สุตฺตํ เคยฺยนฺติอยํปริยตฺติธมฺโม นาม.
“ตสฺมึ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ, ขนฺธา
โหนฺตีติ อยํ นิสฺสตฺตธมฺโม นาม. นิชฺชีวธมฺโมติปิ
เอเสว นโย.
เตสุ อิมสฺมึ €าเน นิสฺสตฺตนิชฺชีวธมฺโม อธิปฺเปโต.
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. กรรม
อันบุตร ของเรา กระท�ำแล้ว ในกาลนั้น ติดตามแล้ว ข้างหลัง ๆ,
จริงอยู่ ชื่อ อ. กรรมอันลามกนั่น ย่อมไปตาม ราวกะ อ. ล้อ
(หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า ของโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง ตัวน�ำไปอยู่
ซึ่งแอก ดังนี้ ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ทรงสืบต่อ ซึ่งอนุสนธิ
ผู้เป็นพระราชาเพราะธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถานี้ว่า
อ. ธรรม ท. มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด
อันส�ำเร็จแล้วแต่ใจ , หากว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันอันโทษ
ประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่หรือ หรือว่ากระท�ำอยู่ไซร้, อ. ทุกข์
ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น (เพราะทุจริตอันมีอย่างสาม) นั้น
เพียงดัง อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า (ของโคตัวเนื่อง
ด้วยก�ำลัง) ตัวน�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) ดังนี้ ฯ
ราวกะ (อ.พระราชา) ทรงประทับอยู่ ซึ่งพระราชสาส์น มีดินเหนียว
อันพระองค์ ทรงให้ตั้งไว้เฉพาะแล้ว ด้วยตราของพระราชา ฯ
อ. จิตอันเป็นไปในภูมิ ๔ แม้ทั้งปวง อันต่างด้วยจิตมีกุศลจิต
อันเป็นกามาวจรเป็นต้นชื่อว่า ใจ ในพระคาถานั้น ฯ แต่ว่า
อ. จิตนั่นเทียว (อันบัณฑิต) นิยมอยู่ (อันบัณฑิต) ให้ตั้งลงต่างอยู่
(อันบัณฑิต) ก�ำหนดอยู่ ด้วยอ�ำนาจแห่งจิตดวงเกิดขึ้นแล้ว
แก่หมอนั้นในกาลนั้น, อันไปแล้วกับด้วยโทมนัส อันประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยปฏิฆะ (อันบัณฑิต) ย่อมได้ ในบท นี้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า มาตามพร้อมแล้ว (ด้วยใจ) นั้น เป็นสภาพถึงก่อน
โดยปกติ เป็น (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ปุพฺพงฺคมา ดังนี้ ฯ
ชื่อ อ. ธรรม ท. สื่ ด้วยอ�ำนาจแห่งคุณธรรมและเทศนาธรรม
และปริยัติธรรมและนิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรม ชื่อว่าธรรม ฯ
อ.ธรรมนี้(ในค�ำนี้) ว่า
(อ. สภาพ ท.) ทั้งสอง คือ อ. ธรรมด้วย คือ อ. สภาพมิใช่ธรรม
ด้วย เป็นสภาพมีวิบากเสมอกัน (ย่อมเป็น) หามิได้แล,
อ. สภาพมิใช่ธรรม ย่อมน�ำไป (ซึ่งสัตว์) สู่นรก อ. ธรรม
(ยังสัตว์) ย่อมให้ถึง ซึ่งสุคติ ดังนี้เป็นต้น
(ในธรรม ท. สี่) เหล่านั้นหนา ชื่อว่า คุณธรรม ฯ
อ. ธรรมนี้(ในค�ำนี้) ว่าดูก่อนภิกษุ ท. อ. เรา จักแสดง ซึ่งธรรม
อันงามในเบื้องต้น แก่เธอ ท. ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าเทศนาธรรม ฯ
อ. ธรรมนี้ (ในค�ำนี้) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ก็ อ. กุลบุตร ท.
บางพวกในศาสนา นี้ ย่อมเล่าเรียน ซึ่งธรรม คือซึ่งสูตร คือซึ่งไคยะ
ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าปริยัติธรรม ฯ
อ. ธรรมนี้ (ในค�ำนี้) ว่า ก็ อ. ธรรม ท. ย่อมมี ในสมัยนั้นแล ,
อ. ขันธ์ ท. ย่อมมี (ในสมัยนั้น) ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า นิสสัตตธรรม ฯ
อ. นัย (ในบท) แม้ว่า อ. นิชชีวธรรม ดังนี้นี้นั่นเทียว ฯ
ในธรรม ท. ๔ เหล่านั้นหนา อ. นิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรม
(อันพระผู้มีพระภาคเจ้า) ทรงพระประสงค์เอาแล้วในที่นี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 21
โส อตฺถโต ตโย อรูปิโน ขนฺธา “เวทนากฺขนฺโธ
สญฺญากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธติ. เอเต หิ, มโน
ปุพฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา นาม.
“กถํ ปเนเตหิ สทฺธึ เอกวตฺถุโก เอการมฺมโณ
อปุพฺพํ อจริมํ เอกกฺขเณ อุปฺปชฺชมาโน มโน
ปุพฺพงฺคโม นาม โหตีติ. อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน.
ยถา หิ พหูสุ เอกโต คามฆาตาทิกมฺมานิ
กโรนฺเตสุ, “โก เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุตฺเต, โย เตสํ
ปจฺจโย โหติ, ยํ นิสฺสาย เต ตํ กมฺมํ กโรนฺติ;
โส ทตฺโต วา มตฺโต วา “เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุจฺจติ;
เอวํ สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํ.
อิติ อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน มโน ปุพฺพงฺคโม
เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา. น หิ เต, มเน อนุปฺปชฺชนฺเต,
อุปฺปชฺชิตุํ สกฺโกนฺติ. มโน ปน, เอกจฺเจสุ เจตสิเกสุ
อนุปฺปชฺชนฺเตสุปิ, อุปฺปชฺชติเยว. อธิปติวเสน ปน
มโน เสฏฺโ€ เอเตสนฺติ มโนเสฏฺ€า.
ยถา หิ โจราทีนํ โจรเชฏฺ€กาทโย อธิปติโน
เสฏฺ€า; ตถา เตสมฺปิ มโนติ มโนเสฏฺ€า.
ยถา ปน ทารุอาทีหิ นิปฺผนฺนานิ ตานิ ตานิ
ภณฺฑานิ ทารุมยาทีนิ นาม โหนฺติ; ตถา เอเตปิ
มนโต นิปฺผนฺนตฺตา มโนมยา นาม.
ปทุฏฺเฐนาติ: อาคนฺตุเกหิ อภิชฺฌาทีหิ โทเสหิ
ปทุฏฺเ€น. ปกติมโน หิ ภวงฺคจิตฺตํ.
ตํ อปฺปทุฏฺ€ํ, ยถา หิ ปสนฺนํ อุทกํ อาคนฺตุเกหิ
นีลาทีหิ อุปกฺกิลิฏฺ€ํ นีโลทกาทิเภทํ โหติ, น จ นวํ
อุทกํ นาปิ ปุริมํ ปสนฺนอุทกเมว; ตถา ตมฺปิ อาคนฺตุเกหิ
อภิชฺฌาทีหิ โทเสหิ ปทุฏฺ€ํ โหติ, น จ นวํ จิตฺตํ,
อ. นิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรมนั้น คือ อ. ขันธ์ ท. อันไม่มีรูป
๓ คือ อ. เวทนาขันธ์ อ. สัญญาขันธ์ อ. สัขารขันธ์ โดยเนื้อความ ฯ
เพราะว่า อ. ธรรม ท.เหล่านั่น , ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อน
(เพราะวิเคราะห์) ว่า อ. ใจ เป็นสภาพถึงก่อนแห่งธรรม ท. เหล่านั่น
ดังนี้ ฯ (อ. อันถาม) ว่า ก็ อ. ใจ มีวัตถุเป็นอันเดียวกัน มีอารมณ์
เป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยธรรม ท. เหล่านั่น เกิดขึ้นอยู่
ในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน ย่อมเป็น
อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ. อันแก้) ว่า (อ. ใจชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน)
เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น(ย่อมเป็น)(ดังนี้) ฯ
เหมือนอย่างว่า ครั้นเมื่อโจร ท. มาก กระท�ำอยู่ ซึ่งกรรม
มีการฆ่าซึ่งชาวบ้านเป็นต้น ท. โดยความเป็นอันเดียวกัน,
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ใคร เป็นผู้ถึงก่อน แห่งโจร ท. เหล่านั้น
(ย่อมเป็น) ดังนี้(อันชน ท.) กล่าวแล้ว, อ.โจรใด เป็นปัจจัย ของโจร ท.
เหล่านั้น (ย่อมเป็น), อ.โจร ท. เหล่านั้น อาศัยแล้ว ซึ่งโจรใด
ย่อมกระท�ำ ซึ่งกรรมนั้น, อ.โจรนั้น ชื่อว่าทัตตะหรือ หรือว่าชื่อว่ามัตตะ
(อันชน ท.) ย่อมเรียกกัน ว่า เป็นผู้ถึงก่อน แห่งโจร ท. เหล่านั้น
ดังนี้ฉันใด, อ.ค�ำเป็นเครื่องยังอุปไมยให้ถึงพร้อม นี้(อันบัณฑิต)
พึงทราบ ฉันนั้น ฯ
อ. ใจ ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน แห่งธรรม ท. เหล่านั่น
เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้
เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท.เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อน ฯ
เพราะว่าอ.ธรรมท.เหล่านั้น,ครั้นเมื่อใจ ไม่เกิดขึ้นอยู่,ย่อมไม่อาจ
เพื่ออันเกิดขึ้น ฯ แต่ว่า อ. ใจ ,ครั้นเมื่อเจตสิก ท. บางพวก
แม้ไม่เกิดขึ้นอยู่ ย่อมเกิดขึ้น นั่นเทียว ฯ แต่ว่า อ. ใจ
เป็นสภาพประเสริฐที่สุด แห่งธรรม ท. เหล่านั่น ด้วยอ�ำนาจ
แห่งความเป็นอธิบดี เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท. เหล่านั่น) ชื่อว่า
มีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ
เหมือนอย่างว่า (อ. ชน ท. ) ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง มีโจรผู้เจริญที่สุด
เป็นต้น เป็นผู้ประเสริฐที่สุด (แห่งชน ท. ) มีโจรเป็นต้น (ย่อมเป็น)
ฉันใด;อ.ใจ(เป็นสภาพประเสริฐที่สุด) (แห่งธรรมท.)แม้เหล่านั้น
(ย่อมเป็น) ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น (อ.ธรรม ท. เหล่านั้น) ชื่อว่ามีใจ
เป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ เหมือนอย่างว่า อ.ภัณฑะท.เหล่านั้นๆ
อันส�ำเร็จแล้ว (แต่สัมภาระ ท.) มีไม้เป็นต้น ชื่อว่าเป็นภัณฑะ
มีภัณฑะส�ำเร็จแล้วแต่ไม้เป็นต้น ย่อมเป็น ฉันใด, อ.ธรรม ท.
แม้เหล่านั่น ชื่อว่าเป็นสภาพส�ำเร็จแล้วแต่ใจ เพราะความที่
(แห่งธรรม ท.) เป็นสภาพส�ำเร็จแล้ว แต่ใจ (ย่อมเป็น) ฉันนั้น ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อันโทสะ ท. มีอภิชฌาเป็นต้น อันจรมา
ประทุษร้ายแล้ว (ดังนี้ แห่งบท) ว่า ปทุฏฺเฐน ดังนี้ ฯ
จริงอยู่ อ.ใจตามปกติ ชื่อว่า ภวังคจิต ฯ
(อ. ภวังคจิต) นั้น (อันโทสะ ท.) ไม่ประทุษร้ายแล้ว,
เหมือนอย่างว่า อ.น�้ำ อันใสแล้ว อันเข้าไปเศร้าหมองแล้ว
(เพราะสี ท.) มีสีเขียวเป็นต้น อันจรมา เป็นน�้ำอันต่างด้วยน�้ำ
มีน�้ำสีเขียวเป็นต้น ย่อมเป็น, เป็นน�้ำใหม่ (ย่อมเป็น) หามิได้แล,
เป็นน�้ำอันใสแล้ว อันมีในก่อนนั่นเทียว (ย่อมเป็น) แม้หามิได้ ฉันใด,
อ.ภวังคจิตแม้นั้น เป็นธรรมชาต อันโทสะ ท. มีอภิชฌาเป็นต้น
อันจรมา ประทุษร้ายแล้ว ย่อมเป็น, เป็นจิตใหม่ (ย่อมเป็น)
หามิได้แล,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
22
นาปิ ปุริมํ ภวงฺคจิตฺตเมว.
เตนาห ภควา “ ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ.
ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺ€นฺติ.
เอวํ มนสา เจ ปทุฏฺเ€น.
ภาสติ วา กโรติ วาติ: โส ภาสมาโน
จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตเมว ภาสติ, กโรนฺโต ติวิธํ
กายทุจฺจริตเมว กโรติ, อภาสนฺโต อกโรนฺโต ตาย
อภิชฺฌาทีหิ ปทุฏฺ€มานสตาย ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ ปูเรติ.
เอวมสฺส ทส อกุสลกมฺมปถา ปาริปูรึ คจฺฉนฺติ.
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวตีติ: ตโต ติวิธทุจฺจริตโต
ตํ ปุคฺคลํ ทุกฺขมเนฺวติ: ทุจฺจริตานุภาเวน จตูสุ
อปาเยสุ วา มนุสฺเสสุ วา ตมตฺตภาวํ คจฺฉนฺตํ
กายวตฺถุกมฺปิ อิตรวตฺถุกมฺปีติ อิมินา ปริยาเยน
กายิกเจตสิกํ วิปากทุกฺขํ อนุคจฺฉติ.
ยถากึ? จกฺกํว วหโต ปทนฺติ: ธุเร ยุตฺตสฺส
ธุรํ วหโต พลิวทฺทสฺส ปทํ จกฺกํ วิย.
ยถา หิ โส เอกํปิ ทิวสํ เทฺวปิ ปญฺจปิ ทสปิ
อฑฺฒมาสํปิ วหนฺโต จกฺกํ นิวตฺเตตุํ ชหิตุํ น สกฺโกติ;
อถขฺวสฺส ปุรโต อติกฺกมนฺตสฺส ยุคํ คีวํ พาธติ,
ปจฺฉโต ปฏิกฺกมนฺตสฺส จกฺกํ อูรุมํสํ ปฏิหนฺติ;
อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิ พาธนฺตํ จกฺกํ ตสฺส
ปทานุปทิกํ โหนฺติ, ตเถว มนสา ปทุฏฺเ€น ตีณิ
ทุจฺจริตานิ ปูเรตฺวา €ิตํ ปุคฺคลํ นิรยาทีสุ ตตฺถ
ตตฺถ คตฏฺ€าเนสุ ทุจฺจริตมูลกํ กายิกมฺปิ เจตสิกมฺปิ
ทุกฺขํ อนุพนฺธตีติ.
คาถาปริโยสาเน ตึสสหสฺสา ภิกฺขู สห
ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณึสุ .
สมฺปตฺตปริสายปิ เทสนา สาตฺถิกา สผลา
อโหสีติ.
จกฺขุปาลตฺเถรวตฺถุ.
เป็นภวังคจิต อันมีในก่อนนั่นเทียว (ย่อมเป็น) แม้หามิได้ ฉันนั้น ฯ
เพราะเหตุนั้น อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท.
อ. จิตนี้ เป็นแดนสร้านออกแห่งรัศมี (ย่อมเป็น), ก็แล อ. จิตนั้น
เข้าไปเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลส ท. อันจรมา ดังนี้ ฯ
หากว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันอันโทษประทุษร้ายแล้ว อย่างนี้
(กล่าวอยู่ หรือ หรือว่า กระท�ำอยู่ไซร้) ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ. บุคคลนั้น เมื่อกล่าว ชื่อว่าย่อมกล่าว
ซึ่งวจีทุจริต มีอย่างสี่นั่นเทียว , เมื่อกระท�ำ ชื่อว่าย่อมกระท�ำ
ซึ่งกายทุจริตมีอย่างสามนั่นเทียว, เมื่อไม่กล่าว เมื่อไม่กระท�ำ
ยังมโนทุจริต มีอย่างสาม ชื่อว่าย่อมให้เต็ม เพราะความที่-
แห่งตนเป็นผู้มีใจ (อันโทสะ ท.) มีอภิชฌาเป็นต้น ประทุษร้ายแล้ว
นั้น, อ. คลองแห่งกรรมอันเป็นอกุศล ท. ๑๐ ย่อมถึง
ซึ่งความเต็มรอบ แก่บุคคลนั้น ด้วยประการฉะนี้ (ดังนี้ แห่งบาท
แห่งพระคาถา) ว่า ภาสติ วา กโรติ วา ดังนี้ ฯ
(อ. อรรถ ว่า อ.ทุกข์ ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคล นั้น เพราะทุจริต
อันมีอย่างสามนั้น คือว่า อ. ทุกข์ อันเป็นวิบาก อันเป็นไป
ในกายและเป็นไปในจิต โดยปริยาย นี้ คือ (อ. วิบากทุกข์)
มีกายเป็นที่ตั้งบ้าง (อ. วิบากทุกข์) มีจิตนอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง
ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น ผู้ไปอยู่ สู่อัตภาพ ในอบาย ท. ๔
หรือ หรือว่า ในมนุษย์ ท. เพราะอานุภาพแห่งทุจริต (ดังนี้)
(แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ ดังนี้ ฯ
(อ.อันถาม)ว่า(อ.ทุกข์ ย่อมไปตามซึ่งบุคคลนั้น เพราะทุจริต
อันมีอย่างสามนั้น)ราวกะอ.อะไร?(ดังนี้) (อ.อันแก้)ว่า(อ.ทุกข์
ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น เพราะทุจริตอันมีอย่างสามนั้น) เพียงดัง
อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า (ของโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง)
ตัวน�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) ดังนี้ : (อ. อธิบาย) ว่า ราวกะ อ. ล้อ
(หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า ของโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง ตัวอันบุคคล
เทียมแล้ว ที่แอก ชื่อว่าตัวน�ำไปอยู่ ซึ่งแอก (ดังนี้) ฯ
(อ. อธิบาย) ว่า เหมือนอย่างว่า อ. โคตัวเนื่องด้วยก�ำลังนั้น
น�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) สิ้นวันหนึ่งบ้าง (สิ้นวัน ท. ) สองบ้าง (สิ้นวัน ท.)
ห้าบ้าง (สิ้นวัน ท.) สิบบ้าง สิ้นเดือนด้วยทั้งกึ่งบ้าง ย่อมไม่อาจ
เพื่ออันยังล้อให้กลับ คือว่า เพื่ออันละ (ซึ่งล้อ) , โดยที่แท้ เมื่อโค
ตัวเนื่องด้วยก�ำลังนั้น ก้าวล่วงอยู่ ข้างหน้า อ. แอก ย่อมเบียดเบียน
ซึ่งคอ, เมื่อโคตัวเนื่องด้วยก�ำลังนั้น ก้าวกลับอยู่ ข้างหลัง อ. ล้อ
ย่อมกระทบ ซึ่งเนื้อแห่งขาอ่อน ; อ. ล้อ เบียดเบียนอยู่ ด้วยเหตุ ท. ๒
เหล่านี้ เป็นของแล่นไปตามซึ่งรอยเท้า ของโคนั้น ย่อมเป็น
ฉันใด, อ. ทุกข์ อันเป็นไปในกายบ้าง อันเป็นไปในจิตบ้าง
อันมีทุจริตเป็นมูล ย่อมติดตาม ซึ่งบุคคลผู้มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว
ยังทุจริต ท. ๓ ให้เต็มแล้ว ตั้งอยู่แล้ว ในที่แห่งบุคคลนั้นไปแล้ว ท.
เหล่านั้น ๆ มีนรกเป็นต้น ฉันนั้นนั่นเทียว ดังนี้ (อันบัณฑิต
พึงทราบ) ฯ
อ. ภิกษุ ท. มีพันสามสิบเป็นประมาณ บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต
กับ ด้วยปฏิสัมภิทา ท. ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา ฯ
อ. เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ เป็นเทศนา
เป็นไปกับด้วยผล ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว ดังนี้แลฯ
อ. เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าจักขุบาล (จบแล้ว) ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 23
๒. มฏฺฐกุณฺฑลิวตฺถุ. (๒)
“มโนปุพฺพงฺคมาติ ทุติยคาถาปิ สาวตฺถิยํเยว
มฏฺ€กุณฺฑลึ อารพฺภ ภาสิตา.
สาวตฺถิยํ กิร อทินฺนปุพฺพโก นาม พฺราหฺมโณ
อโหสิ. เตน กสฺสจิ กิฺจิ น ทินฺนปุพฺพํ,
เตน ตํ “อทินฺนปุพฺพโกเตฺวว สฺชานึสุ.
ตสฺเสกปุตฺตโก อโหสิ ปิโย มนาโป.
อถสฺส ปิลนฺธนํ กาเรตุกาโม , “ สเจ
สุวณฺณการสฺสาจิกฺขิสฺสามิ, เวตนํ ทาตพฺพํ ภวิสฺสตีติ
สยเมว สุวณฺณํ โกฏฺเฏตฺวา มฏฺ€านิ กุณฺฑลานิ
กตฺวา อทาสิ.
เตนสฺส ปุตฺโต “มฏฺ€กุณฺฑลีเตฺวว ปฺายิตฺถ.
ตสฺส โสฬสวสฺสกาเล ปณฺฑุโรโค อุทปาทิ.
มาตา ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา “พฺราหฺมณ ปุตฺตสฺส
เต โรโค อุปฺปนฺโน , ติกิจฺฉาเปหิ นนฺติ อาห .
“โภติ สเจ เวชฺชํ อาเนสฺสามิ, ภตฺตเวตนํ ทาตพฺพํ
ภวิสฺสติ; ตฺวํ มม ธนจฺเฉทํ น โอโลเกสีติ.
“อถ กึ กริสฺสสิ พฺราหฺมณาติ.
“ยถา เม ธนจฺเฉโท น โหติ; ตถา กริสฺสามีติ.
โส เวชฺชานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา “อสุกโรคสฺส
นาม ตุมฺเห กึ เภสชฺชํ กโรถาติ ปุจฺฉิ.
อถสฺส เต ยํ วา ตํ วา รุกฺขตจาทึ อาจิกฺขนฺติ.
โส ตํ อาหริตฺวา ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ กโรติ.
ตํ กโรนฺตสฺเสวสฺส โรโค พลวา อโหสิ, อเตกิจฺฉภาวํ
อุปาคมิ.
พฺราหฺมโณ ตสฺส ทุพฺพลภาวํ ตฺวา เอกํ
เวชฺชํ ปกฺโกสิ.
โส โอโลเกตฺวา “อมฺหากํ เอกํ กิจฺจํ อตฺถิ,
อฺํ เวชฺชํ ปกฺโกสิตฺวา ติกิจฺฉาเปหีติ ตํ
ปจฺจกฺขาย นิกฺขมิ.
๒. อ. เรื่องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
แม้ อ. พระคาถาที่สอง ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ดังนี้เป็นต้น
(อันพระศาสดา) ทรงปรารภ ซึ่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ตรัสแล้ว
ในเมืองชื่อว่าสาวัตถีนั่นเทียว ฯ
ได้ยินว่า อ. พราณมณ์ ชื่อว่าอทินนปุพพกะ ได้มีแล้ว ในเมือง
ชื่อว่าสาวัตถี ฯ อ. วัตถุไร ๆ เป็นของอันพราหมณ์นั้น ไม่เคยให้แล้ว
แก่ใครๆ(ย่อมเป็น),เพราะเหตุนั้น(อ.ชนท.)รู้พร้อมแล้ว ซึ่งพราหมณ์
นั้น ว่า อ. พราหมณ์ชื่อว่า อทินนปุพพกะ ดังนี้นั่นเทียว ฯ
(อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี) เป็นลูกชายคนเดียว เป็นผู้เป็นที่รัก
เป็นผู้ยังใจให้เอิบอาบ ของพราหมณ์นั้น ได้เป็นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น (อ. พราหมณ์นั้น) เป็นผู้ใคร่เพื่ออันยังช่างให้กระท�ำ
ซึ่งเครื่องประดับ แก่บุตรนั้น (เป็น) , (คิดแล้ว) ว่า ถ้าว่า อ. เรา
จักบอก แก่บุคคลผู้กระท�ำซึ่งทองไซร้, อ. ก�ำเหน็จ เป็นของอันเรา
พึงให้ จักเป็น ดังนี้บุแล้ว ซึ่งทอง เองนั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งต่างหู
ท. อันเกลี้ยง ได้ให้แล้ว ฯ
เพราะเหตุนั้น อ. บุตร ของพราหมณ์นั้น ปรากฏแล้ว ว่า
อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ดังนี้นั่นเทียว ฯ อ. โรคผอมเหลือง
ได้เกิดขึ้นแล้ว ในกาลแห่งบุตรนั้นมีกาลฝนสิบหก ฯ
อ. มารดา แลดูแล้ว ซึ่งบุตร กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่พราหมณ์
อ. โรค เกิดขึ้นแล้ว แก่บุตร ของท่าน, อ. ท่าน (ยังหมอ)
จงให้เยียวยา ซึ่งบุตรนั้น ดังนี้ ฯ (อ. พราหมณ์นั้น กล่าวแล้ว) ว่า
แน่ะนางผู้เจริญ ถ้าว่า อ.เรา จักน�ำมา ซึ่งหมอไซร้,
อ. ภัตรและก�ำเหน็จ เป็นของอันเราพึงให้ จักเป็น; อ. ท่าน ไม่แลดูแล้ว
ซึ่งความขาดไปแห่งทรัพย์ ของเราหรือ? ดังนี้ฯ (อ. นางพราหมณีนั้น
กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พราหมณ์ ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่)
อ. ท่าน จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี้ฯ (อ. พราหมณ์นั้น กล่าวแล้ว)
ว่า อ. ความขาดไปแห่งทรัพย์ ของเรา จะไม่มี โดยประการใด ;
อ. เรา จักกระท�ำ โดยประการนั้น ดังนี้ ฯ
อ. พราหมณ์นั้น. ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของหมอ ท. ถามแล้ว ว่า
อ.ท่าน ท. ย่อมกระท�ำซึ่งยา อะไร ชื่อแก่โรคโน้น ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. หมอ ท. เหล่านั้น บอกอยู่ (ซึ่งยา) มีเปลือก
แห่งต้นไม้เป็นต้น ใดหรือ หรือว่านั้น แก่พราหมณ์นั้น ฯ
อ. พราหมณ์นั้น น�ำมาแล้ว ซึ่งยานั้น ย่อมกระท�ำ ซึ่งยา
แก่บุตร ฯ เมื่อพราหมณ์นั้น กระท�ำอยู่ ซึ่งยานั้นนั่นเทียว
อ. โรค เป็นสภาพมีก�ำลัง ได้เป็นแล้ว, (อ. โรคนั้น) ได้เข้าถึงแล้ว
ซึ่งความเป็นแห่งโรคอันบุคคลไม่พึงเยียวยา ฯ
อ. พราหมณ์ รู้แล้ว ซึ่งความที่แห่งบุตรนั้นเป็นผู้มีก�ำลัง
อันโทษประทุษร้ายแล้ว ร้องเรียกแล้ว ซึ่งหมอ คนหนึ่ง ฯ
อ. หมอนั้น ตรวจดูแล้ว (กล่าวแล้ว) ว่า อ. กิจอย่างหนึ่ง
ของเรา ท. มีอยู่, อ. ท่าน ร้องเรียกแล้ว ซึ่งหมอคนอื่น (ยังหมอนั้น)
จงให้เยียวยาเถิด ดังนี้บอกคืนแล้ว ซึ่งพราหมณ์นั้น ออกไปแล้ว ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
24
พฺราหฺมโณ ตสฺส มรณสมยํ ตฺวา “อิมสฺส
ทสฺสนตฺถาย อาคตาคตา อนฺโตเคเห สาปเตยฺยํ
ปสฺสิสฺสนฺติ, พหิ นํ กริสฺสามีติ ปุตฺตํ นีหริตฺวา พหิ
อาลินฺเท นิปชฺชาเปสิ.
ตํ ทิวสํ ภควา พลวปจฺจูสสมเย มหากรุณา-
สมาปตฺติโต วุฏฺ€าย ปุพฺพพุทฺเธสุ กตาธิการานํ
อุสฺสนฺนกุสลมูลานํ เวเนยฺยพนฺธวานํ ทสฺสนตฺถํ
พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต, ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ
าณชาลํ ปตฺถริ.
มฏฺ€กุณฺฑลี พหิอาลินฺเท นิปนฺนากาเรเนว
ตสฺส อนฺโต ปฺายิ.
สตฺถา ตํ ทิสฺวา ตสฺส อนฺโตเคหา นีหริตฺวา
ตตฺถ นิปฺปชฺชาปิตภาวํ ตฺวา “อตฺถิ นุ โข มยฺหํ
เอตฺถ คตปฺปจฺจเยน อตฺโถติ อุปธาเรนฺโต, อิทํ
อทฺทส “อยํ มาณโว มยิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, กาลํ
กตฺวา, ตาวตึสเทวโลเก ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน
นิพฺพตฺติสฺสติ, อจฺฉราสหสฺสปริวาโร ภวิสฺสติ,
พฺราหฺมโณปิ ตํ ฌาเปตฺวา โรทนฺโต
อาฬาหเน วิจริสฺสติ, เทวปุตฺโต ติคาวุตปฺปมาณํ
สฏฺ€ิสกฏภาราลงฺการปฏิมณฺฑิตํ อจฺฉราสหสฺสปริวารํ
อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา `เกน นุ โข กมฺเมน
มยา อยํ สิริสมฺปตฺติ ลทฺธาติ โอโลเกนฺโต, มยิ
จิตฺตปฺปสาเทน ลทฺธภาวํ ตฺวา `ธนจฺเฉทภเยน
มม เภสชฺชํ อกาเรตฺวา, อิทานิ อาฬาหนํ
คนฺตฺวา โรทติ , วิปฺปการปฺปตฺตํ นํ กริสฺสามีติ
ปิตริ อกฺขนฺติยา มฏฺ€กุณฺฑลิวณฺเณนาคนฺตฺวา
อาฬาหนสฺสาวิทูเร นิปฺปชฺชิตฺวา โรทิสฺสติ.
อถ นํ พฺราหฺมโณ `โกสิ ตฺวนฺติ ปุจฺฉิสฺสติ,
`อหนฺเต ปุตฺโต มฏฺ€กุณฺฑลีติ,
`กุหึ นิพฺพตฺโตสีติ,
อ. พราหมณ์ รู้แล้ว ซึ่งสมัยเป็นที่ตาย แห่งบุตรนั้น (คิดแล้ว)
ว่า (อ. ญาติ ท.) ผู้ทั้งมาแล้วทั้งมาแล้ว เพื่อต้องการแก่อันเห็น
ซึ่งบุตรนี้ จักเห็น ซึ่งสมบัติ ในภายในแห่งเรือน, อ. เรา จักกระท�ำ
ซึ่งบุตรนั้น ในภายนอก ดังนี้ น�ำออกแล้ว ซึ่งบุตร (ยังบุตร)
ให้นอนแล้ว ที่ระเบียง ในภายนอก ฯ
ในวันนั้น อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จออกแล้ว จากสมาบัติ
อันประกอบแล้วด้วยพระกรุณาใหญ่ ในสมัยอันขจัดเฉพาะ
ซึ่งความมืดมัวมีก�ำลัง ทรงตรวจดูอยู่ ซึ่งโลก ด้วยจักษุ
ของพระพุทธเจ้า เพื่ออันทอดพระเนตร ซึ่งสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์
แห่งสัตว์ผู้อันพระองค์ พึงทรงแนะน�ำ ท. ผู้มีมูลแห่งกุศลอันหนาขึ้นแล้ว
ผู้มีอธิการอันกระท�ำแล้ว ในพระพุทธเจ้าในกาลก่อน ท., ทรงแผ่ไปแล้ว
ซึ่งข่ายคือ พระญาณ ในจักรวาฬหมื่นหนึ่ง ฯ
อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ปรากฏแล้ว ในภายใน แห่งข่าย
คือพระญาณนั้น โดยอาการแห่งตนนอนแล้ว ที่ระเบียง ในภายนอก
นั่นเทียว ฯ
อ.พระศาสดา ทรงเห็นแล้ว ซึ่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
นั้น ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนั้น
เป็นผู้ (อันบิดา) น�ำออกแล้ว จากภายในแห่งเรือน ให้นอนแล้ว
ที่ระเบียงนั้น ทรงใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ประโยชน์ เพราะปัจจัย
แห่งเราผู้ไปแล้ว ในที่นี้ มีอยู่หรือหนอแล ดังนี้, ได้ทรงเห็นแล้ว
ซึ่งเหตุนี้ ทรงทราบแล้ว ว่า อ. มาณพนี้ยังจิต ให้เลื่อมใสแล้ว
ในเรา, กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ, จักบังเกิด ในวิมานอันเป็นวิการ
แห่งทอง อันประกอบแล้วด้วยโยชน์สามสิบ ในเทวโลกชื่อว่า-
ดาวดึงส์ , เป็นผู้มีพันแห่งนางอัปสรเป็นบริวาร จักเป็น,
แม้ อ. พราหมณ์ ยังบุตรนั้น ให้ไหม้แล้ว ร้องไห้อยู่ จักเที่ยวไป
ในป่าช้า, อ. เทพบุตร แลดูแล้ว ซึ่งอัตภาพ อันมีคาวุต ๓
เป็นประมาณ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยเครื่องประดับมีเกวียน
๖๐ เล่มเป็นภาระ มีพันแห่งนางอัปสรเป็นบริวารตรวจดู
อยู่ ว่า อ. สมบัติอันเป็นสิริ นี้ อันเรา ได้แล้ว ด้วยกรรม อะไร
หนอ แล ดังนี้, รู้แล้ว ซึ่งความที่ (แห่งสมบัติอันเป็นสิรินั้น)
(อันตน) ได้แล้ว ด้วยความเลื่อมใสแห่งจิต ในเรา (คิดแล้ว)
ว่า (อ. พราหมณ์นี้) ไม่ (ยังหมอ) ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งยา แก่เรา
เพราะกลัวแต่อันขาดไป แห่งทรัพย์, ไปแล้ว สู่ป่าช้า ย่อมร้องไห้ ใน
กาลนี้, อ.เราจักกระท�ำซึ่งพราหมณ์นั้นให้เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งประการ
อันแปลก ดังนี้ มาแล้ว ด้วยเพศแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
จักนอนร้องไห้ในที่อันไม่ไกลแห่งป่าช้าเพราะความไม่ชอบใจในบิดา,
ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. พราหมณ์ จักถาม
ซึ่งเทพบุตรนั้น ว่า อ. ท่าน เป็นใคร ย่อมเป็น ดังนี้,
(อ. เทพบุตร จักกล่าว) ว่า อ. เรา เป็นมัฏฐกุณฑลี ผู้เป็นบุตร
ของท่าน (ย่อมเป็น) ดังนี้,
(อ. พราหมณ์นั้น จักถาม) ว่า (อ. ท่าน) เป็นผู้บังเกิดแล้ว
ในที่ไหน ย่อมเป็น ดังนี้,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 25
`ตาวตึสภวเนติ,
`กึ กมฺมํ กตฺวาติ วุตฺเต,
มยิ จิตฺตปฺปสาเทน นิพฺพตฺตภาวํ อาจิกฺขิสฺสติ,
พฺราหฺมโณ `ตุมฺเหสุ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สคฺเค
นิพฺพตฺตา นาม อตฺถีติ มํ ปุจฺฉิสฺสติ,
อถสฺสาหํ `เอตฺตกานิ สตานิ วา สหสฺสานิ วา
สตสหสฺสานิ วาติ น สกฺกา คณนาย ปริจฺฉินฺทิตุนฺติ
วตฺวา ธมฺมปเท คาถํ ภาสิสฺสามิ,
คาถาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ
ธมฺมาภิสมโย ภวิสฺสติ, มฏฺ€กุณฑลี โสตาปนฺโน
ภวิสฺสติ; ตถา อทินฺนปุพฺพโก พฺราหฺมโณ ,
อิติ อิมํ กุลปุตฺตํ นิสฺสาย ธมฺมยาโค มหา
ภวิสฺสตีติ ญตฺวา ปุนทิวเส กตสรีรปฏิชคฺคโน
มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถึ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา,
อนุปุพฺเพน พฺราหฺมณสฺส เคหทฺวารํ คโต.
ตสฺมึ ขเณ มฏฺ€กุณฺฑลี อนฺโตเคหาภิมุโข
นิปนฺโน โหติ.
สตฺถา อตฺตโน อปสฺสนภาวํ ญตฺวา, เอกํ
รสฺมึ วิสฺสชฺเชสิ.
มาณโว “กึ โอภาโส นาเมโสติ ปริวตฺติตฺวา
นิปฺปนฺโนว สตฺถารํ ทิสฺวา “อนฺธพาลปิตรํ นิสฺสาย
เอวรูปํ พุทฺธํ อุปสงฺกมิตฺวา กายเวยฺยาวฏิกํ วา
กาตุํ ทานํ วา ทาตุํ ธมฺมํ วา โสตุํ นาลตฺถํ,
อิทานิ เม หตฺถาปิ อวิเธยฺยา, อญฺญํ กตฺตพฺพํ
นตฺถีติ มนเมว ปสาเทสิ.
สตฺถา “อลํ เอตฺตเกน อิมสฺสาติ ปกฺกามิ.
โส ตถาคเต จกฺขุปถํ วิชหนฺเตเยว, ปสนฺนมโน
กาลํ กตฺวา สุตฺตปฺปพุทฺโธ วิย เทวโลเก ตึสโยชนิเก
กนกวิมาเน นิพฺพตฺติ.
(อ. เทพบุตร จักกล่าว ว่า อ. เรา เป็นผู้บังเกิดแล้ว) ในภพ
ชื่อว่าดาวดึงส์ (ย่อมเป็น) ดังนี้ , (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. ท่าน)
กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอะไร (เป็นผู้บังเกิดแล้ว ในภพชื่อว่าดาวดึงส์
ย่อมเป็น) ดังนี้(อันพราหมณ์นั้น) กล่าวแล้ว, (อ. เทพบุตร) จักบอก
ซึ่งความที่ (แห่งตน) เป็นผู้บังเกิดแล้ว เพราะความเลื่อมใสแห่งจิต
ในเรา,
อ. พราหมณ์ จักถาม ซึ่งเรา ว่า (อ. สัตว์ ท.) ชื่อว่า ผู้ยังจิต
ให้เลื่อมใสแล้วในพระองค์ท.บังเกิดแล้วในสวรรค์มีอยู่หรือดังนี้,
ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. เรา กล่าวแล้ว ว่า
(อันใคร ๆ) ไม่อาจ เพื่ออันก�ำหนด ด้วยการนับ ว่า อ. ร้อย ท. หรือ
หรือว่า อ. พัน ท. หรือว่า อ. แสน ท. มีประมาณเท่านี้ดังนี้ดังนี้
จักกล่าว ซึ่งคาถา ในธรรมบท แก่พราหมณ์นั้น,
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งคาถา อ. อันรู้ตลอดเฉพาะซึ่งธรรม
จักมี แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท. แปดสิบสี่, อ, เทพบุตรชื่อว่า
มัฏฐกุณฑลี เป็นพระโสดาบัน จักเป็น ; อ. อย่างนั้น คือว่า
อ. พราหมณ์ชื่อว่าอทินนปุพพกะ (เป็นพระโสดาบัน จักเป็น) ,
อ. การบูชาซึ่งธรรม เป็นคุณใหญ่ จักเป็น เพราะอาศัย ซึ่งกุลบุตรนี้
ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้, ในวันรุ่งขึ้น ผู้มีการประคับประคอง
ซึ่งพระสรีระอันทรงกระท�ำแล้ว ผู้อันหมู่แห่งภิกษุใหญ่แวดล้อมแล้ว
เสด็จเข้าไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี เพื่อบิณฑะ เสด็จไปแล้ว
สู่ประตูแห่งเรือน ของพราหมณ์ โดยล�ำดับ ฯ
ในขณะนั้น อ.มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี เป็นผู้มีหน้าเฉพาะ
ต่อภายในแห่งเรือน เป็นผู้นอนแล้ว ย่อมเป็น ฯ
อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซึ่งความเป็นคือการไม่เห็น
ซึ่งพระองค์ ทรงเปล่งแล้ว ซึ่งพระรัศมี สิ้นวาระหนึ่ง ฯ
อ.มาณพ (คิดแล้ว) ว่า ชื่อ อ.แสงสว่างนั่น อะไร ดังนี้ นอน
ยังกายให้เป็นไปรอบแล้วเทียว เห็นแล้วซึ่งพระศาสดา (คิดแล้ว)
ว่า อ.เรา อาศัยแล้ว ซึ่งบิดาผู้อันธพาล ไม่ได้ได้แล้ว เพื่ออันเข้าไปเฝ
้ า
ซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูปแล้ว ท�ำซึ่งกรรม อันประกอบแล้ว
ด้วยความขวนขวายด้วยกาย หรือ หรือว่า เพื่ออันถวายซึ่งทาน
หรือว่า เพื่ออันฟังซึ่งธรรม, ในกาลนี้ แม้ อ.มือ ท. ของเรา ไม่เป็น
อวัยวะควรแก่ความตั้งไว้ต่าง (ย่อมเป็น), อ.กรรมอันเป็นกุศล
อันเราพึงท�ำอื่น ย่อมไม่มี ดังนี้ ยังใจนั่นเทียว ให้เลื่อมใสแล้ว ฯ
อ.พระศาสดา (ทรงพระด�ำริแล้ว) ว่า อ.พอละ ด้วยการยังใจ
ให้เลื่อมใสมีประมาณเท่านี้ ของมาณพนี้ ดังนี้ เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ
ครั้นเมื่อพระตถาคต ทรงละอยู่ ซึ่งคลองแห่งจักษุ นั่นเทียว
อ.มาณพนั้น เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว เป็น ท�ำแล้วซึ่งกาละ เกิดแล้ว
ในวิมานอันส�ำเร็จด้วยทอง อันประกอบแล้วด้วยโยชน์สามสิบ
ในเทวโลก ราวกะ อ.บุคคลผู้หลับแล้วตื่น ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
26
พฺราหฺมโณปิสฺส สรีรํ ฌาเปตฺวา อาฬาหเน
โรทนปรายโน อโหสิ,
เทวสิกํ อาฬาหนํ คนฺตฺวา โรทติ “กหํ เอกปุตฺตก,
กหํ เอกปุตฺตกาติ.
เทวปุตฺโตปิ อตฺตโน สมฺปตฺตึ โอโลเกตฺวา “เกน
กมฺเมน ลทฺธาติ อุปธาเรนฺโต “สตฺถริ มโนปสาเทนาติ
ญตฺวา “ อยํ พฺราหฺมโณ มม อผาสุกกาเล
เภสชฺชํ อกาเรตฺวา อิทานิ อาฬาหนํ คนฺตฺวา
โรทติ ; วิปฺปการปฺปตฺตเมตํ กาตุํ วฏฺฏตีติ
มฏฺ€กุณฺฑลิวณฺเณนาคนฺตฺวา อาฬาหนสฺสาวิทูเร
พาหา ปคฺคยฺห โรทนฺโต อฏฺ€าสิ.
พฺราหฺมโณ ตํ ทิสฺวา “ อหํ ตาว ปุตฺตโสเกน
โรทามิ, เอส กิมตฺถํ โรทติ; ปุจฺฉิสฺสามิ นนฺติ
ปุจฺฉนฺโต อิมํ คาถมาห
“อลงฺกโต มฏฺ€กุณฺฑลี
มาลาภารี หริจนฺทนุสฺสโท,
พาหา ปคฺคยฺห กนฺทสิ
วนมชฺเฌ กึ ทุกฺขิโต ตุวนฺติ.
โส อาห
“โสวณฺณมโย ปภสฺสโร
อุปฺปนฺโน รถปญฺชโร มม,
ตสฺส จกฺกยุคํ น วินฺทามิ
เตน ทุกฺเขน ชหิสฺสามิ ชีวิตนฺติ.
อถ นํ พฺราหฺมโณ อาห
แม้ อ.พราหมณ์ ยังสรีระ ของมาณพนั้น ให้ไหม้แล้ว เป็นผู้มี
การร้องไห้เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ได้เป็นแล้ว ในที่เป็นที่น�ำมาเผา ฯ
อ.พราหมณ์นั้น ไปแล้ว สู่ที่เป็นที่น�ำมาเผา สิ้นกาลอันเป็น
ไปแล้วในวัน ย่อมร้องไห้ ว่า ดูก่อนบุตรน้อยคนเดียว (อ.เจ้า ไปแล้ว)
ณ ที่ไหน, ดูก่อนบุตรน้อยคนเดียว (อ.เจ้า ไปแล้ว) ณ ที่ไหน ดังนี้ฯ
แม้ อ. เทพบุตร แลดูแล้ว ซึ่งสมบัติ ของตน ใคร่ครวญอยู่ ว่า
(อ. สมบัตินี้อันเรา) ได้แล้ว เพราะกรรมอะไร ดังนี้ รู้แล้ว ว่า
(อ.สมบัตินี้อันเราได้แล้ว) เพราะการยังใจความเลื่อมใสในพระศาสดา
ดังนี้(คิดแล้ว) ว่า อ. พราหมณ์ นี้ไม่ยังหมอให้กระท�ำแล้ว ซึ่งยา
ในกาลอันไม่ผาสุก แห่งเรา ไปแล้ว สู่ที่เป็นที่น�ำมาเผา ร้องไห้อยู่
ในกาลนี้ อ.อัน อันเรา ท�ำ ซึ่งพราหมณ์นั้น ให้เป็นผู้ถึงแล้ว
ซึ่งประการอันแปลก ย่อมควร ดังนี้ มาแล้ว ด้วยเพศเพียงดัง
เพศแห่งมาณพชื่อว่า มัฎฐกุณฑลี ได้ยืนประคองซึ่งแขน ท.
ร้องไห้อยู่แล้ว ในที่อันไม่ไกลแห่งที่เป็นที่น�ำมาเผา ฯ
อ. พราหมณ์ เห็นแล้ว ซึ่งเทพบุตรนั้น (คิดแล้ว) ว่า อ. เรา
ร้องไห้อยู่เพราะความโศกเพราะบุตร ก่อน, อ. มาณพนั่น ร้องไห้อยู่
เพื่อประโยชน์อะไร; อ. เรา จักถาม ซึ่งมาณพนั้น ดังนี้ เมื่อถาม
กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา นี้ว่า
(อ. ท่าน) ผู้อันบุคคลกระท�ำให้พอแล้ว ผู้มีตุ้มหูอันเกลี้ยง
ผู้มีภาระคือระเบียบ ผู้มีกายหนาขึ้นด้วยจันทน์เหลือง ,
ประคองแล้ว ซึ่งแขน ท. คร�่ำครวญอยู่ ในท่ามกลางแห่งป่า
อ. ท่าน เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความทุกข์(ย่อมเป็น) เพราะเหตุอะไร
ดังนี้ ฯ
อ. เทพบุตรนั้น กล่าวแล้ว ว่า
อ. เรือนแห่งรถ อันส�ำเร็จแล้วด้วยทอง อันเป็นแดนสร้านออก
แห่งรัศมี เกิดขึ้นแล้ว แก่ข้าพเจ้า, อ. ข้าพเจ้า ย่อมไม่ประสบ
ซึ่งคู่แห่งล้อ แห่งเรือนแห่งรถนั้น อ. ข้าพเจ้า จักละ ซึ่งชีวิต
เพราะความทุกข์นั้น ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ. พรามหมณ์ กล่าวแล้ว กะเทพบุตรนั้น ว่า
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 27
“โสวณฺณมยํ มณิมยํ
โลหมยํ อถ รูปิยมยํ
อาจิกฺข เม ภทฺทมาณว,
จกฺกยุคํ ปฏิลาภยามิ เตติ.
ตํ สุตฺวา มาณโว “อยํ ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ อกตฺวา
ปุตฺตปฏิรูปกํ มํ ทิสฺวา โรทนฺโต `สุวณฺณาทิมยํ
รถจกฺกํ กโรมีติ วทติ; โหตุ, นิคฺคณฺหิสฺสามิ นนฺติ
จินฺเตตฺวา “กีวมหนฺตํ เม จกฺกยุคํ กริสฺสสีติ วตฺวา
“ยาวมหนฺตํ อากงฺขสีติ วุตฺเต,
“จนฺทสุริเยหิ เม อตฺโถ, เต เม เทหีติ ยาจิโต
โส มาณโว ตสฺส ปาวทิ
“จนฺทสุริยา อุภยตฺถ ภาตโร,
โสวณฺณมโย รโถ มม
เตน จกฺกยุเคน โสภตีติ.
อถ นํ พฺราหฺมโณ อาห
“พาโล โข ตฺวมสิ มาณว,
โย ตฺวํ ปตฺถยเส อปตฺถิยํ,
มญฺญามิ ตุวํ มริสฺสสิ,
น หิ ตฺวํ ลจฺฉสิ จนฺทสุริเยติ.
อถ นํ มาณโว “กึ ปน ปญฺญายมานสฺสตฺถาย
โรทนฺโต พาโล โหติ, อุทาหุ อปญฺญายมานสฺสาติ
วตฺวา
ดูก่อนมาณพผู้เจริญ (อ.ท่าน) จงบอก (ซึ่งคู่แห่งล้อ)
อันส�ำเร็จแล้วด้วยทองหรือ หรือว่าอันส�ำเร็จแล้วด้วยแก้วมณี
อันส�ำเร็จแล้วด้วยโลหะหรือ หรือว่าอันส�ำเร็จแล้วด้วยรูปิยะ
แก่เรา, อ. เรา จะยังท่านให้ได้เฉพาะ ซึ่งคู่แห่งล้อ ดังนี้ ฯ
อ.มาณพ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น คิดแล้ว ว่า อ.พราหมณ์ นี้
ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งยาแก่บุตรเห็นแล้วซึ่งเรา ผู้มีรูปเปรียบด้วยบุตร
ร้องไห้อยู่ย่อมกล่าวว่าอ.เราจะกระท�ำซึ่งล้อแห่งรถอันส�ำเร็จแล้ว
ด้วยรัตนะมีทองเป็นต้น ดังนี้; (อ. อันกล่าวอย่างนั้น) จงมีเถิด,
อ. เรา จักข่ม ซึ่งพราหมณ์นั้นดังนี้กล่าวแล้ว ว่า อ. ท่าน จักกระท�ำ
ซึ่งคู่แห่งล้อ อันใหญ่เพียงไร แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า
อ. ท่าน ย่อมหวัง (ซึ่งคู่แห่งล้อ) อันใหญ่เพียงใด (อ. เรา จักกระท�ำ
ซึ่งคู่แห่งล้อ อันใหญ่เพียงนั้น แก่ท่าน) ดังนี้ (อันพราหมณ์นั้น)
กล่าวแล้ว, (กล่าวแล้ว) ว่า
อ. ความต้องการ ด้วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. (ย่อมมี)
แก่ข้าพเจ้า, (อ. ท่าน) ผู้อันข้าพเจ้าขอแล้ว ขอจงให้
ซึ่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. เหล่านั้น แก่ข้าพเจ้า ดังนี้
อ. มาณพนั้น ได้กล่าวย�้ำแล้ว แก่พราหมณ์นั้น ว่า
อ. พระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. เป็นพี่น้องกัน (ย่อมเป็น)
ในวิถี ทั้งสอง, อ. รถ ของข้าพเจ้า อันส�ำเร็จแล้วด้วยทอง
จะงาม ด้วยคู่แห่งล้อนั้น ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ. พราหมณ์ กล่าวแล้ว กะมาณพนั้น ว่า
ดูก่อนมาณพ อ. ท่านใด ปรารถนาอยู่ ซึ่งวัตถุอันบุคคล
ไม่พึงปรารถนา อ.ท่าน (นั้น)เป็นคนพาลแล ย่อมเป็น,
อ. เรา ย่อมส�ำคัญ ว่า อ. ท่าน จักตาย (ดังนี้), เพราะว่า
อ. ท่าน จักไม่ได้ ซึ่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. มาณพ กล่าวแล้ว กะพราหมณ์นั้น ว่า ก็ (อ. บุคคล)
ร้องไห้อยู่ เพื่อประโยชน์ แก่วัตถุอันปรากฏอยู่ เป็นคนพาล
ย่อมเป็นหรือ, หรือว่า (อ. บุคคล ร้องไห้อยู่ เพื่อประโยชน์แก่วัตถุ)
อันไม่ปรากฏอยู่ (เป็นคนพาล ย่อมเป็น) ดังนี้ (กล่าวแล้ว) ว่า
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
28
“คมนาคมนํปิ ทิสฺสติ,
วณฺณธาตุ อุภยตฺถ วีถิยา,
เปโต กาลกโต น ทิสฺสติ
โก นีธ กนฺทตํ พาลฺยตโรติ.
ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ “ยุตฺตํ เอส วทตีติ สลฺลกฺเขตฺวา
“สจฺจํ โข วเทสิ มาณว
อหเมว กนฺทตํ พาลฺยตโร
จนฺทํ วิย ทารโก รุทํ
ปุตฺตํ กาลกตาภิปตฺถยนฺติ
วตฺวา ตสฺส กถาย นิสฺโสโก หุตฺวา มาณวสฺส ถุตึ
กโรนฺโต อิมา คาถา อภาสิ
“อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ ฆตสิตฺตํว ปาวกํ
วารินา วิย โอสิฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํ,
อพฺพุหิ วต เม สลฺลํ โสกํ หทยนิสฺสิตํ,
โย เม โสกปเรตสฺส ปุตฺตโสกํ อปานุทิ;
สฺวาหํ อพฺพุฬฺหสลฺโลสฺมิ สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโต,
น โสจามิ, น โรทามิ ตว สุตฺวาน มาณวาติ.
อถ นํ “โก นาม ตฺวนฺติ ปุจฺฉนฺโต
“เทวตา นุสิ คนฺธพฺโพ อาทู สกฺโก ปุรินฺทโท,
โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุตฺโต? กถํ ชาเนมุ ตํ มยนฺติ.
แม้ อ. การไปและการมา แม้ อ. ธาตุคือรัศมี (แห่งพระจันทร์
และพระ อาทิตย์ ท.) ย่อมปรากฏ ในวิถี ทั้งสอง, อ. บุคคล
ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว ผู้ละไปแล้ว ย่อมไม่ปรากฏ แห่งเรา ท.
ผู้คร�่ำครวญอยู่ ในที่นี้หนา- อ.ใครเป็นผู้มีความเป็น
แห่งคนพาลกว่า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
อ. พราหมณ์ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ก�ำหนดแล้ว ว่า อ. มาณพนั่น
ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำอันควรแล้ว ดังนี้ กล่าวแล้ว ว่า
ดูก่อนมาณพ อ. ท่าน กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำจริงแล (แห่งเรา ท.)
ผู้คร�่ำครวญอยู่หนา อ. เรานั่นเทียว เป็นผู้มีความเป็น-
แห่งคนพาลกว่า (ย่อมเป็น) อ. เรา ปรารถนาเฉพาะอยู่
ซึ่งบุตร ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว ราวกะ อ. เด็ก ร้องไห้ถึงอยู่
ซึ่งพระจันทร์ ดังนี้ ฯ
เป็นผู้มีความเศร้าโศกออกแล้ว เพราะวาจาเป็นเครื่องกล่าว
ของมาณพนั้น เป็น เมื่อกระท�ำซึ่งการชมเชย แก่มาณพ
ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ท. เหล่านี้ ว่า
(อ. ท่าน) รดลงอยู่ ซึ่งข้าพเจ้า เป็น ผู้อันไฟติดทั่วแล้วหนอ
มีอยู่ ราวกะ (อ. บุคคล) (รดลงอยู่) ซึ่งไฟผู้ช�ำระ อันบุคคล
รดแล้วด้วยเปรียงเทียว ด้วยน�้ำ, ยังความกระวนกระวาย
ทั้งปวง ให้ดับแล้ว, อ. ท่านใด ได้บรรเทาไปปราศแล้ว
ซึ่งความเศร้าโศกเพราะบุตร แห่งข้าพเจ้า ผู้มีความเศร้าโศก
อันไปแล้วในเบื้องหน้า , (อ. ท่านนั้น) ถอนขึ้นแล้วหนอ
ซึ่งลูกศรคือความเศร้าโศกอันอาศัยแล้วซึ่งหทัยของข้าพเจ้า,
อ. ข้าพเจ้า นั้น เป็นผู้มีลูกศรอันถอนขึ้นแล้ว ย่อมเป็น
อ.ข้าพเจ้า เป็นผู้เย็นเป็นแล้ว เป็นผู้ดับแล้ว ย่อมเป็น,
ดูก่อนมาณพ อ,ข้าพเจ้า ย่อมไม่เศร้าโศก, ย่อมไม่ร้องไห้
เพราะฟัง (ซึ่งค�ำ) ของท่าน ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น (อ. พราหมณ์) เมื่อถาม ซึ่งมาณพนั้น ว่า อ. ท่าน
ซื่อเป็นใคร (ย่อมเป็น) ดังนี้(กล่าวแล้ว) ว่า
(อ. ท่าน) เป็นเทวดาหรือหนอ หรือว่าเป็นคนธรรพ์ หรือว่า
เป็นท้าวสักกะ ผู้ให้ซึ่งทานในกาลก่อน ย่อมเป็น, อ. ท่าน
เป็นใครหรือ หรือว่าเป็นบุตร ของใคร (ย่อมเป็น) ? อ. เรา ท.
พึงรู้ ซึ่งท่าน อย่างไร ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 29
อถสฺส มาณโว
“ยฺจ กนฺทสิ ยฺจ โรทสิ
ปุตฺตํ อาฬาหเน สยํ ฑหิตฺวา;
สฺวาหํ กุสลํ กริตฺวาน กมฺมํ
ติทสานํ สหพฺยตํ ปตฺโตติ อาจิกฺขิ.
พฺราหฺมโณ อาห
“อปฺปํ วา พหุํ วา นาทฺทสาม
ทานํ ททนฺตสฺส สเก อคาเร,
อุโปสถกมฺมํ วา ตาทิสํ,
เกน กมฺเมน คโตสิ เทวโลกนฺติ.
มาณโว อาห
“อาพาธิโกหํ ทุกฺขิโต คิลาโน
อาตูรรูโปมฺหิ สเก นิเวสเน,
พุทฺธํ วิคตรชํ วิติณฺณกงฺขํ
อทฺทกฺขึ สุคตํ อโนมปฺํ;
สฺวาหํ มุทิตมโน ปสนฺนจิตฺโต
อฺชลึ อกรึ ตถาคตสฺส
ตาหํ กุสลํ กริตฺวาน กมฺมํ
ติทสานํ สหพฺยตํ ปตฺโตติ.
ตสฺมึ กเถนฺเต กเถนฺเตเยว, พฺราหฺมณสฺส
สกลสรีรํ ปีติยา ปริปูริ.
โส ตํ ปีตึ ปเวเทนฺโต
ครั้งนั้น อ. มาณพ บอกแล้ว แก่พราหมณ์นั้น ว่า
(อ. ท่าน) เผาแล้ว ซึ่งบุตร ในป่าช้า เอง ย่อมคร�ำ่ครวญถึง
ซึ่งบุตรใด ด้วย ย่อมร้องไห้ถึง ซึ่งบุตรใด ด้วย, อ. ข้าพเจ้า คือ
อ. บุตรนั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม อันเป็นกุศล เป็นผู้ถึงแล้ว
ซึ่งความเป็นแห่งบุคคลผู้เที่ยวไปพร้อมกัน (แห่งเทวดา ท.)
ผู้อยู่ในชั้นไตรทศ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
อ. พราหมณ์ กล่าวแล้ว ว่า
(เมื่อท่าน) ถวายอยู่ ซึ่งทาน อันน้อยหรือ หรือว่าอันมาก
ในเรือนอันเป็นของตนหรือ หรือว่า (กระท�ำอยู่) ซึ่งกรรม-
คืออุโบสถ อันเช่นนั้น, (อ.เรา ท.) ย่อมไม่เห็น, (อ. ท่าน)
เป็นผู้ไปแล้ว สู่เทวโลก ย่อมเป็น เพราะกรรม อะไร ดังนี้ ฯ
อ. มาณพ กล่าวแล้ว ว่า
อ. ข้าพเจ้า เป็นผู้มีอาพาธ เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความล�ำบาก
เป็นคนไข้ เป็นผู้มีรูปอันกระสับกระส่าย ในที่เป็นที่อยู่
อันเป็นของตน ย่อมเป็น, อ. ข้าพเจ้า ได้เห็นแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า
ผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีไปปราศแล้ว ผู้มีความสงสัยอันข้ามวิเศษแล้ว
ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้มีพระปัญญาอันไม่ทราม, อ. ข้าพเจ้านั้น
ผู้มีใจอันบันเทิงแล้ว ผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว ได้กระท�ำแล้ว
ซึ่งอัญชลี แก่พระตถาคตเจ้า อ. ข้าพเจ้า ครั้นกระท�ำแล้ว
ซึ่งกรรมอันเป็นกุศล นั้น เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งบุคคล
ผู้เที่ยวไปพร้อมกัน (แห่งเทวดา ท.) ผู้อยู่ในชั้นไตรทศ
(ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
ครั้นเมื่อมาณพนั้น กล่าวอยู่ กล่าวอยู่นั่นเทียว,อ.สรีระทั้งสิ้น
ของพราหมณ์ เต็มรอบแล้ว ด้วยปีติ ฯ
อ. พราหมณ์นั้น เมื่อยังบุคคลให้รู้ทั่ว ซึ่งปีตินั้น กล่าวแล้ว ว่า
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
30
“อจฺฉริยํ วต อพฺภุตํ,
อญฺชลิกมฺมสฺส อยมีทิโส วิปาโก.
อหํปิ มุทิตมโน ปสนฺนจิตฺโต,
อชฺเชว พุทฺธํ สรณํ วชามีติ อาห.
อถ นํ มาณโว
“อชฺเชว พุทฺธํ สรณํ วชาหิ,
ธมฺมฺจ สงฺฆฺจ ปสนฺนจิตฺโต,
ตเถว สิกฺขาปทานิ ปฺจ
อขณฺฑผุลฺลานิ สมาทิยสฺสุ.
ปาณาติปาตา วิรมสฺสุ ขิปฺปํ,
โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยสฺสุ,
อมชฺชโป, โน จ มุสา ภณาหิ,
สเกน ทาเรน จ โหหิ ตุฏฺโ€ติ อาห.
โส “ สาธูติ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
“อตฺถกาโมสิ เม ยกฺข หิตกาโมสิ เทวเต,
กโรมิ ตุยฺหํ วจนํ ตฺวมสิ อาจริโย มม
อุเปมิ สรณํ พุทฺธํ ธมฺมญจาปิ อนุตฺตรํ
สงฺฆฺจ นรเทวสฺส คจฺฉามิ สรณํ อหํ.
ปาณาติปาตา วิรมามิ ขิปฺปํ,
โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยามิ,
อมชฺชโป, โน จ มุสา ภณามิ,
สเกน ทาเรน จ โหมิ ตุฏฺโ€ติ.
อ. เรื่องน่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีแล้ว , อ. วิบาก
แห่งการกระท�ำซึ่งอัญชลี นี้ เป็นเช่นนี้ (ย่อมเป็น), แม้
อ. ข้าพเจ้า ผู้มีใจอันบันเทิงแล้ว ผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว
จะขอถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะ ในวันนี้นั้นเทียว ดังนี้
ครั้งนั้น อ. มาณพ กล่าวแล้ว กะพราหมณ์นั้น ว่า
อ. ท่าน ผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว จงถึง ซึ่งพระพุทธเจ้าด้วย
ซึ่งพระธรรมด้วย ซึ่งพระสงฆ์ด้วย ว่าเป็นสรณะ ในวันนี้
นั่นเทียว, อ. ท่าน จงสมาทาน ซึ่งสิกขาบท ท. ๕ กระท�ำ
ให้เป็นของขาดและท�ำลายแล้วหามิได้ อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ
(อ. ท่าน) จงเว้น จากการยังสัตว์มีลมปราณให้ตกล่วงไป
พลันด้วย, จงเว้นรอบซึ่งวัตถุอันเจ้าของไม่ให้แล้ว ในโลกด้วย,
เป็นผู้ไม่ดื่มซึ่งน�้ำเมา (จงเป็น) ด้วย, จงไม่กล่าว เท็จ ด้วย,
เป็นผู้ยินดีแล้ว ด้วยทาระ ผู้เป็นของตน จงเป็นด้วย ดังนี้ ฯ
(อ. พราหมณ์นั้น) รับพร้อมแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ ได้กล่าวแล้ว
ซึ่งคาถา ท. เหล่านี้ว่า
ดูก่อนยักษ์ อ. ท่าน เป็นผู้ใคร่ซึ่งประโยชน์ แก่ข้าพเจ้า
ย่อมเป็น ดูก่อนเทวดา อ. ท่าน เป็นผู้ใคร่ซึ่งความเกื้อกูล
(แก่ข้าพเจ้า) ย่อมเป็น, อ. ข้าพเจ้า จะกระท�ำ ซึ่งค�ำ
ของท่าน อ. ท่าน เป็นอาจารย์ ของข้าพเจ้า ย่อมเป็น
อ. ข้าพเจ้า จะเข้าถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะด้วย
(อ. ข้าพเจ้า จะเข้าถึง) แม้ซึ่งพระธรรม อันยอดเยี่ยม
(ว่าเป็นสรณะด้วย) อ. ข้าพเจ้า จะถึง ซึ่งพระสงฆ์
(ของพระพุทธเจ้า) ผู้เป็นเทพแห่งนระ ว่าเป็นสรณะด้วย ฯ
อ. ข้าพเจ้า จะเว้น จากการยังสัตว์มีลมปราณ
ให้ตกล่วงไปพลันด้วย, จะเว้นรอบ ซึ่งวัตถุอันเจ้าของไม่ให้แล้ว
ในโลกด้วย , เป็นผู้ไม่ดื่มซึ่งน�้ำเมา (จะเป็น) ด้วย ,
จะไม่กล่าว เท็จ ด้วย, เป็นผู้ยินดีแล้ว ด้วยทาระ ผู้เป็นของตน
จะเป็นด้วย ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 31
อถ นํ เทวปุตฺโต “พฺราหฺมณ ตว เคเห พหุํ
ธนํ อตฺถิ, สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ทานํ เทหิ ธมฺมํ
สุณาหิ, ปฺหํ ปุจฺฉาหีติ วตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิ.
พฺราหฺมโณปิ เคหํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณึ อามนฺเตตฺวา
“ภทฺเท อหํ สมณํ โคตมํ นิมนฺเตตฺวา ปฺหํ
ปุจฺฉิสฺสามิ; สกฺการํ กโรหีติ วตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา
สตฺถารํ เนว อภิวาเทตฺวา น ปฏิสนฺถารํ กตฺวา
เอกมนฺตํ €ิโต “โภ โคตม อธิวาเสหิ เม อชฺชตนาย
ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนาติ อาห.
สตฺถา อธิวาเสสิ.
โส สตฺถุ อธิวาสนํ วิทิตฺวา เวเคนาคนฺตฺวา
สกนิเวสเน ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปสิ.
สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา
ปฺตฺตาสเน นิสีทิ.
พฺราหฺมโณ สกฺกจฺจํ ปริวิสิ.
มหาชโน สนฺนิปติ.
มิจฺฉาทิฏฺ€ิเกน กิร ตถาคเต นิมนฺติเต, เทฺว
ชนกายา สนฺนิปตนฺติ:
มิจฺฉาทิฏฺ€ิกา “ อชฺช สมณํ โคตมํ ปฺหํ
ปุจฺฉาย วิเห€ิยมานํ ปสฺสิสฺสามาติ สนฺนิปตนฺติ,
สมฺมาทิฏฺ€ิกา “อชฺช พุทฺธวิสยํ พุทฺธลีฬฺหํ
ปสฺสิสฺสามาติ สนฺนิปตนฺติ.
อถ พฺราหฺมโณ กตภตฺตกิจฺจํ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา
นีจาสเน นิสินฺโน, ปฺหํ ปุจฺฉิ “โภ โคตม ตุมฺหากํ
ทานํ อทตฺวา ปูชํ อกตฺวา ธมฺมํ อสฺสุตฺวา อุโปสถ
วาสํ อวสิตฺวา เกวลํ มโนปสาทมตฺเตเนว สคฺเค
นิพฺพตฺตา นาม โหนฺตีติ.
“พฺราหฺมณ กสฺมา มํ ปุจฺฉสิ,
ครั้งนั้น อ. เทพบุตร กล่าวแล้ว กะพราหมณ์นั้น ว่า
ดูก่อนพราหมณ์ อ. ทรัพย์ มาก มีอยู่ในเรือน ของท่าน ,
(อ. ท่าน) เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา จงถวาย ซึ่งทาน จงฟัง
ซึ่งธรรม, จงทูลถาม ซึ่งปัญหา ดังนี้หายไปแล้ว ในที่นั้นนั่นเทียว ฯ
แม้ อ. พราหมณ์ ไปแล้ว สู่เรือน เรียกมาแล้ว ซึ่งนางพราหมณี
กล่าวแล้ว ว่า แน่ะนางผู้เจริญ อ. เรา ทูลนิมนต์แล้ว ซึ่งพระสมณะ
ผู้โคดม จักทูลถาม ซึ่งปัญหา; อ. ท่าน จงกระท�ำซึ่งสักการะ
ดังนี้ ไปแล้ว สู่วิหาร ไม่อภิวาทแล้ว ซึ่งพระศาสดานั่นเทียว
ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งปฏิสันถาร ยืนแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ทูลแล้ว
ว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ (อ. พระองค์) กับ ด้วยหมู่แห่งภิกษุ
ทรงยังภัตร ของข้าพระองค์ จงให้อยู่ทับ เพื่อภัตรบริโภคอันมี
ในวันนี้ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา (ทรงยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว ฯ
อ.พราหมณ์นั้น ทราบแล้ว ซึ่งการ ยังค�ำนิมนต์ ให้อยู่ทับ
แห่งพระศาสดา มาแล้ว โดยเร็ว (ยังบุคคล) ให้จัดแจงแล้ว
ซึ่งของอันบุคคลพึงเคี้ยว ซึ่งของอันบุคคลพึงบริโภค ในนิเวศน์
อันเป็นของตน ฯ
อ. พระศาสดา ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จไปแล้ว
สู่เรือน ของพราหมณ์นั้น ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันบุคคล
ปูลาดแล้ว ฯ
อ. พราหมณ์ อังคาสแล้ว โดยเคารพ ฯ
อ. มหาชน ประชุมกันแล้ว ฯ
ได้ยินว่า ครั้นเมื่อพระตถาคตเจ้า อันบุคคลผู้มีความเห็นผิด
ทูลนิมนต์แล้ว, อ. หมู่แห่งชน ท. สอง ย่อมประชุมกัน :
(อ.ชนท.)ผู้มีความเห็นผิดย่อมประชุมกัน(ด้วยความคิด)ว่า
ในวันนี้(อ. เรา ท.) จักเห็น ซึ่งพระสมณะ ผู้โคดม ผู้อันพราหมณ์
เบียดเบียนอยู่ ด้วยการทูลถาม ซึ่งปัญหา ดังนี้
(อ. ชน ท.) ผู้มีความเห็นชอบ ย่อมประชุมกัน (ด้วยความคิด)
ว่า ในวันนี้ (อ. เรา ท.) จักเห็น ซึ่งวิสัยแห่งพระพุทธเจ้า
ซึ่งการเยื้องกรายแห่งพระพุทธเจ้า ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ.พราหมณ์เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า
ผู้มีกิจด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว นั่งแล้ว บนอาสนะต�่ำ, ทูลถามแล้ว
ซึ่งปัญหา ว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ (อ. ชน ท.) ชื่อว่า
เป็นผู้ไม่ถวายแล้ว ซึ่งทาน ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งการบูชา แก่พระองค์ท.
ไม่ฟังแล้ว ซึ่งธรรม ไม่อยู่แล้ว อยู่ด้วยสามารถแห่งอุโบสถ
บังเกิดแล้ว ในสวรรค์ (ด้วยเหตุ) สักว่าความเลื่อมใสแห่งใจ
อย่างเดียวนั่นเทียว ย่อมเป็นหรือ ? ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนพราหมณ์ (อ. ท่าน)
ย่อมถาม ซึ่งเรา เพราะเหตุไร,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
32
นนุ เต ปุตฺเตน มฏฺ€กุณฺฑลินา มยิ มนํ
ปสาเทตฺวา อตฺตโน สคฺเค นิพฺพตฺตภาโว กถิโตติ.
“กทา โภ โคตมาติ.
“นนุ ตฺวํ อชฺช สุสานํ คนฺตฺวา กนฺทนฺโต
อวิทูเร พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺตํ เอกํ มาณวํ ทิสฺวา
`อลงฺกโต มฏฺ€กุณฺฑลี
มาลาภารี หริจนฺทนุสฺสโทติ
ทฺวีหิ ชเนหิ กถิตํ กถํ ปกาเสนฺโต สพฺพํ
มฏฺ€กุณฺฑลิวตฺถุํ กเถสิ.
เตเนเวตํ พุทฺธภาสิตํ นาม ชาตํ.
ตํ กเถตฺวา จ ปน, “ น โข พฺราหฺมณ เอกสตํ ,
น เทฺว , อถโข มยิ มนํ ปสาเทตฺวา สคฺเค
นิพฺพตฺตานํ คณนา นตฺถีติ อาห.
มหาชโน เวมติโก อโหสิ.
อถสฺส อนิพฺเพมติกภาวํ วิทิตฺวา สตฺถา
“มฏฺ€กุณฺฑลิเทวปุตฺโต วิมาเนเนว สทฺธึ อาคจฺฉตูติ
อธิฏฺ €าสิ. โส ติคาวุตปฺปมาเณน
ทิพฺพาภรณปฏิมณฺฑิเตน อตฺตภาเวนาคนฺตฺวา
วิมานา โอรุยฺห สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ
อฏฺ€าสิ.
อถ นํ สตฺถา “ตฺวํ อิมํ สมฺปตฺตึ กึ กมฺมํ กตฺวา
ปฏิลภีติ ปุจฺฉนฺโต,
อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ยา ตฺวํ ติฏฺ€สิ เทวเต
โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา โอสธี วิย ตารกา,
ปุจฺฉามิ ตํ เทว มหานุภาวํ
มนุสฺสภูโต กิมกาสิ ปุฺนฺติ
คาถมาห.
เทวปุตฺโต “อยํ ภนฺเต สมฺปตฺติ ตุมฺเหสุ มนํ
ปสาเทตฺวา ลทฺธาติ. “มยิ มนํ ปสาเทตฺวา ลทฺธา
เตติ. “อาม ภนฺเตติ.
อ. ความที่ แห่งตน เป็นผู้ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา บังเกิดแล้ว
ในสวรรค์ อันมัฏฐกุณฑลี ผู้เป็นบุตร ของท่าน บอกแล้ว
(แก่ท่าน) มิใช่หรือ ดังนี้ ฯ (อ. พราหมณ์ ทูลถามแล้ว) ว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ (อ. ความที่แห่งตน เป็นผู้บังเกิดแล้ว
ในสวรรค์ อันมัฏฐกุณฑลี บอกแล้ว แก่ข้าพระองค์) ในกาลไร ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดาตรัสแล้ว) ว่า อ. ท่าน ไปแล้ว สู่ป่าช้า ในวันนี้
คร�่ำครวญอยู่เห็นแล้วซึ่งมาณพคนหนึ่งผู้ประคองแล้วซึ่งแขนท.
คร�่ำครวญอยู่ ในที่อันไม่ไกล (วเทสิ) กล่าวแล้ว ว่า
(อ. ท่าน) ผู้อันบุคคลกระท�ำให้พอแล้ว ผู้มีตุ้มหูอันเกลี้ยง
ผู้มีภาระคือระเบียบ ผู้มีกายหนาขึ้นด้วยจันทน์เหลือง
ดังนี้เป็นต้น
มิใช่หรือ (ดังนี้) เมื่อทรงประกาศ ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าว
อันอันชน ท. สอง กล่าวแล้ว ตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องแห่งมาณพชื่อว่า-
มัฏฐกุณฑลี ทั้งปวง ฯ
เพราะเหตุนั้นนั่นเทียว อ. เรื่องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
นั่น ชื่อว่าเป็นเรื่องอันพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว เกิดแล้ว ฯ
ก็แล (อ. พระศาสดา) ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องแห่งมาณพ
ชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนั้น, ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนพราหมณ์ อ. ร้อยหนึ่ง
(ย่อมมี) หามิได้แล, (อ. ร้อย ท.) สอง (ย่อมมี) หามิได้, อ. การนับ
(ซึ่งสัตว์ ท.) ผู้ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา บังเกิดแล้ว ในสวรรค์
ย่อมไม่มี โดยแท้แล ดังนี้ ฯ อ. มหาชน เป็นผู้ประกอบแล้ว
ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ได้เป็นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งมหาชน
นั้น มิใช่เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยความเคลือบแคลงสงสัยออกแล้ว
ทรงอธิษฐานแล้ว ว่า อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี จงมา กับ
ด้วยวิมานนั่นเทียว ดังนี้ ฯ อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนั้น มาแล้ว
ด้วยทั้งอัตภาพ อันมีคาวุตสามเป็นประมาณ อันประดับเฉพาะ
แล้วด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ ลงแล้ว จากวิมาน ถวายบังคมแล้ว
ซึ่งพระศาสดา ได้ยืนแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสถามอยู่ ซึ่งเทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
นั้น ว่า อ. ท่าน กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอะไร ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งสมบัตินี้
ดังนี้, ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ว่า
ดูก่อนเทวดา อ. ท่าน ใด มีรูป อันงาม ยังทิศ ท. ทั้งปวง
ให้สว่างอยู่ ยืนอยู่ ราวกะ อ.ดาวประจ�ำรุ่ง (ยังทิศ ท. ทั้งปวง
ให้สว่างอยู่) ฯ ดูก่อนเทวดา อ. เรา ย่อมถาม ซึ่งท่านนั้น
ผู้มีอานุภาพมาก (อ. ท่านนั้น) เป็นมนุษย์เป็นแล้ว
ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญอะไร ดังนี้ ฯ
อ. เทพบุตร (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. สมบัติ นี้
อันข้าพระองค์ ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในพระองค์ ท. ได้แล้ว ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า (อ. สมบัตินี้) อันท่าน ยังใจ
ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา ได้แล้ว หรือ ดังนี้ ฯ (อ. เทพบุตร
กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า (อ. อย่างนั้น)
ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 33
มหาชโน เทวปุตฺตํ โอโลเกตฺวา, อจฺฉริยา
วต โภ พุทฺธคุณา อทินฺนปุพฺพกพฺราหฺมณสฺส นาม
ปุตฺโต อฺํ กิฺจิ ปุฺํ อกตฺวา สตฺถริ มนํ
ปสาเทตฺวา เอวรูปํ สมฺปตฺตึ ปฏิลภีติ ตุฏฺ€ึ ปเวเทสิ.
อถ เนสํ “ กุสลากุสลกมฺมกรเณ มโน
ปุพฺพงฺคโม, มโน เสฏฺโ€ ; ปสนฺเนน หิ มเนน
กตกมฺมํ เทวโลกํ มนุสฺสโลกํ คจฺฉนฺตํ ปุคฺคลํ
ฉายาว น วิชหตีติ อิทํ วตฺถุํ กเถตฺวา อนุสนฺธึ
ฆเฏตฺวา ปติฏฺ€าปิตมตฺติกํ สาสนํ ราชมุทฺทาย
ลฺฉนฺโต วิย ธมฺมราชา อิมํ คาถมาห
“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ€า มโนมยา;
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา,
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินีติ.
ตตฺถ กิฺจาปิ “มโนติ อวิเสเสน สพฺพมฺปิ
จตุภูมิกจิตฺตํ วุจฺจติ; อิมสฺมึ ปน ปเท นิยมิยมานํ
ววตฺถาปิยมานํ ปริจฺฉิชฺชมานํ อฏฺ€วิธํ กามาวจร-
กุสลจิตฺตํ ลพฺภติ; วตฺถุวเสน ปนาหริยมานํ
ตโตปิ โสมนสฺสสหคตํ าณสมฺปยุตฺตํ จิตฺตเมว
ลพฺภติ.
ปุพฺพงฺคมาติ: เตน ป€มคามินา หุตฺวา
สมนฺนาคตา.
ธมฺมาติ: เวทนาทโย ตโย ขนฺธา.
เอเตสํ หิ อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน มโน
ปุพฺพงฺคโม, เตน มโนปุพฺพงฺคมา นาม.
ยถา หิ พหูสุ เอกโต มหาภิกฺขุสงฺฆสฺส
ปตฺตจีวรทานาทีนิ วา อุฬารปูชาธมฺมสฺสวน-
ทีปมาลากรณาทีนิ วา ปุฺานิ กโรนฺเตสุ,
“โก เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุตฺเต,
อ.มหาชนแลดูแล้วซึ่งเทพบุตร,(กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
อ. คุณแห่งพระพุทธเจ้า ท. เป็นสภาพน่าอัศจรรย์ หนอ (ย่อมเป็น) !
อ. บุตร ชื่อ ของพราหมณ์ชื่อว่าอทินนปุพพกะ ไม่กระท�ำแล้ว
ซึ่งบุญ อะไร ๆ อื่น ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในพระศาสดา ได้เฉพาะแล้ว
ซึ่งสมบัติ มีอย่างนี้เป็นรูป ดังนี้ (ยังชน ท.) ให้รู้ทั่วแล้ว
ซึ่งความยินดี ฯ
ครั้งนั้น (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) แก่ชน ท. เหล่านั้น ว่า
อ.ใจ เป็นสภาพถึงก่อน ในการกระท�ำซึ่งกรรมอันเป็นกุศลและอกุศล
(ย่อมเป็น), อ. ใจ เป็นสภาพประเสริฐที่สุด (ในการกระท�ำซึ่งกรรม
อันเป็นกุศลและอกุศล ย่อมเป็น); เพราะว่า อ. กรรมอันบุคคลกระท�ำแล้ว
ด้วยใจ อันผ่องใสแล้ว ย่อมไม่ละ ซึ่งบุคคล ผู้ไปอยู่ สู่เทวโลก
สู่มนุษยโลก เพียงดัง อ. เงา ดังนี้ ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องนี้
ทรงสืบต่อ ซึ่งอนุสนธิ ผู้เป็นพระราชาเพราะธรรม ตรัสแล้ว
ซึ่งพระคาถานี้ ว่า
อ. ธรรม ท. มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด
อันส�ำเร็จแล้วแต่ใจ, หากว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันผ่องใสแล้ว
กล่าวอยู่ หรือ หรือว่ากระท�ำอยู่ไซร้, อ. ความสุข ย่อมไปตาม
ซึ่งบุคคลนั้น เพราะสุจริตอันมีอย่างสามนั้น เพียงดัง อ. เงา
อันไปตามโดยปกติ ดังนี้ ฯ
ราวกะ (อ. พระราชา) ทรงประทับอยู่ ซึ่งพระราชสาส์น มีดินเหนียว
อันพระองค์ทรงให้ตั้งไว้เฉพาะแล้ว ด้วยตราของพระราชา ฯ
อ. จิตอันเป็นไปในภูมิสี่ แม้ทั้งปวง (อันบัณฑิต) ย่อมเรียก ว่า
อ. ใจ ดังนี้ในพระคาถานั้น โดยไม่แปลกกัน แม้ก็จริง; ถึงอย่างนั้น
อ. กุศลจิตอันเป็นกามาวจร อันมีอย่าง ๘ อันอาจารย์นิยมอยู่
อันอาจารย์ให้ตั้งลงต่างอยู่ อันอาจารย์ก�ำหนดอยู่ (อันบัณฑิต)
ย่อมได้ ในบทนี้; ก็ อ. จิตนั่นเทียว อันอาจารย์น�ำมาอยู่
ด้วยอ�ำนาจแห่งวัตถุ อันไปแล้วกับด้วยโสมนัสอันประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยญาณ (จากกุศลจิตอันเป็นกามาวจร) แม้นั้น (อันบัณฑิต)
ย่อมได้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า มาตามพร้อมแล้ว ด้วยใจนั้น เป็นสภาพถึงก่อน
โดยปกติเป็น (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ปุพฺพงฺคมา ดังนี้ฯ
อ. ขันธ์ ท. สาม มีเวทนาเป็นต้น ชื่อว่า ธรรมา ฯ
จริงอยู่ อ.ใจ ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน แห่งธรรม ท. เหล่านั่น
เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น (ย่อมเป็น),
เพราะเหตุนั้น (อ.ธรรมท.เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อนฯ
เหมือนอย่างว่า (ครั้นเมื่อทายกท.) มาก กระท�ำอยู่ ซึ่งบุญท.
มีการถวายซึ่งบาตรและจีวรเป็นต้น แก่หมู่แห่งภิกษุใหญ่ หรือ
หรือว่า มีการบูชาอันโอฬารและการฟังซึ่งธรรมและการกระท�ำ-
ซึ่งประทีปและระเบียบเป็นต้น โดยความเป็นอันเดียวกัน,
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ใคร เป็นผู้ถึงก่อน แห่งทายก ท. เหล่านั้น
(ย่อมเป็น) ดังนี้(อันใคร ๆ) กล่าวแล้ว,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
34
โย เตสํ ปจฺจโย โหติ, ยํ นิสฺสาย เต ตานิ
ปุฺานิ กโรนฺติ, โส ติสฺโส วา ปุสฺโส วา “เตสํ
ปุพฺพงฺคโมติ วุจฺจติ; เอวํ สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํ.
อิติ อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน มโน ปุพฺพงฺคโม
เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา.
น หิ เต มเน อนุปฺปชฺชนฺเต,อุปฺปชฺชิตุํ สกฺโกนฺติ,
มโน ปน, เอกจฺเจสุ เจตสิเกสุ อนุปฺปชฺชนฺเตสุปิ,
อุปฺปชฺชติเยว. เอวํ อธิปติวเสน ปน มโน เสฏฺโ€
เอเตสนฺติ มโนเสฏฺ€า.
ยถา หิ คณาทีนํ อธิปติ ปุริโส “ คณเสฏฺโ€
เสนีเสฏฺโ€ติ วุจฺจติ; ตถา เตสํปิ มโนติ มโนเสฏฺ€า.
ยถา ปน สุวณฺณาทีหิ นิปฺผนฺนานิ ตานิ ตานิ
ภณฺฑานิ สุวณฺณมยาทีนิ นาม โหนฺติ; ตถา
เอเตปิ มนโต นิปฺผนฺนตฺตา มโนมยา นาม.
ปสนฺเนนาติ: อนภิชฺฌาทีหิ คุเณหิ ปสนฺเนน.
ภาสติ วา กโรติ วาติ: เอวรูเปน มเนน
ภาสนฺโต จตุพฺพิธํ วจีสุจริตเมว ภาสติ, กโรนฺโต ติวิธํ
กายสุจริตเมว กโรติ, อภาสนฺโต อกโรนฺโต ตาย
อนภิชฺฌาทีหิ ปสฺนฺนมานสตาย ติวิธํ มโนสุจริตํ
ปูเรติ. เอวมสฺส ทส กุสลกมฺมปถา ปาริปูรึ
คจฺฉนฺติ.
ตโต นํ สุขมเนฺวตีติ: ตโต ติวิธสุจริตโต ตํ
ปุคฺคลํ สุขมเนฺวติ.
อิธ เตภูมิกํปิ กุสลํ อธิปฺเปตํ; ตสฺมา “เตภูมิก-
สุจริตานุภาเวน สุคติภเว นิพฺพตฺตํ สุคติยํ วา
สุขานุภวนฏฺ€าเน €ิตํ `กายวตฺถุกมฺปิ อิตรวตฺถุกมฺปีติ
กายิกเจตสิกํ วิปากสุขํ อนุคจฺฉติ น วิชหตีติ
อตฺโถ เวทิตพฺโพ.
อ. ทายกใด เป็นปัจจัย ของทายก ท. เหล่านั้น ย่อมเป็น ,
อ.ทายกท. เหล่านั้น อาศัยแล้ว ซึ่งทายกใด ย่อมกระท�ำซึ่งบุญท.
เหล่านั้น, อ. ทายกนั้น ชื่อว่าติสสะหรือ หรือว่าชื่อว่าปุสสะ
(อันชน ท.) ย่อมเรียก ว่า (อ.ทายกนั้น) เป็นผู้ถึงก่อน แห่งทายก ท.
เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฉันใด; อ. ค�ำเป็นเครื่องยังอุปไมย
ให้ถึงพร้อมนี้(อันบัณฑิต) พึงทราบฉันนั้น ฯ
อ. ใจ ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน แห่งธรรม ท. เหล่านั่น
เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้
เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท. เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อน ฯ
จริงอยู่ อ. ธรรม ท. เหล่านั้น ครั้นเมื่อใจ ไม่เกิดขึ้นอยู่ ,
ย่อมไม่อาจ เพื่ออันเกิดขึ้น, แต่ว่า อ. ใจ , ครั้นเมื่อเจตสิก ท.
บางพวก แม้ไม่เกิดขึ้นอยู่, ย่อมเกิดขึ้นนั่นเทียว ฯ ก็ อ. ใจ
เป็นสภาพประเสริฐที่สุด แห่งธรรม ท. เหล่านั้น ด้วยอ�ำนาจ
แห่งความเป็นอธิบดี ด้วยประการฉะนี้เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท.
เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ
เหมือนอย่างว่าอ.บุรุษผู้เป็นอธิบดี(แห่งชนท.)มีคณะเป็นต้น
(อันชน ท.) ย่อมเรียก ว่า ผู้ประเสริฐที่สุดในคณะ ผู้ประเสริฐที่สุด
ในกองทัพ ดังนี้ฉันใด; อ. ใจ (เป็นสภาพประเสริฐที่สุด) แห่งธรรม ท.
แม้เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น (อ.ธรรมท.เหล่านั้น)
ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ
เหมือนอย่างว่า อ.ภัณฑะท.เหล่านั้นเหล่านั้น อันส�ำเร็จแล้ว
(แต่วัตถุ ท.) มีทองเป็นต้น ชื่อว่าเป็นวัตถุมีวัตถุอันส�ำเร็จแล้ว
แต่ทองเป็นต้น ย่อมเป็น ฉันใด; อ. ธรรม ท. แม้เหล่านั่น ชื่อว่า
เป็นสภาพส�ำเร็จแล้วแต่ใจ เพราะความที่ (แห่งธรรม ท. เหล่านั่น)
เป็นสภาพส�ำเร็จแล้ว แต่ใจ (ย่อมเป็น) ฉันนั้น ฯ
(อ.อรรถ)ว่าอันผ่องใสแล้วด้วยคุณท.มีความไม่เพ่งเล็งเป็นต้น
(ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ปสนฺเนน ดังนี้ฯ
(อ. อรรถ) ว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันมีอย่างนี้เป็นรูป เมื่อกล่าว
ชื่อว่าย่อมกล่าว ซึ่งวจีสุจริต อันมีอย่าง ๔ นั่นเทียว, เมื่อกระท�ำ
ชื่อว่าย่อมกระท�ำซึ่งกายสุจริตอันมีอย่าง๓นั่นเทียว,เมื่อไม่กล่าว
เมื่อไม่กระท�ำ ยังมโนสุจริต อันมีอย่าง ๓ ชื่อว่าย่อมให้เต็มได้
เพราะความที่แห่งตนเป็นผู้มีใจอันผ่องใสแล้ว (ด้วยคุณ ท.)
มีความไม่เพ่งเล็งเป็นต้น นั้น ฯ อ. กุศลกรรมบถ ท. ๑๐ ย่อมถึง
ซึ่งความเต็มรอบ แก่บุคคลนั้น ด้วยประการฉะนี้ (ดังนี้ แห่งบาท
แห่งพระคาถา) ว่า ภาสติ วา กโรติ วา ดังนี้ฯ
(อ. อรรถ) ว่า อ. ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น
เพราะสุจริตอันมีอย่าง ๓ นั้น (ดังนี้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ดังนี้ ฯ
อ. กุศล แม้อันเป็นไปในภูมิ ๓ (อันพระผู้มีพระภาคเจ้า)
ทรงประสงค์เอาแล้ว ในที่นี้; เพราะเหตุนั้น อ. อธิบาย ว่า
อ. ความสุขอันเป็นวิบาก อันเป็นไปในกายและเป็นไปในจิต
(โดยปริยายนี้) ว่า (อ. วิบากสุข) อันมีกายเป็นที่ตั้งบ้าง อันมีจิต
นอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง ดังนี้ย่อมไปตาม คือว่า ย่อมไม่ละ (ซึ่งบุคคลนั้น)
ผู้บังเกิดแล้ว ในสุคติภพหรือ หรือว่าผู้ด�ำรงอยู่แล้ว ในที่เป็นที่เสวย
ซึ่งความสุข ในสุคติ เพราะอานุภาพแห่งสุจริตอันเป็นไปในภูมิ ๓
ดังนี้(อันบัณฑิต) พึงทราบ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 35
ยถากึ? ฉายาว อนุปายินีติ: ยถา หิ ฉายา นาม
สรีรปฺปฏิพทฺธา สรีเร คจฺฉนฺเต, คจฺฉติ, ติฏฺ€นฺเต,
ติฏฺ€ติ, นิสีทนฺเต, นิสีทติ, น สกฺกา สณฺเหน วา
ผรุเสน วา `นิวตฺตาหีติ วตฺวา วา โปเถตฺวา วา
นิวตฺตาเปตุํ.
กสฺมา?สรีรปฺปฏิพทฺธตฺตา.เอวเมวอิเมสํ ทสนฺนํ
กุสลกมฺมปถานํ อาจิณฺณสมาจิณฺณกุสลมูลกํ
กามาวจราทิเภทํ กายิกเจตสิกํ สุขํ คตคตฏฺ€าเน
อนุปายินี ฉายา วิย หุตฺวา น วิชหตีติ.
คาถาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ
ธมฺมาภิสมโย อโหสิ.
มฏฺ€กุณฺฑลิเทวปุตฺโต โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€หิ.
ตถา อทินฺนปุพฺพโก พฺราหฺมโณ. โส ตาวมหนฺตํ วิภวํ
พุทฺธสาสเน วิปฺปกิรีติ.
มฏฺฐกุณฺฑลิวตฺถุ.
๓. ติสฺสตฺเถรวตฺถุ. (๓)
“อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
เชตวเน วิหรนฺโต ติสฺสตฺเถรํ อารพฺภ กเถสิ.
โส กิรายสฺมา ภควโต ปิตุจฺฉาปุตฺโต มหลฺลก-
กาเล ปพฺพชิโต พุทฺธสาสเน อุปฺปนฺนํ ลาภสกฺการํ
ปริภุฺชนฺโตถุลฺลสรีโรอาโกฏิตปจฺจาโกฏิเตหิ จีวเรหิ
เยภุยฺเยน วิหารมชฺเฌ อุปฏฺ€านสาลายํ นิสีทติ.
ตถาคตสฺส ทสฺสนตฺถาย อาคตา อาคนฺตุกา
ภิกฺขู “เอโส มหาเถโร ภวิสฺสตีติ สฺาย ตสฺส
สนฺติกํ คนฺตฺวา วตฺตํ อาปุจฺฉนฺติ, ปาทสมฺพาหนาทีนิ
อาปุจฺฉนฺติ. โส ตุณฺหี โหติ.
(อ. อันถาม ว่า อ. ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคล นั้น
เพราะสุจริตอันมีอย่าง ๓ นั้น) ราวกะ อ. อะไร? (ดังนี้) (อ. อันแก้ ว่า
อ.ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น เพราะสุจริตอันมีอย่าง ๓ นั้น)
เพียงดัง อ. เงา อันไปตามโดยปกติ ดังนี้ ฯ (อ. อธิบาย) ว่า
เหมือนอย่างว่า ชื่อ อ. เงา อันเนื่องเฉพาะแล้วด้วยสรีระ
ครั้นเมื่อสรีระ ไปอยู่, ย่อมไป, (ครั้นเมื่อสรีระ) ยืนอยู่, ย่อมยืน,
(ครั้นเมื่อสรีระ) นั่งอยู่, ย่อมนั่ง, (อันใคร ๆ) ไม่อาจ เพื่ออันกล่าวแล้ว
ว่า (อ.ท่าน) จงกลับ ดังนี้(ด้วยค�ำ) อันไพเราะหรือ หรือว่าอันหยาบคาย
หรือ หรือว่าโบยแล้ว (ยังเงา) ให้กลับ ฯ
(อ. อันถาม ว่า อันใคร ๆ ไม่อาจ เพื่ออันยังเงาให้กลับ)
เพราะเหตุไร?(ดังนี้)(อ.อันแก้ว่าอันใครๆไม่อาจเพื่ออันยังเงาให้กลับ)
เพราะความที่แห่งเงา นั้น เป็นธรรมชาติเนื่องเฉพาะแล้วด้วยสรีระ
(ดังนี้) (ฉันใด) อ. ความสุข อันเป็นไปในกายและเป็นไปในจิต
อันต่างด้วยสุขมีสุขอันเป็นกามาวจรเป็นต้น อันมีแห่งกุศลกรรมบถ
ท. ๑๐ เหล่านี้หนา - กุศลอันอันบุคคลประพฤติทั่วแล้วและ
ประพฤติทั่วดีแล้วเป็นมูล ย่อมไม่ละ (ซึ่งบุคคลนั้น) ในที่
(แห่งบุคคลนั้น) ไปแล้วและไปแล้ว เป็นราวกะว่า อ.เงา
อันเป็นตามโดยปกติ เป็น ฉันนั้นนั่นเทียว ดังนี้ ( แห่งบาท
แห่งพระคาถา)ว่า ฉายาว อนุปายินี ดังนี้ ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. อันรู้ตลอดเฉพาะ
ซึ่งธรรม ได้มีแล้ว แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท. ๘๔ ฯ
อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล ฯ
อ.อย่างนั้น คือว่า อ.พราหมณ์ชื่อว่าอทินนปุพพกะ(ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว
ในโสดาปัตติผล) ฯ อ.พราหมณ์ นั้น เรี่ยรายแล้ว ซึ่งสมบัติ
อันบุคคลพึงเสวย อันใหญ่ เพียงนั้น ในพระพุทธศาสนา ดังนี้แล
ฯ *จบ ก. ๖*
อ. เรื่องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี (จบแล้ว) ฯ
๓. อ.เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าติสสะ
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
ซึ่งพระเถระชื่อว่าติสสะ ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ ว่า
อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ ดังนี้เป็นต้น ฯ
ได้ยินว่า (อ. พระติสสะ) ผู้มีอายุนั้น เป็นโอรสแห่งพระเจ้าอา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (เป็น) บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่
บริโภคอยู่ ซึ่งลาภและสักการะ อันเกิดขึ้นแล้ว ในพระพุทธศาสนา
เป็นผู้มีสรีระอันอ้วน (เป็น) มีจีวร ท. อันบุคคลทุบทั่วแล้วและ
ทุบทั่วเฉพาะแล้ว นั่งอยู่ ในศาลาเป็นที่บ�ำรุงในท่ามกลางแห่งวิหาร
โดยมาก ฯ
อ. ภิกษุ ท. ผู้จรมา ผู้มาแล้ว เพื่อต้องการแก่อันเฝ
้ า
ซึ่งพระตถาคตเจ้า ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระติสสะนั้น ด้วยส�ำคัญ ว่า
อ. พระเถระนั่น เป็นพระเถระผู้ใหญ่ จักเป็น ดังนี้ ย่อมถาม
โดยเอื้อเฟื้อ ซึ่งวัตร, ย่อมถามโดยเอื้อเฟื้อ (ซึ่งกิจ ท.) มีการนวด
ซึ่งเท้าเป็นต้น ฯ อ. พระเถระนั้น เป็นผู้นิ่ง ย่อมเป็น ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
36
อถ นํ เอโก ทหรภิกฺขุ “กติวสฺสา ตุมฺเหติ
ปุจฺฉิตฺวา “วสฺสํ นตฺถิ, มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตา
มยนฺติ วุตฺเต, “อาวุโส ทุพฺพินีต มหลฺลก อตฺตโน
ปมาณํ น ชานาสิ, เอตฺตเก มหลฺลกตฺเถเร
ทิสฺวา สามีจิมตฺตํปิ น กโรสิ, วตฺเต อาปุจฺฉิยมาเน,
ตุณฺหี โหสิ, กุกฺกุจฺจมตฺตํปิ เต นตฺถีติ อจฺฉรํ
ปหริ.
โส ขตฺติยมานํ ชเนตฺวา “ตุมฺเห กสฺส สนฺติกํ
อาคตาติ ปุจฺฉิตฺวา, “สตฺถุ สนฺติกนฺติ วุตฺเต, “ มํ
ปน `โก เอโสติ สลฺลกฺเขถ, มูลเมว โว ฉินฺทิสฺสามีติ
วตฺวา รุทนฺโต ทุกฺขี ทุมฺมโน สตฺถุ สนฺติกํ อคมาสิ.
อถ นํ สตฺถา “กินฺนุ ตฺวํ ติสฺส ทุกฺขี ทุมฺมโน
อสฺสุมุโข รุทมาโน อาคโตสีติ ปุจฺฉิ. เตปิ ภิกฺขู
“เอส คนฺตฺวา กิฺจิ อาลุลิกํ กเรยฺยาติ จินฺเตตฺวา
เตเนว สทฺธึ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ
นิสีทึสุ.
โส สตฺถารา ปุจฺฉิโต “อิเม มํ ภนฺเต ภิกฺขู
อกฺโกสนฺตีติ อาห.
“กหํ ปน ตฺวํ นิสินฺโนสีติ.
“วิหารมชฺเฌ อุปฏฺ€านสาลายํ ภนฺเตติ.
“อิเม เต ภิกฺขู อาคจฺฉนฺตา ทิฏฺ€าติ.
“ทิฏฺ€า ภนฺเตติ.
“อุฏฺ€าย เต ปจฺจุคฺคมนํ กตนฺติ.
“น กตํ ภนฺเตติ.
“เตสํ ปริกฺขารคฺคหณํ เต อาปุจฺฉิตนฺติ.
“นาปุจฺฉิตํ ภนฺเตติ.
“วตฺตํ วา ปานียํ วา อาปุจฺฉิตนฺติ.
“นาปุจฺฉิตํ ภนฺเตติ.
“อาสนํ อภิหริตฺวา ปาทสมฺพาหนํ กตนฺติ.
“น กตํ ภนฺเตติ.
“ติสฺส มหลฺลกภิกฺขูนํ สพฺพเมตํ วตฺตํ กตฺตพฺพํ,
ครั้งนั้น อ. ภิกษุหนุ่ม รูปหนึ่ง ถามแล้ว ซึ่งพระเถระนั้น ว่า
อ. ท่าน ท. เป็นผู้มีพรรษาเท่าไร (ย่อมเป็น) ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า
อ. พรรษา ย่อมไม่มี, อ. เรา ท. เป็นผู้บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่
(ย่อมเป็น) ดังนี้(อันพระเถระ) กล่าวแล้ว, ดีดแล้ว ซึ่งนิ้วมือ (มีอันให้รู้)
ว่า แน่ะคนแก่ ผู้อันบุคคลแนะน�ำได้โดยยากแล้ว ผู้มีอายุ (อ. ท่าน)
ย่อมไม่รู้ ซึ่งประมาณ ของตน, อ. ท่าน เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระผู้แก่ ท.
ผู้มีประมาณเท่านี้ ย่อมไม่กระท�ำ (ซึ่งวัตร) แม้สักว่าสามีจิกรรม ,
ครั้นเมื่อวัตร(อันเรา) ถามโดยเอื้อเฟื้ออยู่,(อ.ท่าน)เป็นผู้นิ่งย่อมเป็น,
(อ. เหตุ) แม้สักว่าความรังเกียจ ย่อมไม่มี แก่ท่าน ดังนี้(เป็นเหตุ) ฯ
อ.พระเถระนั้น ยังความถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ให้เกิดแล้ว ถามแล้ว
ว่า อ. ท่าน ท. เป็นผู้มาแล้ว สู่ส�ำนัก ของใคร (ย่อมเป็น) ดังนี้,
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. เรา ท. เป็นผู้มาแล้ว) สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา
(ย่อมเป็น) ดังนี้ (อันภิกษุนั้น) กล่าวแล้ว, กล่าวแล้ว ว่า ก็ อ. ท่าน ท.
ย่อมก�ำหนด ซึ่งเรา ว่า อ. ใคร นั่น ดังนี้, (อ. เรา) จักตัด ซึ่งรากเง่า
ของท่าน ท. นั่นเทียว ดังนี้ ร้องไห้อยู่ เป็นผู้มีทุกข์ เป็นผู้มีใจอันโทษ
ประทุษร้ายแล้ว (เป็น) ได้ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ซึ่งพระเถระนั้น ว่า แน่ะติสสะ
อ. เธอ เป็นผู้มีทุกข์ เป็นผู้มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว เป็นผู้มีหน้าอัน
ชุ่มแล้วด้วยน�้ำตา (เป็น) ร้องไห้อยู่ เป็นผู้มาแล้ว ย่อมเป็น เพราะเหตุ
อะไรหนอดังนี้ฯ อ.ภิกษุ ท.แม้เหล่านั้นคิดแล้วว่าอ.ภิกษุนั่นไปแล้ว
พึงกระท�ำ ซึ่งความวุ่นวาย อะไร ๆ ดังนี้ ไปแล้ว กับ ด้วยพระเถระ
นั้นนั่นเที่ยวถวายบังคมแล้วซึ่งพระศาสดานั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่งฯ
อ. พระเถระนั้น ผู้อันพระศาสดาตรัสถามแล้ว กราบทูลแล้ว ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ย่อมด่า ซึ่งข้าพระองค์ ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ก็ อ. เธอ เป็นผู้นั่งแล้ว ในที่ไหน
ย่อมเป็น ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
(อ.ข้าพระองค์ เป็นผู้นั่งแล้ว) ในศาลาเป็นที่บ�ำรุง ในท่ามกลาง
แห่งวิหาร (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า
อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ มาอยู่ อันเธอ เห็นแล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ
กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ มาอยู่
อันข้าพระองค์) เห็นแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า
อ.การต้อนรับ อันเธอ ลุกขึ้นแล้ว กระท�ำแล้วหรือ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ
กราบทูลแล้ว)ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(อ.การต้อนรับอันข้าพระองค์)
ไม่กระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า อ. การรับซึ่งบริขาร ของภิกษุ ท.
เหล่านั้น อันเธอ ถามโดยเอื้อเฟื้อแล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ
กราบทูลแล้ว)ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(อ.การรับซึ่งบริขาร อันข้าพระองค์)
ไม่ถามโดยเอื้อเฟื้อแล้ว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า
อ. วัตร หรือ หรือว่า อ. น�้ำอันบุคคลพึงดื่ม (อันเธอ) ถามโดยเอื้อเฟื้อแล้ว
หรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
(อ. วัตร หรือ หรือว่า อ. น�้ำอันบุคคลพึงดื่ม อันข้าพระองค์) ไม่ถาม
โดยเอื้อเฟื้อแล้ว ดังนี้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว)ว่าอ.การนวดซึ่งเท้า
(อันเธอ) น�ำไปเฉพาะแล้ว ซึ่งอาสนะ กระท�ำแล้วหรือ ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. การนวด
ซึ่งเท้า อันข้าพระองค์) ไม่กระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว)
ว่า ดูก่อนติสสะ อ. วัตรนั่น ทั้งปวง (อันเธอ) พึงกระท�ำ แก่ภิกษุผู้แก่ ท.,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 37
เอตํ อกโรนฺเตน วิหารมชฺเฌ นิสีทิตุํ น วฏฺฏติ;
ตเวว โทโส, เอเต ภิกฺขู ขมาเปหีติ. “เอเต มํ ภนฺเต
อกฺโกสึสุ, นาหํ เอเต ขมาเปมีติ. “ติสฺส มา เอวํ
กริ: ตเวว โทโส, ขมาเปหิ เนติ. “น ขมาเปมิ
ภนฺเตติ.
อถ สตฺถา “ทุพฺพโจ เอส ภนฺเตติ ภิกฺขูหิ
วุตฺเต, “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปุพฺเพเปส ทุพฺพโจเย
วาติ วตฺวา “อิทานิ ตาวสฺส ภนฺเต ทุพฺพจภาโว
อมฺเหหิ าโต, อตีเต กิมกาลีติ วุตฺเต, “เตนหิ
ภิกฺขเว สุณาถาติ วตฺวา อตีตํ อาหริ:
อตีเต พาราณสิยํ พาราณสีราเช รชฺชํ กาเรนฺเต,
เทวโล นาม ตาปโส อฏฺ€ มาเส หิมวนฺเต วสิตฺวา
โลณมฺพิลเสวนตฺถาย จตฺตาโร มาเส นครํ อุปนิสฺสาย
วสิตุกาโม หิมวนฺตโต อาคนฺตฺวา นครทฺวารปาลเก
ทิสฺวา ปุจฺฉิ “อิมํ นครํ สมฺปตฺตปพฺพชิตา กตฺถ
วสนฺตีติ. “กุมฺภการสาลายํ ภนฺเตติ.
โส กุมฺภการสาลํ คนฺตฺวา ทฺวาเร €ตฺวา “สเจ
เต อครุ , วเสยฺยาม เอกรตฺตึ สาลายนฺติ อาห .
กุมฺภกาโร “ มยฺหํ รตฺตึ สาลายํ กิจฺจํ นตฺถิ,
มหตี สาลา, ยถาสุขํ วสถ ภนฺเตติ สาลํ นิยฺยาเทสิ.
ตสฺมึ ปวิสิตฺวา นิสินฺเน, อปโรปิ นารโท นาม
ตาปโส หิมวนฺตโต อาคนฺตฺวา กุมฺภการํ เอกรตฺติวาสํ
ยาจิ.
กุมฺภกาโร “ป€มาคโต อิมินา สทฺธึ เอกโต
วสิตุกาโม ภเวยฺย วา โน วา, อตฺตานํ ปริโมเจสฺสามีติ
จินฺเตตฺวา “สเจ ภนฺเต ป€มุปคโต โรเจสฺสติ,
ตสฺส รุจิยา วสถาติ อาห.
โส ตํ อุปสงฺกมิตฺวา “สเจ เต อาจริย อครุ,
มยเมตฺถ เอกรตฺตึ วเสยฺยามาติ. “มหตี สาลา,
อ. อัน (อันเธอ) ผู้ไม่กระท�ำอยู่ ซึ่งวัตรนั่น นั่งในท่ามกลาง
แห่งวิหาร ย่อมไม่ควร ; อ. โทษ ของเธอนั่นเทียว อ. เธอ ยังภิกษุ ท.
เหล่านั่น จงให้อดโทษ ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั่น ด่าแล้ว ซึ่งข้าพระองค์,
อ. ข้าพระองค์ ยังภิกษุ ท. เหล่านั่น จะให้อดโทษ หามิได้ ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนติสสะ (อ. เธอ) อย่ากระท�ำแล้ว
อย่างนี้ ; อ. โทษ ของเธอนั่นเทียว, (อ. เธอ) ยังภิกษุ ท. เหล่านั้น
จงให้อดโทษ ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
(อ.ข้าพระองค์) (ยังภิกษุ ท.) จะให้อดโทษ หามิได้ ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. พระเถระนั่น เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก (ย่อมเป็น) ดังนี้
อันภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ติสสะ)
(เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก ย่อมเป็น) ในกาลนี้นั่นเทียว หามิได้,
อ. ติสสะนั่น เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยากนั่นเทียว (ได้เป็นแล้ว)
แม้ในกาลก่อน ดังนี้(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ความที่
แห่งพระเถระนั้นเป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก อันข้าพระองค์ ท.
ทราบแล้ว ในกาลนี้ ก่อน, (อ. พระเถระนั้น) ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม
อะไร ในกาลอันล่วงไปแล้ว ดังนี้(อันภิกษุ ท.) กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้าอย่างนั้น (อ. เธอ ท.) จงฟัง ดังนี้ทรงน�ำมาแล้ว
ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว ว่า:
ในกาลอันล่วงไปแล้ว ครั้นเมื่อพระราชา ผู้เป็นใหญ่ในเมือง-
ชื่อว่าพาราณสี (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา
ในเมืองชื่อว่าพาราณสี,อ. ดาบส ชื่อว่าเทวละ อยู่แล้ว ในป่าหิมพานต์
สิ้นเดือน ท. ๘ เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเข้าไปอาศัยซึ่งเมืองอยู่ ตลอดเดือน ท.
๔ เพื่อต้องการแก่อันเสพซึ่งรสเค็มและรสเปรี้ยว (เป็น) มาแล้ว
จากป่าหิมพานต์ เห็นแล้ว (ซึ่งชน ท.) ผู้รักษาซึ่งประตูแห่งเมือง
ถามแล้ว ว่า อ. บรรพชิตผู้ถึงพร้อมแล้ว ท. ซึ่งเมืองนี้ย่อมอยู่ ในที่ไหน
ดังนี้ฯ (อ.ชนท.เหล่านั้นกล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ(อ.บรรพชิตท.
ย่อมอยู่) ในโรงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ดังนี้ ฯ
อ. ดาบสนั้น ไปแล้ว สู่โรงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ยืนแล้ว
ใกล้ประตู กล่าวแล้ว ว่า ถ้าว่า อ. ความไม่หนักใจ แห่งท่าน (ย่อมมี)
ไซร้, (อ. เรา ท.) พึงอยู่ ในโรง สิ้นราตรีหนึ่ง ดังนี้ฯ อ. บุคคลผู้กระท�ำ
ซึ่งหม้อ (กล่าวแล้ว) ว่า อ. กิจ ของกระผม ย่อมไม่มี ในโรง ในกลางคืน,
อ. โรง ใหญ่, ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. จงอยู่ ตามความสบาย ดังนี้
มอบถวายแล้ว ซึ่งโรง ฯ ครั้นเมื่อดาบสนั้น เข้าไปแล้ว นั่งแล้ว, อ. ดาบส
ชื่อว่านารทะ แม้อื่นอีก มาแล้ว จากป่าหิมพานต์ ขอแล้ว ซึ่งการอยู่
สิ้นราตรีหนึ่ง กะบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ฯ
อ. บุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ คิดแล้ว ว่า อ. ดาบสผู้มาแล้วก่อน
เป็นผู้ใคร่เพื่ออันอยู่ โดยความเป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยดาบสนี้พึงเป็น
หรือ หรือว่า ( เป็นผู้ใคร่เพื่ออันอยู่ โดยความเป็นอันเดียวกัน กับ
ด้วยดาบสนี้) ไม่พึงเป็น, (อ. เรา) จักเปลื้อง ซึ่งตน ดังนี้กล่าวแล้ว ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ. ดาบสผู้เข้าไปแล้วก่อน จักชอบใจไซร้,
(อ. ท่าน ท.) จงอยู่ ตามความชอบใจ แห่งดาบสนั้น ดังนี้ ฯ
อ. ดาบสนั้น เข้าไปหาแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าเทวละนั้น (กล่าวแล้ว)
ว่า ข้าแต่อาจารย์ ถ้าว่า อ. ความไม่หนักใจ แห่งท่าน (ย่อมมี) ไซร้ ,
อ. กระผม ท. พึงอยู่ ในที่นี้ สิ้นราตรีหนึ่ง ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า
อ. โรง ใหญ่,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
38
ปวิสิตฺวา เอกมนฺเต วสาติ วุตฺเต, ปวิสิตฺวา
ปุเรตรํ ปวิฏฺ€สฺส อปรภาเค นิสีทิ.
อุโภปิ สาราณียํ กถํ กเถตฺวา, สยนกาเล
นารโท เทวลสฺส นิปชฺชนฏฺ€านฺจ ทฺวารฺจ
สลฺลกฺเขตฺวา นิปชฺชิ. โส ปน เทวโล นิปชฺชมาโน
อตฺตโน นิสินฺนฏฺ€าเน อนิปชฺชิตฺวา ทฺวารมชฺเฌ
ติริยํ นิปชฺชิ. นารโท รตฺตึ นิกฺขมนฺโต ตสฺส
ชฏาสุ อกฺกมิ.
“โก มํ อกฺกมีติ วุตฺเต, “อาจริย อหนฺติ
อาห. “กุฏชฏิล อรฺโต อาคนฺตฺวา มม ชฏาสุ
อกฺกมสีติ.
“อาจริย ตุมฺหากํ อิธ นิปนฺนภาวํ น ชานามิ,
ขมถ เมติ วตฺวา ตสฺส กนฺทนฺตสฺเสว, พหิ นิกฺขมิ.
อิตโร “อยํ ปวิสนฺโตปิ มํ อกฺกเมยฺยาติ ปริวตฺเตตฺวา
ปาทฏฺ€าเน สีสํ กตฺวา นิปชฺชิ.
นารโทปิ ปวิสนฺโต “ ป€มมฺปาหํ อาจริเย
อปรชฺฌึ, อิทานิสฺส ปาทปสฺเสน ปวิสิสฺสามีติ
จินฺเตตฺวา อาคจฺฉนฺโต คีวาย อกฺกมิ, “โก เอโสติ
วุตฺเต, “อหํ อาจริยาติ วตฺวา “กุฏชฏิล ป€มํ ชฏาสุ
อกฺกมิตฺวา อิทานิ คีวาย อกฺกมสิ, อภิสปิสฺสามิ
ตนฺติ วุตฺเต, “อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ, อหํ ตุมฺหากํ
เอวํ นิปนฺนภาวํ น ชานามิ, `ป€มํปิ เม อปราธํ
อตฺถิ, อิทานิ ปาทปสฺเสน ปวิสิสฺสามีติ ปวิฏฺโ€มฺหิ,
ขมถ เมติ อาห. “กุฏชฏิล อภิสปิสฺสามิ ตนฺติ .
“มา เอวํ อกริตฺถ อาจริยาติ.
โส ตสฺส วจนํ อนาทยิตฺวา
“สหสฺสรํสิ สตเตโช สุริโย ตมวิโนทโน,
ปาโต อุทยนฺเต สุริเย มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธาติ
ตํ อภิสปิเยว.
นารโท “อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ,
อ. ท่าน เข้าไปแล้ว จงอยู่ ในที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนี้ (อันดาบสนั้น)
กล่าวแล้ว, เข้าไปแล้ว นั่งแล้ว ในส่วนอื่นอีก (แห่งดาบส) ผู้เข้าไปแล้ว
ก่อนกว่า ฯ
(อ. ดาบส ท.) แม้ทั้งสอง กล่าวแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าว
อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึก, ในกาลเป็นที่นอน อ. ดาบสชื่อว่านารทะ
ก�ำหนดแล้ว ซึ่งที่เป็นที่นอนแห่งดาบสชื่อว่าเทวละด้วย ซึ่งประตูด้วย
นอนแล้ว ฯ ส่วนว่า อ. ดาบสชื่อว่าเทวละนั้น เมื่อนอน ไม่นอนแล้ว
ในที่แห่งตนนั่งแล้ว นอนแล้ว ขวาง ในท่ามกลางแห่งประตูฯ อ. ดาบส
ชื่อว่านารทะ ออกไปอยู่ ในกลางคืน เหยียบแล้ว ที่ชฎา ท. ของดาบส
ชื่อว่าเทวละนั้น ฯ
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ใคร เหยียบแล้ว ซึ่งเรา ดังนี้ (อันดาบส
ชื่อว่าเทวละ) กล่าวแล้ว , (อ.ดาบสชื่อว่านารทะ) กล่าวแล้ว ว่า
ข้าแต่อาจารย์ อ. กระผม ดังนี้ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) (กล่าวแล้ว)
ว่า ดูก่อนชฎิลโกง (อ. ท่าน) มาแล้ว จากป่า ย่อมเหยียบ ที่ชฎา ท.
ของเรา ดังนี้ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่านารทะ) กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ (อ. กระผม)
ย่อมไม่รู้ ซึ่งความที่ แห่งท่าน ท. เป็นผู้นอนแล้ว ในที่นี้, อ. ท่าน ท.
ขอจงอดโทษ ต่อกระผมเถิด ดังนี้เมื่อดาบสชื่อว่าเทวละนั้น คร�่ำครวญ
อยู่นั่นเทียว, ออกไปแล้ว ในภายนอก ฯ อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ
นอกนี้(คิดแล้ว) ว่า อ. ดาบสนี้แม้เข้าไปอยู่ พึงเหยียบ ซึ่งเรา ดังนี้
เป็นไปรอบแล้ว นอนแล้ว กระท�ำ ซึ่งศีรษะ ในที่แห่งเท้า ฯ
แม้ อ. ดาบสชื่อว่านารทะ เข้าไปอยู่ คิดแล้ว ว่า อ. เรา ผิดแล้ว
ในอาจารย์ แม้ก่อน, ในกาลนี้ (อ. เรา) จักเข้าไป โดยข้างแห่งเท้า
ของอาจารย์นั้นดังนี้มาอยู่เหยียบแล้วที่คอ,(ครั้นเมื่อค�ำ)ว่าอ.ใครนั่น
ดังนี้(อันดาบสชื่อว่าเทวละ) กล่าวแล้ว, กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ. กระผม ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ดูก่อนชฎิลโกง (อ. ท่าน) เหยียบแล้ว
ที่ชฎา ท. ก่อน ย่อมเหยียบ ที่คอ ในกาลนี้, (อ.เรา) จักแช่ง ซึ่งท่าน ดังนี้
(อันดาบสชื่อว่าเทวละ) กล่าวแล้ว , กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ. โทษ ของกระผม ย่อมไม่มี, อ. กระผม ย่อมไม่รู้ ซึ่งความที่แห่งท่าน ท.
เป็นผู้นอนแล้วอย่างนี้, อ. กระผม เป็นผู้เข้าไปแล้ว (ด้วยความคิด) ว่า
อ. ความผิดแม้ครั้งที่หนึ่ง แห่งเรา มีอยู่, ในกาลนี้ อ. เรา จักเข้าไป
โดยข้างแห่งเท้า ดังนี้ ย่อมเป็น อ. ท่าน ท. ขอจงอดโทษ ต่อกระผมเถิด
ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนชฎิลโกง อ. เรา
จักแช่ง ซึ่งท่าน ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ กล่าวแล้ว) ว่า
ข้าแต่อาจารย์ อ. ท่าน ท. อย่าได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ดังนี้ ฯ
อ. ดาบสชื่อว่าเทวละนั้น ไม่เอื้อเฟื้อแล้ว ซึ่งค�ำ ของดาบสชื่อว่า
นารทะนั้น แช่งแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่านารทะนั้นนั่นเทียว ว่า
อ. พระอาทิตย์ มีรัศมีอันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยพัน มีเดช-
อันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยร้อย มีอันบรรเทาซึ่งมืดเป็นปกติ,
ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ ขึ้นไปอยู่ ในเวลาเช้า อ. ศีรษะ ของท่าน
จงแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี้ ฯ
อ. ดาสบชื่อว่านารทะ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. โทษ
ของกระผม ย่อมไม่มี,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 39
มม วทนฺตสฺเสว, ตุมฺเห อภิสปิตฺถ, ยสฺส โทโส
อตฺถิ; ตสฺส มุทฺธา ผลตุ มา นิทฺโทสสฺสาติ วตฺวา
“สหสฺสรํสิ สตเตโช สุริโย ตมวิโนทโน,
ปาโต อุทยนฺเต สุริเย มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธาติ
อภิสปิ.
โส ปน มหานุภาโว “อตีเต จตฺตาฬีส อนาคเต
จตฺตาฬีสาติ อสีติกปฺเป อนุสฺสรติ; ตสฺมา “ กสฺส
นุ โข อุปริ สาโป ปติสฺสตีติ อุปธาเรนฺโต
“อาจริยสฺสาติ ตฺวา ตสฺมึ อนุกมฺปํ ปฏิจฺจ
อิทฺธิพเลน อรุณุคฺคมนํ นิวาเรสิ.
นาครา อรุเณ อนุคฺคจฺฉนฺเต, ราชทฺวารํ คนฺตฺวา
“เทว ตยิ รชฺชํ กาเรนฺเต, อรุโณ น อุฏฺ€าติ, อรุณํ
โน อุฏฺ€าเปหีติ กนฺทึสุ.
ราชา อตฺตโน กายกมฺมาทีนิ โอโลเกนฺโต กิฺจิ
อยุตฺตํ อทิสฺวา “กึ นุ โข การณนฺติ จินฺเตตฺวา
“ปพฺพชิตานํ วิวาเทน ภวิตพฺพนฺติ ปริสงฺกมาโน
“กจฺจิ อิมสฺมึ นคเร ปพฺพชิตา อตฺถีติ ปุจฺฉิ .
“หิยฺโย สายํ กุมฺภการสาลํ อาคตา อตฺถิ เทวาติ
วุตฺเต, ตํขณฺเว ราชา อุกฺกาหิ ธาริยมานาหิ
ตตฺถ คนฺตฺวา นารทํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺโน อาห
“กมฺมนฺตา นปฺปวตฺตนฺติ ชมฺพูทีปสฺส นารท,
เกน โลโก ตโมภูโต? ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโตติ.
นารโท สพฺพํ ปวตฺตึ อาจิกฺขิตฺวา “อิมินา
การเณนาหํ อิมินา อภิสปิโต, อถาหํ `มยฺหํ โทโส
นตฺถิ, ยสฺส โทโส อตฺถิ;
เมื่อกระผม กล่าวอยู่นั่นเทียว, อ. ท่าน ท. แช่งแล้ว , อ. โทษ
ของบุคคลใด มีอยู่; อ.ศรีษะ ของบุคคลนั้น จงแตก (อ. ศีรษะ)
ของบุคคลผู้ไม่มีโทษ จงอย่าแตก ดังนี้แช่งแล้ว ว่า
อ. พระอาทิตย์ มีรัศมีอันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยพัน
มีเดชอันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยร้อย มีอันบรรเทาซึ่งมืดเป็นปกติ,
ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ ขึ้นไปอยู่ ในเวลาเช้า อ. ศีรษะ ของท่าน
จงแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี้ ฯ
ก็ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ) นั้น เป็นผู้มีอานุภาพมาก (เป็น)
ย่อมตามระลึกได้ ซึ่งกัปป
์ แปดสิบ ท. คือ (ซึ่งกัปป
์ ท.) สี่สิบ ในกาล
อันล่วงไปแล้ว (ซึ่งกัปป
์ ท.) สี่สิบ ในกาลอันไม่มาแล้ว; เพราะเหตุนั้น
(อ. ดาบสนั้น) ใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื้องบน
แห่งใครหนอแล ดังนี้รู้แล้ว ว่า (อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื้องบน)
แห่งอาจารย์ ดังนี้อาศัยแล้ว ซึ่งความเอ็นดู ในอาจารย์นั้น ห้ามแล้ว
ซึ่งการขึ้นไปแห่งอรุณ ด้วยก�ำลังแห่งฤทธิ์ ฯ
(อ.ชน ท.) ผู้อยู่ในเมือง ครั้นเมื่ออรุณ ไม่ขึ้นไปอยู่ , ไปแล้ว
สู่ประตูแห่งพระราชา คร�่ำครวญแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ครั้นเมื่อพระองค์ (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา,
อ.อรุณ ย่อมไม่ตั้งขึ้น , (อ.พระองค์) ขอจงทรงยังอรุณให้ตั้งขึ้น
แก่ข้าพระองค์ ท. ดังนี้ฯ
อ. พระราชา ทรงตรวจดูอยู่ (ซึ่งกรรม ท.) มีกายกรรมเป็นต้น
ของพระองค์ ไม่ทรงเห็นแล้ว (ซึ่งกรรม) อันไม่ควรแล้ว อะไร ๆ
ทรงด�ำริแล้วว่าอ.เหตุอะไรหนอแลดังนี้ทรงระแวงอยู่ว่า อันความวิวาท
แห่งบรรพชิต ท. พึงมี ดังนี้ตรัสถามแล้ว ว่า อ. บรรพชิต ท. ในเมืองนี้
มีอยู่ แลหรือ ดังนี้ฯ
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ (อ. บรรพชิต ท.)
ผู้มาแล้ว สู่โรงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ในเวลาเย็น ในวันวาน มีอยู่
ดังนี้(อันราชบุรุษ ท.) กราบทูลแล้ว, ในขณะนั้นนั่นเทียว อ. พระราชา
ด้วยทั้งคบเพลิง ท. (อันราชบุรุษ ท.) ทรงไว้อยู่ เสด็จไปแล้ว ในที่นั้น
ทรงไหว้แล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่านารทะ ประทับนั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง
ตรัสแล้ว ว่า
ข้าแต่พระดาบสชื่อว่านารทะ อ.การงาน ท. ของชมพูทวีป
ย่อมไม่เป็นไปทั่ว, อ.โลก เป็นโลกมืดเป็นแล้ว เพราะเหตุอะไร
(ย่อมเป็น) ? (อ.ท่าน) ผู้อันข้าพเจ้าถามแล้ว จงบอก
ซึ่งเหตุนั้น แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ ฯ
อ. ดาบสชื่อว่านารทะ กราบทูลแล้ว ซึ่งเรื่องอันเป็นไปทั่ว ทั้งปวง
(กราบทูลแล้ว)ว่า อ.อาตมภาพ เป็นผู้อันดาบสนี้แช่งแล้ว เพราะเหตุนี้
(ย่อมเป็น), ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. อาตมภาพ กล่าวแล้ว
ว่า อ. โทษ ของกระผม ย่อมไม่มี, อ. โทษ ของบุคคลใด มีอยู่;
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
40
ตสฺเสว อุปริ สาโป ปตตูติ วตฺวา อภิสปึ ;
อภิสปิตฺวา จ ปน `กสฺส นุโข อุปริ สาโป ปติสฺสตีติ
อุปธาเรนฺโต `สุริยุคฺคมนเวลาย อาจริยสฺส มุทฺธา
สตฺตธา ผลิสฺสตีติ ทิสฺวา เอตสฺมึ อนุกมฺปํ ปฏิจฺจ
อรุณสฺส อุคฺคนฺตุํ น เทมีติ.
“กถํ ปนสฺส ภนฺเต อนฺตราโย น ภเวยฺยาติ.
“สเจ มํ ขมาเปยฺย, น ภเวยฺยาติ.
“เตนหิ ขมาเปหีติ.
“เอโส มํ ชฏาสุ จ คีวาย จ อกฺกมิ, นาหํ
เอตํ กุฏชฏิลํ ขมาเปมีติ.
“ขมาเปหิ ภนฺเต, มา เอวํ กรีติ.
“น ขมาเปมีติ.
“มุทฺธา เต สตฺตธา ผลิสฺสตีติ วุตฺเตปิ ,
น ขมาเปสิเยว.
อถ นํ ราชา “น ตฺวํ อตฺตโนรุจิยา ขมาเปสฺสสีติ,
หตฺถปาทกุจฺฉิคีวาสุ ตํ คาหาเปตฺวา นารทสฺส
ปาทมูเล โอนมาเปสิ.
นารโท “อุฏฺเ€หิ อาจริย, ขมามิ เตติ วตฺวา
“มหาราช นายํ ยถามเนน ขมาเปติ, อวิทูเร เอโก
สโร อตฺถิ, ตตฺถ นํ สีเส มตฺติกาปิณฺฑํ กตฺวา
คลปฺปมาเณ อุทเก €ปาเปหีติ อาห.
ราชา ตถา กาเรสิ. นารโท เทวลํ อามนฺเตตฺวา
“อาจริย มยา อิทฺธิยา วิสฺสฏฺ€าย, สุริยสนฺตาเป
อุฏฺ€หนฺเต, ตฺวํ อุทเก นิมุชฺชิตฺวา อฺเน €าเนน
อุตฺตริตฺวา คจฺเฉยฺยาสีติ อาห.
ตสฺส สุริยรํสีหิ สมฺผุฏฺ€มตฺโตว มตฺติกาปิณฺโฑ
สตฺตธา ผลิ. โส นิมุชฺชิตฺวา อฺเน €าเนน ปลายิ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา “ตทา ภิกฺขเว
ราชา อานนฺโท อโหสิ, เทวโล ติสฺโส, นารโท อหเมว,
เอวํ ตทาเปส ทุพฺพโจเยวาติ วตฺวา ติสฺสตฺเถรํ
อามนฺเตตฺวา “ติสฺส ภิกฺขุโน หิ `อสุเกนาหํ อกฺกุฏฺโ€,
อ. ความแช่ง จงตกไป ในเบื้องบน แห่งบุคคล นั้นนั่นเทียว ดังนี้
แช่งแล้ว; ก็แล (อ.อาตมภาพ) ครั้นแช่งแล้ว ใคร่ครวญอยู่ ว่า
อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื้องบน แห่งใคร หนอแล ดังนี้ เห็นแล้ว
ว่า อ. ศีรษะ ของอาจารย์ จักแตก โดยส่วนเจ็ด ในเวลาเป็นที่ขึ้นไป
แห่งพระอาทิตย์ ดังนี้ อาศัยแล้ว ซึ่งความอนุเคราะห์ ในอาจารย์นั่น
ย่อมไม่ให้ เพื่ออันขึ้นไป แห่งอรุณ ดังนี้ฯ (อ. พระราชา ตรัสถามแล้ว)
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. อันตราย ไม่พึงมี แก่ดาบสชื่อว่าเทวละนั้น
อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ถ้าว่า
(อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) ยังอาตมภาพ พึงให้อดโทษไซร้, (อ. อันตราย)
ไม่พึงมี ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน
(ยังดาบสชื่อว่านารทะ) จงให้อดโทษเถิด ดังนี้ฯ (อ.ดาบสชื่อว่าเทวละ
กราบทูลแล้ว) ว่า อ. ชฎิลนั่น เหยียบแล้ว ซึ่งอาตมภาพ ที่ชฎา ท. ด้วย
ที่คอด้วย, อ. อาตมภาพ จะไม่ยังชฎิลโกงนั่น ให้อดโทษ ดังนี้ ฯ
(อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ยังดาบส
ชื่อว่านารทะ จงให้อดโทษเถิด , อ. ท่าน อย่ากระท�ำแล้ว อย่างนี้
ดังนี้ ฯ (อ.ดาบสชื่อว่าเทวละ กราบทูลแล้ว) ว่า อ. อาตมภาพ
จะไม่ยังชฎิลโกง ให้อดโทษ ดังนี้ ฯ
(ครั้นเมื่อพระด�ำรัส) ว่า อ. ศีรษะ ของท่าน จักแตก โดยส่วนเจ็ด
ดังนี้(อันพระราชา) แม้ตรัสแล้ว, (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) ไม่ยังดาบส
ชื่อว่านารทะให้อดโทษแล้วนั่นเทียวฯ ครั้งนั้น อ.พระราชา(ตรัสแล้ว)
กะดาบสชื่อว่าเทวละนั้น ว่า อ. ท่าน จักไม่ยังดาบสชื่อว่านารทะ
ให้อดโทษ ตามความชอบใจ ของตนหรือ ดังนี้, ทรงยังราชบุรุษ ท.
ให้จับแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าเทวละนั้น ที่มือและเท้าและท้องและคอ ท.
ทรงยังดาบสชื่อว่าเทวละ ให้น้อมลงแล้ว ณ ที่ ใกล้แห่งเท้า ของดาบส
ชื่อว่านารทะ ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะกล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ. ท่าน จงลุกขึ้นเถิด, อ. กระผม ย่อมอดโทษ ต่อท่าน ดังนี้
กราบทูลแล้ว ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ดาบสนี้ (ยังอาตมภาพ)
ย่อมให้อดโทษ ตามใจอย่างไร หามิได้, อ. สระ แห่งหนึ่ง มีอยู่
ในที่อันไม่ไกล, อ. พระองค์ ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งก้อนแห่งดินเหนียว บนศีรษะ
(ทรงยังราชบุรุษ ท.) จงให้พักไว้ ซึ่งดาบสนั้น ในน�้ำ มีคอเป็นประมาณ
ในสระนั้น ดังนี้ฯ อ. พระราชา (ทรงยังราชบุรุษ ท.) ให้กระท�ำแล้ว
อย่างนั้น ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะ เรียกมาแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าเทวละ
กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ ครั้นเมื่อฤทธิ์ อันกระผม คลายแล้ว,
ครั้นเมื่อความร้อนพร้อมแห่งพระอาทิตย์ ตั้งขึ้นอยู่, อ. ท่าน ด�ำลงแล้ว
ในน�้ำ ข้ามขึ้นแล้ว พึงไป โดยที่ อื่น ดังนี้ฯ อ. ก้อนแห่งดินเหนียว
(บนศีรษะ) ของดาบสนั้น อันสักว่าอันรัศมีแห่งพระอาทิตย์ ท.ถูกต้องแล้วเทียว
แตกแล้ว โดยส่วนเจ็ด ฯ อ. ดาบสนั้น ด�ำลงแล้ว หนีไปแล้ว โดยที่อื่น
(ดังนี้) ฯ
อ. พระศาสดา ครั้นทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนานี้ตรัสแล้ว
ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระราชา ในกาลนั้น เป็นอานนท์ ได้เป็นแล้ว
(ในกาลนี้), อ.ดาบสชื่อว่าเทวละ(ในกาลนั้น) เป็นติสสะ(ได้เป็นแล้ว
ในกาลนี้), อ. ดาบสชื่อว่านารทะ (ในกาลนั้น) เป็นเรานั่นเทียว (ได้เป็นแล้ว
ในกาลนี้), อ. ติสสะนั่น เป็นผู้อันบุคคล พึงว่าได้โดยยากนั่นเทียว
(ได้เป็นแล้ว) แม้ในกาลนั้น อย่างนี้ดังนี้ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระเถระ
ชื่อว่าติสสะ ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนติสสะ ก็ เมื่อภิกษุ คิดอยู่ ว่า อ. เรา
เป็นผู้อันบุคคลโน้นด่าแล้ว (ย่อมเป็น),
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 41
อสุเกน ปหโฏ, อสุเกน ชิโต, อสุโก เม ภณฺฑํ
อหาสีติ จินฺเตนฺตสฺส เวรนฺนาม น วูปสมฺมติ; เอวํ
ปน อนุปนยฺหนฺตสฺเสว อุปสมฺมตีติ วตฺวา อิมา คาถา
อภาสิ
“อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ, อชินิ มํ, อหาสิ เม,
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสํ น สมฺมติ.
`อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ, อชินิ มํ, อหาสิ เม,’
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสูปสมฺมตีติ.
ตตฺถ “อกฺโกจฺฉีติ: อกฺโกสิ.
อวธีติ; ปหริ.
อชินีติ: กุฏสกฺขึ โอตารเณน วา วาทปฺปฏิวาเทน
วา กรณุตฺตริยกรเณน วา มํ อเชสิ.
อหาสีติ: มม สนฺตกํ วตฺถาทีสุ ยงฺกิฺจิเทว
อวหริ.
เย จ ตนฺติ: เยเกจิ เทวา วา มนุสฺสา วา
คหฏฺ€า วา ปพฺพชิตา วา ตํ `อกฺโกจฺฉิ มนฺติอาทิ
วตฺถุกํ โกธํ สกฏธุรํ วิย นทฺธินา ปูติมจฺฉาทีนิ วิย
จ กุสาทีหิ ปุนปฺปุนํ เวเ€นฺตา อุปนยฺหนฺติ, เตสํ
สกึ อุปฺปนฺนํ เวรํ น สมฺมติ น อุปสมฺมติ.
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺตีติ: อสติอมนสิการวเสน
วา กมฺมปจฺจเวกฺขณวเสน วา เย ตํ อกฺโกสาทิวตฺถุกํ
โกธํ “ตยาปิ โกจิ นิทฺโทโส ปุริมภเว อกฺกุฏฺโ€
ภวิสฺสติ, ปหโฏ ภวิสฺสติ, กูฏสกฺขึ โอตาเรตฺวา ชิโต
ภวิสฺสติ , กสฺสจิ เต ปสยฺห กิฺจิ อจฺฉินฺนํ
ภวิสฺสติ; ตสฺมา นิทฺโทโส หุตฺวาปิ อกฺโกสาทีนิ
ปาปุณาสีติ เอวํ น อุปนยฺหนฺติ, เตสํ ปมาเทน
อุปฺปนฺนมฺปิ เวรํ อิมินา อนุปนยฺหเนน นิรินฺธโน วิย
ชาตเวโท อุปสมฺมตีติ.
เป็นผู้อันบุคคลโน้นประหารแล้ว (ย่อมเป็น), เป็นผู้อันบุคคลโน้นชนะแล้ว
(ย่อมเป็น), อ. บุคคลโน้น ได้ลักแล้ว ซึ่งสิ่งของ ของเรา ดังนี้
ชื่อ อ. เวร ย่อมไม่เข้าไปสงบวิเศษ; แต่ว่า (เมื่อภิกษุ) ไม่เข้าไปผูกไว้อยู่
(ซึ่งความโกรธ) อย่างนี้นั่นเทียว (อ. เวร) ย่อมเข้าไปสงบ ดังนี้ได้ตรัสแล้ว
ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า
ก็ อ.ชน ท.เหล่าใด ย่อมเข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนั้น ว่า
(อ.บุคคลโน้น) ด่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ฆ่าแล้ว
ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น)
ได้ลักแล้ว (ซึ่งสิ่งของ) ของเรา (ดังนี้), อ.เวร ของชน ท.
เหล่านั้น ย่อมไม่สงบ ฯ ส่วนว่า อ.ชน ท. เหล่าใด
ย่อมไม่เข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนั้น ว่า (อ.บุคคลโน้น) ด่าแล้ว
ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ฆ่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น)
ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ลักแล้ว (ซึ่งสิ่งของ)
ของเรา ดังนี้ อ.เวร ของชน ท. เหล่านั้น ย่อมเข้าไปสงบ ดังนี้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า ด่าแล้ว (ดังนี้) ในบท ท. เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า
อกฺโกจฺฉิ ดังนี้ฯ (อ. อรรถ) ว่า ประหารแล้ว (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า
อวธิ ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา ด้วยการยังพยานโกง
ให้ข้ามลงหรือ หรือว่าด้วยการกล่าวและการกล่าวตอบ หรือว่า
ด้วยการกระท�ำให้ยิ่งกว่าการกระท�ำ (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า อชินิ ดังนี้ฯ
(อ. อรรถ) ว่า ลักแล้ว ในวัตถุ ท. มีผ้าเป็นต้นหนา ซึ่งวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นเทียว อันเป็นของมีอยู่ แห่งเรา (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า อหาสิ ดังนี้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า (อ. ชน ท.) เหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือ อ. เทพ ท. หรือ
หรือว่าคือ อ. มนุษย์ ท. คือ อ. คฤหัสถ์ ท. หรือ หรือว่าคือ อ. บรรพชิต
ท. ย่อมเข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนั้น คือว่า อันมีค�ำว่า (อ. บุคคลโน้น)
ด่าแล้ว ซึ่งเรา ดังนี้เป็นต้นเป็นวัตถุ ราวกะ (อ. ชน ท. ) (ขันอยู่) ซึ่งแอก
แห่งเกวียน ด้วยชะเนาะด้วย ราวกะ (อ. ชน ท.) ห่ออยู่ ซึ่งวัตถุ ท.
มีปลาอันเน่าเป็นต้น ด้วยวัตถุ ท. มีหญ้าคาเป็นต้น บ่อย ๆ ด้วย, อ. เวร
ของชน ท. เหล่านั้น อันเกิดขึ้นแล้ว คราวเดียว ย่อมไม่สงบ คือว่า
ย่อมไม่เข้าไปสงบ (ดังนี้) (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า เย จ ตํ ดังนี้
เป็นต้น ฯ
(อ. อรรถ) ว่า (อ. ชน ท. เหล่าใด ย่อมไม่เข้าไปผูกไว้ ซึ่งความ
โกรธ นั้น คือว่า อันมีเหตุมีการด่าเป็นต้นเป็นที่ตั้ง ด้วยอ�ำนาจ
แห่งความไม่ระลึกถึงและการไม่กระท�ำไว้ในใจ หรือ หรือว่าด้วยอ�ำนาจ
แห่งการพิจารณาซึ่งกรรม อย่างนี้ ว่า (อ. บุคคล) ผู้มีโทษออกแล้ว
บางคน เป็นผู้แม้อันท่านด่าแล้ว ในภพอันมีในก่อน จักเป็น, (อ. บุคคล
ผู้มีโทษออกแล้ว บางคน) เป็นผู้ (อันท่าน) ประหารแล้ว จักเป็น,
(อ. บุคคล ผู้มีโทษออกแล้ว บางคน) เป็นผู้ (อันท่าน) ยังพยานโกง
ให้ข้ามลงแล้ว ชนะแล้ว จักเป็น, (อ.ภัณฑะ) อะไร ๆ ของใครๆ เป็นของ
อันท่าน ครอบง�ำแล้ว แย่งชิงเอาแล้ว จักเป็น; เพราะเหตุนั้น อ. ท่าน
เป็นผู้มีโทษออกแล้ว แม้เป็น จะถึง (ซึ่งเหตุ ท.) มีการด่า เป็นต้น ดังนี้
(อ. เวร) ของชน ท. เหล่านั้น แม้อันเกิดขึ้นแล้ว เพราะความประมาท
ย่อมเข้าไปสงบ ด้วยการไม่เข้าไปผูกไว้นี้ อย่างนี้ ราวกะ อ. ไฟอันเกิดแล้ว
อันไม่มีเชื้อ ดังนี้ (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ
ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
42
เทสนาปริโยสาเน สตสหสฺสภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีนิ
ปาปุณึสุ. ธมฺมเทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสิ.
ทุพฺพโจปิ สุวโจ ชาโตติ.
ติสฺสตฺเถรวตฺถุ.
๔. กาลียกฺขินิยา อุปฺปตฺติวตฺถุ. (๔)
“น หิ เวเรน เวรานีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
เชตวเน วิหรนฺโต อญฺญตรํ วญฺฌิตฺถึ อารพฺภ กเถสิ.
เอโก กิร กุฏุมฺพิกปุตฺโต, ปิตริ กาลกเต, เขตฺเต
จ ฆเร จ สพฺพกมฺมานิ อตฺตนาว กโรนฺโต มาตรํ
ปฏิชคฺคิ.
อถสฺส มาตา “กุมาริกํ เต ตาต อาเนสฺสามีติ
อาห. “อมฺม มา เอวํ วเทถ, อหํ ยาวชีวํ ตุมฺเห
ปฏิชคฺคิสฺสามีติ. “ตาต เขตฺเต จ ฆเร จ กิจฺจํ
ตฺวเมว กโรสิ, เตน มยฺหํ จิตฺตสุขํ นาม น โหติ,
อาเนสฺสามิ เตติ.
โส ปุนปฺปุนํ ปฏิกฺขิปิตฺวาปิ ตุณฺหี อโหสิ. สา
เอกํ กุลํ คนฺตุํ เคหา นิกฺขมิ.
อถ นํ ปุตฺโต “กตรกุลํ คจฺฉถาติ ปุจฺฉิตฺวา,
“อสุกนฺนามาติ วุตฺเต, ตตฺถ คมนํ ปฏิเสเธตฺวา
อตฺตโน อภิรุจิตํ กุลํ อาจิกฺขิ.
สา ตตฺถ คนฺตฺวา กุมาริกํ วาเรตฺวา ทิวสํ
ววฏฺ€เปตฺวา ตํ อาเนตฺวา ตสฺส ฆเร อกาสิ.
สา วญฺฌา อโหสิ.
อถ นํ มาตา “ปุตฺต ตฺวํ อตฺตโน รุจิยา กุมาริกํ
อานาเปสิ, สา อิทานิ วญฺฌา ชาตา;
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ.ภิกษุแสนหนึ่งท. บรรลุแล้ว
(ซึ่งอริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ฯ อ. พระธรรมเทศนา
เป็นเทศนาไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แก่มหาชน ฯ
(อ. พระเถระชื่อว่าติสสะ) แม้เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้
โดยยาก เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยง่าย เกิดแล้ว ดังนี้แล ฯ
อ. เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าติสสะ (จบแล้ว) ฯ
๔.อ.เรื่องแห่งความเกิดขึ้น แห่งนางยักษิณีชื่อว่ากาลี
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
ซึ่งหญิงหมัน คนใดคนหนึ่ง ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า
น หิ เวเรน เวรานิ ดังนี้เป็นต้น ฯ
ได้ยินว่าอ.บุตรแห่งกุฎุมพีคนหนึ่ง,ครั้นเมื่อบิดาเป็นผู้มีกาละ
อันกระท�ำแล้ว (เป็นอยู่), กระท�ำอยู่ ซึ่งการงานทั้งปวง ท. ในนา
ด้วย ในเรือนด้วย ด้วยตนเทียว ปฏิบัติแล้ว ซึ่งมารดา ฯ
ครั้งนั้น อ.มารดา ของบุตรของกุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว ว่า แน่ะพ่อ
อ.เรา จักน�ำมา ซึ่งนางกุมาริกา เพื่อเจ้า ดังนี้ ฯ อ.บุตรของกุฏุมพีนั้น
กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่แม่ อ.ท่าน ท. ขอจงอย่ากล่าว อย่างนี้,
อ.กระผม จักปรนนิบัติ ซึ่งท่าน ท. ตลอดกาลเพียงไรแห่งชีวิต ดังนี้ฯ
อ.มารดา กล่าวแล้ว ว่า แน่ะพ่อ อ.เจ้านั่นเทียว ย่อมกระท�ำ
ซึ่งกิจในนาด้วย ในเรือนด้วย เพราะเหตุนั้น ชื่อ อ. ความสุขแห่งจิต
ย่อมไม่มี แก่เรา, อ. เรา จักน�ำมา (นางกุมาริกา) เพื่อเจ้า ดังนี้ ฯ
อ. บุตรนั้น แม้ห้ามแล้วบ่อย ๆ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. มารดานั้น ออกไปแล้ว จากเรือน เพื่ออันไป สู่ตระกูลหนึ่ง ฯ
ครั้งนั้น อ. บุตร ถามแล้ว ซึ่งมารดานั้น ว่า อ. ท่าน ท. จะไป
สู่ตระกูลไหนดังนี้,(ครั้นเมื่อค�ำ)ว่า(อ.เราจะไปสู่ตระกูล)ชื่อโน้น
ดังนี้ (อันมารดา) กล่าวแล้ว, ห้ามแล้ว ซึ่งการไป ในตระกูลนั้น
บอกแล้ว ซึ่งตระกูล อันอันตนชอบใจยิ่งแล้ว ฯ
อ. มารดานั้น ไปแล้ว ในตระกูลนั้น ขอแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา
ก�ำหนดแล้ว ซึ่งวัน น�ำมาแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา นั้น ได้กระท�ำแล้ว
ในเรือน เพื่อบุตรนั้น ฯ อ. นางกุมาริกานั้น เป็นหญิงหมัน
ได้เป็นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น อ.มารดา (กล่าวแล้ว) กะบุตรนั้น ว่า แน่ะลูก อ. เจ้า
(ยังเรา) ให้น�ำมาแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา ตามความชอบใจ ของตน,
ในกาลนี้ อ. นางกุมาริกานั้น เป็นหญิงหมัน เกิดแล้ว;
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 43
อปุตฺตกฺจ นาม กุลํ วินสฺสติ, ปเวณิ น ฆฏิยติ;
เตน อฺํ เต กุมาริกํ อาเนสฺสามีติ, เตน “อลํ
อมฺมาติ วุจฺจมานาปิ ปุนปฺปุนํ กเถสิ.
วฺฌิตฺถี ตํ กถํ สุตฺวา “ปุตฺตา นาม มาตาปิตูนํ
วจนํ อติกฺกมิตุํ น สกฺโกนฺติ, อิทานิ อฺํ
วิชายินึ อิตฺถึ อาเนตฺวา มํ ทาสีโภเคน ภุฺชิสฺสติ,
ยนฺนูนาหํ สยเมเวกํ กุมาริกํ อาเนยฺยนฺติ จินฺเตตฺวา
เอกํ กุลํ คนฺตฺวา ตสฺสตฺถาย กุมาริกํ วาเรตฺวา
“กินฺนาเมตํ อมฺม วเทสีติ เตหิ ปฏิกฺขิตฺตา “อหํ
วฺฌา, อปุตฺตกํ กุลํ วินสฺสติ, ตุมฺหากํ ธีตา
ปุตฺตํ ปฏิลภิตฺวา กุฏุมฺพสฺส สามินี ภวิสฺสติ, เทถ
ตํ มยฺหํ สามิกสฺสาติ ยาจิตฺวา สมฺปฏิจฺฉาเปตฺวา
อาเนตฺวา สามิกสฺส ฆเร อกาสิ.
อถสฺสา เอตทโหสิ “สจายํ ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา
ลภิสฺสติ, อยเมว กุฏุมฺพสฺส สามินี ภวิสฺสติ, ยถา
ทารกํ น ลภติ; ตเถว นํ กาตุํ วฏฺฏตีติ.
อถ นํ อาห “ยทา เต กุจฺฉิยํ คพฺโภ ปติฏฺ€าติ;
ตทา เม อาโรเจยฺยาสีติ.
สา “สาธูติ ปฏิสุตฺวา, คพฺเภ ปติฏฺ€ิเต, ตสฺสา
อาโรเจสิ.
ตสฺสา ปน สาเยว นิจฺจํ ยาคุภตฺตํ เทติ.
อถสฺสา อาหาเรเนว สทฺธึ คพฺภปาตนเภสชฺชํ
อทาสิ. คพฺโภ ปติ. ทุติยมฺปิ คพฺเภ ปติฏฺ€ิเต, ตสฺสา
อาโรเจสิ.
อิตราปิ ทุติยมฺปิ ตเถว ปาเตสิ.
อถ นํ ปฏิวิสฺสกิตฺถิโย ปุจฺฉึสุ “กจฺจิ เต สปตฺตี
อนฺตรายํ กโรตีติ.
สา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา, “ อนฺธพาเล กสฺมา
เอวมกาสิ? อยํ ตว อิสฺสริยภเยน คพฺภปาตน-
เภสชฺชํ โยเชตฺวา เทติ, เตน เต คพฺโภ ปตติ,
มา ปุน เอวมกาสีติ วุตฺตา, ตติยวาเร น กเถสิ.
ก็ อ. ตระกูล ชื่อว่าไม่มีบุตร ย่อมฉิบหาย, อ. เชื้อสาย (อันบุตร)
ย่อมไม่สืบต่อ; เพราะเหตุนั้น อ. เรา จักน�ำมา ซึ่งนางกุมาริกา
คนอื่น แก่เจ้า ดังนี้, แม้ผู้อันบุตรนั้นกล่าวอยู่ ว่า ข้าแต่แม่
อ. อย่าเลย ดังนี้กล่าวแล้ว บ่อย ๆ ฯ
อ.หญิงหมัน ฟังแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวนั้น คิดแล้วว่า
ชื่อ อ.บุตร ท. ย่อมไม่อาจ เพื่ออันก้าวล่วง ซึ่งค�ำของมารดาและ
บิดา ท., ในกาลนี้ อ.แม่ผัว น�ำมาแล้ว ซึ่งหญิง ผู้มีปกติคลอดอื่น
จักใช้สอย ซึ่งเรา ด้วยการใช้สอย เพียงดังทาสี, ไฉนหนอ อ.เรา
พึงน�ำมา ซึ่งนางกุมาริกา คนหนึ่ง เองนั่นเทียว ดังนี้ ไปแล้วสู่ตระกูล
หนึ่ง ขอแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา เพื่อประโยชน์แก่สามีนั้น ผู้อันชน ท.
เหล่านั้น ห้ามแล้วว่า แนะแม่ อ.เจ้า ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำนั่น ชื่ออะไร
ดังนี้อ้อนวอนแล้ว ว่า อ.เรา เป็นหญิงหมัน (ย่อมเป็น), อ.ตระกูล
อันไม่มีบุตร ย่อมพินาศ, อ.ธิดา ของท่าน ท. ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งบุตร
เป็นเจ้าของแห่งขุมทรัพย์ จักเป็น, อ.ท่าน ท. จงให้ ซึ่งธิดานั้น
แก่สามี ของดิฉัน ดังนี้ ยังชน ท. เหล่านั้น ให้รับพร้อมเฉพาะแล้ว
น�ำมาแล้ว ได้กระท�ำแล้ว ในเรือน ของสามี ฯ
ครั้งนั้น อ. ความคิดนั่น ว่า ถ้าว่า อ. หญิงนี้จักได้ ซึ่งบุตร หรือ
หรือว่า ซึ่งธิดาไซร้ , อ.หญิง นี้นั่นเทียว เป็นเจ้าของแห่งขุมทรัพย์
จักเป็น, อ. หญิงนี้จะไม่ได้ ซึ่งเด็ก โดยประการใด; อ. อัน (อันเรา)
กระท�ำ ซึ่งหญิงนั้น โดยประการนั้นนั่นเทียว ย่อมควร ดังนี้ ได้มีแล้ว
แก่หญิงหมันนั้น ฯ
ครั้งนั้น (อ.หญิงหมันนั้น) กล่าวแล้ว ว่า อ.สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์
ย่อมตั้งอยู่เฉพาะ ในท้องของเธอ ในกาลใด อ.เธอ พึงบอก แก่เรา
ในกาลนั้น ดังนี้กะหญิงนั้น ฯ
อ. หญิงนั้น ฟังตอบแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้, ครั้นเมื่อสัตว์
ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว, บอกแล้ว แก่หญิงหมันนั้น ฯ
ก็ อ. หญิงหมันนั้นนั่นเทียว ย่อมให้ ซึ่งข้าวต้มและข้าวสวย
แก่หญิงนั้น เนืองนิตย์ ฯ
ครั้งนั้น (อ. หญิงหมันนั้น) ได้ให้แล้ว ซึ่งยาเป็นเครื่องยังสัตว์
ผู้เกิดแล้วในครรภ์ให้ตกไป กับ ด้วยอาหารนั่นเทียว แก่หญิงนั้น ฯ
อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ตกไปแล้ว ฯ ครั้นเมื่อสัตว์ผู้เกิดแล้ว
ในครรภ์ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว แม้ในครั้งที่สอง, (อ. หญิงนั้น) บอกแล้ว
แก่หญิงหมันนั้น ฯ
อ.หญิงหมันแม้นอกนี้(ยังสัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์) ให้ตกไปแล้ว
อย่างนั้นนั่นเทียว แม้ครั้งที่สอง ฯ
ครั้งนั้น อ. หญิงผู้คุ้นเคย ท. ถามแล้ว ซึ่งหญิงนั้น ว่า อ. หญิง
ผู้เป็นไปกับด้วยผัว ย่อมกระท�ำ ซึ่งอันตราย แก่เธอ แลหรือ ดังนี้ ฯ
อ. หญิงนั้น บอกแล้ว ซึ่งเนื้อความนั้น, (ผู้อันหญิง ท.
เหล่านั้น)กล่าวแล้ว ว่า แน่ะหญิงผู้อันธพาล อ.เธอ ได้กระท�ำแล้ว
อย่างนี้เพราะเหตุอะไร? อ. หญิงนี้ประกอบแล้ว ซึ่งยาเป็นเครื่อง
ยังสัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ให้ตกไป ย่อมให้ แก่เธอ เพราะกลัว
แต่ความเป็นใหญ่, เพราะเหตุนั้น อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์
ของเธอ ย่อมตกไป, อ. เธอ อย่าได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ อีก ดังนี้,
ไม่บอกแล้ว ในวาระที่สาม ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
44
อถสฺสา อิตรา อุทรํ ทิสฺวา “กสฺมา มยฺหํ
คพฺภสฺส ปติฏฺ€ิตภาวํ น กเถสีติ วตฺวา, “ตฺวํ มํ
อาเนตฺวา เทฺว วาเร คพฺภํ ปาเตสิ, กิมตฺถํ ตุยฺหํ
กเถมีติ วุตฺเต, “นฏฺ€าทานิมฺหีติ จินฺเตตฺวา, ตสฺสา
ปมาทํ โอโลเกนฺตี, ปริณเต คพฺเภ, โอกาสํ ลภิตฺวา
เภสชฺชํ โยเชตฺวา อทาสิ. คพฺโภ ปริณตตฺตา ปติตุํ
อสกฺโกนฺโต ติริยํ นิปชฺชิ.
ติพฺพา ขรา เวทนา อุปฺปชฺชิ.
ชีวิตสํสยํ ปาปุณิ.
สา “นาสิตมฺหิ ตยา, ตฺวเมว มํ อาเนตฺวา ตโย
ทารเก นาเสสิ; อิทานิ สยํปิ นสฺสามิ, อิโตทานิ
จุตา ยกฺขินี หุตฺวา ตว ทารเก ขาทิตุํ สมตฺถา
หุตฺวา นิพฺพตฺเตยฺยนฺติ ปตฺถนํ €เปตฺวา กาลํ
กตฺวา ตสฺมึเยว เคเห มชฺชารี หุตฺวา นิพฺพตฺติ.
อิตรํปิ สามิโก คเหตฺวา “ตยา เม กุลุปจฺเฉโท
กโตติ กปฺปรชนฺนุกาทีหิ สุโปถิตํ โปเถสิ.
สา เตเนวาพาเธน กาลํ กตฺวา ตตฺเถว กุกฺกุฏี
หุตฺวา นิพฺพตฺติ.
น จิรสฺเสว กุกฺกุฏี อณฺฑานิ วิชายิ.
มชฺชารี อาคนฺตฺวา ตานิ ขาทิ.
ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ขาทิเยว.
กุกฺกุฏี “ตโย วาเร มม อณฺฑานิ ขาทิตฺวา,
อิทานิ มํปิ ขาทิตุกามาสิ; อิโตทานิ จุตา ตํ
สปุตฺตกํ ขาทิตุํ ลเภยฺยนฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ตโต จุตา
ทีปินี หุตฺวา นิพฺพตฺติ.
อิตราปิ มิคี หุตฺวา นิพฺพตฺติ.
ตสฺสา วิชาตวิชาตกาเล ทีปินี อาคนฺตฺวา
ตโย วาเร ปุตฺตเก ขาทิ.
มิคี มรณกาเล “อิมาย เม ติกฺขตฺตุํ ปุตฺตา
ขาทิตา, อิทานิ มํปิ ขาทิสฺสติ;
ครั้งนั้น อ. หญิงหมันนอกนี้ เห็นแล้ว ซึ่งท้องของหญิงนั้น
กล่าวแล้ว ว่า อ. ท่าน ไม่บอกแล้ว ซึ่งความที่แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว
ในครรภ์เป็นผู้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว แก่เรา เพราะเหตุอะไร ดังนี้,
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ท่าน น�ำมาแล้ว ซึ่งดิฉัน ยังสัตว์ผู้เกิดแล้ว
ในครรภ์ ให้ตกไปแล้ว สิ้นวาระ ท. สอง, อ. ดิฉัน จะบอก แก่ท่าน
เพื่อประโยชน์ อะไร ดังนี้ (อันหญิงนั้น) กล่าวแล้ว, คิดแล้ว ว่า
อ. เรา เป็นผู้ฉิบหายแล้ว ย่อมเป็น ในกาลนี้ ดังนี้, แลดูอยู่
ซึ่งความพลั้งเผลอ แห่งหญิงนั้น, ครั้นเมื่อสัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์
แก่รอบแล้ว, ได้แล้ว ซึ่งโอกาส ประกอบแล้ว ซึ่งยา ได้ให้แล้ว ฯ
อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ไม่อาจอยู่ เพื่ออันตกไป เพราะความที่-
แห่งครรภ์เป็นสภาพแก่รอบแล้ว นอนแล้ว ขวาง ฯ
อ. เวทนา กล้า แข็ง เกิดขึ้นแล้ว ฯ
(อ. หญิงนั้น) ถึงแล้ว ซึ่งความสงสัยในชีวิต ฯ
อ. หญิงนั้น ตั้งไว้แล้ว ซึ่งความปรารถนา ว่า อ. เรา เป็นผู้-
อันท่านให้ฉิบหายแล้ว ย่อมเป็น,อ.ท่านนั่นเทียวน�ำมาแล้วซึ่งเรา
ยังเด็ก ท. สาม ให้ฉิบหายแล้ว, ในกาลนี้อ. เรา จะฉิบหาย แม้เอง,
(อ. เรา) เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนี้ในกาลนี้เป็นนางยักษิณี เป็น
เป็นผู้สามารถ เพื่ออันเคี้ยวกิน ซึ่งเด็ก ท. ของท่าน เป็น พึงบังเกิด
ดังนี้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ เป็นนางแมว เป็น บังเกิดแล้ว ในเรือน
นั้นนั่นเทียว ฯ
อ. สามี จับแล้ว ซึ่งหญิงหมันแม้นอกนี้ (กล่าวแล้ว) ว่า
อ. การเข้าไปตัดซึ่งตระกูล ของเรา อันท่าน กระท�ำแล้ว ดังนี้
โบยแล้ว โบยแล้วด้วยดี (ด้วยอวัยวะ ท.) มีศอกและเข่าเป็นต้น ฯ
อ. หญิงหมันนั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ ด้วยความเจ็บนั้น
นั่นเทียว เป็นแม่ไก่ เป็น บังเกิดแล้ว ในเรือนนั้นนั่นเทียว ฯ
อ. แม่ไก่ ตกแล้ว ซึ่งฟองไข่ ท. ต่อกาลไม่นานนั่นเทียว ฯ
อ. นางแมว มาแล้ว เคี้ยวกินแล้ว ซึ่งฟองไข่ ท. เหล่านั้น ฯ
(อ. นางแมว) เคี้ยวกินแล้ว แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม
นั่นเทียว ฯ
อ.แม่ไก่กระท�ำแล้วซึ่งความปรารถนาว่าอ.ท่านเคี้ยวกินแล้ว
ซึ่งฟองไข่ ท. ของเรา สิ้นวาระ ท. สาม, เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเคี้ยวกิน
แม้ซึ่งเรา ย่อมเป็น ในกาลนี้; (อ. เรา) เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนี้
ในกาลนี้พึงได้ เพื่ออันเคี้ยวกิน ซึ่งท่าน ผู้เป็นไปกับด้วยบุตร ดังนี้
เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนั้น เป็นแม่เสือเหลือง เป็น บังเกิดแล้ว ฯ
อ. นางแมวแม้นอกนี้เป็นแม่เนื้อ เป็น บังเกิดแล้ว ฯ
อ.แม่เสือเหลือง มาแล้วเคี้ยวกินแล้วซึ่งลูกน้อยท.สิ้นวาระท. ๓
ในกาลแห่งแม่เนื้อนั้น คลอดแล้วและคลอดแล้ว ฯ
อ. แม่เนื้อ กระท�ำแล้ว ซึ่งความปรารถนา ในกาลเป็นที่ตาย
ว่า อ. บุตร ท. ของเรา อันแม่เสือเหลืองนี้ เคี้ยวกินแล้ว ๓ ครั้ง,
อ. แม่เสือเหลือง จักเคี้ยวกิน แม้ซึ่งเรา ในกาลนี้;
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 45
อิโตทานิ จุตา เอตํ สปุตฺตกํ ขาทิตุํ ลเภยฺยนฺติ
ปตฺถนํ กตฺวา กาลํ กตฺวา ยกฺขินี หุตฺวา นิพฺพตฺติ.
ทีปินีปิ ตโต จุตา สาวตฺถิยํ กุลธีตา หุตฺวา
นิพฺพตฺติ.
สา วุฑฺฒิปฺปตฺตา ทฺวารคาเม ปติกุลํ อคมาสิ.
อปรภาเค ปุตฺตํ วิชายิ. ยกฺขินี ตสฺสา
ปิ ยสหายิกาวณฺเณน อาคนฺตฺวา “ กุหึ เม
สหายิกาติ ปุจฺฉิ.
“อนฺโตคพฺเภ วิชาตาติ อาหํสุ.
สา ตํ สุตฺวา “ปุตฺตํ นุ โข วิชาตา อุทาหุ
ธีตรํ, ปสฺสิสฺสามิ นนฺติ, ปวิสิตฺวา ปสฺสนฺตี วิย
ทารกํ คเหตฺวา ขาทิตฺวา คตา.
ทุติยวาเรปิ ตเถว ขาทิ.
ตติยวาเร อิตรา ครุคพฺภา หุตฺวา สามิกํ
อามนฺเตตฺวา “สามิ อิมสฺมึ €าเน เอกา ยกฺขินี
มม เทฺว ปุตฺเต ขาทิตฺวา คตา, อิทานิ มม กุลเคหํ
คนฺตฺวา วิชายิสฺสามีติ กุลเคหํ คนฺตฺวา วิชายิ.
ตทา สา ยกฺขินี อุทกวารํ คตา โหติ.
เวสฺสวณสฺส หิ ยกฺขินิโย วาเรน อโนตตฺตโต
สีสปรมฺปราย อุทกํ อาหรนฺติโย จาตุมฺมาสจฺจเยนปิ
ปฺจมาสจฺจเยนปิ มุจฺจนฺติ.
อปรา กิลนฺตกายา ชีวิตกฺขยํปิ ปาปุณนฺติ.
สา ปน อุทกวารโต มุตฺตมตฺตาว เวเคน ตํ
ฆรํ คนฺตฺวา “กุหึ เม สหายิกาติ ปุจฺฉิ.
“กุหึ นํ ปสฺสิสฺสสิ, ตสฺสา อิมสฺมึ €าเน
ชาตทารเก ยกฺขินี ขาทติ; ตสฺมา กุลเคหํ คตาติ.
สา “ยตฺถ วา ตตฺถ วา คจฺฉตุ, นเม มุจฺจิสฺสตีติ
เวรเวคสมุสฺสาหิตา นคราภิมุขี ปกฺขนฺทิ.
อิตราปิ นามคฺคหณทิวเส ตํ ทารกํ นหาเปตฺวา
นามํ กตฺวา “สามิ อิทานิ
อ. เรา เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนี้ในกาลนี้พึงได้ เพื่ออันเคี้ยวกิน
ซึ่งแม่เสือเหลืองนั่น ผู้เป็นไปกับด้วยบุตร ดังนี้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ
เป็นนางยักษิณี เป็น บังเกิดแล้ว ฯ
แม้ อ. แม่เสือเหลือง เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนั้น เป็นกุลธิดา
เป็น บังเกิดแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ
อ. กุลธิดานั้น ผู้ถึงแล้วซึ่งความเจริญ ได้ไปแล้ว สู่ตระกูลแห่งผัว
ในบ้านใกล้ประตู ฯ
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก (อ. กุลธิดานั้น) คลอดแล้ว ซึ่งบุตร ฯ
อ. นางยักษิณี มาแล้ว ด้วยเพศแห่งหญิงสหายผู้เป็นที่รัก
ของหญิงนั้น ถามแล้ว ว่า อ. หญิงสหาย ของดิฉัน (ย่อมอยู่)
ในที่ไหน ดังนี้ ฯ
(อ. ชน ท.) กล่าวแล้ว ว่า (อ. หญิงสหาย ของท่าน) คลอดแล้ว
ในภายในแห่งห้อง ดังนี้ฯ
อ.นางยักษิณีนั้นฟังแล้วซึ่งค�ำนั้น(กล่าวแล้ว)ว่า(อ.หญิงสหาย)
คลอดแล้ว ซึ่งลูกชาย หรือหนอแล หรือว่า (อ. หญิงสหาย คลอดแล้ว)
ซึ่งลูกสาว, อ. เรา จักเห็น ซึ่งเด็กนั้น ดังนี้, เข้าไปแล้ว เป็นราวกะว่า
ดูอยู่ (เป็น) จับแล้ว ซึ่งเด็ก เคี้ยวกินแล้ว ไปแล้ว ฯ
(อ. นางยักษิณี) เคี้ยวกินแล้ว อย่างนั้นนั่นเทียว แม้ในวาระ
ที่สอง ฯ
ในวาระที่สาม อ. หญิงนอกนี้ เป็นผู้มีครรภ์อันหนัก เป็น
เรียกมาแล้ว ซึ่งสามี (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย อ. นางยักษิณี
ตนหนึ่ง เคี้ยวกินแล้ว ซึ่งบุตร ท. ๒ ของเรา ในที่นี้ไปแล้ว, ในกาลนี้
อ. ดิฉัน ไปแล้ว สู่เรือนแห่งตระกูล ของดิฉัน จักคลอด ดังนี้ไปแล้ว
สู่เรือนแห่งตระกูล คลอดแล้ว ฯ
ในกาลนั้น อ. นางยักษิณีนั้น เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งวาระแห่งน�้ำ
ย่อมเป็น ฯ
จริงอยู่ อ. นางยักษิณี ท. น�ำมาอยู่ ซึ่งน�้ำ โดยอันสืบ ๆ
แห่งศีรษะ จากสระชื่อว่าอโนดาต ตามวาระ เพื่อท้าวเวสสุวัณ
ย่อมพ้น โดยอันล่วงไปแห่งประชุมแห่งเดือนสี่บ้าง โดยอันล่วงไป
แห่งประชุมแห่งเดือนห้าบ้าง ฯ
อ. นางยักษิณี ท. เหล่าอื่นอีก ผู้มีกายอันบอบช�้ำแล้ว ย่อมถึง
แม้ซึ่งความสิ้นไปแห่งชีวิต ฯ
ก็ อ. นางยักษิณีนั้น ผู้สักว่าพ้นแล้ว จากวาระแห่งน�้ำเทียว
ไปแล้ว สู่เรือนนั้น โดยเร็ว ถามแล้ว ว่า อ. หญิงสหาย ของดิฉัน
(ไปแล้ว) ในที่ไหน ดังนี้ฯ
(อ.ชนท.กล่าวแล้ว)ว่าอ.ท่านจักเห็น ซึ่งหญิงนั้นในที่ไหน,
อ. นางยักษิณี ย่อมเคี้ยวกิน ซึ่งเด็กผู้เกิดแล้ว ท. ในที่นี้ของหญิง
นั้น; เพราะเหตุนั้น (อ. หญิงนั้น) ไปแล้ว สู่เรือนแห่งตระกูล ดังนี้ฯ
อ. นางยักษิณีนั้น (คิดแล้ว) ว่า (อ. หญิงนั้น) จงไป ในที่ใด
หรือ หรือว่า ในที่นั้น, (อ. หญิงนั้น) จักไม่พ้น จากเรา ดังนี้
ผู้อันก�ำลังแห่งเวรให้อาจหาญขึ้นพร้อมแล้ว ผู้มีหน้าเฉพาะ
ต่อเมือง แล่นไปแล้ว ฯ
อ. หญิงแม้นอกนี้ ยังเด็กนั้นให้อาบแล้ว ในวันเป็นที่ถือเอาซึ่งชื่อ
กระท�ำแล้ว ซึ่งชื่อ (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย ในกาลนี้
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
46
สกฆรํ คจฺฉามาติ ปุตฺตํ อาทาย สามิเกน สทฺธึ
วิหารมชฺฌคเตน มคฺเคน คจฺฉนฺตี ปุตฺตํ สามิกสฺส
ทตฺวา วิหารโปกฺขรณิยํ นหาตฺวา อุตฺตริตฺวา ปุตฺตํ
คเหตฺวา, สามิเก นหายนฺเต, ปุตฺตํ ปายมานา €ิตา,
ยกฺขินึ อาคจฺฉนฺตึ ทิสฺวา สฺชานิตฺวา “สามิ
เวเคน เอหิ, อยํ สา ยกฺขินีติ อุจฺจาสทฺทํ กตฺวา,
ยาว ตสฺสาคมนํ สณฺ€าตุํ อสกฺโกนฺตี นิวตฺติตฺวา
อนฺโตวิหาราภิมุขี ปกฺขนฺทิ.
ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริสมชฺเฌ ธมฺมํ เทเสติ.
สา ปุตฺตํ ตถาคตสฺส ปาทปิฏฺเ€ นิปชฺชาเปตฺวา
“ ตุมฺหากํ มยา เอส ทินฺโน , ปุตฺตสฺส เม ชีวิตํ
เทถาติ อาห.
ทฺวารโกฏฺ€เก อธิวตฺโถ สุมนเทโว ยกฺขินิยา
อนฺโต ปวิสิตุํ นาทาสิ.
สตฺถา อานนฺทตฺเถรํ อามนฺเตตฺวา “คจฺฉานนฺท
ตํ ยกฺขินึ ปกฺโกสาติ อาห. เถโร ตํ ปกฺโกสิ.
อิตรา “อยํ ภนฺเต อาคจฺฉตีติ อาห.
สตฺถา “เอตุ, มา สทฺทํ อกาสีติ วตฺวา, ตํ
อาคนฺตฺวา €ิตํ “กสฺมา เอวํ กโรสิ? สเจ หิ ตุมฺเห
มาทิสสฺส พุทฺธสฺส สมฺมุขีภาวํ นาคมิสฺสถ, อหินกุลานํ
วิย เวรํ อจฺฉผนฺทนานํ วิย กาโกฬุกานํ วิย จ
กปฺปฏฺ€ิติกํ โว เวรํ อภวิสฺส, กสฺมา เวรปฏิเวรํ
กโรถ? เวรํ หิ อเวเรน อุปสมฺมติ, โน เวเรนาติ วตฺวา
อิมํ คาถมาห
“น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ.
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโนติ.
ตตฺถ “น หิ เวเรนาติ: ยถา หิ เขฬสิงฺฆาณิกาทิ-
อสุจิมกฺขิตฏฺ€านํ เตเหว อสุจีหิ โธวนฺโตปิ
อ. เรา ท. จงไป สู่เรือนอันเป็นของตน ดังนี้ พาเอา ซึ่งบุตร
ไปอยู่ โดยหนทาง อันไปแล้วในท่ามกลางแห่งวิหาร กับ ด้วยสามี
ให้แล้ว ซึ่งบุตรแก่สามี อาบแล้ว ในสระโบกขรณีใกล้วิหาร
ข้ามขึ้นแล้ว รับแล้ว ซึ่งบุตร, ครั้นเมื่อสามี อาบอยู่, ยืนยังบุตร
ให้ดื่มอยู่แล้ว(ซึ่งน�้ำนม),เห็นแล้วซึ่งนางยักษิณีผู้มาอยู่รู้พร้อมแล้ว
กระท�ำแล้ว ซึ่งเสียงสูง ว่า ข้าแต่นาย อ. ท่าน จงมา โดยเร็ว,
(อ.หญิงนี้) เป็นนางยักษิณีนั้น (ย่อมเป็น) ดังนี้, ไม่อาจอยู่
เพื่ออันด�ำรงอยู่พร้อม เพียงใด ซึ่งอันมา แห่งสามีนั้น กลับแล้ว
ผู้มีหน้าเฉพาะต่อภายในแห่งวิหาร แล่นไปแล้ว ฯ
ในสมัยนั้น อ. พระศาสดา ทรงแสดงอยู่ ซึ่งธรรม ในท่ามกลาง
แห่งบริษัทฯ
อ.กุลธิดานั้น ยังบุตร ให้นอนแล้ว ที่หลังแห่งพระบาท
ของพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้ว ว่า อ. บุตรนั่น อันหม่อมฉัน
ถวายแล้ว แก่พระองค์ ท., อ. พระองค์ ท. ขอจงประทาน ซึ่งชีวิต
แก่บุตร ของหม่อมฉันเถิด ดังนี้ฯ
อ. สุมนเทพ ผู้สิงอยู่แล้ว ที่ซุ้มแห่งประตู ไม่ได้ให้แล้ว เพื่ออัน
เข้าไป ในภายใน แก่นางยักษิณี ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่าอานนท์
ตรัสแล้วว่า ดูก่อนอานนท์ อ. เธอ จงไป จงร้องเรียก ซึ่งนางยักษิณี
นั้น ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ ร้องเรียกแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนั้น ฯ
อ. กุลธิดานอกนั้น กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. นางยักษิณีนี้ย่อมมา ดังนี้ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า (อ. นางยักษิณีนั่น) จงมาเถิด,
อ. เธอ อย่าได้กระท�ำแล้ว ซึ่งเสียง ดังนี้, ตรัสแล้ว กะนางยักษิณีนั้น
ผู้มาแล้ว ยืนแล้ว ว่า อ. เธอ ย่อมกระท�ำ อย่างนี้เพราะเหตุอะไร ?
ก็ ถ้าว่า อ. เธอ ท. จักไม่มาแล้ว สู่ความเป็นแห่งบุคคลผู้มีหน้าพร้อม
ต่อพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยเราไซร้ , อ.เวร ของเธอ ท.
เป็นเวรตั้งอยู่ตลอดกัปป
์ จักได้เป็นแล้ว ราวกะ อ. เวรของงูเห่าและ
พังพอน ท. ด้วย ราวกะ (อ. เวร) ของหมีและไม้สะคร้อ ท. ด้วย
ราวกะ (อ.เวร) ของกาและนกเค้า ท. ด้วย, อ. เธอ ท. ย่อมกระท�ำ
ซึ่งเวรและเวรตอบ เพราะเหตุอะไร ? เพราะว่า อ. เวร ย่อมเข้าไปสงบ
ด้วยความไม่มีเวร, (อ. เวร) ย่อมไม่เข้าไปสงบ ด้วยเวร ดังนี้
ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา นี้ว่า
ก็ อ. เวร ท. ในโลกนี้ ย่อมไม่สงบ ด้วยเวร ในกาลไหน ๆ,
แต่ว่า (อ. เวร ท.) ย่อมสงบ ด้วยความไม่มีแห่งเวร
อ.ธรรมนั่น เป็นธรรมเก่า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า เหมือนอย่างว่า (อ. บุคคล) แม้ล้างอยู่
ซึ่งที่อันอันของไม่สะอาดมีน�้ำลายและน�้ำมูกเป็นต้นเปื้อนแล้ว
ด้วยของไม่สะอาด ท. เหล่านั้นนั่นเทียว
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 47
สุทฺธํ นิคฺคนฺธํ กาตุํ น สกฺโกติ, อถโข ตํ €านํ
ภิยฺโยโส มตฺตาย อสุทฺธตรฺจ ทุคฺคนฺธตรฺจ โหติ;
เอวเมว อกฺโกสนฺตํ ปจฺจกฺโกสนฺโต ปหรนฺตํ
ปฏิปฺปหรนฺโต เวเรน เวรํ วูปสเมตุํ น สกฺโกติ,
อถโข ภิยฺโย ภิยฺโย เวรเมว กโรติ.
อิติ เวรานิ นาม เวเรน กิสฺมิฺจิปิ กาเล
น สมฺมนฺติ, อถโข วฑฺฒนฺติเยว.
อเวเรน จ สมฺมนฺตีติ: ยถา ปน ตานิ เขฬาทีนิ
อสุจีนิ วิปฺปสนฺเนน อุทเกน โธวิยมานานิ วินสฺสนฺติ,
ตํ €านํ สุทฺธํ โหติ นิคฺคนฺธํ; เอวเมว อเวเรน
ขนฺติเมตฺโตทเกน โยนิโสมนสิกาเรน ปจฺจเวกฺขเณน
เวรานิ วูปสมฺมนฺติ ปฏิปฺปสฺสมฺภนฺติ อภาวํ คจฺฉนฺติ.
เอส ธมฺโม สนนฺตโนติ: เอส อเวเรน
เวรวูปสมนสงฺขาโต โปราณโก ธมฺโม สพฺเพสํ
พุทฺธปจฺเจกพุทฺธขีณาสวานํ คตมคฺโคติ.
คาถาปริโยสาเน สา ยกฺขีนี โสตาปตฺติผเล
ปติฏฺ€หิ. สมฺปตฺตปริสายปิ เทสนา สาตฺถิกา อโหสิ.
สตฺถา ตํ อิตฺถึ อาห “เอติสฺสา ตว ปุตฺตํ เทหีติ.
“ภายามิ ภนฺเตติ.
“มา ภายิ, นตฺถิ เต เอตํ นิสฺสาย ปริปนฺโถติ.
สา ปุตฺตํ ตสฺสา อทาสิ. สา ตํ คเหตฺวา
จุมฺพิตฺวา อาลิงฺคิตฺวา ปุน มาตุเยว ทตฺวา โรทิตุํ
อารภิ.
อถ นํ สตฺถา “กิเมตนฺติ ปุจฺฉิ.
“ภนฺเต อหํ ปุพฺเพ ยถา ตถา ชีวิตํ กปฺเปนฺตีปิ
กุจฺฉิปูรํ นาม นาลตฺถํ, อิทานิ กถํ ชีวิสฺสามีติ.
อถ นํ สตฺถา “มา จินฺตยีติ สมสฺสาเสตฺวา,
ตํ อิตฺถึ อาห “อิมํ เนตฺวา อตฺตโน เคเห
นิวาสาเปตฺวา อคฺคยาคุภตฺเตหิ ปฏิชคฺคาหีติ.
ย่อมไม่อาจ เพื่ออันกระท�ำให้เป็นที่หมดจดแล้ว ให้เป็นที่
มีกลิ่นออกแล้ว, โดยที่แท้ อ. ที่นั้น เป็นที่ไม่หมดจดแล้วกว่าด้วย
เป็นที่มีกลิ่นชั่วกว่าด้วย ย่อมเป็น โดยยิ่ง โดยประมาณ ฉันใด,
(อ. บุคคล) ด่าตอบอยู่ ซึ่งบุคคลผู้ด่าอย ประหารตอบอยู่ ซึ่งบุคคล
ผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจ เพื่ออันยังเวรให้เข้าไปสงบวิเศษ ด้วยเวร,
โดยที่แท้ (อ.บุคคลนั้น) ย่อมกระท�ำ ซึ่งเวร ยิ่งๆ นั่นเทียว ฉันนั้น
นั่นเทียว ฯ
ชื่อ อ. เวร ท. ย่อมไม่สงบ ด้วยเวร ในกาลแม้ไหนๆ โดยที่แท้
(อ. เวร ท.) ย่อมเจริญนั่นเทียว ด้วยประการฉะนี้(ดังนี้) ในบท ท.
เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า น หิ เวเรน ดังนี้เป็นต้น ฯ
(อ. อรรถ) ว่า เหมือนอย่างว่า อ. ของไม่สะอาด ท. มีน�้ำลาย
เป็นต้น เหล่านั้น อันอันบุคคลล้างอยู่ ด้วยน�้ำ อันใสวิเศษแล้ว
ย่อมเลือนหาย, อ.ที่นั้น เป็นที่หมดจดแล้ว เป็นที่มีกลิ่นออกแล้ว
ย่อมเป็น ฉันใด ; อ. เวร ท. ย่อมเข้าไปสงบวิเศษ คือว่า
ย่อมระงับเฉพาะ คือว่า ย่อมถึง ซึ่งความไม่มี ด้วยความไม่มีเวร
คือว่า ด้วยน�้ำคือขันติและเมตตา คือว่า ด้วยการกระท�ำไว้ในใจ
โดยแยบคาย คือว่า ด้วยการพิจารณา ฉันนั้นนั่นเทียว (ดังนี้
แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ดังนี้ฯ
(อ. อรรถ) ว่า อ.ธรรม นั่น คือว่า อันบัณฑิตนับพร้อมแล้ว
ว่าการยังเวรให้เข้าไปสงบวิเศษ ด้วยความไม่มีเวร เป็นธรรมเก่า
คือว่า เป็นหนทางแห่งพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าและ
พระขีณาสพ ท. ทั้งปวง ไปแล้ว (ย่อมเป็น) ดังนี้ (แห่งบาท
แห่งพระคาถา) ว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ดังนี้ ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ.นางยักษิณีนั้น
ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผลฯ อ.เทศนาเป็นเทศนาเป็นไป
กับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว กะหญิงนั้น ว่า อ. เธอ จงให้ ซึ่งบุตร
ของเธอ แก่นางยักษิณีนั่น ดังนี้ฯ
(อ. หญิงนั้น ทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. หม่อนฉัน
ย่อมกลัว ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า อ. เธอ อย่ากลัวแล้ว,
อ.อันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบย่อมไม่มี แก่เธอเพราะอาศัย
ซึ่งนางยักษิณีนั่น ดังนี้ฯ
อ.หญิงนั้น ได้ให้แล้ว ซึ่งบุตร แก่นางยักษิณีนั้น ฯ
อ. นางยักษิณีนั้น รับแล้ว ซึ่งบุตรนั้น จูบแล้ว สวมกอดแล้ว ให้แล้ว
แก่มารดาอีกนั่นเทียว เริ่มแล้ว เพื่ออันร้องไห้ ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนั้น ว่า
อ. เหตุนั่น อะไร ดังนี้ฯ
(อ. นางยักษิณีนั้น กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ในกาลก่อน อ. หม่อมฉัน แม้ส�ำเร็จอยู่ ซึ่งชีวิต โดยประการใด
โดยประการนั้น ไม่ได้ได้แล้ว (ซึ่งอาหารวัตถุ) ชื่ออันยังท้องให้เต็ม,
ในกาลนี้อ.หม่อมฉัน จักเป็นอยู่ อย่างไร ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ทรงยังนางยักษิณีนั้น ให้หายใจออก
คล่องดีแล้ว(ด้วยพระด�ำรัส)ว่า(อ.เธอ)อย่าคิดแล้วดังนี้ตรัสแล้ว
กะหญิงนั้น ว่า อ. เธอ น�ำไปแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนี้ ให้เข้าอยู่แล้ว
ในเรือน ของตน จงปฏิบัติ ด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอันเลิศ ท.
ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
48
สา ตํ เนตฺวา ปิฏฺ€ิวํเส ปติฏฺ€าเปตฺวา
อคฺคยาคุภตฺเตหิ ปฏิชคฺคิ.
ตสฺสา วีหิปหรณกาเล มุสลํ มุทฺธํ ปหรนฺตํ
วิย อุปฏฺ€าติ.
สา สหายิกํ อามนฺเตตฺวา “อิมสฺมึ €าเน วสิตุํ
น สกฺขิสฺสามิ, อฺตฺถ มํ ปติฏฺ€าเปหีติ วตฺวา,
มุสลสาลายํ อุทกจาฏิยํ อุทฺธเน นิมฺพโกเส สงฺการกูเฏ
คามทฺวาเรติ เอเตสุ €าเนสุ ปติฏฺ€าปิตาปิ,
“อิธ เม มุสลํ สีสํ ภินฺทนฺตํ วิย อุปฏฺ€าติ, อิธ ทารกา
อุจฺฉิฏฺ€ุทกํ โอตาเรนฺติ, อิธ สุนขา นิปชฺชนฺติ,
อิธ ทารกา อสุจึ กโรนฺติ, อิธ กจวรํ ฉฑฺเฑนฺติ,
อิธ คามทารกา ลกฺขโยคฺคํ กโรนฺตีติ สพฺพานิ
ตานิ ปฏิกฺขิปิ.
อถ นํ พหิคาเม วิวิตฺโตกาเส ปติฏฺ€าเปตฺวา
ตตฺถ ตสฺสา อคฺคยาคุภตฺตาทีนิ หริตฺวา ปฏิชคฺคิ.
สา ยกฺขินี เอวํ จินฺเตสิ “อยํ เม สหายิกา
อิทานิ พหูปการา, หนฺทาหํ กิฺจิ ปฏิคุณํ กโรมีติ,
“อิมสฺมึ สํวจฺฉเร สุพฺพุฏฺ€ิกา ภวิสฺสติ, ถลฏฺ€าเน
สสฺสํ กโรหิ, อิมสฺมึ สํวจฺฉเร ทุพฺพุฏฺ€ิกา ภวิสฺสติ,
นินฺนฏฺ€าเนเยว สสฺสํ กโรหีติ สหายิกาย อาโรเจสิ.
เสสชเนหิ กตสสฺสํ อติอุทเกน วา อโนทเกน วา
นสฺสติ. ตสฺสา สสฺสํ อติวิย สมฺปชฺชติ.
อถ นํ “อมฺม ตยา กตํ สสฺสํ เนว อจฺโจทเกน
นสฺสติ, น อโนทเกน นสฺสติ; สุพฺพุฏฺ€ิทุพฺพุฏฺ€ิภาวํ
ตฺวา กมฺมํ กโรสิ, กึ นุ โข เอตนฺติ ปุจฺฉึสุ.
“อมฺหากํ สหายิกา ยกฺขินี สุพฺพุฏฺ€ิทุพฺพุฏฺ€ิภาวํ
อาจิกฺขติ, มยํ ตสฺสา วจเนน ถลนินฺเนสุ สสฺสานิ
กโรม,
อ. หญิงนั้น น�ำไปแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนั้น ให้ด�ำรงอยู่แล้ว
ในโรงแห่งครกกระเดื่อง ปฏิบัติแล้ว ด้วยข้าวต้มและข้าวสวย
อันเลิศ ท. ฯ
อ.สาก ย่อมปรากฏ แก่นางยักษิณีนั้น ราวกะว่าต่อยอยู่ซึ่งศีรษะ
ในกาลเป็นที่ซ้อมซึ่งข้าวเปลือก ฯ
อ. นางยักษิณีนั้น เรียกมาแล้ว ซึ่งหญิงสหาย กล่าวแล้ว ว่า
อ.เราจักไม่อาจเพื่ออันอยู่ในที่นี้,อ.ท่านยังเรา จงให้ตั้งอยู่เฉพาะ
ในที่อื่น ดังนี้, แม้ผู้อันหญิงสหายให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในที่ ท.
เหล่านั่น คือในโรงแห่งสาก ในตุ่มแห่งน�้ำ ที่เตา ที่ชายคา ที่กอง
แห่งหยากเยื่อ ใกล้ประตูแห่งบ้าน, ห้ามแล้ว ซึ่งที่ ท. เหล่านั้น
ทั้งปวง (ด้วยค�ำ) ว่า อ. สาก ย่อมปรากฏ แก่เรา ราวกะว่าต่อยอยู่
ซึ่งศีรษะ ในที่นี้, อ. เด็ก ท. ยังน�้ำอันเป็นเดน ย่อมให้ข้ามลง ในที่นี้,
อ.สุนัขท.ย่อมนอนในที่นี้,อ.เด็กท.ย่อมกระท�ำซึ่งความไม่สะอาด
ในที่นี้, (อ. ชน ท.) ย่อมทิ้ง ซึ่งหยากเยื่อ ในที่นี้, อ. เด็กในบ้าน ท.
ย่อมกระท�ำ ซึ่งกรรมอันบุคคลพึงประกอบด้วยคะแนน ในที่นี้
ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น (อ. หญิงสหาย) ยังนางยักษิณีนั้น ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว
ในโอกาสอันสงัดแล้ว ในภายนอกแห่งบ้าน น�ำไปแล้ว (ซึ่งอาหารวัตถุ ท.)
มีข้าวต้มและข้าวสวยอันเลิศเป็นต้น แก่นางยักษิณีนั้น ปฏิบัติแล้ว
ในที่นั้น ฯ
อ. นางยักษิณีนั้น คิดแล้ว อย่างนี้ว่า อ. หญิงสหาย ของเรา นี้
เป็นผู้มีอุปการะมาก(ย่อมเป็น)ในกาลนี้,เอาเถิดอ.เราจะกระท�ำ
ซึ่งคุณตอบ อะไร ๆ ดังนี้, บอกแล้ว แก่หญิงสหาย ว่า อ. ฝนดี จักมี
ในปีนี้, อ. ท่าน จงกระท�ำ ซึ่งข้าวกล้า ในที่อันดอน, อ. ฝนแล้ง
จักมี ในปีนี้, อ. ท่าน จงกระท�ำ ซึ่งข้าวกล้า ในที่อันลุ่มนั่นเทียว
ดังนี้ฯ
อ. ข้าวกล้า อันอันชนผู้เหลือ ท. กระท�ำแล้ว ย่อมฉิบหาย
ด้วยน�้ำอันเกิน หรือ หรือว่า ด้วยน�้ำอันน้อย ฯ อ. ข้าวกล้า
ของหญิง นั้น ย่อมถึงพร้อม เกินเปรียบ ฯ
ครั้งนั้น(อ.ชนท.)ถามแล้วซึ่งหญิงนั้นว่าแน่ะแม่อ.ข้าวกล้า
อันอันท่านกระท�ำแล้ว ย่อมไม่เสียหาย ด้วยน�้ำอันเกินนั่นเทียว,
ย่อมไม่เสียหาย ด้วยน�้ำอันน้อย; อ. ท่าน รู้แล้ว ซึ่งความเป็น
แห่งฝนดีและฝนแล้ง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการงานหรือ ?, อ. เหตุนั่น
อะไรหนอแล ดังนี้ฯ
(อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. นางยักษิณี ผู้เป็นสหาย
ของเรา ท. ย่อมบอก ซึ่งความเป็นแห่งฝนดีและฝนแล้ง,
อ.เรา ท. ย่อมกระท�ำซึ่งข้าวกล้าท. ในที่ดอนและที่ลุ่มท.ตามค�ำ
ของนางยักษิณีนั้น
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 49
เตน โน สสฺสํ สมฺปชฺชติ, กึ น ปสฺสถ นิพทฺธํ
อมฺหากํ เคหโต ยาคุภตฺตาทีนิ หริยมานานิ?
ตานิ เอติสฺสา หริยนฺติ, ตุมฺเหปิ เอติสฺสา
อคฺคยาคุภตฺตาทีนิ หรถ, ตุมฺหากมฺปิ กมฺมนฺเต
โอโลเกสฺสตีติ.
อถสฺสา สกลนครวาสิโน สกฺการํ กรึสุ .
สาปิ ตโต ปฏฺ€าย สพฺเพสํ กมฺมนฺเต โอโลเกนฺตี
ลาภคฺคปฺปตฺตา อโหสิ มหาปริวารา.
สา อปรภาเค อฏฺ€ สลากภตฺตานิ ปฏฺ€เปสิ.
ตานิ ยาวชฺชกาลา ทียนฺติเยว.
อิทํ กาลียกฺขินิยา อุปฺปตฺติวตฺถุ.
๕. โกสมฺพิกวตฺถุ. (๕)
“ปเร จ น วิชานนฺตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
เชตวเน วิหรนฺโต โกสมฺพิเก ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิ.
โกสมฺพิยํ หิ โฆสิตาราเม ปญฺจสตปญฺจสต-
ปริวารา เทฺว ภิกฺขู วิหรึสุ: วินยธโร จ ธมฺมกถิโก จ.
เตสุ ธมฺมกถิโก เอกทิวสํ สรีรวลญฺชํ กตฺวา
อุทกโกฏฺ€เก อาจมนอุทกาวเสสํ ภาชเน €เปตฺวา
นิกฺขมิ.
ปจฺฉา วินยธโร ตตฺถ ปวิฏฺโ€ ตํ อุทกํ ทิสฺวา
นิกฺขมิตฺวา อิตรํ ปุจฺฉิ “อาวุโส ตยา อุทกํ
€ปิตนฺติ.
“อาม อาวุโสติ.
“กึ ปเนตฺถ อาปตฺติภาวํ น ชานาสีติ.
“อาม น ชานามีติ.
“โหตาวุโส, เอตฺถ อาปตฺตีติ.
“เตนหิ ปฏิกฺกริสฺสามิ นนฺติ ฯ
เพราะเหตุนั้น อ. ข้าวกล้า ของเรา ท. ย่อมถึงพร้อม, อ. ท่าน ท.
ย่อมไม่เห็น ( ซึ่งอาหารวัตถุ ท. ) มีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น
(อันเรา ท.) น�ำไปอยู่ จากเรือน ของเรา ท. เนืองนิตย์ หรือ ?
อ.อาหารวัตถุท.เหล่านั้น(อันเราท.)ย่อมน�ำไปเพื่อนางยักษิณีนั่น,
แม้ อ.ท่าน ท. จงน�ำไป (ซึ่งอาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวย
อันเลิศเป็นต้น เพื่อนางยักษิณีนั่น อ. นางยักษิณี จักตรวจดู
ซึ่งการงาน ท. แม้ของท่าน ท. ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น (อ. ชน ท.) ผู้อยู่ในเมืองทั้งสิ้นโดยปกติ กระท�ำแล้ว
ซึ่งสักการะ แก่นางยักษิณีนั้น ฯ อ. นางยักษิณีแม้นั้น ตรวจดูอยู่
ซึ่งการงาน ท. ของชน ท. ทั้งปวง เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งลาภอันเลิศ.
เป็นผู้มีบริวารมาก ได้เป็นแล้ว จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ
อ. นางยักษิณีนั้น เริ่มตั้งแล้ว ซึ่งสลากภัตร ท. ๘ ในกาล
อันเป็นส่วนอื่นอีก ฯ อ. สลากภัตร ท. เหล่านั้น (อันชน ท.)
ถวายอยู่ เพียงใดแต่กาลอันมีในวันนี้นั่นเทียว ฯ
อ.เรื่องแห่งความเกิดขึ้นแห่งนางยักษิณีชื่อว่ากาลี นี้
(จบแล้ว) ฯ
๕. อ. เรื่องแห่งภิกษุผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
ซึ่งภิกษุ ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพีตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา
นี้ว่า ปเร จ น วิชานนฺติ ดังนี้เป็นต้น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. ภิกษุ ท. สอง คือ
อ. พระวินัยธรด้วย อ. พระธรรมกถึก ด้วย ผู้มีภิกษุมีร้อยห้าและ
ร้อยห้าเป็นประมาณเป็นบริวาร อยู่แล้ว ในโฆสิตาราม ใกล้เมือง
ชื่อว่าโกสัมพี ฯ
ในภิกษุ ท. ๒ เหล่านั้นหนา อ. พระธรรมกถึก กระท�ำแล้ว
ซึ่งวลัญชะในสรีระ เหลือไว้แล้ว ซึ่งน�้ำเป็นเครื่องช�ำระอันเหลือลง
ในภาชนะ ในซุ้มแห่งน�้ำ ออกไปแล้ว ในวันหนึ่ง ฯ
อ. พระวินัยธร เข้าไปแล้ว ในซุ้มแห่งน�้ำนั้น ในภายหลัง
เห็นแล้ว ซึ่งน�้ำนั้น ออกไปแล้ว ถามแล้ว ซึ่งพระธรรมกถึกนอกนี้ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. น�้ำ อันท่าน เหลือไว้แล้วหรือ ดังนี้ ฯ
(อ. พระธรรมกถึก กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เออ
(อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ (อ. พระวินัยธร ถามแล้ว) ว่า ก็ อ. ท่าน
ย่อมไม่รู้ ซึ่งความเป็นแห่งอาบัติ ในเพราะเรื่องนี้ หรือ ดังนี้ ฯ
(อ. พระธรรมกถึก กล่าวแล้ว) ว่า เออ อ. ข้าพเจ้า ย่อมไม่รู้ ดังนี้ฯ
(อ. พระวินัยธร กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ (อ. เรื่อง นั้น)
จงมีเถิด,อ.อาบัติ(ย่อมมี)ในเพราะเรื่องนี้ดังนี้ฯ (อ.พระธรรมกถึก
กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ข้าพเจ้า จักกระท�ำคืน ซึ่งอาบัติ
นั้นดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
50
“สเจ ปน เต อาวุโส อสญฺจิจฺจ อสติยา
กตํ, นตฺถิ อาปตฺตีติ.
โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฏฺ€ิ อโหสิ.
วินยธโรปิ อตฺตโน นิสฺสิตกานํ “อยํ ธมฺมกถิโก
อาปตฺตึ อาปชฺชมาโนปิ น ชานาตีติ อาโรเจสิ.
เต ตสฺส นิสฺสิตเก ทิสฺวา “ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย
อาปตฺตึ อาปชฺชิตฺวาปิ อาปตฺติภาวํ น ชานาตีติ
อาหํสุ.
เต คนฺตฺวา อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส อาโรเจสุํ.
โส เอวมาห “อยํ วินยธโร ปุพฺเพ “อนาปตฺตีติ
วตฺวา อิทานิ `อาปตฺตีติ วทติ, มุสาวาที เอโสติ.
เต คนฺตฺวา “ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย มุสาวาทีติ
กถยึสุ.
เต เอวํ อญฺญมญฺญํ กลหํ วฑฺฒยึสุ.
ตโต วินยธโร โอกาสํ ลภิตฺวา ธมฺมกถิกสฺส
อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺเขปนียกมฺมํ อกาสิ.
ตโต ปฏฺ€าย เตสํ ปจฺจยทายกา อุปฏฺ€ากาปิ
เทฺว โกฏฺ€าสา อเหสุํ.
โอวาทปฏิคฺคาหิกา ภิกฺขุนิโยปิ อารกฺขเทวตาปิ
ตาสํ สนฺทิฏฺ€สมฺภตฺตา อากาสฏฺ€เทวตาปิ ยาว
พฺรหฺมโลกาปิ สพฺเพ ปุถุชฺชนา เทฺว ปกฺขา อเหสุํ.
ยาว อกนิฏฺ€ภวนา ปน เอกนินฺนาทํ โกลาหลํ
อคมาสิ.
อเถโก ภิกฺขุ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา อุกฺเขปกานํ
“ ธมฺมิเกเนวายํ กมฺเมน อุกฺขิตฺโตติ ลทฺธึ
อุกฺขิตฺตานุวตฺตกานํ “อธมฺมิเกน กมฺเมน อุกฺขิตฺโตติ
ลทฺธึ อุกฺเขปเกหิ วาริยมานานํปิ จ เตสํ ตํ
อนุปริวาเรตฺวา วิจรณภาวํ อาโรเจสิ.
ภควา “สมคฺคา กิร โหนฺตูติ เทฺว วาเร เปเสตฺวา
“น อิจฺฉนฺติ ภนฺเต สมคฺคา ภวิตุนฺติ สุตฺวา ตติยวาเร
“ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ, ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆติ สุตฺวา
เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา,
(อ. พระวินัยธร กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็ ถ้าว่า
(อ. วีติกกมนะ) อันท่าน ไม่แกล้งแล้ว กระท�ำแล้ว เพราะความระลึก
ไม่ได้ไซร้, อ. อาบัติ ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ
อ. พระธรรมกถึกนั้น เป็นผู้มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ
ได้เป็นแล้ว ฯ
แม้ อ. พระวินัยธร บอกแล้ว แก่นิสิต ท. ของตน ว่า
อ. พระธรรมกถึกนี้แม้ต้องอยู่ ซึ่งอาบัติ ย่อมไม่รู้ ดังนี้ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น เห็นแล้ว ซึ่งนิสิต ท. ของพระธรรมกถึก
นั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. อุปัชฌาย์ ของท่าน ท. แม้ต้องแล้ว ซึ่งอาบัติ
ย่อมไม่รู้ ซึ่งความเป็นแห่งอาบัติ ดังนี้ฯ
อ.ภิกษุท.เหล่านั้น ไปแล้ว บอกแล้ว แก่อุปัชฌาย์ ของตนฯ
อ. พระธรรมกถึกนั้น กล่าวแล้ว อย่างนี้ ว่า อ. พระวินัยธร นี้
กล่าวแล้ว ว่า ไม่เป็นอาบัติ ดังนี้ ในกาลก่อน ย่อมกล่าว ว่า
เป็นอาบัติ ดังนี้ ในกาลนี้, อ. พระวินัยธรนั่น เป็นผู้กล่าวเท็จ
โดยปกติ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว กล่าวแล้ว ว่า อ. อุปัชฌาย์
ของท่าน ท. เป็นผู้กล่าวเท็จโดยปกติ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ยังความทะเลาะ ซึ่งกันและกัน
ให้เจริญแล้ว ด้วยประการฉะนี้ฯ
ในล�ำดับนั้น อ. พระวินัยธร ได้แล้ว ซึ่งโอกาส ได้กระท�ำแล้ว
ซึ่งอุกเขปนียกรรมในเพราะอันไม่เห็นซึ่งอาบัติแก่พระธรรมกถึกฯ
แม้ อ. อุปัฏฐาก ท. ผู้ถวายซึ่งปัจจัย แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น
เป็นส่วนสอง ได้เป็นแล้ว จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ
อ. นางภิกษุณี ท. ผู้รับซึ่งโอวาทก็ดี อ. เทวดาผู้อารักขา ท. ก็ดี
อ. เทวดาผู้ด�ำรงอยู่ในอากาศ ท. ผู้เห็นกันดีแล้วและคบกันดีแล้ว
แห่งเทวดา ท. เหล่านั้น ก็ดี อ.ปุถุชน ท. ทั้งปวง เพียงใด
แต่พรหมโลก ก็ดี เป็นฝ่ายสอง ได้เป็นแล้ว ฯ
ก็ อ. ความโกลาหล มีความบันลือออกแล้วเป็นอันเดียวกัน
ได้ไปแล้ว เพียงใด แต่ภพชื่อว่าอกนิฏฐะ ฯ
ครั้งนั้น อ. ภิกษุ รูปหนึ่ง เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า
กราบทูลแล้วซึ่งลัทธิ ว่า อ.พระธรรมกถึกนี้(อันสงฆ์) ยกวัตรแล้ว
ด้วยกรรม อันประกอบแล้วด้วยธรรมนั่นเทียว ดังนี้ (แห่งภิกษุ ท.)
ผู้ยกวัตรด้วย ซึ่งลัทธิ ว่า (อ.พระอุปัชฌาย์ ของเรา ท. อันสงฆ์)
ยกวัตรแล้ว ด้วยกรรม อันไม่ประกอบแล้วด้วยธรรม ดังนี้(แห่งภิกษุท.)
ผู้ประพฤติตามซึ่งพระธรรมกถึกผู้อันสงฆ์ยกวัตรแล้วด้วย
ซึ่งความเป็นคืออันเที่ยวไป ตามแวดล้อม ซึ่งพระธรรมกถึกนั้น
แห่งภิกษุ ท. เหล่านั้น แม้ผู้อันภิกษุ ท. ผู้ยกวัตรห้ามอยู่ด้วย ฯ
อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่งไปแล้ว (ซึ่งพระโอวาท) ว่า ได้ยินว่า
(อ. ภิกษุ ท.) เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน จงเป็น ดังนี้สิ้นวาระ ท. สอง
ทรงสดับแล้วว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(อ.ภิกษุท.)ย่อมไม่ปรารถนา
เพื่ออันเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็น ดังนี้ ทรงสดับแล้ว ว่า
อ. หมู่แห่งภิกษุ แตกกันแล้ว, อ. หมู่แห่งภิกษุ แตกกันแล้ว ดังนี้
เป็นต้น ในวาระที่ ๓ เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของภิกษุ ท. เหล่านั้น,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 51
อุกฺเขปกานํ อุกฺเขปเน อิตเรสญฺจ อาปตฺติยา
อทสฺสเน อาทีนวํ กเถตฺวา ปุน เตสํตตฺเถว เอกสีมายํ
อุโปสถาทีนิ อนุชานิตฺวา ภตฺตคฺคาทีสุ ภณฺฑนชาตานํ
“อาสนนฺตริกาย นิสีทิตพฺพนฺติ ภตฺตคฺเค วตฺตํ
ปญฺญาเปตฺวา “อิทานิปิ ภณฺฑนชาตา วิหรนฺตีติ
สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา “อลํ ภิกฺขเว มา ภณฺฑนนฺติ
อาทีนิ วตฺวา “ภิกฺขเว ภณฺฑนกลหวิคฺคหวิวาทา
นาเมเต อนตฺถการกา, กลหํ นิสฺสาย หิ ลฏุกิกาปิ
สกุณิกา หตฺถินาคํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปสีติ ลฏุกิกชาตกํ
กเถตฺวา “ภิกฺขเว สมคฺคา โหถ มา วิวทถ; วิวาทํ
นิสฺสาย หิ อเนกสหสฺสวฏฺฏกาปิ ชีวิตกฺขยํ ปตฺตาติ
วฏฺฏกชาตกํ กเถสิ.
เอวํปิ เตสุ วจนํ อนาทิยนฺเตสุ, อญฺญตเรน
ธมฺมวาทินา ตถาคตสฺส วิเหสํ อนิจฺฉนฺเตน
“อาคเมตุ ภนฺเต ภควา ธมฺมสฺสามิ, อปฺโปสฺสุกฺโก
ภนฺเต ภควา ทิฏฺ€ธมฺมสุขวิหารํ อนุยุตฺโต วิหรตุ;
มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน
ปญฺญายิสฺสามาติ วุตฺเต,
“ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺโต
นาม กาสีราชา อโหสีติ พฺรหฺมทตฺเตน ทีฆีติสฺส
โกสลรญฺโญ รชฺชํ อจฺฉินฺทิตฺวา อญฺญาตกเวเสน
วสนฺตสฺส มาริตภาวญฺเจว ทีฆาวุกุมาเรน อตฺตโน
ชีวิเต ทินฺเน, ตโต ปฏฺ€าย เตสํ สมคฺคภาวญฺจ
กเถตฺวา “ เตสํ หิ นาม ภิกฺขเว ราชูนํ
อาทินฺนทณฺฑานํ อาทินฺนสตฺถานํ เอวรูปํ ขนฺติโสรจฺจํ
ภวิสฺสติ,
ตรัสแล้วซึ่งโทษในเพราะการยกวัตรแห่งภิกษุท.ผู้ยกวัตรด้วย
ในเพราะการไม่เห็น ซึ่งอาบัติ แห่งภิกษุ ท. เหล่านอกนี้ด้วย
ทรงอนุญาตแล้ว ซึ่งกรรม ท. มีอุโบสถเป็นต้น ในสีมาอันเดียวกัน
ในโฆสิตารามนั้นนั่นเทียวแก่ภิกษุท.เหล่านั้นอีกทรงบัญญัติแล้ว
ซึ่งวัตรในโรงแห่งภัตรว่า(อันภิกษุท.)พึงนั่งในแถวอันมีในระหว่าง
แห่งอาสนะ ดังนี้เป็นต้น (แก่ภิกษุ ท.) ผู้มีความแตกร้าวเกิดแล้ว
(ในที่ ท.) มีโรงแห่งภัตรเป็นต้น ทรงสดับแล้ว ว่า (อ.ภิกษุ ท.)
ผู้มีความแตกร้าวเกิดแล้ว อยู่อยู่ แม้ในกาลนี้ ดังนี้ เสด็จไปแล้ว
ในที่นั้น ตรัสแล้ว (ซึ่งพระด�ำรัส ท.) มีค�ำว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. อย่าเลย
(อ.เธอ ท.) อย่า (ได้กระท�ำแล้ว) ซึ่งความแตกร้าว ดังนี้เป็นต้น
(ตรัสแล้ว)ว่าดูก่อนภิกษุท.ชื่อ อ.ความแตกร้าวและความทะเลาะ
และความแก่งแย่งและความวิวาท ท. เหล่านั่น เป็นเหตุกระท�ำ
ซึ่งความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ (ย่อมเป็น), ก็ อ. นางนก แม้ชื่อว่า
นกไส้ อาศัยแล้ว ซึ่งความทะเลาะ ยังช้างตัวประเสริฐ ให้ถึงแล้ว
ซึ่งความสิ้นไปแห่งชีวิต ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งลฏุกิกชาดก (ตรัสแล้ว)
ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน จงเป็น
จงอย่าวิวาทกัน; ก็ แม้ อ. นกกระจาบมีพันมิใช่หนึ่ง ท. อาศัยแล้ว
ซึ่งความวิวาท ถึงแล้ว ซึ่งความสิ้นไปแห่งชีวิต ดังนี้ ตรัสแล้ว
ซึ่งวัฏฏกชาดก ฯ
ครั้นเมื่อภิกษุ ท. เหล่านั้น ไม่เอื้อเฟื้ออยู่ ซึ่งพระด�ำรัส
แม้อย่างนี้ , (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าของแห่งธรรม (ทรงยังกาล)
จงให้มาเถิด, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงมีความขวนขวายน้อย ทรงตามประกอบแล้วซึ่งธรรม
เป็นเครื่องอยู่สบายในธรรมอันสัตว์เห็นแล้ว ขอจงประทับอยู่เถิด;
อ.ข้าพระองค์ ท. จักปรากฏ ด้วยความแตกร้าว ด้วยความทะเลาะ
ด้วยความแก่งแย่ง ด้วยความวิวาท นั่น ดังนี้ (อันภิกษุ) ผู้กล่าว
ซึ่งธรรมโดยปกติ รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ไม่ปรารถนาอยู่ ซึ่งความล�ำบาก
แห่งพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้ว,
(อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ซึ่งความที่แห่งพระราชา
ผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นชื่อว่าโกศล พระนามว่าทีฆีติ ผู้ประทับอยู่
อยู่ ด้วยเพศอันใคร ๆ ไม่รู้แล้ว ทรงเป็นผู้อันพระราชาพระนาม
ว่าพรหมทัต ทรงแย่งชิงเอาแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา
ให้สวรรคตแล้วด้วยนั่นเทียว ซึ่งความที่ ( แห่งกษัตริย์ ท. ๒ )
เหล่านั้น ครั้นเมื่อพระชนม์ชีพ อันพระกุมารพระนามว่าทีฆาวุ
ถวายแล้ว แก่พระองค์, ทรงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน จ�ำเดิมแต่กาล
นั้นด้วยว่าดูก่อนภิกษุท.อ.เรื่องเคยมีแล้วอ.พระราชาผู้เป็นใหญ่
ในแว่นแคว้นชื่อว่ากาสี พระนามว่าพรหมทัต ได้มีแล้ว ในเมือง
ชื่อว่าพาราณสี ดังนี้เป็นต้น แม้ตรัสสอนแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท.
อ. ความอดทนและความเป็นแห่งบุคคลผู้ยินดีแล้วในธรรมอันงาม
มีอย่างนี้เป็นรูป ได้มีแล้วแล แก่พระราชา ท. เหล่านั้น ผู้มีท่อนไม้
อันถือเอาแล้ว ผู้มีศัสตราอันถือเอาแล้ว,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
52
อิธ โข ตํ ภิกฺขเว โสเภถ; ยํ ตุมฺเห เอวํ
สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตา สมานา ขมา จ
ภเวยฺยาถ โสรตา จาติ โอวทิตฺวาปิ เนว เต สมคฺเค
กาตุํ อสกฺขิ.
โส ตาย อากิณฺณวิหารตาย อุกฺกณฺ€ิโต
“อหํ โข อิทานิ อากิณฺโณ ทุกฺขํ วิหรามิ, อิเม
จ ภิกฺขู มม วจนํ น กโรนฺติ; ยนฺนูนาหํ เอโก
คณมฺหา วูปกฏฺโ€ วิหเรยฺยนฺติ จินฺเตตฺวา โกสมฺพิยํ
ปิณฺฑาย จริตฺวา อนปโลเกตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ เอกโกว
อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย พาลกโลณการามํ คนฺตฺวา
ตตฺถ ภคุตฺเถรสฺส เอกจาริกวตฺตํ กเถตฺวา
ปาจีนวํสมิคทาเย ติณฺณํ กุลปุตฺตานํ สามคฺคีรสานิสํสํ
กเถตฺวา, เยน ปาริเลยฺยกํ, ตทวสริ.
ตตฺร สุทํ ภควา ปาริเลยฺยกํ อุปนิสฺสาย
รกฺขิตวนสณฺเฑ ภทฺทสาลมูเล ปาริเลยฺยเกน หตฺถินา
อุปฏฺ€ิยมาโน ผาสุกํ วสฺสาวาสํ วสิ.
โกสมฺพีวาสิโนปิ โข อุปาสกา วิหารํ คนฺตฺวา
สตฺถารํ อปสฺสนฺตา “กุหึ ภนฺเต สตฺถาติ ปุจฺฉึสุ.
เต ภิกฺขู อาหํสุ “ปาริเลยฺยกวนสณฺฑํ คโตติ.
“กึการณา ภนฺเตติ.
“อมฺเห สมคฺเค กาตุํ วายมิ, มยํ ปน
น สมคฺคา อหุมฺหาติ.
“ภนฺเต ตุมฺเห สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา,
ตสฺมึ สามคฺคึ กโรนฺเตปิ, สมคฺคา น อหุวตฺถาติ.
“เอวมาวุโสติ.
มนุสฺสา “อิเม สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา,
ตสฺมึ สามคฺคึ กโรนฺเตปิ, สมคฺคา น ชาตา; มยํ
อิเม นิสฺสาย สตฺถารํ ทฏฺ€ุํ น ลภิมฺหา;
ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. เป็นผู้บวชแล้ว ในธรรมและวินัย
อันเรากล่าวดีแล้ว อย่างนี้ มีอยู่ เป็นผู้อดทนด้วย เป็นผู้ยินดีแล้ว
ในธรรมอันงามด้วย พึงเป็น ใด อ. ความที่แห่งเธอ ท. เป็นผู้อดทน
และยินดีแล้วในธรรมอันงามนั้น พึงงามในธรรมและวินัยนี้แล
ดังนี้ ไม่ได้ทรงอาจแล้ว เพื่ออันทรงกระท�ำ ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น
ให้เป็นผู้พร้อมเพรียงกันนั่นเทียว ฯ
อ. พระศาสดานั้น ทรงระอาแล้ว เพราะความที่แห่งพระองค์
มีความอยู่อันเกลื่อนกล่นแล้วนั้น ทรงด�ำริแล้ว ว่า อ. เราแล
เกลื่อนกล่นแล้ว ย่อมอยู่ ล�ำบาก ในกาลนี้, อนึ่ง อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้
ย่อมไม่กระท�ำซึ่งค�ำของเรา;กระไรหนออ.เราผู้เดียวหลีกออกแล้ว
จากหมู่ พึงอยู่ ดังนี้เสด็จเที่ยวไปแล้ว เพื่อก้อนข้าว ในเมืองชื่อว่า
โกสัมพี ไม่ทรงอ�ำลาแล้ว ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ ผู้พระองค์เดียวเทียว
ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ของพระองค์ เสด็จไปแล้ว
สู่พาลกโลณการาม ตรัสแล้ว ซึ่งวัตรของภิกษุ ผู้มีอันเที่ยวไป
ผู้เดียวเป็นปกติ แก่พระเถระชื่อว่าภคุ ในอารามนั้น ตรัสแล้ว
ซึ่งอานิสงส์แห่งรสของความสามัคคี แก่กุลบุตร ท. ๓ ในป่า
เป็นที่ให้ซึ่งอภัยแก่เนื้อชื่อว่าปราจีนวงศ์, อ. ป่าชื่อว่าปาริไลยก์
(ย่อมตั้งอยู่) โดยส่วนแห่งทิศใด, เสด็จเที่ยวไปแล้ว โดยส่วน
แห่งทิศนั้น ฯ
ได้ยินว่า ในกาลนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไป
อาศัยแล้ว ซึ่งป่าชื่อว่าปาริไลยก์ ผู้อันช้างชื่อว่าปาริไลยก์บ�ำรุงอยู่
ประทับอยู่แล้ว ประทับอยู่ตลอดพรรษา ส�ำราญ ณ โคนแห่งต้นรัง
อันเจริญ ในชัฏชื่อว่ารักขิตวัน ฯ
อ. อุบาสกและอุบาสิกา ท. แม้ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี
โดยปกติแล ไปแล้ว สู่วิหาร ไม่เห็นอยู่ ซึ่งพระศาสดา ถามแล้ว ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. พระศาสดา (เสด็จไปแล้ว) ในที่ไหน ดังนี้ ฯ
อ.ภิกษุท.เหล่านั้นกล่าวแล้วว่า(อ.พระศาสดา)เสด็จไปแล้ว
สู่ชัฏแห่งป่าชื่อว่าปาริไลยก์ ดังนี้ฯ
(อ. อุบาสกและอุบาสิกา ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
(อ. พระศาสดา เสด็จไปแล้ว) เพราะเหตุอะไร ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า อ. พระศาสดา ทรงพยายามแล้ว
เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งเรา ท. ให้เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน, แต่ว่า อ. เรา ท.
เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ได้เป็นแล้ว หามิได้ ดังนี้ ฯ
(อ. อุบาสกและอุบาสิกา ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ.ท่านท.บวชแล้วในส�ำนัก ของพระศาสดา,ครั้นเมื่อพระศาสดา
นั้น แม้ทรงกระท�ำอยู่ ซึ่งความสามัคคี, เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ได้เป็นแล้ว หามิได้ ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. อย่างนั้น
ดังนี้ฯ
อ. มนุษย์ ท. (ปรึกษากันแล้ว) ว่า อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้บวชแล้ว
ในส�ำนัก ของพระศาสดา, ครั้นเมื่อพระศาสดานั้น แม้ทรงกระท�ำอยู่
ซึ่งความสามัคคี, เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เกิดแล้ว หามิได้;
อ. เรา ท. อาศัยแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านี้ ไม่ได้แล้ว เพื่ออันเฝ
้ า
ซึ่งพระศาสดา;
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 53
อิเมสํ เนว อาสนํ ทสฺสาม, น อภิวาทนาทีนิ
กริสฺสามาติ ตโต ปฏฺ€าย เตสํ สามีจิมตฺตกํปิ
น กรึสุ.
เต อปฺปาหารตาย สุสฺสมานา กติปาเหเนว
อุชุกา หุตฺวา อฺมฺํ อจฺจยํ เทเสตฺวา
ขมาเปตฺวา “อุปาสกา มยํ สมคฺคา ชาตา, ตุมฺเหปิ
โน ปุริมสทิสาว โหถาติ อาหํสุ.
“ขมาปิโต ปน โว ภนฺเต สตฺถาติ.
“น ขมาปิโต อาวุโสติ.
“เตนหิ สตฺถารํ ขมาเปถ, สตฺถุ ขมาปิตกาเล
มยํปิ ตุมฺหากํ ปุริมสทิสา ภวิสฺสามาติ.
เต อนฺโตวสฺสภาเวน สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตุํ
อวิสหนฺตา ทุกฺเขน ตํ อนฺโตวสฺสํ วีตินาเมสุํ.
สตฺถา ปน เตน หตฺถินา อุปฏฺ€ิยมาโน สุขํ วสิ.
โสปิ คณํ ปหาย ผาสุวิหารตฺถาย ตํ
วนสณฺฑํ ปาวิสิ.
ยถาห? “อหํ โข อากิณฺโณ วิหรามิ หตฺถีหิ
หตฺถินีหิ หตฺถิกลเภหิ หตฺถิจฺฉาเปหิ, ฉินฺนคฺคานิ เจว
ติณานิ ขาทามิ, โอภคฺโคภคฺคฺจ เม สาขาภงฺคํ
ขาทนฺติ, อาวิลานิ จ ปานียานิ ปิวามิ, โอคาหนฺตสฺส
เม อุตฺติณฺณสฺส หตฺถินิโย กายํ อุปนิฆํสนฺติโย
คจฺฉนฺติ, ยนฺนูนาหํ เอโก คณมฺหา วูปกฏฺโ€
วิหเรยฺยนฺติ.
อถโข โส หตฺถินาโค ยูถา อปกฺกมฺม,
เยน ปาริเลยฺยกํ รกฺขิตวนสณฺโฑ ภทฺทสาลมูลํ
เยน ภควา, เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา จ ปน
ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา โอโลเกนฺโต อฺํ กิฺจิ อทิสฺวา
(อ. เรา ท.) จักไม่ถวาย ซึ่งอาสนะ แก่ภิกษุ ท. เหล่านี้นั่นเทียว,
จักไม่กระท�ำ ซึ่งสามีจิกรรม ท. มีการกราบไหว้เป็นต้น (แก่ภิกษุ ท.
เหล่านี้) ดังนี้ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งกิจแม้สักว่าสามีจิกรรม แก่ภิกษุ ท.
เหล่านั้น จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ซูบผอมอยู่ เพราะความที่แห่งตน
เป็นผู้มีอาหารน้อยเป็นคนตรงเป็นโดยวันเล็กน้อยนั่นเทียวแสดงแล้ว
ซึ่งโทษล่วงเกิน ซึ่งกันและกัน (ยังกันและกัน) ให้อดโทษแล้ว
กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท. อ. เรา ท.
เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นผู้เกิดแล้ว (ย่อมเป็น), แม้ อ. ท่าน ท.
เป็นเช่นกับด้วยบุคคลผู้มีในก่อน เทียว จงเป็น แก่เรา ท. ดังนี้ฯ
(อ.มนุษย์ท.กล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญก็ อ.พระศาสดา
อันท่าน ท. ให้ทรงอดโทษแล้วหรือ ดังนี้ฯ
(อ.ภิกษุท.กล่าวแล้ว)ว่าดูก่อนท่านผู้มีอายุท.(อ.พระศาสดา
อันเรา ท.) ไม่ทรงให้อดโทษแล้ว ดังนี้ฯ
(อ. มนุษย์ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น (อ. ท่าน ท.)
ขอจงยังพระศาสดา ให้ทรงอดโทษเถิด, แม้ อ. กระผม ท.
เป็นเช่นกับด้วยบุคคลผู้มีในก่อน จักเป็น แก่ท่าน ท. ในกาล
แห่งพระศาสดา อันท่าน ท. ให้ทรงอดโทษแล้ว ดังนี้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ไม่อาจอยู่ เพื่ออันไป สู่ส�ำนัก
ของพระศาสดา เพราะความเป็นแห่งภายในแห่งพรรษา
ยังภายในแห่งพรรษานั้น ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว โดยยาก ฯ
ก็ อ. พระศาสดา ผู้อันช้างนั้นบ�ำรุงอยู่ ประทับอยู่แล้ว สบายฯ
อ. ช้างแม้นั้น ละแล้ว ซึ่งฝูง ได้เข้าไปแล้ว สู่ชัฏแห่งป่านั้น
เพื่อต้องการแก่อันอยู่ส�ำราญ ฯ
(อ.พระธรรมสังคาหกาจารย์) กล่าวแล้ว อย่างไร ?
(อ.พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวแล้ว อย่างนี้ ว่า ครั้งนั้น
อ. ความคิดนั่น ได้มีแล้ว แก่ช้างนั้น) ว่า อ. เราแล เกลื่อนกล่นแล้ว
ย่อมอยู่ ด้วยช้างพลาย ท. ด้วยช้างพัง ท. ด้วยช้างสะเทิ้น ท.
ด้วยช้างผู้ลูกน้อย ท., อ.เรา ย่อมเคี้ยวกิน ซึ่งหญ้า ท.
มีปลายอันอันช้าง ท. เหล่านั้น ตัดแล้วด้วยนั่นเทียว, (อ. ช้าง ท.
เหล่านั้น) ย่อมเคี้ยวกิน ซึ่งรุกขาวัยวะอันบุคคลพึงหักคือกิ่งไม้
อันอันเรา หักลงแล้วและหักลงแล้วด้วย, อ. เรา ย่อมดื่ม ซึ่งน�้ำ
อันบุคคลพึงดื่ม ท. อันขุ่นมัวด้วย, เมื่อเรา หยั่งลงอยู่ ข้ามขึ้นแล้ว
อ. ช้างพัง ท. เข้าไปเสียดสีอยู่ ซึ่งกาย ย่อมไป, กระไรหนอ อ. เรา
ผู้เดียว หลีกออกแล้ว จากฝูง พึงอยู่ ดังนี้(ดังนี้) ฯ
ครั้งนั้นแล อ. ช้างตัวประเสริฐนั้น หลีกออกแล้ว จากโขลง,
อ. ป่าชื่อว่าปาริไลยก์ อ. ชัฏชื่อว่ารักขิตวัน อ. โคนแห่งต้นรัง-
อันเจริญ (ย่อมตั้งอยู่)โดยส่วนแห่งทิศใด, อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า
(ย่อมประทับอยู่) โดยส่วนแห่งทิศใด, เข้าไปเฝ
้ าแล้ว โดยส่วน-
แห่งทิศนั้น; ก็แล (อ. ช้างนั้น) ครั้นเข้าไปเฝ
้ าแล้ว ถวายบังคมแล้ว
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แลดูอยู่ ไม่เห็นแล้ว ซึ่งวัตถุอะไร ๆ อื่น
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
54
ภทฺทสาลมูลํ ปาเทน ปหรนฺโต ตจฺเฉตฺวา โสณฺฑาย
สาขํ คเหตฺวา สมฺมชฺชิ; ตโต ปฏฺ€าย โสณฺฑาย
ฆฏํ คเหตฺวา ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฏฺ€เปติ;
อุณฺโหทเกน อตฺเถ สติ, อุณฺโหทกํ ปฏิยาเทติ.
กถํ? หตฺเถน กฏฺ€านิ ฆํสิตฺวา อคฺคึ สมฺปาเทติ,
ตํ ทารูนิ ปกฺขิปนฺโต ชาเลตฺวา ตตฺถ ปาสาเณ
ปจิตฺวา ทารุทณฺฑเกน ปวฏฺเฏตฺวา ปริจฺฉินฺนาย
ขุทฺทกโสณฺฑิยํ ขิปติ; ตโต หตฺถํ โอตาเรตฺวา
อุทกสฺส ตตฺตภาวํ ชานิตฺวา คนฺตฺวา สตฺถารํ
วนฺทติ.
สตฺถา “อุทกํ เต ตาปิตํ ปาริเลยฺยกาติ วตฺวา
ตตฺถ คนฺตฺวา นหายติ. อถสฺส นานาวิธานิ ผลานิ
อาหริตฺวา เทติ.
ยทา ปน สตฺถา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ;
ตทา สตฺถุ ปตฺตจีวรมาทาย กุมฺเภ ปติฏฺ€าเปตฺวา
สตฺถารา สทฺธึเยว คจฺฉติ.
สตฺถา คามูปจารํ ปตฺวา “ปาริเลยฺยก อิโต
ปฏฺ€าย ตยา คนฺตุํ น สกฺกา, อาหร เม ปตฺตจีวรนฺติ
อาหราเปตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ.
โสปิ ยาว สตฺถุ นิกฺขมนา ตตฺเถว
€ตฺวา สตฺถุ อาคมนกาเล ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา
ปุริมนเยเนว ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วสนฏฺ€าเน
โอตาเรตฺวา วตฺตํ ทสฺเสตฺวา สาขาย วีชติ, รตฺตึ
วาลมิคปริปนฺถนิวารณตฺถํ มหนฺตํ ทณฺฑํ โสณฺฑาย
คเหตฺวา “สตฺถารํ รกฺขิสฺสามีติ ยาว อรุณุคฺคมนา
วนสณฺฑสฺส อนฺตรนฺตเร วิจรติ.
ตโต ปฏฺ€ายเยว กิร โส วนสณฺโฑ
รกฺขิตวนสณฺโฑ นาม ชาโต.
อรุเณ อุคฺคเต, มุโขทกทานํ อาทึ กตฺวา เตเนว
อุปาเยน สพฺพวตฺตานิ กโรติ.
กระทืบอยู่ ซึ่งโคนแห่งต้นรังอันเจริญ ด้วยเท้า ถากแล้ว จับแล้ว
ซึ่งกิ่งไม้ ด้วยงวง กวาดแล้ว; (อ. ช้าง) จับแล้ว ซึ่งหม้อ ด้วยงวง
ย่อมเข้าไปตั้งไว้ ซึ่งน�้ำอันบุคคลพึงดื่ม ซึ่งน�้ำอันบุคคลพึงใช้สอย
จ�ำเดิม แต่กาลนั้น; ครั้นเมื่อความต้องการด้วยน�้ำอันร้อน มีอยู่,
(อ. ช้าง) ย่อมจัดแจง ซึ่งน�้ำอันร้อน ฯ
(อ. อันถาม) ว่า (อ. ช้าง ย่อมจัดแจง) อย่างไร ? (ดังนี้)
(อ. อันแก้) ว่า (อ. ช้าง) สีแล้ว ซึ่งไม้แห้ง ท. ด้วยงวง ยังไฟ ย่อมให้
ถึงพร้อม, (อ. ช้าง) ใส่เข้าอยู่ซึ่งฟืน ท. ยังไฟนั้น ให้โพลงแล้ว
เผาแล้วซึ่งแผ่นหินท.ในไฟนั้นเขี่ยแล้วด้วยท่อนแห่งไม้ ย่อมซัดไป
ในล�ำรางน้อย อันอันตนก�ำหนดแล้ว; (ดังนี้) ในล�ำดับนั้น (อ.ช้าง)
ยังงวง ให้ข้ามลงแล้ว รู้แล้ว ซึ่งความที่แห่งน�้ำเป็นของร้อนแล้ว
ไปแล้ว ย่อมจบ ซึ่งพระศาสดา ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ อ. น�้ำ อันเธอ
ให้ร้อนแล้วหรือ ดังนี้ เสด็จไปแล้ว ในที่นั้น ย่อมทรงสนาน ฯ
ครั้งนั้น (อ. ช้าง) น�ำมาแล้ว ซึ่งผลไม้ ท. อันมีอย่างต่าง ๆ
ย่อมถวาย แก่พระศาสดานั้น ฯ
ก็ ในกาลใด อ. พระศาสดา ย่อมเสด็จเข้าไป สู่บ้าน
เพื่อก้อนข้าว; ในกาลนั้น (อ. ช้าง) ถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร
ของพระศาสดา (ยังบาตรและจีวร) ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว บนกระพอง
ย่อมไป กับ ด้วยพระศาสดานั่นเทียว ฯ
อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ว ซึ่งอุปจารแห่งบ้าน (ตรัสแล้ว) ว่า
ดูก่อนปาริไลยก์ อันเจ้า ไม่อาจ เพื่ออันไป จ�ำเดิม แต่ที่นี้, อ. เจ้า
จงน�ำมา ซึ่งบาตรและจีวร ของเรา ดังนี้(ทรงยังช้าง) ให้น�ำมาแล้ว
ย่อมเสด็จเข้าไป สู่บ้าน เพื่อก้อนข้าว ฯ
อ. ช้างแม้นั้น ยืนแล้ว ในที่นั้นนั่นเทียว เพียงใด แต่อันเสด็จออก
แห่งพระศาสดา กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับ ในกาลเป็นที่เสด็จมา
แห่งพระศาสดา รับแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร โดยนัยอันมีในก่อนนั่นเทียว
(ยังบาตรและจีวร) ให้ข้ามลงแล้ว ในที่เป็นที่ประทับอยู่ แสดงแล้ว
ซึ่งวัตร ย่อมพัด ด้วยกิ่งไม้, ในเวลากลางคืน (อ. ช้าง) ถือเอาแล้ว
ซึ่งท่อนไม้ ใหญ่ ด้วยงวง เพื่ออันห้ามซึ่งอันตรายเป็นเครื่อง-
เบียดเบียนรอบแต่เนื้อร้าย ย่อมเที่ยวไป ในระหว่างและระหว่าง
แห่งชัฏแห่งป่า เพียงใด แต่อันขึ้นไปแห่งอรุณ (ด้วยความคิด) ว่า
(อ. เรา) จักรักษา ซึ่งพระศาสดา ดังนี้ ฯ
ได้ยินว่า อ. ชัฏแห่งป่านั้น ชื่อเป็นชัฏชื่อว่ารักขิตวัน เกิดแล้ว
จ�ำเดิม แต่กาลนั้นนั่นเทียว ฯ
ครั้นเมื่ออรุณขึ้นไปแล้ว, (อ.ช้าง) ย่อมกระท�ำ ซึ่งวัตรทั้งปวง ท.
โดยอุบาย นั้นนั่นเทียว กระท�ำ ซึ่งการถวายซึ่งน�้ำเป็นเครื่องล้าง
ซึ่งพระพักตร์ ให้เป็นต้น ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 55
อเถโก มกฺกโฏ ตํ หตฺถึ อุฏฺ€าย สมุฏฺ€าย
ตถาคตสฺส อภิสมาจาริกํ กโรนฺตํ ทิสฺวา “อหํปิ
กิฺจิเทว กริสฺสามีติ วิจรนฺโต เอกทิวสํ นิมฺมกฺขิกํ
ทณฺฑกมธุปฏลํ ทิสฺวา ทณฺฑกํ ภฺชิตฺวา
ทณฺฑเกเนว สทฺธึ มธุปฏลํ สตฺถุ สนฺติกํ หริตฺวา
กทลิปตฺตํ ฉินฺทิตฺวา ตตฺถ €เปตฺวา อทาสิ.
สตฺถา คณฺหิ.
มกฺกโฏ “กริสฺสติ นุ โข ปริโภคํ น กริสฺสตีติ
โอโลเกนฺโต คเหตฺวา นิสินฺนํ ทิสฺวา “กึ นุ โขติ
จินฺเตตฺวา ทณฺฑโกฏึ คเหตฺวา ปริวตฺเตตฺวา
อุปธาเรนฺโต อณฺฑกานิ ทิสฺวา ตานิ สณิกํ อปเนตฺวา
ปุน อทาสิ.
สตฺถา ปริโภคมกาสิ.
โส ตุฏฺ€มานโส ตํ ตํ สาขํ คเหตฺวา นจฺจนฺโต
อฏฺ€าสิ. อถสฺส คหิตสาขาปิ อกฺกนฺตสาขาปิ ภิชฺชิ.
โส เอกสฺมึ ขาณุมตฺถเก ปติตฺวา, นิพฺพิทฺธคตฺโต
ปสนฺเนเนว จิตฺเตน กาลํ กตฺวา ตาวตึสภวเน
ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติ , อจฺฉราสหสฺส-
ปริวาโร อโหสิ.
ตถาคตสฺส ตตฺถ หตฺถินาเคน อุปฏฺ€ิยมานสฺส
วสนภาโว สกลชมฺพุทีเป ปากโฏ อโหสิ.
สาวตฺถีนครโต “ อนาถปิณฺฑิโก วิสาขา
มหาอุปาสิกาติ เอวมาทีนิ มหากุลานิ อานนฺทตฺเถรสฺส
สาสนํ ปหิณึสุ “สตฺถารํ โน ภนฺเต ทสฺเสถาติ.
ทิสาวาสิโนปิ ปฺจสตา ภิกฺขู วุตฺถวสฺสา
อานนฺทตฺเถรํ อุปสงฺกมิตฺวา “จิรสฺสุตา โน อาวุโส
อานนฺท ภควโต สมฺมุขา ธมฺมีกถา; สาธุ มยํ
อาวุโส อานนฺท ลเภยฺยาม ภควโต สมฺมุขา
ธมฺมีกถํ สวนายาติ ยาจึสุ.
เถโร เต ภิกฺขู อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา
ครั้งนั้น อ. ลิง ตัวหนึ่ง เห็นแล้ว ซึ่งช้างนั้น ผู้ลุกขึ้นแล้ว
ลุกขึ้นพร้อมแล้ว กระท�ำอยู่ ซึ่งอภิสมาจาริกวัตร แก่พระตถาคตเจ้า
(คิดแล้ว) ว่า แม้ อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งวัตรบางอย่างนั่นเทียว ดังนี้
เที่ยวไปอยู่ เห็นแล้ว ซึ่งรวงแห่งผึ้งที่ท่อนไม้ อันไม่มีตัว ในวันหนึ่ง
หักแล้วซึ่งท่อนไม้ น�ำไปแล้ว ซึ่งรวงแห่งผึ้งกับด้วยท่อนไม้นั่นเทียว
สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ตัดแล้ว ซึ่งใบแห่งกล้วย ได้วางถวายแล้ว
ในที่นั้น ฯ อ. พระศาสดา ทรงรับแล้ว ฯ
อ. ลิง แลดูอยู่ (ด้วยความคิด) ว่า (อ. พระศาสดา) จักทรงกระท�ำ
(ซึ่งการบริโภค) หรือหนอแล (หรือว่า อ. พระศาสดา) จักไม่ทรงกระท�ำ
ซึ่งการบริโภค ดังนี้ เห็นแล้ว (ซึ่งพระศาสดา) ผู้ทรงรับแล้ว
ประทับนั่งแล้ว คิดแล้ว ว่า อ. อะไร หนอแล ดังนี้ จับแล้ว
ซึ่งปลายแห่งท่อนไม้ (ยังปลายแห่งท่อนไม้) ให้เป็นไปรอบแล้ว
ใคร่ครวญอยู่เห็นแล้ว ซึ่งตัวอ่อน ท. น�ำไปปราศแล้ว ซึ่งตัวอ่อน ท.
เหล่านั้น ค่อย ๆ ได้ถวายแล้ว อีก ฯ
อ. พระศาสดา ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการบริโภค ฯ
อ.ลิงนั้น ผู้มีใจยินดีแล้ว จับแล้ว ซึ่งกิ่งไม้ นั้นๆ ได้ยืนฟ
้ อนอยู่แล้วฯ
ครั้งนั้น อ. กิ่งไม้อันลิงนั้นจับแล้วก็ดี อ. กิ่งไม้อันลิงนั้นเหยียบแล้ว
ก็ดี หักแล้ว ฯ
อ. ลิงนั้น ตกไปแล้ว บนที่สุดแห่งตอไม้ แห่งหนึ่ง,
ผู้มีตัวอันตอไม้แทงแล้ว มีจิต อันเลื่อมใสแล้ว นั่นเทียว กระท�ำแล้ว
ซึ่งกาละ บังเกิดแล้ว ในวิมานอันเป็นวิการแห่งทอง อันประกอบแล้ว
ด้วยโยชน์ ๓๐ ในภพชื่อว่าดาวดึงส์, เป็นผู้มีพันแห่งนางอัปสร
เป็นบริวาร ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. ความเป็นคืออันประทับอยู่ แห่งพระตถาคตเจ้า ผู้อันช้าง
ตัวประเสริฐบ�ำรุงอยู่ ในป่านั้น เป็นสภาพปรากฏแล้ว ในชมพูทวีป
ทั้งสิ้น ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. ตระกูลใหญ่ ท. มีอย่างนี้คือ อ.เศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ
อ. นางวิสาขา ผู้มหาอุบาสิกา เป็นต้น ส่งไปแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น
แก่พระเถระชื่อว่าอานนท์ จากเมืองชื่อว่าสาวัตถี ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
(อ. ท่าน ท.) ขอจงแสดงซึ่ง พระศาสดา แก่เรา ท. ดังนี้ ฯ
อ.ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ แม้ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ
ผู้มีกาลฝนอันอยู่แล้ว เข้าไปหาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่าอานนท์
อ้อนวอนแล้ว ว่า ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ อ. วาจาเป็นเครื่องกล่าว
ซึ่งธรรม ในที่พร้อมพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันเรา ท.
ฟังแล้วสิ้นกาลนาน ; ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ ดังเรา ท. ขอโอกาส
อ. เรา ท. พึงได้ เพื่ออันฟัง ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม
ในที่พร้อมพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ฯ
อ. พระเถระ พาเอา ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว ในที่นั้น
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
56
“ เตมาสํ เอกวิหาริโน ตถาคตสฺส สนฺติกํ เอตฺตเกหิ
ภิกฺขูหิ สทฺธึ อุปสงฺกมิตุํ อยุตฺตนฺติ จินฺเตตฺวา
เต ภิกฺขู พหิ €เปตฺวา เอกโกว สตฺถารํ
อุปสงฺกมิ.
ปาริเลยฺยโก ตํ ทิสฺวา ทณฺฑกํ อาทาย
ปกฺขนฺทิ. สตฺถา โอโลเกตฺวา “อเปหิ ปาริเลยฺยก,
มา นิวารยิ; พุทฺธุปฏฺ€าโก เอโสติ อาห.
โส ตตฺเถว ทณฺฑํ ฉฑฺเฑตฺวา ปตฺตจีวรปฏิคคหณํ
อาปุจฺฉิ. เถโร นาทาสิ. นาโค “ สเจ
อุคฺคหิตวตฺโต ภวิสฺสติ, สตฺถุ นิสีทนปาสาณผลเก
อตฺตโน ปริกฺขารํ น €เปสฺสตีติ จินฺเตสิ.
เถโร ปตฺตจีวรํ ภูมิยํ €เปสิ.
วตฺตสมฺปนฺนา หิ ครูนํ อาสเน วา สยเน วา
อตฺตโน ปริกฺขารํ น €เปนฺติ. โส ตํ ทิสฺวา
ปสนฺนจิตฺโต อโหสิ . เถโร สตฺถารํ วนฺทิตฺวา
เอกมนฺตํ นิสีทิ.
สตฺถา “อานนฺท เอกโกว อาคโตสีติ ปุจฺฉิตฺวา
ปฺจสเตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ อาคตภาวํ สุตฺวา “กุหึ
ปน เตติ วตฺวา, “ตุมฺหากํ จิตฺตํ อชานนฺโต พหิ
€เปตฺวา อาคโตมฺหีติ วุตฺเต, “ปกฺโกสาหิ เตติ อาห.
เถโรตถาอกาสิ. เต ภิกฺขู อาคนฺตฺวา สตฺถารํ
วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ.
สตฺถา เตหิ สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ กตฺวา, เตหิ ภิกฺขูหิ
“ภนฺเต ภควา พุทฺธสุขุมาโล เจว ขตฺติยสุขุมาโล จ,
ตุมฺเหหิ เตมาสํ เอกเกหิ ติฏฺ€นฺเตหิ นิสีทนฺเตหิ จ
ทุกฺกรํ กตํ; วตฺตปฏิวตฺตการโกปิ มุโขทกทายโกปิ
นาโหสิ มฺเติ วุตฺเต, “ภิกฺขเว ปาริเลยฺยกหตฺถินา
มม สพฺพกิจฺจานิ กตานิ, เอวรูปํ หิ สหายกํ
ลภนฺเตน เอกโต วสิตุํ ยุตฺตํ , อลภนฺตสฺส
เอกจาริกภาโวว เสยฺโยติ วตฺวา อิมา นาควคฺเค
ติสฺโส คาถาโย อภาสิ
คิดแล้ว ว่า อ. อัน (อันเรา) เข้าไปสู่ส�ำนัก ของพระตถาคตเจ้า
ผู้ประทับอยู่พระองค์เดียวโดยปกติ ตลอดประชุมแห่งเดือนสาม
กับ ด้วยภิกษุ ท. มีประมาณเท่านี้ ไม่ควรแล้ว ดังนี้ พักไว้แล้ว
ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ในภายนอก ผู้ผู้เดียวเทียว เข้าไปเฝ
้ าแล้ว
ซึ่งพระศาสดา ฯ
อ. ช้างชื่อว่าปาริไลยก์ เห็นแล้ว ซึ่งพระอานนท์นั้น ถือเอาแล้ว
ซึ่งท่อนไม้ แล่นไปแล้ว ฯ อ. พระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ตรัสแล้ว
ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ อ. เจ้า จงหลีกไป, อ. เจ้า อย่าห้ามแล้ว ;
อ. ภิกษุนั่น เป็นผู้บ�ำรุงซึ่งพระพุทธเจ้า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
อ. ช้างนั้น ทิ้งแล้ว ซึ่งท่อนไม้ ในที่นั้นนั่นเทียว ถามโดย
เอื้อเฟื้อแล้ว ซึ่งการรับเฉพาะซึ่งบาตรและจีวร ฯ อ. พระเถระ
ไม่ได้ให้แล้ว ฯ อ. ช้างตัวประเสริฐ คิดแล้ว ว่า ถ้าว่า
(อ. ภิกษุนี้) เป็นผู้มีวัตรอันเรียนเอาแล้ว จักเป็นไซร้, (อ. ภิกษุนี้)
จักไม่วาง ซึ่งบริขาร ของตน บนแผ่นแห่งหินเป็นที่ประทับนั่ง
ของพระศาสดา ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ วางแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร
บนภาคพื้น ฯ
จริงอยู่ (อ. ชน ท.) ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร ย่อมไม่วาง
ซึ่งบริขาร ของตน บนที่เป็นที่นั่งหรือ หรือว่าบนที่เป็นที่นอนของครู
ท. ฯ อ. ช้างนั้น เห็นแล้ว ซึ่งอาการนั้น เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว
ได้เป็นแล้ว ฯ อ. พระเถระ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา
นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ
อ.พระศาสดาตรัสถามแล้วว่าดูก่อนอานนท์ อ.เธอผู้ผู้เดียว
เทียว เป็นผู้มาแล้ว ย่อมเป็นหรือ ดังนี้ ทรงสดับแล้ว ซึ่งความที
แห่งพระเถระเป็นผู้มาแล้ว กับ ด้วยภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ
ตรัสแล้ว ว่า ก็ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น (ย่อมอยู่) ในที่ไหน ดังนี้,
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ข้าพระองค์ ไม่ทราบอยู่ ซึ่งพระทัย ของพระองค์
ท. พักไว้แล้ว (ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น) ในภายนอก เป็นผู้มาแล้ว
ย่อมเป็น ดังนี้ (อันพระเถระ) กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้ว ว่า อ. เธอ
จงเรียก ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ ฯ
อ. พระเถระ ได้กระท�ำแล้ว อย่างนั้น ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น
มาแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ
อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งปฏิสันถาร กับ ด้วยภิกษุ
ท. เหล่านั้น, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระผู้มี
พระภาคเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อนด้วยนั่นเทียว
เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อนด้วย (ย่อมเป็น), อ. กรรมอันบุคคล
กระท�ำได้โดยยาก อันพระองค์ ท. ผู้พระองค์เดียว ผู้ประทับ
ยืนอยู่ด้วย ผู้ประทับนั่งอยู่ด้วย ตลอดประชุมแห่งเดือนสาม
ทรงกระท�ำแล้ว ; (อ. บุคคล) ผู้กระท�ำซึ่งวัตรและวัตรตอบก็ดี
ผู้ถวายซึ่งน�้ำเป็นเครื่องล้างซึ่งพระพักตร์ก็ดี เห็นจะไม่ได้มีแล้ว
ดังนี้อันภิกษุท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้วว่า ดูก่อนภิกษุท.
อ. กิจทั้งปวง ท. ของเรา อันช้างชื่อว่าปาริไลยก์ กระท�ำแล้ว,
จริงอยู่ อ. อัน (อันบุคคล) ผู้ได้อยู่ ซึ่งสหาย ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป
อยู่ โดยความเป็นอันเดียวกัน ควรแล้ว, อ. ความที่ แห่งบุคคล
ผู้ไม่ได้อยู่ (ซึ่งสหาย ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป) เป็นผู้มีการเที่ยวไป
แห่งบุคคลคนเดียวเป็นปกติเทียว เป็นอาการประเสริฐกว่า (ย่อมเป็น)
ดังนี้ ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. ๓ ในนาควรรค เหล่านี้ ว่า
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 57
“สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ,
อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ
จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมา.
โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ
สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ,
ราชาว รฏฺ€ํ วิชิตํ ปหาย,
เอโก จเร, มาตงฺครฺเว นาโค.
เอกสฺส จริตํ เสยฺโย , นตฺถิ พาเล สหายตา ;
เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา,
อปฺโปสฺสุกฺโก มาตงฺครฺเว นาโคติ.
คาถาปริโยสาเน ปฺจสตาปิ เต ภิกฺขู อรหตฺเต
ปติฏฺ€หึสุ.
อานนฺทตฺเถโร อนาถปิณฺฑิกาทีหิ เปสิตํ สาสนํ
อาโรเจตฺวา “ภนฺเต อนาถปิณฺฑิกปมุขา ปฺจ
อริยสาวกโกฏิโย ตุมฺหากํ อาคมนํ ปจฺจาสึสนฺตีติ
อาห.
สตฺถา “เตนหิ คณฺหาหิ ปตฺตจีวรนฺติ ปตฺตจีวรํ
คาหาเปตฺวา นิกฺขมิ.
นาโค คนฺตฺวา มคฺเค ติริยํ อฏฺ€าสิ.
ภิกฺขู ตํ ทิสฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉึสุ “กึ กโรติ ภนฺเตติ.
“ตุมฺหากํ ภิกฺขเว ภิกฺขํ ทาตุํ ปจฺจาสึสติ,
ทีฆรตฺตํ โข ปนายํ มยฺหํ อุปการโก, นาสฺส
จิตฺตํ โกเปตุํ วฏฺฏติ, นิวตฺตถ ภิกฺขเวติ.
สตฺถาภิกฺขู คเหตฺวา นิวตฺติ. หตฺถีปิ วนสณฺฑํ
ปวิสิตฺวา
ถ้าว่า (อ. บุคคล) พึงได้ ซึ่งสหาย ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องรักษา
ซึ่งตนโดยไม่เหลือ ผู้เป็นปราชญ์ ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่
อันยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จ ผู้เที่ยวไปอยู่กับ (ด้วยตนไซร้),
(อ. บุคคลนั้น) เป็นผู้มีใจเป็นของแห่งตน เป็นผู้มีสติ(เป็น)
ครอบง�ำแล้ว ซึ่งอันตรายเป็นเครื่องนอนรอบ ท. ทั้งปวง
พึงเที่ยวไป (กับ) ด้วยสหายนั้น ฯ หากว่า (อ. บุคคล)
ไม่พึงได้ ซึ่งสหาย ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาซึ่งตนโดยไม่เหลือ
ผู้เป็นปราชญ์ ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อันยังประโยชน์
ให้ส�ำเร็จ ผู้เที่ยวไปอยู่ กับ (ด้วยตนไซร้), อ. บุคคลนั้น
เป็นคนเดียว (เป็น) พึงเที่ยวไป เพียงดัง อ. พระราชา
ทรงละแล้ว ซึ่งแว่นแคว้น อันอันพระองค์ทรงชนะวิเศษแล้ว
(เสด็จเที่ยวไปอยู่), เพียงดัง อ.ช้างตัวประเสริฐ ชื่อว่ามาตังคะ
(เที่ยวไปอยู่) ในป่า ฯ อ. การเที่ยวไป แห่งบุคคลคนเดียว
เป็นกิริยาประเสริฐกว่า (ย่อมเป็น) , (เพราะว่า)
อ. คุณเครื่องความเป็นแห่งสหาย ย่อมไม่มี ในเพราะชนพาล,
(อ. บุคคล) เป็นคนเดียว (เป็น) พึงเที่ยวไป เพียงดัง
อ. ช้างตัวประเสริฐ ชื่อว่ามาตังคะตัวมีความขวนขวายน้อย
(เที่ยวไปอยู่) ในป่าด้วย ไม่พึงกระท�ำ ซึ่งบาป ท. ด้วย ดังนี้ ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น
แม้มีร้อยห้าเป็นประมาณ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในพระอรหัต ฯ
อ.พระเถระชื่อว่าอานนท์ กราบทูลแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น
อัน (อันชน ท.) มีเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะเป็นต้น ส่งไปแล้ว
กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.โกฏิแห่งอริยสาวก ท.
ห้า มีเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะเป็นประมุข ย่อมหวังเฉพาะ
ซึ่งการเสด็จมาแห่งพระองค์ ท. ดังนี้ฯ
อ. พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. เธอ จงถือเอา
ซึ่งบาตรและจีวร ดังนี้(ยังพระเถระ) ให้ถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร
เสด็จออกไปแล้ว ฯ
อ. ช้างตัวประเสริฐ ไปแล้ว ได้ยืนแล้ว ขวาง ในหนทาง ฯ
อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึ่งช้างนั้น ทูลถามแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. ช้าง) จะกระท�ำ ซึ่งอะไร ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ช้าง)
ย่อมหวังเฉพาะ เพื่ออันถวาย ซึ่งภิกษา แก่เธอ ท., ก็ อ. ช้างนี้
เป็นผู้กระท�ำซึ่งอุปการะ แก่เรา (ย่อมเป็น) สิ้นกาลนานแล,
อ.อัน (อันเรา) ยังจิต แห่งช้างนั้น ให้ก�ำเริบ ย่อมไม่ควร,
ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. จงกลับ ดังนี้ฯ
อ. พระศาสดา ทรงพาเอา ซึ่งภิกษุ ท. เสด็จกลับแล้ว,
แม้ อ. ช้าง เข้าไปแล้ว สู่ชัฏแห่งป่า
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
58
ปนสกทลิผลาทีนิ นานาผลานิ สํหริตฺวา ราสึ
กตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขูนํ อทาสิ.
ปฺจสตา ภิกฺขู สพฺพานิ เขเปตุํ นาสกฺขึสุ.
ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สตฺถา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา
นิกฺขมิ.
นาโค ภิกฺขูนํ อนฺตรนฺตเรน คนฺตฺวา สตฺถุ ปุรโต
ติริยํ อฏฺ€าสิ.
ภิกฺขู ตํ ทิสฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉึสุ “กึ กโรติ
ภนฺเตติ.
“อยํ ภิกฺขเว ตุมฺเห เปเสตฺวา มํ นิวตฺเตตีติ.
“เอวํ ภนฺเตติ.
“อาม ภิกฺขเวติ.
อถนํ สตฺถา “ปาริเลยฺยก อิทํ มม อนิวตฺตคมนํ,
ตว อิมินา อตฺตภาเวน ฌานํ วา วิปสฺสนํ วา
มคฺคผลํ วา นตฺถิ, ติฏฺ€ ตฺวนฺติ อาห.
ตํ สุตฺวา นาโค มุเข โสณฺฑํ ปกฺขิปิตฺวา
โรทนฺโต ปจฺฉโต ปจฺฉโต อคมาสิ. โส หิ
สตฺถารํ นิวตฺเตตุํ ลภนฺโต เตเนว นิยาเมน ยาวชีวํ
ปฏิชคฺเคยฺย.
สตฺถา ปน ตํ คามูปจารํ ปตฺวา “ปาริเลยฺยก
อิโต ปฏฺ€าย ตว อภูมิ, มนุสฺสาวาโส สปริปนฺโถ,
ติฏฺ€ ตฺวนฺติ อาห.
โส โรทมาโน ตตฺถ €ตฺวา, สตฺถริ จกฺขุปถํ
วิชหนฺเต, หทเยน ผลิเตน กาลํ กตฺวา สตฺถริ
ปสาเทน ตาวตึสภวเน ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน
อจฺฉราสหสฺสมชฺเฌ นิพฺพตฺติ.
“ปาริเลยฺยกเทวปุตฺโตเตฺววสฺส นามํ อโหสิ.
สตฺถาปิ อนุปุพฺเพน เชตวนํ อคมาสิ.
โกสมฺพิกา ภิกฺขู “สตฺถา กิร สาวตฺถึ อาคโตติ
สุตฺวา สตฺถารํ ขมาเปตุํ ตตฺถ อคมํสุ.
โกสลราชา “เต กิร โกสมฺพิกา ภณฺฑนการกา
ภิกฺขู อาคจฺฉนฺตีติ สุตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา
“อหํ ภนฺเต เตสํ มม วิชิตํ ปวิสิตุํ น ทสฺสามีติ
อาห.
รวบรวมแล้วซึ่งผลไม้ต่างๆท.มีผลแห่งขนุนและกล้วยเป็นต้น
กระท�ำแล้ว ให้เป็นกอง ได้ถวายแล้ว แก่ภิกษุ ท. ในวันรุ่งขึ้น ฯ
อ. ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออัน
ยังผลไม้ ท. ทั้งปวง ให้สิ้นไป ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจด้วยภัตร อ. พระศาสดา
ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร เสด็จออกไปแล้ว ฯ
อ. ช้างตัวประเสริฐ ไปแล้ว โดยระหว่างและระหว่าง แห่งภิกษุ
ท. ได้ยืนแล้ว ขวาง ข้างพระพักตร์ ของพระศาสดา ฯ
อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึ่งช้างนั้น ทูลถามแล้ว ซึ่งพระผู้มี
พระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ช้าง จะกระท�ำ ซึ่งอะไร
ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. ช้าง นี้
ส่งไปแล้ว ซึ่งเธอ ท. ยังเรา จะให้กลับ ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. อย่างนั้นหรือ ดังนี้ ฯ
((อ.พระศาสดาตรัสแล้ว)ว่าดูก่อนภิกษุท.เออ (อ.อย่างนั้น)
ดังนี้ฯ
ครั้งนั้นอ.พระศาสดา ตรัสแล้ว กะช้างนั้นว่า ดูก่อนปาริไลยก์
อ. การไปนี้เป็นการไปไม่กลับแล้ว แห่งเรา (ย่อมเป็น), อ. ฌานหรือ
หรือว่า อ. วิปัสสนา หรือว่า อ. มรรคและผล ย่อมไม่มี แก่เจ้า
ด้วยอัตภาพนี้, อ. เจ้า จงหยุดเถิด ดังนี้ฯ
อ. ช้างตัวประเสริฐ ฟังแล้ว ซึ่งพระด�ำรัสนั้น ใส่เข้าแล้ว
ซึ่งงวง ในปาก ร้องไห้อยู่ ได้ไปแล้ว ข้างหลัง ๆ ฯ ก็ อ. ช้าง
ตัวประเสริฐนั้น เมื่อได้ เพื่ออันยังพระศาสดาให้เสด็จกลับ
พึงปฏิบัติ โดยท�ำนองนั้นนั่นเทียว ก�ำหนดเพียงไรแห่งชีวิต ฯ
ส่วนว่า อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ว ซึ่งอุปจารแห่งบ้าน นั้น
ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ (อ. ภาคพื้นนี้) เป็นที่มิใช่ภาคพื้น
ของเจ้า (ย่อมเป็น) จ�ำเดิม แต่ที่นี้, อ. ประเทศเป็นที่อยู่อาศัย
แห่งมนุษย์ เป็นประเทศเป็นไปกับด้วยอันตรายเป็นเครื่อง-
เบียดเบียนรอบ (ย่อมเป็น), อ. เจ้า จงหยุด ดังนี้ ฯ
อ.ช้างนั้น ยืนร้องไห้อยู่แล้ว ในที่นั้น ครั้นเมื่อพระศาสดา
ทรงละอยู่ ซึ่งคลองแห่งจักษุ, มีหทัย อันแตกแล้ว กระท�ำแล้ว
ซึ่งกาละ บังเกิดแล้ว ในท่ามกลางแห่งพันแห่งนางอัปสร ในวิมาน
อันเป็นวิการแห่งทอง อันประกอบแล้วด้วยโยชน์ ๓๐ ในภพชื่อว่า
ดาวดึงส์ เพราะความเลื่อมใส ในพระศาสดา ฯ
(อ.ค�ำ) ว่า อ. เทพบุตรชื่อว่าปาริไลยก์ ดังนี้นั่นเทียว เป็นชื่อ
ของเทพบุตรนั้น ได้เป็นแล้ว ฯ
แม้ อ.พระศาสดาได้เสด็จถึงแล้ว ซึ่งพระเชตวันตามล�ำดับฯ
อ. ภิกษุ ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี ฟังแล้ว ว่า ได้ยินว่า
อ. พระศาสดา เสด็จมาแล้ว สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี ดังนี้ ได้ไปแล้ว
ในที่นั้น เพื่ออันยังพระศาสดาให้ทรงอดโทษ ฯ
อ. พระราชาพระนามว่าโกศล ทรงสดับแล้ว ว่า ได้ยินว่า
อ. ภิกษุ ท. ผู้กระท�ำซึ่งความแตกร้าว ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี
เหล่านั้น มาอยู่ ดังนี้เสด็จเข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ตรัสแล้ว
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. หม่อมฉัน จักไม่ให้ เพื่ออันเข้าไป
สู่แว่นแคว้น ของหม่อมฉัน แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 59
“มหาราช สีลวนฺตา เต ภิกฺขู, เกวลํ
อฺมฺํ วิวาเทน มม วจนํ น คณฺหึสุ; อิทานิ
มํ ขมาเปตุํ อาคจฺฉนฺติ: อาคจฺฉนฺตุ มหาราชาติ.
อนาถปิณฺฑิโกปิ “ภนฺเต อหํ เตสํ วิหารํ ปวิสิตุํ
น ทสฺสามีติ วตฺวา ตเถว ภควตา ปฏิกฺขิตฺโต
ตุณฺหี อโหสิ.
สาวตฺถิยํ อนุปฺปตฺตานํ ปน เตสํ ภควาเอกมนฺเต
วิวิตฺตํ การาเปตฺวา เสนาสนํ ทาเปสิ.
อฺเ ภิกฺขู เตหิ สทฺธึ เนว เอกโต นิสีทนฺติ
น ติฏฺ€นฺติ.
อาคตาคตา สตฺถารํ ปุจฺฉนฺติ “กตเม เต ภนฺเต
ภณฺฑนการกา โกสมฺพิกา ภิกฺขูติ.
สตฺถา “เอเตติ ทสฺเสติ.
เต “เอเต กิร เต, เอเต กิร เตติ อาคตาคเตหิ
องฺคุลิยา ทสฺสิยมานา ลชฺชาย สีสํ อุกฺขิปิตุํ
อสกฺโกนฺตา ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ
ขมาเปสุํ.
สตฺถา “ภาริยํ โว ภิกฺขเว กตํ; ตุมฺเห นาม
มาทิสสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวาปิ, มยิ สามคฺคึ
กโรนฺเต, มม วจนํ น กริตฺถ, โปราณกปณฺฑิตาปิ
วชฺฌปฺปตฺตานํ มาตาปิตูนํ โอวาทํ สุตฺวา, เตสุ
ชีวิตา โวโรปิยมาเนสุปิ, ตํ อนติกฺกมิตฺวา ปจฺฉา
ทฺวีสุ รฏฺเ€สุ รชฺชํ การยึสูติ วตฺวา ปุนเทว ทีฆาวุ-
กุมารชาตกํ กเถตฺวา “เอวํ ภิกฺขเว ทีฆาวุกุมาโร
มาตาปิตูสุ ชีวิตา โวโรปิยมาเนสุปิ, เตสํ โอวาทํ
อนติกฺกมิตฺวา ปจฺฉา พฺรหฺมทตฺตสฺส ธีตรํ ลภิตฺวา
ทฺวีสุ กาสิโกสลรฏฺเ€สุ รชฺชํ กาเรสิ, ตุมฺเหหิ ปน มม
วจนํ อกโรนฺเตหิ ภาริยํ กตนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ภิกษุ ท.
เหล่านั้น มีศีล, ไม่ถือเอาแล้ว ซึ่งค�ำ ของอาตมภาพ
เพราะความวิวาท ซึ่งกันและกัน อย่างเดียว ; ย่อมมา เพื่ออัน
ยังอาตมภาพให้อดโทษ ในกาลนี้ : ดูก่อนมหาบพิตร อ. ภิกษุ ท.
เหล่านั้น จงมา ดังนี้ฯ
แม้ อ. เศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ จักไม่ให้ เพื่ออันเข้าไป สู่วิหาร
แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านแล้ว
อย่างนั้นนั่นเทียว เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ
ก็ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว
(ซึ่งที่) อันสงัดแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง (ทรงยังบุคคล) ให้ถวายแล้ว
ซึ่งเสนาสนะ แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น ผู้ถึงโดยล�ำดับแล้ว ซึ่งเมือง
ชื่อว่าสาวัตถี ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่นั่งนั่นเทียว ย่อมไม่ยืน โดยความ
เป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น ฯ
อ. ชน ท. ผู้มาแล้วและมาแล้ว ย่อมทูลถาม ซึ่งพระศาสดา
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี
ผู้กระท�ำซึ่งความแตกร้าว เหล่านั้น เหล่าไหน ? ดังนี้ฯ
อ. พระศาสดา ทรงแสดงอยู่ ว่า อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ฯ
อ.ภิกษุ ท.เหล่านั้น(ผู้อันชนท.)ผู้มาแล้วและมาแล้วแสดงอยู่
ด้วยนิ้วมือ ว่า ได้ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.) เหล่านั้น เหล่านั่น (เป็นภิกษุ
ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี) (ย่อมเป็น), ได้ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.)
เหล่านั้น เหล่านั่น (เป็นภิกษุผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี) (ย่อมเป็น)
ดังนี้ ไม่อาจอยู่ เพื่ออันยกขึ้น ซึ่งศีรษะ เพราะความละอาย
หมอบลงแล้ว ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ทรงอดโทษแล้ว ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. กรรมอันหนัก
อันเธอ ท. กระท�ำแล้ว ; ชื่อ อ. เธอ ท. แม้บวชแล้ว ในส�ำนัก
ของพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยเรา, ครั้นเมื่อเรา กระท�ำอยู่
ซึ่งความสามัคคี, ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งค�ำ ของเรา, แม้ อ. บัณฑิต
ผู้มีในก่อน ท. ฟังแล้ว ซึ่งโอวาท ของมารดาและบิดา ท. ผู้ถึงแล้ว
ซึ่งความเป็นผู้อันบุคคลพึงฆ่า, ครั้นเมื่อมารดาและบิดาท.เหล่านั้น
(อันชน ท.) แม้ปลงลงอยู่ จากชีวิต, ไม่ก้าวล่วงแล้ว ซึ่งโอวาทนั้น
(ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในแว่นแคว้น ท. ๒
ในภายหลัง ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งทีฆาวุกุมารชาดก อีกนั่นเทียว
ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระกุมารพระนามว่าทีฆาวุ
ครั้นเมื่อพระมารดาและพระบิดา ท. (อันชน ท) แม้ปลงลงอยู่
จากพระชนม์ชีพ อย่างนี้, ไม่ทรงก้าวล่วงแล้ว ซึ่งพระโอวาท
ของพระมารดาและพระบิดา ท. เหล่านั้น ทรงได้แล้ว ซึ่งพระธิดา
ของพระเจ้าพรหมทัต ในภายหลัง ทรงยังบุคคลให้กระท�ำแล้ว
ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในแว่นแคว้นชื่อว่ากาสีและแว่นแคว้น
ชื่อว่าโกศล ท. ๒, ส่วนว่า อ. กรรม อันหนัก อันเธอ ท. ผู้ไม่กระท�ำอยู่
ซึ่งค�ำ ของเรา กระท�ำแล้ว ดังนี้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา นี้ว่า
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
60
“ปเร จ น วิชานนฺติ `มยเมตฺถ ยมาม เส;
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ.
ตตฺถ “ปเรติ: ปณฺฑิเต €เปตฺวา ตโต อฺเ
ภณฺฑนการกา ปเร นาม.
เต ตตฺถ สงฺฆมชฺเฌ โกลาหลํ กโรนฺตา “มยํ
ยมาม เส อุปรมาม นสฺสาม สสตํ สมีปํ มจฺจุสนฺติกํ
คจฺฉามาติ น วิชานนฺติ.
เย จ ตตฺถ วิชานนฺตีติ; เย ตตฺถ ปณฺฑิตา
“มยํ มจฺจุสมีปํ คจฺฉามาติ วิชานนฺติ.
ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ: เอวํ หิ เต ชานนฺตา
โยนิโสมนสิการํ อุปฺปาเทตฺวา เมธคานํ กลหานํ
วูปสมาย ปฏิปชฺชนฺติ, อถ เตสํ ตาย ปฏิปตฺติยา
เต เมธคา สมฺมนฺติ.
อถวา “ปเร จาติ: ปุพฺเพ มยา “มา ภิกฺขเว
ภณฺฑนนฺติอาทีนิ วตฺวา โอวทิยมานาปิ มม โอวาทสฺส
อปฏิคฺคหเณน อมามกา ปเร นาม “มยํ ฉนฺทาทิวเสน
มิจฺฉาคาหํ คเหตฺวา เอตฺถ สงฺฆมชฺเฌ ยมามเส
ภณฺฑนาทีนํ วุฑฺฒิยา วายมามาติ น วิชานนฺติ.
อิทานิ ปน โยนิโส ปจฺจเวกฺขมานา ตตฺถ
ตุมฺหากํ อนฺตเร เย ปณฺฑิตปุริสา “ปุพฺเพ มยํ
ฉนฺทาทิวเสน วายมนฺตา อโยนิโส ปฏิปนฺนาติ
วิชานนฺติ, ตโต เตสํ สนฺติกา เต ปณฺฑิตปุริเส
นิสฺสาย อิเมทานิ กลหสงฺขาตา เมธคา สมฺมนฺตีติ
อยเมตฺถ อตฺโถติ.
คาถาปริโยสาเน สมฺปตฺตภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีสุ
ปติฏฺ€หึสูติ.
โกสมฺพิกวตฺถุ.
ก็ อ.ชน ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่รู้แจ้ง ว่า อ.เรา ท. ย่อมย่อยยับสิ
ในท่ามกลางแห่งสงฆ์นี้ (ดังนี้), ส่วนว่า อ.ชน ท. เหล่าใด
ในหมู่นั้น ย่อมรู้แจ้ง , อ. ความหมายมั่น ท. ย่อมสงบ
(จากส�ำนัก ของชน ท. เหล่านั้น) นั้น ดังนี้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า อ. ชน ท. ผู้กระท�ำซึ่งความแตกร้าว เว้น
ซึ่งบัณฑิต ท. คือว่า เหล่าอื่น จากบัณฑิตนั้น ชื่อว่าเหล่าอื่น ฯ
(อ. ชน ท. เหล่าอื่น) เหล่านั้น กระท�ำอยู่ ซึ่งความโกลาหล
ในท่ามกลางแห่งสงฆ์นั้น ชื่อว่าย่อมไม่รู้แจ้ง ว่า อ. เรา ท.
ย่อมย่อยยับ สิ คือว่า ย่อมบ่นปี้ คือว่า ย่อมฉิบหาย คือว่า
ย่อมไปสู่ที่ใกล้ คือว่าสู่ส�ำนักของมัจจุเนืองๆดังนี้(ดังนี้)ในบทท.
เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า ปเร ดังนี้เป็นต้น ฯ
(อ. อรรถ) ว่า อ. ชน ท. เหล่าใด ผู้เป็นบัณฑิต ในหมู่นั้น
ย่อมรู้แจ้ง ว่า อ. เรา ท. ย่อมไป สู่ที่ใกล้แห่งมัจจุ ดังนี้ (ดังนี้)
(แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ. ชน ท. เหล่านั้น รู้อยู่ อย่างนี้แล ยังการกระท�ำ
ไว้ในใจโดยแยบคาย ให้เกิดขึ้นแล้ว ปฏิบัติอยู่ เพื่อความเข้าไป
สงบวิเศษ แห่งความหมายมั่น ท. คือว่า แห่งความทะเลาะ ท.,
ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. ความหมายมั่น ท. เหล่านั้น
ชื่อว่าย่อมสงบเพราะการปฏิบัตินั้นแห่งบัณฑิตท.เหล่านั้น(ดังนี้)
(แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ดังนี้ฯ
อีกอย่างหนึ่ง อ. อธิบาย ในพระคาถานี้ นี้ว่า (อ. อรรถ) ว่า
(อ.ชนท.)แม้ผู้อันเรากล่าวแล้ว(ซึ่งค�ำท.)มีค�ำว่า ดูก่อนภิกษุ ท.
(อ. เธอ ท. อย่าได้กระท�ำแล้ว) ซึ่งความแตกร้าว ดังนี้เป็นต้น
กล่าวสอนอยู่ ในกาลก่อน ชื่อว่าผู้ไม่เชื่อถือ เพราะอันไม่รับเอา
ซึ่งโอวาท ของเรา ชื่อว่าเหล่าอื่น, (อ. ชน ท. เหล่าอื่น เหล่านั้น)
ย่อมไม่รู้แจ้งว่า อ.เรา ท. ถือเอาแล้ว ถือเอาผิด ด้วยอ�ำนาจแห่งอคติ
มีฉันทะเป็นต้น ย่อมย่อยยับสิ คือว่า ย่อมพยายาม เพื่อความเจริญ
(แห่งเหตุ ท.) มีความแตกร้าวเป็นต้น ในท่ามกลางแห่งสงฆ์นี้
ดังนี้ฯ
แต่ว่า ในกาลนี้ อ.บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ท. เหล่าใด ในระหว่าง
แห่งเธอท.นั้นพิจารณาอยู่โดยแยบคาย ย่อมรู้แจ้งว่าในกาลก่อน
อ.เรา ท. พยายามอยู่ ด้วยอ�ำนาจแห่งอคติมีฉันทะเป็นต้น
เป็นผู้ปฏิบัติแล้ว โดยไม่แยบคาย (ย่อมเป็น) ดังนี้, ในกาลนี้
อ.ความหมายมั่น ท. อันบัณฑิตนับพร้อมแล้วว่าความทะเลาะ
เหล่านี้ ย่อมสงบ จากส�ำนัก ของบัณฑิต ท. เหล่านั้น นั้น คือว่า
เพราะอาศัย ซึ่งบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ท. เหล่านั้น (ดังนี้ แห่งบท) ว่า
ปเร จ ดังนี้เป็นต้น (ดังนี้) (อันบัณฑิตพึงทราบ) ด้วยประการฉะนี้ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุผู้ถึงพร้อมแล้ว ท.
ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว (ในอริยผลท.)มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แลฯ
อ. เรื่องแห่งภิกษุผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี
(จบแล้ว) ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 61
๖. จุลฺลกาลมหากาลวตฺถุ. (๖)
“สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตนฺติอิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
เสตพฺยนครํ อุปนิสฺสาย สีสปาวเน วิหรนฺโต จุลฺลกาล
มหากาเล อารพฺภ กเถสิ.
เสตพฺยนครวาสิโน หิ “จุลฺลกาโล มชฺฌิมกาโล
มหากาโล จาติ ตโย ภาตโร กุฏุมฺพิกา.
เตสุ เชฏฺ€กนิฏฺ€า ทิสาสุ วิจริตฺวา ปฺจหิ
สกฏสเตหิ ภณฺฑํ อาหรนฺติ. มชฺฌิมกาโล อาภตํ
วิกฺกีณาติ.
อเถกสฺมึ สมเย เต อุโภปิ ภาตโร ปฺจหิ
สกฏสเตหิ นานาภณฺฑํ คเหตฺวา สาวตฺถึ คนฺตฺวา
สาวตฺถิยา จ เชตวนสฺส จ อนฺตเร สกฏานิ โมจยึสุ.
เตสุมหากาโล สายณฺหสมเย มาลาคนฺธาทิหตฺเถ
สาวตฺถีวาสิโน อริยสาวเก ธมฺมสฺสวนาย คจฺฉนฺเต
ทิสฺวา “กุหึ อิเม คจฺฉนฺตีติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ
สุตฺวา “อหํปิ คมิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา กนิฏฺ€ํ
อามนฺเตตฺวา “ตาต สกเฏสุ อปฺปมตฺโต โหหิ, อหํปิ
ธมฺมํ โสตุํ คมิสฺสามีติ วตฺวา คนฺตฺวา ตถาคตํ
วนฺทิตฺวา ปริสปริยนฺเต นิสีทิ.
สตฺถา ตํทิวสํ ตสฺส อชฺฌาสเยน อนุปุพฺพีกถํ
กเถนฺโต ทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตาทิวเสน อเนกปริยาเยน
กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสฺจ กเถสิ.
ตํ สุตฺวา มหากาโล “ สพฺพํ กิร ปหาย
คนฺตพฺพํ, ปรโลกํ คจฺฉนฺตํ เนว โภคา น าตโย
อนุคจฺฉนฺติ,กึเมฆราวาเสน,ปพฺพชิสฺสามีติจินฺเตตฺวา,
มหาชเน วนฺทิตฺวา ปกฺกนฺเต, สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ
ยาจิตฺวา, สตฺถารา “นตฺถิ เต โกจิ อปโลเกตพฺโพติ
วุตฺเต, “กนิฏฺโ€ เม อตฺถิ ภนฺเตติ วตฺวา, “เตนหิ
อปโลเกหิ นนฺติ วุตฺเต, “สาธุ ภนฺเตติ อาคนฺตฺวา
๖. อ. เรื่องแห่งภิกษุชื่อว่าจุลกาลและภิกษุชื่อว่ามหากาล
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัย ซึ่งเมืองชื่อว่าเสตัพยะ
ประทับอยู่ ในป่าแห่งไม้สีเสียด ทรงปรารภ ซึ่งภิกษุชื่อว่าจุลกาล
และภิกษุชื่อว่ามหากาล ท. ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ ว่า
สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ ดังนี้เป็นต้น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. กุฎุมพี ท. ผู้เป็นพี่น้องชายกัน ๓ คือ
อ. จุลกาลด้วย อ.มัชฌิมกาลด้วย อ. มหากาลด้วย เป็นผู้อยู่ใน
เมืองชื่อว่าเสตัพยะโดยปกติ (ได้เป็นแล้ว) ฯ
ในกุฎุมพี ท. ๓ เหล่านั้นหนา อ. พี่ชายผู้เจริญที่สุดและน้องชาย
ผู้น้อยที่สุด ท. เที่ยวไปแล้ว ในทิศ ท. ย่อมน�ำมา ซึ่งสิ่งของ
ด้วยร้อยแห่งเกวียน ท. ๕ ฯ อ. กุฎุมพีชื่อว่ามัชฌิมกาล
ย่อมขาย (ซึ่งสิ่งของ) อันอันชน ท. เหล่านั้นน�ำมาแล้ว ฯ
ครั้งนั้น ในสมัย หนึ่ง อ. พี่น้องชาย ท. แม้ทั้งสอง เหล่านั้น
ถือเอา ซึ่งสิ่งของต่าง ๆ ด้วยร้อยแห่งเกวียน ท. ๕ ไปแล้ว สู่เมือง
ชื่อว่าสาวัตถี แก้แล้ว ซึ่งเกวียน ท. ในระหว่าง แห่งเมืองชื่อว่า
สาวัตถีด้วย แห่งพระเชตวันด้วย ฯ
ในกุฎุมพี ท. ๒ เหล่านั้นหนา อ. กุฎุมพี ชื่อว่ามหากาล เห็นแล้ว
ซึ่งอริยสาวก ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าสาวัตถีโดยปกติ ผู้มีวัตถุ
มีระเบียบและของหอมเป็นต้นในมือ ผู้ไปอยู่ เพื่ออันฟังซึ่งธรรม
ในสมัยเป็นที่สิ้นไปแห่งวัน ถามแล้ว ว่า อ. ชน ท. เหล่านี้ จะไป
ในที่ไหน ดังนี้ ฟังแล้ว ซึ่งเนื้อความ นั้น คิดแล้ว ว่า แม้ อ. เรา
จักไป ดังนี้ เรียกมาแล้ว ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุด กล่าวแล้ว ว่า
แน่ะพ่อ อ. เจ้า เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ในเกวียน ท. จงเป็น, แม้
อ.เรา จักไป เพื่ออันฟัง ซึ่งธรรม ดังนี้ ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว
ซึ่งพระตถาคตเจ้า นั่งแล้ว ในที่สุดรอบแห่งบริษัท ฯ
ในวันนั้น อ. พระศาสดา เมื่อตรัส ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าว
โดยล�ำดับ ตามอัธยาศัย แห่งกุฎุมพีนั้น ตรัสแล้ว ซึ่งโทษด้วย
ซึ่งการกระท�ำต�่ำด้วย ซึ่งความเศร้าหมองพร้อมด้วย แห่งกาม ท.
โดยปริยายมิใช่หนึ่ง ด้วยอ�ำนาจแห่งสูตรมีทุกขักขันธสูตร เป็นต้น ฯ
อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหากาล ฟังแล้ว ซึ่งพระด�ำรัสนั้น คิดแล้ว
ว่า ได้ยินว่า (อันบุคคล) ละแล้ว ซึ่งวัตถุทั้งปวง พึงไป, อ. โภคะ ท.
ย่อมไม่ไปตามนั่นเทียว อ. ญาติ ท. ย่อมไม่ไปตาม (ซึ่งบุคคล)
ผู้ไปอยู่ สู่โลกอื่น, อ. ประโยชน์อะไร ของเรา ด้วยการอยู่ครอง
ซึ่งเรือน, อ. เรา จักบวช ดังนี้, ครั้นเมื่อมหาชน ถวายบังคมแล้ว
หลีกไปแล้ว, ทูลขอแล้ว ซึ่งการบวช กะพระศาสดา, (ครั้นเมื่อ
พระด�ำรัส) ว่า อ. ใคร ๆ ผู้อันท่านพึงอ�ำลา ย่อมไม่มีหรือ ดังนี้
อันพระศาสดา ตรัสแล้ว, กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของข้าพระองค์ มีอยู่ ดังนี้, (ครั้นเมื่อ
พระด�ำรัส) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน จงอ�ำลา ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุด
นั้น ดังนี้ (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว , (รับพร้อมแล้ว) ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ดีละ ดังนี้มาแล้ว
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
62
กนิฏฺ€ํ เอตทโวจ “ตาต อิมํ สพฺพํ สาปเตยฺยํ
ปฏิปชฺชาติ.
“ตุมฺเห ปน ภาติกาติ.
“อหํ สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามีติ.
โส ตํ นานปฺปกาเรหิ ยาจิตฺวา นิวตฺเตตุํ
อสกฺโกนฺโต “สาธุ สามิ ยถาชฺฌาสยํ กโรถาติ
อาห.
มหากาโล คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิ.
“ อหํ ภาติกํ คเหตฺวาว อุปฺปพฺพชิสฺสามีติ
จุลฺลกาโลปิ ปพฺพชิ.
อปรภาเค มหากาโล อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา
สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา สาสเน ธุรานิ ปุจฺฉิตฺวา,
สตฺถารา ทฺวีสุ ธุเรสุ กถิเตสุ , “อหํ ภนฺเต
มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตตฺตา คนฺถธุรํ ปูเรตุํ
น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุรํ ปน ปูเรสฺสามีติ ยาว
อรหตฺตา โสสานิกธุตงฺคํ กถาเปตฺวา, ป€มยามาติกฺกเม
สพฺเพสุ นิทฺทํ โอกฺกนฺเตสุ, สุสานํ คนฺตฺวา
ปจฺจูสกาเล สพฺเพสุ อนุฏฺ€ิเตสุเยว, วิหารํ อาคจฺฉติ.
อเถกา สุสานโคปิกา กาลี นาม ฉวฑาหิกา
เถรสฺส€ิตฏฺ€านฺจนิสีทนฏฺ€านฺจจงฺกมนฏฺ€านฺจ
ทิสฺวา “โก นุ โข อิธาคจฺฉติ, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ
นนฺติ ปริคฺคณฺหิตุํ อสกฺโกนฺตี เอกทิวสํ สุสานกุฏิกาย
ทีปํ ชาเลตฺวา ปุตฺตธีตโร อาทาย คนฺตฺวา
เอกมนฺเต นิลีนา มชฺฌิมยาเม เถรํ อาคจฺฉนฺตํ
ทิสฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา “อยฺโย โน ภนฺเต อิมสฺมึ
€าเน วิหรตีติ อาห.
“อาม อุปาสิเกติ.
“ภนฺเต สุสาเน วิหรนฺเตหิ นาม วตฺตํ อุคฺคณฺหิตุํ
วฏฺฏตีติ.
เถโร “กึ ปน มยํ ตยา กถิตวตฺเต วตฺติสฺสามาติ
อวตฺวา
ได้กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำนั่น กะน้องชายผู้น้อยที่สุด ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้า
จงครอบครอง ซึ่งสมบัติ นี้ทั้งปวง ดังนี้ฯ
(อ.น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พี่ ก็ อ. ท่าน ท.
เล่า ? ดังนี้ฯ
(อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา จักบวช ในส�ำนัก
ของพระศาสดา ดังนี้ ฯ
อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น อ้อนวอนแล้ว ซึ่งกุฎุมพีนั้น
โดยประการต่าง ๆ ท. ไม่อาจอยู่ เพื่ออัน (ยังกุฎุมพี) ให้กลับได้
กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่นาย อ. ดีละ , อ. ท่าน ท. จงกระท�ำ
ตามอัธยาศัย ดังนี้ ฯ
อ. มหากาล ไปแล้ว บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ
แม้ อ. จุลกาล บวชแล้ว (ด้วยความคิด) ว่า อ. เรา พาเอาแล้ว
ซึ่งพี่ชายเทียว จักสึก ดังนี้ ฯ
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีกอ.มหากาลได้แล้วซึ่งการอุปสมบท
เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ทูลถามแล้ว ซึ่งธุระ ท. ในศาสนา,
ครั้นเมื่อธุระ ท. สอง อันพระศาสดา ตรัสแล้ว (กราบทูลแล้ว)
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ จักไม่อาจ เพื่ออัน
ยังคันถธุระให้เต็ม เพราะความที่แห่งข้าพระองค์เป็นผู้บวชแล้ว
ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่, แต่ว่า อ. ข้าพระองค์ ยังวิปัสสนาธุระ
จักให้เต็ม ดังนี้ (ยังพระศาสดา) ให้ตรัสบอกแล้ว ซึ่งธุดงค์
แห่งภิกษุผู้มีอันอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ เพียงใด แต่พระอรหัต,
ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง ก้าวลงแล้ว สู่ความหลับ ในกาลเป็นที่ก้าวล่วง
ซึ่งยามที่หนึ่ง, ไปแล้ว สู่ป่าช้า ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง
ไม่ลุกขึ้นแล้วนั่นเทียว ในกาลอันขจัดเฉพาะซึ่งความมืดมัว,
ย่อมมา สู่วิหาร ฯ
ครั้งนั้น (อ.หญิง) ผู้เผาซึ่งซากศพ คนหนึ่ง ชื่อว่ากาลี ผู้เฝ
้ า
ซึ่งป่าช้า เห็นแล้ว ซึ่งที่แห่งพระเถระยืนแล้วด้วยนั่นเทียว
ซึ่งที่เป็นที่นั่งแห่งพระเถระด้วย ซึ่งที่เป็นที่จงกรมแห่งพระเถระด้วย
(คิดแล้ว) ว่า อ. ใครหนอแล ย่อมมา ในที่นี้, อ. เรา จักก�ำหนดจับ
ซึ่งบุคคลนั้น ดังนี้ไม่อาจอยู่ เพื่ออันก�ำหนดจับ ในวันหนึ่ง ยังประทีป
ให้โพลงแล้ว ในกระท่อมใกล้ป่าช้า พาเอา ซึ่งบุตรและธิดา ท.
ไปแล้ว แอบแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้มาอยู่
ในยามอันมีในท่ามกลาง ไปแล้ว ไหว้แล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ. พระผู้เป็นเจ้า ย่อมอยู่ ในที่นี้ของเรา ท. หรือ ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสิกา เออ (อ. อย่างนั้น)
ดังนี้ฯ
(อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อัน (อันภิกษุ ท.)
ชื่อผู้อยู่อยู่ ในป่าช้า เรียนเอา ซึ่งวัตร ย่อมควร ดังนี้ฯ
อ. พระเถระ ไม่กล่าวแล้ว ว่า ก็ อ. เรา ท. จักประพฤติ ในวัตร
อันอันท่านกล่าวแล้ว หรือ ดังนี้
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 63
“กึ กาตุํ วฏฺฏติ อุปาสิเกติ อาห.
“ภนฺเต โสสานิเกหิ นาม สุสาเน วสนภาโว
สุสานโคปกานํ วิหาเร มหาเถรสฺส คามโภชกสฺส
จ กเถตุํ วฏฺฏตีติ.
“กึการณาติ.
“กตกมฺมา โจรา สามิเกหิ ปทานุปทํ อนุพนฺธนฺตา
สุสาเน ภณฺฑิกํ ฉฑฺเฑตฺวา ปลายนฺติ; อถ มนุสฺสา
โสสานิกานํ ปริปนฺถํ กโรนฺติ; เอเตสํ ปน กถิเต,
`มยํ อิมสฺส ภทฺทนฺตสฺส เอตฺตกนฺนาม กาลํ เอตฺถ
วสนภาวํ ชานาม, อโจโร เอโสติ อุปทฺทวํ นิวาเรนฺติ;
ตสฺมา เอเตสํ กเถตุํ วฏฺฏตีติ.
“อญฺญํ กึ กาตพฺพนฺติ.
“ภนฺเต สุสาเน วสนฺเตน นาม อยฺเยน
มจฺฉมํสปิฏฺ€ติลคุฬาทีนิ วชฺเชตพฺพานิ, ทิวา
น นิทฺทายิตพฺพํ, อกุสีเตน ภวิตพฺพํ อารทฺธวิริเยน,
อสเ€น อมายาวินา หุตฺวา กลฺยาณชฺฌาสเยน
ภวิตพฺพํ, สายํ สพฺเพสุ สุตฺเตสุ วิหารโต อาคนฺตพฺพํ,
ปจฺจูสกาเล สพฺเพสุ อนุฏฺ€ิเตสุเยว, วิหารํ คนฺตพฺพํ,
สเจ ภนฺเต อยฺโย อิมสฺมึ €าเน เอวํ วิหรนฺโต
ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปตุํ สกฺขิสฺสติ, สเจ
มตสรีรํ อาเนตฺวา ฉฑฺเฑนฺติ, กมฺพลกูฏาคารํ
อาโรเปตฺวา คนฺธมาลาทีหิ สกฺการํ กตฺวา สรีรกิจฺจํ
กริสฺสามิ; โน เจ สกฺขิสฺสติ, จิตกํ อาโรเปตฺวา อคฺคึ
ชาเลตฺวา สงฺกุนา อากฑฺฒิตฺวา พหิ €เปตฺวาผรสุนา
โกฏฺเฏตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา อคฺคิมฺหิ
ปกฺขิปิตฺวา ตุยฺหํ ทสฺเสตฺวา ฌาเปสฺสามีติ.
กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนอุบาสิกา อ. อัน (อันเรา) กระท�ำ ซึ่งอะไร
ย่อมควร ดังนี้ฯ
(อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อัน (อันภิกษุ ท.)
ชื่อว่าผู้มีการอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าว ซึ่งความเป็นคือการอยู่
ในป่าช้า (แก่ชน ท.) ผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้าด้วย แก่พระมหาเถระ ในวิหาร
ด้วย แก่บุคคลผู้บริโภคซึ่งบ้านด้วย ย่อมควร ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ ถามแล้ว) ว่า อ.อัน ๆ ภิกษุ ท. ชื่อผู้มีการอยู่
ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าวซึ่งความเป็นคืออันอยู่ในป่าช้า แก่ชน ท.
ผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้าด้วย แก่พระมหาเถระ ในวิหารด้วย แก่บุคคล
ผู้บริโภคซึ่งบ้านด้วย ย่อมควร เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ
(อ.นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า (เพราะว่า) อ.โจร ท. ผู้มีกรรม
อันกระท�ำแล้ว ผู้อันเจ้าของ ท. ติดตามอยู่ ซึ่งรอยเท้าและรอยเท้าตาม
ทิ้งแล้ว ซึ่งห่อมีภัณฑะ ในป่าช้า จะหนีไป; ครั้นเมื่อความเป็น
อย่างนั้น (มีอยู่) อ. มนุษย์ ท. จะกระท�ำ ซึ่งอันตรายเป็นเครื่อง
เบียดเบียนรอบ (แก่ภิกษุ ท.) ผู้มีอันอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ;
แต่ว่า ครั้นเมื่อความเป็นคืออันอยู่ในป่าช้า อันภิกษุ ท. ผู้มีการอยู่
ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าวแล้ว แก่ชน ท. มีชนผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้าเป็นต้น
เหล่านั่น อ.ชน ท. มีชนผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้าเป็นต้น เหล่านั่น ย่อมห้าม
ซึ่งอุปัททวะ ด้วยอันกล่าวว่า อ.เรา ท. ย่อมรู้ ซึ่งความเป็นคือ
อันอยู่ในปาช้านี้ แห่งท่านผู้เจริญนี้ ตลอดกาลชื่อมีประมาณเท่า
นี้ อ.ท่านผู้เจริญนั่น เป็นผู้มิใช่โจร ย่อมเป็น ดังนี้, เพราะฉะนั้น
อ.อัน ๆ ภิกษุ ท. ผู้มีการอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าวซึ่งความเป็น
คือการอยูในป่าช้า แก่ชนท. มีชนผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้าเป็นต้น เหล่านั้น
ย่อมควร ดังนี้ฯ
(อ.พระเถระถามแล้ว)ว่าอ.กรรมอะไรอื่น(อันเรา)พึงกระท�ำ
ดังนี้ฯ
(อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. วัตถุ ท.)
มีปลาและเนื้อและแป
้ งและงาและน�้ำอ้อยงบเป็นต้น อันพระผู้เป็นเจ้า
ชื่อว่าผู้อยู่อยู่ ในป่าช้า พึงเว้น, (อันพระผู้เป็นเจ้า ชื่อว่าผู้อยู่อยู่
ในป่าช้า) ไม่พึงประพฤติหลับ ในกลางวัน, พึงเป็นผู้เกียจคร้าน
หามิได้ พึงเป็น เป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เป็นผู้โอ้อวด
หามิได้ เป็นผู้มีมายาหามิได้ เป็น พึงเป็นผู้มีอัธยาสัยอันงาม พึงเป็น
ในเวลาเย็น ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง หลับแล้ว (อันพระผู้เป็นเจ้า
ชื่อผู้อยู่ๆในป่าช้า) พึงมาจากวิหาร, ในกาลเป็นที่ขจัดเฉพาะซึ่งมืด
ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง ยังไม่ลุกขึ้นแล้วนั่นเทียว พึงไป สู่วิหาร,
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ.พระผู้เป็นเจ้าอยู่ๆ อย่างนี้ในที่นี้ จักอาจ
เพื่ออันยังกิจแห่งบรรพชิต ให้ถึงซึ่งที่สุด ไซร้, ถ้าว่า อ.ชน ท.
น�ำมาแล้ว ซึ่งสรีระของชนผู้ตายแล้ว ย่อมทิ้ง ไซร้, อ.ดิฉัน
จักยกขึ้นแล้ว ซึ่งสรีระของชนผู้ตายแล้วนั้น สู่เรือนยอดอันบุคคล
ลาดแล้วด้วยผ้ากัมพล กระท�ำแล้ว ซึ่งสักการะ (ด้วยวัตถุ ท.)
มีของหอมและระเบียบแห่งดอกไม้เป็นต้น จักกระท�ำ ซึ่งกิจคือ
การเผาซึ่งสรีระ, ถ้าว่า อ.พระผู้เป็นเจ้า จักไม่อาจเพื่ออันยังกิจ
แห่งบรรพชิตให้ถึงซึ่งที่สุด ไซร้ อ. ดิฉัน จักยกขึ้นแล้ว ซึ่งสรีระ
ของชนผู้ตายแล้วนั้น สู่เชิงตะกอน ยังไฟให้โพลงแล้ว คร่ามาแล้ว
ด้วยขอ ตั้งไว้แล้ว ในภายนอก ทุบแล้ว ด้วยขวาน ตัดแล้ว
ท�ำให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ใส่เข้าแล้ว ในไฟ แสดงแล้ว แก่ท่าน
จักยังสรีระของชนผู้ตายแล้วนั้นให้ไหม้ ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
64
อถ นํ เถโร “สาธุ ภทฺเท, เอกํ ปน รูปารมฺมณํ
ทิสฺวา มยฺหํ กเถหีติ อาห.
สา “สาธูติ ปจฺจสฺโสสิ.
เถโร ยถาชฺฌาสเยน สุสาเน สมณธมฺมํ กโรติ.
จุลฺลกาลตฺเถโร ปน อุฏฺ€าย สมุฏฺ€าย ฆราวาสํ
จินฺเตติ, ปุตฺตทารํ อนุสฺสรติ, “อยํ เม ภาติโก
อติภาริยํ กมฺมํ กโรตีติ จินฺเตสิ.
อเถกา กุลธีตา ตํมุหุตฺตํ สมุฏฺ€ิเตน พฺยาธินา
สายณฺหสมเย อมิลาตา อกิลนฺตา กาลมกาสิ.
ตเมนํ าตโย ทารุเตลาทีหิ สทฺธึ สายํ สุสานํ
เนตฺวา สุสานโคปิกาย “อิมํ ฌาเปหีติ ภตึ ทตฺวา
นิยฺยาเทตฺวา ปกฺกมึสุ.
สา ตสฺสา ปารุปนวตฺถํ อปเนตฺวา ตํ มุหุตฺตมตํ
ปณีตปฺปณีตํ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ ทิสฺวา “อิมํ
อยฺยสฺส ทสฺเสตุํ ปฏิรูปํ อารมฺมณนฺติ จินฺเตตฺวา
คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา “เอวรูปํ นาม ภนฺเต
อารมฺมณํ อตฺถิ, โอโลเกยฺยาถาติ อาห.
เถโร “สาธูติ คนฺตฺวา ปารุปนวตฺถํ นีหราเปตฺวา
ปาทตลโต ยาว เกสคฺคา โอโลเกตฺวา “อติปณีตเมตํ
รูปํ สุวณฺณวณฺณํ , อคฺคิมฺหิ นํ ปกฺขิปิตฺวา
มหาชาลาหิ คหิตกาเล มยฺหํ อาโรเจยฺยาสีติ วตฺวา
สกฏฺ€านเมว คนฺตฺวา นิสีทิ.
สา ตถา กตฺวา เถรสฺส อาโรเจสิ.
เถโร คนฺตฺวา โอโลเกสิ.
ชาลาย ปหฏปหฏฏฺ€าเน กวรคาวี วิย สรีรวณฺณํ
อโหสิ.
ปาทา นมิตฺวา โอลมฺพึสุ, หตฺถา ปฏิกุชฺชึสุ,
ลลาฏํ นิจฺจมฺมํ อโหสิ.
เถโร “อิทํ สรีรํ อิทาเนว โอโลเกนฺตานํ
อปริยนฺตีกรํ หุตฺวา อิทาเนว ขยปฺปตฺตํ วยปฺปตฺตนฺติ
รตฺติฏฺ€านํ คนฺตฺวา นิสีทิตฺวา ขยวยํ สมฺปสฺสมาโน
ครั้งนั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้ว กะนางกาลีนั้น ว่า ดูก่อน
นางผู้เจริญอ.ดีละ,ก็อ.ท่านเห็นแล้วซึ่งอารมณ์คือรูปอย่างหนึ่ง
จงบอก แก่เรา ดังนี้ฯ
อ. นางกาลีนั้น ได้ฟังตอบแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ฯ
อ.พระเถระย่อมกระท�ำ ซึ่งสมณธรรมในป่าช้าตามอัธยาศัย
อย่างไร ฯ
ส่วนว่า อ. พระเถระชื่อว่าจุลกาล ลุกขึ้นแล้ว ลุกขึ้นพร้อมแล้ว
ย่อมคิดซึ่งการอยู่ครองซึ่งเรือน,ย่อมตามระลึกถึงซึ่งบุตรและทาระ,
คิดแล้ว ว่า อ. พี่ชาย ของเรา นี้ย่อมกระท�ำ ซึ่งกรรม อันหนักยิ่ง
ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. กุลธิดา คนหนึ่ง ไม่เหี่ยวแห้งแล้ว ไม่บอบช�้ำแล้ว
ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ ในสมัยเป็นที่สิ้นไปแห่งวัน ด้วยความเจ็บ
อันตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ในครู่หนึ่งนั้น ฯ
อ. ญาติ ท. น�ำไปแล้ว ซึ่งกุลธิดานั่นนั้น สู่ป่าช้า ในเวลาเย็น
กับ (ด้วยวัตถุ ท.) มีฟืนและน�้ำมันเป็นต้น ให้แล้ว ซึ่งค่าจ้าง
แก่หญิงผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้า (ด้วยค�ำ) ว่า (อ. เธอ) ยังกุลธิดานี้จงให้ไหม้
ดังนี้มอบให้แล้ว หลีกไปแล้ว ฯ
อ. หญิงผู้เฝ
้ าซึ่งป่าช้า นั้น น�ำไปปราศแล้ว ซึ่งผ้าเป็นเครื่องห่ม
ของกุลธิดานั้นเห็นแล้วซึ่งสรีระ มีสีเพียงดังสีแห่งทองอันประณีต
และประณีต อันตายแล้วในครู่หนึ่ง นั้น คิดแล้ว ว่า อ. อารมณ์นี้
เป็นอารมณ์ อันสมควร เพื่ออันแสดง แก่พระผู้เป็นเจ้า (ย่อมเป็น)
ดังนี้ไปแล้ว ไหว้แล้ว ซึ่งพระเถระ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ. อารมณ์ ชื่อมีอย่างนี้เป็นรูป มีอยู่, (อ.ท่าน ท.) ควรแลดู ดังนี้ฯ
อ.พระเถระ(รับพร้อมแล้ว)ว่าอ.ดีละดังนี้ไปแล้ว(ยังนางกาลี)
ให้น�ำออกแล้ว ซึ่งผ้าเป็นเครื่องห่ม แลดูแล้ว แต่พื้นแห่งเท้า
เพียงใด แต่ปลายแห่งผม กล่าวแล้ว ว่า อ. รูปนั่น เป็นรูปประณีตเกิน
เป็นรูปมีสีเพียงดังสีแห่งทอง (ย่อมเป็น), (อ. ท่าน) ใส่เข้าแล้ว
ซึ่งรูปนั้น ในไฟ พึงบอก แก่เรา ในกาลแห่งรูปนั้น อันเปลวไฟใหญ่
ท. จับแล้ว ดังนี้ไปแล้ว สู่ที่อันเป็นของตนนั่นเทียว นั่งแล้ว ฯ
อ. นางกาลีนั้น กระท�ำแล้ว อย่างนั้น บอกแล้ว แก่พระเถระ ฯ
อ. พระเถระ ไปแล้ว แลดูแล้ว ฯ
อ. สีแห่งสรีระ เป็นราวกะว่าแม่โคด่าง ได้เป็นแล้ว ในที่
แห่งสรีระ อันเปลวไฟกระทบแล้วและกระทบแล้ว ฯ
อ. เท้า ท. งอแล้ว ห้อยลงแล้ว, อ. มือ ท. งอกลับแล้ว,
อ. หน้าผาก เป็นอวัยวะไม่มีหนัง ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. พระเถระ กระท�ำไว้ในใจแล้ว ว่า อ. สรีระ นี้
เป็นอวัยวะกระท�ำซึ่งกิเลสให้เป็นสภาพไม่มีที่สุดรอบ เป็น แก่ชน ท.
ผู้แลดูอยู่ ในกาลนี้นั่นเทียว เป็นอวัยวะถึงแล้วซึ่งความสิ้นไป
เป็นอวัยวะถึงแล้วซึ่งความเสื่อมไป (ย่อมเป็น) ในกาลนี้นั่นเทียว
ดังนี้ ไปแล้ว สู่ที่เป็นที่พักในเวลากลางคืน นั่งพิจารณาอยู่แล้ว
ซึ่งความสิ้นไปและความเสื่อมไป กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ว่า
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 65
“อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน,
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโขติ
คาถํ วตฺวา วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา สห ปฏิสมฺภิทาหิ
อรหตฺตํ ปาปุณิ.
ตสฺมึ อรหตฺตํ ปตฺเต, สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต
จาริกฺจรมาโน เสตพฺยนครํ คนฺตฺวา สึสปาวนํ
ปาวิสิ.
จุลฺลกาลสฺส ภริยาโย “สตฺถา กิร อนุปฺปตฺโตติ
สุตฺวา “อมฺหากํ สามิกํ คณฺหิสฺสามาติ เปเสตฺวา
สตฺถารํ นิมนฺตาเปสุํ.
พุทฺธานํ ปน อปริจิตฏฺ€าเน อาสนปฺตฺตึ
อาจิกฺขนฺเตน เอเกน ภิกฺขุนา ป€มตรํ คนฺตุํ วฏฺฏติ.
พุทฺธานํ หิ มชฺฌิมฏฺ€าเน อาสนํ ปฺาเปตฺวา
ตสฺส ทกฺขิณโต สารีปุตฺตตฺเถรสฺส วามโต
มหาโมคฺคลฺลานตฺเถรสฺส ตโต ปฏฺ€าย อุโภสุ
ปสฺเสสุ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาสนํ ปฺาเปตพฺพํ โหติ;
ตสฺมา มหากาลตฺเถโร จีวรปารุปนฏฺ€าเน €ตฺวา
“ตฺวํ ปุรโต คนฺตฺวา อาสนปฺตฺตึ อาจิกฺขาหีติ
จุลฺลกาลํ เปเสสิ.
ตสฺส ทิฏฺ€กาลโต ปฏฺ€าย เคหชนา เตน
สทฺธึ ปริหาสํ กโรนฺตา นีจาสนานิ สงฺฆตฺเถรโกฏิยํ
อตฺถรนฺติ, อุจฺจาสนานิ สงฺฆนวกโกฏิยํ.
อิตโร “มา เอวํ กโรถ, อุจฺจาสนานิ อุปริ
ปฺาเปถ, นีจาสนานิ เหฏฺ€าติ อาห.
อิตฺถิโย ตสฺส วจนํ อสณนฺติโย วิย “ตฺวํ
กึ กโรนฺโต วิจรสิ? กึ ตว อาสนานิ ปฺาเปตุํ
น วฏฺฏติ? ตฺวํ กํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิโต? เกน
ปพฺพชาปิโตสิ? กสฺมา อิธาคโตสีติ วตฺวา นิวาสน-
ปารุปนํ อจฺฉินฺทิตฺวา เสตกานิ วตฺถานิ นิวาเสตฺวา
อ. สังขาร ท. ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
เป็นธรรม เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป, อ. ความเข้าไปสงบวิเศษ
แห่งสังขาร ท. เหล่านั้น เป็นเหตุน�ำมาซึ่งความสุข (ย่อมเป็น)
ดังนี้ ฯ
ยังวิปัสสนา ให้เจริญแล้ว บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต กับ
ด้วยปฏิสัมภิทา ท. ฯ
ครั้นเมื่อพระเถระนั้น บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต, อ. พระศาสดา
ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จเที่ยวไปอยู่สู่ที่จาริก เสด็จไปแล้ว
สู่เมืองชื่อว่าเสตัพยะ ได้เสด็จเข้าไปแล้ว สู่ป่าแห่งไม้สีเสียด ฯ
อ. ภรรยา ท. ของพระจุลกาล ฟังแล้ว ว่า ได้ยินว่า อ. พระศาสดา
เสด็จถึงโดยล�ำดับแล้ว ดังนี้ (คิดกันแล้ว) ว่า อ. เรา ท. จักจับ
ซึ่งสามี ของเรา ท. ดังนี้ ส่งไปแล้ว (ซึ่งบุรุษ) (ยังบุรุษ)
ให้ทูลนิมนต์แล้ว ซึ่งพระศาสดา ฯ
ก็ อ. อัน อันภิกษุ รูปหนึ่ง ผู้บอกอยู่ ซึ่งการปูลาดซึ่งอาสนะ
ไปก่อนกว่า ในที่แห่งพระพุทธเจ้าท.ไม่ทรงคุ้นเคยแล้วย่อมควรฯ
จริงอยู่ อ. อาสนะ เป็นอาสนะ อันบุคคล ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะ
ในที่อันมีในท่ามกลาง แก่พระพุทธเจ้า ท. พึงปูลาดแก่พระเถระ
ชื่อว่าสารีบุตร ข้างขวา แห่งอาสนะ นั้น แก่พระเถระชื่อว่า
มหาโมคคัลลานะ ข้างซ้าย (แห่งอาสนะ นั้น) แก่หมู่แห่งภิกษุ
ในข้าง ท. ทั้งสอง จ�ำเดิม แต่ที่นั้น ย่อมเป็น ; เพราะเหตุนั้น
อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล ยืนแล้ว ในที่เป็นที่ห่มซึ่งจีวร ส่งไปแล้ว
ซึ่งพระจุลกาล (ด้วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน ไปแล้ว ข้างหน้า จงบอก
ซึ่งการปูลาดซึ่งอาสนะ ดังนี้ฯ
อ.ชนในเรือนท.กระท�ำอยู่ซึ่งการหัวเราะกับด้วยพระจุลกาล
นั้น ย่อมลาด ซึ่งอาสนะต�่ำ ท. ในที่สุดแห่งพระเถระในสงฆ์,
(ย่อมลาด) ซึ่งอาสนะสูง ท. ในที่สุดแห่งภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ จ�ำเดิม
แต่กาลแห่งพระจุลกาลนั้นอันชน ท. เหล่านั้น เห็นแล้ว ฯ
อ. พระจุลกาลนอกนี้กล่าวแล้ว ว่า (อ.ท่าน ท.) จงอย่ากระท�ำ
อย่างนี้, (อ.ท่าน ท.) จงปูลาด ซึ่งอาสนะสูง ท. ในเบื้องบน, (อ.ท่าน ท.
จงปูลาด) ซึ่งอาสนะต�่ำ ท. ในภายใต้ ดังนี้ฯ
อ.หญิง ท. เป็นราวกะว่าไม่ฟังอยู่ ซึ่งค�ำ ของพระเถระนั้น
เป็น กล่าวแล้ว ว่า อ. ท่าน ย่อมเที่ยวไปกระท�ำอยู่ ซึ่งอะไร ?
อ. อันอันท่านปูลาด ซึ่งอาสนะ ท. จะไม่ควร หรือ ? อ. ท่าน
อ�ำลาแล้ว ซึ่งใคร เป็นผู้บวชแล้ว (ย่อมเป็น) ? อ. ท่าน เป็นผู้อันใคร
ให้บวชแล้ว ย่อมเป็น ? อ. ท่าน เป็นผู้มาแล้ว ในที่นี้ ย่อมเป็น
เพราะเหตุอะไร ดังนี้ แย่งชิงเอาแล้ว ซึ่งผ้าเป็นเครื่องนุ่งและ
ผ้าเป็นเครื่องห่ม (ยังพระจุลกาล) ให้นุ่งแล้ว ซึ่งผ้า ท. อันขาว
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
66
สีเส มาลาจุมฺพฏกํ €เปตฺวา “คจฺฉ ตฺวํ,
สตฺถารํ อาเนหิ; มยํ อาสนานิ ปฺาเปสฺสามาติ
ปหิณึสุ.
โส นจิรํ ภิกฺขุภาเว €ตฺวา อวสฺสิโกว
อุปฺปพฺพชิตฺวา ลชฺชิตุํ น ชานาติ; ตสฺมา เตน
อากปฺเปน นิราสงฺโกว คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา
พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ อาทาย อาคโต.
ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปน ภตฺตกิจฺจาวสาเน มหากาลสฺส
ภริยาโย “อิมาหิ อตฺตโน สามิโก คหิโต,
มยํปิ อมฺหากํ สามิกํ คณฺหิสฺสามาติ จินฺเตตฺวา
ปุนทิวสตฺถาย สตฺถารํ นิมนฺตยึสุ.
ตทา ปน อาสนปฺาปนตฺถํ อฺโ ภิกฺขุ
อคมาสิ. ตา ตสฺมึ ขเณ โอกาสํ อลภิตฺวา
พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ อทํสุ.
จุลฺลกาลสฺส ปน เทฺว ภริยาโย, มชฺฌิมกาลสฺส
จตสฺโส, มหากาลสฺส อฏฺ€.
ภิกฺขูปิ ภตฺตกิจฺจํ กาตุกามา นิสีทิตฺวา
ภตฺตกิจฺจมกํสุ, พหิ คนฺตุกามา อุฏฺ€าย อคมํสุ.
สตฺถา ปน นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กริ.
ตสฺส ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ตา อิตฺถิโย “ภนฺเต
มหากาโล อมฺหากํ อนุโมทนํ กตฺวา คมิสฺสติ,
ตุมฺเห ปุรโต คจฺฉถาติ วทึสุ.
สตฺถา “สาธูติ วตฺวา ปุรโต อคมาสิ.
คามทฺวารํ ปตฺวา ภิกฺขุสงฺโฆ อุชฺฌายิ “กินฺนาเมตํ
สตฺถารา กตํ, ตฺวา นุ โข กตํ อุทาหุ อชานิตฺวา?,
หิยฺโย จุลฺลกาลสฺส ปุรโต คตตฺตา ปพฺพชฺชนฺตราโย
ชาโต, อชฺช อฺสฺส ปุรโต คตตฺตา อนฺตราโย
นาโหสิ, อิทานิ สตฺถา มหากาลํ นิวตฺเตตฺวา อาคโต,
สีลวา โข ปน ภิกฺขุ อาจารสมฺปนฺโน; กริสฺสนฺติ
นุ โข ตสฺส ปพฺพชฺชนฺตรายนฺติ.
วางแล้ว ซึ่งเทริดอันเป็นวิการแห่งระเบียบ บนศีรษะ ส่งไปแล้ว
(ด้วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน จงไป, (อ. ท่าน) จงน�ำมา ซึ่งพระศาสดา ;
อ. เรา ท. จักปูลาด ซึ่งอาสนะ ท. ดังนี้ ฯ *จบ ก. ๑๒*
อ. จุลกาลนั้น ด�ำรงอยู่แล้ว ในความเป็นแห่งภิกษุ สิ้นกาลไม่นาน
ผู้ไม่มีกาลฝนเทียว สึกแล้ว ย่อมไม่รู้ เพื่ออันละอาย ; เพราะเหตุนั้น
(อ. จุลกาลนั้น) ผู้ไม่มีความรังเกียจ ด้วยมรรยาทนั้นเทียว ไปแล้ว
ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา พาเอา ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข มาแล้ว ฯ
ก็ ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งกิจด้วยภัตร ของหมู่แห่งภิกษุ
อ. ภรรยา ท. ของพระเถระชื่อว่ามหากาล คิดแล้ว ว่า อ. สามี
ของตน อันหญิง ท. เหล่านี้ จับแล้ว, แม้ อ. เรา ท. จักจับ
ซึ่งสามี ของเรา ท. ดังนี้ทูลนิมนต์แล้ว ซึ่งพระศาสดา เพื่อประโยชน์
ในวันรุ่งขึ้น ฯ
ก็ ในกาลนั้น อ.ภิกษุ รูปอื่น ได้ไปแล้ว เพื่ออันปูลาดซึ่งอาสนะ ฯ
อ.หญิง ท. เหล่านั้น ไม่ได้แล้ว ซึ่งโอกาส ในขณะนั้น
ยังหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้นั่งแล้ว ได้ถวายแล้ว
ซึ่งภิกษา ฯ
ก็ อ. ภรรยา ท. ๒ ของจุลกาล (มีอยู่), อ. ภรรยา ท. ๔
ของมัชฌิมกาล(มีอยู่),อ.ภรรยาท.๘ของพระเถระชื่อว่ามหากาล
(มีอยู่) ฯ
แม้ อ. ภิกษุ ท. ผู้ใคร่เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งกิจด้วยภัตร นั่งแล้ว
ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกิจด้วยภัตร , (อ. ภิกษุ ท.) ผู้ใคร่เพื่ออันไป
ในภายนอก ลุกขึ้นแล้ว ได้ไปแล้ว ฯ
ส่วนว่า อ. พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ทรงกระท�ำแล้ว
ซึ่งกิจด้วยภัตร ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจด้วยภัตร ของพระศาสดานั้น
อ. หญิง ท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล กระท�ำแล้ว ซึ่งอนุโมทนา แก่หม่อมฉัน ท.
จักไป, อ. พระองค์ ท. ขอจงเสด็จไป ข้างหน้า ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ ได้เสด็จไปแล้ว
ข้างหน้า ฯ
อ. หมู่แห่งภิกษุ ถึงแล้ว ซึ่งประตูแห่งบ้าน ยกโทษแล้ว ว่า
(อ.กรรม)นั่นอันพระศาสดาทรงกระท�ำแล้วชื่ออย่างไร,(อ.กรรม
อันพระศาสดา) ทรงทราบแล้ว ทรงกระท�ำแล้วหรือหนอแล หรือว่า
(อ. กรรม อันพระศาสดา) ไม่ทรงทราบแล้ว (ทรงกระท�ำแล้ว) ?,
อ. อันตรายแห่งการบวช เกิดแล้ว เพราะความที่แห่งจุลกาล
เป็นผู้ไปแล้ว ข้างหน้า ในวันวาน , ในวันนี้ อ. อันตราย
ไม่ได้มีแล้ว เพราะความที่แห่งภิกษุรูปอื่นเป็นผู้ไปแล้ว ข้างหน้า,
ในกาลนี้อ.พระศาสดา ทรงยังพระเถระชื่อว่ามหากาลให้กลับแล้ว
เสด็จมาแล้ว, ก็ อ. ภิกษุ เป็นผู้มีศีลแล เป็นผู้ถึงพร้อมแล้ว
ด้วยมรรยาท (ย่อมเป็น) ; (อ.หญิง ท. เหล่านั้น) จักกระท�ำ
ซึ่งอันตรายแห่งการบวช แก่พระเถระนั้น หรือหนอแล ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 67
สตฺถา เตสํ วจนํ สุตฺวา นิวตฺติตฺวา €ิโต
“กึ กเถถ ภิกฺขเวติ ปุจฺฉิ.
เต ตมตฺถํ อาโรเจสุํ.
“กึ ปน ตุมฺเห ภิกฺขเว จุลฺลกาลํ วิย มหากาลํ
สลฺลกฺเขถาติ.
“อาม ภนฺเต, ตสฺส หิ เทฺว ปชาปติโย, อิมสฺส
อฏฺ€; อฏฺ€หิ ปริกฺขิปิตฺวา คหิโต กึ กริสฺสติ
ภนฺเตติ.
สตฺถา “มา ภิกฺขเว เอวํ อวจุตฺถ, จุลฺลกาโล
อุฏฺ€าย สมุฏฺ€าย สุภารมฺมณพหุโลวิหรติ, ปปาตตเฏ
€ิตทุพฺพลรุกฺขสทิโส, มยฺหํ ปน ปุตฺโต มหากาโล
อสุภานุปสฺสี วิหรติ, ฆนเสลปพฺพโต วิย อจโล วาติ
วตฺวา อิมา คาถาโย อภาสิ
“สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตฺุํ กุสีตํ หีนวีริยํ
ตํ เว ปสหตี มาโร, วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ.
อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ
โภชนมฺหิ จ มตฺตฺุํ สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ตํ เว นปฺปสหตี มาโร, วาโต เสลํว ปพฺพตนฺติ.
ตตฺถ สุภานุปสฺสินฺติ: สุภํ อนุปสฺสนฺตํ.
“อิฏฺ€ารมฺมเณ มานสํ วิสฺสชฺเชตฺวา วิหรนฺตนฺติ อตฺโถ.
โย หิ ปุคฺคโล นิมิตฺตคฺคาหํ อนุพฺยฺชนคฺคาหํ
คณฺหนฺโต “นขา โสภณาติ คณฺหาติ, “องฺคุลิโย
โสภณาติ คณฺหาติ, “หตฺถา ปาทา ชงฺฆา อูรู
กฏิ อุทรํ ถนา คีวา โอฏฺโ€ ทนฺตา มุขํ นาสา
อกฺขีนิ กณฺณา ภมุกา ลลาฏํ เกสา โสภณาติ
คณฺหาติ, “เกสา โลมา นขาทนฺตาตโจ โสภโณติ
คณฺหาติ, “วณฺโณ สุโภ, สณฺ€านํ สุภนฺติ
คณฺหาติ;
อ. พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซึ่งค�ำ ของภิกษุ ท. เหล่านั้น
เสด็จกลับประทับยืนแล้วตรัสถามแล้วว่าดูก่อนภิกษุท.(อ.เธอท.)
ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำอะไร ดังนี้ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว ซึ่งเนื้อความนั้น ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ก็ อ. เธอ ท.
ย่อมก�ำหนด ซึ่งมหากาล (กระท�ำ) ให้เป็นราวกะว่าจุลกาล หรือ
ดังนี้ฯ
(อ.ภิกษุท.กราบทูลแล้ว)ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระเจ้าข้า
(อ. อย่างนั้น), เพราะว่า อ. ปชาบดี ท. ๒ ของจุลกาลนั้น (มีอยู่),
อ. ปชาบดี ท. ๘ ของพระเถระชื่อว่ามหากาลนี้ (มีอยู่) ;
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล) ผู้อันปชาบดี ท.
๘ แวดล้อมแล้ว จับเอาแล้ว จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท.
อย่าได้กล่าวแล้ว อย่างนี้ , อ. ภิกษุชื่อว่าจุลกาล ลุกขึ้นแล้ว
ลุกขึ้นพร้อมแล้ว เป็นผู้มากด้วยอารมณ์ว่างาม (เป็น) ย่อมอยู่,
(อ. ภิกษุชื่อว่าจุลกาลนั้น) เป็นผู้เช่นกับด้วยต้นไม้มีก�ำลังอันโทษ-
ประทุษร้ายแล้ว อันตั้งอยู่แล้ว ที่ริมแห่งเหว (ย่อมเป็น), ส่วนว่า
อ.ภิกษุชื่อว่ามหากาล ผู้เป็นบุตร ของเรา เป็นผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์-
ว่าไม่งามโดยปกติ (เป็น) ย่อมอยู่, (อ. ภิกษุชื่อว่ามหากาลนั้น)
เป็นผู้มีความหวั่นไหวหามิได้เทียว (ย่อมเป็น) ราวกะ อ. ภูเขา-
อันประกอบแล้วด้วยศิลาอันเป็นแท่งทึบ ดังนี้ ได้ตรัสแล้ว
ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า
อ. มาร ย่อมรังควาน ซึ่งบุคคลนั้นแล ผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์
ว่างามโดยปกติ อยู่อยู่ ผู้ไม่ส�ำรวมแล้ว ในอินทรีย์ ท.
ผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ ผู้เกียจคร้านแล้ว ผู้มีความเพียร-
อันทราม เพียงดัง อ. ลม (รังควานอยู่) ซึ่งต้นไม้ อันมีก�ำลัง-
อันโทษประทุษร้ายแล้ว, อ.มาร ย่อมไม่รังควาน ซึ่งบุคคลนั้นแล
ผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ว่าไม่งามโดยปกติ อยู่อยู่ ด้วย ผู้ส�ำรวมดีแล้ว
ในอินทรีย์ ท. ด้วย ผู้รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะด้วย
ผู้มีศรัทธาด้วย ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วด้วย, เพียงดัง
อ.ลม(ไม่รังควานอยู่) ซึ่งภูเขา อันประกอบแล้วด้วยศิลา ดังนี้ ฯ
อ. อรรถว่า ผู้ตามเห็นอยู่ ซึ่งอารมณ์ว่างาม ดังนี้ ในบท ท.
เหล่านั้นหนา แห่งบทว่า สุภานุปสฺสึ ดังนี้ อ. อธิบายว่า
ผู้สละแล้วซึ่งใจ ในอารมณ์อันบุคคลปรารถนาแล้ว อยู่อยู่ ดังนี้ฯ
จริงอยู่ อ. บุคคลใด เมื่อถือ ถือโดยนิมิต ถือโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมถือ ว่า อ. เล็บ ท. เป็นของงาม (ย่อมเป็น) ดังนี้, ย่อมถือ
ว่า อ. นิ้ว ท. เป็นของงาม (ย่อมเป็น) ดังนี้, ย่อมถือ ว่า อ. มือ ท.
อ. เท้า ท. อ. แข้ง ท. อ. ขาอ่อน ท. อ. สะเอว อ. ท้อง อ. ถัน ท.
อ.คออ.ริมฝีปากอ.ฟันท.อ.ปาก อ.จมูกอ.นัยน์ตาท.อ.หูท.
อ. คิ้ว ท. อ. หน้าผาก อ. ผม ท. เป็นของงาม (ย่อมเป็น) ดังนี้,
ย่อมถือว่า อ.ผม ท. อ.ขน ท. อ.เล็บ ท. อ.ฟัน ท. อ.หนัง
เป็นของงาม(ย่อมเป็น)ดังนี้, ย่อมถือว่าอ.วรรณะเป็นของงาม
ย่อมเป็น ดังนี้ย่อมถือว่า อ. ทรวดทรง เป็นของงาม ย่อมเป็น ดังนี้
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
68
อยํ สุภานุปสฺสี นาม; ตํ เอวํ สุภานุปสฺสึ
วิหรนฺตํ.
อินฺทฺริเยสูติ: จกฺขาทีสุ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ.
อสํวุตฺนฺติ; จกฺขุทฺวาราทีนิ อรกฺขนฺตํ.
อมตฺตญฺญุนฺติ: ปริเยสนมตฺตา ปฏิคฺคหณมตฺตา
ปริโภคมตฺตาติ อิมิสฺสามตฺตาย อชานนโต โภชนมฺหิ
อมตฺตฺุํ.
อปิจ “ ปจฺจเวกฺขณมตฺตา วิสฺสชฺชนมตฺตาติ
อิมิสฺสาปิ มตฺตาย อชานนโต อมตฺตฺุํ.
“อิทํ โภชนํ ธมฺมิกํ, อิทํ อธมฺมิกนฺติปิ
อชานนฺตํ.
กุสีตนฺติ: กามพฺยาปาทวิหึสาวิตกฺกวสิกตาย
กุสีตํ.
หีนวีริยนฺติ: นิพฺพีริยํ จตูสุ อิริยาปเถสุ
วีริยกรณวิรหิตํ.
ปสหตีติ: อภิภวติ อชฺโฌตฺถรติ.
วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลนฺติ: พลววาโต ฉินฺนตเฏ
ชาตํ ทุพฺพลรุกฺขํ วิย.
“ยถาหิโสวาโตตสฺส รุกฺขสฺส ปุปฺผผลปลฺลวาทีนิปิ
ปาเตติ, ขุทฺทกสาขาปิ ภฺชติ, มหาสาขาปิ ภฺชติ,
สมูลํปิ ตํ รุกฺขํ อุพฺพตฺเตตฺวา อุทฺธมูลํอโธสาขํ กตฺวา
คจฺฉติ; เอวเมว เอวรูปํ ปุคฺคลํ อนฺโต อุปฺปนฺโน
กิเลสมาโร ปสหติ; พลววาโต ทุพฺพลรุกฺขสฺส
ปุปฺผผลปลฺลวาทิปาตนํ วิย ขุทฺทานุขุทฺทกาปตฺติ
อาปชฺชนํปิ กโรติ , ขุทฺทกสาขาภฺชนํ วิย
นิสฺสคฺคิยาทิอาปตฺติอาปชฺชนํปิ กโรติ, มหาสาขาภฺชนํ
วิย เตรสสงฺฆาทิเสสาปชฺชนํปิ กโรติ, อุพฺพตฺเตตฺวา
อุทฺธมูลํ เหฏฺ€าสาขํ กตฺวา ปาตนํ วิย ปาราชิกาปตฺติ-
อาปชฺชนํปิ กโรติ, สฺวากฺขาตสาสนา นีหริตฺวา
กติปาเหเนว คิหิภาวํ ปาเปติ; เอวรูปํ ปุคฺคลํ
กิเลสมาโร อตฺตโน วเส วตฺเตตีติ อตฺโถ.
อ.บุคคลนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ว่างามโดยปกติ
ย่อมเป็น, ซึ่งบุคคลนั้น ผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ว่างามโดยปกติ อยู่อยู่
อย่างนี้ฯ
อ. อรรถว่า ในอินทรีย์ ท. หก มีจักษุเป็นต้น ดังนี้แห่งบทว่า
อินฺทฺริเยสุ ดังนี้ฯ
อ. อรรถว่า ผู้ไม่รักษาอยู่ซึ่งทวาร ท. มีทวารคือจักษุเป็นต้น
ดังนี้แห่งบทว่า อสํวุตํ ดังนี้ฯ
อ. อรรถว่า ชื่อว่าผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ เพราะความไม่รู้
ซึ่งประมาณนี้คือ อ. ประมาณในการแสวงหา อ. ประมาณในการรับ
อ. ประมาณในการบริโภค ดังนี้ แห่งบทว่า อมตฺตญฺญุํ ดังนี้ ฯ
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ เพราะความไม่รู้
ซึ่งประมาณ แม้นี้ คือ อ.ประมาณ ในการพิจารณา อ.ประมาณ-
ในการสละ ฯ คือว่า ผู้ไม่รู้อยู่แม้ว่าอ.โภชนะนี้เป็นของประกอบแล้ว
ด้วยธรรม (ย่อมเป็น) อ.โภชนะนี้ เป็นของไม่ประกอบแล้ว
ด้วยธรรม (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
อ.อรรถว่า ชื่อว่าผู้เกียจคร้านแล้ว เพราะความที่แห่งตน
เป็นผู้เป็นไปแล้วในอ�ำนาจแห่งกามวิตกและพยาบาทวิตกและ
วิหิงสาวิตก ดังนี้ แห่งบทว่า กุสีตํ ดังนี้ ฯ
อ.อรรถว่า ผู้มีความเพียรอันออกแล้ว คือว่าผู้เว้นแล้ว-
จากการกระท�ำซึ่งความเพียร ในอิริยาบถ ท. สี่ ดังนี้ แห่งบทว่า
หีนวีริยํ ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ)ว่าย่อมครอบง�ำคือว่าย่อมท่วมทับ ดังนี้แห่งบทว่า
ปสหติ ดังนี้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ราวกะ อ.ลมมีก�ำลัง (รังควานอยู่) ซึ่งต้นไม้
มีก�ำลังอันโทษประทุษร้าย อันเกิดแล้วแล้ว ใกล้เหวอันขาดแล้ว
(ดังนี้แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ ดังนี้ ฯ
อธิบาย ว่า เหมือนอย่างว่า อ.ลมนั้น (ยังรุกขาวัยวะ ท.)
มีดอกและผลและใบอ่อนเป็นต้น ของต้นไม้นั้น ย่อมให้ตกไปบ้าง
ย่อมหักราน ซึ่งกิ่งน้อย ท. บ้าง ย่อมหักราน ซึ่งกิ่งใหญ่ ท. บ้าง
ยังต้นไม้นั้น อันเป็นไปกับด้วยราก ให้เพิกขึ้นแล้ว กระท�ำ ให้มีราก
ในเบื้องบน ให้มีกิ่งในเบื้องต�่ำ ย่อมไปบ้าง ฉันใด; อ.มารคือกิเลส
อันเกิดขึ้นแล้ว ในภายใน ย่อมรังควาน ซึ่งบุคคล ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป
ฉันนั้นนั่นเทียว คือว่า (อ.มารคือกิเลส) ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้อง
ซึ่งอาบัติเล็กๆน้อยๆ ราวกะ อ.ลมมีก�ำลัง (กระท�ำอยู่) ซึ่งการ-
ยังรุกขาวัยวะมีดอกและผลและใบอ่อนเป็นต้น ของต้นไม้มีก�ำลัง
อันโทษประทุษร้ายแล้ว ให้ตกไปบ้าง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้อง-
ซึ่งอาบัติมีนิสสัคคีย์เป็นต้น ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู่)
ซึ่งการหักรานกิ่งน้อยบ้าง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้องซึ่งสังฆาทิเสส
๑๓ ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู่) ซึ่งการรักรานกิ่งใหญ่บ้าง
ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้องซึ่งอาบัติคือปาราชิก น�ำออกแล้ว
จากพระศาสนาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมให้ถึง
ซึ่งความเป็นแห่งคฤหัสถ์ โดยวันเล็กน้อยนั่นเทียว ราวกะ
(อ.ลมมีก�ำลังกระท�ำอยู่) ซึ่งการ (ยังต้นไม้)ให้เพิกขึ้นแล้ว กระท�ำ
ให้มีรากในเบื้องบน ให้มีกิ่งในภายใต้ แล้วให้ตกไปบ้าง อ.มาร-
คือกิเลส ยังบุคคล ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมให้เป็นไป ในอ�ำนาจ
ของตน ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 69
อสุภานุปสฺสินฺติ: ทสสุ อสุเภสุ อฺตรํ อสุภํ
ปสฺสนฺตํ, ปฏิกูลมนสิกาเร ยุตฺตํ, เกเส อสุภโต
ปสฺสนฺตํ, โลเม นเข ทนฺเต ตจํ วณฺณํ สณฺ€านํ
อสุภโต ปสฺสนฺตํ.
อินฺทฺริเยสูติ: ฉสุ อินฺทฺริเยสุ.
สุสํวุตนฺติ: นิมิตฺตคฺคาหาทิวิรหิตํ ปิหิตทฺวารํ.
อมตฺตฺุตาปฏิปกฺเขน โภชนมฺหิ จ มตฺตฺุํ.
สทฺธนฺติ: กมฺมสฺส เจว ผลสฺส จ สทฺทหนลกฺขณาย
โลกิยสทฺธาย เจว ตีสุ วตฺถูสุ อเวจฺจปฺปสาทสงฺขาตาย
โลกุตฺตรสทฺธาย จ สมนฺนาคตํ.
อารทฺธวีริยนฺติ: ปคฺคหิตวีริยํ ปริปุณฺณวีริยํ.
ตํ เวติ: ตํ เอวรูปํ ปุคฺคลํ.
“ยถา ทุพฺพลวาโต สณิกํ ปหรนฺโต เอกฆนํ เสลํ
จาเลตุํ น สกฺโกติ; ตถา อพฺภนฺตเร อุปฺปชฺชมาโนปิ
ทุพฺพลกิเลสมาโร นปฺปสหติ โขเภตุํ กมฺเปตุํ
จาเลตุํ น สกฺโกตีติ อตฺโถ.
ตาปิ โข ตสฺส ปุราณทุติยิกา เถรํ ปริวาเรตฺวา
“ตฺวํ กํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิโต? อิทานิ คิหี ภวิสฺสสิ
น ภวิสฺสสีติอาทีนิ วตฺวา กาสายานิ นีหริตุกามา
อเหสุํ.
เถโร ตาสํ อาการํ สลฺลกฺเขตฺวา นิสินฺนาสนา
วุฏฺ€าย อิทฺธิยา อุปฺปติตฺวา กูฏาคารกณฺณิกํ
ภินฺทิตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา , สตฺถริ คาถา
ปริโยสาเปนฺเตเยว , สตฺถุ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ
อภิตฺถวนฺโต โอตริตฺวา ตถาคตสฺส ปาเท วนฺทิ.
คาถาปริโยสาเน สมฺปตฺตภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีสุ
ปติฏฺ€หึสูติ.
จุลฺลกาลมหากาลวตฺถุ.
(อ.อรรถ) ว่า ผู้เห็นอยู่ (ในอารมณ์ ท.) อันไม่งาม ๑๐ หนา
(ซึ่งอารมณ์) ว่าไม่งาม อย่างใดอย่างหนึ่ง, คือว่า ผู้ประกอบแล้ว
ในการกระท�ำไว้ในใจโดยความเป็นของน่าเกลียด, คือว่า ผู้เห็นอยู่
ซึ่งผม ท. โดยความเป็นของไม่งาม, ผู้เห็นอยู่ ซึ่งขน ท. ซึ่งเล็บ ท.
ซึ่งฟัน ท. ซึ่งหนัง ซึ่งวรรณะ ซึ่งทรวดทรง โดยความเป็นของไม่งาม
(ดังนี้แห่งบท) ว่า อสุภานุปสฺสึ ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ในอินทรีย์ ท. ๖ (ดังนี้ แห่งบท) ว่า อินฺทฺริเยสุ
ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ผู้เว้นแล้วจากการถือมีการถือโดยนิมิตเป็นต้น
คือว่า ผู้มีทวารอันปิดแล้ว (ดังนี้แห่งบท) ว่า สุสํวุตํ ดังนี้ฯ
ก็ ผู้รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ โดยความเป็น ข้าศึกต่อความเป็น
แห่งบุคคลผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ผู้มาตามพร้อมแล้ว ด้วยศรัทธาอันเป็นโลกิยะ
มีการเชื่อซึ่งกรรมด้วยนั่นเทียว ซึ่งผล (ของกรรม) ด้วยเป็นลักษณะ
ด้วยนั่นเทียว ด้วยศรัทธาอันเป็นโลกุตระ อันบัณฑิตนับพร้อมแล้ว
ว่าความเลื่อมใสอันไม่คลอนแคลน ในวัตถุ ท. ๓ ด้วย (ดังนี้
แห่งบท) ว่า สทฺธํ ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ)ว่าผู้มีความเพียรอันประคองแล้ว คือว่าผู้มีความเพียร
อันเต็มรอบแล้ว (ดังนี้แห่งบท) ว่า อารทฺธวีริยํ ดังนี้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ซึ่งบุคคลนั้น คือว่า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป (ดังนี้
แห่งบท) ว่า ตํ เว ดังนี้ฯ
อ.อธิบายว่า อ.ลมมีก�ำลังอันโทษประทุษร้าแล้วพัดอยู่ค่อยๆ
ย่อมไม่อาจ เพื่ออันยังภูเขา อันประกอบแล้วด้วยศิลา อันเป็น-
แท่งทึบเป็นอันเดียวกัน ให้หวั่นไหวได้ ฉันใด ; อ.มารคือกิเลสมีก�ำลัง-
อันโทษประทุษร้ายแล้ว แม้เกิดขึ้นอยู่ ในภายใน ย่อมไม่รังควาน
คือว่า ย่อมไม่อาจ เพื่ออันให้หวั่นไหว เพื่ออันให้สะเทือน
เพื่ออันให้คลอนแคลน ฉันนั้น ดังนี้ ฯ
อ. หญิงที่สองผู้มีในก่อน ท. ของพระเถระนั้น แม้เหล่านั้นแล
แวดล้อมแล้ว ซึ่งพระเถระ กล่าวแล้ว (ซึ่งค�ำ ท.) มีค�ำ ว่า อ. ท่าน
อ�ำลาแล้ว ซึ่งใคร เป็นผู้บวชแล้ว (ย่อมเป็น) ? ในกาลนี้ อ. ท่าน
เป็นคฤหัสถ์ จักเป็น (หรือ หรือว่า อ. ท่าน เป็นคฤหัสถ์) จักไม่เป็น
ดังนี้เป็นต้น เป็นผู้ใคร่เพื่ออันน�ำออก ซึ่งผ้ากาสายะ ท. ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. พระเถระ ก�ำหนดแล้ว ซึ่งอาการ ของหญิง ท. เหล่านั้น
ลุกขึ้นแล้ว จากอาสนะแห่งตนนั่งแล้ว เหาะขึ้นแล้ว ด้วยฤทธิ์
ท�ำลายแล้ว ซึ่งช่อฟ
้ าแห่งเรือนยอด ไปแล้ว โดยอากาศ,
ครั้นเมื่อพระศาสดา ทรงยังคาถา ท. ให้จบลงรอบอยู่นั่นเทียว,
ชมเชยอยู่ ซึ่งพระสรีระ มีสีเพียงดังสีแห่งทอง ของพระศาสดา
ข้ามลงแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระบาท ท. ของพระตถาคตเจ้า
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุผู้ถึงพร้อมแล้ว ท.
ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว (ในอริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล ฯ
อ.เรื่องแห่งภิกษุชื่อว่าจุลกาลและภิกษุชื่อว่ามหากาล
(จบแล้ว) ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
70
๗. เทวทตฺตวตฺถุ. (๗)
“อนิกฺกสาโวติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน
วิหรนฺโต ราชคเห เทวทตฺตสฺส คนฺธารกาสาวลาภํ
อารพฺภ กเถสิ.
เอกสฺมึ หิ สมเย เทฺว อคฺคสาวกา ปฺจสเต
ปฺจสเต อตฺตโน ปริวาเร อาทาย สตฺถารํ
อาปุจฺฉิตฺวา เชตวนโต ราชคหํ อคมํสุ.
ราชคหวาสิโน เทฺวปิ ตโยปิ พหูปิ เอกโต
หุตฺวา อาคนฺตุกทานํ อทํสุ.
อเถกทิวสํ อายสฺมา สารีปุตฺโต อนุโมทนํ
กโรนฺโต “อุปาสกา เอโก สยํ ทานํ เทติ,
ปรํ น สมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน
โภคสมฺปทํ ลภติ, โน ปริวารสมฺปทํ, เอโก ปรํ
สมาทเปติ, สยํ น เทติ; นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน
ปริวารสมฺปทํ ลภติ, โน โภคสมฺปทํ, เอโก สยํปิ
น เทติ, ปรํปิ นสมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน
กฺชิกมตฺตํปิ กุจฺฉิปูรํ น ลภติ, อนาโถ โหติ
นิปฺปจฺจโย, เอโก สยํปิ เทติ, ปรํปิ สมาทเปติ;
โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน อตฺตภาวสเตปิ
อตฺตภาวสหสฺเสปิ อตฺตภาวสตสหสฺเสปิ โภคสมฺปทฺเจว
ปริวารสมฺปทฺจ ลภตีติ เอวํ ธมฺมํ เทเสสิ.
ตเมโก ปณฺฑิตปุริโส สุตฺวา “อจฺฉริยา วต โภ
ธมฺมเทสนา, สุขการณํ กถิตํ; มยา อิมาสํ ทฺวินฺนํ
สมฺปตฺตีนํ นิปฺผาทนกกมฺมํ กาตุํ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา
“ ภนฺเต เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถาติ เถรํ
นิมนฺเตสิ.
“กิตฺตเกหิ เต ภิกฺขูหิ อตฺโถ อุปาสกาติ.
“กิตฺตกา ปน โว ภนฺเต ปริวาราติ.
“สหสฺสมตฺตา อุปาสกาติ.
“สพฺเพหิ สทฺธึเยว ภิกฺขํ คณฺหถ ภนฺเตติ.
เถโร อธิวาเสสิ.
๗. อ.เรื่องแห่งพระเทวทัต (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
ซึ่งการได้ซึ่งผ้ากาสาวะอันบุคคลน�ำมาแล้วจากแว่นแคว้นชื่อว่า-
คันธาระ แห่งพระเทวทัต ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตรัสแล้ว
ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า อนิกฺกสาโว ดังนี้เป็นต้น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ในสมัยหนึ่ง อ. พระอัครสาวก ท. สอง
พาเอาแล้ว ซึ่งบริวาร ท. ของตน มีร้อยห้าเป็นประมาณ ๆ ทูลลาแล้ว
ซึ่งพระศาสดา ได้ไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ จากพระเชตวัน ฯ
(อ. ชน ท.) ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์โดยปกติ ๒ บ้าง ๓ บ้าง
มากบ้าง เป็น โดยความเป็นอันเดียวกัน ได้ถวายแล้ว ซึ่งทาน
เพื่อภิกษุผู้จรมา ฯ
ครั้งนั้นในวันหนึ่ง อ. พระสารีบุตรผู้ มีอายุ เมื่อกระท�ำ
ซึ่งการอนุโมทนา แสดงแล้ว ซึ่งธรรม อย่างนี้ ว่า ดูก่อนอุบาสก
และอุบาสิกา ท. (อ. บุคคล) คนหนึ่ง ย่อมถวาย ซึ่งทาน เอง,
ย่อมไม่ชักชวน ซึ่งบุคคลอื่น; อ. บุคคลนั้น ย่อมได้ ซึ่งความถึงพร้อม
ด้วยโภคะ, ย่อมไม่ได้ ซึ่งความถึงพร้อมด้วยบริวาร ในที่แห่งตน
บังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว, อ.บุคคล คนหนึ่ง ย่อมชักชวน
ซึ่งบุคคลอื่น, ย่อมไม่ถวาย เอง, (อ. บุคคลนั้น) ย่อมได้ ซึ่งความ
ถึงพร้อมด้วยบริวาร, ย่อมไม่ได้ ซึ่งความถึงพร้อมด้วยโภคะ
ในที่แห่งตนบังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว,อ.บุคคลคนหนึ่งย่อมไม่ถวาย
แม้เอง, ย่อมไม่ชักชวน ซึ่งบุคคลแม้อื่น; อ. บุคคลนั้น ย่อมไม่ได้
ซึ่งวัตถุอันยังท้องให้เต็ม แม้สักว่าข้าวปลายเกรียน, เป็นผู้ไม่มีที่พึ่ง
เป็นผู้ไม่มีปัจจัย ย่อมเป็น ในที่แห่งตนบังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว,
(อ. บุคคล) คนหนึ่ง ย่อมถวาย แม้เอง, ย่อมชักชวน ซึ่งบุคคล
แม้อื่น; อ. บุคคลนั้น ย่อมได้ ซึ่งความถึงพร้อมด้วยโภคะด้วย
นั่นเทียว ซึ่งความถึงพร้อมด้วยบริวารด้วย ในร้อยแห่งอัตภาพบ้าง
ในพันแห่งอัตภาพบ้าง ในแสนแห่งอัตภาพบ้าง ในที่แห่งตนบังเกิดแล้ว
และบังเกิดแล้ว ดังนี้ฯ
อ. บุรุษผู้ฉลาด คนหนึ่ง ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น คิดแล้ว ว่า
แน่ะท่านผู้เจริญ อ.พระธรรมเทศนา น่าอัศจรรย์ หนอ,
อ. เหตุแห่งความสุข (อันพระเถระ) กล่าวแล้ว, อ. อัน อันเรา
กระท�ำ ซึ่งกรรมเป็นเหตุยังสมบัติ ท. สอง เหล่านี้ ให้ส�ำเร็จ
ย่อมควร ดังนี้ นิมนต์แล้ว ซึ่งพระเถระ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อ. ท่าน ท. ขอจงรับ ซึ่งภิกษา ของกระผม ในวันพรุ่ง ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก อ. ความต้องการ
ด้วยภิกษุ ท. มีประมาณเท่าไร (มีอยู่) แก่ท่าน ดังนี้ฯ
(อ. อุบาสก ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. บริวาร ท.
ของท่าน ท. มีประมาณเท่าไร ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว)
ว่าดูก่อนอุบาสก(อ.บริวารท.ของเรา) มีพันเป็นประมาณ ดังนี้ฯ
(อ. อุบาสก กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. ท่าน ท.)
ขอจงรับ ซึ่งภิกษา กับ ด้วยภิกษุ ท. ทั้งปวงนั่นเทียว ดังนี้ ฯ
อ. พระเถระ (ยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 71
อุปาสโก นครวีถิยํ จรนฺโต “อมฺมตาตา มยา
ภิกฺขุสหสฺสํ นิมนฺติตํ, ตุมฺเห กิตฺตกานํ ภิกฺขูนํ ภิกฺขํ
ทาตุํ สกฺขิสฺสถ, ตุมฺเห กิตฺตกานนฺติ สมาทเปติ.
มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน ปโหนกนิยาเมน “มยํ
ทสนฺนํ ทสฺสาม, มยํ วีสติยา, มยํ สตสฺสาติ
อาหํสุ.
อุปาสโก “เตนหิ เอกสฺมึ €าเน สมาคมํ กตฺวา
เอกโตว ปจิสฺสาม, สพฺเพ เตลติลตณฺฑุลสปฺปิ
ผาณิตาทีนิ สมาหรถาติ เอกสฺมึ €าเน สมาหราเปสิ.
อถสฺส เอโก กุฏุมฺพิโก สตสหสฺสคฺฆนกํ คนฺธาร-
กาสาววตฺถํ ทตฺวา “สเจ เต ทานวฏฺฏํ นปฺปโหติ,
อิทํ วิสฺสชฺเชตฺวา, ยทูนํ, ตํ ปูเรยฺยาสิ; สเจ ปโหติ,
ยสฺส อิจฺฉสิ; ตสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยาสีติ อาห.
ตทา ตสฺส สพฺพํ ทานวฏฺฏํ ปโหสิ, กิฺจิ อูนนฺนาม
นาโหสิ.
โส มนุสฺเส ปุจฺฉิ “อิทํ อนคฺฆกาสาวํ เอเกน
กุฏุมฺพิเกน เอวํ นาม วตฺวา ทินฺนํ, ทานวฏฺฏํ อติเรกํ
ชาตํ, กสฺสิทํ เทมาติ.
เอกจฺเจ “สารีปุตฺตตฺเถรสฺสาติ อาหํสุ.
เอกจฺเจ “เถโร สสฺสปริปากสมเย อาคนฺตฺวา
คมนสีโล; เทวทตฺโต อมฺหากํ มงฺคลามงฺคเลสุ
สหาโย อุทกมณิโก วิย นิจฺจํ ปติฏฺ€ิโต, ตสฺส ตํ
เทมาติ อาหํสุ.
สมฺพหุลิกาย กถายปิ “เทวทตฺตสฺส ทาตพฺพนฺติ
วตฺตาโร พหุตรา อเหสุํ.
อถ นํ เทวทตฺตสฺส อทํสุ. โส ตํ ฉินฺทิตฺวา
สิพฺพิตฺวา รชิตฺวา นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา วิจรติ.
มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา “นยิทํ เทวทตฺตสฺส อนุจฺฉวิกํ;
สารีปุตฺตตฺเถรสฺส อนุจฺฉวิกํ ; เทวทตฺโต อตฺตโน
อนนุจฺฉวิกํ นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา วิจรตีติ วทึสุ.
อเถโก ทิสาวาสิโก ภิกฺขุ ราชคหา สาวตฺถึ
คนฺตฺวา
อ. อุบาสก เที่ยวไปอยู่ ในถนนในเมือง ย่อมชักชวน ว่า
แน่ะแม่และพ่อ ท. อ. พันแห่งภิกษุ อันข้าพเจ้า นิมนต์แล้ว, อ. ท่าน ท.
จักอาจ เพื่ออันถวาย ซึ่งภิกษา แก่ภิกษุ ท. มีประมาณเท่าไร,
อ. ท่าน ท. (จักอาจ เพื่ออันถวาย ซึ่งภิกษา แก่ภิกษุ ท.) มีประมาณ
เท่าไร ดังนี้ฯ
อ.มนุษย์ ท.กล่าวแล้วว่าอ.ข้าพเจ้าท.จักถวายแก่ภิกษุ ท.
๑๐,อ.ข้าพเจ้าท.จักถวาย(แก่ภิกษุท.)๒๐, อ. ข้าพเจ้า ท. จักถวาย
แก่ร้อย (แห่งภิกษุ ท.) ดังนี้ โดยก�ำหนดแห่งภิกษุผู้เพียงพอ
แก่ตน แก่ตน ฯ
อ. อุบาสก (กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. เรา ท. จักกระท�ำ
ซึ่งการมาพร้อมกัน ในที่แห่งหนึ่ง แล้วจักหุงต้ม โดยความเป็น
อันเดียวกันเทียว,(อ.ท่านท.)ทั้งปวงจงน�ำมาพร้อม(ซึ่งอาหารวัตถุท.)
มีนํ้มันและงาและข้าวสารและเนยใสและน�้ำอ้อยเป็นต้น ดังนี้
(ยังมนุษย์ ท.) ให้น�ำมาพร้อมแล้ว (ซึ่งวัตถ ท. มีน�้ำมันเป็นต้น
เหล่านั้น) ในที่แห่งหนึ่ง ฯ
ครั้งนั้น อ.กุฏุมพี คนหนึ่ง ให้แล้ว ซึ่งผ้าอันบุคคลย้อมแล้ว
ด้วยน�้ำฝาด อันบุคคลน�ำมาแล้ว จากแคว้นชื่อว่า คันธาระ อันมี
แสนหนึ่งเป็นราคา แก่อุบาสกนั้น กล่าวแล้วว่า ถ้าว่า อ.วัตถุ
อันเป็นไปในทาน ของท่าน ย่อมไม่เพียงพอ (แก่ท่าน)ไซร้,อ.ท่าน
พึงสละแล้ว ซึ่งผ้าอันบุคคลย้อม แล้วด้วยนํ้าฝาดนี้ ยัง - อ.วัตถุ
ใด เป็นของพร่อง ย่อมเป็น - วัตถุนั้น พึงให้เต็ม ถ้าว่า อ.วัตถุ
อันเป็นไปในทาน ย่อมไม่เพียงพอ ไซร้,อ.ท่าน พึงถวายแก่- อ.ท่าน
ย่อมปรารถนา เพื่ออันถวาย แก่ภิกษุรูปใด - ภิกษุรูปนั้น ดังนี้ฯ
ในกาลนั้น อ. วัตถุอันเป็นไปในทาน ทั้งปวง ของอุบาสกนั้น
เพียงพอแล้ว, อ. วัตถุอะไร ๆ ชื่อว่าเป็นของพร่อง ไม่ได้มีแล้ว ฯ
อ. อุบาสกนั้น ถามแล้ว ซึ่งมนุษย์ ท. ว่า อ.ผ้ากาสาวะ-
อันมีค่าหามิได้ นี้อันกุฎุมพี คนหนึ่ง กล่าวแล้ว ชื่อย่างนี้ถวายแล้ว,
อ.วัตถุอันเป็นไปในทาน เป็นของยิ่งเกิน เกิดแล้ว, อ. เรา ท.
จะถวาย ซึ่งผ้านี้แก่ใคร ดังนี้ฯ
อ. ชน ท. บางพวก กล่าวแล้ว ว่า (อ. เรา ท. จะถวาย)
แก่พระเถระชื่อว่าสารีบุตร ดังนี้ฯ
อ. ชน ท. บางพวก กล่าวแล้ว ว่า อ. พระเถระ เป็นผู้มีการมา
ในสมัยเป็นที่แก่รอบแห่งข้าวกล้า แล้วจึงไปเป็นปกติ (ย่อมเป็น);
อ. พระเทวทัต เป็นสหาย ในงานมงคลและมิใช่มงคล ท. ของเรา ท.
(เป็น) ด�ำรงอยู่แล้ว เนืองนิตย์ ราวกะ อ. หม้อแห่งน�้ำ, (อ. เรา ท.)
จะถวาย ซึ่งผ้านั้น แก่พระเทวทัตนั้น ดังนี้ฯ
แม้ครั้นเมื่อวาจาเป็นเครื่องกล่าว เป็นวาจามีมากพร้อม (มีอยู่)
(อ. ชน ท.) ผู้กล่าว ว่า (อ. ผ้า อันเรา ท.) ควรถวาย แก่พระเทวทัต
ดังนี้ เป็นผู้มากกว่า ได้เป็นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น (อ. ชน ท.) ได้ถวายแล้ว ซึ่งผ้านั้น แก่พระเทวทัต ฯ
อ.พระเทวทัต นั้น ตัดแล้ว ซึ่งผ้านั้น เย็บแล้ว ย้อมแล้ว นุ่งแล้ว
ห่มแล้ว ย่อมเที่ยวไป ฯ
อ. มนุษย์ ท. เห็นแล้ว ซึ่งพระเทวทัตนั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. ผ้า
นี้ เป็นผ้าสมควร แก่พระเทวทัต (ย่อมเป็น) หามิได้ ; (อ. ผ้านั้น)
เป็นผ้าสมควรแก่พระเถระชื่อว่าสารีบุตร(ย่อมเป็น);อ.พระเทวทัต
นุ่งแล้ว ห่มแล้ว (ซึ่งผ้า) อันไม่สมควร แก่ตน ย่อมเที่ยวไป ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. ภิกษุ ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ รูปหนึ่ง ไปแล้ว สู่เมือง
ชื่อว่าสาวัตถี จากเมืองชื่อว่าราชคฤห์
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
72
สตฺถารํ วนฺทิตฺวา กตปฏิสนฺถาโร สตฺถารา ทฺวินฺนํ
อคฺคสาวกานํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉิโต อาทิโต ปฏฺ€าย
สพฺพํ ตํ ปวตฺตึ อาโรเจสิ.
สตฺถา “น โข ภิกฺขุ อิทาเนว โส อตฺตโน
อนนุจฺฉวิกํ วตฺถํ ธาเรติ, ปุพฺเพปิ ธาเรสิเยวาติ วตฺวา
อตีตํ อาหริ;
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต,
พาราณสีวาสี เอโก หตฺถิมารโก หตฺถึ มาเรตฺวา
ทนฺเต จ ตเจ จ อนฺตานิ จ ฆนมํสฺจ อาหริตฺวา
วิกฺกีณนฺโต ชีวิตํ กปฺเปสิ.
อเถกสฺมึ อรฺเ อเนกสหสฺสา หตฺถี โคจรํ
คเหตฺวา คจฺฉนฺตา ปจฺเจกพุทฺเธ ทิสฺวา ตโต ปฏฺ€าย
คจฺฉมานา คมนาคมนกาเล ชนฺนุเกหิ นิปติตฺวา
วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติ.
เอกทิวสํ หตฺถิมารโก ตํ กิริยํ ทิสฺวา “อหํ อิเม
กิจฺเฉน มาเรมิ, อิเม จ คมนาคมนกาเล ปจฺเจกพุทฺเธ
วนฺทนฺติ, กินฺนุ โข ทิสฺวา วนฺทนฺตีติ จินฺเตนฺโต
“กาสาวนฺติ สลฺลกฺเขตฺวา “มยาปิ อิทานิ กาสาวํ
ลทฺธุํ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา เอกสฺส ปจฺเจกพุทฺธสฺส
ชาตสฺสรํ โอรุยฺห นหายนฺตสฺส ตีเร €ปิเตสุ กาสาเวสุ
จีวรํ เถเนตฺวา เตสํ หตฺถีนํ คมนาคมนมคฺเค สตฺตึ
คเหตฺวา สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสีทติ.
หตฺถี ตํ ทิสฺวา “ปจฺเจกพุทฺโธติ สฺาย
วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติ.
โส เตสํ สพฺพปจฺฉโต คจฺฉนฺตํ สตฺติยา
ปหริตฺวา มาเรตฺวา ทนฺตาทีนิ คเหตฺวา เสสํ ภูมิยํ
นิขนิตฺวา คจฺฉติ.
อปรภาเค โพธิสตฺโต หตฺถิโยนิยํ ปฏิสนฺธึ
คเหตฺวา หตฺถิเชฏฺ€โก ยูถปติ อโหสิ.
ตทาปิ โส ตเถว กโรติ .
มหาปุริโส อตฺตโน ปริสาย ปริหานึ ตฺวา
“กุหึ อิเม หตฺถี คตา มนฺทา ชาตาติ ปุจฺฉิตฺวา,
ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ผู้มีปฏิสันถารอันพระศาสดา
ทรงกระท�ำแล้ว ผู้อันพระศาสดาตรัสถามแล้ว ซึ่งการอยู่ส�ำราญ
แห่งพระอัครสาวก ท. สอง กราบทูลแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่วนั้น
ทั้งปวง จ�ำเดิม แต่ต้น ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ อ. เทวทัตนั้น ย่อมทรงไว้
ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน ในกาลนี้นั่นเทียว หามิได้แล, (อ. เทวทัต)
ทรงไว้แล้ว (ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน) นั่นเทียว แม้ในกาลก่อน
ดังนี้ทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว ว่า ;
ในกาลอันล่วงไปแล้ว ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัต (ทรงยังบุคคล)
ให้กระท�ำอยู่ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในเมืองชื่อว่าพาราณสี,
อ.บุคคลผู้ยังช้างให้ตาย คนหนึ่ง ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าพาราณสีโดยปกติ
ยังช้าง ให้ตายแล้ว น�ำมาแล้ว ซึ่งงา ท. ด้วย ซึ่งหนัง ท. ด้วย
ซึ่งไส้ใหญ่ ท. ด้วย ซึ่งเนื้อล�่ำด้วย ขายอยู่ ส�ำเร็จแล้ว ซึ่งชีวิต ฯ
ครั้งนั้นอ.ช้างท.มีพันมิใช่หนึ่งในป่าแห่งหนึ่งคาบซึ่งเหยื่อ
ไปอยู่ เห็นแล้ว ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ท. เมื่อไป จ�ำเดิม แต่กาลนั้น
หมอบลงแล้ว ด้วยเข่า ท. จบแล้ว ในกาลเป็นที่ไปและเป็นที่มา
ย่อมหลีกไป ฯ
ในวันหนึ่ง (อ. บุคคล) ผู้ยังช้างให้ตาย เห็นแล้ว ซึ่งกิริยานั้น
คิดอยู่ ว่า อ. เรา ยังช้าง ท. เหล่านี้ ย่อมให้ตายได้ โดยยาก,
ก็ อ. ช้าง ท. เหล่านี้ ย่อมจบ ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ท. ในกาล
เป็นที่ไปและเป็นที่มา, (อ. ช้าง ท.) เห็นแล้ว ซึ่งอะไรหนอแล ย่อมจบ
ดังนี้ก�ำหนดแล้ว ว่า (อ. ช้าง ท. เห็นแล้ว) ซึ่งผ้ากาสาวะ (ย่อมจบ)
ดังนี้ คิดแล้ว ว่า อ. อัน แม้อันเรา ได้ ซึ่งผ้ากาสาวะ ย่อมควร
ในกาลนี้ ดังนี้ ลักแล้ว ในผ้ากาสาวะ ท. อันอันพระปัจเจกพุทธเจ้า
รูปหนึ่ง ผู้ลงแล้ว สู่สระอันเกิดแล้ว อาบอยู่ ตั้งไว้แล้ว ที่ฝั่ง หนา
ซึ่งจีวร ถือเอาแล้ว ซึ่งหอก ย่อมนั่งคลุม (ซึ่งอวัยวะ) อันเป็นไปกับ
ด้วยศีรษะ ใกล้หนทางเป็นที่ไปและเป็นที่มา แห่งช้าง ท. เหล่านั้น ฯ
อ. ช้าง ท. เห็นแล้ว ซึ่งบุคคลนั้น จบแล้ว ด้วยความส�ำคัญ
ว่า อ. พระปัจเจกพุทธเจ้า ดังนี้ ย่อมหลีกไป ฯ
อ. พรานนั้น ประหารแล้ว (ซึ่งช้าง) ตัวไปอยู่ ข้างหลังแห่งช้าง
ทั้งปวง แห่งช้าง ท. เหล่านั้น ด้วยหอก (ยังช้างนั้น) ให้ตายแล้ว
ถือเอาแล้ว (ซึ่งอวัยวะ ท.) มีงาเป็นต้น ฝังแล้ว ซึ่งอวัยวะอันเหลือ
ในแผ่นดิน ย่อมไป ฯ
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก อ. พระโพธิสัตว์ ถือเอาแล้ว ซึ่งปฏิสนธิ
ในก�ำเนิดแห่งช้าง เป็นช้างตัวเจริญที่สุด เป็นเจ้าแห่งโขลง
ได้เป็นแล้ว ฯ
แม้ในกาลนั้น อ. พรานนั้น ย่อมกระท�ำ อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ
อ. พระมหาบุรุษ ทราบแล้ว ซึ่งความเสื่อมรอบ แห่งบริษัท
ของตน ถามแล้ว ว่า อ. ช้าง ท. เหล่านี้ไปแล้ว ในที่ไหน เป็นสัตว์น้อย
เกิดแล้ว ดังนี้,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 73
“น ชานาม สามีติ วุตฺเต, “กุหึ คจฺฉนฺตา มํ
อนาปุจฺฉา น คมิสฺสนฺติ, ปริปนฺเถน ภวิตพฺพนฺติ
จินฺเตตฺวา “เอกสฺมึ €าเน กาสาวํ ปารุปิตฺวา
นิสินฺนสฺส สนฺติกา ปริปนฺเถน ภวิตพฺพนฺติ
ปริสงฺกิตฺวา ตํ ปริคฺคณฺหิตุํ สพฺเพ หตฺถี ปุรโต
เปเสตฺวา สยํ ปจฺฉโต วิลมฺพมาโน อาคจฺฉติ.
โส เสสหตฺถีสุ วนฺทิตฺวา คเตสุ, มหาปุริสํ อาคจฺฉนฺตํ
ทิสฺวา จีวรํ สํหริตฺวา สตฺตึ วิสฺสชฺชิ.
มหาปุริโส สตึ อุปฏฺ€เปตฺวา อาคจฺฉนฺโต
ปจฺฉโต ปฏิกฺกมิตฺวา สตฺตึ วฺเจสิ.
อถ นํ “อิมินา เม หตฺถี นาสิตาติ คณฺหิตุํ
ปกฺขนฺทิ.
อิตโร เอกํ รุกฺขํ ปุรโต กตฺวา นิลียิ.
อถ นํ รุกฺเขน สทฺธึ โสณฺฑาย ปริกฺขิปิตฺวา
“คเหตฺวา ภูมิยํ โปเถสฺสามีติ เตน นีหริตฺวา ทสฺสิตํ
กาสาวํ ทิสฺวา “สจาหํ อิมสฺมึ ทุสฺสิสฺสามิ,
อเนกสหสฺเสสุ เม พุทฺธปฺปจฺเจกพุทฺธขีณาสเวสุ
ลชฺชา นาม ภินฺนา ภวิสฺสตีติ อธิวาเสตฺวา
“ตยา เม เอตฺตกา าตกา นาสิตาติ ปุจฺฉิ.
“อาม สามีติ.
“กสฺมา เอวํ ภาริยํ กมฺมํ อกาสิ? อตฺตโน
อนนุจฺฉวิกํ วีตราคานํ อนุจฺฉวิกํ วตฺถํ ปริทหิตฺวา
เอวรูปํ ปาปกมฺมํ กโรนฺเตน ภาริยํ ตยา กตนฺติ.
เอวฺจ ปน วตฺวา อุตฺตรึปิ นิคฺคณฺหนฺโต
“อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน, น โส กาสาวมรหติ,
โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน, ส เว กาสาวมรหตีติ
คาถํ วตฺวา “อยุตฺตนฺเต กตนฺติ วตฺวา ตํ วิสฺสชฺเชสิ.
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่นาย อ. เรา ท. ย่อมไม่รู้ ดังนี้(อันช้าง ท.)
กล่าวแล้ว, คิดแล้ว ว่า (อ. ช้าง ท.) เมื่อไป ในที่ไหน ไม่อ�ำลาแล้ว
ซึ่งเรา จักไม่ไป, อันอันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบ พึงมี ดังนี้
ระแวงแล้ว ว่า อันอันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบ พึงมี
จากส�ำนัก ของบุรุษ ผู้นั่งคลุมแล้ว ซึ่งผ้ากาสาวะ ในที่แห่งหนึ่ง
ดังนี้ส่งไปแล้ว ซึ่งช้าง ท. ทั้งปวง ข้างหน้า ย่อมมาล้าอยู่ ข้างหลัง
เอง เพื่ออันก�ำหนดจับ ซึ่งบุรุษนั้น ฯ
อ.พรานนั้นครั้นเมื่อช้างตัวเหลือท.จบแล้วไปแล้ว, เห็นแล้ว
ซึ่งพระมหาบุรุษ ผู้มาอยู่ ม้วนแล้ว ซึ่งจีวร ปล่อยไปแล้วซึ่งหอกฯ
อ. พระมหาบุรุษ เข้าไปตั้งไว้แล้ว ซึ่งสติ มาอยู่ ก้าวกลับแล้ว
ข้างหลัง ลวงแล้ว ซึ่งหอก ฯ
ครั้งนั้น (อ.พระมหาบุรุษ)แล่นไปแล้วเพื่ออันจับซึ่งพรานนั้น
(ด้วยความส�ำคัญ)ว่าอ.ช้างท.ของเรา อันบุรุษนี้ให้ฉิบหายแล้ว
ดังนี้ฯ
อ.พรานนอกนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งต้นไม้ ต้นหนึ่ง ข้างหน้า
แอบแล้ว ฯ
ครั้งนั้น อ. พระมหาบุรุษ รวบรัดแล้ว ซึ่งพรานนั้น กับ ด้วยต้นไม้
ด้วยงวง (คิดแล้ว) ว่า (อ. เรา) จับแล้ว จักฟาด บนภาคพื้น ดังนี้
เห็นแล้ว ซึ่งผ้ากาสาวะ อันอันพรานนั้น น�ำออกแล้ว แสดงแล้ว
(ยังความโกรธ) ให้อยู่ทับแล้ว (ด้วยความคิด) ว่า ถ้าว่า อ. เรา
จักประทุษร้าย ในบุรุษนี้ไซร้, ชื่อ อ. ความละอาย ในพระพุทธเจ้า
และพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพ ท. มีพันมิใช่หนึ่ง
เป็นกิริยาอันเราท�ำลายแล้ว จักเป็น ดังนี้ ถามแล้ว ว่า อ. ญาติ ท.
มีประมาณเท่านี้ของเรา อันเจ้า ให้ฉิบหายแล้วหรือ ดังนี้ฯ
(อ. พราน กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย เออ (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ
(อ.พระมหาบุรุษกล่าวแล้ว)ว่าอ.เจ้าได้กระท�ำแล้วซึ่งกรรม
อันหนัก อย่างนี้ เพราะเหตุอะไร ? อ. กรรมอันหนัก อันเจ้า
ผู้เมื่อนุ่งห่มแล้ว ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน อันสมควร (แก่ชน ท.)
ผู้มีราคะไปปราศแล้วกระท�ำ ซึ่งกรรมอันลามก อันมีอย่างนี้เป็นรูป
กระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ
ก็แล (อ.พระมหาบุรุษ)ครั้นกล่าวแล้วอย่างนี้เมื่อข่มขี่ แม้ยิ่ง
กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ว่า
อ. บุคคลใด ผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันไม่ออกแล้ว
ผู้ไปปราศแล้ว จากทมะและสัจจะ จักนุ่งห่ม ซึ่งผ้ากาสาวะ,
อ. บุคคลนั้น ย่อมไม่ควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ,
ส่วนว่า อ. บุคคลใด เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันคายแล้ว
เป็นผู้ตั้งมั่นดีแล้ว ในศีล ท. เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ด้วย ทมะและสัจจะ
พึงเป็น, อ.บุคคลนั้นแล ย่อมควร (เพื่ออันนุ่งห่ม)
ซึ่งผ้ากาสาวะ ดังนี้
กล่าวแล้ว ว่า อ. กรรมอันไม่ควรแล้ว อันเจ้ากระท�ำแล้ว ดังนี้
ปล่อยแล้ว ซึ่งพรานนั้น (ดังนี้) ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
74
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา “ตทา
หตฺถิมารโก เทวทตฺโต อโหสิ, ตสฺส นิคฺคหโก หตฺถิ
นาโค อหเมวาติ ชาตกํ สโมธาเนตฺวา “น โข ภิกฺขุ
อิทาเนว, ปุพฺเพปิ เทวทตฺโต อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ วตฺถํ
ธาเรสิเยวาติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
“อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน, น โส กาสาวมรหติ,
โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน, ส เว กาสาวมรหตีติ.
ฉทฺทนฺตชาตเกนาปิ อยมตฺโถ ทีเปตพฺโพติ.
ตตฺถ “อนิกฺกสาโวติ: กามราคาทีหิ กสาเวหิ
สกสาโว.
ปริทเหสฺสตีติ: นิวาสนปารุปนตฺถรณวเสน
ปริภุฺชิสฺสติ. “ปริทหิสฺสตีติปิ ปาโ€.
อเปโต ทมสจฺเจนาติ: อินฺทฺริยทมเนน เจว
ปรมตฺถสจฺจปกฺขิเกน จ วจีสจฺเจน อเปโต.
“วิยุตฺโตติ อตฺโถ.
น โสติ: โส เอวรูโป ปุคฺคโล กาสาวํ ปริทหิตุํ
นารหติ.
วนฺตกสาวสฺสาติ: จตูหิ มคฺเคหิ วนฺตกสาโว
ฉฑฺฑิตกสาโว ปหีนกสาโว อสฺส.
สีเลสูติ: จตูสุ ปาริสุทฺธิสีเลสุ.
สุสมาหิโตติ: สุฏฺ€ุ สมาหิโต สุฏฺ€ุ €ิโต.
อุเปโตติ: อินฺทฺริยทมเนน เจว วุตฺตปฺปกาเรน
จ วจีสจฺเจน อุเปโต.
ส เวติ: โส เอวรูโป ปุคฺคโล ตํ กาสาววตฺถํ
อรหตีติ.
คาถาปริโยสาเน โส ทิสาวาสิโก ภิกฺขุโสตาปนฺโน
ชาโต. อฺเปิ พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณึสุ.
เทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสีติ.
เทวทตฺตวตฺถุ.
อ. พระศาสดา ครั้นทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้
ทรงยังชาดก ให้ตั้งลงพร้อมแล้วว่า อ. บุคคลผู้ยังช้างให้ตาย
ในกาลนั้น เป็นเทวทัต ได้เป็นแล้ว (ในกาลนี้), อ. ช้างตัวประเสริฐ
ตัวข่มขี่ ซึ่งบุคคลผู้ยังช้างให้ตายนั้น (ในกาลนั้น) เป็นเรานั่นเทียว
(ได้เป็นแล้ว ในกาลนี้) ดังนี้ ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ (อ. เทวทัต
ย่อมทรงไว้ ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน) ในกาลนี้นั่นเทียว หามิได้แล,
อ.เทวทัต ทรงไว้แล้ว ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตนนั่นเทียว
แม้ในกาลก่อน ดังนี้ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า
อ. บุคคลใด ผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันไม่ออกแล้ว
ผู้ไปปราศแล้ว จากทมะและสัจจะ จักนุ่งห่ม ซึ่งผ้ากาสาวะ,
อ. บุคคลนั้น ย่อมไม่ควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ,
ส่วนว่า อ. บุคคลใด เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันคายแล้ว
เป็นผู้ตั้งมั่นดีแล้ว ในศีล ท. เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ด้วยทมะและสัจจะ
พึงเป็น, อ.บุคคลนั้นแล ย่อมควร (เพื่ออันนุ่งห่ม)
ซึ่งผ้ากาสาวะ ดังนี้ ฯ
อ. เนื้อความนี้ (อันบัณฑิต) พึงแสดง แม้ด้วยฉัททันตชาดก
ดังนี้แล ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ชื่อว่าผู้เป็นไปกับด้วยกิเลสเพียงดังน�้ำฝาด
เพราะกิเลสเพียงดังน�้ำฝาด ท. มีกามราคะเป็นต้น (ดังนี้) ในบท ท.
เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า อนิกฺกสาโว ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า
จักใช้สอย ด้วยอ�ำนาจแห่งการนุ่งและการห่มและการลาด (ดังนี้ แห่งบท)
ว่า ปริทเหสฺสติ ดังนี้ฯ อ.พระบาลี ว่า ปริทหิสฺสติ ดังนี้บ้าง ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ผู้ไปปราศแล้ว, อ.อธิบาย ว่า ผู้พรากแล้ว ดังนี้
จากการฝึกซึ่งอินทรีย์ด้วยนั่นเทียว (จากวจีสัจจะ) อันมีในฝ่าย
แห่งปรมัตถสัจจะด้วย (ดังนี้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า
อเปโต ทมสจฺเจน ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.บุคคลนั้น คือว่า
ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมไม่ควร เพื่ออันนุ่งห่ม ซึ่งผ้ากาสาวะ
(ดังนี้แห่งบท) ว่า น โส ดังนี้เป็นต้น ฯ
(อ.อรรถ) ว่า เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันคายแล้ว คือว่า
เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันทิ้งแล้ว คือว่า เป็นผู้มีกิเลสเพียง
ดังน�้ำฝาดอันละได้แล้ว ด้วยมรรค ท. ๔ พึงเป็น (ดังนี้แห่งบท) ว่า
วนฺตกสาวสฺส ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ในปาริสุทธิศีล ท. ๔
(ดังนี้แห่งบท) ว่า สีเลสุ ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า เป็นผู้ตั้งมั่นแล้ว
ด้วยดี คือว่า เป็นผู้ด�ำรงอยู่แล้ว ด้วยดี (ดังนี้ แห่งบท) ว่า
สุสมาหิโต ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ด้วยการฝึก
ซึ่งอินทรีย์ด้วยนั่นเทียว ด้วยวจีสัจจะ มีประการอันข้าพเจ้า กล่าวแล้ว
ด้วย(ดังนี้แห่งบท) ว่า อุเปโต ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.บุคคลนั้น
คือว่า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ
นั้น ดังนี้(แห่งบท) ว่า ส เว ดังนี้เป็นต้น ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุ ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ
นั้น เป็นพระโสดาบัน เกิดแล้ว ฯ อ. ชน ท. มาก แม้เหล่าอื่น
บรรลุแล้ว (ซึ่งอริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ฯ อ. เทศนา
เป็นเทศนา เป็นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แก่มหาชน
ดังนี้แล ฯ
อ.เรื่องแห่งพระเทวทัต (จบแล้ว) ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 75
๘. สญฺชยวตฺถุ. (๘)
“อสาเร สารมติโนติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
เวฬุวเน วิหรนฺโต ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ นิเวทิตํ
สฺชยสฺส อนาคมนํ อารพฺภ กเถสิ.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา: อมฺหากํ หิ สตฺถา อิโต
กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขยฺยานํ มตฺถเก
อมรวตีนคเร สุเมโธ นาม พฺราหฺมณกุมาโร หุตฺวา
สพฺพสิปฺปานํ นิปฺผตฺตึ ปตฺโต มาตาปิตูนํ อจฺจเยน
อเนกโกฏิสงฺขฺยํ ธนํ ปริจฺจชิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ
ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺเต วสนฺโต ฌานาภิฺาโย
นิพฺพตฺเตตฺวา อากาเสน คจฺฉนฺโต ทีปงฺกรทสพลสฺส
สุทสฺสนวิหารโต อมรวตีนครํ ปวิสนตฺถาย มคฺคํ
โสธิยมานํ ทิสฺวา สยํปิ เอกํ ปเทสํ คเหตฺวา, ตสฺมึ
อนิฏฺ€ิเตเยว อาคตสฺส สตฺถุโน อตฺตานํ เสตุํ กตฺวา
อชินิจมฺมํ กลเล อตฺถริตฺวา “สตฺถา สสาวกสงฺโฆ
กลลํ อนกฺกมิตฺวา มํ อกฺกมนฺโต คจฺฉตูติ นิปนฺโน,
สตฺถารา ทิสฺวาว “พุทฺธงฺกุโร เอส อนาคเต กปฺปสต-
สหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขยฺยานํ ปริโยสาเน
โคตโม นาม พุทฺโธ ภวิสฺสตีติ พฺยากโต,
๘.อ. เรื่องแห่งปริพาชกชื่อว่าสญชัย
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภ
ซึ่งการไม่มาแห่งปริพาชกชื่อว่าสญชัย อันอันพระอัครสาวก ท.
สอง กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า
อสาเร สารมติโน ดังนี้เป็นต้น ฯ
อ.วาจาเป็นเครื่องกล่าวโดยล�ำดับ ในเรื่องนั้น นี้ :
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. พระศาสดา ของเรา ท. เป็นกุมารของ
พราหมณ์ ชื่อว่าสุเมธ ในเมืองชื่อว่าอมรวดี ในที่สุด แห่งอสงไขย ท.
๔ อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป
์ แต่ภัททกัปป
์ นี้เป็น ถึงแล้ว ซึ่งความส�ำเร็จ
แห่งศิลปะทั้งปวง ท. บริจาคแล้ว ซึ่งทรัพย์ อันบุคคลพึงนับพร้อม
ด้วยโกฏิมิใช่หนึ่ง โดยอันล่วงไป แห่งมารดาและบิดา ท. บวชแล้ว
บวชโดยความเป็นฤาษี อยู่อยู่ ในป่าหิมพานต์ ยังฌานและอภิญญา
ท. ให้บังเกิดแล้ว ไปอยู่ โดยอากาศ เห็นแล้ว ซึ่งหนทาง
อันอันบุคคลช�ำระอยู่ เพื่อประโยชน์แก่การเสด็จเข้าไป สู่เมือง
ชื่อว่าอมรวดี จากวิหารชื่อว่าสุทัศน์ แห่งพระทศพลพระนามว่า
ทีปังกร ถือเอาแล้ว ซึ่งประเทศ แห่งหนึ่ง แม้เอง, ครั้นเมื่อ
ประเทศนั้น ไม่ส�ำเร็จแล้วนั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งตน ให้เป็นสะพาน
เพื่อพระศาสดา ผู้เสด็จมาแล้ว ลาดแล้ว ซึ่งแผ่นหนังของเสือเหลือง
บนเปือกตม นอนแล้ว ด้วยความประสงค์ ว่า
อ.พระศาสดาผู้เป็นไปกับด้วยหมู่แห่งพระสาวก ไม่ทรงเหยียบแล้ว
ซึ่งเปือกตม ขอจงทรงเหยียบอยู่ ซึ่งเรา เสด็จไป ดังนี้,
ผู้อันพระศาสดา ทรงเห็นแล้วเทียว ทรงพยากรณ์แล้ว ว่า
อ.บุรุษนั่น ผู้เป็นหน่อเนื้อของพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า
พระนามว่าโคดม จักเป็น ในกาลเป็นที่สุดลงรอบ แห่งอสงไขย ท.
สี่ อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป
์ ในกาลอันไม่มาแล้ว ดังนี้,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
76
ตสฺส สตฺถุโน อปรภาเค “โกณฺฑฺโ สุมงฺคโล
สุมโน เรวโต โสภิโต อโนมทสฺสี ปทุโม นารโท
ปทุมุตฺตโร สุเมโธ สุชาโต ปิยทสฺสี อตฺถทสฺสี
ธมฺมทสฺสี สิทฺธตฺโถ ติสฺโส ปุสฺโส วิปสฺสี สิขี
เวสฺสภู กกุสนฺโธ โกนาคมโน กสฺสโป จาติ โลกํ
โอภาเสตฺวา อุปฺปนฺนานํ อิเมสํปิ เตวีสติยา พุทฺธานํ
สนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ “ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย
ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมตึสปารมิโย ปูเรตฺวา
เวสฺสนฺตรตฺตภาเว €ิโต สตฺตกฺขตฺตุํ ป€วีกมฺปนานิ
มหาทานานิ ทตฺวา ปุตฺตทารํ ปริจฺจชิตฺวา
อายุปริโยสาเน ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ
ยาวตายุกํ €ตฺวา, ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ
สนฺนิปติตฺวา
“กาโลยนฺเต มหาวีร, อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ,
สเทวกํ ตารยนฺโต พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปทนฺติ
วุตฺเต, ปฺจ มหาวิโลกนานิ วิโลเกตฺวา ตโต จุโต
สกฺยราชกุเล ปฏิสนฺธึ คเหตฺวา ตตฺถ มหาสมฺปตฺติยา
ปริจาริยมาโน อนุกฺกเมน ภทฺรโยพฺพนํ ปตฺวา
ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเกสุ ตีสุ ปาสาเทสุ เทวโลกสิรึ
วิย รชฺชสิรึ อนุภวนฺโต อุยฺยานกีฬาย คมนสมเย
อนุกฺกเมน ชิณฺณพฺยาธิมตสงฺขาเต ตโย เทวทูเต
ทิสฺวา
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก แห่งพระศาสดา พระองค์นั้น
ผู้มีพยากรณ์อันได้แล้ว ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า ท. ๒๓ พระองค์
แม้เหล่านี้ผู้เสด็จอุบัติยังโลกให้สว่างแล้ว คือ อ. พระโกณฑัญญะด้วย
อ. พระสุมังคละด้วย อ. พระสุมนะด้วย อ. พระเรวตะด้วย
อ. พระโสภิตะด้วย อ. พระอโนมทัสสีด้วย อ. พระปทุมะด้วย
อ. พระนารทะด้วย อ. พระปทุมุตตระด้วย อ. พระสุเมธะด้วย
อ. พระสุชาตะด้วย อ. พระปิยทัสสีด้วย อ. พระอัตถทัสสีด้วย
อ. พระธรรมทัสสีด้วย อ. พระสิทธัตถะด้วย อ. พระติสสะด้วย
อ.พระปุสสะด้วย อ.พระวิปัสสีด้วย อ.พระสิขีด้วย
อ.พระเวสสภูด้วย อ.พระกกุสันธะด้วย อ.พระโกนาคมนะด้วย
อ. พระกัสสปะด้วย ทรงยังบารมี ๓๐ อันเสมอ ท. คือ อ. บารมี ท.
๑๐ อ. อุปบารมี ท. ๑๐ อ. ปรมัตถบารมี ท. ๑๐ ให้เต็มแล้ว
ด�ำรงอยู่แล้ว ในอัตภาพแห่งพระเวสสันดร ทรงถวายแล้ว ซึ่งทาน
อันใหญ่ ท. อันเป็นเหตุหวั่นไหวแห่งแผ่นดิน เจ็ดครั้ง ทรงบริจาคแล้ว
ซึ่งพระโอรสและพระชายา ทรงบังเกิดแล้ว ในบุรีชื่อว่าดุสิต
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งอายุ ทรงด�ำรงอยู่แล้ว สิ้นกาลก�ำหนด
เพียงใดแห่งอายุ ในบุรีชื่อว่าดุสิตนั้น, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า
ข้าแต่พระมหาวีระ อ. กาลนี้ เป็นกาล ของพระองค์
(ย่อมเป็น), (อ. พระองค์) เสด็จอุบัติแล้ว ในพระครรภ์
ของพระมารดา (ทรงยังโลก) อันเป็นไปกับด้วยเทวโลก
ให้ข้ามอยู่ ขอจงตรัสรู้ ซึ่งความไม่ประมาทเป็นเครื่องถึง
ซึ่งอมตะ ดังนี้
อันเทวดาในจักรวาลหมื่นหนึ่ง ท. ประชุมกันแล้ว กราบทูลแล้ว,
ทรงเลือกแล้ว ซึ่งฐานะอันบุคคลพึงเลือกใหญ่ ท. ห้า ทรงเคลื่อนแล้ว
จากบุรีชื่อว่าดุสิตนั้น ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งปฏิสนธิ ในราชตระกูล
แห่งเจ้าศากยะ ผู้ (อันพระญาติ ท.) ทรงบ�ำเรออยู่ ด้วยสมบัติใหญ่
ในราชตระกูลนั้น ทรงถึงแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งหนุ่มอันเจริญ
ตามล�ำดับ ทรงเสวยอยู่ ซึ่งสิริในความเป็นแห่งพระราชา
อันราวกะว่าสิริในเทวโลกในปราสาท ท. ๓ อันสมควร แก่ฤดูท. ๓
ทรงเห็นแล้วซึ่งเทวทูตท.๓ อันบัณฑิตนับพร้อมแล้วว่าชนผู้แก่แล้ว
และชนผู้เจ็บและชนผู้ตายแล้ว ตามล�ำดับ ในสมัยเป็นที่เสด็จไป
เพื่อทรงกรีฑาในพระอุทยาน
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 77
สฺชาตสํเวโค นิวตฺติตฺวา จตุตฺถวาเร ปพฺพชิตํ
ทิสฺวา “สาธุปพฺพชฺชาติ ปพฺพชฺชาย รุจึ อุปฺปาเทตฺวา
อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตตฺถ ทิวสํ เขเปตฺวา มงฺคล-
โปกฺขรณีตีเร นิสินฺโน กปฺปกเวสํ คเหตฺวา อาคเตน
วิสฺสุกมฺมุนา เทวปุตฺเตน อลงฺกตปฏิยตฺโต
ราหุลกุมารสฺส ชาตสาสนํ สุตฺวา ปุตฺตสิเนหสฺส
พลวภาวํ ตฺวา “ยาว อิทํ พนฺธนํ น พนฺธติ,
ตาวเทว ฉินฺทิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา สายํ นครํ ปวิสนฺโต
“นิพฺพุตา นูน สา มาตา, นิพฺพุโต นูน โส ปิตา,
นิพฺพุตา นูน สา นารี, ยสฺสายํ อีทิโส ปตีติ
กิสาโคตมิยา นาม ปิตุจฺฉาธีตาย ภาสิตํ อิมํ
คาถํ สุตฺวา “อหํ อิมาย นิพฺพุตปทํ สาวิโตติ
คีวโต มุตฺตาหารํ โอมุฺจิตฺวา ตสฺสา เปเสตฺวา
อตฺตโน ภวนํ ปวิสิตฺวา สิริสยเน นิสินฺโน,
นิทฺทูปคตานํ นาฏกิตฺถีนํ วิปฺปการํ ทิสฺวา
นิพฺพินฺนหทโย ฉนฺนํ อุฏฺ€าเปตฺวา กนฺถกํ
อาหราเปตฺวา กนฺถกํ อารุยฺห ฉนฺนสหาโย
ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ ปริวุโต มหาภินิกฺขมนํ
นิกฺขมิตฺวา อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตฺวา อนุกฺกเมน
ราชคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ ปิณฺฑาย จริตฺวา
ปณฺฑวปพฺพตปพฺภาเร นิสินฺโน มคธรฺา รชฺเชน
นิมนฺติยมาโน ตํ ปฏิกฺขิปิตฺวา สพฺพฺุตํ ปตฺวา
อตฺตโน วิชิตํ อาคมนตฺถาย เตน คหิตปฏิฺโ
อาฬารฺจ อุทฺทกฺจ อุปสงฺกมิตฺวา เตสํ สนฺติเก
อธิคตวิเสสํ อนลงฺกริตฺวา ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ
ปทหิตฺวา วิสาขปุณฺณมีทิวเส ปาโตว สุชาตาย
ทินฺนํ ปายาสํ ปริภุฺชิตฺวา
ผู้มีความสังเวชอันเกิดพร้อมแล้ว เสด็จกลับแล้ว ทรงเห็นแล้ว
ซึ่งบรรพชิต ในวาระที่ ๔ ทรงยังความพอใจ ในการบวช ว่า
อ. การบวช เป็นคุณชาติยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จ (ย่อมเป็น) ดังนี้
ให้เกิดขึ้นแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่พระอุทยาน ทรงยังวันให้สิ้นไปแล้ว
ในพระอุทยานนั้น ประทับนั่งแล้ว ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณีอันเป็นมงคล
ผู้ อันเทพบุตร ชื่อว่าวิษณุกรรม ผู้ถือเอาแล้ว ซึ่งเพศแห่งช่างกัลบก
มาแล้ว กระท�ำให้พอแล้วและตกแต่งแล้ว ทรงสดับแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น
แห่งพระกุมารพระนามว่าราหุลประสูติแล้ว ทรงทราบแล้ว
ซึ่งความที่แห่งความรักในพระโอรสเป็นสภาพมีก�ำลัง ทรงด�ำริแล้ว
ว่า อ. วัตถุเป็นเครื่องผูกนี้ จะไม่ผูก เพียงใด, (อ. เรา) จักตัด
(ซึ่งวัตถุเป็นเครื่องผูกนี้) เพียงนั้นนั่นเทียว ดังนี้ เสด็จเข้าไปอยู่
สู่เมือง ในเวลาเย็น ทรงสดับแล้ว ซึ่งคาถานี้ อันอันพระธิดา
ของพระเจ้าอา พระนามว่ากิสาโคตมี ตรัสแล้ว ว่า
(อ. พระสิทธัตถะนี้ ผู้เช่นนี้ เป็นพระโอรส ของพระมารดาใด
ย่อมเป็น) อ.พระมารดานั้น ทรงดับแล้ว แน่, (อ. พระสิทธัตถะ
นี้ ผู้เช่นนี้ เป็นพระโอรส ของพระบิดาใด ย่อมเป็น)
อ. พระบิดานั้น ทรงดับแล้ว แน่, อ. พระสิทธัตถะนี้ ผู้เช่นนี้
เป็นพระสวามี ของพระนางใด (ย่อมเป็น) อ. พระนางนั้น
ทรงดับแล้ว แน่ ดังนี้
(ทรงด�ำริแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นผู้อันพระนางกิสาโคตมีนี้
ให้ฟังแล้ว ซึ่งบทว่าทุกข์ดับแล้ว (ย่อมเป็น) ดังนี้ ทรงเปลื้องแล้ว
ซึ่งแก้วมุกดาหาร จากพระศอ ทรงส่งไปแล้ว แก่พระนางกิสาโคตมี
นั้น เสด็จเข้าไปแล้ว สู่ภพ ของพระองค์ ประทับนั่งแล้ว บนที่เป็นที่-
บรรทมอันเป็นสิริ, ทรงเห็นแล้ว ซึ่งประการอันแปลก ของหญิงนักฟ
้ อน
ท. ผู้เข้าถึงแล้วซึ่งความหลับ ผู้มีพระทัยอันเบื่อหน่ายแล้ว
ทรงยังนายฉันนะ ให้ลุกขึ้นแล้ว ทรงให้น�ำมาแล้ว ซึ่งม้าชื่อว่ากันถกะ
เสด็จขึ้นแล้ว สู่ม้าชื่อว่ากันถกะ ผู้มีนายฉันนะเป็นสหาย
ผู้อันเทวดาในจักรวาฬหมื่นหนึ่ง ท. แวดล้อมแล้ว เสด็จออกไปแล้ว
เสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ ผนวชแล้ว ที่ฝั่งแห่งแม่น�ำ้ชื่อว่าอโนมา
เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ โดยล�ำดับ เสด็จเที่ยวไปแล้ว
ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์นั้น เพื่อก้อนข้าว ประทับนั่งแล้ว ที่เงื้อม
แห่งภูเขาชื่อว่าปัณฑวะ ผู้อันพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น
ชื่อว่ามคธทรงเชื้อเชิญอยู่ ด้วยความเป็นแห่งพระราชา ทรงห้ามแล้ว
ซึ่งความเป็นแห่งพระราชานั้น ผู้มีปฏิญญาอันพระราชานั้น
ทรงรับแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การ บรรลุแล้ว ซึ่งความเป็น-
แห่งพระสัพพัญญู เสด็จมา สู่แว่นแคว้น ของพระองค์
เสด็จเข้าไปหาแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าอาฬาระด้วย ซึ่งดาบส
ชื่อว่าอุทกะด้วย ไม่ทรงกระท�ำให้พอแล้ว ซึ่งคุณวิเศษอันพระองค์
ทรงถึงทับแล้ว ในส�ำนัก ของดาบส ท. เหล่านั้น ทรงเริ่มตั้งแล้ว
ซึ่งความเพียรใหญ่ สิ้นปีหก ท. เสวยแล้ว ซึ่งข้าวปายาส
อันอันนางสุชาดาถวายแล้ว ในเวลาเช้าเทียว ในวันคือดิถี
มีพระจันทร์อันเต็มแล้วด้วยวิสาขฤกษ์
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
78
เนรฺชราย นทิยา สุวณฺณปาตึ ปวาเหตฺวา เนรฺชราย
นทิยา ตีเร มหาวนสณฺเฑ นานาสมาปตฺตีหิ ทิวสภาคํ
วีตินาเมตฺวา สายณฺหสมเย โสตฺถิเยน ทินฺนํ ติณํ
คเหตฺวา กาเฬน นาคราเชน อภิตฺถุตคุโณ โพธิมณฺฑํ
อารุยฺห ติณานิ สนฺถริตฺวา “น ตาวิมํ ปลฺลงฺกํ
ภินฺทิสฺสามิ, ยาว เม อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ
น วิมุจฺจิสฺสตีติ ปฏิฺํ กตฺวา ปุรตฺถาภิมุโข
นิสีทิตฺวา, สุริเย อนตฺถงฺคมิเตเยว, มารพลํ วิธมิตฺวา
ป€มยาเม ปุพฺเพนิวาสาณํ มชฺฌิมยาเม
จุตูปปาตาณํ ปตฺวา ปจฺฉิมยามาวสาเน ปจฺจยากาเร
าณํ โอตาเรตฺวา อรุณุคฺคมเน ทสพลจตุเวสารชฺชาทิ-
สพฺพคุณปฏิมณฺฑิตํ สพฺพฺุตาณํ ปฏิวิชฺฌิตฺวา
สตฺตสตฺตาหํ โพธิมณฺเฑ วีตินาเมตฺวา อฏฺ€เม
สตฺตาเห อชปาลนิโคฺรธมูเล นิสินฺโน ธมฺมคมฺภีรตา-
ปจฺจเวกฺขเณน อปฺโปสฺสุกฺกตํ อาปชฺชมาโน ทสสหสฺส-
มหาพฺรหฺมปริวาเรน สหมฺปติพฺรหฺมุนา อายาจิต-
ธมฺมเทสโน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โอโลเกตฺวา พฺรหฺมุโน
อชฺเฌสนํ อธิวาเสตฺวา “กสฺส นุ โข อหํ ป€มํ ธมฺมํ
เทเสยฺยนฺติ โอโลเกนฺโต อาฬารุทฺทกานํ กาลกตภาวํ
ตฺวา ปฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ พหุปการตํ อนุสฺสริตฺวา
อุฏฺ€ายาสนา กาสีปุรํ คจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค
อุปเกน อาชีวเกน สทฺธึ มนฺเตตฺวา อาสาฬฺหปุณฺณมี-
ทิวเส อิสิปตเน มิคทาเย ปฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ
วสนฏฺ€านํ ปตฺวา เต อนนุจฺฉวิเกน สมุทาจาเรน
สมุทาจรนฺเต สฺาเปตฺวา อฺาโกณฺฑฺปฺปมุเข
อฏฺ€ารสพฺรหฺมโกฏิโย อมตปานํ ปาเยนฺโต
ทรงลอยแล้ว ซึ่งถาดอันเป็นวิการแห่งทอง ในแม่น�ำ้ ชื่อว่าเนรัญชรา
ทรงยังส่วนแห่งวัน ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว ด้วยสมาบัติต่าง ๆ ท.
ในชัฏแห่งป่าใหญ่ ที่ฝั่ง แห่งแม่น�ำ้ ชื่อว่าเนรัญชรา ทรงรับแล้ว
ซึ่งหญ้า อันอันพราหมณ์ชื่อว่าโสตถิยะถวายแล้ว ในสมัยเป็นที่
สิ้นไปแห่งวัน ผู้มีพระคุณอันอันนาคผู้ราชาชื่อว่ากาฬะชมเชยแล้ว
เสด็จขึ้นแล้วสู่ควงแห่งไม้โพธิ์ ทรงลาดแล้วซึ่งหญ้าท.ทรงกระท�ำแล้ว
ซึ่งการปฏิญญา ว่า อ. จิต ของเรา จักไม่พ้นวิเศษ จากอาสวะ ท.
เพราะอันไม่เข้าไปยึดมั่น เพียงใด (อ. เรา) จักไม่ท�ำลาย ซึ่งบัลลังก์
นี้ เพียงนั้น ดังนี้ ผู้มีพระพักตร์เฉพาะต่อทิศอันตั้งอยู่ในเบื้องหน้า
ประทับนั่งแล้ว, ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ เป็นสภาพถึงแล้วซึ่งอันตั้งอยู่
ไม่ได้นั่นเทียว (มีอยู่), ทรงก�ำจัดแล้ว ซึ่งมารและพลของมาร
ทรงบรรลุแล้ว ซึ่งปุพเพนิวาสญาณ ในปฐมยาม ซึ่งจุตูปปาตญาณ
ในมัชฌิมยาม ทรงยังญาณ ให้ข้ามลงแล้ว ในปัจจยาการ
ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งปัจฉิมยาม ทรงรู้ตลอดแล้ว
ซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยคุณทั้งปวง
มีทศพลญาณและเวสารัชชญาน ๔ เป็นต้น ในกาลเป็นที่ขึ้นไป
แห่งอรุณ ทรงยังสัปดาห์เจ็ด ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว ที่ควง
แห่งไม้โพธิ์ ประทับนั่งแล้ว ที่โคนแห่งต้นอชปาลนิโครธ
ในสัปดาห์ ที่แปด ทรงถึงทั่วอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งบุคคลผู้มี
ความขวนขวายน้อย ด้วยการพิจารณาซึ่งความที่แห่งธรรมเป็นสภาพลึกซึ้ง
ผู้มีการแสดงซึ่งธรรม อันพรหมชื่อว่าสหัมบดีผู้มีท้าวมหาพรหม
หมื่นหนึ่งเป็นบริวาร ทูลวิงวอนแล้ว ทรงตรวจดูแล้ว ซึ่งโลก
ด้วยจักษุของพระพุทธเจ้า ทรงยังค�ำเป็นเครื่องเชื้อเชิญ ของพรหม
ให้อยู่ทับแล้ว ทรงตรวจดูอยู่ ว่า อ. เรา พึงแสดง ซึ่งธรรม
ครั้งที่หนึ่ง แก่ใครหนอแล ดังนี้ ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่
แห่งดาบสชื่อว่าอาฬาระและดาบสชื่อว่าอุทกะ ท. เป็นผู้มีกาละ
อันกระท�ำแล้ว ทรงอนุสรณ์ถึงแล้ว ซึ่งความที่แห่งภิกษุ ท.
ผู้นับเนื่องแล้วในพวก ๕ เป็นผู้มีอุปการะมาก เสด็จลุกขึ้นแล้ว
จากอาสนะ เสด็จไปอยู่ สู่เมืองชื่อว่ากาสี ทรงสนทนาแล้ว
กับ ด้วยอาชีวก ชื่อว่าอุปกะ ในระหว่างแห่งหนทาง เสด็จถึงแล้ว
ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของภิกษุ ท. ผู้นับเนื่องแล้วในพวก ๕ ในป่าเป็นที่ให้
ซึ่งอภัยแก่เนื้อ ชื่อว่าอิสิปตนะ ในวันคือดิถีมีพระจันทร์
อันเต็มแล้วด้วยอาสาฬหฤกษ์ ทรงยังภิกษุ ท. เหล่านั้น
ผู้ประพฤติร้องเรียกอยู่ ด้วยความประพฤติร้องเรียก
อันไม่สมควร ให้รู้พร้อมแล้ว ทรงยังโกฏิแห่งพรหม ๑๘ ท.
มีพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นประมุข ให้ดื่มอยู่ ซึ่งน�้ำอันบุคคล
พึงดื่มชื่อว่าอมฤต
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 79
ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตตฺวา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก
ปฺจมิยํ ปกฺขสฺส สพฺเพปิ เต ภิกฺขู อรหตฺเต
ปติฏฺ€าเปตฺวา ตํทิวสเมว ยสสฺส กุลปุตฺตสฺส
อุปนิสฺสยสมฺปตฺตึ ทิสฺวา ตํ รตฺติภาเค นิพฺพินฺทิตฺวา
เคหํ ปหาย นิกฺขมนฺตํ “เอหิ ยสาติ ปกฺโกสิตฺวา
ตสฺมึเยว รตฺติภาเค โสตาปตฺติผลํ ปาเปตฺวา
ปุนทิวเส อรหตฺตํ ปาเปตฺวา อปเรปิ ตสฺส สหายเก
จตุปฺาสชเน เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา
อรหตฺตํ ปาเปสิ.
เอวํ โลเก เอกสฏฺ€ิยา อรหนฺเตสุ ชาเตสุ,
วุตฺถวสฺโส ปวาเรตฺวา “จรถ ภิกฺขเว จาริกนฺติ
สฏฺ€ิภิกฺขู ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ
คจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค กปฺปาสิกวนสณฺเฑ ตึสชเน
ภทฺทวคฺคิยกุมาเร วิเนสิ.
เตสุ สพฺพปจฺฉิมโก โสตาปนฺโน, สพฺพุตฺตโม
อนาคามี อโหสิ.
เตปิ สพฺเพ เอหิภิกฺขุภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา
ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ คนฺตฺวา อฑฺฒุฑฺฒานิ
ปาฏิหาริยสหสฺสานิ ทสฺเสตฺวา อุรุเวลกสฺสปาทโย
สหสฺสชฏิลปริวาเร เตภาติกชฏิเล วิเนตฺวา เอหิภิกฺขุ
ภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา คยาสีเส นิสีทาเปตฺวา
อาทิตฺตปริยายเทสนาย อรหตฺเต ปติฏฺ€าเปตฺวา
เตน อรหนฺตสหสฺเสน ปริวุโต “พิมฺพิสารรฺโ
ทินฺนํ ปฏิฺํ โมเจสฺสามีติ ราชคหนครุปจาเร
ลฏฺ€ิวนุยฺยานํ คนฺตฺวา “สตฺถา กิร อาคโตติ
สุตฺวา ทฺวาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ สทฺธึ
อาคตสฺส รฺโ มธุรธมฺมกถํ กเถนฺโต ราชานํ
เอกาทสหิ นหุเตหิ สทฺธึ โสตาปตฺติผเล
ปติฏฺ€าเปตฺวา เอกํ นหุตํ สรเณสุ ปติฏฺ€าเปตฺวา
ทรงยังจักรคือธรรม ให้เป็นไปทั่วแล้ว ผู้มีจักรคือธรรมอันประเสริฐ
อันทรงให้เป็นไปทั่วแล้ว ทรงยังภิกษุ ท. เหล่านั้น แม้ทั้งปวง
ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในพระอรหัต ในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ทรงเห็นแล้ว
ซึ่งความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัย แห่งกุลบุตร ชื่อว่ายสะ ในวันนั้น
นั่นเทียว ทรงร้องเรียกแล้ว ซึ่งยสะนั้น ผู้เบื่อหน่ายแล้ว ละแล้ว
ซึ่งเรือน ออกไปอยู่ ในส่วนแห่งราตรี (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนยสะ
(อ. ท่าน) จงมา ดังนี้ทรงยังยสะนั้น ให้บรรลุแล้ว ซึ่งโสดาปัตติผล
ในส่วนแห่งราตรี นั้นนั่นเทียว ให้บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ในวันรุ่งขึ้น
ทรงยังชน ๕๔ ท. ผู้เป็นสหาย ของพระยสะนั้น แม้เหล่าอื่นอีก
ให้บวชแล้ว ด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ให้บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ฯ
ครั้นเมื่อพระอรหันต์ ท. ๖๑ เกิดแล้ว ในโลก อย่างนี้,
(อ. พระศาสดา) ผู้มีกาลฝนอันประทับอยู่แล้ว ทรงปวารณาแล้ว
ทรงส่งไปแล้วซึ่งภิกษุ ๖๐ ท. ในทิศ ท. (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า
ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.) จงเที่ยวไป สู่ที่จาริก ดังนี้เป็นต้น
เสด็จไปอยู่ สู่ประเทศชื่อว่าอุรุเวลา เอง ทรงแนะน�ำแล้ว ซึ่งกุมาร
ผู้นับเนื่องแล้วในพวกอันเจริญ ท. ผู้เป็นชน ๓๐ ในชัฏแห่งป่าฝ
้ าย
ในระหว่างแห่งหนทาง ฯ
ในกุมาร ท. เหล่านั้นหนา (อ. กุมาร) ผู้เกิดแล้วในภายหลัง
แห่งกุมารทั้งปวง เป็นพระโสดาบัน (ได้เป็นแล้ว) , (อ. กุมาร)
ผู้สูงสุดแห่งกุมารทั้งปวง เป็นพระอนาคามี ได้เป็นแล้ว ฯ
(อ. พระศาสดา) ทรงยังกุมาร ท. ทั้งปวงแม้เหล่านั้น ให้บวชแล้ว
ด้วยความเป็นแห่งเอหิภิกขุนั่นเทียว ทรงส่งไปแล้ว ในทิศ ท.
เสด็จไปแล้ว สู่ประเทศชื่อว่าอุรุเวลา เอง ทรงแสดงแล้ว ซึ่งพัน
แห่งปาฏิหาริย์ ท. ที่ ๔ ด้วยทั้งกึ่ง ทรงแนะน�ำแล้ว ซึ่งชฎิลพี่น้องชาย
๓ คน ท. มีชฎิลพันหนึ่งเป็นบริวาร มีชฎิลชื่อว่าอุรุเวลากัสสปะ
เป็นต้น ให้บวชแล้ว ด้วยความเป็นแห่งเอหิภิกขุนั่นเทียว ให้นั่งแล้ว
ณ ประเทศชื่อว่าคยาสีสะ ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในพระอรหัต
ด้วยเทศนาคืออาทิตตปริยายสูตร ผู้อันพันแห่งพระอรหันต์ นั้น
แวดล้อมแล้ว (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า (อ. เรา) จักเปลื้อง ซึ่งปฏิญญา
อันอันเราให้แล้ว แก่พระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ดังนี้ เสด็จไปแล้ว
สู่สวนชื่อว่าลัฏฐิวัน ใกล้อุปจารแห่งเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตรัสอยู่
ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรมอันไพเราะ แก่พระราชาผู้ทรงสดับแล้ว
ว่า ได้ยินว่า อ.พระศาสดา เสด็จมาแล้ว ดังนี้ เสด็จมาแล้ว
กับ ด้วยพราหมณ์และคฤหบดี ท. มีหมื่นสิบสองเป็นประมาณ
ทรงยังพระราชา กับ ด้วยนหุต ท. ๑๑ ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว
ในโสดาปัตติผล ทรงยังนหุตหนึ่ง ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในสรณะ ท.
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
80
ปุนทิวเส สกฺเกน เทวรฺา มาณวกวณฺณํ
คเหตฺวา อภิตฺถุตคุโณ ราชคหนครํ ปวิสิตฺวา
ราชนิเวสเน กตภตฺตกิจฺโจ เวฬุวนารามํ ปฏิคฺคเหตฺวา
ตตฺเถว วาสํ กปฺเปสิ.
ตตฺถ นํ สารีปุตฺตโมคฺคลฺลานา อุปสงฺกมึสุ.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา:
อนุปฺปนฺเนเยว หิ พุทฺเธ, ราชคหโต อวิทูเร
“อุปติสฺสคาโม จ โกลิตคาโม จาติ เทฺว พฺราหฺมณคามา
อเหสุํ.
เตสุ อุปติสฺสคาเม สาริยา นาม พฺราหฺมณิยา
คพฺภสฺส ปติฏฺ€ิตทิวเสเยว โกลิตคาเม โมคฺคลฺลิยา
นาม พฺราหฺมณิยาปิ คพฺโภ ปติฏฺ€หิ.
ตานิ กิร เทฺวปิ กุลานิ ยาว สตฺตมา
กุลปริวฏฺฏา อาพทฺธปฏิพทฺธสหายกาเนว. ตาสํ
ทฺวินฺนํปิ เอกทิวสเมว คพฺภปริหารํ อทํสุ. ตา อุโภปิ
ทสมาสจฺจเยน ปุตฺเต วิชายึสุ.
นามคฺคหณทิวเส สาริยา พฺราหฺมณิยา ปุตฺตสฺส
อุปติสฺสคามเก เชฏฺ€กุลสฺส ปุตฺตตฺตา “อุปติสฺโสติ
นามํ อกํสุ.
อิตรสฺส โกลิตคาเม เชฏฺฐกุลสฺส ปุตฺตตฺตา
“โกลิโตติ นามํ อกํสุ.
เต อุโภปิ วุฑฺฒิมนฺวาย สพฺพสิปฺปานํ ปารํ
อคมํสุ.
อุปติสฺสมาณวสฺส กีฬนตฺถาย นทึ วา อุยฺยานํ
วา คมนกาเล ปฃฺจ สุวณฺณสิวิกาสตานิ ปริวารานิ
โหนฺติ, โกลิตมาณวสฺส ปฃฺจ อาชญฺญรถสตานิ.
เทฺวปิ ชนา ปญฺจปญฺจมาณวสตปริวารา โหนฺติ.
ราชคเห จ อนุสํวจฺฉเร คิรคฺคสมชฺโช นาม
โหติ.
เตสํ ทฺวินฺนํปิ เอกฏฺฐาเนเยว มญฺจาติมญฺจํ
พนฺธนฺติ.
เทฺวปิ เอกโตว นิสีทิตฺวา สมชฺชํ ปสฺสนฺตา
หสิตพฺพฏฺฐาเน หสนฺติ, สํเวคฏฺฐาเน สํเวคํ อาปชฺชนฺติ,
ผู้มีพระคุณอันท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ ทรงถือเอาแล้ว
ซึ่งเพศแห่งมาณพ ทรงชมเชยแล้ว เสด็จเข้าไปแล้ว สู่เมือง
ชื่อว่าราชคฤห์ ในวันรุ่งขึ้น ผู้มีกิจด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว
ในพระราชนิเวศน์ ทรงรับเฉพาะแล้ว ซึ่งอารามชื่อว่าเวฬุวัน
ทรงส�ำเร็จแล้ว ซึ่งการประทับอยู่ ในอารามนั้นนั่นเทียว ฯ
อ.พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท. เข้าไปเฝ
้ าแล้ว
ซึ่งพระศาสดานั้น ในอาราม นั้น ฯ อ. วาจาเป็นเครื่องกล่าว
โดยล�ำดับ ในเรื่องนั้น นี้ :
ก็ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ไม่เสด็จอุบัติแล้วนั่นเทียว , อ. บ้าน
แห่งพราหมณ์ ท. ๒ คือ อ. อุปติสสคามด้วย อ. โกลิตคามด้วย
ได้มีแล้ว ในที่ไม่ไกล จากเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ฯ
ในบ้านแห่งพราหมณ์ ท. ๒ เหล่านั้นหนา อ. ครรภ์
แม้ของพราหมณี ชื่อว่าโมคคัลลี ในโกลิตคาม ตั้งอยู่
เฉพาะแล้ว ในวันแห่งครรภ์ของพราหมณีชื่อว่าสารี ในอุปติสสคาม
ตั้งอยู่เฉพาะแล้วนั่นเทียว ฯ
ได้ยินว่า อ. ตระกูล ท. แม้สอง เหล่านั้น เป็นสหายเนื่องกัน
ทั่วแล้วและเนื่องเฉพาะแล้วนั่นเทียว เพียงใดแต่อันเวียนรอบ
แห่งตระกูล ที่เจ็ด (ได้เป็นแล้ว) ฯ (อ. ญาติ ท.) ได้ให้แล้ว
ซึ่งวัตถุเป็นเครื่องบริหารซึ่งครรภ์ แก่พราหมณี ท. แม้สอง เหล่านั้น
ในวันเดียวกันนั่นเทียว ฯ อ. พราหมณี ท. แม้ทั้งสอง เหล่านั้น
คลอดแล้ว ซึ่งบุตร ท. โดยอันล่วงไปแห่งเดือน ๑๐ ฯ
ในวันเป็นที่ถือเอาซึ่งชื่อ (อ. ญาติ ท.) ได้กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ)
ว่า อ. อุปติสสะ ดังนี้ให้เป็นชื่อ ของบุตร ของพราหมณีชื่อว่าสารี
เพราะความที่ (แห่งเด็กนั้น) เป็นบุตร ของตระกูลเจริญที่สุด
ในอุปติสสคาม ฯ
(อ. ญาติ ท.) ได้กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ. โกลิตะ ดังนี้
ให้เป็นชื่อ (ของบุตร ของพราหมณี ชื่อว่าโมคคัลลี) นอกนี้
เพราะความที่ (แห่งเด็กนั้น) เป็นบุตร ของตระกูลเจริญที่สุด
ในโกลิตคาม ฯ
อ. บุตร ท. แม้ทั้งสอง เหล่านั้น อาศัยแล้ว ซึ่งความเจริญ
ได้ถึงแล้ว ซึ่งฝั่ง แห่งศิลปะทั้งปวง ท. ฯ
ในกาลเป็นที่ไป สู่แม่น�้ำหรือ หรือว่า สู่สวน เพื่อประโยชน์
แก่การเล่น ของมาณพชื่อว่าอุปติสสะ อ. ร้อยแห่งวออันเป็นวิการ
แห่งทอง ท. ๕ เป็นบริวาร ย่อมเป็น, (ในกาลเป็นที่ไป สู่แม่น�้ำหรือ
หรือว่าสู่สวน เพื่อประโยชน์แก่การเล่น) ของมาณพชื่อว่าโกลิตะ
อ. ร้อยแห่งรถอันเทียมแล้วด้วยม้าอาชาไนย ท. ๕ (เป็นบริวาร)
(ย่อมเป็น) ฯ
อ. ชน ท. แม้ ๒ เป็นผู้มีร้อยแห่งมาณพห้าห้าเป็นบริวาร
ย่อมเป็น ฯ
ก็ชื่ออ.มหรสพอันบุคคลพึงเล่นบนยอดแห่งภูเขาในปีตามล�ำดับ
ย่อมมี ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ฯ
(อ.บริวารท.)ย่อมผูกซึ่งเตียงและเตียงเกิน ในที่แห่งเดียวกัน
นั่นเทียว เพื่อชน ท. แม้ ๒ เหล่านั้น ฯ
(อ. ชน ท.) แม้ ๒ นั่งดูอยู่ซึ่งมหรสพ โดยความเป็นอันเดียวกัน
เทียว ย่อมหัวเราะ ในที่อันตนควรหัวเราะ, ย่อมถึงทั่ว ซึ่งความสลด
ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความสลด,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 81
ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฏฺฐาเน ทายํ เทนฺติ.
เตสํ อิมินา นิยาเมน เอกทิวสํ สมชฺชํ ปสฺสนฺตานํ
ปริปากคตตฺตา ญาณสฺส ปุริมทิวเสสุ วิย หสิตพฺพฏฺฐาเน
หาโส วา สํเวคฏฺฐาเน สํเวโค วา ทายํ ทาตุํ
ยุตฺตฏฺฐาเน ทายํ วา นาโหสิ.
เทฺว ปน ชนา เอวํ จินฺตยึสุ “ กึ เอตฺถ
โอโลเกตพฺพํ อตฺถิ, สพฺเพปิเม อปฺปตฺเต วสฺสสเต
อปณฺณตฺติกภาวํ คมิสฺสนฺติ, อมฺเหหิ ปน เอกํ
โมกฺขธมฺมํ ปริเยสิตุํ วฏฺฏตีติ อารมฺมณํ คเหตฺวา
นิสีทึสุ.
ตโต โกลิโต อุปติสฺสํ อาห “สมฺม อุปติสฺส
ตฺวํ น อชฺเชสุ ทิวเสสุ วิย หฏฺฐปหฏฺโฐ, อิทานิ
อนตฺตมนธาตุโกสิ, กินฺเต สลฺลกฺขิตนฺติ.
โส อาห “สมฺม โกลิต `เอเตสํ โอโลกเน สาโร
นตฺถิ, นิรตฺถกเมตํ, อตฺตโน โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ
วฏฺฏตีติ อิทํ จินฺตยนฺโต นิสินฺโนมฺหิ, ตฺวํ ปน
กสฺมา อนตฺตมโนสีติ. โสปิ ตเถวาห.
อถสฺส อตฺตนา สทฺธึ เอกชฺฌาสยตํ ญตฺวา
อุปติสฺโส อาห “สมฺม อมฺหากํ อุภินฺนํปิ สุจินฺติตํ,
โมกฺขธมฺมํ ปน คเวสิตุํ วฏฺฏติ, คเวสนฺเตหิ
นาม เอกํ ปพฺพชฺชํ ลทฺธุํ วฏฺฏติ, กสฺส สนฺติเก
ปพฺพชามาติ.
เตน โข ปน สมเยน สฃฺชโย ปริพฺพาชโก
ราชคเห ปฏิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ.
เต “ ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามาติ
ปญฺจมาณวกสตานิ “สิวิกาโย จ รเถ จ คเหตฺวา
คจฺฉถาติ อุยฺโยเชตฺวา ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ
สทฺธึ สญฺชยสฺส สนฺติเก ปพฺพชึสุ.
เตสํ ปพฺพชิตกาลโต ปฏฺฐาย สญฺชโย
อติเรกลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺโต อโหสิ.
ย่อมให้ ซึ่งรางวัล ในที่อันควรแล้ว เพื่ออันให้ ซึ่งรางวัล ฯ
เมื่อชนท.๒เหล่านั้นดูอยู่ซึ่งมหรสพในวันหนึ่ง โดยท�ำนองนี้
อ. การหัวเราะ ในที่อันตนควรหัวเราะหรือ หรือว่า อ. ความสลด
ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความสลด หรือว่า อ. รางวัล ในที่อันควรแล้ว
เพื่ออันให้ ซึ่งรางวัล ราวกะ (อ. การหัวเราะ ในที่อันตนควรหัวเราะ
หรือ หรือว่า อ. ความสลด ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความสลด หรือว่า
อ.รางวัลในที่อันควรแล้ว เพื่ออันให้ซึ่งรางวัล)ในวันอันมีในก่อนท.
ไม่ได้มีแล้ว เพราะความที่แห่งญาณ เป็นคุณชาตถึงแล้ว
ซึ่งความแก่รอบ ฯ
ก็ อ. ชน ท. ๒ คิดแล้ว อย่างนี้ว่า อ. วัตถุอะไรอัน (อันเรา ท.)
พึงแลดู ในมหรสพนี้ มีอยู่, อ. ชน ท. เหล่านี้ แม้ทั้งปวง
ครั้นเมื่อร้อยแห่งปี ไม่ถึงแล้ว จักถึง ซึ่งความเป็นแห่งบุคคล
ผู้ไม่มีบัญญัติ, ก็ อ. อัน อันเรา ท. แสวงหาซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น
อย่างหนึ่ง ย่อมควร ดังนี้นั่งถือเอาแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็นอารมณ์ ฯ
ในล�ำดับนั้นอ.โกลิตะกล่าวแล้วกะอุปติสสะว่าแน่ะอุปติสสะ
ผู้สหาย อ.ท่าน เป็นผู้ร่าเริงแล้วและร่าเริงทั่วแล้ว ราวกะว่า
(ผู้ร่าเริงแล้วและร่าเริงทั่วแล้ว) ในวัน ท. เหล่าอื่น (ย่อมเป็น)
หามิได้, ในกาลนี้ (อ. ท่าน) เป็นผู้มีธาตุของบุคคลผู้มีใจมิใช่-
เป็นของมีอยู่แห่งตน ย่อมเป็น, อ. อะไร อันท่าน ก�ำหนดได้แล้ว
ดังนี้ฯ
อ. อุปติสสะนั้น กล่าวแล้ว ว่า แน่ะโกลิตะ ผู้สหาย (อ. เรา)
เป็นผู้นั่งคิดอยู่แล้ว ซึ่งเหตุนี้ ว่า อ. สาระ ในการแลดู ซึ่งชน ท.
เหล่านั่น ย่อมไม่มี, อ. การดูแลนั่น เป็นของไม่มีประโยชน์ (ย่อมเป็น),
อ.อัน(อันเราท.)แสวงหาซึ่งธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น เพื่อตนย่อม
ควร ดังนี้ย่อมเป็น, ก็ อ. ท่าน เป็นผู้มีใจมิใช่เป็นของมีอยู่แห่งตน
ย่อมเป็น เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ อ. โกลิตะแม้นั้น กล่าวแล้ว
อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ
ครั้งนั้น อ. อุปติสสะ รู้แล้ว ซึ่งความที่แห่งโกลิตะนั้นเป็น-
ผู้มีอัธยาศัยเป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยตน กล่าวแล้ว ว่า แน่ะสหาย
(อ. เหตุ) อันเรา ท. แม้ทั้งสองคิดกันดีแล้ว, ก็ อ. อัน (อันเรา ท.)
แสวงหา ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น ย่อมควร, อ. อัน (อันชน ท.) ชื่อว่า
ผู้แสวงหาอยู่ ได้ ซึ่งการบวช อย่างหนึ่ง ย่อมควร, (อ. เรา ท.)
จะบวช ในส�ำนัก ของใคร ดังนี้ฯ
ก็ โดยสมัยนั้นแล อ. ปริพาชก ชื่อว่าสญชัย ย่อมอยู่เฉพาะ
ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ กับ ด้วยบริษัทคือปริพาชก หมู่ใหญ่ ฯ
อ. ชน ท. เหล่านั้น (ปรึกษากันแล้ว) ว่า (อ. เรา ท.) จักบวช
ในส�ำนัก ของปริพาชกนั้น ดังนี้ส่งไปแล้ว ซึ่งร้อยแห่งมาณพห้า ท.
(ด้วยค�ำ) ว่า (อ. ท่าน ท.) ถือเอา ซึ่งวอ ท. ด้วย ซึ่งรถ ท. ด้วย
จงไปเถิด ดังนี้ บวชแล้ว ในส�ำนัก ของปริพาชกชื่อว่าสญชัย
กับ ด้วยร้อยแห่งมาณพ ท. ๕ ฯ
อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งลาภอันเลิศและยศ
อันเลิศยิ่งเกิน ได้เป็นแล้ว จ�ำเดิม แต่กาล แห่งชน ท. ๒ เหล่านั้น
บวชแล้ว ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
82
เต กติปาเหเนว สพฺพํ สฃฺชยสฺส สมยํ
ปริคฺคณฺหิตฺวา “อาจริย ตุมฺหากํ ชานนสมโย เอตฺตโกว
อุทาหุ อุตฺตรึปิ อตฺถีติ ปุจฺฉึสุ.
“เอตฺตโกว, สพฺพํ ตุมฺเหหิ ฃาตนฺติ วุตฺเต, เต
จินฺตยึสุ “เอวํ สติ, อิมสฺส สนฺติเก พฺรหฺมจริยวาโส
นิรตฺถโก, มยํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ นิกฺขนฺตา, โส
อิมสฺส สนฺติเก อุปฺปาเทตุํ น สกฺกา, มหา โข
ปน ชมฺพุทีโป, คามนิคมชนปทราชธานิโย จรนฺตา
อทฺธา โมกฺขธมฺมเทสกํ กญฺจิ อาจริยํ ลภิสฺสามาติ.
ตโต ปฏฺฐาย “ยตฺถ ยตฺถ ปณฺฑิตา
สมณพฺราหฺมณา สนฺตีติ วทนฺติ; ตตฺถ ตตฺถ
คนฺตฺวา สากจฺฉํ กโรนฺติ.
เตหิ ปุฏฺฐปญฺหํ อญฺเญ กเถตุํ น สกฺโกนฺติ, เต
ปน เตสํ ปฃฺหํ วิสฺสชฺเชนฺติ.
เอวํ สกลชมฺพุทีปํ ปริคฺคณฺหิตฺวา นิวตฺติตฺวา
สกฏฺฐานเมว อาคนฺตฺวา “สมฺม โกลิต อมฺเหสุ โย
ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตูติ กติกํ อกํสุ.
เอวํ เตสุ กติกํ กตฺวา วิหรนฺเตสุ, สตฺถา
วุตฺตานุกฺกเมน ราชคหํ ปตฺวา เวฬุวนํ ปฏิคฺคเหตฺวา
เวฬุวเน วิหรติ.
ตทา “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตายาติ
รตนตฺตยคุณปฺปกาสนตฺถํ อุยฺโยชิตานํ เอกสฏฺฐิยา
อรหนฺตานํ อนฺตเร ปฃฺจวคฺคิยานํ อพฺภนฺตเร
อสฺสชิตฺเถโร ปฏินิวตฺติตฺวา ราชคหํ อาคโต
ปุนทิวเส ปาโตว ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ
ปิณฺฑาย ปาวิสิ.
ตสฺมึ สมเย อุปติสฺสปริพฺพาชโก ปาโตว ภตฺตกิจฺจํ
กตฺวา ปริพฺพาชการามํ คจฺฉนฺโต เถรํ ทิสฺวา
อ. ชน ท. ๒ เหล่านั้น เรียนเอาแล้ว ซึ่งลัทธิเป็นเหตุรู้ ของปริพาชก
ชื่อว่าสญชัย ทั้งปวง โดยวันเล็กน้อยนั่นเทียว ถามแล้ว ว่า
ข้าแต่อาจารย์ อ. ลัทธิเป็นเหตุรู้ ของท่าน ท. เป็นลัทธิมีประมาณ
เท่านี้เทียว (ย่อมเป็นหรือ) หรือว่ามีอยู่ แม้ยิ่ง ดังนี้ ฯ
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. ลัทธิเป็นเหตุรู้ ของเรา) มีประมาณ
เท่านี้เทียว, (ชานนํ อ. ความรู้) ทั้งปวง อันท่าน ท. รู้แล้ว ดังนี้
(อันปริพาชกชื่อว่าสญชัย) กล่าวแล้ว, อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น คิดแล้ว
ว่า ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่), อ. การอยู่ เพื่อพรหมจรรย์
ในส�ำนัก ของอาจารย์นี้ เป็นสภาพไม่มีประโยชน์ (ย่อมเป็น),
อ. เรา ท. เป็นผู้ออกไป แล้ว เพื่ออันแสวงหา ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น
(ย่อมเป็น),อ.ธรรมเป็นเหตุพ้นนั้น(อันเราท.)ไม่อาจเพื่ออันให้เกิดขึ้น
ในส�ำนัก ของอาจารย์นี้ , ก็ อ.ชมพูทวีป เป็นทวีปใหญ่แล
(ย่อมเป็น), อ. เรา ท. เที่ยวไปอยู่ สู่บ้านและนิคมและชนบทและ
ราชธานี ท. จักได้ ซึ่งอาจารย์ บางคน ผู้แสดงซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น
แน่แท้ ดังนี้ฯ
(อ. ชน ท.) ย่อมกล่าว ว่า อ. สมณะและพราหมณ์ ท. ผู้ฉลาด
มีอยู่ ในที่ใด ๆ ดังนี้; (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น) ไปแล้ว ในที่นั้น ๆ
ย่อมกระท�ำ ซึ่งการสนทนา จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ
อ. ชน ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่อาจ เพื่ออันกล่าว ซึ่งปัญหา
อันอันสหาย ท. ๒ เหล่านั้นถามแล้ว, แต่ว่า อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น
ย่อมแก้ ซึ่งปัญหา ของชน ท. เหล่านั้น ฯ
(อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น) สอบสวนแล้ว ซึ่งชมพูทวีป
ทั้งสิ้น อย่างนี้ กลับแล้ว มาแล้ว สู่ที่อันเป็นของตนนั่นเทียว
ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกติกา ว่า แน่ะโกลิตะ ผู้สหาย ในเรา ท. หนา
อ. บุคคลใด ย่อมถึงทับซึ่งธรรมอัน ไม่ตายแล้ว ก่อน, อ. บุคคลนั้น
จงบอก (แก่สหายนอกนี้) ดังนี้ ฯ
ครั้นเมื่อสหาย ท. ๒ เหล่านั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งกติกา อยู่อยู่
อย่างนี้, อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ว ซึ่งเมืองชื่อว่าราชคฤห์
ตามล�ำดับแห่งค�ำอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ทรงรับเฉพาะแล้ว
ซึ่งพระเวฬุวัน ประทับอยู่อยู่ ในพระเวฬุวัน ฯ
ในกาลนั้น อ. พระเถระชื่อว่าอัสสชิ ในภายใน แห่งภิกษุ ท.
ผู้นับเนื่องแล้วในพวก ๕ ในระหว่าง แห่งพระอรหันต์ ท. ๖๑
ผู้ (อันพระศาสดา) ทรงส่งไปแล้ว เพื่ออันประกาศซึ่งพระคุณ-
แห่งหมวดสามแห่งรัตนะ (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท.
อ. เธอ ท. จงเที่ยวไป สู่ที่จาริก เพื่อความเกื้อกูลแก่ชนมาก ดังนี้
เป็นต้น กลับเฉพาะแล้ว มาแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ ถือเอาแล้ว
ซึ่งบาตรและจีวร ได้เข้าไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ เพื่อก้อนข้าว
ในเวลาเช้าเทียว ในวันรุ่งขึ้น ฯ
ในสมัยนั้น อ. ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ กระท�ำแล้ว ซึ่งกิจด้วยภัตร
ในเวลาเช้าเทียว ไปอยู่ สู่อารามของปริพาชก เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 83
จินฺเตสิ “มยา เอวรูโป นาม ปพฺพชิโต
น ทิฏฺฐปุพฺโพเยว, เย โลเก อรหนฺโต วา อรหตฺตมคฺคํ
วา สมาปนฺนา, อยํ เตสํ ภิกฺขุ อญฺญตโร;
ยนฺนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺเฉยฺยํ
`กํสิ ตฺวํ อาวุโส อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, โก วา เต
สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสีติ.
อถสฺส เอตทโหสิ “อกาโล โข อิมํ ภิกฺขุํ
ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ, อนฺตรฆรํ ปวิฏฺโฐ ปิณฺฑาย จรติ;
ยนฺนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺเธยฺยํ,
อตฺถิเกหิ อุปญาตํ มคฺคนฺติ.
โส เถรํ ลทฺธปิณฺฑปาตํ อญฺญตรํ โอกาสํ
คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา นิสีทิตุกามตญฺจสฺส ญตฺวา อตฺตโน
ปริพฺพาชกปีฐกํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิ.
ภตฺตกิจฺจปริโยสาเนปิสฺส อตฺตโน กุณฺฑิกาย-
อุทกํ อทาสิ.
เอวํ อาจริยวตฺตํ กตฺวา กตภตฺตกิจฺเจน เถเรน
สทฺธึ มธุรปฏิสนฺถารํ กตฺวา เอวมาห “วิปฺปสนฺนานิ
โข เต อาวุโส อินฺทฺริยานิ, ปริสุทฺโธ ฉวิวณฺโณ
ปริโยทาโต; กํสิ ตฺวํ อาวุโส อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต,
โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสีติ ปุจฺฉิ.
เถโร จินฺเตสิ “ อิเม ปริพฺพาชกา นาม
สาสนสฺส ปฏิปกฺขภูตา, อิมสฺส สาสเน คมฺภีรตํ
ทสฺเสสฺสามีติ อตฺตโน นวกภาวํ ทสฺเสนฺโต อาห
“อหํ โข อาวุโส นโว อจิรปพฺพชิโต อธุนาคโต อิมํ
ธมฺมวินยํ, น ตาว สกฺขิสฺสามิ วิตฺถาเรน ธมฺมํ
เทเสตุนฺติ.
ปริพฺพาชโก “อหํ อุปติสฺโส นาม, ตฺวํ ยถาสตฺติยา
อปฺปํ วา พหุํ วา วท, เอตํ นยสเตน นยสหสฺเสน
ปฏิวิชฺฌิตุํ มยฺหํ ภาโรติ วตฺวา อาห
คิดแล้ว ว่า อ.บรรพชิต ชื่อมีอย่างนี้เป็นรูป เป็นผู้อันเรา
ไม่เคยเห็นแล้วนั่นเทียว (ย่อมเป็น), อ. พระอรหันต์ ท. หรือ หรือว่า
(อ. บุคคล ท.) ผู้บรรลุแล้ว ซึ่งอรหัตตมรรค เหล่าใด (มีอยู่) ในโลก,
อ. ภิกษุนี้ เป็น (แห่งพระอรหันต์ ท. หรือ หรือว่า แห่งบุคคล ท.
ผู้บรรลุแล้วซึ่งอรหัตตมรรค) เหล่านั้นหนา-รูปใด รูปหนึ่ง (ย่อมเป็น);
กระไรหนอ อ. เรา เข้าไปหาแล้ว ซึ่งภิกษุนี้พึงถาม ว่า ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ
อ. ท่าน เป็นผู้บวชแล้ว เจาะจง ซึ่งใคร ย่อมเป็น, อ. ใคร เป็นครู
ของท่าน (ย่อมเป็น) หรือ, หรือว่า อ. ท่าน ย่อมชอบใจ ซึ่งธรรม
ของใคร (ดังนี้) ดังนี้ฯ
ครั้งนั้น อ. ความปริวิตกนั่น ว่า (อ. กาลนี้) เป็นสมัยมิใช่กาลแล
เพื่ออันถามซึ่งปัญหากะภิกษุนี้(ย่อมเป็น),(อ.ภิกษุนี้)เข้าไปแล้ว
สู่ระหว่างแห่งเรือน ย่อมเที่ยวไป เพื่อบิณฑะ; กระไรหนอ อ. เรา
แสวงหาอยู่ (ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น) อันอันชน ท. ผู้มีความต้องการ
เข้าไปรู้แล้ว พึงติดตาม ซึ่งภิกษุนี้ข้างหลัง ข้างหลัง ดังนี้ได้มีแล้ว
แก่ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะนั้น ฯ
อ.ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ นั้น เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ
ผู้มีบิณฑบาตอันได้แล้ว ผู้ไปอยู่ สู่โอกาส โอกาสใดโอกาสหนึ่งด้วย
ทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งพระเถระนั้น เป็นผู้ใคร่เพื่ออันนั่งด้วย
ได้ตั้ง ซึ่งตั่งแห่งปริพาชก ของตน ถวายแล้ว ฯ
(อ.ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะนั้น) ได้ถวายแล้ว ซึ่งน�้ำ ในลักจั่น
ของตน แก่พระเถระนั้น แม้ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจ
ด้วยภัตร ฯ
(อ. ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะนั้น) ครั้นกระท�ำแล้ว ซึ่งวัตร-
เพื่ออาจารย์ อย่างนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับอันมีรสหวาน กับ
ด้วยพระเถระ ผู้มีกิจด้วยภัตรอันกระท�ำแล้ว กล่าวแล้ว อย่างนี้
ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ อ. อินทรีย์ ท. ของท่าน ผ่องใสแล้ว
แล, อ. สีแห่งผิว หมดจดรอบแล้ว ผุดผ่องรอบแล้ว; ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ
อ. ท่าน เป็นผู้บวชแล้ว เจาะจง ซึ่งใคร ย่อมเป็น, อ. ใคร เป็นครู
ของท่าน (ย่อมเป็น) หรือ, หรือว่า อ. ท่าน ย่อมชอบใจ ซึ่งธรรม
ของใคร ดังนี้ฯ
อ. พระเถระ คิดแล้ว ว่า ชื่อ อ. ปริพาชก ท. เหล่านี้
เป็นปฏิปักข์ต่อพระศาสนาเป็นแล้ว (ย่อมเป็น), อ. เรา จักแสดง
ซึ่งความที่แห่งธรรมในพระศาสนา เป็นสภาพลึกซึ้ง แก่ปริพาชกนี้
ดังนี้ เมื่อแสดง ซึ่งความที่แห่งตนเป็นผู้ใหม่ กล่าวแล้ว ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. เราแล เป็นผู้ใหม่ เป็นผู้บวชแล้วสิ้นกาลไม่นาน
เป็นผู้มาแล้ว สู่พระธรรมและพระวินัยนี้ โดยกาลไม่นาน
(ย่อมเป็น), อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันแสดง ซึ่งธรรม โดยพิสดาร ก่อน
ดังนี้ฯ
อ.ปริพาชก กล่าวแล้ว ว่า อ. เรา เป็นผู้ชื่อว่าอุปติสสะ
(ย่อมเป็น), อ. ท่าน จงกล่าว (ซึ่งธรรม) อันน้อยหรือ หรือว่าอันมาก
ตามความสามารถอย่างไร, อ. อันรู้ตลอด ซึ่งธรรมนั่น ด้วยร้อยแห่งนัย
ด้วยพันแห่งนัย เป็นภาระ ของเรา (ย่อมเป็น) ดังนี้กล่าวแล้ว ว่า
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
84
“อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ, อตฺถฺเว เม พฺรูหิ,
อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยฺชนํ พหุนฺติ.
เอวํ วุตฺเต, เถโร
“เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา, เตสํ เหตุํ ตถาคโต,
เตสฺจ โย นิโรโธ จ; เอวํวาที มหาสมโณติ
คาถมาห.
ปริพฺพาชโก ป€มปททฺวยเมว สุตฺวา สหสฺสนย-
สมฺปนฺเน โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€หิ. อิตรํ ปททฺวยํ
โสตาปนฺนกาเล นิฏฺ€าเปสิ.
โส โสตาปนฺโน หุตฺวา อุปริวิเสเส อปฺปวตฺตนฺเต
“ภวิสฺสติ เอตฺถ การณนฺติ สลฺลกฺเขตฺวา เถรํ อาห
“ภนฺเต มา อุปริ ธมฺมเทสนํ วฑฺฒยิตฺถ, เอตฺตกเมว
โหตุ, กุหึ อมฺหากํ สตฺถา วสตีติ.
“เวฬุวเน อาวุโสติ.
“เตนหิ ภนฺเต ตุมฺเห ปุรโต ยาถ; มยฺหํ เอโก
สหายโก อตฺถิ, อมฺเหหิ จ อฺมฺํ กติกา
กตา `โย ป€มํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตูติ
อหนฺตํ ปฏิฺํ โมเจตฺวา สหายกํ คเหตฺวา
ตุมฺหากํ คตมคฺเคเนว สตฺถุ สนฺติกํ อาคมิสฺสามีติ
ปฺจปฺปติฏฺ€ิเตน เถรสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา
ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เถรํ อุยฺโยเชตฺวา
ปริพฺพาชการามาภิมุโข อคมาสิ.
โกลิตปริพฺพาชโก ตํ ทูรโต ว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา
“ อชฺช มยฺหํ สหายกสฺส มุขวณฺโณ น
อฺทิวเสสุ วิย, อทฺธาเนน อมตํ อธิคตํ
ภวิสฺสตีติ อมตาธิคมํ ปุจฺฉิ.
โสปิสฺส “อามาวุโส อมตํ อธิคตนฺติ ปฏิชานิตฺวา
ตเมว คาถํ อภาสิ.
(อ. ท่าน) จงกล่าว (ซึ่งธรรม) อันน้อยหรือ หรือว่าอันมาก,
(อ. ท่าน) จงกล่าว ซึ่งเนื้อความนั่นเทียว แก่เรา,
อ. ความต้องการ ด้วยเนื้อความนั่นเทียว (ย่อมมี) แก่เรา
(อ. ท่าน) จักกระท�ำ ซึ่งพยัญชนะ ให้เป็นค�ำมาก ท�ำไม ดังนี้ ฯ
(ครั้นเมื่อค�ำ) อย่างนี้ (อันปริพาชกนั้น) กล่าวแล้ว, อ. พระเถระ
กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ว่า
อ. พระตถาคตเจ้า (ตรัสแล้ว) ซึ่งเหตุ แห่ง-อ. ธรรม ท.
เหล่าใด เป็นสภาพมีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน (ย่อมเป็น),
-ธรรม ท. เหล่านั้น (ด้วย), (ซึ่งเหตุ แห่ง-อ. ความดับใด
แห่งธรรม ท. เหล่านั้น-ความดับนั้น) ด้วย, อ. พระมหาสมณะ
เป็นผู้มีอันตรัสอย่างนี้เป็นปกติ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ
อ.ปริพาชก ฟังแล้ว ซึ่งหมวดสองแห่งบทที่หนึ่งนั่นเทียว
ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล อันถึงพร้อมแล้วด้วยนัยพันหนึ่ง ฯ
(อ. พระเถระ) ยังหมวดสองแห่งบท นอกนี้ ให้จบแล้ว ในกาล
(แห่งปริพาชก) เป็นพระโสดาบัน ฯ
อ. ปริพาชกนั้น เป็นพระโสดาบัน เป็น ครั้นเมื่อคุณวิเศษ
ในเบื้องบน ไม่เป็นไปข้างหน้าอยู่ ก�ำหนดแล้ว ว่า อ.เหตุ
ในเรื่องนี้ จักมี ดังนี้กล่าวแล้ว กะพระเถระ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
(อ. ท่าน ท.) อย่ายังธรรมเทศนา ให้เจริญแล้ว ในเบื้องบน, อ. ค�ำ
มีประมาณเท่านี้นั่นเทียว จงมีเถิด, อ. พระศาสดา ของเรา ท.
ย่อมประทับอยู่ ในที่ไหน ดังนี้ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ (อ.พระศาสดา
ย่อมประทับอยู่) ในพระเวฬุวัน ดังนี้ฯ
(อ. ปริพาชก กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น
อ. ท่าน ท. ขอจงไป ข้างหน้า; อ. สหาย คนหนึ่ง ของกระผม มีอยู่,
อนึ่ง อ. ความนัดหมาย ซึ่งกันและกัน อันเรา ท. กระท�ำแล้ว ว่า
อ. บุคคลใด ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันไม่ตายแล้ว ก่อน, อ. บุคคล
นั้น จงบอก ดังนี้ อ. กระผม เปลื้องแล้ว ซึ่งปฏิญญานั้น พาเอา
ซึ่งสหาย จักมา สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ตามหนทางแห่งท่าน ท.
ไปแล้วนั่นเทียว ดังนี้ หมอบลงแล้ว ใกล้เท้า ท. ของพระเถระ
ด้วยอันตั้งไว้เฉพาะแห่งองค์ห้า กระท�ำแล้ว ซึ่งการเวียนรอบ ๓
ครั้ง ส่งไปแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้มีหน้าเฉพาะต่ออารามของปริพาชก
ได้ไปแล้ว ฯ
อ. ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะ เห็นแล้ว ซึ่งปริพาชกนั้น ผู้มาอยู่ แต่
ไกลเทียว (คิดแล้ว) ว่า ในวันนี้ อ. สีแห่งหน้า ของสหาย ของเรา
เป็นราวกะว่า (สีแห่งหน้า) ในวันอื่น ท. (ย่อมเป็น) หามิได้,
อ.อมตะ เป็นคุณ อันสหายนี้ ถึงทับแล้ว จักเป็น แน่แท้ ดังนี้
ถามแล้ว ซึ่งการบรรลุซึ่งอมตะ ฯ
อ.ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ แม้นั้น ปฏิญญาแล้ว ว่า
แน่ะท่านผู้มีอายุ เออ อ.อมตะ(อันเรา) ถึงทับแล้ว ดังนี้ได้กล่าวแล้ว
ซึ่งคาถา นั้นนั่นเทียว แก่ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะนั้น ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 85
คาถาปริโยสาเน โกลิโต โสตาปตฺติผเล
ปติฏฺ€หิตฺวา อาห “กุหึ กิร สมฺม อมฺหากํ
สตฺถา วสตีติ.
“เวฬุวเน กิร สมฺม, เอวํ โน อาจริเยน
อสฺสชิตฺเถเรน กถิตนฺติ.
“เตนหิ สมฺม อายาม, สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามาติ.
สารีปุตฺตตฺเถโร จ นาเมส สทาปิ อาจริยปูชโก ว;
ตสฺมา สหายกํ เอวมาห “สมฺม อมฺเหหิ อธิคตํ
อมตํ อมฺหากํ อาจริยสฺส สฺชยปริพฺพาชกสฺสาปิ
กเถสฺสาม , พุชฺฌมาโน ปฏิวิชฺฌิสฺสติ ,
อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต อมฺหากํ สทฺทหิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ
คมิสฺสติ, พุทฺธานํ เทสนํ สุตฺวา มคฺคผลปฏิเวธํ
กริสฺสตีติ.
ตโต เทฺวปิ ชนา สฺชยสฺส สนฺติกํ อคมํสุ.
สฺชโย เต ทิสฺวา “ กึ ตาตา โกจิ โว
อมตมคฺคเทสโก ลทฺโธติ ปุจฺฉิ.
“อาม อาจริย ลทฺโธ; พุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโน,
ธมฺโม อุปฺปนฺโน, สงฺโฆ อุปฺปนฺโน; ตุมฺเห ตุจฺเฉ
อสาเร วิจรถ, เอถ, สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสามาติ.
“คจฺฉถ ตุมฺเห, อหํ น สกฺขิสฺสามีติ.
“กึการณาติ.
“อหํ มหาชนสฺส อาจริโย หุตฺวา วิจรึ, ตสฺส เม
อนฺเตวาสิกวาโส จาฏิยา อุทกจลนภาวุปฺปตฺติสทิโส,
น สกฺขิสฺสามหํ อนฺเตวาสิกวาสํ วสิตุนฺติ.
“มา เอวํ กริตฺถ อาจริยาติ.
“โหตุ ตาตา, คจฺฉถ ตุมฺเห, นาหํ สกฺขิสฺสามีติ.
“อาจริย โลเก พุทฺธสฺส อุปฺปนฺนกาลโต
ปฏฺ€าย มหาชโน คนฺธมาลาทิหตฺโถ คนฺตฺวา
ตเมว ปูเชสฺสติ, มยํปิ ตตฺเถว คมิสฺสาม, ตุมฺเห
กึ กริสฺสถาติ.
“ตาตา กินฺนุ โข อิมสฺมึ โลเก ทนฺธา พหู,
อุทาหุ ปณฺฑิตาติ.
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งคาถา อ. ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะ
ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล กล่าวแล้ว ว่า แน่ะสหาย
ได้ยินว่า อ. พระศาสดา ของเรา ท. ย่อมประทับอยู่ ในที่ไหน ดังนี้ฯ
(อ. ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย ได้ยินว่า
(อ. พระศาสดา ของเรา ท. ย่อมประทับอยู่) ในพระเวฬุวัน,
(อ. ค�ำ) อย่างนี้ อันพระเถระชื่อว่าอัสสชิ ผู้เป็นอาจารย์ ของเรา ท.
บอกแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะ กล่าวแล้ว) ว่า
แน่ะสหาย ถ้าอย่างนั้น อ. เรา ท. จงมาเถิด, (อ. เรา ท.) จักเฝ
้ า
ซึ่งพระศาสดา ดังนี้ฯ
ก็ ชื่อ อ. พระเถระชื่อว่าสารีบุตร นั่น เป็นผู้บูชาซึ่งอาจารย์
เทียว (ย่อมเป็น) แม้ในกาลทุกเมื่อ; เพราะเหตุนั้น (อ.ปริพาชก
ชื่อว่าอุปติสสะนั้น) กล่าวแล้ว อย่างนี้ กะสหาย ว่า แน่ะสหาย
(อ. เรา ท.) จักบอก ซึ่งอมตะ อันอันเรา ท. ถึงทับแล้ว แม้แก่ปริพาชก
ชื่อว่าสญชัย ผู้เป็นอาจารย์ ของเรา ท., (อ. อาจารย์) รู้อยู่ จักรู้ตลอด,
เมื่อไม่รู้ตลอด เชื่อแล้ว ต่อเรา ท. จักไป สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา,
ฟังแล้ว ซึ่งเทศนา ของพระพุทธเจ้า ท. จักกระท�ำ ซึ่งการรู้ตลอด
ซึ่งมรรคและผล ดังนี้ฯ
ในล�ำดับนั้น อ. ชน ท. แม้สอง ได้ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของปริพาชก
ชื่อว่าสญชัย ฯ อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย เห็นแล้ว ซึ่งสหาย ท. ๒
เหล่านั้น ถามแล้ว ว่า ดูก่อนพ่อ ท. อ. ใคร ๆ ผู้แสดงซึ่งทาง-
แห่งอมตะ อันท่าน ท. ได้แล้ว หรือ ดังนี้ฯ
(อ. สหาย ท.๒ เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ ขอรับ
(อ. อาจารย์ อันกระผม ท.) ได้แล้ว; อ. พระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติแล้ว
ในโลก, อ. พระธรรม เกิดขึ้นแล้ว, อ. พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้ว;
อ. ท่าน ท. ย่อมประพฤติ (ซึ่งธรรม ท.) อันไม่มีสาระ อันเปล่า,
(อ. ท่าน ท.) จงมา, (อ. เรา ท.) จักไป สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา
ดังนี้ฯ
(อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท่าน ท. จงไป,
อ. เรา จักไม่อาจ ดังนี้ฯ (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ถามแล้ว) ว่า
(อ. ท่าน ท. จักไม่อาจ) เพราะเหตุอะไร ดังนี้ฯ
(อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นอาจารย์
ของมหาชน เป็น เที่ยวไปแล้ว, อ. การอยู่โดยความเป็นอันเตวาสิก
แห่งเรานั้น เป็นเช่นกับด้วยการเกิดขึ้นแห่งความเป็นคืออันไหวแห่งน�้ำ
ในตุ่ม (ย่อมเป็น), อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันอยู่ อยู่โดยความเป็น
อันเตวาสิก ดังนี้ ฯ
(อ.สหาย ท. ๒ เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ.ท่านท.อย่ากระท�ำแล้วอย่างนี้ดังนี้ฯ (อ.ปริพาชกชื่อว่าสญชัย
กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. (อ. เรื่องนั้น) จงมีเถิด, อ. ท่าน ท. จงไป,
อ. เรา จักไม่อาจ ดังนี้ฯ
(อ.สหาย ท. ๒ เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ.มหาชน มีวัตถุมีของหอมและระเบียบเป็นต้นในมือ ไปแล้ว
จักบูชา ซึ่งพระพุทธเจ้านั้น นั่นเทียว จ�ำเดิม แต่กาลแห่งพระพุทธเจ้า
เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก, แม้ อ.เรา ท. จักไป ในที่นั้นนั่นเทียว,
อ. ท่าน ท. จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี้ ฯ
(อ.ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนพ่อ ท.
อ. คนโง่ ท. ในโลกนี้ เป็นผู้มาก (ย่อมเป็น) หรือหนอแล, หรือว่า
อ. คนฉลาด ท. (เป็นผู้มาก ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
86
“ทนฺธา อาจริย พหู,ปณฺฑิตา นาม กติปยาเอว
โหนฺตีติ.
“เตนหิ ตาตา ปณฺฑิตา ปณฺฑิตา สมณสฺส
โคตมสฺส สนฺติกํ คมิสฺสนฺติ, ทนฺธา ทนฺธา มม
สนฺติกํ อาคมิสฺสนฺติ; คจฺฉถ ตุมฺเห, นาหํ คมิสฺสามีติ.
เต “ปฺายิสฺสถ ตุมฺเห อาจริยาติ ปกฺกมึสุ.
เตสุ คจฺฉนฺเตสุ, สฺชยสฺส ปริสา ภิชฺชิ.
ตสฺมึ ขเณ อาราโม ตุจฺโฉ อโหสิ.
โส ตุจฺฉํ อารามํ ทิสฺวา อุณหํ โลหิตํ ฉฑฺเฑสิ.
เตหิปิ สทฺธึ คจฺฉนฺเตสุ ปฺจสุ ปริพฺพาชกสเตสุ,
สฺชยสฺส ปริสาย อฑฺฒเตยฺยสตานิ นิวตฺตึสุ.
อตฺตโน อนฺเตวาสิเกหิ อฑฺฒเตยฺเยหิ ปริพฺพาชกสเตหิ
สทฺธึ เวฬุวนํ อคมํสุ.
สตฺถา จตุปริสมชฺเฌ นิสินฺโน ธมฺมํ เทเสนฺโต
เต ทูรโต ว ทิสฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ “เอเต ภิกฺขเว
เทฺว สหายกา อาคจฺฉนฺติ โกลิโต จ อุปติสฺโส
จ, เอตํ เม สาวกยุคํ ภวิสฺสติ อคฺคํ ภทฺทยุคนฺติ.
เต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ.
เต ภควนฺตํ เอตทโวจุํ “ลเภยฺยาม มยํ ภนฺเต ภควโต
สนฺติเก ปพฺพชฺชํ; ลเภยฺยาม อุปสมฺปทนฺติ.
“เอถ ภิกฺขโวติ ภควา อโวจ, “สฺวากฺขาโต
ธมฺโม,จรถ พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายาติ.
สพฺเพปิ อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสติกตฺเถรา
วิย อเหสุํ.
อถ เนสํ ปริสาย จริยาวเสน สตฺถา ธมฺมเทสนํ
วฑฺเฒสิ.
€เปตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก อวเสสา อรหตฺตํ
ปาปุณึสุ. อคฺคสาวกานํ ปน อุปริมคฺคกิจฺจํ
น นิฏฺ€าสิ.
กึการณา? สาวกปารมีาณสฺส มหนฺตตาย.
(อ.สหายท.๒เหล่านั้น กล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่อาจารย์อ.คนโง่ท.
เป็นผู้มาก (ย่อมเป็น), ชื่อ อ. คนฉลาด ท. เป็นผู้เล็กน้อยนั่นเทียว
(ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
(อ.ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนพ่อ ท. ถ้าอย่างนั้น
อ. คนฉลาด ท. อ. คนฉลาด ท. จักไป สู่ส�ำนัก ของพระสมณะ
ผู้โคดม, อ. คนโง่ ท. อ. คนโง่ ท. จักมา สู่ส�ำนัก ของเรา; อ. ท่าน ท.
จงไป, อ. เรา จักไม่ไป ดังนี้ฯ
อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ. ท่าน ท. จักปรากฏ ดังนี้หลีกไปแล้ว ฯ
ครั้นเมื่อสหาย ท. ๒ เหล่านั้น ไปอยู่, อ. บริษัท ของปริพาชก
ชื่อว่าสญชัย แตกกันแล้ว ฯ ในขณะนั้น อ. อาราม เป็นสภาพ
เปล่า ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย นั้น เห็นแล้ว
ซึ่งอาราม อันเปล่า ส�ำรอกแล้ว ซึ่งเลือด อันร้อน ฯ
ในร้อยแห่งปริพาชก ท. ๕ ผู้ไปอยู่ กับ ด้วยสหาย ท. ๒ แม้
เหล่านั้นหนา อ. ร้อยที่สามด้วยทั้งกึ่ง ท. แห่งบริษัท ของปริพาชก
ชื่อว่าสญชัย กลับแล้ว ฯ (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น) ได้ไปแล้ว
สู่พระเวฬุวัน กับ ด้วยร้อยแห่งปริพาชก ท. ที่สามด้วยทั้งกึ่ง
ผู้เป็นอันเตวาสิก ของตน ฯ		
อ.พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ในท่ามกลางแห่งบริษัท ๔ เมื่อ
ทรงแสดง ซึ่งธรรม ทรงเห็นแล้ว ซึ่งสหาย ท. ๒ เหล่านั้น
แต่ที่ไกลเทียว ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า
ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั่น คือ อ. โกลิตะ ด้วย คือ
อ. อุปติสสะ ด้วย ย่อมมา, (อ. คู่แห่งสหาย) นั่น เป็นคู่แห่งสาวก
เป็นคู่อันเลิศ เป็นคู่อันเจริญ ของเรา จักเป็น ดังนี้ฯ
อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา
นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ได้กราบทูลแล้ว
ซึ่งค�ำนั่น กะพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. ข้าพระองค์ ท. พึงได้ ซึ่งการบวช ในส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า;
(อ.ข้าพระองค์ ท.) พึงได้ ซึ่งการอุปสมบท (ในส�ำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า) ดังนี้ ฯ
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสแล้ว ว่า (อ. ท่าน ท.) เป็นภิกษุ
(เป็น) จงมา ดังนี้, (ตรัสแล้ว) ว่า อ. ธรรม อันเรา กล่าวดีแล้ว,
อ.ท่าน ท. จงประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ เพื่ออันกระท�ำซึ่งที่สุด
แห่งทุกข์ โดยชอบ ดังนี้ฯ
อ. ชน ท. แม้ทั้งปวง เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบาตรและจีวรอันส�ำเร็จแล้ว
ด้วยฤทธิ์ เป็นราวกะว่าพระเถระผู้ประกอบแล้วด้วยร้อยแห่งกาลฝน
ได้เป็นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ทรงยังธรรมเทศนา ให้เจริญแล้ว
ด้วยอ�ำนาจแห่งความประพฤติ แห่งบริษัท ของสหาย ท. ๒ เหล่านั้น ฯ
อ. ปริพาชก ท. ผู้เหลือลง เว้น ซึ่งพระอัครสาวก ท. สอง
บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ฯ ก็ อ. กิจด้วยมรรคในเบื้องบน
ของพระอัครสาวก ท. ไม่ส�ำเร็จแล้วฯ
(อ.อันถาม) ว่า (อ.กิจด้วยมรรคในเบื้องบน ของพระอัครสาวก ท.
ไม่ส�ำเร็จแล้ว) เพราะเหตุอะไร ? (ดังนี้) (อ. อันแก้) ว่า
(อ. กิจ ด้วยมรรคในเบื้องบน ของพระอัครสาวก ท. ไม่ส�ำเร็จแล้ว)
เพราะความที่ แห่งสาวกบารมีญาณ เป็นคุณใหญ่ (ดังนี้) ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 87
อถายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปพฺพชิตทิวสโต
สตฺตเม ทิวเส มคธรฏฺเ€ กลฺลวาลคามกํ อุปนิสฺสาย
วิหรนฺโต, ถีนมิทฺเธ โอกฺกมนฺเต, สตฺถารา สํเวชิโต
ถีนมิทฺธํ วิโนเทตฺวา ตถาคเตน ทินฺนํ ธาตุกมฺมฏฺ€านํ
สุณนฺโตว อุปริมคฺคตฺตยกิจฺจํ นิฏฺ€าเปตฺวา
สาวกปารมีาณสฺส มตฺถกํ ปตฺโต,
สารีปุตฺตตฺเถโรปิ ปพฺพชิตทิวสโต อฑฺฒมาสํ
อติกฺกมิตฺวา สตฺถารา สทฺธึ ตเมว ราชคหํ
อุปนิสฺสาย สูกรขาตเลเณ วิหรนฺโต, อตฺตโน
ภาคิเนยฺยสฺส ทีฆนขปริพฺพาชกสฺส เวทนาปริคฺคห-
สุตฺตนฺเต เทสิยมาเน, สุตฺตานุสาเรน าณํ เปเสตฺวา
ปรสฺส วฑฺฒิตํ ภตฺตํ ภุฺชนฺโต วิย สาวกปารมีาณสฺส
มตฺถกํ ปตฺโต.
“นนุ จายสฺมา มหาปฺโ, อถ กสฺมา
มหาโมคฺคลฺลานโต จิรตเรน สาวกปารมีาณํ
ปาปุณีติ.
ปริกมฺมมหนฺตตาย.
ยถา หิ ทุคฺคตมนุสฺสา กตฺถจิ คนฺตุกามา
ขิปฺปเมว นิกฺขมนฺติ, ราชูนํ ปน หตฺถิวาหนกปฺปนาทึ
มหนฺตํ ปริกมฺมํ ลทฺธุํ วฏฺฏติ; เอวํ สมฺปทมิทํ
เวทิตพฺพํ.
ตํทิวสเมว ปน สตฺถา วฑฺฒมานกจฺฉายาย
เวฬุวเน สาวกสนฺนิปาตํ กตฺวา ทฺวินฺนํ เถรานํ
อคฺคสาวกฏฺ€านํ ทตฺวา ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสิ.
ภิกฺขู อุชฺฌายึสุ “สตฺถา มุโขโลกเนน ภิกฺขูนํ
เทติ, อคฺคสาวกฏฺ€านํ เทนฺเตน นาม ป€มํ
ปพฺพชิตานํ ปฺจวคฺคิยานํ ทาตุํ วฏฺฏติ, เอเต
อโนโลเกนฺเตน ยสตฺเถรปฺปมุขานํ ปฺจปฺาสาย
ภิกฺขูนํ ทาตุํ วฏฺฏติ , เอเต อโนโลเกนฺเตน
ภทฺทวคฺคิยานํ, เอเต อโนโลเกนฺเตน อุรุเวลกสฺสปาทีนํ
เตภาติกานํ;
ครั้งนั้น อ.พระมหาโมคคัลลานะ ผู้มีอายุ เข้าไปอาศัย
ซึ่งบ้านชื่อว่ากัลลวาล ในแว่นแคว้นชื่อว่ามคธ อยู่อยู่ ในวันที่เจ็ด
แต่วันแห่งตนบวชแล้ว, ครั้นเมื่อความท้อแท้และความง่วง
ครอบง�ำอยู่, ผู้อันพระศาสดาทรงให้สลดแล้ว บรรเทาแล้ว
ซึ่งความท้อแท้และความง่วง ฟังอยู่ ซึ่งกัมมัฏฐานมีธาตุเป็นอารมณ์
อันอันพระตถาคตเจ้าประทานแล้วเทียว ยังกิจในหมวดสามแห่งมรรค
ในเบื้องบน ให้ส�ำเร็จแล้ว ถึงแล้ว ซึ่งที่สุด แห่งสาวกบารมีญาณ,
แม้ อ. พระเถระชื่อว่าสารีบุตร เข้าไปอาศัย ซึ่งเมืองชื่อว่า
ราชคฤห์ นั้นนั่นเทียว อยู่อยู่ ในถ�้ำชื่อว่าสุกรขาตา กับ ด้วยพระศาสดา
ก้าวล่วง ซึ่งเดือนด้วยทั้งกึ่ง แต่วันแห่งตนบวชแล้ว, ครั้นเมื่อ
เวทนาปริคคหสูตร (อันพระศาสดา) ทรงแสดงอยู่ แก่ปริพาชก
ชื่อว่าทีฆนขะ ผู้เป็นหลาน ของตน, ส่งไปแล้ว ซึ่งญาณ
ตามแนวแห่งพระสูตร ถึงแล้ว ซึ่งที่สุด แห่งสาวกบารมีญาณ
ราวกะ (อ. บุคคล) ผู้บริโภคอยู่ ซึ่งข้าวสวย อันอันบุคคลให้เจริญแล้ว
แก่บุคคลอื่น ฯ
(อ.อันถาม)ว่าก็(อ.พระสารีบุตร)ผู้มีอายุเป็นผู้มีปัญญามาก
(ย่อมเป็น) มิใช่หรือ, ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่)
(อ. พระสารีบุตร) ถึงแล้ว ซึ่งสาวกบารมีญาณ โดยกาลนานกว่า
กว่าพระมหาโมคคัลลานะ เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ
(อ. อันแก้) ว่า (อ. พระสารีบุตร ถึงแล้ว ซึ่งสาวกบารมีญาณ
โดยกาลนานกว่า กว่าพระมหาโมคคัลลานะ) เพราะความที่
แห่งตนเป็นผู้มีบริกรรมใหญ่ (ดังนี้) ฯ
เหมือนอย่างว่า อ.มนุษย์ผู้ถึงแล้ว ซึ่งยาก ท. ผู้ใคร่เพื่ออันไป
ในที่ไหน ๆ ย่อมออกไป พลันนั่นเทียว, ส่วนว่า อ. อัน อันพระราชา ท.
ทรงได้ ซึ่งบริกรรมใหญ่ มีความส�ำเร็จแห่งพาหนะคือช้างเป็นต้น
ย่อมควร ฉันใด ; อ. ค�ำเป็นเครื่องยังอุปไมยให้ถึงพร้อม นี้
(อันบัณฑิต) พึงทราบ ฉันนั้น ฯ
ก็ ในวันนั้นนั่นเทียว อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว
ซึ่งการประชุมแห่งสาวก ในพระเวฬุวัน ในเวลามีเงาอันเจริญอยู่
ประทานแล้ว ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก แก่พระเถระ ท. สอง
ทรงสวดแล้ว ซึ่งพระปาฏิโมกข์ ฯ
อ.ภิกษุท.ยกโทษแล้วกล่าวแล้วว่าอ.พระศาสดาย่อมประทาน
แก่ภิกษุ ท. ด้วยการทรงแลดูซึ่งหน้า, อ. อัน (อันพระศาสดา)
ชื่อผู้เมื่อประทาน ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก ประทาน
(แก่ภิกษุ ท.) ผู้นับเนื่องแล้วในพวกห้า ผู้บวชแล้ว ก่อน ย่อมควร,
อ. อัน (อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึ่งภิกษุ ท.) เหล่านั่น
ประทาน แก่ภิกษุ ท. ๕๕ มีพระเถระชื่อว่ายสะเป็นประมุข
ย่อมควร, (อ. อัน อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึ่งภิกษุ ท.)
เหล่านั่น (ประทาน แก่ภิกษุ ท.) ผู้นับเนื่องแล้วในพวกอันเจริญ
(ย่อมควร), (อ. อัน อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึ่งภิกษุ ท.)
เหล่านั่น (ประทาน) (แก่ภิกษุ ท.) ผู้พี่น้องชาย ๓ รูป
มีพระอุรุเวลากัสสปะเป็นต้น (ย่อมควร);
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
88
เอเต ปน เอตฺตเก ปหาย สพฺพปจฺฉา ปพฺพชิตานํ
อคฺคสาวกฏฺ€านํ เทนฺเตน มุขํ โอโลเกตฺวา ทินฺนนฺติ
วทึสุ.
สตฺถา “กึ กเถถ ภิกฺขเวติปุจฺฉิตฺวา, “ อิทํ นามาติ
วุตฺเต, “นาหํ ภิกฺขเว มุขํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขูนํ เทมิ,
เอเตสํ ปน อตฺตนา อตฺตนา ปตฺถิตปตฺถิตเมว
เทมิ;
อฺาโกณฺฑฺโ หิ เอกสฺมึ สสฺเส นว
อคฺคสสฺสทานานิ เทนฺโต น อคฺคสาวกฏฺ€านํ
ปตฺเถตฺวา อทาสิ, อคฺคธมฺมํ ปน อรหตฺตํ สพฺพป€มํ
ปฏิวิชฺฌิตุํ ปตฺเถตฺวา อทาสีติ.
“กทา ภควาติ.
“สุณิสฺสถ ภิกฺขเวติ.
“อาม ภนฺเตติ.
“ภิกฺขเว อิโต เอกนวุติกปฺเป วิปสฺสี ภควา โลเก
อุทปาทิ.
ตทา “มหากาโล จุลฺลกาโลติ เทฺว ภาติกา
กุฏุมฺพิกา มหนฺตํ สาลิกฺเขตฺตํ วปาเปสุํ.
อเถกทิวสํ จุลฺลกาโล สาลิกฺเขตฺตํ คนฺตฺวา เอกํ
สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา ขาทิ. อติมธุรํ อโหสิ.
โส พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส สาลิคพฺภทานํ
ทาตุกาโม หุตฺวา เชฏฺ€ภาติกํ อุปสงฺกมิตฺวา “ภาติก
สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา พุทฺธานํ อนุจฺฉวิกํ กตฺวา
ปจาเปตฺวา ทานํ เทมาติ อาห.
“กึ วเทสิ, สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา ทานํ นาม
เนว อตีเต ภูตปุพฺพํ, นานาคเต ภวิสฺสติ, มา สสฺสํ
นาสยีติ. โส ปุนปฺปุนํ ยาจิเยว.
อถ นํ ภาตา “เตนหิ เขตฺตํ เทฺว โกฏฺ€าเส
กตฺวา มม โกฏฺ€าสํ อนามสิตฺวา อตฺตโน
เขตฺตโกฏฺ€าเส, ยํ อิจฺฉสิ, ตํ กโรหีติ อาห.
โส “สาธูติ เขตฺตํ วิภชิตฺวา พหู มนุสฺเส หตฺถกมฺมํ
ยาจิตฺวา สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา
แต่ว่า (อ. ต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก) (อันพระศาสดา) ผู้เมื่อ
ทรงละแล้ว (ซึ่งภิกษุ ท.) เหล่านั่น มีประมาณเท่านี้ ประทาน
ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก (แก่ภิกษุ ท.) ผู้บวชแล้วในภายหลัง
แห่งภิกษุทั้งปวง ประทานแล้ว เพราะทรงแลดู ซึ่งหน้า ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.)
ย่อมกล่าว (ซึ่งเรื่อง) อะไร ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. ข้าพระองค์ ท.
ย่อมกล่าว ซึ่งเรื่อง) ชื่อนี้ดังนี้(อันภิกษุ ท. เหล่านั้น) กราบทูลแล้ว,
(ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เรา ย่อมให้ แก่ภิกษุ ท. เพราะแลดู
ซึ่งหน้า หามิได้, แต่ว่า (อ. เรา) ย่อมให้ ( ซึ่งต�ำแหน่ง) อันตน ๆ
ปรารถนาแล้วและปรารถนาแล้วนั่นเทียว แก่ภิกษุ ท. เหล่านั่น;
ก็ อ. อัญญาโกณฑัญญะ เมื่อถวาย ซึ่งทานในเพราะข้าวกล้า
อันเลิศ ท. ๙ ในเพราะข้าวกล้า ครั้งหนึ่ง ปรารถนาแล้ว
ซึ่งต�ำแหน่งแห่งอัครสาวก ได้ถวายแล้ว หามิได้ , แต่ว่า
(อ.อัญญาโกณฑัญญะ) ปรารถนาแล้ว เพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งพระอรหัต
อันเป็นธรรมอันเลิศ ก่อนกว่าชนทั้งปวง ได้ถวายแล้ว ดังนี้ ฯ
(อ. ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
(อ. พระอัญญาโกณฑัญญะ ปรารถนาแล้ว เพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งพระอรหัต
อันเป็นธรรมอันเลิศ ก่อนกว่าชนทั้งปวง ได้ถวายแล้ว) ในกาลไร
ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.)
จักฟังหรือ ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระเจ้าข้า (อ. ข้าพระองค์ ท. จักฟัง) ดังนี้ ฯ
(อ.พระศาสดา ทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว) ว่า
ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี
ได้เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก ในกัปป
์ ๙๑ แต่ภัททกัปป
์ นี้ฯ
ในกาลนั้น อ. กุฎุมพี ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๒ คน คือ อ. มหากาล
อ. จุลกาล (ยังบุคคล) ให้หว่านแล้ว ซึ่งนาแห่งข้าวสาลี ใหญ่ ฯ
ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. จุลกาล ไปแล้ว สู่นาแห่งข้าวสาลี ฉีกแล้ว
ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลีหนึ่ง เคี้ยวกินแล้ว ฯ (อ. อาหารวัตถุนั้น)
เป็นของมีรสอันอร่อยยิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ
อ.จุลกาลนั้น เป็นผู้ใคร่เพื่ออันถวาย ถวายซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี
แก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็น เข้าไปหาแล้ว
ซึ่งพี่ชายผู้เจริญที่สุด กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่พี่ (อ. เรา ท.) ฉีกแล้ว
ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี (ยังบุคคล) ให้ต้มแล้ว กระท�ำ ให้เป็นของสมควร
แก่พระพุทธเจ้า ท. จะถวาย ซึ่งทาน ดังนี้ฯ
อ. พี่ชายผู้เจริญที่สุด กล่าวแล้ว ว่า (อ. ท่าน) กล่าวแล้ว
(ซึ่งค�ำ) อะไร, ชื่อ อ. การ ฉีกแล้ว ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี ถวาย
เป็นของไม่เคยมีแล้ว ในกาลอันล่วงไปแล้วนั่นเทียว (ย่อมเป็น),
จักไม่มี ในกาลอันไม่มาแล้ว , (อ. ท่าน) อย่ายังข้าวกล้า
ให้ฉิบหายแล้ว ดังนี้ ฯ
อ.จุลกาลนั้น อ้อนวอนแล้ว บ่อย ๆ นั่นเทียว ฯ
ครั้งนั้น อ. พี่ชาย กล่าวแล้ว กะจุลกาลนั้น ว่า ถ้าอย่างนั้น
อ.เจ้า กระท�ำแล้ว ซึ่งนา ให้เป็นส่วนสอง ไม่แตะต้องแล้ว
ซึ่งส่วนของเรา, (อ. เจ้า) ย่อมปรารถนา ซึ่งกรรมใด, จงกระท�ำ
ซึ่งกรรมนั้น ในส่วนแห่งนา ของตน ดังนี้ ฯ อ. จุลกาลนั้น
(รับพร้อมแล้ว) ว่า อ. ดีละ ดังนี้ แบ่งแล้ว ซึ่งนา ขอแล้ว
ซึ่งหัตถกรรม กะมนุษย์ ท. มาก ฉีกแล้ว ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 89
นิรุทเก ขีเร ปจาเปตฺวา สปฺปิมธุสกฺขราหิ โยเชตฺวา
พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา
ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน “อิทํ ภนฺเต มม อคฺคทานํ
อคฺคธมฺมสฺส สพฺพป€มํ ปฏิเวธาย สํวตฺตตูติ อาห.
สตฺถา “เอวํ โหตูติ อนุโมทนํ อกาสิ.
โส เขตฺตํ คนฺตฺวา โอโลเกนฺโต สกลเขตฺเต
กณฺณิกาพทฺเธหิ วิย สาลิสีเสหิ สฺฉนฺนํ ทิสฺวา
ปฺจวิธํ ปีตึ ปฏิลภิตฺวา “ลาภา วต เมติ จินฺเตตฺวา
ปุถุกกาเล ปุถุกคฺคํ นาม อทาสิ, คามวาสีหิ สทฺธึ
อคฺคสสฺสทานํ นาม อทาสิ; ลายเน ลายนคฺคํ,
เวณิกรเณ เวณิคฺคํ, กลาปาทีสุ กลาปคฺคํ ขลคฺคํ
ภณฺฑคฺคํ โกฏฺ€คฺคนฺติ เอวํ เอกสสฺเส นว วาเร
อคฺคทานํ อทาสิ.
ตสฺส สพฺเพสุ วาเรสุ คหิตคหิตฏฺ€านํ ปริปูริ.
สสฺสํ อติเรกํ อุฏฺ€านสมฺปนฺนํ อโหสิ.
ธมฺโม นาเมส อตฺตานํ รกฺขนฺตํ รกฺขติ.
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ
ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ
เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ
น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารีติ.
เอวเมว วิปสฺสิสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล อคฺคธมฺมํ
ป€มํ ปฏิวิชฺฌิตุํ ปตฺเถนฺโต นว อคฺคทานานิ
อทาสิ.
อิโต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก ปน หํสวตีนคเร
ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเลปิ สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ตสฺส
ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา อคฺคธมฺมสฺส ป€มํ
ปฏิวิชฺฌนตฺถเมว ปตฺถนํ €เปสิ.
ยังบุคคลให้ต้มแล้ว ในน�้ำนม อันไม่มีน�ำ้ ปรุงแล้วด้วยเนยใสและ
น�้ำผึ้งและน�้ำตาลกรวด ท. ถวายแล้ว ซึ่งทาน แก่หมู่แห่งภิกษุ
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. ทานอันเลิศ ของข้าพระองค์ นี้ จงเป็นไปพร้อมเพื่ออันรู้ตลอด
ซึ่งธรรมอันเลิศ ก่อนกว่าชนทั้งปวง ดังนี้ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบ
แห่งกิจด้วยภัตร ฯ
อ.พระศาสดา ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งอนุโมทนา ว่า
(อ. ความปรารถนาอันอันท่านปรารถนาแล้ว) อย่างนี้ จงมีเถิด
ดังนี้ฯ
อ.จุลกาลนั้น ไปแล้ว สู่นา แลดูอยู่ เห็นแล้ว (ซึ่งนา) อันดาดาษแล้ว
ด้วยรวงแห่งข้าวสาลี ท. อันราวกะว่าเนื่องกันแล้วโดยความเป็นช่อ
ในนาทั้งสิ้น ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งปีติ มีอย่าง ๕ คิดแล้ว ว่า อ. ลาภ ท.
หนอ ของเรา ดังนี้ ได้ถวายแล้ว ชื่อซึ่งทานอันเลิศในเพราะข้าวเม่า
ในกาลแห่งข้าวเม่า, ได้ถวายแล้ว ชื่อซึ่งทานในเพราะข้าวกล้าอันเลิศ
กับ ด้วยชน ท. ผู้อยู่ในบ้านโดยปกติ; (ได้ถวายแล้ว) ซึ่งทาน
อันเลิศในการเกี่ยว ในกาลเป็นที่เกี่ยว, (ได้ถวายแล้ว) ซึ่งทาน
อันเลิศในการกระท�ำซึ่งขะเน็ด ในกาลเป็นที่กระท�ำซึ่งขะเน็ด,
(ได้ถวายแล้ว) (ซึ่งทาน) อันเลิศในฟ่อน (ซึ่งทาน) อันเลิศในลาน
(ซึ่งทาน) อันเลิศในลอม (ซึ่งทาน) อันเลิศในฉาง ในกาล ท.
มีกาลเป็นที่กระท�ำซึ่งฟ่อนเป็นต้น ได้ถวายแล้ว ซึ่งทานอันเลิศ
สิ้นวาระ ท. ๙ ในเพราะข้าวกล้า ครั้งหนึ่ง อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ฯ
อ. ที่ (แห่งข้าวกล้า) อันจุลกาลนั้นถือเอาแล้วและถือเอาแล้ว
ในวาระ ท. ทั้งปวง เต็มรอบแล้ว ฯ
อ. ข้าวกล้า เป็นข้าวเหลือเฟือ เป็นข้าวถึงพร้อมแล้วด้วยอันตั้งขึ้น
ได้เป็นแล้ว ฯ
ชื่อ อ. ธรรม นั่น ย่อมรักษา (ซึ่งบุคคล) ผู้รักษาอยู่ ซึ่งตน ฯ
(เพราะเหตุนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ว่า)
อ. ธรรมแล ย่อมรักษา ซึ่งบุคคลผู้ประพฤติซึ่งธรรมโดยปกติ
อ. ธรรม อันบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมน�ำมา ซึ่งความสุข
อ. อานิสงส์ นั่น เป็นอานิสงส์ ในธรรม อันบุคคลประพฤติดีแล้ว
(ย่อมเป็น) อ.บุคคลผู้ประพฤติซึ่งธรรมโดยปกติ ย่อมไม่ไป
สู่ทุคติ ดังนี้ ฯ
(อ. อัญญาโกณฑัญญะ)ปรารถนาอยู่เพื่ออันรู้ตลอดซึ่งธรรม
อันเลิศ ก่อน ได้ถวายแล้วซึ่งทานอันเลิศ ท. เก้า ในกาล
แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี อย่างนี้นั่นเทียว ฯ
อนึ่ง (อ. อัญญาโกณฑัญญะ) ถวายแล้ว ซึ่งทานใหญ่ สิ้นวันเจ็ด
หมอบลงแล้ว ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
นั้น ตั้งไว้แล้ว ซึ่งความปรารถนา เพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งธรรมอันเลิศ
ก่อนนั่นเทียว แม้ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ในเมืองชื่อว่าหงสวดี ในที่สุดแห่งกัปป
์ แสนหนึ่ง แต่ภัททกัปป
์ นี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
90
อิติ อิมินา ปตฺถิตเมว มยา ทินฺนํ, นาหํ มุขํ
โอโลเกตฺวา เทมีติ.
“ยสกุลปุตฺตปฺปมุขา ปฺจปฺาส ชนา กึ
กมฺมํ กรึสุ ภนฺเตติ.
“เอเตปิ เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก อรหตฺตํ
ปตฺเถนฺตา พหุํ ปุฺกมฺมํ กตฺวา, อปรภาเค
อนุปฺปนฺเน พุทฺเธ, สหายกา หุตฺวา วคฺคพนฺเธน
ปุฺานิ กโรนฺตา อนาถสรีรานิ ปฏิชคฺคนฺตา
วิจรึสุ.
เต เอกทิวสํ สคพฺภํ อิตฺถึ กาลกตํ ทิสฺวา
“ฌาเปสฺสามาติ สุสานํ หรึสุ.
เตสุ ปฺจ ชเน “ตุมฺเห ฌาเปถาติ สุสาเน
€เปตฺวา เสสา คามํ ปวิฏฺ€า.
ยสทารโก ตํ สรีรํ สูเลหิ วิชฺฌิตฺวา ปริวตฺเตตฺวา
ปริวตฺเตตฺวา ฌาเปนฺโต อสุภสฺํ ปฏิลภิ.
อิตเรสํปิ จตุนฺนํ ชนานํ “ปสฺสถ โภ อิมํ สรีรํ
ตตฺถ ตตฺถ วิทฺธสฺตจมฺมํ กพรโครูปํ วิย อสุจึ
ทุคฺคนฺธํ ปฏิกูลนฺติ ทสฺเสสิ.
เตปิ ตตฺถ อสุภสฺํ ปฏิลภึสุ. เต ปฺจ
ชนา คามํ คนฺตฺวา เสสสหายกานํ กถยึสุ.
ยโส ปน ทารโก เคหํ คนฺตฺวา มาตาปิตูนฺจ
ภริยาย จ กเถสิ.
เต สพฺเพปิ อสุภํ ภาวยึสุ.
อิทเมเตสํ ปุพฺพกมฺมํ.
เตเนว ยสสฺส อิตฺถาคาเร สุสานสฺา
อุปฺปชฺชิ.
ตาย จ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติยา สพฺเพสํ
วิเสสาธิคโม นิพฺพตฺติ.
เอวํ อิเม อตฺตนา ปตฺถิตเมว ลภึสุ.
นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ทมฺมีติ.
“ภทฺทวคฺคิยา สหายกา ปน กึ กรึสุ ภนฺเตติ.
“เอเตปิ ภิกฺขเว ปุพฺพพุทฺธานํ สนฺติเก อรหตฺตํ
ปตฺเถตฺวา ปุฺานิ กตฺวา,
(อ. ต�ำแหน่ง) อันอัญญาโกณฑัญญะนี้ปรารถนาแล้วนั่นเทียว
อันเรา ให้แล้ว ด้วยประการฉะนี้, อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดู
ซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ฯ *จบ ก. ๑๗*
(อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ชน ท.
ห้าสิบห้า มีกุลบุตรชื่อว่ายสะเป็นประมุข กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม
อะไร ดังนี้ฯ
(อ.พระศาสดาตรัสแล้ว)ว่าอ.ชนท.แม้เหล่านั่นปรารถนาอยู่
ซึ่งพระอรหัต ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง กระท�ำแล้ว
ซึ่งกรรมคือบุญ มาก, ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า
ไม่เสด็จอุบัติแล้ว, เป็นสหายกัน เป็น กระท�ำอยู่ ซึ่งบุญ ท.
ด้วยการผูกกันเป็นพวก เที่ยวปฏิบัติอยู่แล้ว ซึ่งสรีระอันไม่มีที่พึ่ง ท. ฯ
ในวันหนึ่ง อ. ชน ท. เหล่านั้น เห็นแล้ว ซึ่งหญิง ผู้เป็นไป
กับด้วยครรภ์ ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว (ปรึกษากันแล้ว) ว่า
(อ. เรา ท. ยังสรีระ) จักให้ไหม้ ดังนี้น�ำไปแล้ว สู่ป่าช้า ฯ
ในชน ท. เหล่านั้นหนา อ. ชน ท. ผู้เหลือ เว้น ซึ่งชน ท. ๕
ในป่าช้า (ด้วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน ท. (ยังสรีระ) จงให้ไหม้ ดังนี้
เข้าไปแล้ว สู่บ้าน ฯ
อ. ทารกชื่อว่ายสะ แทงแล้ว ซึ่งสรีระนั้น ด้วยหลาว ท.
(ยังสรีระ) ให้เป็นไปรอบแล้วๆ ให้ไหม้อยู่ ได้เฉพาะแล้ว
ซึ่งอสุภสัญญา ฯ
(อ. ยสะ) แสดงแล้ว แก่ชน ท. ๔ แม้เหล่านอกนี้(ด้วยค�ำ) ว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท. (อ. ท่าน ท. ) จงเห็น ซึ่งสรีระ นี้มีหนังอันไฟ
ขจัดแล้ว ในที่นั้น ๆ ราวกะว่าแม่โคด่าง อันไม่สะอาด มีกลิ่นชั่ว
อันสกปรก ดังนี้ ฯ
อ.ชนท.แม้เหล่านั้นได้เฉพาะแล้วซึ่งอสุภสัญญาในสรีระนั้น ฯ
อ.ชน ท. ห้า เหล่านั้น ไปแล้ว สู่บ้าน บอกแล้ว แก่สหายผู้เหลือ ท. ฯ
ส่วนว่า อ.ทารก ชื่อว่ายสะ ไปแล้ว สู่เรือน บอกแล้ว
แก่มารดาและบิดา ท. ด้วย แก่ภรรยา ด้วย ฯ
อ.ชนท.เหล่านั้นแม้ทั้งปวง ยังอสุภกรรมฐานให้เจริญแล้วฯ
อ.กรรมนี้ เป็นกรรมในกาลก่อน ของชน ท. เหล่านั่น
(ย่อมเป็น) ฯ
เพราะเหตุนั้นนั่นเทียว อ.ความส�ำคัญว่าป่าช้า ในเรือน
อันเต็มแล้วด้วยหญิง เกิดขึ้นแล้ว แก่ยสะ ฯ
ก็ อ. การถึงทับซึ่งคุณวิเศษ บังเกิดแล้ว แก่ชน ท. ทั้งปวง
เพราะความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัย นั้น ฯ
อ. ชน ท. เหล่านี้ได้แล้ว (ซึ่งต�ำแหน่ง) อันอันตนปรารถนาแล้ว
นั่นเทียว อย่างนี้ ฯ
อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดูซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ ฯ
(อ.ภิกษุท.ทูลถามแล้ว)ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็ อ.สหาย
ท. ผู้นับเนื่องแล้วในพวกอันเจริญ กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอะไร ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สหาย ท.
แม้เหล่านั่น ปรารถนาแล้ว ซึ่งพระอรหัต ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า
ในกาลก่อน ท. กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญ ท.,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 91
อปรภาเค อนุปฺปนฺเน พุทฺเธ, ตึสธุตฺตา หุตฺวา
ตุณฺฑิโลวาทํ สุตฺวา สฏฺ€ิวสฺสสหสฺสานิ ปฺจ สีลานิ
รกฺขึสุ.
เอวํ อิเมปิ อตฺตนา ปตฺถิตปตฺถิตเมว ลภึสุ,
นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขูนํ ทมฺมีติ.
“อุรุเวลกสฺสปาทโย ปน ภนฺเต กึ กรึสูติ.
“อรหตฺตเมว ปตฺเถตฺวา ปุฺานิ กรึสุ.
อิโต หิ เทฺวนวุติกปฺเป `ติสฺโส ผุสฺโสติ เทฺว
พุทฺธา อุปฺปชฺชึสุ.
ผุสฺสพุทฺธสฺส มหินฺโท นาม ราชา ปิตา อโหสิ.
ตสฺมึ ปน สมฺโพธึ ปตฺเต, รฺโ กนิฏฺ€ปุตฺโต
อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุตฺโต ทุติยสาวโก อโหสิ.
ราชา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา “เชฏฺ€ปุตฺโต
เม พุทฺโธ, กนิฏฺ€ปุตฺโต อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุตฺโต
ทุติยสาวโกติ เต โอโลเกตฺวา “มเมว พุทฺโธ,
มเมว ธมฺโม, มเมว สงฺโฆ; นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสาติ ติกฺขตฺตุํ อุทานํ
อุทาเนตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา “ภนฺเต
อิทานิ เม นวุติวสฺสสหสฺสปริมาณสฺส อายุโน
โกฏิยํ นิสีทิตฺวา นิทฺทายนกาโล วิย, อฺเสํ
เคหทฺวารํ อคนฺตฺวา, ยาวาหํ ชีวามิ, ตาว เม
จตฺตาโร ปจฺจเย อธิวาเสถาติ ปฏิฺํ คเหตฺวา
นิพทฺธํ พุทฺธุปฏฺ€านํ กโรติ.
รฺโ ปน อปเรปิ ตโย ปุตฺตา อเหสุํ.
เตสุ เชฏฺ€สฺส ปฺจ โยธสตานิ ปริวาโร,
มชฺฌิมสฺส ตีณิ, กนิฏฺ€สฺส เทฺว.
เต “มยมฺปิ ภาติกํ โภเชสฺสามาติ ปิตรํ
โอกาสํ ยาจิตฺวา
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ไม่เสด็จอุบัติแล้ว,
เป็นนักเลง ๓๐ คน เป็น ฟังแล้ว ซึ่งโอวาทแห่งสุกรผู้เป็นบัณฑิต
ชื่อว่าตุณฑิละ รักษาแล้ว ซึ่งศีล ท. ๕ สิ้นพันแห่งปี ๖๐ ท. ฯ
(อ. สหาย ท.)แม้เหล่านี้ ได้แล้ว ซึ่งต�ำแหน่ง อันอันตน
ปรารถนาแล้วและปรารถนาแล้ว นั่นเทียว อย่างนี้, อ. เรา ย่อมให้
แก่ภิกษุ ท. เพราะแลดู ซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ฯ
(อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็
(อ. ภิกษุ ท.)มีพระอุรุเวลากัสสปะเป็นต้น กระท�ำแล้ว (ซึ่งกรรม)
อะไร ดังนี้ฯ
(อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว)ว่า(อ.ภิกษุท.เหล่านั้น)ปรารถนาแล้ว
ซึ่งพระอรหัตนั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญ ท. ฯ
ดังจะกล่าวโดยย่อ อ. พระพุทธเจ้า ท. สอง คือ
อ.พระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ อ.พระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ
เสด็จอุบัติแล้ว ในกัปป
์ ๙๒ แต่ภัททกัปป
์ นี้ ฯ
อ.พระราชาพระนามว่ามหินท์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า
พระนามว่าผุสสะ ได้เป็นแล้ว ฯ
ก็ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้านั้น ทรงบรรลุแล้ว ซึ่งพระญาณ
เป็นเครื่องตรัสรู้พร้อม, อ. พระโอรสผู้น้อยที่สุด ของพระราชา
เป็นสาวกผู้เลิศ (ได้เป็นแล้ว), อ. บุตรของปุโรหิต เป็นสาวกที่สอง
ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. พระราชา เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ทรงแลดูแล้ว
ซึ่งชน ท. เหล่านั้น (ด้วยอันทรงด�ำริ) ว่า อ. บุตรผู้เจริญที่สุด ของเรา
เป็นพระพุทธเจ้า (ได้เป็นแล้ว), อ. บุตรผู้น้อยที่สุด เป็นสาวกผู้เลิศ
(ได้เป็นแล้ว), อ. บุตรของปุโรหิต เป็นสาวกที่สอง (ได้เป็นแล้ว) ดังนี้
ทรงเปล่งแล้ว ซึ่งอุทาน ๓ ครั้ง ว่า อ. พระพุทธเจ้า ของเรานั่นเทียว,
อ.พระธรรม ของเรานั่นเทียว, อ. พระสงฆ์ ของเรา นั่นเทียว;
อ.ความนอบน้อม (จงมี) แก่พระผู้มีภาคเจ้า พระองค์นั้น
ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบแล้ว ดังนี้ ทรงหมอบลงแล้ว
ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระศาสดา ทรงรับแล้ว ซึ่งปฏิญญา
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. กาลนี้ เป็นราวกะว่ากาลเป็นที่นั่ง-
ประพฤติหลับ ในที่สุด แห่งอายุ มีพันแห่งปีเก้าสิบเป็นประมาณ
ของหม่อมฉัน (ย่อมเป็น), (อ. พระองค์) ไม่เสด็จไปแล้ว สู่ประตู
แห่งเรือน ของชน ท. เหล่าอื่น, อ. หม่อมฉัน ย่อมเป็นอยู่ เพียงใด,
ทรงยังปัจจัย ท. สี่ ของหม่อมฉัน จงให้อยู่ทับ เพียงนั้น ดังนี้
ย่อมทรงกระท�ำ ซึ่งการบ�ำรุงซึ่งพระพุทธเจ้า เนืองนิตย์ ฯ
ก็ อ. พระโอรส ท. สาม แม้เหล่าอื่นอีก ของพระราชา ได้มีแล้ว ฯ
ในพระโอรส ท. ๓ เหล่านั้นหนา อ. ร้อยแห่งทหาร ท. ๕ เป็นบริวาร
ของพระโอรสผู้เจริญที่สุด (ได้เป็นแล้ว),( อ. ร้อยแห่งทหาร ท.) ๓
(เป็นบริวาร) ของพระโอรสผู้มีในท่ามกลาง (ได้เป็นแล้ว),
(อ. ร้อยแห่งทหาร ท.) ๒ (เป็นบริวาร) ของพระโอรสผู้น้อยที่สุด
(ได้เป็นแล้ว) ฯ
อ. พระโอรส ท. ๓ เหล่านั้น (ทรงปรึกษากันแล้ว) ว่า แม้
อ. เรา ท. ยังพระเจ้าพี่ จักให้เสวย ดังนี้ ทรงขอแล้ว ซึ่งโอกาส
กะพระบิดา
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
92
ปุนปฺปุนํ ยาจนฺตาปิ อลภิตฺวา, ปจฺจนฺเต กุปิเต,
ตสฺส วูปสมนตฺถาย เปสิตา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา
ปิตุ สนฺติกํ อาคมึสุ.
อถ เน ปิตา อาลิงฺคิตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา
“วรํ โว ตาตา ทมฺมีติ อาห.
เต “สาธุ เทวาติ วรํ คหิตกํ กตฺวา ปุน
กติปาหจฺจเยน ปิตรา “คณฺหถ ตาตา วรนฺติ
วุตฺตา “เทว อมฺหากํ อฺเน เกนจิ อตฺโถ
นตฺถิ, อิโต ปฏฺ€าย มยํ ภาติกํ โภเชสฺสาม, อิมํ
โน วรํ เทหีติ อาหํสุ.
“น เทมิ ตาตาติ.
“นิจฺจกาลํ อเทนฺตา สตฺต สํวจฺฉรานิ เทถาติ.
“น เทมิ ตาตาติ.
“เตนหิ ฉ ปฺจ จตฺตาริ ตีณิ เทฺว เอกํ สํวจฺฉรํ
สตฺต มาเส ฉ มาเส ปฺจ มาเส จตฺตาโร มาเส
ตโย มาเส เทถาติ.
“น เทมิ ตาตาติ.
“โหตุ เทว, เอเกกสฺส โน เอเกกํ มาสํ กตฺวา
ตโย มาเส เทถาติ.
“สาธุ ตาตา, เตนหิ ตโย มาเส โภเชถาติ.
เตสํ ปน ติณฺณมฺปิ เอโก ว โกฏฺ€าคาริโก,
เอโก ว อายุตฺตโก.
เต ทฺวาทสนหุตปุริสปริวารา.
เต ปกฺโกสาเปตฺวา “มยํ อิมํ เตมาสํ ทส
สีลานิ คเหตฺวา เทฺว กาสายานิ นิวาเสตฺวา
สตฺถารา สหวาสํ วสิสฺสาม, ตุมฺเห เอตฺตกํ นาม
ทานวฏฺฏํ คเหตฺวา เทวสิกํ นวุติสหสฺสานํ ภิกฺขูนํ
โยธสหสฺสสฺส จ โน สพฺพํ ขาทนียโภชนียํ
สํวตฺเตยฺยาถ, มยํ หิ อิโต ปฏฺ€าย น กิฺจิ
วกฺขามาติ วทึสุ.
เต ตโยปิ ปริวารกปุริสสหสฺสํ คเหตฺวา ทส
สีลานิ สมาทาย กาสายวตฺถานิ นิวาเสตฺวา
วิหาเรเยว วสึสุ.
แม้ทรงขออยู่บ่อยๆไม่ทรงได้แล้ว,ครั้นเมื่อประเทศอันเป็นที่สุดเฉพาะ
(อันโจร ท.) ให้ก�ำเริบแล้ว, ผู้อันพระบิดา ทรงส่งไปแล้ว เพื่อประโยชน์
แก่ความเข้าไปสงบวิเศษ แห่งประเทศอันเป็นที่สุดเฉพาะนั้น
ครั้นทรงยังประเทศอันเป็นที่สุดเฉพาะ ให้เข้าไปสงบวิเศษแล้ว
เสด็จมาแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระบิดา ฯ
ครั้งนั้น อ. พระบิดา ทรงสวมกอดแล้ว ซึ่งพระโอรส ท. เหล่านั้น
ทรงจุมพิตแล้ว ที่พระเศียร ตรัสแล้ว ว่า แน่ะพ่อ ท. (อ. เรา) จะให้
ซึ่งพร แก่เจ้า ท. ดังนี้ฯ
อ.พระโอรส ท. เหล่านั้น (ทรงรับพร้อมแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้สมมติเทพ อ. ดีละ ดังนี้ ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งพร ให้เป็นพร
อันพระองค์ทรงรับเอาแล้ว ผู้อันพระบิดาตรัสแล้วว่า แน่ะพ่อ ท.
(อ. เจ้า ท.) จงรับ ซึ่งพร ดังนี้โดยอันล่วงไปแห่งวันเล็กน้อย อีก
กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ อ.ความต้องการ
ด้วยวัตถุอะไร ๆ อื่น ย่อมไม่มี แก่ข้าพระพุทธเจ้า ท.,
อ.ข้าพระพุทธเจ้า ท. ยังพระเจ้าพี่ จักให้เสวย จ�ำเดิม แต่กาลนี้,
อ.พระองค์ ขอจงพระราชทาน ซึ่งพรนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ท. ดังนี้ฯ
(อ. พระราชา ตรัสแล้ว)ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เรา ย่อมไม่ให้ ดังนี้ฯ
(อ.พระโอรส ท. กราบทูลแล้ว) ว่า (อ. พระองค์ ท.) เมื่อไม่พระราชทาน
ตลอดกาลเนืองนิตย์ ขอจงพระราชทาน สิ้นปี ท. เจ็ด ดังนี้ ฯ
(อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เรา ย่อมไม่ให้ ดังนี้ ฯ
(อ. พระโอรส ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น (อ. พระองค์ ท.)
ขอจงพระราชทาน (สิ้นปี ท.) ๖ (สิ้นปี ท.) ๕ (สิ้นปี ท.) ๔
(สิ้นปี ท.) ๓ (สิ้นปี ท.) ๒ สิ้นปีหนึ่ง สิ้นเดือน ท. ๗ สิ้นเดือน ท. ๖
สิ้นเดือน ท. ๕ สิ้นเดือน ท. ๔ สิ้นเดือน ท. ๓ ดังนี้ ฯ
(อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เรา ย่อมไม่ให้ ดังนี้ฯ
(อ. พระโอรส ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้สมมติเทพ
(อ.ข้อนั่น) จงมีเถิด, อ. พระองค์ ท. ขอจงพระราชทาน สิ้นเดือน
ท. ๓ แก่ข้าพระพุทธเจ้า ท. กระท�ำ ให้เป็นเดือน ๆ หนึ่ง ๆ
แก่ข้าพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง ๆ ดังนี้ ฯ
(อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. ดีละ, ถ้าอย่างนั้น
อ. เจ้า ท. (ยังพระเจ้าพี่) จงให้เสวย สิ้นเดือน ท. ๓ ดังนี้ ฯ
ก็ อ.บุคคลผู้ประกอบแล้วในเรือนคลัง ของพระโอรส ท. แม้สาม
เหล่านั้น คนเดียวกันเทียว, อ. นายเสมียน คนเดียวกันเทียว ฯ
อ. พระโอรส ท. ๓ เหล่านั้น เป็นผู้มีบุรุษมีนหุต ๑๒ เป็นประมาณ
เป็นบริวาร (ย่อมเป็น) ฯ
(อ. พระโอรส ท. ๓) ทรงยังบุคคลให้ร้องเรียกแล้ว ซึ่งบุรุษ ท.
เหล่านั้น (ตรัสแล้ว) ว่า อ. เรา ท. รับแล้ว ซึ่งศีล ท. ๑๐ นุ่งแล้ว
ซึ่งผ้ากาสายะ ท. ๒ จักอยู่ อยู่กับ ด้วยพระศาสดา ตลอดประชุม
แห่งเดือนสาม นี้, อ. ท่าน ท. รับแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในทาน
ชื่อมีประมาณเท่านี้ ยังของอันบุคคลพึงเคี้ยวและของอันบุคคล
พึงบริโภค ทั้งปวง พึงให้เป็นไปพร้อม แก่ภิกษุ ท. เก้าหมื่นรูปด้วย
แก่พันแห่งทหาร ของเรา ท. ด้วย ทุก ๆ วัน, เพราะว่า อ. เรา ท.
จักไม่กล่าว ซึ่งค�ำอะไร ๆ จ�ำเดิม แต่กาลนี้ ดังนี้ ฯ
อ. พระโอรส ท. แม้สาม เหล่านั้น ทรงพาเอาแล้ว ซึ่งพันแห่ง
บุรุษผู้เป็นบริวาร ทรงสมาทานแล้ว ซึ่งศีล ท. ๑๐ ทรงนุ่งแล้ว
ซึ่งผ้ากาสายะ ท. ประทับอยู่แล้ว ในวิหารนั่นเทียว ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 93
โกฏฺ€าคาริโก จ อายุตฺตโก จ เอกโต หุตฺวา
ติณฺณํ ภาติกานํ โกฏฺ€าคาเรหิ วาเรน วาเรน
วฏฺฏํ คเหตฺวา ทานํ เทนฺติ.
กมฺมกรานํ ปน ปุตฺตา ยาคุภตฺตาทีนํ อตฺถาย
โรทนฺติ.
เต เตสํ, ภิกฺขุสงฺเฆ อนาคเตเยว, ยาคุภตฺตาทีนิ
เทนฺติ.
ภิกฺขุสงฺฆสฺส ภตฺตกิจฺจาวสาเน กิฺจิ อติเรกํ
น ภูตปุพฺพํ.
เต อปรภาเค “ทารกานํ เทมาติ อตฺตนาปิ
คเหตฺวา ขาทึสุ, มนุฺํปิ อาหารํ ทิสฺวา
อธิวาเสตุํ นาสกฺขึสุ.
เต ปน จตุราสีติสหสฺสา อเหสุํ.
เต สงฺฆสฺส ทินฺนํ วฏฺฏํ ขาทิตฺวา กายสฺส
เภทา เปตฺติวิสเย นิพฺพตฺตึสุ.
เต ภาติกา ปน ปุริสสหสฺเสน สทฺธึ กาลํ
กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เทวโลกา เทวโลกํ
สํสรนฺตา เทฺวนวุติกปฺเป เขเปสุํ.
เอวํ เต ตโย ภาตโร อรหตฺตํ ปตฺเถนฺตา
ตทา กลฺยาณกมฺมํ กรึสุ.
เต อตฺตนา ปตฺถิตเมว ลภึสุ.
นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ทมฺมีติ.”
ตทา ปน เตสํ อายุตฺตโก พิมฺพิสาโร อโหสิ,
โกฏฺ€าคาริโก วิสาโข อุปาสโก.
เตสํ กมฺมกรา ตทา เปเตสุ นิพฺพตฺติตฺวา
สุคติทุคฺคติวเสน สํสรนฺตา อิมสฺมึ กปฺเป จตฺตาริ
พุทฺธนฺตรานิ เปตโลเกเยว นิพฺพตฺตึสุ.
เต อิมสฺมึ กปฺเป สพฺพป€มํ อุปฺปนฺนํ
จตฺตาฬีสวสฺสสหสฺสายุกํ กกุสนฺธํภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา
“อมฺหากํ อาหารํ ลภนกาลํ อาจิกฺขถาติ ปุจฺฉึสุ.
อ. บุคคลผู้ประกอบแล้วในเรือนคลังด้วย อ. นายเสมียนด้วย
เป็น โดยความเป็นอันเดียวกัน รับแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่าย ตามวาระ ๆ
จากเรือนคลัง ท. ของพระโอรสผู้พี่น้องชาย ท. ๓ ย่อมถวาย
ซึ่งทาน ฯ
ก็ อ. บุตร ท. (ของชน ท.) ผู้กระท�ำซึ่งการงาน ย่อมร้องไห้
เพื่อประโยชน์ (แก่อาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ฯ
อ. ชน ท. เหล่านั้น, ครั้นเมื่อหมู่แห่งภิกษุ ไม่มาแล้วนั่นเทียว,
ย่อมให้ (ซึ่งอาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น แก่บุตร ท.
เหล่านั้น ฯ
(อ. อาหารวัตถุ) อันยิ่งเกิน ไร ๆ เป็นของไม่เคยมีแล้ว
ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งกิจด้วยภัตร แห่งหมู่แห่งภิกษุ (ย่อมเป็น) ฯ
ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก อ. ชน ท. เหล่านั้น (กล่าวแล้ว) ว่า
อ. เรา ท. จะให้ แก่เด็ก ท. ดังนี้ถือเอาแล้ว แม้ด้วยตน เคี้ยวกินแล้ว,
เห็นแล้ว ซึ่งอาหาร แม้อันเป็นที่ฟูแห่งใจ ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออัน
(ยังความฟูแห่งใจ) ให้อยู่ทับ ฯ
ก็ อ.ชน ท. เหล่านั้น เป็นผู้มีพันแปดสิบสี่เป็นประมาณ
ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. ชน ท. เหล่านั้น เคี้ยวกินแล้ว, ซึ่งค่าใช้จ่าย อันอันบุคคล
ถวายแล้ว แก่สงฆ์ บังเกิดแล้ว ในวิสัยแห่งเปรต เพราะความแตกไป
แห่งกาย ฯ
ส่วนว่า อ.พระโอรส ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน เหล่านั้น กับ
ด้วยพันแห่งบุรุษ กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ บังเกิดแล้ว ในเทวโลก
ท่องเที่ยวไปอยู่ สู่เทวโลก จากเทวโลก ยังกัปป
์ ๙๒ ท. ให้สิ้นไปแล้ว ฯ
อ.พระโอรส ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๓ เหล่านั้น ปรารถนาอยู่
ซึ่งพระอรหัต กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอันงาม ในกาลนั้น
ด้วยประการฉะนี้ฯ
อ. ชฎิล ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๓ เหล่านั้น ได้แล้ว (ซึ่งต�ำแหน่ง)
อันอันตนปรารถนาแล้วนั่นเทียว ฯ
อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดูซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ฯ
ก็ อ. นายเสมียน ของพระโอรส ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๓ เหล่านั้น
ในกาลนั้น เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ได้เป็นแล้ว (ในกาลนี้), อ. บุคคล
ผู้ประกอบแล้วในเรือนคลัง (ในกาลนั้น) เป็นอุบาสก ชื่อว่าวิสาขะ
(ได้เป็นแล้ว ในกาลนี้) ฯ
อ. ชน ท. ผู้กระท�ำซึ่งการงาน ของพระโอรส ท. ๓ เหล่านั้น
บังเกิดแล้ว ในเปรต ท. ในกาลนั้น ท่องเที่ยวไปอยู่ ด้วยอ�ำนาจ
แห่งสุคติและทุคติ บังเกิดแล้ว ในโลกแห่งเปรตนั่นเทียว
สิ้นพุทธันดร ท. ๔ ในกัปป
์ นี้ ฯ
อ. เปรต ท. เหล่านั้น เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่ากกุสันธะ ผู้ทรงมีอายุมีพันแห่งปี ๔๐ เป็นประมาณ
ผู้เสด็จอุบัติแล้ว ก่อนกว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวง ในกัปป
์ นี้ทูลถามแล้ว
ว่า อ. พระองค์ ท. ขอจงตรัสบอก ซึ่งกาลเป็นที่ได้ ซึ่งอาหาร
แก่ข้าพระองค์ ท. ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
94
“มม ตาว กาเล น ลภิสฺสถ, มม ปจฺฉโต
มหาป€วิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย โกนาคมนพุทฺโธ
อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตํ ปุจฺเฉยฺยาถาติ อาห.
เต ตตฺตกํ กาลํ เขเปตฺวา, ตสฺมึ อุปฺปนฺเน,
ตํ ปุจฺฉึสุ.
โสปิ “มม กาเล น ลภิสฺสถ, มม ปจฺฉโต
มหาป€วิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย กสฺสปพุทฺโธ
อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตํ ปุจฺเฉยฺยาถาติ อาห.
เต ตตฺตกํ กาลํ เขเปตฺวา, ตสฺมึ อุปฺปนฺเน,
ตํ ปุจฺฉึสุ.
โสปิ “มม กาเล น ลภิสฺสถ, มม ปจฺฉโต
มหาป€วิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย โคตมพุทฺโธ
นาม อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตทา ตุมฺหากํ าตโก พิมฺพิสาโร
นาม ราชา ภวิสฺสติ, โส สตฺถุ ทานํ ทตฺวา
ตุมฺหากํ ปาเปสฺสติ, ตทา ลภิสฺสถาติ อาห.
เตสํ เอกํ พุทฺธนฺตรํ เสฺวทิวสํ วิย อโหสิ.
เต, ตถาคเต อุปฺปนฺเน, พิมฺพิสารรฺา
ป€มทิวสํ ทาเน ทินฺเน, รตฺติภาเค เภรวสทฺทํ
กตฺวา รฺโ อตฺตานํ ทสฺสยึสุ.
โส ปุนทิวเส เวฬุวนํ อาคนฺตฺวา ตถาคตสฺส
ตํ ปวตฺตึ อาโรเจสิ.
สตฺถา “มหาราช อิโต เทฺวนวุติกปฺปมตฺถเก
ผุสฺสพุทฺธกาเล เอเต ตว าตกา ภิกฺขุสงฺฆสฺส
ทินฺนํ วฏฺฏํ ขาทิตฺวา เปตโลเก นิพฺพตฺติตฺวา
สํสรนฺตา กกุสนฺธาทโย พุทฺเธ อุปฺปนฺเน ปุจฺฉิตฺวา
เตหิ อิทฺจิทฺจ วุตฺตา เอตฺตกํ กาลํ ตว ทานํ
ปจฺจาสึสมานา, หิยฺโย ตยา ทาเน ทินฺเน, ปตฺตึ
อลภมานา เอวมกํสูติ.
“กึ ปน ภนฺเต อิทานิปิ ทินฺเน ลภิสฺสนฺตีติ.
“อาม มหาราชาติ.
(อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ) ตรัสแล้ว ว่า
อ. ท่าน ท. จักไม่ได้ ในกาล ของเรา ก่อน, ครั้นเมื่อแผ่นดินใหญ่
งอกขึ้นยิ่งแล้ว (สิ้นที่) มีโยชน์เป็นประมาณ อ.พระพุทธเจ้า
พระนามว่า โกนาคมน์ จักเสด็จอุบัติ ข้างหลัง ของเรา, อ. ท่าน ท.
พึงทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น ดังนี้ ฯ
อ. เปรต ท. เหล่านั้น ยังกาล มีประมาณเท่านั้น ให้สิ้นไปแล้ว,
ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสด็จอุบัติแล้ว, ทูลถามแล้ว
ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ
อ. พระพุทธเจ้า แม้นั้น ตรัสแล้ว ว่า อ. ท่าน ท. จักไม่ได้
ในกาล ของเรา, ครั้นเมื่อแผ่นดินใหญ่งอกขึ้นยิ่งแล้ว สิ้นที่มีโยชน์
เป็นประมาณ อ. พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ จักเสด็จอุบัติ
ข้างหลัง ของเรา, อ. ท่าน ท. พึงทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ดังนี้ฯ
อ.เปรต ท. เหล่านั้น ยังกาล มีประมาณเท่านั้น ให้สิ้นไปแล้ว,
ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น เสด็จอุบัติแล้ว, ทูลถามแล้ว
ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ
อ. พระพุทธเจ้า แม้นั้น ตรัสแล้ว ว่า อ. ท่าน ท. จักไม่ได้
ในกาล ของเรา, ครั้นเมื่อแผ่นดินใหญ่ งอกขึ้นยิ่งแล้ว สิ้นที่มีโยชน์
เป็นประมาณ ชื่อ อ. พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติ
ข้างหลัง ของเรา , ในกาลนั้น อ. ญาติ ของท่าน ท.
เป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร จักเป็น, อ.พระราชา นั้น
ถวายแล้ว ซึ่งทาน แก่พระศาสดา (ทรงยังทาน) จักให้ถึง แก่ท่าน
ท., อ. ท่าน ท. จักได้ ในกาลนั้น ดังนี้ ฯ
อ. พุทธันดรหนึ่ง เป็นราวกะว่าวันพรุ่ง ได้มีแล้ว แก่เปรต ท.
เหล่านั้น ฯ
อ. เปรต ท. เหล่านั้น, ครั้นเมื่อพระตถาคตเจ้า เสด็จอุบัติแล้ว,
ครั้นเมื่อทาน อันพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ทรงถวายแล้ว
ในวันที่หนึ่ง, กระท�ำแล้ว ซึ่งเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งความกลัว
แสดงแล้ว ซึ่งตน แก่พระราชา ในส่วนแห่งราตรี ฯ
ในวันรุ่งขึ้น อ. พระราชานั้น เสด็จมาแล้ว สู่พระเวฬุวัน
กราบทูลแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่ว นั้น แก่พระตถาคตเจ้า ฯ
อ. พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ญาติ ท.
ของพระองค์ เหล่านั้น เคี้ยวกินแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่าย อันอันบุคคล
ถวายแล้ว แก่หมู่แห่งภิกษุ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ
ในที่สุดแห่งกัปป
์ ๙๒ แต่ภัททกัปป
์ นี้ บังเกิดแล้ว ในโลกแห่งเปรต
ท่องเที่ยวไปอยู่ ทูลถามแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า ท. มีพระกกุสันธะ
เป็นต้น ผู้เสด็จอุบัติแล้ว ผู้อันพระพุทธเจ้า ท. เหล่านั้น ตรัสแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้ด้วย ๆ หวังเฉพาะอยู่ ซึ่งทาน ของพระองค์ สิ้นกาล
มีประมาณเท่านี้, ครั้นเมื่อทานอันพระองค์ ทรงถวายแล้ว
ในวันวาน, ไม่ได้อยู่ซึ่งส่วนบุญ ได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ ดังนี้ ฯ
(อ. พระราชา ตรัสถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็
(ครั้นเมื่อทาน อันหม่อมฉัน) ถวายแล้ว แม้ในกาลนี้(อ. เปรต ท.)
จักได้ หรือ ดังนี้ฯ
(อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร ขอถวายพระพร
(อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 95
ราชา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมนฺเตตฺวา
ปุนทิวเส มหาทานํ ทตฺวา “ภนฺเต อิโต เตสํ
เปตานํ ทิพฺพนฺนปานํ สมฺปชฺชตูติ ปตฺตึ อทาสิ.
เตสํ ตเถว นิพฺพตฺติ.
ปุนทิวเส นคฺคา หุตฺวา อตฺตานํ ทสฺเสสุํ.
ราชา “อชฺช ภนฺเต นคฺคา หุตฺวา อตฺตานํ
ทสฺเสสุนฺติ อาโรเจสิ.
“วตฺถานิ เต น ทินฺนานิ มหาราชาติ.
ปุนทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส จีวรานิ
ทตฺวา “อิโต เตสํ ทิพฺพวตฺถานิ โหนฺตูติ ปาเปสิ.
ตํขณฺเว เตสํ ทิพฺพวตฺถานิ อุปฺปชฺชึสุ.
เต เปตตฺตภาวํ วิชหิตฺวา ทิพฺพตฺตภาเวน
สณฺ€หึสุ.
สตฺถา อนุโมทนํ กโรนฺโต “ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺตีติ
ติโรกุฑฺฑานุโมทนํ อกาสิ.
อนุโมทนาวสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ
ธมฺมาภิสมโย อโหสิ.
อิติ สตฺถา เตภาติกชฏิลานํ วตฺถุํ กเถตฺวา อิมมฺปิ
ธมฺมเทสนํ อาหริ.
“อคฺคสาวกา ปน ภนฺเต กึ กรึสูติ.
“อคฺคสาวกภาวาย ปตฺถนํ กรึสุ.
อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกสฺส หิ กปฺปานํ อสงฺเขยฺยสฺส
มตฺถเก สารีปุตฺโต พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ,
นาเมน สรทมาณโว นาม อโหสิ.
โมคฺคลฺลาโน คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ,
นาเมน สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิโก นาม อโหสิ.
เต อุโภปิ สหปํ สุกีฬกา สหายกา อเหสุํ.
สรทมาณโว ปิตุอจฺจเยน กุลสนฺตกํ มหาธนํ
ปฏิปชฺชิตฺวา เอกทิวสํ รโหคโต จินฺเตสิ “อหํ
อิธโลกตฺตภาวเมว ชานามิ, โน ปรโลกตฺตภาวํ;
ชาตสตฺตานฺจ มรณํ นาม ธุวํ, มยา เอกํ ปพฺพชฺชํ
ปพฺพชิตฺวา โมกฺขธมฺมคเวสนํ กาตุํ วฏฺฏตีติ.
อ. พระราชา ทรงนิมนต์แล้ว ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข ถวายแล้ว ซึ่งทานใหญ่ ในวันรุ่งขึ้น ได้พระราชทานแล้ว
ซึ่งส่วนบุญ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.ข้าวและน�้ำอันบุคคล
พึงดื่มอันเป็นทิพย์ จงถึงพร้อม แก่เปรต ท. เหล่านั้น แต่มหาทาน
นี้ ดังนี้ ฯ
(อ.ข้าวและน�้ำอันบุคคลพึงดื่มอันเป็นทิพย์) บังเกิดแล้ว
แก่เปรต ท. เหล่านั้น อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ
ในวันรุ่งขึ้น (อ. เปรต ท.) เป็นผู้เปลือย เป็น แสดงแล้ว ซึ่งตน ฯ
อ.พระราชา ทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันนี้
(อ. เปรต ท.) เป็นผู้เปลือย เป็น แสดงแล้ว ซึ่งตน ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัส แล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ผ้า ท.
อันพระองค์ ไม่ทรงถวายแล้ว ดังนี้ฯ
ในวันรุ่งขึ้น (อ.พระราชา) ทรงถวายแล้ว ซึ่งจีวร ท.
แก่หมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (ทรงยังส่วนบุญ)
ให้ถึงแล้ว (แก่เปรต ท. ด้วยพระด�ำรัส) ว่า อ. ผ้าอันเป็นทิพย์ ท.
จงมี แก่เปรต ท. เหล่านั้น แต่ทานนี้ดังนี้ ฯ
อ. ผ้าอันเป็นทิพย์ ท. เกิดขึ้นแล้ว แก่เปรต ท. เหล่านั้น
ในขณะนั้น นั่นเทียว ฯ
อ.เปรตท.เหล่านั้น,ละแล้วซึ่งอัตภาพแห่งเปรตตั้งอยู่พร้อมแล้ว
โดยอัตภาพ อันเป็นทิพย์ ฯ
อ.พระศาสดา เมื่อทรงกระท�ำ ซึ่งอนุโมทนา ได้ทรงกระท�ำแล้ว
ซึ่งการอนุโมทนา ด้วยติโรกุฑฑสูตร ว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ
ดังนี้เป็นต้น ฯ
อ.อันรู้เฉพาะซึ่งธรรม ได้มีแล้ว แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท.
๘๔ ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งการอนุโมทนา ฯ
อ. พระศาสดา ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่อง แห่งชฎิลผู้เป็นพี่น้องกัน
๓คนท.ทรงน�ำมาแล้วซึ่งพระธรรมเทศนาแม้นี้ด้วยประการฉะนี้ฯ
(อ.ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็
อ. พระอัครสาวก ท. กระท�ำแล้ว (ซึ่งความปรารถนา) อย่างไร ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า (อ. อัครสาวก ท.) กระท�ำแล้ว
ซึ่งความปรารถนา เพื่อความเป็นแห่งสาวกผู้เลิศ ฯ
ดังจะกล่าวโดยย่อ อ.สารีบุตร บังเกิดแล้ว ในตระกูล
แห่งพราหมณ์ผู้มหาศาล ในที่สุด แห่งอสงไขย แห่งกัปป
์ ท.
อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป
์ แต่ภัททกัปป
์ นี้, เป็นผู้ชื่อว่าสรทมาณพ
โดยชื่อ ได้เป็นแล้ว ฯ
อ.โมคคัลลานะ บังเกิดแล้ว ในตระกูลแห่งคฤหบดี
ผู้มหาศาล, เป็นผู้ชื่อว่าสิริวัฑฒกุฎุมพี โดยชื่อ ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. ชน ท. แม้ทั้งสองเหล่านั้น เป็นเพื่อน ผู้เล่นซึ่งฝุ่นพร้อมกัน
ได้เป็นแล้ว ฯ
อ.มาณพชื่อว่าสรทะ ครอบครองแล้วซึ่งทรัพย์ใหญ่
อันเป็นของมีอยู่แห่งตระกูล โดยอันล่วงไปแห่งบิดา ผู้ไปแล้ว
ในที่ลับ ในวันหนึ่ง คิดแล้ว ว่า อ. เรา ย่อมรู้ ซึ่งอัตภาพ ในโลกนี้
นั่นเทียว, ย่อมไม่รู้ ซึ่งอัตภาพในโลกอื่น, ก็ ชื่อ อ. ความตาย
แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว ท. เป็นธรรมชาตยั่งยืน (ย่อมเป็น), อ.อัน
(อันเรา) บวชแล้ว บวช อย่างหนึ่ง กระท�ำ ซึ่งการแสวงหาซึ่งธรรม-
เป็นเหตุพ้น ย่อมควร ดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
96
โส สหายกํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห “สมฺม
สิริวฑฺฒ อหํ ปพฺพชิตฺวา โมกฺขธมฺมํ คเวสิสฺสามิ,
ตฺวํ มยา สทฺธึ ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสสิ, น สกฺขิสฺสสีติ.
“น สกฺขิสฺสามิ สมฺม, ตฺวํเยว ปพฺพชาหีติ.
โส จินฺเตสิ “ปรโลกํ คจฺฉนฺโต สหายํ วา
าติมิตฺเต วา คเหตฺวา คโต นาม นตฺถิ, อตฺตนา
กตํ อตฺตโนว โหตีติ.
ตโต รตนโกฏฺ€าคารํ วิวราเปตฺวา กปณทฺธิก-
วณิพฺพกยาจกานํ มหาทานํ ทตฺวา ปพฺพตปาทํ
ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิ.
ตสฺส เอโก เทฺว ตโยติ เอวํ อนุปพฺพชฺชํ
ปพฺพชิตฺวา จตุสตฺตติสหสฺสมตฺตา ชฏิลา อเหสุํ.
โส ปฺจ อภิฺา อฏฺ€ จ สมาปตฺติโย
นิพฺพตฺเตตฺวา เตสํ ชฏิลานํ กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขิ.
เตปิ สพฺเพ ปฺจ อภิฺา อฏฺ€ จ
สมาปตฺติโย นิพฺพตฺเตสุํ.
เตน สมเยน อโนมทสฺสี นาม พุทฺโธ โลเก
อุทปาทิ.
นครํ จนฺทวตี นาม อโหสิ. ปิตา ยสวนฺโต
นาม ขตฺติโย, มาตา ยโสธรา นาม เทวี, โพธิ
อชฺชุนรุกฺโข, นิสโภ จ อโนโม จ เทฺว อคฺคสาวกา,
วรุโณ นาม อุปฏฺ€าโก, สุนฺทรา จ สุมนา จ
เทฺว อคฺคสาวิกา; อายุ วสฺสสตสหสฺสํ อโหสิ, สรีรํ
อฏฺ€ปฺาสหตฺถุพฺเพธํ, สรีรปฺปภา ทฺวาทสโยชนํ
ผริ, ภิกฺขุสตสหสฺสํ ปริวาโร อโหสิ.
โส เอกทิวสํ ปจฺจูสกาเล มหากรุณาสมาปตฺติโต
วุฏฺ€าย โลกํ โวโลเกนฺโต สรทตาปสํ ทิสฺวา
อ. มาณพชื่อว่าสรทะนั้น เข้าไปหาแล้ว ซึ่งสหาย กล่าวแล้ว
ว่า แน่ะสิริวัฑฒ์ ผู้มีธุระเสมอ อ. เรา บวชแล้ว จักแสวงหา
ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น,อ.ท่านจักอาจเพื่ออันบวชกับด้วยเรา(หรือ),
(หรือว่า อ. ท่าน) จักไม่อาจ ดังนี้ ฯ
(อ. กุฎุมพีชื่อว่าสิริวัฑฒ์ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย อ. เรา
จักไม่อาจ, อ. ท่านนั่นเทียว จงบวช ดังนี้ ฯ
อ.มาณพชื่อว่าสรทะ นั้น คิดแล้ว ว่า อ. บุคคล ผู้ไปอยู่
สู่โลกอื่น ชื่อว่าผู้ พาเอา ซึ่งสหายหรือ หรือว่า ซึ่งญาติและมิตร ท.
ไปแล้ว ย่อมไม่มี, อ. กรรม อันอันตนกระท�ำแล้ว ย่อมมี แก่ตนเทียว
ดังนี้ ฯ
ในล�ำดับนั้น (อ. มาณพชื่อว่าสรทะ) (ยังบุคคล) ให้เปิดแล้ว
ซึ่งเรือนคลังแห่งรัตนะ ให้แล้ว ซึ่งทานใหญ่ แก่คนก�ำพร้าและ
คนผู้ไปสู่ทางไกลและคนมีแผลและคนขอ ท. เข้าไปแล้ว
สู่เชิงแห่งภูเขา บวชแล้ว บวชโดยความเป็นฤาษี ฯ
(อ. ชน ท.) บวชแล้ว บวชตาม ซึ่งมาณพนั้น อย่างนี้คือ
(อ. ชน) คนหนึ่ง (อ. ชน ท.) สอง (อ. ชน ท.) สาม เป็นชฎิล
มีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. ชฎิลนั้น ยังอภิญญา ท. ห้าด้วย ยังสมาบัติ ท. แปด ด้วย
ให้บังเกิดแล้ว บอกแล้ว ซึ่งการบริกรรมซึ่งกสิณ แก่ชฎิล ท.
เหล่านั้น ฯ
อ. ชฎิล ท. ทั้งปวง แม้เหล่านั้น ยังอภิญญา ท. ห้าด้วย
ยังสมาบัติ ท. แปดด้วย ให้บังเกิดแล้ว ฯ
โดยสมัยนั้น อ.พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี
ได้เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก ฯ อ. เมือง เป็นเมืองชื่อว่าจันทวดี
ได้เป็นแล้ว ฯ
อ. พระบิดา เป็นกษัตริย์ พระนามว่ายัสวันต์ ได้เป็นแล้ว,
อ. พระมารดา เป็นพระเทวี พระนามว่ายโสธรา (ได้เป็นแล้ว),
อ. ต้นรกฟ
้ า เป็นต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ (ได้เป็นแล้ว), อ. อัครสาวก ท. ๒
คือ อ. พระนิสภะด้วย คือ อ. พระอโนมะด้วย (ได้มีแล้ว), อ. ภิกษุ
ผู้อุปัฏฐาก เป็นผู้ชื่อว่า วรุณะ (ได้เป็นแล้ว), อ. อัครสาวิกา ท. ๒
คือ อ. นางสุนทราด้วย คือ อ. นางสุมนาด้วย (ได้มีแล้ว) ; อ. แสน
แห่งปี เป็นอายุ ได้เป็นแล้ว, อ. พระสรีระ เป็นสรีระอันสูง
โดยศอก ๕๘ (ได้เป็นแล้ว), อ. แสงสว่างแห่งพระสรีระ แผ่ไปแล้ว
ตลอดโยชน์ ๑๒, อ. แสนแห่งภิกษุ เป็นบริวาร ได้เป็นแล้ว ฯ
ในวันหนึ่ง อ.พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น เสด็จออกแล้ว
จากสมาบัติอันประกอบแล้วด้วยพระกรุณาใหญ่ ในกาล-
อันขจัดเฉพาะซึ่งมืด ทรงตรวจดูอยู่ ซึ่งโลก ทรงเห็นแล้ว
ซึ่งดาบสชื่อว่าสรทะ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 97
“อชฺช มยฺหํ สรทตาปสสฺส สนฺติกํ คตปจฺจเยน
ธมฺมเทสนา จ มหตี ภวิสฺสติ, โส จ อคฺคสาวกฏฺ€านํ
ปตฺเถสฺสติ, ตสฺส สหายโก สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิโก
ทุติยสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถสฺสติ,
เทสนาปริโยสาเน จสฺส ปริวารา จตุสตฺตติ-
สหสฺสชฏิลา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติ; มยา ตตฺถ
คนฺตุํ วฏฺฏตีติ อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย อฺํ
กฺจิ อนามนฺเตตฺวา สีโห วิย เอกจโร หุตฺวา,
สรทตาปสสฺส อนฺเตวาสิเกสุ ผลาผลตฺถาย คเตสุ,
“พุทฺธภาวํ เม ชานาตูติ, ปสฺสนฺตสฺเสว สรทตาปสสฺส,
อากาสโต โอตริตฺวา ป€วิยํ ปติฏฺ€าสิ.
สรทตาปโส พุทฺธานุภาวฺเจว สรีรนิปฺผตฺติฺจ
ทิสฺวา ลกฺขณมนฺเต สมฺมสิตฺวา “อิเมหิ ลกฺขเณหิ
สมนฺนาคโต นาม อคารมชฺเฌ วสนฺโต ราชา
โหติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชนฺโต โลเก วิวฏจฺฉโท
สพฺพฺุพุทฺโธ โหติ; อยํ ปุริโส นิสฺสํสยํ พุทฺโธติ
ชานิตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปฺจปติฏฺ€ิเตน วนฺทิตฺวา
อาสนํ ปฺาเปตฺวา อทาสิ.
นิสีทิ ภควา ปฺตฺตาสเน.
สรทตาปโสปิ อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ อาสนํ คเหตฺวา
เอกมนฺตํ นิสีทิ.
ตสฺมึ สมเย จตุสตฺตติสหสฺสา ชฏิลา ปณีตปณีตานิ
โอชวนฺตานิ ผลาผลานิ คเหตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ
สมฺปตฺตา, พุทฺธานฺเจว อาจริยสฺส จ นิสินฺนาสนํ
โอโลเกตฺวา อาหํสุ “อาจริย มยํ `อิมสฺมึ โลเก
ตุมฺเหหิ มหนฺตตโร นตฺถีติ วิจราม, อยํ ปน
ปุริโส ตุมฺเหหิ มหนฺตตโร มฺเติ.
“ ตาตา กึ วเทถ , สาสเปน สทฺธึ
อฏฺ€สฏฺ€ิโยชนสตสหสฺสุพฺเพธํ สิเนรุํ สมํ กาตุํ อิจฺฉถ,
สพฺพฺุพุทฺเธน สทฺธึ มม อุปมํมา กริตฺถ ปุตฺตกาติ.
(ทรงด�ำริแล้ว) ว่า ในวันนี้ อ.การแสดงซึ่งธรรม เป็นคุณใหญ่ จักเป็น
เพราะปัจจัยแห่งเราผู้ไปแล้วสู่ส�ำนัก ของดาบสชื่อว่าสรทะด้วย,
อ. ดาบสชื่อว่าสรทะนั้น จักปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งอัครสาวก
ด้วย, อ. กุฎุมพีชื่อว่าสิริวัฑฒ์ ผู้เป็นสหาย ของดาบสชื่อว่าสรทะ
นั้น จักปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สองด้วย,
อ.ชฎิลมีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ท. ผู้เป็นบริวาร
ของดาบสชื่อว่าสรทะนั้น จักบรรลุซึ่งพระอรหัต ในกาลเป็นที่สุด-
ลงรอบแห่งเทศนาด้วย, อ. อันอันเราไป ที่นั้น ย่อมควร ดังนี้
ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ของพระองค์ ไม่ตรัสเรียกมาแล้ว
ซึ่งใคร ๆ อื่น เป็นผู้เสด็จเที่ยวไปพระองค์เดียว ราวกะ อ. สีหะ
เป็น, ครั้นเมื่ออันเตวาสิก ท. ของดาบสชื่อว่าสรทะ ไปแล้ว
เพื่อประโยชน์แก่ผลและผลอันเจริญ, (ทรงอธิษฐานแล้ว) ว่า
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) จงรู้ ซึ่งความที่แห่งเราเป็นพระพุทธเจ้า
ดังนี้, เมื่อดาบสชื่อว่าสรทะ เห็นอยู่ นั่นเทียว, เสด็จข้ามลงแล้ว
จากอากาศ ประทับยืนแล้ว บนแผ่นดิน,
อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ เห็นแล้ว ซึ่งอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า
ด้วยนั่นเทียว ซึ่งความส�ำเร็จแห่งพระสรีระด้วยพิจารณาแล้ว
ซึ่งมนต์เป็นเครื่องท�ำนายซึ่งลักษณะ ท. รู้แล้ว ว่า อ. บุคคลชื่อว่า
ผู้มาตามพร้อมแล้ว ด้วยลักษณะ ท. เหล่านี้ อยู่อยู่ ในท่ามกลาง
แห่งเรือน เป็นพระราชาผู้จักรพรรดิ์ ย่อมเป็น , เมื่อบวช
เป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ซึ่งเรื่องทั้งปวง ผู้มีกิเลสเพียงดังเครื่องมุงบัง
อันเปิดแล้ว ในโลก ย่อมเป็น ; อ. บุรุษนี้ เป็นพระพุทธเจ้า
(ย่อมเป็น) โดยความไม่มีแห่งความสงสัย ดังนี้ กระท�ำแล้ว
ซึ่งการต้อนรับ ถวายบังคมแล้ว ด้วยการตั้งไว้เฉพาะแห่งองค์ ๕
ได้ปูลาด ซึ่งอาสนะ ถวายแล้ว ฯ
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันดาบส
ปูลาดแล้ว ฯ
แม้ อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ถือเอาแล้ว ซึ่งอาสนะ อันสมควร
แก่ตน นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ
ในสมัยนั้น อ. ชฎิล ท. มีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ถือเอาแล้ว
ซึ่งผลและผลอันเจริญ ท. ทั้งประณีต ๆ อันมีโอชะ ถึงพร้อมแล้ว
ซึ่งส�ำนัก ของอาจารย์, แลดูแล้ว ซึ่งอาสนะ แห่งพระพุทธเจ้า ท.
ด้วยนั่นเทียว แห่งอาจารย์ด้วย นั่งแล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์
อ. เรา ท. ย่อมเที่ยวไป (ด้วยความคิด) ว่า (อ. บุคคล) ผู้ใหญ่กว่า
กว่าท่าน ท. ย่อมไม่มี ในโลกนี้ ดังนี้, ก็ อ. บุรุษ นี้ เห็นจะ
เป็นผู้ใหญ่กว่า กว่าท่าน ท. (จักเป็น) ดังนี้ ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เจ้า ท.
ย่อมกล่าว (ซึ่งค�ำ) อะไร, อ. เจ้า ท. ย่อมปรารถนา เพื่ออันกระท�ำ
ซึ่งภูเขาชื่อว่าสิเนรุ อันสูงโดยแสนแห่งโยชน์ ๖๘ ให้เสมอ กับ
ด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาดหรือ, แน่ะลูก ท. อ. เจ้า ท. อย่ากระท�ำแล้ว
ซึ่งการเปรียบ ซึ่งเรา กับ ด้วยพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
98
อถ เต ตาปสา “สจายํ ปุริโส อิตฺตรสตฺโต
อภวิสฺส, น อมฺหากํ อาจริโย เอวรูปํ อุปมํ
อาหริสฺสติ, ยาว มหา วตายํ ปุริโสติ สพฺเพว
ปาเทสุ ปติตฺวา สิรสา วนฺทึสุ.
อถ เน อาจริโย อาห “ตาตา อมฺหากํ
พุทฺธานํ อนุจฺฉวิโก เทยฺยธมฺโม นตฺถิ, สตฺถา จ
ภิกฺขาจารเวลายํ อิธาคโต, มยํ ยถาสตฺติ ยถาพลํ
เทยฺยธมฺมํ ทสฺสาม; ตุมฺเห ยํ ยํ ปณีตํ ผลาผลํ,
ตํ ตํ อาหรถาติ อาหราเปตฺวา หตฺเถ โธวิตฺวา สยํ
ตถาคตสฺส ปตฺเต ปติฏฺ€าเปสิ.
สตฺถารา ผลาผเล ปฏิคฺคหิตมตฺเต, เทวตา
ทิพฺโพชํ ปกฺขิปึสุ.
โส ตาปโส อุทกํปิ สยเมว ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิ.
ตโต ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา นิสินฺเน สตฺถริ, สพฺเพ
อนฺเตวาสิเก ปกฺโกสิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก สาราณียกถํ
กเถนฺโต นิสีทิ.
สตฺถา “เทฺว อคฺคสาวกา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ
อาคจฺฉนฺตูติ จินฺเตสิ.
เต สตฺถุจิตฺตํ ตฺวา สตสหสฺสขีณาสวปริวารา
อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺ€ํสุ.
ตโต สรทตาปโส อนฺเตวาสิเก อามนฺเตสิ “ตาตา
พุทฺธานํ นิสินฺนาสนมฺปิ นีจํ, สมณสตสหสฺสสฺสาปิ
อาสนํ นตฺถิ, ตุมฺเหหิ อชฺช อุฬารํ พุทฺธสกฺการํ กาตุํ
วฏฺฏติ, ปพฺพตปาทโต วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ
อาหรถาติ.
กถนกาโล ปปฺโจ วิย โหติ, อิทฺธิมโต ปน
อิทฺธิวิสโย อจินฺเตยฺโยติ.
มุหุตฺตมตฺเตเนว เต ตาปสา วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ
ปุปฺผานิ อาหริตฺวา พุทฺธานํ โยชนปฺปมาณํ ปุปฺผาสนํ
ปฺาเปสุํ.
* ก. ๑๙ * ครั้งนั้น อ. ดาบส ท. เหล่านั้น (คิดแล้ว) ว่า ถ้าว่า
อ. บุรุษนี้ เป็นสัตว์เล็กน้อย จักได้เป็นแล้วไซร้, อ.อาจารย์ ของเรา ท.
จักไม่น�ำมา ซึ่งการเปรียบ มีอย่างนี้เป็นรูป อ. บุรุษนี้ เป็นผู้ใหญ่
เพียงใดหนอ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ทั้งปวงเทียว หมอบแล้ว
ใกล้พระบาท ท. ถวายบังคมแล้ว ด้วยศีรษะ ฯ
ครั้งนั้น อ. อาจารย์ กล่าวแล้ว กะดาบส ท. เหล่านั้น ว่า
แน่ะพ่อ ท. อ. ไทยธรรม อันสมควร แก่พระพุทธเจ้า ท. ของเรา ท.
ย่อมไม่ มี, อนึ่ง อ. พระศาสดา เสด็จมาแล้ว ในที่นี้ในเวลาเป็นที่
เที่ยวไปเพื่อภิกษา, อ. เรา ท. จักถวาย ซึ่งไทยธรรม ตามความสามารถ
ตามก�ำลัง ; อ. ผลและผลอันเจริญ อันประณีต ใด ๆ (มีอยู่) ,
อ. เจ้า ท. จงน�ำมา ซึ่งผลและผลอันเจริญนั้น ๆ ดังนี้ (ยังดาบส ท.
เหล่านั้น) ให้น�ำมาแล้ว ล้างแล้ว ซึ่งมือ ท. (ยังผลและผลอันเจริญ)
ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในบาตร ของพระตถาคตเจ้า เอง ฯ
ครั้นเมื่อผลและผลอันเจริญ เป็นผลไม้สักว่าอันพระศาสดา
ทรงรับเฉพาะแล้ว (มีอยู่) , อ. เทวดา ท. ใส่เข้าแล้ว ซึ่งโอชะ
อันเป็นทิพย์ ฯ
อ. ดาบสนั้น กรองแล้ว แม้ซึ่งน�้ำ ได้ถวายแล้ว เองนั่นเทียว ฯ
ในล�ำดับนั้น ครั้นเมื่อพระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ทรงกระท�ำ
ซึ่งกิจด้วยภัตร, อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ร้องเรียกแล้ว ซึ่งอันเตวาสิก ท.
ทั้งปวงนั่งกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวเป็นที่ตั้ง
แห่งความระลึกถึง ในส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ
อ. พระศาสดา ทรงด�ำริแล้ว ว่า อ. อัครสาวก ท. สอง จงมา
กับ ด้วยหมู่แห่งภิกษุ ดังนี้ฯ
อ. พระอัครสาวก ท. เหล่านั้น ทราบแล้ว ซึ่งพระด�ำริ แห่งพระศาสดา
ผู้มีพระขีณาสพแสนหนึ่งเป็นบริวารมาแล้ว ถวายบังคมแล้ว
ซึ่งพระศาสดา ได้ยืนแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ
ในล�ำดับนั้นอ.ดาบสชื่อว่าสรทะเรียกมาแล้วซึ่งอันเตวาสิกท.
(ด้วยค�ำ) ว่า แน่ะพ่อ ท. แม้ อ. อาสนะแห่งพระพุทธเจ้า ท.
ประทับนั่งแล้ว เป็นที่ต�่ำ (ย่อมเป็น) , อ. อาสนะ ย่อมไม่มี
แม้เพื่อแสนแห่งสมณะ, อ. อัน อันเจ้า ท. กระท�ำ ซึ่งสักการะ
แก่พระพุทธเจ้า อันโอฬาร ในวันนี้ย่อมควร, อ. เจ้า ท. จงน�ำมา
ซึ่งดอกไม้ ท. อันถึงพร้อมแล้วด้วยสีและกลิ่น จากเชิงแห่งภูเขา
ดังนี้ ฯ
อ.กาลเป็นที่กล่าว เป็นราวกะว่าเนิ่นช้า ย่อมเป็น, แต่ว่า
อ. วิสัยแห่งฤทธิ์ ของบุคคลผู้มีฤทธิ์ เป็นสภาพอันใคร ๆ ไม่ควรคิด
(ย่อมเป็น) ดังนี้แล ฯ
อ.ดาบสท.เหล่านั้นน�ำมาแล้ว ซึ่งดอกไม้ ท. อันถึงพร้อมแล้ว
ด้วยสีและกลิ่น โดยกาลสักว่าครู่เดียวนั่นเทียว ปูลาดแล้ว
ซึ่งอาสนะอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ มีโยชน์เป็นประมาณ
เพื่อพระพุทธเจ้า ท. ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 99
อุภินฺนํ อคฺคสาวกานํ ติคาวุตํ, เสสานํ ภิกฺขูนํ
อฑฺฒโยชนิกาทิเภทํ, สงฺฆนวกสฺส อุสภมตฺตํ อโหสิ.
“กถํ เอกสฺมึ อสฺสมปเท ตาวมหนฺตานิ อาสนานิ
ปฺตฺตานีติ น จินฺเตตพฺพํ . อิทฺธิวิสโย เหส.
เอวํ ปฺตฺเตสุ อาสเนสุ, สรทตาปโส
ตถาคตสฺส ปุรโต อฺชลึ ปคฺคยฺห €ิโต “ภนฺเต
มยฺหํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย อิมํ ปุปฺผาสนํ
อภิรุหถาติ อาห.
เตน วุตฺตํ
“นานาปุปฺผฺจ คนฺธฺจ สนฺนิปาเตตฺวาน เอกโต
ปุปฺผาสนํ ปฺาเปตฺวา อิทํ วจนมพฺรวิ
อิทํ เม อาสนํ วีร ปฺตฺตํ ตวนุจฺฉวึ,
มม จิตฺตํ ปสาเทนฺโต นิสีท ปุปฺผมาสเน.
สตฺตรตฺตินฺทิวํ พุทฺโธ นิสีทิ ปุปฺผมาสเน
มม จิตฺตํ ปสาเทตฺวา หาสยิตฺวา สเทวเกติ.
เอวํ นิสินฺเน สตฺถริ, เทฺว อคฺคสาวกา เสสภิกฺขู
จ อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทึสุ.
สรทตาปโส มหนฺตํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ คเหตฺวา
ตถาคตสฺส มตฺถเก ธาเรนฺโต อฏฺ€าสิ.
สตฺถา “ชฏิลานํ อยํ สกฺกาโร มหปฺผโล โหตูติ
นิโรธสมาปตฺตึ สมาปชฺชิ.
สตฺถุ สมาปตฺตึ สมาปนฺนภาวํ ตฺวา เทฺว
อคฺคสาวกาปิ เสสภิกฺขูปิ สมาปตฺตึ สมาปชฺชึสุ.
ตถาคเต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺตึ สมาปชฺชิตฺวา
นิสินฺเน, อนฺเตวาสิกา, ภิกฺขาจารกาเล สมฺปตฺเต,
วนมูลผลาผลํ ปริภุฺชิตฺวา เสสกาลํ พุทฺธานํ
อฺชลึ ปคฺคยฺห ติฏฺ€นฺติ.
สรทตาปโส ปน ภิกฺขาจารมฺปิ อคนฺตฺวา
ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธารยมาโนว
(อ. อาสนะ) มีคาวุต ๓ เป็นประมาณ (ได้มีแล้ว) เพื่อพระอัครสาวก
ท. ทั้งสอง, (อ. อาสนะ) อันต่างด้วยอาสนะมีอาสนะประกอบแล้ว
ด้วยโยชน์ด้วยทั้งกึ่งเป็นต้น (ได้มีแล้ว) เพื่อภิกษุ ท. ผู้เหลือ,
(อ. อาสนะ) มีอุสภะเป็นประมาณ ได้มีแล้ว เพื่อภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ ฯ
(อันใครๆ)ไม่ควรคิดว่าอ.อาสนะท. อันใหญ่เพียงนั้น(อันดาบสท.)
ปูลาดแล้ว ในอาศรมบท แห่งหนึ่ง อย่างไร ดังนี้ ฯ เพราะว่า
อ. วิสัยนั่น เป็นวิสัยแห่งฤทธิ์ ย่อมเป็น ฯ
ครั้นเมื่ออาสนะ ท. อันดาบส ท. ปูลาดแล้ว อย่างนี้,
อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ ยืนประคองแล้ว ซึ่งอัญชลี ข้างพระพักตร์
ของพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
(อ. พระองค์ ท.) ขอจงเสด็จขึ้นเฉพาะ สู่อาสนะอันเป็นวิการ
แห่งดอกไม้ นี้ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์
สิ้นกาลนานเถิด ดังนี้ฯ
เพราะเหตุนั้น (อ. ค�ำอันเป็นคาถา) ว่า
(อ. เรา) ยังดอกไม้ต่าง ๆ ด้วย ยังกลิ่นด้วย ให้ประชุมกันแล้ว
โดยความเป็นอันเดียวกัน ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะอันเป็นวิการ-
แห่งดอกไม้ ได้กราบทูลแล้ว ซึ่งค�ำนี้ ว่า ข้าแต่พระวีระ
อ.อาสนะนี้ อันข้าพระองค์ ปูลาดแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็นที่สมควร
แก่พระองค์, (อ. พระองค์) เมื่อทรงยังจิต ของข้าพระองค์
ให้เลื่อมใส ขอจงเสด็จประทับนั่ง บนอาสนะอันเป็นวิการ-
แห่งดอกไม้เถิด ฯ อ. พระพุทธเจ้า ทรงยังจิต ของข้าพระองค์
ให้เลื่อมใส แล้ว (ทรงยังมนุษยโลก ท.) อันเป็นไปกับด้วยเทวโลก
ให้ร่าเริงแล้ว ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันเป็นวิการแห่งดอกไม้
ตลอดคืนและวัน ๗ (ดังนี้) ดังนี้ ฯ
(อันดาบสชื่อว่าสรทะ) กล่าวแล้ว ฯ
ครั้นเมื่อพระศาสดา ประทับนั่งแล้ว อย่างนี้, อ. พระอัครสาวก
ท. ๒ ด้วย อ. ภิกษุผู้เหลือ ท. ด้วย นั่งแล้ว บนอาสนะอันถึงแล้ว
แก่ตน ๆ ฯ
อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ ถือเอาแล้ว ซึ่งฉัตรอันเป็นวิการแห่งดอกไม้
อันใหญ่ ได้ยืนกั้นอยู่แล้ว เหนือพระเศียร ของพระตถาคตเจ้า ฯ
อ.พระศาสดา (ทรงอธิษฐานแล้ว) ว่า อ. สักการะนี้ ของชฎิล ท.
เป็นสภาพมีผลใหญ่ จงเป็น ดังนี้ทรงเข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติชื่อว่านิโรธ ฯ
อ. พระอัครสาวก ท. ๒ ก็ดี อ. ภิกษุผู้เหลือ ท. ก็ดี รู้แล้ว ซึ่งความที่
แห่งพระศาสดาเป็นผู้ทรงเข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติ เข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติ ฯ
ครั้นเมื่อพระตถาคตเจ้า ประทับนั่งเข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติชื่อว่านิโรธ
ตลอดวันเจ็ด, อ.อันเตวาสิก ท., ครั้นเมื่อกาลเป็นที่เที่ยวไป
เพื่อภิกษา ถึงพร้อมแล้ว, บริโภคแล้ว ซึ่งรากไม้และผลและผลอันเจริญ
ในป่า ย่อมยืนประคอง ซึ่งอัญชลี ต่อพระพุทธเจ้า ท. สิ้นกาล
อันเหลือ ฯ
ส่วนว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ไม่ไปแล้ว แม้สู่ที่เป็นที่เที่ยวไป
เพื่อภิกษา กั้นอยู่ ซึ่งฉัตรอันเป็นวิการแห่งดอกไม้เทียว
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
100
สตฺตาหํ ปีติสุเขน วีตินาเมสิ.
สตฺถา นิโรธโต วุฏฺ€าย ทกฺขิณปสฺเส นิสินฺนํ
อคฺคสาวกํ นิสภตฺเถรํ อามนฺเตสิ “นิสภ
สกฺการการกานํ ตาปสาฃนํ ปุปฺผาสนานุโมทนํ
กโรหีติ.
เถโร จกฺกวตฺติรฺโ สนฺติกา ปฏิลทฺธมหาลาโภ
มหาโยโธ วิย ตุฏฺ€มานโส สาวกปารมีาเณ €ตฺวา
ปุปฺผาสนานุโมทนํ อารภิ.
ตสฺส เทสนาวสาเน ทุติยสาวกํ อามนฺเตสิ
“ตฺวํปิ ภิกฺขุ ธมฺมํ เทเสหีติ.
อโนมตฺเถโร เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ สมฺมสิตฺวา
ธมฺมํ กเถสิ . ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ เทสนาย
เอกสฺสาปิ อภิสมโย นาโหสิ.
อถ สตฺถา อปริมาเณ พุทฺธวิสเย €ตฺวา ธมฺมเทสนํ
อารภิ.
เทสนาปริโยสาเน €เปตฺวา สรทตาปสํ สพฺเพปิ
จตุสตฺตติสหสฺสชฏิลา อรหตฺตํ ปาปุณึสุ.
สตฺถา “ เอถ ภิกฺขโวติ หตฺถํ ปสาเรสิ.
เตสํ ตาวเทว เกสมสฺสูนิ อนฺตรธายึสุ.
อฏฺ€ ปริกฺขารา กาเย ปฏิมุกฺกาว อเหสุํ.
“สรทตาปโส กสฺมา อรหตฺตํ น ปตฺโตติ .
วิกฺขิตฺตจิตฺตตฺตา.
ตสฺส กิร พุทฺธานํ ทุติยาสเน นิสีทิตฺวา
สาวกปารมีาเณ €ตฺวา ธมฺมํ เทสยโต อคฺคสาวกสฺส
ธมฺมเทสนํ โสตุํ อารทฺธกาลโต ปฏฺ€าย
“อโห วตาหํปิ อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส พุทฺธสฺส
สาสเน อิมินา สาวเกน ปฏิลทฺธํ ธุรํ ลเภยฺยนฺติ
จิตฺตํ อุปฺปาเทสิ.
โส เตน ปริวิตกฺเกน มคฺคผลปฺปฏิเวธํ กาตุํ
นาสกฺขิ. ตถาคตํ ปน วนฺทิตฺวา สมฺมุเข €ตฺวา อาห
“ภนฺเต ตุมฺหากํ อนนฺตราสเน นิสินฺโน ภิกฺขุ ตุมฺหากํ
สาสเน โก นาม โหตีติ.
(ยังกาล) ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว ด้วยสุขอันเกิดแล้วจากปีติ
ตลอดวันเจ็ด ฯ
อ.พระศาสดา เสด็จออกแล้ว จากนิโรธ ตรัสเรียกมาแล้ว
ซึ่งพระเถระชื่อว่านิสภะ ผู้เป็นอัครสาวก ผู้นั่งแล้ว ณ ข้างเบื้องขวา
(ด้วยพระด�ำรัส)ว่าดูก่อนนิสภะอ.เธอจงกระท�ำซึ่งการอนุโมทนา
ในเพราะอาสนะอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ แก่ดาบส ท. ผู้กระท�ำ
ซึ่งสักการะ ดังนี้ ฯ
อ.พระเถระ ผู้มีใจยินดีแล้ว ราวกะ อ. นักรบใหญ่ ผู้มีลาภใหญ่
อันได้เฉพาะแล้ว จากส�ำนัก ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ตั้งอยู่แล้ว
ในสาวกบารมีญาณ เริ่มแล้ว ซึ่งการอนุโมทนาในเพราะอาสนะ
อันเป็นวิการแห่งดอกไม้ ฯ
(อ.พระศาสดา) ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระสาวกที่สอง
ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งเทศนา ของพระนิสภะนั้น (ด้วยพระด�ำรัส)
ว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ อ. เธอ จงแสดง ซึ่งธรรม ดังนี้ฯ
อ.พระเถระชื่อว่าอโนมะ พิจารณาแล้ว ซึ่งพระพุทธพจน์
คือประชุมแห่งปิฎกสาม กล่าวแล้ว ซึ่งธรรม ฯ อ. อันรู้เฉพาะ
ไม่ได้มีแล้ว แก่ดาบสแม้รูปหนึ่ง ด้วยเทศนา ของพระอัครสาวก ท. ๒ ฯ
ครั้งนั้น อ.พระศาสดา ทรงตั้งอยู่แล้ว ในวิสัยของพระพุทธเจ้า
อันไม่มีประมาณ ทรงเริ่มแล้ว ซึ่งการแสดงซึ่งธรรม ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ.ชฎิล มีพัน ๗๔
เป็นประมาณ ท. แม้ทั้งปวง เว้น ซึ่งดาบสชื่อว่าสรทะ บรรลุแล้ว
ซึ่งพระอรหัต ฯ
อ.พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า (อ. เธอ ท.) เป็นภิกษุ (เป็น) จงมา
ดังนี้ ทรงเหยียดออกแล้วซึ่งพระหัตถ์ ฯ อ. ผมและหนวด ท.
ของดาบส ท. เหล่านั้น หายไปแล้ว ในขณะนั้นนั่นเทียว ฯ
อ. บริขาร ท. ๘ เป็นของสวมเข้าแล้ว ที่กายเทียว ได้เป็นแล้ว ฯ
(อ. อันถาม) ว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ไม่บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต
เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ (อ. อันแก้ ว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ
ไม่บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต) เพราะความที่แห่งตนเป็นผู้มีจิตฟุ
้ งซ่านแล้ว
(ดังนี้) ฯ
ได้ยินว่า (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะนั้น) ยังความคิด ให้เกิดขึ้นแล้ว
ว่า โอ ! หนอ แม้ อ. เรา พึงได้ ซึ่งธุระ อันอันพระสาวกนี้ได้เฉพาะแล้ว
ในศาสนา ของพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จอุบัติ ในกาลอันไม่มาแล้ว
ดังนี้ จ�ำเดิม แต่กาลแห่งดาบสชื่อว่าสรทะนั้น เริ่มแล้ว เพื่ออันฟัง
ซึ่งธรรมเทศนา ของพระอัครสาวก ผู้นั่งแล้ว บนอาสนะที่สอง
ของพระพุทธเจ้า ท. ตั้งอยู่แล้ว ในสาวกบารมีญาณ แสดงอยู่
ซึ่งธรรม ฯ
อ.ดาบสชื่อว่าสรทะนั้น ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออันกระท�ำ
ซึ่งการรู้ตลอดซึ่งมรรคและผล เพราะความปริวิตกนั้น ฯ ก็
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า ยืนแล้ว
ในที่พร้อมหน้า กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ
ผู้นั่งแล้ว บนอาสนะอันเป็นล�ำดับ แห่งพระองค์ ท. เป็นผู้ชื่อ อะไร
ในศาสนา ของพระองค์ ท. ย่อมเป็น ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 101
“ มยา ปวตฺติตํ ธมฺมจกฺกํ อนุปวตฺเตนฺโต
สาวกปารมีาณสฺส โกฏิปฺปตฺโต โสฬส ปญฺญา
ปฏิวิชฺฌิตฺวา ฐิโต มยฺหํ สาสเน อคฺคสาวโก นาม
เอโสติ .
“ภนฺเต ยฺวายํ มยา สตฺตาหํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธาเรนฺเตน
สกฺกาโร กโต อหํ อิมศฺส ผเลน อญฺญํ สกฺกตฺต วา
พฺรหมตฺตํ วา น ปตฺเถมิ, อนาคเต ปน อยํ นิสภตฺเถโร
วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส อคฺคสาวโก ภเวยฺยนฺติ ปตฺถนํ
อกาสิ.
สตฺภา “สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข อิมสฺส ปุริสสฺส
ปตฺถนาติ อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา โอโลเกนฺโต
กปฺปสตสหสฺสาธิกํ เอกํ อสงเชยฺยํ อติกฺกมิตวา
สมิชฺฌนภาวํ อทฺทส , ทิสฺวา สรทตาปสํ อาห
น เต อยํ ปตฺถนา โมฆา ภวิสฺสติ, อนาคเต ปน
กปฺปสตสหสฺสาธิกํ เอกํ อสงเขยฺยํ อติกกมิตฺวา
โคตโม นาม พุทฺโธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส มาตา
มหามายาเทวี นาม ภวิสฺสติ, ปิตา สุทฺโธทโน นาม
มหาราชา, ปุตฺโต ราหุโล นาม, อุปฏฺ€าโก
อานนฺโท นาม, ทุติยสาวโก โมคฺคลฺลาโน นาม,
ตฺวํ ปนสฺส อคฺคสาวโก ธมฺมเสนาปติ สารีปุตฺโต
นาม ภวิสฺสสีติ.
เอวํ ตาปสํ พฺยากริตฺวา ธมฺมกถํ กเถตฺวา
ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อากาสํ ปกฺขนฺทิ.
สรทตาปโสปิ อนฺเตวาสิกตฺเถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา
สหายกสฺส สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิกสฺส สาสนํ เปเสสิ
“ภนฺเต มม สหายกสฺส วเทถ `สหายเกน เต
สรทตาปเสน อโนมทสฺสิสฺส พุทฺธสฺส ปาทมูเล
อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส สาสเน
อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺถิตํ, ตฺวํ ทุติยสาวกฏฺ€านํ
ปตฺเถหีติ.
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า (อ. ภิกษุ) ผู้ยังจักรคือธรรม
อันอันเราให้เป็นไปทั่วแล้ว ให้เป็นไปทั่วตามอยู่ บรรลุแล้วซึ่งที่สุด
แห่งสาวกบารมีญาณ รู้ตลอดแล้ว ซึ่งปัญญา ท. ๑๖ ด�ำรงอยู่แล้ว,
อ. ภิกษุนั่น ชื่อว่าสาวกผู้เลิศ ในศาสนา ของเรา ดังนี้ ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งความปรารถนา ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. สักการะ นี้ใด อันข้าพระองค์ ผู้กั้นอยู่
ซึ่งฉัตรอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ ตลอดวันเจ็ด กระท�ำแล้ว ,
อ.ข้าพระองค์ ย่อมไม่ปรารถนา ซึ่งความเป็นแห่งท้าวสักกะหรือ
หรือว่าซึ่งความเป็นแห่งพรหม อื่น ด้วยผล แห่งสักการะนี้,
แต่ว่า (อ. ข้าพระองค์) เป็นสาวกผู้เลิศ ของพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง
พึงเป็น ในการอันไม่มาแล้ว ราวกะ อ. พระเถระชื่อว่านิสภะ นี้
ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงส่งไปแล้ว ซึ่งญาณอันเป็นส่วนแห่งกาล
อันไม่มาแล้ว ทรงตรวจดูอยู่ ว่า อ. ความปรารถนา แห่งบุรุษนี้
จักส�ำเร็จ หรือหนอแล ดังนี้ ได้ทรงเห็นแล้ว ซึ่งความเป็นคือ
อันก้าวล่วงแล้ว ซึ่งอสงไขย หนึ่ง อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป
์ ส�ำเร็จ,
(อ. พระศาสดา) ครั้นทรงเห็นแล้ว ตรัสแล้ว กะดาบสชื่อว่าสรทะ
ว่า อ. ความปรารถนา นี้ แห่งท่าน เป็นธรรมชาติเปล่า จักเป็น
หามิได้, ก็ อ. พระพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติ ในโลก
ก้าวล่วง ซึ่งอสงไขยหนึ่ง อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป
์ ในกาลอันไม่มาแล้ว,
อ.พระมารดา ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ทรงพระนามว่ามหามายาเทวี
จักเป็น, อ. พระบิดา เป็นพระราชาผู้ใหญ่ พระนามว่าสุทโธทนะ
(จักเป็น), อ. พระโอรส เป็นผู้ทรงพระนามว่าราหุล (จักเป็น),
อ. ภิกษุผู้อุปัฏฐาก เป็นผู้ชื่อว่าอานนท์ (จักเป็น), อ. สาวกที่สอง
เป็นผู้ชื่อว่า โมคคัลลานะ (จักเป็น), ส่วนว่า อ. ท่าน เป็นผู้ชื่อว่า
สารีบุตร ผู้ธรรมเสนาบดี ผู้เป็นสาวกผู้เลิศ ของพระพุทธเจ้านั้น
จักเป็น ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา) ครั้นทรงพยากรณ์แล้ว ซึ่งดาบส อย่างนี้ตรัสแล้ว
ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว
เสด็จไปแล้ว สู่อากาศ ฯ
แม้ อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระเถระ
ผู้เป็นอันเตวาสิก ท. ส่งไปแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น แก่กุฎุมพีชื่อว่า
สิริวัฑฒ์ ผู้เป็นสหาย ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. จงบอก
แก่สหาย ของเรา ว่า อ. ต�ำแหน่งแห่งสาวกผู้เลิศ ในศาสนา
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้เสด็จอุบัติ ในกาลอันไม่มาแล้ว
อันดาบสชื่อว่าสรทะ ผู้เป็นสหาย ของท่าน ปรารถนาแล้ว
ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี,
อ.ท่าน จงปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สอง ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
102
เอวฺจ ปน วตฺวา เถเรหิ ปุเรตรเมว เอกปสฺเสน
คนฺตฺวา สิริวฑฺฒสฺส นิเวสนทฺวาเร อฏฺ€าสิ.
สิริวฑฺโฒ “จิรสฺสํ วต เม อยฺโย อาคโตติ
อาสเน นิสีทาเปตฺวา อตฺตนา นีจตเร อาสเน
นิสินฺโน “อนฺเตวาสิกปริสา ปน โว ภนฺเต น
ปฺายนฺตีติ ปุจฺฉิ,
“อาม สมฺม, อมฺหากํ อสฺสมํ อโนมทสฺสี พุทฺโธ
อาคโต, มยํ ตสฺส อตฺตโน พเลน สกฺการํ กริมฺหา,
สตฺถา สพฺเพสํ ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน
€เปตฺวา มํ เสสา อรหตฺตํ ปตฺตา ปพฺพชึสุ,
อหํ สตฺถุ อคฺคสาวกํ นิสภตฺเถรํ ทิสฺวา อนาคเต
อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส นาม สาสเน
อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถสึ, ตฺวํปิ ตสฺส สาสเน
ทุติยสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถหีติ.
“มยฺหํ พุทฺเธหิ สทฺธึ ปริจโย นตฺถิ ภนฺเตติ.
“พุทฺเธหิ สทฺธึ กถนํ มยฺหํ ภาโร โหตุ, ตฺวํ
มหนฺตํ อภิสกฺการํ สชฺเชหีติ.
สิริวฑฺโฒ ตสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน นิเวสนทฺวาเร
ราชมาเนน อฏฺ€กรีสมตฺตํ €านํ สมตลํ กาเรตฺวา
วาลิกํ โอกิริตฺวา ลาชปฺจมานิ ปุปฺผานิ วิกฺกิริตฺวา
นีลุปฺปลจฺฉทนํ มณฺฑปํ การาเปตฺวา พุทฺธาสนํ
ปฺาเปตฺวา เสสภิกฺขูนํปิ อาสนานิ ปฏิยาเทตฺวา
มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ สชฺเชตฺวา พุทฺธานํ
นิมนฺตนตฺถาย สรทตาปสสฺส สฺํ อทาสิ.
ตาปโส พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ คเหตฺวา ตสฺส
นิเวสนํ อคมาสิ.
สิริวฑฺโฒปิ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ตถาคตสฺส
หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา มณฺฑปํ ปเวเสตฺวา
ก็แล (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ครั้นกล่าวแล้ว อย่างนี้ ไปแล้ว
โดยข้างข้างหนึ่ง ก่อนกว่า กว่าพระเถระ ท. นั่นเทียว ได้ยืนแล้ว
ใกล้ประตูแห่งนิเวศน์ ของกุฎุมพีชื่อว่าสิริวัฑฒ์ ฯ
อ. สิริวัฑฒ์ (กล่าวแล้ว) ว่า อ. พระผู้เป็นเจ้า ของเรา มาแล้ว
สิ้นกาลนานหนอ ดังนี้(ยังดาบสชื่อว่าสรทะ) ให้นั่งแล้ว บนอาสนะ
นั่งแล้วบนอาสนะอันต�่ำกว่าด้วยตนถามแล้วว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ อ. บริษัทคืออันเตวาสิก ท. ของท่าน ท. ย่อมไม่ปรากฏ ดังนี้ ฯ
(อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ว) ว่าดูก่อนสหาย เออ
(อ. อย่างนั้น), อ. พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จมาแล้ว
สู่อาศรม ของเรา ท., อ. เรา ท. กระท�ำแล้ว ซึ่งสักการะ แก่พระพุทธเจ้า
นั้น ตามก�ำลัง ของตน, อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซึ่งธรรม
แก่เรา ท. ทั้งปวง, ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ. ดาบส ท.
ผู้เหลือ เว้น ซึ่งเรา บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต บวชแล้ว, อ. เรา เห็นแล้ว
ซึ่งพระเถระชื่อว่านิสภะ ผู้เป็นอัครสาวก ของพระศาสดา
ปรารถนาแล้ว ซึ่งต�ำแหน่งแห่งอัครสาวก ในศาสนา
ชื่อของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมผู้เสด็จอุบัติ ในกาลอันไม่มาแล้ว,
แม้ อ. ท่าน จงปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สอง ในศาสนา
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมนั้น ดังนี้ ฯ
(อ. สิริวัฑฒ์ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ความคุ้นเคย
กับ ด้วยพระพุทธเจ้า ท. แห่งข้าพเจ้า ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ว) ว่า อ. การกราบทูล กับ
ด้วยพระพุทธเจ้า ท. เป็นภาระ ของเรา จงเป็น, อ. ท่าน จงจัดแจง
ซึ่งสักการะอันยิ่งใหญ่เถิด ดังนี้ฯ
อ. สิริวัฑฒ์ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำ ของดาบสชื่อว่าสรทะนั้น ยังบุคคล
ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งที่มีกรีสแปดเป็นประมาณ โดยเครื่องวัดของพระราชา
ใกล้ประตูแห่งนิเวศน์ ของตน ให้เป็นที่มีพื้นเสมอ เกลี่ยลงแล้ว
ซึ่งทราย เรี่ยรายแล้ว ซึ่งดอกไม้ ท. มีข้าวตอกเป็นที่ห้า ยังบุคคล
ให้กระท�ำแล้วซึ่งปะร�ำ มีดอกอุบลเขียวเป็นเครื่องมุง ยังบุคคล
ให้ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะของพระพุทธเจ้า ตกแต่งแล้ว ซึ่งอาสนะ ท.
แม้แก่ภิกษุผู้เหลือ ท. จัดแจงแล้ว ซึ่งสักการะและสัมมานะ อันใหญ่
ได้ให้แล้ว ซึ่งสัญญา แก่ดาบสชื่อว่าสรทะ เพื่อประโยชน์
แก่การทูลนิมนต์ ซึ่งพระพุทธเจ้า ท. ฯ
อ. ดาบส พาเอา ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ได้ไปแล้ว สู่นิเวศน์ ของสิริวัฑฒ์นั้น ฯ
แม้ อ. สิริวัฑฒ์ กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับ รับแล้ว ซึ่งบาตร
จากพระหัตถ์ ของพระตถาคตเจ้า (ยังพระศาสดา) ให้เสด็จเข้าไปแล้ว
สู่ปะร�ำ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 103
ปฺตฺตาสเน นิสินฺนสฺส พุทฺธปฺปมุขสฺส
ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ปณีตโภชเนน
ปริวิสิตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ
มหารเหหิ วตฺเถหิ อจฺฉาเทตฺวา “ภนฺเต นายํ อารมฺโภ
อปฺปมตฺตกฏฺ€านตฺถาย, อิมินาว นิยาเมน สตฺตาหํ
อนุกมฺปํ กโรถาติ อาห.
สตฺถา อธิวาเสสิ.
โส เตเนว นิยาเมน สตฺตาหํ มหาทานํ
ปวตฺเตตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อฺชลึ ปคฺคยฺห
€ิโต อาห “ภนฺเต มม สหาโย สรทตาปโส `ยสฺส
สตฺถุ อคฺคสาวโก ภเวยฺยนฺติ ปตฺเถสิ, อหํ ตสฺเสว
ทุติยสาวโก ภเวยฺยนฺติ.
สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา ตสฺส ปตฺถนาย
สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา พฺยากาสิ “ตฺวํปิ อิโต
กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสงฺเขยฺยํ อติกฺกมิตฺวา โคตมพุทฺธสฺส
ทุติยสาวโก ภวิสฺสสีติ.
พุทฺธานํ พฺยากรณํ สุตฺวา สิริวฑฺโฒ
หฏฺ€ปหฏฺโ€ อโหสิ.
สตฺถาปิ ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา สปริวาโร
วิหารเมว คโต.
อยํ ภิกฺขเว มม ปุตฺเตหิ ตทา ปตฺถิตปตฺถนา,
เต ยถาปตฺถิตเมว ลภึสุ, นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา
เทมีติ.
เอวํ วุตฺเต, เทฺว อคฺคสาวกา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา
“ภนฺเต มยํ อคาริยภูตา สมานา คิรคฺคสมชฺชํ
ทสฺสนาย คตาติ ยาว อสฺสชิตฺเถรสฺส สนฺติกา
โสตาปตฺติผลปฏิเวธา สพฺพํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุํ กเถตฺวา
“เต มยํ ภนฺเต สฺชยสฺส อาจริยสฺส สนฺติกํ
คนฺตฺวา ตํ ตุมฺหากํ ปาทมูลํ อาเนตุกามา, ตสฺส
ลทฺธิยา นิสฺสารภาวํ กเถตฺวา
ถวายแล้ว ซึ่งน�้ำเพื่อทักษิณา แก่หมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า-
เป็นประมุข ผู้นั่งแล้ว บนอาสนะอันบุคคลปูลาดแล้ว อังคาสแล้ว
ด้วยโภชนะอันประณีต ยังหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ให้ห่มแล้ว ด้วยผ้า ท. อันควรแก่ค่ามาก ในกาลเป็นที่สุดลงรอบ
แห่งกิจด้วยภัตร กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ.ความริเริ่มนี้(ย่อมเป็นไป)เพื่อประโยชน์แก่ต�ำแหน่งมีประมาณน้อย
หามิได้, อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงกระท�ำ ซึ่งความอนุเคราะห์
ตลอดวันเจ็ด โดยท�ำนอง นี้เทียว ดังนี้ฯ
อ. พระศาสดา (ทรงยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว ฯ
อ. สิริวัฑฒ์ นั้น ยังทานใหญ่ ให้เป็นไปทั่วแล้ว ตลอดวันเจ็ด
โดยท�ำนองนั้นนั่นเทียว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยืนประคองแล้ว ซึ่งอัญชลี กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ.ดาบสชื่อว่าสรทะผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ ปรารถนาแล้วว่า
อ. เรา เป็นสาวกผู้เลิศ ของพระศาสดา พระองค์ใด พึงเป็น ดังนี้,
อ. ข้าพระองค์ เป็นสาวกที่สอง ของพระศาสดา พระองค์นั้นนั่นเทียว
พึงเป็น ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ซึ่งกาลอันไม่มาแล้ว ทรงเห็นแล้ว
ซึ่งความเป็นคืออันส�ำเร็จ แห่งความปรารถนา แห่งสิริวัฑฒ์นั้น
ทรงพยากรณ์แล้ว ว่า แม้ อ. ท่าน เป็นสาวกที่สอง ของพระพุทธเจ้า
พระนามว่าโคดม จักเป็น ก้าวล่วง ซึ่งอสงไชย อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป์
แต่ภัททกัปป
์ นี้ดังนี้ฯ
อ. สิริวัฑฒ์ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำพยากรณ์ ของพระพุทธเจ้า ท.
เป็นผู้ร่าเริงแล้วและร่าเริงทั่วแล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ
แม้ อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการอนุโมทนาในเพราะภัตร
ผู้เป็นไปกับด้วยบริวาร เสด็จไปแล้ว สู่วิหารนั่นเทียว ฯ
ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ความปรารถนา) นี้เป็นความปรารถนาอัน
บุตร ท. ของเรา ปรารถนาแล้ว ในกาลนั้น (ย่อมเป็น), (อ. บุตร ท.
ของเรา) เหล่านั้น ได้แล้ว ตามความปรารถนานั่นเทียว, อ. เรา
ย่อมให้ เพราะแลดู ซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ ฯ
ครั้นเมื่อพระด�ำรัสอย่างนี้ (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว, อ.
พระอัครสาวก ท. สอง ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
กราบทูลแล้ว ซึ่งเรื่องอันเกิดขึ้นเฉพาะแล้ว ทั้งปวง เพียงใด
แต่การรู้ตลอดซึ่งโสดาปัตติผล จากส�ำนัก ของพระเถระชื่อว่าอัสสชิ
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ท. เป็นผู้มีเรือนเป็นแล้ว
มีอยู่ เป็นผู้ไปแล้ว เพื่ออันเห็น ซึ่งมหรสพอันบุคคลพึงเล่นบนยอด
แห่งภูเขา (ย่อมเป็น) ดังนี้เป็นต้น (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของอาจารย์
ชื่อว่าสญชัย เป็นผู้ใคร่เพื่ออันน�ำมา ซึ่งอาจารย์นั้น สู่ที่ใกล้
แห่งพระบาท ของพระองค์ ท. (เป็น), บอกแล้ว ซึ่งความที่แห่งลัทธิ
ของอาจารย์นั้น เป็นลัทธิไม่มีสาระ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
104
อิธาคมเน อานิสํสํ กถยิมฺหา, โส `อิทานิ มยฺหํ
อนฺเตวาสิวาโส นาม จาฏิยา อุทกจลนภาวปฺปตฺติสทิโส,
น สกฺขิสฺสามิ อนฺเตวาสิวาสํ วสิตุนฺติ วตฺวา;
`อาจริย อิทานิ มหาชโน คนฺธมาลาทิหตฺโถ คนฺตฺวา
สตฺถารํเยว ปูเชสฺสติ, ตุมฺเห กถํ ภวิสฺสถาติ วุตฺเต,
`กึ ปน อิมสฺมึ โลเก ปณฺฑิตา พหู อุทาหุ ทนฺธาติ,
`ทนฺธาติ กถิเต, `เตนหิ ปณฺฑิตา ปณฺฑิตา
สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ คมิสฺสนฺติ, ทนฺธา
ทนฺธา มม สนฺติกํ อาคมิสฺสนฺติ, คจฺฉถ ตุมฺเหติ
วตฺวา อาคนฺตุํ น อิจฺฉิ ภนฺเตติ.
ตํ สุตฺวา สตฺถา “ภิกฺขเว สฺชโย อตฺตโน
มิจฺฉาทิฏฺ€ิตาย อสารํ `สาโรติ สารฺจ `อสาโรติ
คณฺหิ, ตุมฺเห ปน อตฺตโน ปณฺฑิตตาย สารํ
สารโต อสารฺจ อสารโต ตฺวา อสารํ ปหาย
สารเมว คณฺหิตฺถาติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
“อสาเร สารมติโน สาเร จาสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา
สารฺจ สารโต ตฺวา อสารฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจราติ.
ตตฺถ “อสาเร สารมติโนติ: จตฺตาโร ปจฺจยา,
ทสวตฺถุกา มิจฺฉาทิฏฺ€ิ, ตสฺสา อุปนิสฺสยภูตา
ธมฺมเทสนาติ อยํ อสาโร นาม, ตสฺมึ สารทิฏฺ€ิโนติ
อตฺโถ.
สาเร จาสารทสฺสิโนติ: ทสวตฺถุกา สมฺมาทิฏฺ€ิ,
ตสฺสาอุปนิสฺสยภูตา ธมฺมเทสนาติ อยํ สาโร นาม,
ตสฺมึ “นายํ สาโรติ อสารทสฺสิโน.
บอกแล้ว ซึ่งอานิสงส์ ในการมา ในที่นี้, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. อาจารย์นั้น กล่าวแล้ว ว่า ในกาลนี้ ชื่อ อ. การอยู่โดย-
ความเป็นอันเตวาสิก แห่งเรา เป็นเช่นกับด้วยการถึงซึ่งความเป็น-
คืออันไหวแห่งน�้ำ ในตุ่ม (ย่อมเป็น), อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันอยู่
อยู่โดยความเป็นอันเตวาสิก ดังนี้; (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่อาจารย์
ในกาลนี้อ. มหาชน ผู้มีวัตถุมีของหอมและระเบียบเป็นต้นในมือ
ไปแล้ว จักบูชา ซึ่งพระศาสดา นั่นเทียว, อ. ท่าน ท. จักเป็น
อย่างไร ดังนี้ (อันข้าพระองค์ ท.) กล่าวแล้ว, (กล่าวแล้ว) ว่า ก็
อ. คนฉลาด ท. ในโลกนี้ เป็นผู้มาก (ย่อมเป็น) หรือ หรือว่า
อ.คนโง่ท.(เป็นผู้มาก)(ย่อมเป็น)ดังนี้,(ครั้นเมื่อค�ำ)ว่าอ.คนโง่ท.
(เป็นผู้มาก) (ย่อมเป็น) ดังนี้ (อันข้าพระองค์ ท.) กล่าวแล้ว,
กล่าวแล้ว ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. คนฉลาด ท. ๆ จักไป สู่ส�ำนัก
ของพระสมณะ ผู้โคดม, อ. คนโง่ ท. ๆ จักมา สู่ส�ำนัก ของเรา,
อ. ท่าน ท. จงไป ดังนี้ไม่ปรารถนาแล้ว เพื่ออันมา ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท.
อ. สญชัย ถือเอาแล้ว ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ ว่า อ. ธรรมอันเป็นสาระ
ดังนี้ ด้วย ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ ว่า อ. ธรรมอันไม่เป็นสาระ ดังนี้
ด้วย เพราะความที่แห่งตนเป็นผู้มีความเห็นผิด, ส่วนว่า อ. เธอ ท.
รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันเป็นสาระด้วย
ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันไม่เป็นสาระด้วย
ละแล้ว ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ ถือเอาแล้ว ซึ่งธรรม อันเป็นสาระ
นั่นเทียว เพราะความที่แห่งตนเป็นคนฉลาด ดังนี้ ได้ตรัสแล้ว
ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า
(อ. ชน ท. เหล่าใด) เป็นผู้มีความรู้ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ
ในธรรมอันไม่เป็นสาระด้วย เป็นผู้เห็นซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ
โดยปกติ ในธรรมอันเป็นสาระด้วย (ย่อมเป็น) อ. ชน ท.
เหล่านั้น เป็นผู้มีความด�ำริผิดเป็นอารมณ์ (เป็น)
ย่อมไม่ถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ (อ. ชน ท. เหล่าใด)
รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันเป็นสาระ
ด้วย ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันไม่เป็น-
สาระด้วย อ. ชน ท. เหล่านั้น เป็นผู้มีความด�ำริชอบ-
เป็นอารมณ์ (เป็น) ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ ดังนี้ ฯ
อ.อรรถ ว่า อ.ธรรมนี้ คือ อ.ปัจจัย ท. ๔, อ.ความเห็นผิด
อันมีวัตถุ ๑๐ , อ.ธรรมเทศนา อันเป็นอุปนิสัย แห่งความเห็นผิด
นั้น เป็นแล้ว ชื่อว่าธรรมอันไม่เป็นสาระ, เป็นผู้มีความเห็นซึ่งธรรม
อันเป็นสาระ ในธรรมอันไม่เป็นสาระนั้น ดังนี้ ในบท ท. เหล่านั้น
หนา (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า อสาเร สารมติโน ดังนี้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.ธรรมนี้ คือ อ.ความเห็นชอบ อันมีวัตถุ ๑๐,
อ.ธรรมเทศนา อันเป็นอุปนิสัย แห่งความเห็นชอบนั้น เป็นแล้ว
ชื่อว่าธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้เห็นซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระโดยปกติ
ว่า อ.ธรรมนี้เป็นสาระ (ย่อมเป็น) หามิได้ ดังนี้ ในธรรมอันเป็นสาระ
นั้น(ดังนี้)(แห่งบาทแห่งพระคาถา)ว่าสาเร จาสารทสฺสิโนดังนี้ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 105
เต สารนฺติ: เต ตํ มิจฺฉาทิฏฺ€ิคหณํ คเหตฺวา
€ิตา กามวิตกฺกาทีนํ วเสน มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา
หุตฺวา สีลสารํ สมาธิสารํ ปฺาสารํ วิมุตฺติสารํ
วิมุตฺติาณทสฺสนสารํ ปรมตฺถสารํ นิพฺพานฺจ
นาธิคจฺฉนฺติ.
สารญฺจาติ: ตเมว สีลสาราทิสารํ “สาโร
นาม อยนฺติ วุตฺตปฺปการฺจ อสารํ “อสาโร
อยนฺติ ตฺวา.
เต สารนฺติ: เต ปณฺฑิตา เอวํ สมฺมาทสฺสนํ
คเหตฺวา €ิตา เนกฺขมฺมสงฺกปฺปาทีนํ วเสน
สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา หุตฺวา ตํ วุตฺตปฺปการํ สารํ
อธิคจฺฉนฺตีติ.
คาถาปริโยสาเน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิปาปุณึสุ.
สนฺนิปติตานํ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีติ.
					
สญฺชยวตฺถุ.
๙. นนฺทตฺเถรวตฺถุ. (๙)
“ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ
สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อายสฺมนฺตํ นนฺทํ อารพฺภ
กเถสิ.
สตฺถา หิ ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก ราชคหํ คนฺตฺวา
เวฬุวเน วิหรนฺโต, “ปุตฺตํ เม อาเนตฺวา ทสฺเสถาติ
สุทฺโธทนมหาราเชน เปสิตานํ สหสฺสสหสฺสปริวารานํ
ทสนฺนํ ทูตานํ สพฺพปจฺฉโต คนฺตฺวา อรหตฺตํ
ปตฺเตน กาฬุทายิตฺเถเรน อาคมนกาลํ ญตฺวา
สฏฺฐิมตฺตาย คาถาย มคฺควณฺณํ วณฺเณตฺวา
วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต กปิลวตฺถุปุรํ นีโต,
(อ.อรรถ) ว่า อ.ชน ท. เหล่านั้น คือว่า ผู้ถือเอา ถือเอาซึ่งความเห็นผิด
นั้น ตั้งอยู่แล้ว เป็นผู้มีความด�ำริผิดเป็นอารมณ์ เป็น ด้วยอ�ำนาจ
แห่งวิตก ท. มีกามวิตกเป็นต้น ย่อมไม่ถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ
คือศีลด้วยซึ่งธรรมอันเป็นสาระคือสมาธิด้วยซึ่งธรรมอันเป็นสาระ
คือปัญญาด้วย ซึ่งธรรมอันเป็นสาระคือวิมุตติด้วย ซึ่งธรรม
อันเป็นสาระคือวิมุตติญาณทัสสนะด้วย ซึ่งพระนิพพาน อันเป็นสาระ
คือประโยชน์อย่างยิ่งด้วย (ดังนี้) (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า
เต สารํ ดังนี้เป็นต้น ฯ
(อ.อรรถ) ว่า รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นสาระมีธรรมอันเป็นสาระ
คือศีลเป็นต้น นั้นนั่นเทียว ว่า อ.ธรรมนี้ชื่อว่าเป็นสาระ (ย่อมเป็น)
ดังนี้ด้วย ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ มีประการอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว
ว่า อ.ธรรมนี้ เป็นธรรมไม่เป็นสาระ (ย่อมเป็น) ดังนี้ด้วย (ดังนี้)
(แห่งบท) ว่า สารญฺจ ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ) ว่า (อ.ชน ท.) เหล่านั้น คือว่า ผู้ฉลาด คือว่า
ผู้ถือเอา ซึ่งความเห็นชอบ อย่างนี้ ตั้งอยู่แล้ว เป็นผู้มีความด�ำริชอบ
เป็นอารมณ์ เป็น ด้วยอ�ำนาจ (แห่งความด�ำริ ท.) มีความด�ำริ
ในเนกขัมมะเป็นต้น เป็น ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ
มีประการอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว นั้น ดังนี้ (แห่งหมวดสองแห่งบท)
ว่า เต สารํ ดังนี้เป็นต้น ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ชน ท. มาก บรรลุแล้ว
(ซึ่งอริยผล ท.) มีโสดาบัตติผลเป็นต้น ฯ
อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว
(แก่ชน ท.) ผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล ฯ
อ. เรื่องแห่งปริพาชกชื่อว่าสญชัย (จบแล้ว) ฯ
๙. อ. เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่านันทะ
(อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ
อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนานี้ ว่า
ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ ดังนี้เป็นต้น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. พระศาสดา ผู้มีจักรคือธรรม
อันประเสริฐอันทรงให้เป็นไปทั่วแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่า
ราชคฤห์ ประทับอยู่อยู่ ในพระเวฬุวัน, ผู้อัน - แห่งทูต ท. สิบ ผู้มีบุรุษ
มีพันหนึ่ง ๆ เป็นประมาณเป็นบริวาร ผู้อันพระเจ้าสุทโธทนะ
มหาราช ทรงไปแล้ว ด้วยพระด�ำรัส ว่า อ.ท่าน ท. จงน�ำมาแล้ว
ซึ่งบุตรของเรา แสดงแก่เรา ดังนี้ หนา พระเถระชื่อว่ากาฬุทายี
ผู้ไปแต่ภายหลังแห่งทูตทั้งปวง แล้วจึงบรรลุแล้วซึ่งความเป็น
แห่งพระอรหันต์ ทราบกาลเป็นที่เสด็จมาแล้ว จึงพรรณนาแล้ว
พรรณนาซึ่งหนทาง ด้วยคาถา มีคาถาหกสิบเป็นประมาณ
ผู้อันพระขีณาสพมีพันยี่สิบเป็นประมาณแวดล้อมแล้วน�ำไปแล้ว
สู่บุรีชื่อว่ากบิลพัสดุ,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
106
ญาติสมาคเม โปกฺขรวสฺสํ อตฺถุปฺปตฺตึ กตฺวา
มหาเวสฺสนฺตรชาตกํ กเถตฺวา, ปุนทิวเส ปิณฺฑาย
ปวิฏฺโฐ “อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺยาติ คาถาย ปิตรํ
โสตาปตฺติผเล ปติฏฺฐาเปตฺวา “ธมฺมญฺจเร สุจริตนฺติ
คาถาย มหาปชาปตึ โคตมึ โสตาปตฺติผเล
ราชานญฺจ สกทาคามิผเล ปติฏฺฐาเปสิ.
ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ปน ราหุลมาตุคุณกถํ
นิสฺสาย จนฺทกินฺนรีชาตกํ กเถตฺวา, ตโต ตติยทิวเส
นนฺทกุมารสฺส อภิเสกเคหปฺปเวสนวิวาหมงฺคเลสุ
วตฺตมาเนสุ, ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา นนฺทกุมารสฺส
หตฺเถ ปตฺตํ ทตฺวา มงฺคลํ วตฺวา อุฏฺฐายาสนา
ปกฺกมนฺโต นนฺทกุมารสฺส หตฺถโต ปตฺตํ น คณฺหิ.
โสปิ ตถาคตคารเวน “ปตฺตํ โว ภนฺเต
คณฺหถาติ วตฺตุํ นาสกฺขิ.
เอวํ ปน จินฺเตสิ “ โสปาณสีเส ปตฺตํ
คณฺหิสฺสตีติ.
สตฺถา ตสฺมึปิ ฐาเน น คณฺหิ.
อิตโร “โสปาณปาทมูเล คณฺหิสฺสตีติ จินฺเตสิ.
สตฺถา ตตฺถาปิ น คณฺหิ.
อิตโร “ราชงฺคเณ คณฺหิสฺสตีติ จินฺเตสิ.
สตฺถา ตตฺถาปิ น คณฺหิ.
กุมาโร นิวตฺติตุกาโม อรุจิยา คจฺฉนฺโต
ตถาคตคารเวน “ปตฺตํ คณฺหถาติ วตฺตุํ น
สกฺโกติ, “อิธ คณฺหิสฺสติ, เอตฺถ คณฺหิสฺสตีติ
จินฺเตนฺโต คจฺฉติ.
ตสฺมึ ขเณ อญฺญา อิตฺถิโย ตํ ทิสฺวา
ชนปทกลฺยาณิยา อาจิกฺขึสุ “ อยฺเย
ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งฝนโบกขรพัส ให้เป็นเหตุเป็นเป็นแดนเกิดขึ้น
แห่งเนี้อความ ตรัสแล้ว ซึ่งมหาเวสสันดรชาดก ในสมาคม
แห่งพระญาติเสด็จเข้าไปแล้วเพื่อบิณฑะ ในวันรุ่งขึ้นยังพระบิดา
ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล ด้วยพระคาถาว่า อุตุติฎฺเฐ
นปฺปมชฺเชยฺย (บุคคลไม่พึงประมาทในก้อนข้าวอันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ)
ดังนี้ เป็นต้น ยังพระนางมหาปชาบดี ผู้โคตมี ให้ตั้งอยู่
เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผลด้วย ยังพระราชา ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว
ในสกทาคามิผลด้วย ด้วยพระคาถา ว่า ธมฺมญฺจเร สุจริตํ
(บุคคลพึงประพฤติซึ่งธรรมให้เป็น สุจริต) ดังนี้เป็นต้น ฯ
ก็ อ.พระศาสดา ทรงอาศัย ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งคุณ
แห่งพระมารดาของพระราหุล ตรัสแล้ว ซึ่งจันทกินนรีชาดก
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจด้วยภัต ครั้นเมื่อมงคลคือการอภิเษก
และมงคลคืออันเข้าไปสู่เรือนและมงคลคือวิวาหะ ท. แห่งพระกุมาร
พระนามว่านันทะ เป็นไปอยู่ เสด็จเข้าไปแล้วเพื่อบิณฑะ ในวันที่ ๓
แต่วันนั้น ประทานแล้ว ซึ่งบาตร บนพระหัตถ์ ของพระกุมาร
พระนามว่านันทะ ตร้สแล้วซึ่งมงคล เสด็จลุกขึ้นแล้วจากอาสนะ
หลีกไปอยู่ ไม่ทรงรับแล้ว ซึ่งบาตร จากพระหัตถ์ ของพระกุมาร
พระนามว่านันทะ ฯ
อ. พระนันทกุมารแม้นั้น ไม่ได้ทรงอาจแล้ว เพื่ออันกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงรับ ซึ่งบาตร
ของพระองค์ ท. ดังนี้ด้วยความเคารพในพระตถาคตเจ้า ฯ
แต่ว่า (อ.พระนันทกุมาร) ทรงด�ำริแล้ว อย่างนี้ ว่า
(อ. พระศาสดา) จักทรงรับ ซึ่งบาตร ที่หัวแห่งบันได ดังนี้ ฯ
อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ว ในที่แม้นั้น ฯ
อ. พระนันทกุมารนอกนี้ ทรงด�ำริแล้ว ว่า (อ. พระศาสดา)
จักทรงรับ ณ โคนแห่งเชิงของบันได ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา) ไม่ทรงรับแล้ว ในที่แม้นั้น ฯ
อ. พระนันทกุมารนอกนี้ ทรงด�ำริแล้ว ว่า (อ. พระศาสดา)
จักทรงรับ ที่เนินของพระราชา ดังนี้ฯ
อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ว ในที่แม้นั้น ฯ
อ. พระกุมาร เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเสด็จกลับ (เป็น) เสด็จไปอยู่
ด้วยความไม่ชอบพระทัย ย่อมไม่ทรงอาจ เพื่ออันกราบทูล ว่า
อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงรับ ซึ่งบาตร ดังนี้ ด้วยความเคารพ
ในพระตถาคตเจ้า, ย่อมเสด็จด�ำริไปอยู่ ว่า (อ.พระศาสดา)
จักทรงรับเอา ในที่นี้, จักทรงรับเอา ในที่นั่น ดังนี้ ฯ
ในขณะนั้น อ.หญิงอยู่ ท. เหล่าอื่น เห็นแล้ว ซึ่งเหตุนั้น
บอกแล้ว แก่พระนางชนบทกัลยาณี ว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 107
ภควา นนฺทกุมารํ คเหตฺวา คโต, ตุมฺเหหิ ตํ วินา
กริสฺสตีติ.
สาปิ ตํ สุตฺวา อุทกพินฺทูหิ ปคฺฆรนฺเตเหว
อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ เวเคน คนฺตฺวา “ตุวฏํ โข
อยฺยปุตฺต อาคจฺเฉยฺยาสีติ อาห.
ตํ ตสฺสา วจนํ ตสฺส หทเย ติริยํ ปติตฺวา
วิย €ิตํ.
สตฺถาปิสฺส หตฺถโต ปตฺตํ อคฺคณฺหิตฺวาว ตํ
วิหารํ เนตฺวา “ปพฺพชิสฺสสิ นนฺทาติ อาห.
โส พุทฺธคารเวน “น ปพฺพชิสฺสามีติ อวตฺวา
“อาม ภนฺเต ปพฺพชิสฺสามีติ อาห.
สตฺถา “เตนหิ ภิกฺขเว นนฺทํ ปพฺพาเชถาติ
อาห.
สตฺถา กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา ตติยทิวเส นนฺทํ
ปพฺพาเชสิ.
สตฺตเม ทิวเส ราหุลมาตา กุมารํ อลงฺกริตฺวา
ภควโต สนฺติกํ เปเสสิ “ปสฺส ตาต เอตํ
วีสติสหสฺสสมณปริวุตํ สุวณฺณวณฺณํ พฺรหฺมรูปวณฺณํ
สมณํ, อยนฺเต ปิตา, เอตสฺส ตว ปิตุโน
ชาตกาเล มหนฺตา นิธิกุมฺภิโย อเหสุํ, ตสฺส
นิกฺขมนกาลโต ปฏฺ€าย น ปสฺสามิ, คจฺฉ นํ
ทายชฺชํ ยาจาหิ `อหํ ตาต กุมาโร, อภิเสกํ ปตฺวา
จกฺกวตฺตี ภวิสฺสามิ, ธเนน เม อตฺโถ, ธนํ เม เทหิ,
สามิโก หิ ปุตฺโต ปิตุ สนฺตกสฺสาติ.
กุมาโร ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา
ปิตุสิเนหํ ปฏิลภิตฺวา หฏฺ€ตุฏฺโ€ “สุขา เต สมณ
ฉายาติ วตฺวา อฺํปิ พหุํ อตฺตโน อนุรูปํ
วทนฺโต อฏฺ€าสิ.
ภควา กตภตฺตกิจฺโจ อนุโมทนํ กตฺวา อุฏฺ€ายาสนา
ปกฺกามิ.
กุมาโรปิ “ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ, ทายชฺชํ
เม สมณ เทหีติ ภควนฺตํ อนุพนฺธิ.
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพาเอา ซึ่งพระนันทกุมาร เสด็จไปแล้ว,
จักทรงกระท�ำ ซึ่งพระนันทกุมารนั้น เว้น จากพระองค์ ท. ดังนี้ ฯ
อ.พระนางชนบทกัลยาณีแม้นั้น ทรงสดับแล้ว ซึ่งค�ำนั้น
ด้วยทั้งหยาดแห่งน�้ำ ท. อันไหลออกอยู่นั่นเทียว ด้วยทั้งผม ท.
อันตนสยายแล้วด้วยทั้งกึ่ง เสด็จไปแล้ว โดยเร็ว ทูลแล้ว ว่า
ข้าแต่พระลูกเจ้า (อ. พระองค์) พึงเสด็จมา ด่วนแล ดังนี้ ฯ
อ.พระด�ำรัส ของพระนางชนบทกัลยาณีนั้น นั้น ราวกะว่า
ตกไปขวางตั้งอยู่แล้วในพระทัยของพระนันทกุมารนั้นฯ
แม้ อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ว ซึ่งบาตร จากพระหัตถ์
ของพระนันทกุมารนั้นเทียว ทรงน�ำไปแล้ว ซึ่งพระนันทกุมารนั้น
สู่วิหาร ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จักบวชหรือ ดังนี้ ฯ
อ. พระนันทกุมารนั้น ไม่ทูลแล้ว ว่า อ. ข้าพระองค์ จักไม่บวช
ดังนี้กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า อ. ข้าพระองค์
จักบวช ดังนี้ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้าอย่างนั้น
(อ. เธอ ท.) ยังนันทะ จงให้บวชเถิด ดังนี้ ฯ
อ.พระศาสดา เสด็จไปแล้ว สู่บุรีชื่อว่ากบิลพัสดุ์
ทรงยังพระนันทะ ให้ผนวชแล้ว ในวันที่สาม ฯ
ในวันที่เจ็ด อ.พระมารดาของพระราหุล ทรงประดับแล้ว
ซึ่งพระกุมาร ทรงส่งไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
(ด้วยพระด�ำรัส) ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้า จงเห็น ซึ่งสมณะ ผู้มีวรรณะ
แห่งรูปเพียงดังพรหม ผู้มีวรรณะเพียงดังวรรณะแห่งทอง
ผู้อันสมณะมีพันยี่สิบเป็นประมาณแวดล้อมแล้ว นั่น, อ. สมณะนี้
เป็นพระบิดา ของเจ้า (ย่อมเป็น), อ. หม้อแห่งขุมทรัพย์ ท. ใหญ่
ได้มีแล้ว ในกาลแห่งพระบิดาของเจ้านั่น ประสูติแล้ว, อ. เรา
ย่อมไม่เห็น จ�ำเดิม แต่กาลเป็นที่เสด็จออกไป แห่งพระบิดานั้น,
อ.เจ้า จงไป จงทูลขอ ซึ่งทรัพย์มรดก กะพระบิดานั้น ว่า
ข้าแต่เสด็จพ่อ อ. หม่อมฉัน เป็นกุมาร (ย่อมเป็น), อ. หม่อมฉัน
ถึงแล้ว ซึ่งการอภิเษก เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ จักเป็น,
อ. ความต้องการ ด้วยทรัพย์ แห่งหม่อมฉัน (มีอยู่), อ. พระองค์
ขอจงประทาน ซึ่งทัพย์ แก่หม่อมฉัน , เพราะว่า อ. บุตร
เป็นเจ้าของ แห่งทรัพย์อันเป็นของมีอยู่ แห่งบิดา (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
อ. พระกุมาร เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายบังคมแล้ว กลับได้แล้ว ซึ่งความรักในพระบิดา ผู้ร่าเริงแล้ว
และยินดีแล้ว กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่สมณะ อ. เงา ของพระองค์
สบาย ดังนี้ ได้ประทับยืนตรัสอยู่แล้ว ซึ่งค�ำอันสมควร แก่ตน
อันมาก แม้อื่น ฯ
อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีกิจด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว
ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการอนุโมทนา เสด็จลุกขึ้นแล้ว จากอาสนะ
เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ
แม้ อ. พระกุมาร (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่สมณะ อ. พระองค์
ขอจงประทาน ซึ่งทรัพย์มรดก แก่หม่อมฉัน , ข้าแต่สมณะ
อ.พระองค์ ขอจงประทาน ซึ่งทรัพย์มรดก แก่หม่อมฉัน ดังนี้
เสด็จติดตามไปแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
108
ภควาปิ กุมารํ น นิวตฺตาเปสิ.
ปริชโนปิ ภควตา สทฺธึ คจฺฉนฺตํ นิวตฺเตตุํ นาสกฺขิ.
อิติ โส ภควตา สทฺธึ อารามเมว อคมาสิ.
ตโต ภควา จินฺเตสิ “ยํ อยํ ปิตุ สนฺตกํ ธนํ
อิจฺฉติ, ตํ วฏฺฏานุคตํ สวิฆาตํ; หนฺทสฺส โพธิมูเล
มยา ปฏิลทฺธํ สตฺตวิธํ อริยธนํเทมิ, โลกุตฺตรทายชฺชสฺส
นํ สามิกํ กโรมีติ.
อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ อามนฺเตสิ
“เตนหิ ตฺวํ สารีปุตฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชหีติ.
เถโร ตํ ปพฺพาเชสิ.
ปพฺพชิเต ปน กุมาเร, รฺโ ตํ สุตฺวา
อธิมตฺตํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชิ.
ตํ อธิวาเสตุํ อสกฺโกนฺโต ภควโต สนฺติกํ
คนฺตฺวา ปฏินิเวเทตฺวา “ สาธุ ภนฺเต อยฺยา
มาตาปิตูหิ อนนุฺาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชยฺยุนฺติ
วรํ ยาจิ.
ภควา ตสฺส ตํ วรํ ทตฺวา, ปุเนกทิวสํ ราชนิเวสเน
กตปาตราโส, เอกมนฺตํ นิสินฺเนน รฺา “ภนฺเต
ตุมฺหากํ ทุกฺกรการิกกาเล เอกา เทวตา มํ
อุปสงฺกมิตฺวา `ปุตฺโต เต กาลกโตติ อาห, อหํ
ตสฺสา วจนํ อสทฺทหนฺโต `น มยฺหํ ปุตฺโต โพธึ
อปฺปตฺวา กาลํ กโรตีติ ตํ ปฏิกฺขิปินฺติ วุตฺเต,
“อิทานิ มหาราช กึ สทฺทหิสฺสถ; ปุพฺเพปิ,
อฏฺ€ิกานิ ตุยฺหํ ทสฺเสตฺวา `ปุตฺโต เต มโตติ
วุตฺเต, น สทฺทหิตฺถาติ, อิมิสฺสา อตฺถุปฺปตฺติยา
มหาธมฺมปาลชาตกํ กเถสิ.
กถาปริโยสาเน ราชา อนาคามิผเล ปติฏฺ€หิ.
แม้ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงยังพระกุมารให้เสด็จ
กลับแล้ว ฯ แม้ อ. ชนผู้เป็นบริวาร ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออัน
(ยังพระกุมาร) ผู้เสด็จไปอยู่ กับ ด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้า
ให้เสด็จกลับ ฯ อ. พระกุมาร นั้น ได้เสด็จไปแล้ว สู่อาราม
กับ ด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเทียว ด้วยประการฉะนี้ ฯ
*ก.๒๓* ในล�ำดับนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระด�ำริแล้ว
ว่าอ.กุมารนี้ย่อมปรารถนาซึ่งทรัพย์อันเป็นของมีอยู่แห่งบิดาใด,
อ. ทรัพย์นั้น เป็นของไปตามแล้วซึ่งวัฏฏะ เป็นของเป็นไปกับ
ด้วยความคับแคบ (ย่อมเป็น) ; เอาเถิด (อ. เรา) จะให้ ซึ่งทรัพย์
อันประเสริฐ อันมีอย่าง๗อันอันเราได้เฉพาะแล้วที่โคนแห่งต้นไม้
เป็นที่ตรัสรู้ แก่กุมาร นั้น, อ. เรา จะกระท�ำ ซึ่งกุมารนั้น ให้เป็นเจ้าของ
แห่งทรัพย์มรดกอันเป็นโลกุตระ ดังนี้ฯ
ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระสารีบุตร
ผู้มีอายุ (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนสารีบุตร ถ้าอย่างนั้น อ. เธอ
ยังกุมารชื่อว่าราหุลจงให้บวชเถิดดังนี้ฯ อ.พระเถระยังพระกุมาร
นั้น ให้ผนวชแล้ว ฯ
ก็ ครั้นเมื่อพระกุมาร ผนวชแล้ว, อ. ความทุกข์ มีประมาณยิ่ง
เกิดขึ้นแล้ว แก่พระราชา เพราะทรงสดับ ซึ่งข่าวสาส์นนั้น ฯ
(อ. พระราชา) ไม่ทรงอาจอยู่ เพื่ออันทรงยังความทุกข์นั้น
ให้อยู่ทับ เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
(ทรงยังพระผู้มีพระภาคเจ้า) ให้ทรงทราบเฉพาะแล้ว ทูลขอแล้ว
ซึ่งพร ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังหม่อมฉันทูลขอวโรกาส
อ.พระผู้เป็นเจ้า ท. ไม่พึงยังบุตร ผู้อันมารดาและบิดา ท.
ไม่อนุญาตแล้ว ให้บวช ดังนี้ ฯ
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทานแล้ว ซึ่งพรนั้น แก่พระราชา
นั้น, ในวันหนึ่งอีก ผู้มีอาหารอันบุคคลพึงกินในเวลาเช้า
อันทรงกระท�ำแล้ว ในพระราชนิเวศน์, (ครั้นเมื่อพระด�ำรัส) ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลแห่งพระองค์ ท. ทรงประกอบแล้ว
ด้วยการกระท�ำซึ่งกรรมอันบุคคลกระท�ำได้โดยยาก อ. เทวดา
ตนหนึ่ง เข้าไปหาแล้ว ซึ่งหม่อมฉัน กล่าวแล้ว ว่า อ. ลูกชาย
ของท่านเป็นผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว(ย่อมเป็น)ดังนี้,อ.หม่อมฉัน
ไม่เชื่ออยู่ซึ่งค�ำของเทวดานั้นห้ามแล้วซึ่งเทวดานั้นว่าอ.ลูกชาย
ของข้าพเจ้า ไม่บรรลุแล้ว ซึ่งญาณเป็นเครื่องตรัสรู้ จะกระท�ำ
ซึ่งกาละ หามิได้ ดังนี้ ดังนี้ (อันพระราชา) ผู้ประทับนั่งแล้ว
ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ทูลแล้ว, (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร
ในกาลนี้ อ. พระองค์ ท. จักทรงเชื่อ อย่างไร ; แม้ในกาลก่อน,
(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ลูกชาย ของท่าน ตายแล้ว ดังนี้(อันพราหมณ์)
แสดงแล้ว ซึ่งกระดูก ท. แก่พระองค์ กราบทูลแล้ว, (อ. พระองค์ ท.)
ไม่ทรงเชื่อแล้ว ดังนี้, ตรัสแล้ว ซึ่งมหาธรรมบาลชาดก
ในเพราะความเกิดขึ้นแห่งเรื่อง นี้ ฯ
ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกถา อ. พระราชา ทรงตั้งอยู่เฉพาะแล้ว
ในอนาคามิผล ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 109
อิติ ภควา ปิตรํ ตีสุ ผเลสุ ปติฏฺ€าเปตฺวา
ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปุนเทว ราชคหํ คนฺตฺวา ตโต
อนาถปิณฺฑิเกน สาวตฺถึ อาคมนตฺถาย คหิตปฏิฺโ,
นิฏฺ€ิเต เชตวนมหาวิหาเร, ตตฺถ คนฺตฺวา วาสํ
กปฺเปสิ.
เอวํ สตฺถริ เชตวเน วิหรนฺเตเยว, อายสฺมา
นนฺโท อุกฺกณฺ€ิตฺวา ภิกฺขูนํ เอตมตฺถํ อาโรเจสิ
“ อนภิรโต อหํ อาวุโส พฺรหฺมจริยํ จรามิ ,
น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย
หีนายาวตฺติสฺสามีติ.
ภควา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ
ปกฺโกสาเปตฺวา เอตทโวจ “สจฺจํ กิร ตฺวํ นนฺท
สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ เอวมาโรเจสิ `อนภิรโต อหํ
อาวุโส พฺรหฺมจริยํ จรามิ, น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริยํ
สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามีติ.
“เอวํ ภนฺเตติ.
“กิสฺส ปน ตฺวํ นนฺท อนภิรโต พฺรหฺมจริยํ
จรสิ,น สกฺโกสิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย
หีนายาวตฺติสฺสสีติ.
“สากิยานี เม ภนฺเต ชนปทกลฺยาณี ฆรา
นิกฺขมนฺตสฺส อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ อปโลเกตฺวา
มํ เอตทโวจ “ตุวฏํ โข อยฺยปุตฺต อาคจฺเฉยฺยาสีติ;
โส โข อหํ ภนฺเต ตํ อนุสฺสรมาโน อนภิรโต
พฺรหฺมจริยํ จรามิ, น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ,
สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามีติ.
อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ พาหาย
คเหตฺวา อิทฺธิพเลน ตาวตึสเทวโลกํ เนนฺโต,
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังพระบิดา ให้ตั้งอยู่เพาะแล้ว
ในผล ท. สาม ด้วยประการฉะนี้ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว
เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ อีกนั่นเทียว ผู้มีปฏิญญา
อันเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะรับแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การเสด็จมา
สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี (จากเมืองชื่อว่าราชคฤห์) นั้น, ครั้นเมื่อมหาวิหาร
ชื่อว่าเชตวัน ส�ำเร็จแล้ว , เสด็จไปแล้ว ทรงส�ำเร็จแล้ว
ซึ่งการประทับอยู่ ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวันนั้น ฯ
ครั้นเมื่อพระศาสดา ประทับอยู่อยู่ ในพระเชตวัน อย่างนี้
นั่นเทียว, อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ กระสันขึ้นแล้ว บอกแล้ว ซึ่งเนื้อความ
นั่น แก่ภิกษุ ท. ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุท. อ. ข้าพเจ้า ไม่ยินดียิ่งแล้ว
ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ , อ.ข้าพเจ้า ย่อมไม่อาจ
เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, (อ. ข้าพเจ้า) บอกคืนแล้ว
ซึ่งสิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลว ดังนี้ฯ
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่ว นั้น
(ทรงยังบุคคล) ให้ร้องเรียกแล้ว ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ได้ตรัสแล้ว
ซึ่งค�ำนั่น ว่า ดูก่อนนันทะ ได้ยินว่า อ. เธอ บอกแล้ว อย่างนี้ ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ข้าพเจ้า ไม่ยินดียิ่งแล้ว ย่อมประพฤติ
ซึ่งพรหมจรรย์, อ.ข้าพเจ้า ย่อมไม่อาจ เพื่ออันทรงไว้พร้อม
ซึ่งพรหมจรรย์, อ. ข้าพเจ้า บอกคืนแล้ว ซึ่งสิกขา จักเวียนมา
เพื่อความเป็นคนเลวดังนี้แก่ภิกษุ ท. ผู้มากพร้อมจริงหรือ(ดังนี้)ฯ
(อ. พระนันทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. อย่างนั้น ดังนี้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนนันทะ ก็ อ. เธอ
ผู้ไม่ยินดียิ่งแล้ว ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์, อ. เธอ ย่อมไม่อาจ
เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, อ. เธอ บอกคืนแล้ว ซึ่งสิกขา
จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลว เพื่ออะไร ดังนี้ฯ
(อ.พระนันทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อข้าพระองค์ ออกไปอยู่ จากเรือน อ. พระนางชนบทกัลยาณี
ผู้ศากิยะ ด้วยทั้งผม ท. อันตนเกล้าแล้วด้วยทั้งกึ่ง เหลียวแลแล้ว
ได้กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำนั่น กะข้าพระองค์ ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า
อ. พระองค์ พึงเสด็จมา ด่วนแล ดังนี้, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ.ข้าพระองค์นั้นแล ระลึกตามอยู่ ซึ่งค�ำนั้น ไม่ยินดียิ่งแล้ว
ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ , อ.ข้าพระองค์ ย่อมไม่อาจ
เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, อ. ข้าพระองค์ บอกคืนแล้ว
ซึ่งสิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลว ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจับแล้ว
ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ที่แขน ทรงน�ำไปอยู่ สู่เทวโลกชื่อว่าดาวดึงส์
ด้วยก�ำลังแห่งพระฤทธิ์,
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
110
อนฺตรามคฺเค เอกสฺมึ ฌามกฺเขตฺเต ฌามขานุมตฺถเก
นิสินฺนํ ฉินฺนกณฺณนาสนงฺคุฏฺ€ํ เอกํ ปลุฏฺ€มกฺกฏึ
ทสฺเสตฺวา, ตาวตึสภวเน สกฺกสฺส เทวรฺโ
อุปฏฺ€านํ อาคตานิ กกุฏปาทานิ ปฺจ อจฺฉราสตานิ
ทสฺเสสิ.
ทสฺเสตฺวา จ ปน เอวมาห “ตํ กึ มฺสิ
นนฺท, กตมา นุโข อภิรูปตรา จ ทสฺสนียตรา จ
ปาสาทิกตรา จ, สากิยานี วา ชนปทกลฺยาณี
อิมานิ วา ปฺจ อจฺฉราสตานิ กกุฏปาทานีติ.
ตํ สุตฺวา อาห “เสยฺยถาปิ สา ภนฺเต ฉินฺนกณฺณ-
นาสนงฺคุฏฺ€า ปลุฏฺ€มกฺกฏี; เอวเมว โข ภนฺเต
สากิยานี ชนปทกลฺยาณี, อิเมสํ ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ
อุปนิธาย สงฺขฺยํปิ น อุเปติ, กลํปิ น อุเปติ
ภาคํปิ น อุเปติ; อถโข อิมาเนว ปฺจ อจฺฉราสตานิ
อภิรูปตรานิ เจว ทสฺสนียตรานิ จ ปาสาทิกตรานิ
จาติ.
“อภิรม นนฺท, อภิรม นนฺท, อหนฺเต ปาฏิโภโค
ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺติ.
“สเจ เม ภนฺเต ภควา ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ
อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานํ, อภิรมิสฺสามหํ
ภนฺเต ภควา พฺรหฺมจริเยติ.
อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ คเหตฺวา ตตฺถ
อนฺตรหิโต เชตวเนเยว ปาตุรโหสิ.
อสฺโสสุํ โข ภิกฺขู “อายสฺมา กิร นนฺโท ภควโต
ภาตา มาตุจฺฉาปุตฺโต อจฺฉรานํ เหตุ พฺรหฺมจริยํ
จรติ,
ทรงแสดงแล้ว ซึ่งนางลิงรุ่น ตัวหนึ่ง ตัวมีหูและจมูกและหาง
อันขาดแล้ว ตัวนั่งแล้ว บนที่สุดแห่งตออันไฟไหม้แล้ว ในนา
อันไฟไหม้แล้ว แห่งหนึ่ง ในระหว่างแห่งหนทาง, ทรงแสดงแล้ว
ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ
ผู้มาแล้ว สู่ที่เป็นที่บ�ำรุง ซึ่งท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ
ในภพชื่อว่าดาวดึงส์ ฯ
ก็แล (อ. พระศาสดา) ครั้นทรงแสดงแล้ว ตรัสแล้ว อย่าง
นี้ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จะส�ำคัญ ซึ่งข้อนั้น อย่างไร, อ.
หญิง ท. เหล่าไหนหนอแล คือ อ. นางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ
หรือ หรือว่า คือ อ. ร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้า
แห่งนกพิราบ เหล่านี้เป็นผู้มีรูปงามกว่าด้วย เป็นผู้ควรแก่การเห็น
กว่าด้วย เป็นผู้ยังความเลื่อมใสให้เกิดกว่าด้วย (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
(อ.พระนันทะ) ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น กราบทูลแล้ว ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. นางลิงลุ่น ตัวมีหูและจมูกและหาง
อันขาดแล้ว นั้น (ย่อมเป็น) แม้ฉันใด; ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อ. พระนางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ (ย่อมเป็น) ฉันนั้น นั่นเทียวแล.
(อ.นางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ) ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซึ่งการนับพร้อม,
ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซึ่งเสี้ยว ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซึ่งส่วน แห่งร้อย
แห่งนางอัปสร ท. ๕ เหล่านี้เพราะอันเข้าไปเทียบเคียง; โดยที่แท้
อ. ร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ เหล่านี้นั่นเทียว เป็นผู้มีรูปงามกว่าด้วย
เป็นผู้ควรแก่การเห็นกว่าด้วย เป็นผู้ยังความเลื่อมใสให้เกิดกว่าด้วย
(ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จงยินดียิ่ง
ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จงยินดียิ่ง, อ. เรา เป็นผู้รับรอง เพื่ออันยังเธอ
ให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ
(ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
(อ. พระนันทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าว่า
อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออันยังข้าพระองค์ให้ได้
เฉพาะซึ่งร้อยแห่งนางอัปสรท.๕ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ
(ย่อมเป็น) ไซร้, ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์
จักยินดียิ่ง ในพรหมจรรย์ ดังนี้ฯ
ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพาเอาแล้ว ซึ่งพระนันทะ
ผู้มีอายุ ทรงหายไปแล้ว ในที่นั้น ได้มีปรากฏแล้ว ในพระเชตวัน
นั่นเทียว ฯ
อ. ภิกษุ ท. ได้ฟังแล้ว แล ว่า ได้ยินว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ
ผู้เป็นพระภาดา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระโอรสของพระแม่น้า
ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ เพราะเหตุ แห่งนางอัปสร ท.,
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 111
ภควา กิรสฺส ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ
ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺติ.
อถโข อายสฺมโต นนฺทสฺส สหายกา ภิกฺขู
อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ภตกวาเทน จ อุปกฺกีตกวาเทน
จ สมุทาจรนฺติ “ ภตโก กิรายสฺมา นนฺโท ,
อุปกฺกีตโก กิรายสฺมา นนฺโท, ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ
เหตุ พฺรหฺมจริยํ จรติ, ภควา กิรสฺส ปาฏิโภโค
ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺติ.
อถโข อายสฺมา นนฺโท สหายกานํ ภิกฺขูนํ
ภตกวาเทน จ อุปกฺกีตกวาเทน จ อฏฺฏิยมาโน
หรายมาโน ชิคุจฺฉมาโน เอโก วูปกฏฺโ€ อปฺปมตฺโต
อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต, นจิรสฺเสว ยสฺสตฺถาย
กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ
ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเ€ว
ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช
วิหาสิ, “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ
นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อพฺภฺาสิ, อฺตโร
จ ปนายสฺมา นนฺโท อรหตํ อโหสิ.
อเถกา เทวตา รตฺติภาเค สกลํ เชตวนํ
โอภาเสตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา
อาโรเจสิ “ อายสฺมา ภนฺเต นนฺโท ภควโต
ภาตา มาตุจฺฉาปุตฺโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ
เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ
อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ.
ภควโตปิ โข าณํ อุทปาทิ “นนฺโท อาสวานํ
ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว
ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช
วิหรตีติ.
ได้ยินว่า อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออัน
ยังพระนันทะนั้น ให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้า
เพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
ครั้งนั้นแล อ. ภิกษุ ท. ผู้เป็นสหาย ของพระนันทะ ผู้มีอายุ
ย่อมประพฤติร้องเรียก ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ด้วยวาทะว่า
พระนันทะผู้กระท�ำซึ่งการรับจ้างด้วย ด้วยวาทะว่าพระนันทะ
ผู้อันพระศาสดาทรงไถ่แล้วด้วย ว่า ได้ยินว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ
เป็นผู้กระท�ำซึ่งการรับจ้าง (ย่อมเป็น), ได้ยินว่า อ. พระนันทะ
ผู้มีอายุ เป็นผู้อันพระศาสดาทรงไถ่แล้ว (ย่อมเป็น), (อ. พระนันทะ)
ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ เพราะเหตุ แห่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕,
ได้ยินว่า อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออันยังพระนันทะ
นั้นให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเทียงดังเท้า
แห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
ครั้งนั้นแล อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ อึดอัดอยู่ ละอายอยู่ รังเกียจอยู่
ด้วยวาทะว่าพระนันทะผู้กระท�ำซึ่งการรับจ้างด้วย ด้วยวาทะว่า
พระนันทะผู้อันพระศาสดาทรงไถ่แล้วด้วย ของภิกษุ ท. ผู้เป็นสหาย
ผู้เดียว หลีกออกแล้ว ผู้ไม่ประมาทแล้ว ผู้มีความเพียรเป็นเครื่อง
ยังกิเลสให้ร้อนทั่ว ผู้มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่อยู่, อ. กุลบุตร ท.
ย่อมบวช ไม่มีกรรมเกื้อกูลแก่เรือน จากเรือน โดยชอบนั่นเทียว
เพื่อประโยชน์แก่คุณวิเศษใด, กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งคุณวิเศษนั้น
อันยอดเยี่ยม อันมีพรหมจรรย์เป็นที่สุดลงรอบ เพราะรู้ยิ่ง เอง
ต่อกาลไม่นานนั่นเทียว เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่แล้ว ในธรรม
อันสัตว์เห็นแล้วเทียว, (อ. พระนันทะ) ได้รู้ยิ่งแล้ว ว่า อ. ชาติ
สิ้นแล้ว อ.พรหมจรรย์อันเราอยู่จบแล้ว,อ.กิจอันบุคคลพึงกระท�ำ
อันเรา กระท�ำแล้ว, อ. กิจ อื่นอีก (ย่อมไม่มี) เพื่อความเป็นอย่างนี้
ดังนี้, ก็แล อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ เป็น-แห่งพระอรหันต์ ท. หนา-
พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ
ครั้งนั้น อ.เทวดา ตนหนึ่ง ยังพระเชตวัน ทั้งสิ้น ให้สว่างแล้ว
ในส่วนแห่งราตรี เข้าไปเฝ
้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว
กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระนันทะผู้มีอายุ
ผู้เป็นพระภาดา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระโอรสของพระแม่น้า
กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ
เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง เข้าไปถึงพร้อมแล้ว
อยู่อยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว ดังนี้ฯ
อ.พระญาณ ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล ว่า
อ. นันทะ กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ
อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง
เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่อยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว ดังนี้ ฯ
www.kalyanamitra.org
ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี
112
โสปายสฺมา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ภควนฺตํ
อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอตทโวจ “ยํ เม ภนฺเต
ภควา ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย
กกุฏปาทานํ, มุฺจามหํ ภนฺเต ภควนฺตํ เอตสฺมา
ปฏิสฺสวาติ.
“มยาปิ โข เต นนฺท เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโต
`นนฺโท อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ
ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา
อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ, เทวตาปิ เม เอตมตฺถํ
อาโรเจสิ `อายสฺมา ภนฺเต นนฺโท อาสวานํ ขยา
อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม
สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ,
ยเทว โข เต นนฺท อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ
มุตฺตํ, อถาหํ มุตฺโต เอตสฺมา ปฏิสฺสวาติ.
อถโข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ
อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
“ยสฺส ติณฺโณ กามปงฺโก มทฺทิโต กามกณฺฏโก
โมหกฺขยมนุปฺปตฺโต สุขทุกฺเข น เวธตีติ.
อเถกทิวสํ ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ปุจฺฉึสุ
“อาวุโส นนฺท ปุพฺเพ ตฺวํ `อุกฺกณฺ€ิโตมฺหีติ วเทสิ,
อิทานิ เต กถนฺติ. “นตฺถิ เม อาวุโส คิหิภาวาย
อาลโยติ.
ตํ สุตฺวา ภิกฺขู “อภูตํ อายสฺมา นนฺโท กเถติ,
อฺํ พฺยากโรติ, อตีตทิวเสสุ `อุกฺกณฺ€ิโตมฺหีติ
วตฺวา, อิทานิ `นตฺถิ เม คิหิภาวาย อาลโยติ
กเถตีติ วตฺวา คนฺตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ.
อ.พระนันทะผู้มีอายุแม้นั้นเข้าไปเฝ
้ าแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
โดยอันล่วงไป แห่งราตรี นั้น ถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลแล้ว
ซึ่งค�ำนั่น ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออันยังข้าพระองค์ให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อย
แห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ใด,
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ย่อมเปลื้อง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
จากการฟังตอบ นั่น ดังนี้ฯ
(อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนนันทะ อ. ใจ
ของเธอ แม้อันเราแล ก�ำหนด รู้แล้ว ด้วยใจ ว่า อ. นันทะ
กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ
เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง เข้าไปถึงพร้อมแล้ว
อยู่อยู่ในธรรมอันสัตว์เห็นแล้วเทียวดังนี้, แม้ อ.เทวดาบอกแล้ว
ซึ่งเนื้อความนั่น แก่เรา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระนันทะ
ผู้มีอายุ กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ
อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง
เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่อยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว ดังนี้,
ดูก่อนนันทะ ในกาลใดนั่นเทียวแล อ.จิต ของเธอ พ้นแล้ว
จากอาสวะ ท. เพราะไม่เข้าไปถือมั่น, ในกาลนั้น อ. เรา เป็นผู้พ้นแล้ว
จากการฟังตอบ นั่น (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ
ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบแล้ว ซึ่งเนื้อความ
นั่น ทรงเปล่งแล้ว ซึ่งพระอุทาน นี้ในเวลานั้น ว่า
อ. เปือกตมคือกาม อันบุคคลใด ข้ามแล้ว อ. หนามคือกาม
(อันบุคคล) ใด ย�่ำยีแล้ว (อ.บุคคลนั้น) ถึงโดยล�ำดับแล้ว
ซึ่งความสิ้นไปแห่งโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะสุข
และทุกข์ ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. ภิกษุ ท. ถามแล้ว ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ
ว่า ดูก่อนนันทะ ผู้มีอายุ ในกาลก่อน อ. ท่าน กล่าวแล้ว ว่า
อ. ข้าพเจ้า เป็นผู้กระสันขึ้นแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้, ในกาลนี้ (อ. จิต)
ของท่าน (ย่อมเป็น) อย่างไร ดังนี้ฯ
(อ.พระนันทะ)(กล่าวแล้ว)ว่าแน่ะท่านผู้มีอายุท. อ.ความอาลัย
เพื่อความเป็นแห่งคฤหัสถ์ ย่อมไม่มี แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ฯ
อ. ภิกษุ ท. ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. พระนันทะ
ผู้มีอายุ ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำอันไม่มีแล้ว , ย่อมกระท�ำให้แจ้ง
ซึ่งพระอรหัตตผลอันบุคคลพึงรู้ทั่ว, (อ. พระนันทะ) กล่าวแล้ว ว่า
(อ.ข้าพเจ้า) เป็นผู้กระสันขึ้นแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้ในวันอันล่วงไปแล้ว
ท. ย่อมกล่าว ว่า อ.ความอาลัย เพื่อความเป็นแห่งคฤหัสถ์
ย่อมไม่มี แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ ในกาลนี้ดังนี้ไปแล้ว กราบทูลแล้ว
ซึ่งเนื้อความนั่น แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ฯ
www.kalyanamitra.org
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 113
ภควา “ภิกฺขเว อตีตทิวเสสุ นนฺทสฺส อตฺตภาโว
ทุจฺฉนฺนเคหสทิโส อโหสิ, อิทานิ สุจฺฉนฺนเคหสทิโส
ชาโต, อยํ หิ ทิพฺพจฺฉรานํ ทิฏฺ€กาลโต ปฏฺ€าย
ปพฺพชิตกิจฺจสฺส มตฺถกํ ปาเปตุํ วายมนฺโต ตํ กิจฺจํ
ปตฺโตติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
“ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฏฺ€ิ สมติวิชฺฌติ;
เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ.
ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ วุฏฺ€ิ น สมติวิชฺฌติ;
เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ ราโค น สมติวิชฺฌตีติ.
ตตฺถ “อคารนฺติ: ยงฺกิฺจิ เคหํ.
ทุจฺฉนฺนนฺติ: วิรลจฺฉนฺนํ ฉิทฺทาวฉิทฺทํ.
สมติวิชฺฌตีติ: วสฺสวุฏฺ€ิ วินิวิชฺฌติ.
อภาวิตนฺติ: ตํ อคารํ วุฏฺ€ิ วิย ภาวนารหิตตฺตา
อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ, น เกวลํ ราโคว,
โทสโมหมานาทโย สพฺพกฺกิเลสา ตถารูปํ จิตฺตํ
อติวิชฺฌนฺติเยว.
สุภาวิตนฺติ: สมถวิปสฺสนาภาวนาหิ สุภาวิตํ,
เอวรูปํ จิตฺตํ สุจฺฉนฺนํ เคหํ วุฏฺ€ิ วิย ราคาทโย กิเลสา
อติวิชฺฌิตุํ น สกฺโกนฺตีติ.
คาถาปริโยสาเน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ
ปาปุณึสุ, มหาชนสฺส สาตฺถิกา เทสนา อโหสิ.
อถ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฏฺ€าเปสุํ “อาวุโส
พุทฺธา จ นาม อจฺฉริยา, ชนปทกลฺยาณึ นิสฺสาย
อุกฺกณฺ€ิโต นามายสฺมา นนฺโท สตฺถารา เทวจฺฉรา
อามิสํ กตฺวา วินีโตติ.
สตฺถาอาคนฺตฺวา, “กาย นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ
กถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา,
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. อัตภาพ
ของนันทะ เป็นเช่นกับด้วยเรือนอันบุคคลมุงชั่วแล้ว ได้เป็นแล้ว
ในวันอันล่วงไปแล้ว ท. , ในกาลนี้ (อ.อัตภาพ ของนันทะ)
เป็นเช่นกับด้วยเรือนอันบุคคลมุงดีแล้ว เกิดแล้ว , เพราะว่า
อ.นันทะนี้พยายามอยู่เพื่ออันยังตนให้ถึงซึ่งที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต
จ�ำเดิม แต่กาลแห่งนางอัปสรผู้เป็นทิพย์ ท. อันตนเห็นแล้ว ถึงแล้ว
ซึ่งกิจนั้น ดังนี้ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า
อ.ฝน ย่อมรั่วรด ซึ่งเรือน อันบุคคลมุงชั่วแล้ว ฉันใด,
อ. ราคะ ย่อมเสียดแทง ซึ่งจิต อันบุคคลไม่ให้เจริญแล้ว
ฉันนั้น ฯ อ.ฝน ย่อมไม่รั่วรด ซึ่งเรือน อันบุคคลมุงดีแล้ว
ฉันใด, อ. ราคะ ย่อมไม่เสียดแทง ซึ่งจิตอันบุคคลให้เจริญ
ดีแล้ว ฉันนั้น ดังนี้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ซึ่งเรือน อย่างใดอย่างหนึ่ง (ดังนี้) ในบท ท.
เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า อคารํ ดังนี้ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อันบุคคลมุงแล้วห่าง คือว่า อันมีช่องใหญ่และ
ช่องน้อย (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ทุจฺฉนฺนํ ดังนี้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.ฝนในฤดูฝน ย่อมรั่วรดได้ (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า
สมติวิชฺฌติ ดังนี้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.ราคะ ย่อมเสียดแทง ซึ่งจิต ชื่อว่าอันบุคคล
ไม่ให้เจริญแล้ว เพราะความที่แห่งจิตเป็นธรรมชาตเว้นแล้วจากภาวนา
ราวกะอ.ฝน(รั่วรดอยู่)ซึ่งเรือนนั้น,อ.ราคะเทียว(ย่อมเสียดแทงซึ่งจิต)
อย่างเดียว หามิได้, อ.กิเลสทั้งปวง ท. มีโทสะและโมหะและมานะ
เป็นต้น ย่อมเสียดแทง
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf

ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf

  • 1.
  • 2.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย1 คณะผู้จัดท�ำ ผู้อุปถัมภ์โครงการ พระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พระราชภาวนาจารย์ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ปรึกษา พระมหา ดร. สมชาย ฐานวุฑฺโฒ พระมหาสมเกียรติ วรยโส ป.ธ.๙ พระมหาบุญชัย จารุทตฺโต พระมหาวีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโก ป.ธ.๙ พระมหา ดร. สุธรรม สุรตโน ป.ธ.๙ พระครูใบฎีกาอ�ำนวยศักดิ์ มุนิสกฺโก พระมหา ดร. สมบัติ อินฺทปญฺโญ ป.ธ.๙ พระมหาวิทยา จิตฺตชโย ป.ธ.๙ เรียบเรียง พระมหาอารีย์ พลาธิโก ป.ธ.๗ พระมหาสมบุญ อนนฺตชโย ป.ธ.๘ จัดรูปเล่ม พระมหาสมบุญ อนนฺตชโย ป.ธ.๘ พระมหาวันชนะ ญาตชโย ป.ธ.๕ พระมหาอภิชาติ วชิรชโย ป.ธ.๗ พระมหาเฉลิม ฉนฺทชโย ป.ธ.๔ ผู้ตรวจทาน นายสุเทพ นากุดนอก ป.ธ.๔ อาจารย์สอนบาลีประโยค ๑-๒ ส�ำนักเรียนวัดพระธรรมกาย ออกแบบปก/ภาพวาด พระมหาสมบุญ อนนฺตชโย และ กองพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย พิมพ์ครั้งที่ ๑ : พฤษภาคม ๒๕๕๖ จ�ำนวน ๖๐๐ เล่ม พิมพ์ที่ โรงพิมพ์สุขขุมวิทการพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒ : กรกฎาคม ๒๕๕๖ จ�ำนวน ๑,๕๐๐ เล่ม พิมพ์ที่ โรงพิมพ์โอ เอส พริ้นติ้ง เฮ้าส์ จ�ำกัด พิมพ์ครั้งที่ ๓ : กรกฎาคม ๒๕๕๗ จ�ำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ที่ โรงพิมพ์โอ เอส พริ้นติ้ง เฮ้าส์ จ�ำกัด พิมพ์ครั้งที่ ๔ : กรกฎาคม ๒๕๕๘ จ�ำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ที่ โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง ลิขสิทธิ์ : ส�ำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี www.kalyanamitra.org
  • 3.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 2 ค�ำน�ำ ด้วยตระหนักและเห็นความส�ำคัญอย่างยิ่งยวดของการศึกษาพระปริยัติธรรม ของพระภิกษุ สามเณร ดังค�ำกล่าวยืนยันของพระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ซึ่งได้กล่าวไว้ในโอกาสที่ได้จัดงานมุทิตาสักการะแก่พระภิกษุสามเณร ผู้สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ อันเป็นปีที่ ๑๓ ของการจัดงานมุทิตาสักการะแก่พระ ภิกษุสามเณร ผู้สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ว่า “ผู้ที่สอบได้เปรียญธรรม ถือว่าเป็น วีรบุรุษกองทัพธรรม เป็นผู้น�ำความภาคภูมิใจ มาสู่คณะสงฆ์ หลวงพ่อรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งและปรารถนาจะให้ก�ำลังใจแก่ผู้ที่สอบได้ และผู้ที่ก�ำลังจะสอบได้ตามมา ให้เห็นความส�ำคัญและรับรู้ว่า สิ่งที่ท่านทั้งหลายก�ำลังพากเพียร ศึกษาอยู่นี้ มีความส�ำคัญมาก และยังมีผู้คนทั้งหลายรอคอยและปรารถนาจะเห็นความส�ำเร็จ ของทุกท่าน ผู้จะเป็นก�ำลังส�ำคัญในการท�ำงานพระศาสนา เพื่อความเจริญยิ่งยืนนาน ของพระพุทธศาสนาสืบต่อไปในอนาคต” พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าส�ำนักเรียน มีความยินดี เป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุน และขอปวารณาที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ในการส่งเสริมการศึกษา พระปริยัติธรรม ของพระภิกษุสามเณร ตลอดไปตราบนานเท่านาน และได้มีด�ำริให้จัดท�ำ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ สามเณรทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้การส่งเสริม สนับสนุนเป็นก�ำลังใจ อีกทั้งมุ่งหมายจะก่อให้เกิดการตื่นตัวด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม ของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ รวมถึงเป็นสื่อกลางให้คณะสงฆ์ผู้บริหารการศึกษาทั่วสังฆมณฑล ได้มาร่วมปรึกษา เพื่อการพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรมให้ก้าวหน้า ไปในทิศทางเดียวกัน โดยเริ่มต้นจากการถวายทุนการศึกษา การจัดงานมุทิตาสักการะแก่พระภิกษุสามเณรผู้สอบได้ เปรียญธรรม ๙ ประโยค การจัดพิมพ์ต�ำราคู่มือบาลีถวายแก่ส�ำนักเรียนที่สนใจ และอื่นๆ ที่จะได้ริเริ่มจัดท�ำในโอกาสต่อไป หนังสือธรรมบทสองภาษาบาลี-ไทย ภาค๑-๘ ส�ำหรับนักเรียนบาลีชั้นประโยค๑-๒ และ ป.ธ.๓ นี้ ทางคณาจารย์โรงเรียนพระปริยัติธรรม ได้รวบรวมเรียบเรียงขึ้น โดยอาศัยความรู้ จากต�ำรา และบูรพาจารย์ทั้งหลาย จัดพิมพ์ขึ้น เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ของพระภิกษุสามเณร ผู้แรกเริ่มศึกษาภาษาบาลี และผู้สนใจทั่วไป เพื่ออ�ำนวยประโยชน์ เป็นวิทยาทาน แก่ผู้ศึกษาอย่างเต็มที่ ให้เรียนรู้ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น อนึ่งหากหนังสือเล่มนี้ยังมีการขาดตกบกพร่องประการใด หรือมีข้อเสนอแนะที่เป็น ประโยชน์ ขอความอนุเคราะห์โปรดแจ้งให้ทางส�ำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย ทราบด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เพื่อจะได้น�ำมาปรับปรุงแก้ไขให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น ในการ จัดพิมพ์ครั้งต่อไป ส�ำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี www.kalyanamitra.org
  • 4.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย3 สารบัญธรรมบทภาค ๑ เรื่อง หน้าที่ ปณามคาถา ๑ ๑. ยมกวรรค วรรณนา ๑. เรื่องพระจักขุปาลเถระ ๓ ๒. เรื่องมัฏฐกุณฑลี ๒๓ ๓. เรื่องพระติสสเถระ ๓๕ ๔. เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี ๔๒ ๕. เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ๔๙ ๖. เรื่องจุลกาลและมหากาล ๖๑ ๗. เรื่องพระเทวทัต ๗๐ ๘. เรื่องสัญชัยปริพาชก ๗๕ ๙. เรื่องพระนันทเถระ ๑๐๕ ๑๐. เรื่องนายจุนทสูกริก ๑๑๖ ๑๑. เรื่องธัมมิกอุบาสก ๑๒๐ ๑๒. เรื่องพระเทวทัต ๑๒๔ ๑๓. เรื่องนางสุมนาเทวี ๑๔๑ ๑๔. เรื่องภิกษุ ๒ สหาย ๑๔๔ www.kalyanamitra.org
  • 5.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 4 ““การศึกษานั้น สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้ศึกษา ให้สูงกว่าพื้นเดิม คนที่มีการศึกษาดี จะได้อะไรก็ดีกว่าประณีตกว่าผู้อื่น คนมีวิชาเท่ากับ ได้สมบัติจักรพรรดิ กินใช้ไม่หมด”” พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน�้ำ ภาษีเจริญ www.kalyanamitra.org
  • 6.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย1 ธมฺมปทฏฺฐกถา ปณามคาถา มหาโมหตโมนทฺเธ โลเก โลกนฺตทสฺสินา เยน สทฺธมฺมปชฺโชโต ชลิโต ชลิติทฺธินา ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา สมฺพุทฺธสฺส สิรีมโต สทฺธมฺมญฺจสฺส ปูเชตฺวา กตฺวา สงฺฆสฺส จญฺชลึ, “ตํ ตํ การณมาคมฺม ธมฺมาธมฺเมสุ โกวิโท สมฺปนฺนสทฺธมฺมปโท สตฺถา ธมฺมปทํ สุภํ เทเสสิ กรุณาเวค สมุสฺสาหิตมานโส ยํ เว เทวมนุสฺสานํ ปีติปาโมชฺชวฑฺฒนํ ปรมฺปราภตา ตสฺส นิปุณา อตฺถวณฺณนา, ยา ตามฺพปณฺณิทีปมฺหิ ทีปภาสาย สณฺ€ิตา น สาธยติ เสสานํ สตฺตานํ หิตสมฺปทํ, อปฺเปว นาม สาเธยฺย สพฺพโลกสฺส สา หิตํ อิติ อาสึสมาเนน ทนฺเตน สมจารินา กุมารกสฺสเปนาหํ เถเรน ถิรเจตสา สทฺธมฺมฏฺ€ิติกาเมน สกฺกจฺจํ อภิยาจิโต, ตํ ภาสํ อติวิตฺถารํ คตญฺจ วจนกฺกมํ ปหายาโรปยิตฺวาน ตนฺตึ ภาสํ มโนรมํ, “ www.kalyanamitra.org
  • 7.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 2 คาถานํ พฺยญฺชนปทํ ยํ ตตฺถ น วิภาวิตํ เกวลนฺตํ วิภาเวตฺวา เสสนฺตเมว อตฺถโต ภาสนฺตเรน ภาสิสฺสํ อาวหนฺโต วิภาวินํ มนโส ปีติปาโมชฺชํ อตฺถธมฺมูปนิสฺสิตนฺติ. www.kalyanamitra.org
  • 8.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย3 ๑.อ.กถาเป็นเครื่องพรรณนาซึ่งเนื้อความแห่งวรรค อันบัณฑิตก�ำหนดแล้ว ด้วยเรื่องอันเป็นคู่ (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ๑. อ.เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าจักขุบาล (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ (อ. อันถามว่า) ว่า อ. พระธรรมเทศนานี้ว่า อ. ธรรม ท. มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจประเสริฐที่สุด ส�ำเร็จด้วยใจ, หากว่า อ.บุคคล มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ หรือ หรือว่า กระท�ำอยู่ ไซร้, อ.ทุกข์ ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคล นั้น เพราะทุจจริต มีอย่าง ๓ นั้น เพียงดัง อ.ล้อหมุนไปตามอยู่ ซึ่งรอยเท้า แห่งโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง ตัวน�ำไปอยู่ซึ่งแอก ดังนี้ (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว ในที่ไหน ดังนี้ฯ (อ. อันตอบ ว่า อ. พระธรรมเทศนา นี้อันพระศาสดา ตรัสแล้ว) ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี (ดังนี้) ฯ (อ. อันถาม ว่า อ. พระธรรมเทศนา นี้ อันพระศาสดา) ทรงปรารภ ซึ่งใคร (ตรัสแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี) ดังนี้ ฯ (อ. อันตอบ ว่า อ.พระธรรมเทศนา นี้ อันพระศาสดา ทรงปรารภ) ซึ่งพระเถระชื่อว่าจักขุบาล (ตรัสแล้ว ในเมืองชื่อว่า สาวัตถี ดังนี้) ฯ ได้ยินว่า (อ. เศรษฐี) ชื่อว่ามหาสุวรรณ เป็นผู้มีขุมทรัพย์ เป็นผู้มั่งคั่ง เป็นผู้มีทรัพย์มาก เป็นผู้มีโภคมาก เป็นผู้มีบุตรหามิได้ ได้มีแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ ในวันหนึ่ง อ.เศรษฐีนั้น ไปแล้ว สู่ท่าเป็นที่อาบ อาบแล้ว มาอยู่ เห็นแล้ว ซึ่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่า ต้นหนึ่ง มีกิ่งอันถึงพร้อมแล้ว ในระหว่างแห่งหนทาง, (คิดแล้ว) ว่า อ.ต้นไม้ นี้จักเป็นต้นไม้ อันเทวดา ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ถือเอารอบแล้ว จักเป็น ดังนี้(ยังบุคคล) ให้ช�ำระแล้ว ซึ่งส่วนภายใต้ แห่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่านั้น (ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งการแวดล้อมด้วยก�ำแพง (ยังบุคคล) ให้เกลี่ยลงแล้ว ซึ่งทราย (ยังบุคคล) ให้ยกขึ้นแล้ว ซึ่งธงชัยและธงแผ่นผ้า กระท�ำให้พอแล้ว ซึ่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่า กระท�ำแล้ว ซึ่งความปรารถนา ว่า (อ. เรา) ได้แล้ว ซึ่งบุตร หรือ หรือว่า ซึ่งธิดา จักกระท�ำ ซึ่งสักการะใหญ่ แก่ท่าน ท. ดังนี้หลีกไปแล้ว ฯ ครั้งนั้น อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในท้อง ของภรรยา ของเศรษฐีนั้น ฯ อ. เศรษฐี นั้น ได้ให้แล้ว ซึ่งเครื่อง บริหารซึ่งครรภ์ แก่ภรรยา นั้น ฯ อ. ภรรยานั้น คลอดแล้ว ซึ่งบุตร โดยกาลเป็นที่ล่วงไปแห่งเดือนสิบ ฯ อ. เศรษฐี ได้กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ. ปาละ ดังนี้ให้เป็นชื่อ ของบุตรนั้น เพราะความที่ (แห่งบุตรนั้น) เป็นผู้อันตน อาศัยแล้ว ซึ่งต้นไม้อันเป็นเจ้าแห่งป่า อันอันตนรักษาแล้ว ได้แล้ว ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก (อ.เศรษฐีนั้น) ได้แล้ว ซึ่งบุตร อื่น ฯ (อ.เศรษฐีนั้น) กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ.จุลลปาละ ดังนี้ให้เป็นชื่อ ของบุตรนั้น, ๑. ยมกวคฺควณฺณนา ๑. จกฺขุปาลตฺเถรวตฺถุ. (๑) มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา, มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา, ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทนฺติ. อยํ ธมฺมเทสนา กตฺถ ภาสิตาติ. “สาวตฺถิยํ.” “กํ อารพฺภาติ. “จกฺขุปาลตฺเถรํ. สาวตฺถิยํ กิร มหาสุวณฺโณ นาม กุฏุมฺพิโก อโหสิ อฑฺโฒ มหทฺธโน มหาโภโค อปุตฺตโก. โส เอกทิวสํ นหานติตฺถํ คนฺตฺวา นหาตฺวา อาคจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค สมฺปนฺนสาขํ เอกํ วนปฺปตึ ทิสฺวา“อยํ มเหสกฺขาย เทวตาย ปริคฺคหิโต ภวิสฺสตีติ ตสฺส เหฏฺฐาภาคํ โสธาเปตฺวา ปาการปริกฺเขปํ การาเปตฺวา วาลุกํ โอกิราเปตฺวา ธชปตากํ อุสฺสาเปตฺวา วนปฺปตึ อลงฺกริตฺวา “ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา ลภิตฺวา ตุมฺหากํ มหาสกฺการํ กริสฺสามีติ ปตฺถนํ กตฺวา ปกฺกามิ. อถสฺส ภริยาย กุจฺฉิยํ คพฺโภ ปติฏฺฐาสิ . โส ตสฺสา คพฺภปริหารํ อทาสิ. สา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิ. เสฏฺฐี อตฺตนา ปาลิตํ วนปฺปตึ นิสฺสาย ลทฺธตฺตา ตสฺส “ปาโลติ นามํ อกาสิ. อปรภาเค อญฺญํ ปุตฺตํ ลภิ. ตสฺส “จุลฺลปาโลติ นามํ กตฺวา, www.kalyanamitra.org
  • 9.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 4 กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ.มหาปาละ ดังนี้ให้เป็นชื่อ ของบุตรนอกนี้ฯ (อ. มารดาและบิดา ท.) ผูกแล้ว ซึ่งบุตร ท. เหล่านั้น ผู้ถึงแล้ว ซึ่งวัย ด้วยเครื่องผูกคือเรือน ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก อ.มารดา และบิดา ท. ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ ฯ (อ.ญาติ ท.) แบ่งแล้ว ซึ่งโภคะ ทั้งปวง (แก่บุตร ท.) สองนั่นเทียว ฯ ในสมัยนั้น อ.พระศาสดา ผู้มีจักรคือธรรมอันประเสริฐ อันให้เป็นไปทั่วแล้ว เสด็จไปแล้ว โดยล�ำดับ ย่อมประทับอยู่ ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวัน อันอันมหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ สละ ซึ่งทรัพย์มีโกฏิห้าสิบสี่เป็นประมาณ แล้วยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว, ทรงยังมหาชน ให้ตั้งเฉพาะอยู่ ในหนทางแห่งสวรรค์ด้วย ในหนทาง แห่งธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นด้วย ฯ จริงอยู่ อ.พระตถาคตเจ้า ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จ�ำพรรษา หนึ่งนั่นเทียว ในมหาวิหารชื่อว่านิโครธ อันอันพันแห่งตระกูล แห่งพระญาติแปดสิบสองหน ท. คือ (อันพันแห่งตระกูลแห่งพระญาติ ท.) ๘๐ ข้างฝ่ายแห่งพระมารดา (อันพันแห่งตระกูลแห่งพระญาติ ท.) ๘๐ ข้างฝ่ ายแห่งพระบิดา ทรงยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว, (ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จ�ำพรรษา ท.) ยี่สิบหย่อนด้วยหนึ่ง ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวัน อันอันมหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ ยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว (ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จ�ำพรรษา ท.) หก ในมหาวิหารชื่อว่าบุพพาราม อันอันนางวิสาขา ยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว ด้วยการบริจาคซึ่งทรัพย์มีโกฏิยี่สิบเจ็ดเป็นประมาณ ทรงอาศัย ซึ่งเมืองชื่อว่าสาวัตถี ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่ จ�ำพรรษา ท. ยี่สิบห้า เพราะทรงอาศัย ซึ่งความที่แห่งตระกูล ท. สอง เป็นตระกูลมีคุณใหญ่ ด้วยประการฉะนี้ ฯ แม้ อ.มหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ แม้ อ.นางวิสาขา ผู้มหาอุบาสิกา ย่อมไป สู่ที่เป็นที่บ�ำรุง ซึ่งพระตถาคตเจ้า สิ้นวาระ ท. สอง แห่งวัน เนืองนิตย์ ฯ ก็ (อ. ชน ท. สอง เหล่านั้น) เมื่อไป เป็นผู้มีมือเปล่าไปแล้วในก่อน (เป็นผู้ไม่เคยมีมือเปล่าไปแล้ว) (ด้วยอันคิด) ว่า อ. ภิกษุหนุ่มและสามเณร ท. จักแลดู ซึ่งมือ ท. ของเรา ท. ดังนี้(ย่อมเป็น) หามิได้: เมื่อไป ในกาลก่อนแต่กาลแห่งภัตร ยังบุคคลให้ถือเอาแล้ว (ซึ่งวัตถุ ท.) มีของอันบุคคลพึงเคี้ยวเป็นต้น ย่อมไป, (เมื่อไป) ในกาลภายหลังแต่กาลแห่งภัตร (ยังบุคคล ให้ถือเอาแล้ว) ซึ่งเภสัช ท. ห้า ด้วย ซึ่งน�้ำเป็นเครื่องดื่ม ท. แปด ด้วย (ย่อมไป) ฯ อนึ่ง อ.อาสนะ ท. เป็นวัตถุอันบุคคลปูลาดแล้ว เนืองนิตย์ เพื่อพันแห่งภิกษุ ท. สอง สอง ในที่เป็นที่อยู่ ท. ของชน ท. สอง เหล่านั้น นั่นเทียว ย่อมเป็น ฯ อ.ภิกษุ ใด ย่อมปรารถนา ในข้าวและน�้ำเป็นเครื่องดื่มและ เภสัช ท. หนา ซึ่งวัตถุใด, อ.วัตถุนั้น ย่อมถึงพร้อม แก่ภิกษุนั้น ตามความปรารถนานั่นเทียว ฯ อ.ปัญหา เป็นสภาพอัน- ในชน ท. สอง เหล่านั้นหนา -มหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ ไม่เคยทูลถามแล้ว กะพระศาสดา ในวันหนึ่งนั่นเทียว (ย่อมเป็น) ฯ อิตรสฺส “มหาปาโลติ นามํ กริ. เต วยปฺปตฺเต ฆรพนฺธเนน พนฺธึสุ. อปรภาเค มาตาปิตโร กาลมกํสุ. สพฺพํ โภคํ ทฺวินฺนํเยว วิวเรสุํ. ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก อนุปุพฺเพน คนฺตฺวา, อนาถปิณฺฑิกมหาเสฏฺฐินา จตุปฺปญฺญาสโกฏิธนํ วิสฺสชฺเชตฺวา การิเต เชตวนมหาวิหาเร วิหรติ; มหาชนํ สคฺคมคฺเค จ โมกฺขมคฺเค จ ปติฏฺฐาปยมาโน. ตถาคโต หิ “มาติปกฺขโต อสีติยา ปิติปกฺขโต อสีติยาติ เทฺวอสีติญาติกุลสหสฺเสหิ การิเต นิโคฺรธมหาวิหาเร เอกเมว วสฺสาวาสํ วสิ, อนาถปิณฺฑิเกน การิเต เชตวนมหาวิหาเร เอกูนวีสติ, วิสาขาย สตฺตวีสติโกฏิธนปริจฺจาเคน การิเต ปุพฺพาราเม ฉ วสฺสาวาเสติ ทฺวินฺนํ กุลานํ คุณมหนฺตตํ ปฏิจฺจ สาวตฺถึ นิสฺสาย ปญฺฺจวีสติ วสฺสาวาเส วสิ. อนาถปิณฺฑิโกปิ วิสาขาปิ มหาอุปาสิกา นิพทฺธํ ทิวสสฺส เทฺว วาเร ตถาคตสฺส อุปฏฺฐานํ คจฺฉนฺติ. คจฺฉนฺตา จ “ทหรสามเณรา โน หตฺเถ โอโลเกสฺสนฺตีติ ตุจฺฉหตฺถา น คตปุพฺพา: ปุเรภตฺตํ คจฺฉนฺตา ขาทนียาทีนิ คาหาเปตฺวา คจฺฉนฺติ, ปจฺฉาภตฺตํ ปญฺจ เภสชฺชานิ อฏฺฐ จ ปานานิ. นิเวสเนสุ ปน เตสํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขุสหสฺสานํ นิจฺจํ ปญฺญตฺตาเนวาสนานิ โหนฺติ. อนฺนปานเภสชฺเชสุ โย ยํ อิจฺฉติ, ตสฺส ตํ ยถิจฺฉิตเมว สมฺปชฺชติ, เตสุ อนาถปิณฺฑิเกน เอกเมว ทิวสํ สตฺถารํ ปญฺโห น ปุจฺฉิตปุพฺโพ. www.kalyanamitra.org
  • 10.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย5 ได้ยินว่า อ.มหาเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะนั้น คิดแล้ว ว่า อ.พระตถาคต เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ ผู้ละเอียดอ่อน (เป็น) เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม แก่เรา (ด้วยทรงพระด�ำริ) ว่า อ. คฤหบดี เป็นผู้มีอุปการะมาก แก่เรา (ย่อมเป็น) ดังนี้ พึงทรงล�ำบาก ดังนี้, ย่อมไม่ทูลถาม ซึ่งปัญหา เพราะความรัก มีประมาณยิ่ง ในพระศาสดา ฯ ส่วนว่า อ. พระศาสดา ครั้นเมื่อเศรษฐีนั้น เป็นผู้สักว่านั่งแล้ว นั่นเทียว (มีอยู่) (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า อ.เศรษฐี นี้ย่อมรักษา ซึ่งเรา ใน ฐานะอันบุคคลไม่พึงรักษา, เพราะว่า อ.เรา ตัดแล้ว ซึ่งศีรษะ ของ ตน อันเรา ทั้งกระท�ำให้พอแล้วทั้งตกแต่งแล้ว ควักขึ้นแล้ว ซึ่งนัยน์ตา ท. ยังเนื้อแห่งหทัย ให้เพิกขึ้นแล้ว บริจาคแล้ว ซึ่งบุตรและภรรยา ผู้เสมอด้วยลมปราณ ยังบารมี ท. เมื่อให้เต็ม สิ้นอสงไขย ท. สี่ อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป ์ (ยังบารมี ท.) ให้เต็มแล้ว เพื่ออันแสดงซึ่งธรรม แก่ชน ท. เหล่าอื่นนั่นเทียว, อ. เศรษฐี นั่น ย่อมรักษาซึ่งเรา ในฐานะอันบุคคลไม่พึงรักษา ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา กัณฑ์หนึ่งนั่นเทียว ฯ ในกาลนั้น อ. โกฏิแห่งมนุษย์ ท. เจ็ด ย่อมอยู่ ในเมืองชื่อว่า สาวัตถี ฯ (ในมนุษย์ ท.) เหล่านั้นหนา อ. มนุษย์ ท. มีโกฏิห้า เป็นประมาณ ฟังแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ของพระศาสดา เป็นอริยสาวก เกิดแล้ว, (อ.มนุษย์ ท.) มีโกฏิสองเป็นประมาณ (ฟังแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ของพระศาสดา) เป็นปุถุชน (เกิดแล้ว) ฯ อ. กิจ ท. ๒ นั่นเทียวได้มีแล้ว (ในมนุษย์ ท.) เหล่านั้นหนา (แก่มนุษย์ ท.) ผู้เป็นอริยสาวก, (อ. อริยสาวก ท.) ย่อมถวาย ซึ่งทาน ในกาลก่อนแห่งภัตร, (อ. อริยสาวก ท.) ผู้มีวัตถุมีของหอม และระเบียบเป็นต้นในมือ ยังบุคคลให้ถือเอาแล้ว (ซึ่งวัตถุ) มีผ้าและยาและน�้ำเป็นเครื่องดื่มเป็นต้น ย่อมไป เพื่อต้องการ แก่อันฟังซึ่งธรรม ในกาลภายหลังแห่งภัตร ฯ ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล เห็นแล้ว ซึ่งอริยสาวก ท. ผู้มีวัตถุมีของหอมและระเบียบเป็นต้นในมือ ผู้ไปอยู่ สู่วิหาร, ถามแล้ว ว่า อ. มหาชน นี้ จะไป ในที่ไหน ดังนี้ ฟังแล้ว ว่า (อ. มหาชนนี้ ย่อมไป ) เพื่ออันฟังซึ่งธรรม ดังนี้, (คิดแล้ว) ว่า แม้ อ. เรา จักไป ดังนี้ ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา นั่งแล้ว ณ ที่สุดรอบแห่งบริษัท ฯ ก็ ชื่อ อ. พระพุทธเจ้า ท. เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม, ทรงตรวจดูแล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นอุปนิสัย (แห่งคุณ ท.) มีสรณะและศีลและบรรพชา เป็นต้น ย่อมทรงแสดง ซึ่งธรรม ด้วยอ�ำนาจแห่งอัธยาศัย; เพราะเหตุนั้น ในวันนั้น อ. พระศาสดา ทรงตรวจดูแล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นอุปนิสัย แห่งกุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวโดยล�ำดับ ฯ (อ. อันถามว่า อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่อง กล่าวโดยล�ำดับ) อย่างไรนี้(ดังนี้) ? (อ.อันแก้ว่า อ.พระศาสดา) ทรงประกาศแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งทาน ซึ่งวาจาเป็น เครื่องกล่าวซึ่งศีล ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งสวรรค์ โส กิร “ ตถาคโต พุทฺธสุขุมาโล ขตฺติยสุขุมาโล “ พหุปกาโร เม คหปตีติ มยฺหํ ธมฺมํ เทเสนฺโต กิลเมยฺยาติ, สตฺถริ อธิมตฺตสิเนเหน ปญฺหํ น ปุจฺฉติ. สตฺถา ปน ตสฺมึ นิสินฺนมตฺเตเยว “ อยํ เสฏฺฐี มํ อรกฺขิตพฺพฏฺฐาเน รกฺขติ , อหํ หิ กปฺปสต- สหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสงฺเขยฺยานิ อลงฺกตปฺปฏิยตฺตํ อตฺตโน สีสํ ฉินฺทิตฺวา อกฺขีนิ อุปฺปาเฏตฺวา หทยมํสํ อุพฺพตฺเตตฺวา ปาณสมํ ปุตฺตทารํ ปริจฺจชิตฺวา ปารมิโย ปูเรนฺโต ปเรสํ ธมฺมเทสนตฺถเมว ปูเรสึ , เอส มํ อรกฺขิตพฺพฏฺฐาเน รกฺขตีติ เอกํ ธมฺมเทสนํ กเถสิเยว. ตทา สาวตฺถิยํ สตฺต มนุสฺสโกฏิโย วสนฺติ. เตสุ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ปญฺจโกฏิมตฺตา มนุสฺสา อริยสาวกา ชาตา, เทฺวโกฏิมตฺตา ปุถุชฺชนา. เตสุ อริยสาวกานํ เทฺวเยว กิจฺจานิ อเหสุํ: ปุเรภตฺตํ ทานํ เทนฺติ, ปจฺฉาภตฺตํ คนฺธมาลาทิหตฺถา วตฺถเภสชฺชปานกาทึ คาหาเปตฺวา ธมฺมสฺสวนตฺถาย คจฺฉนฺติ. อเถกทิวสํ มหาปาโล อริยสาวเก คนฺธมาลาทิหตฺเถ วิหารํ คจฺฉนฺเต ทิสฺวา, “อยํ มหาชโน กุหึ คจฺฉตีติ ปุจฺฉิตฺวา, “ ธมฺมสฺสวนายาติ สุตฺวา , “ อหํปิ คมิสฺสามีติ, คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปริสปริยนฺเต นิสีทิ. พุทฺธา จ นาม ธมฺมํ เทเสนฺตา , สรณสีล- ปพฺพชฺชาทีนํ อุปนิสฺสยํ โอโลเกตฺวา อชฺฌาสยวเสน ธมฺมํ เทเสนฺติ; ตสฺมา ตํทิวสํ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสยํ โอโลเกตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺโต อนุปุพฺพีกถํ กเถสิ. เสยฺยถีทํ? ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ www.kalyanamitra.org
  • 11.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 6 ซึ่งโทษ ซึ่งการกระทําต�่ำ ซึ่งความเศร้าหมองพร้อมแห่งกาม ท. ซึ่งอานิสงส์ ในการออกบวช (ดังนี้) ฯ อ.กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล ฟังแล้ว ซึ่งพระดํารัสนั้น คิดแล้ว ว่า อ.บุตรและธิดา ท. หรือ หรือว่า อ.โภคะ ท. ย่อมไม่ไปตาม (ซึ่งบุคคล) ผู้ไปอยู่ สู่โลกอื่น, แม้ อ. สรีระ ย่อมไม่ไป กับ ด้วยตน, อ. ประโยชน์ อะไร ของเรา ด้วยการอยู่ครองซึ่งเรือน , อ. เรา จักบวช ดังนี้ ฯ อ. กุฏุมพีชื่อว่ามหาบาล นั้น เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา ทูลขอแล้ว ซึ่งการบวช ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว กะกุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น ว่า อ. ญาติ ผู้ควรแล้ว แก่ความเป็นผู้อันท่านพึงอําลา บางคน ของท่าน ย่อมไม่มี หรือ ? ดังนี้ฯ (อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล กราบทูลแล้ว ว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของข้าพระองค์ มีอยู่ ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า) ถ้าอย่างนั้น อ.ท่าน จงอําลา ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น ดังนี้ ฯ อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น รับพร้อมแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ไปแล้ว สู่เรือน ยังบุคคล ให้ร้องเรียกแล้ว ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุด (กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ อ. ทรัพย์ไร ๆ อันเป็นไปกับด้วยวิญญาณและไม่มีวิญญาณใด มีอยู่ ในตระกูล นี้, อ.ทรัพย์นั้นทั้งปวง เป็นภาระของท่าน(จงเป็น), อ.ท่าน จงครอบครอง ซึ่งทรัพย์นั้นดังนี้ฯ (อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้นถามแล้ว)ว่าข้าแต่นาย ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ? ดังนี้ ฯ (อ. กุฏุมพีชื่อว่ามหาบาลนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา จักบวช ในสํานัก ของพระศาสดา ดังนี้ ฯ (อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พี่ อ. ท่าน กล่าวแล้ว ซึ่งคําอะไร, อ. ท่าน ครั้นเมื่อมารดา ตายแล้ว เป็นผู้ อันเรา (ได้แล้ว) ราวกะ อ. มารดา (ย่อมเป็น), (อ. ท่าน) ครั้นเมื่อบิดา ตายแล้ว เป็นผู้อันเรา (ได้แล้ว) ราวกะ อ. บิดา (ย่อมเป็น), อ. สมบัติอันบุคคล พึงเสวยใหญ่ (มีอยู่) ในเรือน ของท่าน ท., (อันท่าน ท.) ผู้อยู่ครอบครองอยู่ ซึ่งเรือนนั่นเทียว อาจ เพื่ออันกระทํา ซึ่งบุญ ท., อ. ท่าน ท. อย่าได้กระทําแล้ว อย่างนี้ ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาล กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ อ. พระธรรมเทศนา ของพระศาสดา อันเรา ฟังแล้ว, ก็ อ. ธรรมอันงามในเบื้องต้นและ ท่ามกลางและที่สุดลงรอบ อันพระศาสดา ทรงยกขึ้นแล้ว สู่ลักษณะ ๓ ทั้งละเอียดทั้งอ่อน ทรงแสดงแล้ว, อ. ธรรมอันงามในเบื้องต้นและ ท่ามกลางและที่สุดลงรอบนั้น (อันเรา) ไม่อาจ เพื่ออันให้เต็มได้ ในท่ามกลางแห่งเรือน, แน่ะพ่อ อ. เรา จักบวช ดังนี้ ฯ (อ.น้องชายผู้น้อยที่สุด กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พี่ เออก็ (อ.ท่าน ท.) เป็นคนหนุ่ม (ย่อมเป็น) ก่อน, อ.ท่าน ท. จักบวช ในกาลแห่งตน เป็นคนแก่ ดังนี้ ฯ (อ.กุฎุมพีชื่อว่ามหาบาลกล่าวแล้ว)ว่า แน่ะพ่อ ก็ แม้ อ.มือและเท้าท. ของตน แห่งคนแก่ เป็นอวัยวะไม่ฟังตาม ย่อมเป็น, ย่อมไม่เป็นไป ในอํานาจ, ก็ อ. องค์อะไรเล่า อ. ญาติ ท. (จักเป็นไป ในอํานาจ), อ. เรา นั้น จะไม่กระทํา ซึ่งคํา ของท่าน, อ. เรา ยังความปฏิบัติแห่งสมณะ จักให้เต็ม, กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ ปกาเสสิ. ตํ สุตฺวา มหาปาโล กุฏุมฺพิโก จินฺเตสิ “ปรโลกํ คจฺฉนฺตํ ปุตฺตธีตโร วา โภคา วา นานุคจฺฉนฺติ, สรีรํปิ อตฺตนา สทฺธึ น คจฺฉติ ; กึ เม ฆราวาเสน , ปพฺพชิสฺสามีติ. โส เทสนาปริโยสาเน สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิ. อถ นํ สตฺถา “นตฺถิ เต โกจิอาปุจฺฉิตพฺพยุตฺตโก ญาตีติ อาห. “กนิฏฺฐภาตา เม อตฺถิ ภนฺเตติ. “เตนหิ ตํ อาปุจฺฉาหีติ. โส “สาธูติ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เคหํ คนฺตฺวา กนิฏฺฐํ ปกฺโกสาเปตฺวา “ตาต ยํ อิมสฺมึ กุเล สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกํ ธนํ กิญฺจิ อตฺถิ, สพฺพนฺตํ ตว ภาโร, ปฏิปชฺชาหิ นนฺติ. “ตุมฺเห ปน สามีติ. “อหํ สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามีติ . “ กึ กเถสิ ภาติก ; ตฺวํ เม มาตริ มตาย มาตา วิย, ปิตริ มเต ปิตา วิย ลทฺโธ ,เคเห โว มหาวิภโว, สกฺกา เคหํ อชฺฌาวสนฺเตเหว ปุญฺญานิ กาตุํ ; มา เอวมกตฺถาติ. “ตาตมยาสตฺถุ ธมฺมเทสนา สุตา, สตฺถารา หิ สณฺหสุขุมํ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา อาทิมชฺฌ- ปริโยสานกลฺยาณธมฺโม เทสิโต. น สกฺกา โส อคารมชฺเฌ ปูเรตุํ; ปพฺพชิสฺสามิ ตาตาติ. “ ภาติก ตรุณาปิ จ ตาว , มหลฺลกกาเล ปพฺพชิสฺสถาติ. “ตาต มหลฺลกสฺส หิ อตฺตโน หตฺถปาทาปิ อนสฺสวา โหนฺติ, น วเส วตฺตนฺติ, กิมงฺคํ ปน ญาตกา , สฺวาหํ ตว วจนํ น กโรมิ, สมณปฏิปตฺตึ ปูเรสฺสามิ, www.kalyanamitra.org
  • 12.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย7 ชราชชฺชริตา โหนฺติ หตฺถปาทา อนสฺสวา ยสฺส, โส วิหตตฺถาโม กถํ ธมฺมํ จริสฺสติ, ปพฺพชิสฺสาเมวาหํ ตาตาติ. ตสฺส วิรวนฺตสฺเสว,สตฺถุ สนฺติกํคนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา, ลทฺธปพฺพชฺชูปสมฺปโท อาจริยุปชฺฌายานํ สนฺติเก ปญฺจ วสฺสานิ วสิตฺวา, วุตฺถวสฺโส ปวาเรตฺวา, สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ปุจฺฉิ “ภนฺเต อิมสฺมึ สาสเน กติ ธุรานีติ. “คนฺถธุรํ วิปสฺสนาธุรนฺติ เทฺวเยว ธุรานิ ภิกฺขูติ. “กตมํ ปนภนฺเต คนฺถธุรํ, กตมํ วิปสฺสนาธุรนฺติ. “อตฺตโน ปญฺญานุรูเปน เอกํ วา เทฺว วา นิกาเย สกลํ วา ปน เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ตสฺส ธารณํ กถนํ วาจนนฺติ อิทํ คนฺถธุรํ นาม . สลฺลหุกวุตฺติโน ปน ปนฺตเสนาสนาภิรตสฺส อตฺตภาเว ขยวยํ ปฏฺ€เปตฺวา สาตจฺจกิริยาวเสน วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตคฺคหณนฺติ อิทํ วิปสฺสนาธุรํ นามาติ. “ภนฺเต อหํ มหลฺลกกาเล ปพฺพชิโต คนฺถธุรํ ปูเรตุํ น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุรํ ปน ปูเรสฺสามิ; กมฺมฏฺ€านํ เม กเถถาติ. อถสฺส สตฺถา ยาว อรหตฺตา กมฺมฏฺฐานํ กเถสิ. โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, อตฺตนา สหคามิโน ภิกฺขู ปริเยสนฺโต สฏฺ€ี ภิกฺขู ลภิตฺวา, เตหิ สทฺธึ นิกฺขมิตฺวา, วีสโยชนสตมคฺคํ คนฺตฺวา, เอกํ มหนฺตํ ปจฺจนฺตคามํ ปตฺวา, ตตฺถ สปริวาโร ปิณฺฑาย ปาวิสิ. มนุสฺสา วตฺตสมฺปนฺเน ภิกฺขู ทิสฺวา ปสนฺนจิตฺตา, อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทาเปตฺวา, ปณีเตนาหาเรน ปริวิสิตฺวา, “ภนฺเต กุหึ อยฺยา คจฺฉนฺตีติ ปุจฺฉิตฺวา, “ยถาผาสุกฏฺ€านํ อุปาสกาติ วุตฺเต, อ.มือและเท้า ท. ของบุคคคลใด เป็นอวัยวะคร�่ำคร่าแล้วเพราะชรา เป็นอวัยวะไม่ฟังตาม ย่อมเป็น, อ. บุคคลนั้น ผู้มีเรี่ยวแรงอันชรา ก�ำจัดแล้ว จักประพฤติ ซึ่งธรรม อย่างไร, แน่ะพ่อ อ. เรา จักบวชนั่นเทียว ดังนี้ฯ เมื่อน้องชายผู้น้อยที่สุด นั้น ร้องไห้อยู่นั่นเทียว, (อ. กุฎุมพี ชื่อว่ามหาบาลนั้น) ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ทูลขอแล้ว ซึ่งบรรพชา, ผู้มีบรรพชาและอุปสมบทอันได้แล้ว อยู่แล้ว สิ้นปี ท. ๕ ในส�ำนัก ของพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ท., ผู้มีกาลฝน อันอยู่แล้ว ปวารณาแล้ว, เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลถามแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ธุระ ท. ในศาสนานี้ เท่าไร ดังนี้ ฯ (อ.พระศาสดาตรัสแล้ว)ว่าดูก่อนภิกษุอ.ธุระท.สองนั่นเทียว คือ อ. คันถธุระ อ. วิปัสสนาธุระ ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุชื่อว่ามหาบาล ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ อ. คันถธุระ เป็นไฉน ?, อ. วิปัสสนาธุระ เป็นไฉน ? ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า อ.ธุระนี้คือ อ. การเรียนเอาแล้ว ซึ่งนิกาย หนึ่ง หรือ หรือว่า ซึ่งนิกาย ท. สอง ก็หรือว่า ซึ่งพระพุทธพจน์ คือ ประชุมแห่งปิฎกสาม ทั้งสิ้น ทรงจ�ำ กล่าว บอก ซึ่งพระพุทธพจน์ นั้น ตามสมควรแก่ปัญญาของตน ชื่อว่า คันถธุระ ฯ ส่วนว่า อ. ธุระนี้ คือ อ. การ เริ่มตั้งแล้ว ซึ่งความสิ้นไปและ ความเสื่อมไป ในอัตภาพ ยังวิปัสสนา ให้เจริญแล้ว ด้วยสามารถ แห่งการกระท�ำโดยความเป็นแห่งความติดต่อ ถือเอาซึ่งความเป็น แห่งพระอรหันต์ (แห่งภิกษุ) ผู้ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะอันสงัดแล้ว ผู้มีความประพฤติเบาพร้อม ชื่อว่าวิปัสสนาธุระ ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุชื่อว่ามหาบาล กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่ จักไม่อาจ เพื่ออันยังคันถธุระให้เต็ม, แต่ว่า อ. ข้าพระองค์ ยังวิปัสสนาธุระ จักให้เต็ม ; อ. พระองค์ ท. ขอจงตรัสบอก ซึ่งกัมมัฏฐาน แก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ซึ่งกัมมัฏฐาน เพียงใด แต่ความเป็นแห่งพระอรหันต์ แก่ภิกษุชื่อว่ามหาบาลนั้น ฯ อ. ภิกษุชื่อว่ามหาบาลนั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา, แสวงหาอยู่ซึ่งภิกษุ ท.ผู้ไปโดยปกติกับด้วยตน,ได้แล้วซึ่งภิกษุ ท. หกสิบ, ออกไปแล้ว กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น, ไปแล้ว สิ้นหนทาง มีร้อยแห่งโยชน์ยี่สิบเป็นประมาณ, ถึงแล้ว ซึ่งบ้านอันเป็นที่สุดเฉพาะ หมู่ใหญ่ ต�ำบลหนึ่ง, ผู้เป็นไปกับด้วยบริวาร ได้เข้าไปแล้ว ในบ้านนั้น เพื่อก้อนข้าว ฯ อ. มนุษย์ ท. เห็นแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว (เป็น), ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะ ท. (ยังภิกษุ ท.) ให้นั่งแล้ว อังคาสแล้ว ด้วยอาหารอันประณีต ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.พระผู้เป็นเจ้า ท. จะไป ในที่ไหน ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท. (อ. เรา ท. จะไป) สู่ที่อันมีความส�ำราญอย่างไร ดังนี้ (อันภิกษุ ท. เหล่านั้น) กล่าวแล้ว, www.kalyanamitra.org
  • 13.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 8 ปณฺฑิตมนุสฺสา “วสฺสาวาสํ เสนาสนํ ปริเยสนฺติ ภทนฺตาติ ญตฺวา “ภนฺเต สเจ อยฺยา อิมํ เตมาสํ อิธ วเสยฺยุํ;มยํสรเณสุปติฏฺ€าย, สีลานิ คณฺเหยฺยามาติ อาหํสุ. เตปิ “มยํ อิมานิ กุลานิ นิสฺสาย, ภวนิสฺสรณํ กริสฺสามาติ อธิวาเสสุํ. มนุสฺสา เตสํ ปฏิญฺญํ คเหตฺวา วิหารํ ปฏิชคฺคิตฺวา รตฺติฏฺ€านทิวาฏฺ€านานิ สมฺปาเทตฺวา อทํสุ. เต นิพทฺธํ ตเมว คามํ ปิณฺฑาย ปวิสนฺติ. อถ เน เอโก เวชฺโช อุปสงฺกมิตฺวา, “ภนฺเต พหุนฺนํ วสนฏฺฐาเน อผาสุกํปิ นาม โหติ, ตสฺมึ อุปฺปนฺเน, มยฺหํ กเถยฺยาถ; เภสชฺชํ กริสฺสามีติ ปวาเรสิ. เถโร วสฺสูปนายิกาทิวเส เต ภิกฺขู อามนฺเตตฺวา ปุจฺฉิ “ อาวุโส อิมํ เตมาสํ กตีหิ อิริยาปเถหิ วีตินาเมสฺสถาติ. “จตูหิ ภนฺเตติ. “ กึ ปเนตํ อาวุโส ปฏิรูปํ , นนุ อปฺปมตฺเตหิ ภวิตพฺพํ? มยํ หิ ธรมานสฺส พุทฺธสฺส สนฺติกา กมฺมฏฺ€านํ คเหตฺวา อาคตา, พุทฺธา จ นาม น สกฺกา สเ€น อาราเธตุํ, กลฺยาณชฺฌาสเยน เหเต อาราเธตพฺพา, ปมตฺตสฺส จ นาม จตฺตาโร อปายา สกเคหสทิสา, อปฺปมตฺตา โหถาวุโสติ. “ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ. “อหํ ตีหิ อิริยาปเถหิ วีตินาเมสฺสามิ, ปิฏฺฐึ น ปสาเรสฺสามิ อาวุโสติ. “สาธุ ภนฺเต, อปฺปมตฺตา โหถาติ. เถรสฺส นิทฺทํ อโนกฺกมนฺตสฺส, ปฐมมาเส อติกฺกนฺเต , อกฺขิโรโค อุปฺปชฺชิ. ฉิทฺทฆฏโต อุทกธารา วิย อกฺขีหิ ธารา ปคฺฆรนฺติ. โส สพฺพรตฺตึ สมณธมฺมํ กตฺวา, อรุณุคฺคมเน คพฺภํ ปวิสิตฺวา นิสีทิ. อ. มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิต ท. ทราบแล้ว ว่า อ. ท่านผู้เจริญ ท. แสวงหาอยู่ ซึ่งเสนาสนะ อันเป็นที่อยู่จ�ำซึ่งพรรษา ดังนี้ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ. พระผู้เป็นเจ้า ท. พึงอยู่ ในที่นี้ ตลอดหมวดแห่งเดือนสาม นี้ไซร้ ; อ.ข้าพเจ้า ท. ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในสรณะ ท. , พึงถือเอา ซึ่งศีล ท. ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. แม้เหล่านั้น (ยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา ท. อาศัยแล้ว ซึ่งตระกูล ท. เหล่านี้, จักกระท�ำ ซึ่งการออกไปจากภพ ดังนี้ ฯ อ. มนุษย์ ท. รับแล้ว ซึ่งปฏิญญา ของภิกษุ ท. เหล่านั้น จัดแจงแล้ว ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ยังที่เป็นที่พัก ในกลางคืนและที่เป็นที่พักในกลางวัน ท. ให้ถึงพร้อมแล้ว ได้ถวาย แล้ว ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ย่อมเข้าไป สู่บ้าน นั้นนั่นเทียว เพื่อบิณฑะ เนืองนิตย์ ฯ ครั้งนั้น อ.หมอ คนหนึ่ง เข้าไปหาแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ปวารณาแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อแม้ อ.ความทุกข์ มิใช่ความส�ำราญ ย่อมมี ในที่เป็นที่อยู่ แห่งพระผู้เป็นเจ้า ท. มาก ครั้นเมื่อความทุกข์มิใช่ความส�ำราญนั้น เกิดขึ้นแล้ว อ.ท่าน ท. พึงบอกแก่ข้าพเจ้า อ.ข้าพเจ้า จักกระท�ำ ซึ่งยา ดังนี้ฯ อ.พระเถระ เรียกมาแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ถามแล้ว ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.ท่าน ท. จักยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. เท่าไร ตลอดหมวดแห่งเดือนสามนี้ ดังนี้ ในวันคือดิถีเป็นที่น้อมเข้าไปใกล้แห่งกาลฝน ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม ท. จักยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. สี่ ตลอดหมวดแห่งเดือนสามนี้ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. ก็ อ.อันยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. สี่ ตลอดหมวด แห่งเดือนสามนี้ แห่งท่าน ท. นั่น เป็นกรรมอันสมควร ย่อมเป็น หรือ อันเรา ท. พึงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว พึงเป็น มิใช่หรือ, เพราะว่า อ.เรา ท. เรียนเอาแล้ว ซึ่งพระกรรมฐาน จากส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ มาแล้ว, จริงอยู่ ชื่อ อ. พระพุทธเจ้า ท. อันบุคคลผู้โอ้อวด ไม่อาจ เพื่ออันทรงให้ยินดียิ่ง, ด้วยว่า อ. พระพุทธเจ้า ท. เหล่านั่น อันบุคคล ผู้มีอัธยาศัยอันงาม พึงให้ทรงยินดียิ่ง, จริงอยู่ อ. อบาย ท. สี่ เป็นเช่นกับด้วยเรือนของตน (ย่อมเป็น) ชื่อแห่งบุคคลผู้ประมาทแล้ว, ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ท่าน ท. เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว จงเป็น ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ? ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.เรา จักยังกาลให้น้อมไปล่วงวิเศษ ด้วยอิริยาบถ ท. สาม, อ. เรา จักไม่เหยียด ซึ่งหลัง ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ดีละ, อ.ท่าน ท. จงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว (จงเป็น) ดังนี้ ฯ เมื่อพระเถระ ไม่ก้าวลงอยู่ สู่ความหลับ, ครั้นเมื่อเดือนที่หนึ่ง ก้าวล่วงแล้ว, อ. โรคในนัยน์ตา เกิดขึ้นแล้ว ฯ อ. สายน�้ำ ท. ย่อมไหลออกจากนัยน์ตาท.ราวกะอ.สายแห่งน�้ำท.(ไหลออกอยู่) จากหม้ออันทะลุแล้ว ฯ อ. พระเถระนั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งสมณธรรม ตลอดราตรีทั้งปวง, เข้าไปแล้ว สู่ห้อง ในกาลเป็นที่ขึ้นไปแห่งอรุณ นั่งแล้ว ฯ www.kalyanamitra.org
  • 14.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย9 ภิกฺขู ภิกฺขาจารเวลาย เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา “ภิกฺขาจารเวลา ภนฺเตติ อาหํสุ. “ เตนหาวุโส คณฺหถ ปตฺตจีวรนฺติ อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา นิกฺขมิ. ภิกฺขู ตสฺส อกฺขี ปคฺฆรนฺเต ทิสฺวา “กิเมตํ ภนฺเตติ ปุจฺฉึสุ. “อกฺขี เม อาวุโส วาตา วิชฺฌนฺตีติ. “นนุ ภนฺเต เวชฺเชนมฺห ปวาริตา, ตสฺส กเถยฺยามาติ. “สาธาวุโสติ. เต เวชฺชสฺส กถยึสุ. โส เตลํ ปจิตฺวา เปเสสิ. เถโร นาสาย เตลํ อาสิญฺจนฺโต นิสินฺนโกว อาสิญฺจิตฺวา อนฺโตคามํ ปาวิสิ. เวชฺโช ทิสฺวา อาห “ภนฺเต อยฺยสฺส กิร อกฺขี วาโต วิชฺฌตีติ. “อาม อุปาสกาติ. “ภนฺเต มยา เตลํ ปจิตฺวา เปสิตํ, นาสาย โว อาสิตฺตนฺติ. “อาม อุปาสกาติ. “อิทานิ กีทิสนฺติ. “รุชเตว อุปาสกาติ. เวชฺโช “มยา เอกวาเรเนว วูปสมนตฺถํ เตลํ ปหิตํ, กินฺนุ โข โรโค น วูปสนฺโตติ จินฺเตตฺวา “ภนฺเต นิสีทิตฺวา โว อาสิตฺตํ, นิปชฺชิตฺวาติ ปุจฺฉิ. เถโร ตุณฺหี อโหสิ; ปุนปฺปุนํ ปุจฺฉิยมาโนปิ น กเถสิ. โส “วิหารํ คนฺตฺวา วสนฏฺ€านํ โอโลเกสฺสามีติ จินฺเตตฺวา “เตนหิ ภนฺเต คจฺฉถาติ เถรํ วิสฺสชฺเชตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา เถรสฺส วสนฏฺ€านํ โอโลเกนฺโต จงฺกมนนิสีทนฏฺ€านเมว ทิสฺวา สยนฏฺ€านํ อทิสฺวา “ ภนฺเต นิสินฺเนหิ โว อาสิตฺตํ, นิปฺปนฺเนหีติ ปุจฺฉิ. เถโร ตุณฺหี อโหสิ. “ มา ภนฺเต เอวมกตฺถ; สมณธมฺโม นาม , สรีเร ยาเปนฺเต , สกฺกา กาตุํ ; นิปชฺชิตฺวา อาสิญฺจถาติ ปุนปฺปุนํ ยาจิ. “คจฺฉาวุโส, มนฺเตตฺวา ชานิสฺสามีติ. อ. ภิกษุ ท. ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระเถระ ในเวลาเป็นที่เที่ยวไป เพื่อภิกษา กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ ( อ. เวลานี้) เป็นเวลาเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุท. ถ้าอย่างนั้น อ.ท่านท.จงถือเอาซึ่งบาตรและจีวรดังนี้ (ยังภิกษุท.)ให้ถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ของตน ออกไปแล้ว ฯ อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึ่งนัยน์ตา ท. ของพระเถระนั้น อันหลั่งออกอยู่ถามแล้วว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญอ.เหตุนั่นอะไรดังนี้ฯ (อ. พระเถระ) (กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ลม ท. ย่อมเสียดแทง ซึ่งนัยน์ตา ท. ของเรา ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. เรา ท.) เป็นผู้อันหมอปวารณาแล้ว ย่อมเป็น มิใช่หรือ, อ. เรา ท. พึงบอก แก่หมอนั้น ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ดีละ ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น บอกแล้ว แก่หมอ ฯ อ. หมอนั้น หุงแล้ว ซึ่งน�้ำมัน ส่งไปแล้ว ฯ อ. พระเถระ เมื่อหยอด ซึ่งน�้ำมัน ผู้นั่งแล้วเทียว หยอดแล้ว โดยจมูก ได้เข้าไปแล้ว สู่ภายในแห่งบ้าน ฯ อ. หมอ เห็นแล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า อ. ลม ย่อมเสียดแทง ซึ่งนัยน์ตา ท. ของพระผู้เป็นเจ้า หรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก เออ (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ (อ.หมอ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. น�้ำมัน อันกระผม หุงแล้ว ส่งไปแล้ว, (อ.น�้ำมัน) อันท่าน ท. หยอดแล้วโดยจมูก หรือ ดังนี้ ฯ (อ.พระเถระกล่าวแล้ว)ว่า ดูก่อนอุบาสกเออ (อ.อย่างนั้น) ดังนี้ฯ (อ. หมอ กล่าวแล้ว) ว่า ในกาลนี้(อกฺขิยุคํ อ. คู่แห่งนัยน์ตา) เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก (อ. ลม) เสียดแทงอยู่นั่นเทียว ดังนี้ ฯ อ. หมอ คิดแล้ว ว่า อ. น�้ำมัน อันเรา ส่งไปแล้ว เพื่ออันยังโรค ให้เข้าไปสงบวิเศษ โดยวาระหนึ่งนั่นเทียว , อ. โรค ไม่เข้าไปสงบ วิเศษแล้ว เพราะเหตุอะไรหนอแล ดังนี้ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ (อ. น�้ำมัน) อันท่าน ท. นั่งแล้ว หยอดแล้ว หรือ, ( หรือว่า อ. น�้ำมัน อันท่าน ท.) นอนแล้ว (หยอดแล้ว) ดังนี้ฯ อ. พระเถระ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว; แม้ผู้อันหมอถามอยู่ บ่อย ๆ ไม่บอกแล้ว ฯ อ. หมอนั้น คิดแล้ว ว่า อ. เรา ไปแล้ว สู่วิหาร จักตรวจดู ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ดังนี้ (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน ท. จงไป ดังนี้ ผละแล้ว ซึ่งพระเถระ ไปแล้ว สู่วิหาร ตรวจดูอยู่ ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของพระเถระ เห็นแล้ว ซึ่งที่เป็นที่จงกรม และที่เป็นที่นั่งนั่นเที่ยว ไม่เห็นแล้วซึ่งที่เป็นที่นอน ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. น�้ำมัน) อันท่าน ท. ผู้นั่งแล้ว หยอดแล้วหรือ, (หรือว่า อ. น�้ำมัน อันท่าน ท.) ผู้นอนแล้ว (หยอดแล้ว) ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ (อ.หมอ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. อย่าได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ : ชื่อ อ. สมณธรรม, ครั้นเมื่อสรีระ เป็นไปอยู่, (อันท่าน ท.) อาจ เพื่ออันกระท�ำ ; อ. ท่าน ท. ขอจงนอนหยอด ดังนี้ อ้อนวอนแล้ว บ่อย ๆ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน จงไป, อ. เรา ปรึกษาแล้ว จักรู้ ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 15.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 10 เถรสฺส จ ตตฺถ เนว ญาตี น สาโลหิตา อตฺถิ, เกน สทฺธึ มนฺเตยฺย? กรชกาเยน ปน สทฺธึ มนฺเตนฺโต “ วเทหิ ตาว อาวุโส ปาลิต, กึ อกฺขี โอโลเกสฺสสิ อุทาหุ พุทฺธสาสนํ? อนมตคฺคสฺมึ หิ สํสารวฏฺเฏ ตว อกฺขิกาณสฺส คณนา นตฺถิ, อเนกานิ ปน พุทฺธสตานิ พุทฺธสหสฺสานิ อตีตานิ; เตสุ เอกพุทฺโธปิ น ปริจฺฉินฺโน, อิทานิ อิมํ อนฺโตวสฺสํ ตโย มาเส น นิปชฺชิสฺสามีติ เต มานสํ พทฺธํ; ตสฺมา จกฺขูนิ เต นสฺสนฺตุ วา ภิชฺชนฺตุ วา; พุทฺธสาสนเมว ธาเรหิ , มา จกฺขูนีติ ภูตกายํ โอวทนฺโต อิมา คาถา อภาสิ “จกฺขูนิ หายนฺตุ มมายิตานิ, โสตานิ หายนฺตุ, ตเถว เทโห, สพฺพมฺปิทํ หายตุ เทหนิสฺสิตํ; กึการณา ปาลิต ตฺวํ ปมชฺชสิ. จกฺขูนิ ชีรนฺตุ มมายิตานิ, โสตานิ ชีรนฺตุ , ตเถว กาโย, สพฺพมฺปิทํ ชีรตุ กายนิสฺสิตํ; กึการณา ปาลิต ตฺวํ ปมชฺชสิ. จกฺขูนิ ชีรนฺตุ มมายิตานิ, โสตานิ ชีรนฺตุ , ตเถว กาโย, สพฺพมฺปิทํ ชีรตุ กายนิสฺสิตํ; กึการณา ปาลิต ตฺวํ ปมชฺชสีติ. (อ.อันถาม)ว่าก็อ.ญาติท.ของพระเถระ(ย่อมไม่มีนั่นเทียว) ในบ้านนั้น (อ. ชน ท.) ผู้เป็นไปกับด้วยเลือด (ของพระเถระ) ย่อมไม่มี (ในบ้านนั้น) (อ. พระเถระ) พึงปรึกษา กับ ด้วยใคร ? (ดังนี้) ฯ (อ.อันแก้) ว่า (อ.พระเถระ พึงปรึกษา กับ ด้วยกรัชกาย ดังนี้) ฯ ก็ (อ. พระเถระ) เมื่อปรึกษา กับ ด้วยกรัชกาย กล่าวสอนอยู่ ซึ่งกายอันมีแล้ว ว่า แน่ะ ปาลิต ผู้มีอายุ อ. ท่าน จงกล่าว ก่อน , อ. ท่าน จักแลดู ซึ่งนัยน์ตา ท. หรือ หรือว่า (อ. ท่าน จักแลดู) ซึ่งค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ? จริงอยู่ อ. อันนับ ซึ่งอันบอดแห่งนัยน์ตา แห่งท่าน ย่อมไม่มี ในสังสารวัฏฏ์ อันมีที่สุดและเบื้องต้น อันบุคคลผู้ไปตามอยู่ ไม่รู้แล้ว, ก็ อ. ร้อยแห่งพระพุทธเจ้า ท. อ. พันแห่งพระพุทธเจ้า ท. มิใช่หนึ่ง ล่วงไปแล้ว ; ในพระพุทธเจ้า ท. เหล่านั้นหนา แม้ อ. พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง (อันท่าน) ไม่ก�ำหนดแล้ว, ในกาลนี้ อ. ใจ อันท่าน ผูกแล้ว ว่า อ. เรา จักไม่นอน สิ้นเดือน ท. สาม ตลอดภายในแห่งกาลฝนนี้ ดังนี้ ; เพราะเหตุนั้น อ. นัยน์ตา ท. ของท่าน จงฉิบหายหรือ หรือว่า จงแตก ; อ. ท่าน จงทรงไว้ ซึ่งค�ำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเทียว , (อ. ท่าน จงอย่าทรงไว้) ซึ่งนัยน์ตา ท. ดังนี้ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ท. เหล่านี้ว่า อ. นัยน์ตา ท. อันโลกนับถือแล้วว่าเป็นของแห่งเรา จงเสื่อม, อ. หู ท. จงเสื่อม, อ. กาย (จงเสื่อม) อย่างนั้นนั่นเทียว, อ. อวัยวะ นี้ แม้ทั้งปวง อันอาศัยแล้วซึ่งกาย จงเสื่อม, แน่ะปาลิต อ. ท่าน ประมาทอยู่ เพราะเหตุไร ฯ อ. นัยน์ตา ท. อันโลกนับถือแล้วว่าเป็นของแห่งเรา จงคร�ำ่คร่า, อ. หู ท. จงคร�ำ่คร่า, อ.กาย (จงคร�ำ่คร่า) อย่างนั้นนั่นเทียว, อ. อวัยวะนี้ แม้ทั้งปวง อันอาศัยแล้วซึ่งกาย จงคร�ำ่คร่า, แน่ะปาลิต อ.ท่าน ประมาทอยู่ เพราะเหตุไร ฯ อ. นัยน์ตา ท. อันโลกนับถือแล้วว่าเป็นของแห่งเรา จงแตก, อ. หู ท. จงแตก, อ. รูป (จงแตก) อย่างนั้นนั่นเทียว, อ. อวัยวะนี้ แม้ทั้งปวง อันอาศัยแล้วซึ่งรูป จงแตก, แน่ะปาลิต อ. ท่าน ประมาทอยู่ เพราะเหตุไร ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 16.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย11 เอวํ ตีหิ คาถาหิ อตฺตโน โอวาทํ ทตฺวา นิสินฺนโกว นตฺถุกมฺมํ กตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ. เวชฺโช ทิสฺวา “กึ ภนฺเต นตฺถุกมฺมํ กตนฺติ ปุจฺฉิ. “อาม อุปาสกาติ. “กีทิสํ ภนฺเตติ. รุชเตว อุปาสกาติ. “นิสีทิตฺวา โว ภนฺเต กตํ, นิปชฺชิตฺวาติ. เถโร ตุณฺหี อโหสิ; ปุนปฺปุนํ ปุจฺฉิโตปิ, น กิญฺจิ กเถสิ. อถ นํ เวชฺโช “ภนฺเต ตุมฺเห สปฺปายํ น กโรถ, อชฺช ปฏฺ€าย “อสุเกน เม เตลํ ปกฺกนฺติ มา วทิตฺถ, อหํปิ “มยา โว เตลํ ปกฺกนฺติน วกฺขามีติ อาห. โสเวชฺเชนปจฺจกฺขาโต,วิหารํคนฺตฺวา “เวชฺเชนาปิ ปจฺจกฺขาโตสิ , อิริยาปถํ มา วิสฺสชฺชิ สมณาติ, “ปฏิกฺขิตฺโต ติกิจฺฉาย เวชฺเชนาสิ วิวชฺชิโต นิยโต มจฺจุราชสฺส, กึ ปาลิต ปมชฺชสีติ อิมาย คาถาย อตฺตานํ โอวทิตฺวา สมณธมฺมํ อกาสิ. อถสฺส มชฺฌิมยาเม อติกฺกนฺตมตฺเต, อปุพฺพํ อจริมํ อกฺขีนิ เจว กิเลสา จ ปภิชฺชึสุ . โส สุกฺขวิปสฺสโก อรหา หุตฺวา คพฺภํ ปวิสิตฺวา นิสีทิ. ภิกฺขู ภิกฺขาจารเวลาย คนฺตฺวา “ภิกฺขาจารกาโล ภนฺเตติ อาหํสุ. “กาโล อาวุโสติ. “อาม ภนฺเตติ. “เตนหิ คจฺฉถาติ. “ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ. “อกฺขีนิ เม อาวุโส ปริหีนานีติ. เต ตสฺส อกฺขีนิ โอโลเกตฺวา อสฺสุปุณฺณเนตฺตา หุตฺวา “ภนฺเต มา จินฺตยิตฺถ, (อ. พระเถระ) ครั้นให้แล้ว ซึ่งโอวาท แก่ตน ด้วยคาถา ท. สาม อย่างนี้ผู้นั่งแล้วเทียว กระท�ำแล้วซึ่งกรรมคืออันนัตถุ์ ได้เข้าไปแล้ว สู่บ้าน เพื่อบิณฑะ ฯ อ. หมอ เห็นแล้ว ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กรรมคือ การนัตถุ์ (อันท่าน) กระท�ำแล้วหรือ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก เออ (อ.กรรม คือการนัตถุ์ อันเรา กระท�ำแล้ว ดังนี้ ฯ (อ.หมอนั้น ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.คู่แห่งนัยน์ตา) เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก (อ.คู่แห่งนัยน์ตา) ปวดอยู่นั่นเทียว ดังนี้ฯ (อ.หมอ ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.กรรมคือการนัตถุ์) อันท่าน ท. นั่งแล้ว ท�ำแล้วหรือ, (หรือว่า อ. กรรมคือการนัตถุ์ อันท่าน ท.) นอนแล้ว (ท�ำแล้ว) ดังนี้ ฯ อ.พระเถระ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว แม้ผู้อันหมอนั้นถามแล้ว บ่อย ๆ ไม่กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำอะไร ๆ ฯ ครั้งนั้น อ.หมอ กล่าวแล้ว กะพระเถระนั้น ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.ท่าน ย่อมไม่กระท�ำ ซึ่งความสบาย อ.ท่าน อย่ากล่าวแล้ว ว่า อ.น�้ำมัน อันหมอโน้น หุงแล้ว แก่เรา ดังนี้แม้ อ.กระผม จักไม่กล่าว ว่า อ.น�้ำมัน อันกระผมหุงแล้ว แก่ท่าน ดังนี้จ�ำเดิมแต่วันนี้ดังนี้ฯ อ. พระเถระนั้น ผู้อันหมอบอกคืนแล้ว ไปแล้ว สู่วิหาร (คิดแล้ว) ว่า อ.ท่าน เป็นผู้แม้อันหมอบอกคืนแล้ว ย่อมเป็น, ดูก่อนสมณะ อ.ท่าน อย่าสละแล้ว ซึ่งอิริยาบถ ดังนี้ สอนแล้ว ซึ่งตน ด้วยคาถา นี้ว่า (อ. ท่าน) เป็นผู้อันอันหมอ ปฏิเสธแล้ว เป็นผู้อันหมอ เว้นแล้วจากอันเยียวยา (การรักษา) ย่อมเป็น (อ. ท่าน) เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อมัจจุผู้พระราชา (ย่อมเป็น) ดูก่อนปาลิตะ อ. ท่าน ย่อมประมาท เพราะเหตุไร ดังนี้ ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งสมณธรรม ฯ ครั้งนั้น ครั้นเมื่อยามอันมีในท่ามกลาง เป็นกาลสักว่าก้าวล่วงแล้ว (มีอยู่), อ.นัยน์ตาท. ด้วยนั่นเทียว อ.กิเลสท. ด้วย ของพระเถระนั้น แตกทั่วแล้ว ไม่ก่อน ไม่หลัง ฯ อ. พระเถระนั้น เป็นพระอรหันต์ ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง เป็น เข้าไปแล้ว สู่ห้อง นั่งแล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. ไปแล้ว ในเวลาเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.กาลนี้) เป็นกาลเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ ถามแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุท. (อ.กาลนี้)เป็นกาล (ย่อมเป็นหรือ)ดังนี้ฯ (อ.ภิกษุ ท.กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอรับ (อ.กาลนี้เป็นกาล ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ.พระเถระกล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ.ท่าน ท. จงไปเถิด ดังนี้ฯ (อ.ภิกษุ ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.นัยน์ตา ท. ของกระผม เสื่อมรอบแล้ว ดังนี้ ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น แลดูแล้ว ซึ่งนัยน์ตา ท. ของพระเถระนั้น เป็นผู้มีดวงตาอันเต็มแล้วด้วยน�้ำตา เป็น ยังพระเถระ ให้หายใจ ออกแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. อย่าคิดแล้ว, www.kalyanamitra.org
  • 17.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 12 มยํ โว ปฏิชคฺคิสฺสามาติ เถรํ อสฺสาเสตฺวา กตฺตพฺพยุตฺตกํ วตฺตปฏิวตฺตํ กตฺวา คามํ ปวิสึสุ. มนุสฺสา เถรํ อทิสฺวา “ภนฺเต อมฺหากํ อยฺโย กุหินฺติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา ยาคุํ เปเสตฺวา สยํ ปิณฺฑปาตํ อาทาย คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ปาทมูเล ปวฏฺฏมานา โรทิตฺวา “ มยํ ภนฺเต ปฏิชคฺคิสฺสาม, ตุมฺเห มา จินฺตยิตฺถาติ สมสฺสาเสตฺวา ปกฺกมึสุ. ตโต ปฏฺ€าย นิพทฺธํ ยาคุภตฺตํ วิหารเมว เปเสนฺติ. เถโรปิ อิตเร สฏฺ€ิภิกฺขู นิรนฺตรํ โอวทติ. เต ตสฺโสวาเท €ตฺวา อุปกฺกฏฺ€าย ปวารณาย, สพฺเพว สห ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณึสุ, วุตฺถวสฺสา จ ปน สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามา หุตฺวา เถรํ อาหํสุ “ภนฺเต สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามมฺหาติ. เถโร เตสํ วจนํ สุตฺวา จินฺเตสิ “อหํ ทุพฺพโล, อนฺตรามคฺเค จ อมนุสฺสปริคฺคหิตา อฏวี อตฺถิ, มยิ เอเตหิ สทฺธึ คจฺฉนฺเต , สพฺเพ กิลมิสฺสนฺติ , ภิกฺขํปิ ลภิตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ, อิเม ปุเรตรเมว เปเสสฺสามีติ. อถ เน อาห “ อาวุโส ตุมฺเห ปุรโต คจฺฉถาติ. “ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ. “อหํ ทุพฺพโล, อนฺตรามคฺเค จ อมนุสฺสปริคฺคหิตา อฏวี อตฺถิ , มยิ ตุมฺเหหิ สทฺธึ คจฺฉนฺเต , สพฺเพ กิลมิสฺสถ, ตุมฺเห ปุรโต คจฺฉถาติ. “มา ภนฺเต เอวํ กริตฺถ, มยํ ตุมฺเหหิ สทฺธึเยว คมิสฺสามาติ. “มา โว อาวุโส เอวํ รุจฺจิตฺถ, เอวํ สนฺเต มยฺหํ อผาสุกํ ภวิสฺสติ , มยฺหํ กนิฏฺโ€ ตุมฺเห ทิสฺวา ปุจฺฉิสฺสติ, อถสฺส มม จกฺขูนํ ปริหีนภาวํ อาโรเจยฺยาถ; โส มยฺหํ สนฺติกํ กญฺจิเทว ปหิณิสฺสติ; เตน สทฺธึ อาคจฺฉิสฺสามิ; ตุมฺเห มม วจเนน ทสพลญฺจ อสีติมหาเถเร จ วนฺทถาติ เต อุยฺโยเชสิ. อ. เรา ท. จักปฏิบัติ ซึ่งท่าน ท. ดังนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งวัตรและ วัตรตอบ อันควรแล้วแก่วัตรอันตนพึงกระท�ำ เข้าไปแล้ว สู่บ้าน ฯ อ.มนุษย์ ท. ไม่เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ อ.พระผู้เป็นเจ้า ของเรา ท. (ไปแล้ว) ในที่ไหน ดังนี้ฟังแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่วนั้น ส่งไปแล้ว ซึ่งข้าวยาคู ถือเอา ซึ่งบิณฑบาต เอง ไปแล้ว ไหว้แล้ว ซึ่งพระเถระ ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่แล้ว ณ ที่ใกล้แห่งเท้า (ยังพระเถระ) ให้หายใจออกคล่องดีแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. เรา ท. จักปฏิบัติ, อ. ท่าน ท. อย่าคิดแล้ว ดังนี้หลีกไปแล้ว ฯ (อ. มนุษย์ ท.) ย่อมส่งไป ซึ่งข้าวต้มและข้าวสวย สู่วิหาร นั่นเทียว เนืองนิตย์ จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ แม้ อ. พระเถระ ย่อมกล่าวสอน ซึ่งภิกษุหกสิบ ท. นอกนี้ สิ้นกาลมีระหว่างออกแล้ว ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ตั้งอยู่แล้ว ในโอวาท ของพระเถระนั้น ครั้นเมื่อปวารณา เข้าไปตั้งใกล้แล้ว, ทั้งปวงเทียว บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต กับ ด้วยปฏิสัมภิทา ท., ก็แล (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น) ผู้มีกาลฝนอันอยู่แล้ว เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ ้ า ซึ่งพระศาสดา เป็น กล่าวแล้ว กะพระเถระ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม ท. เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ ้ า ซึ่งพระศาสดา ย่อมเป็น ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำ ของภิกษุ ท. เหล่านั้น คิดแล้ว ว่า อ. เรา เป็นผู้มีก�ำลังอันโทษประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็น), อนึ่ง อ. ดง อันอมนุษย์ถือเอารอบแล้ว มีอยู่ ในระหว่างแห่งทาง, ครั้นเมื่อเรา ไปอยู่ กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั่น , อ. ภิกษุ ท. ทั้งปวง จักล�ำบาก, ( อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้) จักไม่อาจ เพื่ออันได้ แม้ซึ่งภิกษา, อ. เรา จักส่งไป ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านี้ก่อนกว่านั่นเทียว ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น ( อ. พระเถระ) กล่าวแล้ว กะภิกษุ ท.เหล่านั้น ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ท่าน ท. จงไป ข้างหน้า ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า? ดังนี้ฯ (อ. พระเถระนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นผู้มีก�ำลังอันโทษ ประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็น), อนึ่ง อ. ดง อันอมนุษย์ถือเอารอบแล้ว มีอยู่ ในระหว่างแห่งหนทาง, ครั้นเมื่อเรา ไปอยู่ กับ ด้วยท่าน ท. อ. ท่าน ท. ทั้งปวง จักล�ำบาก, อ. ท่าน ท. จงไป ข้างหน้า ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. อย่ากระท�ำแล้ว อย่างนี้, อ. กระผม ท. จักไป กับ ด้วยท่าน ท. นั่นเทียว ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ) ส่งไปแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น (ด้วยค�ำ) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ท่าน ท. อย่าชอบใจแล้ว อย่างนี้, ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น มีอยู่ อ. ความไม่ส�ำราญ จักมี แก่เรา, อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของเรา เห็นแล้ว ซึ่งท่าน ท. จักถาม, ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น(มีอยู่)อ.ท่านท.พึงบอกซึ่งความที่แห่งจักษุ ท. ของเราเป็นธรรมชาติเสื่อมรอบแล้ว แก่น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น ; อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น จักส่งไป ซึ่งใคร ๆ สู่ส�ำนัก ของเรานั่นเทียว ; (อ. เรา) จักมา กับ ด้วยบุคคลนั้น ; อ. ท่าน ท. จงไหว้ ซึ่งพระทศพล ด้วย ซึ่งพระมหาเถระแปดสิบ ท. ด้วย ตามค�ำ ของเรา ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 18.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย13 เต เถรํ ขมาเปตฺวา อนฺโตคามํ ปวิสึสุ. มนุสฺสา เต นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ ทตฺวา “ กึ ภนฺเต อยฺยานํ คมนากาโร ปญฺญายตีติ. “อาม อุปาสกา, สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามมฺหาติ. เต ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวา เตสํ คมนฉนฺทเมว ญตฺวา อนุคนฺตฺวา ปริเทวิตฺวา นิวตฺตึสุ. เตปิ อนุปุพฺเพน เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารญฺจ มหาเถเร จ เถรสฺส วจเนน วนฺทิตฺวา ปุนทิวเส, ยตฺถ เถรสฺส กนิฏฺโ€ วสติ; ตํ วีถึ ปิณฺฑาย ปวิสึสุ. กุฏุมฺพิโก เต สญฺชานิตฺวา นิสีทาเปตฺวา กตปฏิสนฺถาโร, “ภาติกตฺเถโร เม กุหินฺติ ปุจฺฉิ. อถสฺส เต ตํ ปวตฺตึ อาโรเจสุํ. โส เตสํ ปาทมูเล ปวฏฺเฏนฺโต โรทิตฺวา ปุจฺฉิ “อิทานิ ภนฺเต กึ กาตพฺพนฺติ. “เถโร อิโต กสฺสจิ คมนํ ปจฺจาสึสติ, คตกาเล เตน สทฺธึ อาคมิสฺสตีติ. “อยํ เม ภนฺเต ภาคิเนยฺโย ปาลิโต นาม, เอตํ เปเสถาติ. “เอวํ เปเสตุํ น สกฺกา, มคฺเค ปริปนฺโถ อตฺถิ, ปพฺพาเชตฺวา เปเสตุํ วฏฺฏตีติ. “ เอวํ กตฺวา เปเสถ ภนฺเตติ. อถ นํ ปพฺพาเชตฺวา อฑฺฒมาสมตฺตํ จีวรคฺคหณาทีนิ สิกฺขาเปตฺวา มคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา ปหิณึสุ. โส อนุปุพฺเพน ตํ คามํ ปตฺวา คามทฺวาเร เอกํ มหลฺลกํ ทิสฺวา “อิมํ คามํ นิสฺสาย โกจิ อารญฺญโก วิหาโร อตฺถีติ ปุจฺฉิ. “อตฺถิ ภนฺเตติ. “โก ตตฺถ วสตีติ. “ปาลิตตฺเถโร นาม ภนฺเตติ. “มคฺคํ เม อาจิกฺขถาติ. “โกสิ ตฺวํ ภนฺเตติ. อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ยังพระเถระ ให้อดโทษแล้ว เข้าไปแล้ว สู่ภายในแห่งบ้าน ฯ อ. มนุษย์ ท. ยังภิกษุ ท. เหล่านั้นให้นั่งแล้ว ถวายแล้ว ซึ่งภิกษา (ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อาการคือ- อันไป แห่งพระผู้เป็นเจ้า ท. ย่อมปรากฏหรือ ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสกและ อุบาสิกา ท. เออ (อ. อย่างนั้น) , อ. เรา ท. เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ ้ า ซึ่งพระศาสดาย่อมเป็นดังนี้ ฯ อ.มนุษย์ ท.เหล่านั้นอ้อนวอนแล้ว บ่อย ๆ รู้แล้ว ซึ่งความพอใจในการไป แห่งภิกษุ ท. เหล่านั้นนั่นเทียว ตามไปแล้ว คร�่ำครวญแล้ว กลับแล้ว ฯ อ. ภิกษุ ท. แม้เหล่านั้น ถึงแล้ว ซึ่งพระเชตวัน โดยล�ำดับ ไหว้แล้ว ซึ่งพระศาสดาด้วย ซึ่งพระมหาเถระ ท. ด้วย ตามค�ำ ของพระเถระ ในวันรุ่งขึ้น, อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของพระเถระ ย่อมอยู่ ในถนนใด ; เข้าไปแล้ว สู่ถนนนั้น เพื่อบิณฑะ ฯ อ. กุฎุมพี รู้พร้อมแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น (ยังภิกษุ ท. เหล่านั้น) ให้นั่งแล้ว ผู้มีปฏิสันถารอันกระท�ำแล้ว , ถามแล้ว ว่า อ.พระเถระผู้เป็นพี่ชาย ของกระผม (ย่อมอยู่) ในที่ไหน ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ.ภิกษุ ท. เหล่านั้น บอกแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่ว นั้น แก่กุฎุมพีนั้น ฯ อ. กุฎุมพีนั้น ร้องไห้กลิ้งเลือกอยู่แล้ว ณ ที่ใกล้แห่งเท้า ของภิกษุ ท. เหล่านั้น ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในกาลนี้ อ. กรรมอะไร (อันกระผม) พึงกระท�ำ ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. พระเถระ ย่อมหวังเฉพาะ ซึ่งการไป แห่งใครๆจากที่นี้, (อ.พระเถระนั้น) จักมา กับด้วยบุคคล นั้น ในกาลแห่งบุคคลนั้นไปแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพี กล่าวแล้ว ) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. เด็ก) นี้ เป็นผู้ชื่อว่าปาลิต ผู้เป็นหลาน ของกระผม (ย่อมเป็น), อ. ท่าน ท. จงส่งไป ซึ่งหลานนั่น ดังนี้ ฯ (อ.ภิกษุ ท. เหล่านั้น กล่าวแล้ว ว่า อันเรา ท.) ไม่อาจ เพื่ออันส่งไป อย่างนี้, อ.อันตรายเป็นเครื่อง เบียดเบียนรอบ ในหนทาง มีอยู่, อ. อัน (อันเรา ท. ยังเด็ก นั้น) ให้บวชแล้ว ส่งไปย่อมควร ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.ท่านท.กระท�ำแล้วอย่างนี้จงส่งไปเถิดดังนี้ฯ ครั้งนั้น (อ . ภิกษุ ท.) ยังเด็กนั้น ให้บวชแล้ว (ยังสามเณร) ให้ศึกษาแล้ว (ซึ่งกิจ ท.) มีการรับซึ่งจีวรเป็นต้น (สิ้นกาล) สักว่าเดือนด้วยทั้งกึ่ง บอกแล้ว ซึ่งหนทาง ส่งไปแล้ว ฯ อ. สามเณรนั้น ถึงแล้ว ซึ่งบ้านนั้น โดยล�ำดับ เห็นแล้ว ซึ่งคนแก่ คนหนึ่ง ใกล้ประตูแห่งบ้าน ถามแล้ว ว่า อ. วิหาร อันตั้งอยู่ในป่า บางแห่ง อาศัย ซึ่งบ้าน นี้มีอยู่หรือ ดังนี้ ฯ (อ.คนแก่กล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.วิหาร)มีอยู่ดังนี้ฯ (อ. สามเณร ถามแล้ว) ว่า อ. ใคร ย่อมอยู่ ในวิหารนั้น ดังนี้ฯ (อ. คนแก่ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อ อ. พระเถระ ชื่อว่าปาลิต (ย่อมอยู่ ในวิหารนั้น) ดังนี้ฯ (อ. สามเณร กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท่าน ท. ขอจงบอก ซึ่งหนทาง แก่เรา ดังนี้ฯ (อ. คนแก่ ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน เป็นใคร ย่อมเป็นดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 19.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 14 “เถรสฺส ภาคิเนยฺโยมฺหีติ. อถ นํ คเหตฺวา วิหารํ เนสิ. โส เถรํ วนฺทิตฺวา อฑฺฒมาสมตฺตํ วตฺตปฏิวตฺตํ กตฺวา เถรํ สมฺมา ปฏิชคฺคิตฺวา “ ภนฺเต มาตุลกุฏุมฺพิโก เม ตุมฺหากํ อาคมนํ ปจฺจาสึสติ; เอถ, คจฺฉามาติ อาห. “เตนหิ เม ยฏฺ€ิโกฏึ คณฺหาหีติ. โส ยฏฺ€ิโกฏึ คเหตฺวา เถเรน สทฺธึ อนฺโตคามํ ปาวิสิ. มนุสฺสา เถรํ นิสีทาเปตฺวา “ กึ ภนฺเต คมนากาโร โว ปญฺญายตีติ ปุจฺฉึสุ. “อาม อุปาสกา, คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิสฺสามีติ. เต นานปฺปกาเรน ยาจิตฺวา อลภนฺตา เถรํ อุยฺโยเชนฺตา อุปฑฺฒปถํ คนฺตฺวา โรทิตฺวา นิวตฺตึสุ. สามเณโร เถรํ ยฏฺ€ิโกฏิยา อาทาย คจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค อฏวิยํ สงฺกฏฺ€นครํ นาม เถเรน อุปนิสฺสาย วุตฺถปุพฺพคามํ สมฺปาปุณิ. โส ตโต นิกฺขมิตฺวา อรญฺญ คายิตฺวา ทารูนิ อุทฺธรนฺติยา เอกิสฺสา อิตฺถิยา คีตสทฺทํ สุตฺวา สเร นิมิตฺตํ คณฺหิ. อิตฺถีสทฺโท วิย หิ อญฺโญ สทฺโท ปุริสานํ สกลสรีรํ ผริตฺวา €าตุํ สมตฺโถ นาม นตฺถิ. เตนาห ภควา “นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกสทฺทมฺปิ สมนุปสฺสามิ, โย เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺ€ติ; ยถยิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีสทฺโทติ. สามเณโร ตตฺถ นิมิตฺตํ คเหตฺวา ยฏฺ€ิโกฏึ วิสฺสชฺเชตฺวา “ติฏฺ€ถ ตาว ภนฺเต, กิจฺจํ เม อตฺถีติ ตสฺสา สนฺติกํ คโต. สา ตํ ทิสฺวา ตุณฺหี อโหสิ. โส ตาย สทฺธึ สีลวิปตฺตึ ปาปุณิ. (อ. สามเณรนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นหลาน ของพระเถระ ย่อมเป็น ดังนี้ฯ ครั้งนั้น (อ. คนแก่นั้น) พาเอา ซึ่งสามเณรนั้น น�ำไปแล้ว สู่วิหาร ฯ อ. สามเณรนั้น ไหว้แล้ว ซึ่งพระเถระ กระท�ำแล้ว ซึ่งวัตรและวัตรตอบ สิ้นกาลสักว่าเดือนทั้งด้วยกึ่ง ปฏิบัติแล้ว ซึ่งพระเถระ โดยชอบ กล่าวแล้วว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กุฎุมพี ผู้เป็นลุง ของกระผม ย่อมหวังเฉพาะ ซึ่งการมา แห่งท่าน ท. ; อ. ท่าน ท. จงมา, อ. เรา ท. จะไป ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน จงถือเอา ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ของเรา ดังนี้ฯ อ. สามเณรนั้น ถือเอาแล้ว ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ได้เข้าไปแล้ว สู่ภายในแห่งบ้าน กับ ด้วยพระเถระ ฯ อ. มนุษย์ ท. ยังพระเถระ ให้นั่งแล้ว ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.อาการคือการไป แห่งท่าน ท. ย่อมปรากฏหรือ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท. เออ (อ. อย่างนั้น), อ, เรา ไปแล้ว จักถวายบังคม ซึ่งพระศาสดา ดังนี้ฯ อ. มนุษย์ ท. เหล่านั้น อ้อนวอนแล้ว โดยประการต่าง ๆ เมื่อไม่ได้ ส่งไปอยู่ ซึ่งพระเถระ ไปแล้ว สิ้นหนทางเข้าไปด้วยทั้งกึ่ง ร้องไห้แล้ว กลับแล้ว ฯ อ. สามเณรพาเอาซึ่งพระเถระ ด้วยปลายแห่งไม้เท้า ไปอยู่ ถึง พร้อมแล้ว ซึ่งบ้านอันอันพระเถระเคยเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว ชื่อว่า สังกัฏฐนคร ใกล้ดง ในระหว่างแห่งหนทาง ฯ อ. สามเณรนั้น ฟังแล้วซึ่งเสียงแห่งเพลงขับ ของหญิง คนหนึ่ง ผู้ออกแล้วจากบ้านนั้น ขับแล้ว เก็บอยู่ ซึ่งฟืน ท. ในป่า ถือเอาแล้ว ซึ่งนิมิต ในเสียง ฯ จริงอยู่ อ. เสียงอื่น ชื่อว่าสามารถ เพื่ออันแผ่ไปแล้ว สู่สรีระ ทั้งสิ้น ของบุรุษ ท. ตั้งอยู่ ราวกะ อ. เสียงแห่งหญิง ย่อมไม่มี ฯ เพราะเหตุนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สัททชาตนี้คือ อ. เสียงแห่งหญิง ฉันใด, ดูก่อนภิกษุ ท., อ. เสียงใด ครอบง�ำแล้วซึ่งจิตของบุรุษย่อมตั้งอยู่,อ.เราย่อมไม่พิจารณาเห็น แม้ซึ่งเสียงอย่างหนึ่งอื่น (นั้น) ฉันนั้น ดังนี้ฯ อ. สามเณร ถือเอาแล้ว ซึ่งนิมิต ในเสียงนั้น ปล่อยแล้ว ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. จงหยุด ก่อน, อ. กิจ ของกระผม มีอยู่ ดังนี้ ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของหญิงนั้น ฯ อ. หญิงนั้น เห็นแล้ว ซึ่งสามเณรนั้น เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ อ.สามเณรนั้นถึงแล้วซึ่งความวิบัติแห่งศีลกับด้วยหญิงนั้นฯ www.kalyanamitra.org
  • 20.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย15 เถโร จินฺเตสิ “อิทาเนเวโก คีตสทฺโท สูยิตฺถ, โส จ โข อิตฺถิยา , สามเณโรปิ จิรายติ , โส สีลวิปตฺตึ ปตฺโต ภวิสฺสตีติ. โสปิ อตฺตโน กิจฺจํ นิฏฺ€าเปตฺวา อาคนฺตฺวา “คจฺฉาม ภนฺเตติ อาห. อถ นํ เถโร ปุจฺฉิ “ปาโป ชาโตสิ สามเณราติ. โส ตุณฺหี หุตฺวา ปุนปฺปุนํ ปุฏฺโ€ปิ น กิญฺจิ กเถสิ. อถ นํ เถโร อาห “ ตาทิเสน ปาเปน มม ยฏฺ€ิโกฏิคฺคหณกิจฺจํ นตฺถีติ. โส สํเวคปฺปตฺโต กาสายานิ อปเนตฺวา คิหินิยาเมน ปริทหิตฺวา “ภนฺเต อหํ ปุพฺเพ สามเณโร, อิทานิ ปนมฺหิ คิหี ชาโต; ปพฺพชนฺโตปิจาหํ น สทฺธาย ปพฺพชิโต, มคฺคปริปนฺถภเยน ปพฺพชิโต; เอถ, คจฺฉามาติ อาห. “อาวุโส คิหิปาโปปิ สมณปาโปปิ ปาโปเยว ; ตฺวํ สมณภาเว €ตฺวาปิ สีลมตฺตํ ปูเรตุํ นาสกฺขิ; คิหี หุตฺวา กินฺนาม กลฺยาณํ กริสฺสสิ; ตาทิเสน ปาเปน มม ยฏฺ€ิโกฏิคฺคหณกิจฺจํ นตฺถีติ. “ภนฺเต อมนุสฺสุปทฺทูโต มคฺโค, ตุมฺเห จ อนฺธา, กถํ อิธ วสิสฺสถาติ. อถ นํ เถโร “ อาวุโส ตฺวํ มา เอวํ จินฺตยิ , อิเธว เม นิปชฺชิตฺวา มรนฺตสฺสาปิ อปราปรํ ปวฏฺเฏนฺตสฺสาปิ , ตยา สทฺธึ คมนํ นาม นตฺถีติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ “หนฺทาหํ หตจกฺขุสฺมิ กนฺตารทฺธานมาคโต, สยมาโน น คจฺฉามิ; นตฺถิ พาเล สหายตา. หนฺทาหํ หตจกฺขุสฺมิ กนฺตารทฺธานมาคโต มริสฺสามิ, โน คมิสฺสามิ; นตฺถิ พาเล สหายตาติ. อ. พระเถระ คิดแล้ว ว่า อ. เสียงแห่งเพลงขับ เสียงหนึ่ง (อันเรา) ฟังแล้ว ในกาลนี้นั่นเทียว, ก็แล อ. เสียงแห่งเพลงขับนั้น (เป็นเสียง แห่งเพลงขับ) ของหญิง (ย่อมเป็น), แม้ อ. สามเณร ประพฤติช้าอยู่, อ. สามเณรนั้น เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความวิบัติแห่งศีล จักเป็น ดังนี้ฯ อ. สามเณรแม้นั้น ยังกิจ ของตน ให้ส�ำเร็จแล้ว มาแล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. เรา ท. จงไป ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. พระเถระ ถามแล้ว ซึ่งสามเณรนั้น ว่า ดูก่อนสามเณร อ. เธอ เป็นคนลามก เป็นผู้เกิดแล้ว ย่อมเป็นหรือ ดังนี้ ฯ อ.สามเณรนั้น เป็นผู้นิ่ง เป็น แม้ผู้อันพระเถระถามแล้ว บ่อย ๆ ไม่กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำอะไร ๆ ฯ ครั้งนั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้ว กะสามเณรนั้น ว่า อ.กิจคือการถือเอาซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ด้วยบุคคลผู้ลามก ผู้เช่นกับด้วยเธอ ย่อมไม่มี แก่เรา ดังนี้ ฯ อ.สามเณรนั้น ผู้ถึงแล้วซึ่งความสลด น�ำไปปราศแล้ว ซึ่งผ้าอันบุคคลย้อมแล้วด้วยน�้ำฝาด ท. นุ่งห่มแล้ว โดยท�ำนอง แห่งคฤหัสถ์ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม เป็นสามเณร (ได้เป็นแล้ว) ในกาลก่อน, แต่ว่า อ. กระผม เป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้เกิดแล้ว ย่อมเป็น ในกาลนี้, เออก็ อ. กระผม เมื่อบวช เป็นผู้บวชแล้ว ด้วยศรัทธา (ย่อมเป็น) หามิได้ , อ. กระผม เป็นผู้บวชแล้ว เพราะความกลัวแต่อันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบในหนทาง (ย่อมเป็น) ; อ. ท่าน ท. จงมา, อ. เรา ท. จะไป ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. คฤหัสถ์ ผู้ลามกก็ดี อ. สมณะผู้ลามกก็ดี เป็นผู้ลามกนั่นเทียว (ย่อมเป็น), อ.เธอแม้ตั้งอยู่แล้วในความเป็นแห่งสมณะไม่ได้อาจแล้วเพื่ออัน (ยังคุณ) สักว่าศีลให้เต็ม ; อ. เธอ เป็นคฤหัสถ์ เป็น จักกระท�ำ ซึ่งกรรมอันงามชื่ออย่างไร;อ.กิจคือการถือเอาซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ด้วยบุคคลผู้ลามก ผู้เช่นกับด้วยเธอ ย่อมไม่มี แก่เรา ดังนี้ฯ (อ. นายปาลิตนั้นกล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. หนทาง เป็นหนทางอันอมนุษย์เข้าไปเบียดเบียนแล้ว (ย่อมเป็น) , อนึ่ง อ. ท่าน ท. เป็นคนบอด (ย่อมเป็น) , อ. ท่าน ท. จักอยู่ ในที่นี้ อย่างไร ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้ว กะนายปาลิตนั้น ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. เธอ อย่าคิดแล้ว อย่างนี้, เมื่อเรา นอนตายอยู่ ในที่นี้นั่นเทียวก็ดี กลิ้งเกลือก ไป ๆ มา ๆ อยู่ (ในที่นี้นั่นเทียว) ก็ดี, ชื่อ อ. การไป กับ ด้วยเธอ ย่อมไม่มี ดังนี้ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ท. เหล่านี้ว่า เอาเถิด อ. เรา เป็นผู้มีจักษุอันโรคขจัดแล้ว เป็นผู้มาแล้ว สู่หนทางไกลคือกันดาร ย่อมเป็น, อ. เรา นอนอยู่ จะไม่ไป, (เพราะว่า) อ. คุณเครื่องความเป็นแห่งสหาย ย่อมไม่มี ในเพราะชนพาล ฯ เอาเถิด อ. เราเป็นผู้มีจักษุอันโรคขจัดแล้ว เป็นผู้มาแล้ว สู่หนทางไกลคือกันดาร ย่อมเป็น, อ. เราจักตาย, อ. เรา จักไม่ไป, (เพราะว่า) อ. คุณเครื่องความเป็นแห่งสหาย ย่อมไม่มี ในเพราะชนพาล ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 21.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 16 ตํ สุตฺวา อิตโร สํเวคชาโต, “ภาริยํ วต เม สาหสิกํ อนนุจฺฉวิกํ กมฺมํ กตนฺติ พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺโต วนสณฺฑํ ปกฺขนฺทิตฺวา ตถา ปกฺกนฺโตว อโหสิ. เถรสฺสาปิ สีลเตเชน สฏฺ€ิโยชนายามํ ปณฺณาสโยชนวิตฺถตํ ปณฺณรสโยชนพหลํ ชยสุมน- ปุปฺผวณฺณํ นิสีทนุฏฺ€หนกาเลสุ โอนมนุนฺนมนปกติกํ สกฺกสฺส เทวราชสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทสฺเสสิ. สกฺโก “ โก นุ โข มํ €านา จาเวตุกาโมติ โอโลเกนฺโต ทิพฺเพน จกฺขุนา เถรํ อทฺทส. เตนาหุ โปราณา “สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท ทิพฺพจกฺขุํ วิโสธยิ `ปาปครหี อยํ ปาโล อาชีวํ ปริโสธยิ’, สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท ทิพฺพจกฺขุํ วิโสธยิ `ธมฺมครุโก อยํ ปาโล นิสินฺโน สาสเน รโตติ. อถสฺส เอตทโหสิ “สจาหํ เอวรูปสฺส ปาปครหิโน ธมฺมครุกสฺส อยฺยสฺส สนฺติกํ น คมิสฺสามิ, มุทฺธา เม สตฺตธา ผเลยฺย; คมิสฺสามิสฺส สนฺติกนฺติ . ตโต สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท เทวรชฺชสิรีธโร ตํขเณน อาคนฺตฺวา, จกฺขุปาลํ อุปาคมิ. อุปคนฺตฺวา จ ปน เถรสฺสาวิทูเร ปทสทฺทํ อกาสิ. อถ นํ เถโร ปุจฺฉิ “โก เอโสติ. “อหํ ภนฺเต อทฺธิโกติ. “กุหึ ยาสิ อุปาสกาติ. “สาวตฺถิยํ ภนฺเตติ. “ยาหิ อาวุโสติ. “อยฺโย ปน ภนฺเต กุหึ คมิสฺสตีติ. อ. นายปาลิตนอกนี้ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ผู้มีความสลดเกิดแล้ว, (คิดแล้ว) ว่า อ.กรรมอันหนักหนออันเป็นไปกับด้วยความผลุนผลัน อันไม่สมควร อันเรา กระท�ำแล้ว ดังนี้ ประคองแล้ว ซึ่งแขน ท. คร�่ำครวญอยู่แล่นไปแล้วสู่ชัฏแห่งป่าเป็นผู้หลีกไปแล้วอย่างนั้นเทียว ได้เป็นแล้ว ฯ อ. บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ของท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ อันยาวโดยโยชน์ ๖๐ อันกว้างแล้วโดยโยชน์ ๕๐ อันหนาโดยโยชน์ ๑๕ มีสีเพียงดังสีแห่งดอกชัยพฤกษ์ มีอันยุบลงและอันฟูขึ้นเป็นปกติ ในกาลเป็นที่ประทับนั่งและเป็นที่เสด็จลุกขึ้น ท. แสดงแล้ว ซึ่งอาการอันร้อน ด้วยเดชแห่งศีล แม้ของพระเถระ ฯ อ. ท้าวสักกะ ทรงตรวจดูอยู่ ว่า อ. ใคร หนอ แล เป็นผู้ใคร่- เพื่ออัน ยังเรา ให้เคลื่อน จากที่ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ได้ทรงเห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ด้วยจักษุ อันเป็นทิพย์ ฯ เพราะเหตุนั้น อ. อาจารย์ผู้มีในกาลก่อน ท. กล่าวแล้ว ว่า อ.ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ทรงยังจักษุอันเป็นทิพย์ ให้หมดจดวิเศษแล้ว ว่า อ.พระเถระ ชื่อว่าปาละ นี้ ผู้ติเตียนซึ่งคนชั่วโดยปกติ ยังอาชีพ ให้หมดจดรอบแล้ว (ดังนี้), อ. ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ทรงยังจักษุ- อันเป็นทิพย์ ให้หมดจดวิเศษแล้ว ว่า อ. พระเถระชื่อว่าปาละ นี้ ผู้หนักในธรรม ยินดีแล้ว ในศาสนา นั่งแล้ว ดังนี้ (ดังนี้) ฯ ครั้งนั้น อ. ความคิดนั่น ว่า ถ้าว่า อ. เรา จักไม่ไป สู่ส�ำนัก ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้หนักในธรรม ผู้ติเตียนซึ่งคนชั่วโดยปกติ ผู้มีอย่างนี้เป็นรูปไซร้, อ. ศีรษะ ของเรา พึงแตก โดยส่วนเจ็ด; อ. เรา จักไป สู่ส�ำนัก ของพระเถระชื่อว่าปาละนั้น ดังนี้ ได้มีแล้ว แก่ท้าวสักกะนั้น ฯ ในล�ำดับนั้น อ. ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ผู้ทรงไว้ ซึ่งสิริคือความเป็นแห่งพระราชาแห่งเทพ เสด็จมาแล้ว โดยขณะนั้น, ได้เสด็จเข้าไปหาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่า จักขุบาล ฯ ก็แล (อ. ท้าวสักกะ) ครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว ได้ทรงกระท�ำ แล้ว ซึ่งเสียงแห่งพระบาท ในที่อันไม่ไกล แห่งพระเถระ ฯ ครั้งนั้น อ. พระเถระ ถามแล้ว ซึ่งท้าวสักกะนั้น ว่า อ. ใครนั่น ดังนี้ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม เป็นผู้ไปสู่หนทางไกล (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ ถามแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก อ. ท่าน จะไป ในที่ไหน ดังนี้ ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. กระผม จะไป) ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน จงไป ดังนี้ ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ.พระผู้เป็นเจ้า จักไป ในที่ไหน ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 22.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย17 “อหํปิ ตตฺเถว คมิสฺสามีติ. “เตนหิ เอกโตว คจฺฉาม ภนฺเตติ. “อหํ ทุพฺพโล, มยา สทฺธึ คจฺฉนฺตสฺส ตว ปปญฺโจ ภวิสฺสตีติ. “มยฺหํ อจฺจายิกํ นตฺถิ; อหํปิ อยฺเยน สทฺธึ คจฺฉนฺโต ทสสุ ปุญฺญกิริยาวตฺถูสุ เอกํ ลภิสฺสามิ; เอกโตว คจฺฉาม ภนฺเตติ. เถโร “เอโส สปฺปุริโส ภวิสฺสตีติ จินฺเตตฺวา “เตนหิ ยฏฺ€ิโกฏึ คณฺห อุปาสกาติ อาห. สกฺโก ตถา กตฺวา ป€วึ สงฺขิปนฺโต สายณฺหสมเย เชตวนํ สมฺปาเปสิ. เถโร สงฺขปณวาทิสทฺเท สุตฺวา “กตฺเถโส สทฺโทติ ปุจฺฉิ. “สาวตฺถิยํ ภนฺเตติ. “มยํ คมนกาเล จิเรน คมิมฺหาติ. “อหํ อุชุกมคฺคํ ชานามิ ภนฺเตติ. ตสฺมึ ขเณ เถโร “ นายํ มนุสฺโส , เทวตา ภวิสฺสตีติ สลฺลกฺเขสิ. สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท เทวรชฺชสิรีธโร สงฺขิปิตฺวาน ตํ มคฺคํ ขิปฺปํ สาวตฺถิมาคมิ. โส เถรสฺเสวตฺถาย กนิฏฺ€กุฏุมฺพิเกน การิตํ ปณฺณสาลํ เนตฺวา ผลเก นิสีทาเปตฺวา ปิยสหาย วณฺเณน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา “สมฺม ปาลาติ ปกฺโกสิ. “กึ สมฺมาติ. “เถรสฺส อาคตภาวํ ชานาสีติ. “น ชานามิ, กึ ปน เถโร อาคโตติ. “อาม สมฺม, อิทานาหํ วิหารํ คนฺตฺวา เถรํ ตยา การิตปณฺณสาลายํ นิสินฺนกํ ทิสฺวา อาคโตมฺหีติ วตฺวา ปกฺกามิ. กุฏุมฺพิโกปิ วิหารํ คนฺตฺวา เถรํ ทิสฺวา ปาทมูเล ปวฏฺเฏนฺโต โรทิตฺวา “ อิทํ ทิสฺวา อหํ ภนฺเต ตุมฺหากํ ปพฺพชิตุํ นาทาสินฺติอาทีนิ วตฺวา เทฺว ทาสทารเก ภุชิสฺเส กตฺวา เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพาเชตฺวา (อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า แม้ อ. เราจักไป ในเมืองชื่อว่า สาวัตถีนั้นนั่นเทียว ดังนี้ ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น อ. เรา ท. จงไป โดยความเป็น อันเดียวกันเทียว ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นผู้มีก�ำลังอันโทษประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็น), อ. ความเนิ่นช้า จักมี แก่ท่าน ผู้ไปอยู่ กับ ด้วยเรา ดังนี้ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า อ. ความรีบร้อน แห่งกระผม ย่อมไม่มี; แม้ อ. กระผม ไปอยู่ กับ ด้วยพระผู้เป็นเจ้า จักได้ ในบุญกิริยาวัตถุ ท. สิบหนา ซึ่งบุญกิริยาวัตถุอย่างหนึ่ง; ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. เรา ท. จงไป โดยความเป็นอันเดียวกันเทียว ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ คิดแล้ว ว่า อ.บุรุษ นั่น เป็นสัตบุรุษ จักเป็น ดังนี้ กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนอุบาสก ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน จงจับ ซึ่งปลายแห่งไม้เท้า ดังนี้ ฯ อ.ท้าวสักกะ ทรงกระท�ำแล้ว อย่างนั้น ทรงย่นอยู่ ซึ่งแผ่นดิน (ทรงยังพระเถระ) ให้ถึงพร้อมแล้ว ซึ่งพระเชตวันในสมัยเป็นที่สิ้นไปแห่งวันฯ อ.พระเถระ ฟังแล้ว ซึ่งเสียงแห่งดนตรีมีสังข์และบัณเฑาะว์เป็นต้น ท. ถามแล้ว ว่า อ. เสียงนั่น เป็นเสียง ในที่ไหน (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. เสียงนี้ เป็นเสียง) ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา ท. ไปแล้ว โดยกาลนาน ในกาลเป็นที่ไป ดังนี้ฯ (อ.ท้าวสักกะตรัสแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญอ.กระผม ย่อมรู้ ซึ่งหนทางตรง ดังนี้ฯ ในขณะนั้น อ. พระเถระ ก�ำหนดแล้ว ว่า อ. บุรุษนี้เป็นมนุษย์ (ย่อมเป็น) หามิได้, (อ.บุรุษนี้) เป็นเทวดา จักเป็น ดังนี้ฯ (เพราะเหตุนั้น อ. อาจารย์ผู้มีในกาลก่อน ท. กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท้าวสหัสสเนตร ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ผู้ทรงไว้ซึ่งสิริคือ- ความเป็นแห่งพระราชาแห่งเทพ ทรงย่นแล้ว ซึ่งหนทางนั้น เสด็จมาแล้ว สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี พลัน ดังนี้ ฯ อ. ท้าวสักกะนั้น ทรงน�ำไปแล้ว สู่บรรณศาลา อันอันกุฎุมพี ผู้น้อยที่สุด (ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว เพื่อประโยชน์ แก่พระเถระ นั่นเทียว (ยังพระเถระ) ให้นั่งแล้ว บนแผ่นกระดาน เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนักของกุฎุมพีนั้น ด้วยเพศแห่งสหายผู้เป็นที่รัก ทรงร้องเรียกแล้ว ว่า แน่ะปาละ ผู้สหาย ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย อ. อะไร ดังนี้ ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า อ. ท่าน ย่อมรู้ ซึ่งความที่แห่งพระเถระ เป็นผู้มาแล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา ย่อมไม่รู้, ก็ อ. พระเถระ มาแล้ว หรือ ดังนี้ฯ (อ. ท้าวสักกะ ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนสหาย เออ (อ. อย่างนั้น), ในกาลนี้ อ. เรา เป็นผู้ไปแล้ว สู่วิหาร เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้นั่งแล้ว ในบรรณศาลา อันอันท่าน (ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว มาแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้ เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ แม้ อ. กุฎุมพีไปแล้ว สู่วิหาร เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ร้องไห้ กลิ้งเกลือกอยู่แล้ว ณ ที่ใกล้แห่งเท้า กล่าวแล้ว ( ซึ่งค�ำ ท.) มีค�ำ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. กระผม เห็นแล้ว ซึ่งเหตุนี้ ไม่ได้ให้แล้ว เพื่ออันบวช แก่ท่าน ท. ดังนี้เป็นต้น กระท�ำแล้ว ซึ่งเด็กผู้เป็นทาส ท. ๒ ให้เป็นไท ให้บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระเถระ (กล่าวแล้ว) ว่า www.kalyanamitra.org
  • 23.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 18 “อนฺโตคามโต ยาคุภตฺตาทีนิ อาหริตฺวา เถรํ อุปฏฺ€หถาติ ปฏิปาเทสิ. สามเณรา วตฺตปฏิวตฺตํ กตฺวา เถรํ อุปฏฺ€หึสุ. อเถกทิวสํ ทิสาวาสิโน ภิกฺขู “สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามาติ เชตวนํ อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อสีติมหาเถเร ทิสฺวา วิหารจาริกํ จรนฺตา จกฺขุปาลตฺเถรสฺส วสนฏฺ€านํ ปตฺวา “อิทํปิ ปสฺสิสฺสามาติ สายํ ตทภิมุขา อเหสุํ. ตสฺมึ ขเณ มหาเมโฆ อุฏฺ€หิ. เต “อิทานิ สายญฺจ, เมโฆ จ อุฏฺ€ิโต, ปาโตว อาคนฺตฺวา ปสฺสิสฺสามาติ นิวตฺตึสุ. เทโว ป€มยาเม วสฺสิตฺวา มชฺฌิมยาเม วิคโต. เถโร อารทฺธวิริโย อาจิณฺณจงฺกมโน; ตสฺมา ปจฺฉิมยาเม จงฺกมนํ โอตริ. ตทา ปน นววุฏฺ€าย ภูมิยา พหู อินฺทโคปกา อุฏฺ€หึสุ. เต เถเร จงฺกมนฺเต , เยภุยฺเยน วิปชฺชึสุ. อนฺเตวาสิกา เถรสฺส จงฺกมนฏฺ€านํ กาลสฺเสว น สมฺมชฺชึสุ. อิตเร ภิกฺขู “เถรสฺส วสนฏฺ€านํ ปสฺสิสฺสามาติ อาคนฺตฺวา จงฺกมเน ปาณเก ทิสฺวา “ โก อิมสฺมึ จงฺกมตีติ ปุจฺฉึสุ. “อมฺหากํ อุปชฺฌาโย ภนฺเตติ. เต อุชฺฌายึสุ “ปสฺสถ สมณสฺส กมฺมํ; สจกฺขุกาเล นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายนฺโต กิญฺจิ อกตฺวา, อิทานิ จกฺขุวิกลกาเล `จงฺกมามีติ เอตฺตเก ปาเณ มาเรสิ; `อตฺถํ กริสฺสามีติ อนตฺถํ อกรีติ. อถ เต คนฺตฺวา ตถาคตสฺส อาโรเจสุํ “ภนฺเต จกฺขุปาลตฺเถโร `จงฺกมามีติ พหู ปาณเก มาเรสีติ. “กึ ปน โส ตุมฺเหหิ มาเรนฺโต ทิฏฺโ€ติ. “น ทิฏฺโ€ ภนฺเตติ. อ. ท่าน ท. น�ำมาแล้ว (ซึ่งวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวย เป็นต้น จากภายในแห่งบ้านจงบ�ำรุง ซึ่งพระเถระ ดังนี้ (ยังข้าวต้ม และข้าวสวย) ให้ถึงเฉพาะแล้ว ฯ อ. สามเณร ท. กระท�ำแล้ว ซึ่งวัตรและวัตรตอบ บ�ำรุงแล้ว ซึ่งพระเถระ ฯ ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. ภิกษุ ท. ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ มาแล้ว สู่พระเชตวัน (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา ท. จักเฝ ้ า ซึ่งพระศาสดา ดังนี้ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้ใหญ่แปดสิบ ท. เที่ยวไปอยู่ สู่ที่เป็นที่เที่ยวไปในวิหาร ถึงแล้ว ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของพระเถระชื่อว่าจักขุบาล เป็นผู้มีหน้าที่เฉพาะ ต่อที่นั้น ได้เป็นแล้ว ในเวลาเย็น (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา ท. จักเห็น ซึ่งที่เป็นที่อยู่แม้นี้ดังนี้ ฯ ในขณะนั้น อ. เมฆใหญ่ ตั้งขึ้นแล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. เหล่านั้น (คิดแล้ว) ว่า อ. กาลนี้ เป็นเวลาเย็น (เกิดแล้ว) ด้วย , อ. เมฆ ตั้งขึ้นแล้วด้วย, อ. เรา ท. มาแล้ว จักเห็นในเวลาเช้าเทียว ดังนี้ กลับแล้ว ฯ อ. ฝน ตกแล้ว ในยามที่หนึ่ง ไปปราศแล้ว ในยามอันมี ในท่ามกลาง ฯ อ. พระเถระ เป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เป็นผู้มีจงกรม อันประพฤติทั่วแล้ว (ย่อมเป็น); เพราะเหตุนั้น (อ. พระเถระ) ข้ามลงแล้ว สู่ที่เป็นที่จงกรม ในยามอันมีในภายหลัง ฯ ก็ในกาลนั้นอ.แมลงค่อมทองท.มาก ตั้งขึ้นแล้วบนภาคพื้น อันอันฝนตกแล้วใหม่ ฯ อ. แมลงค่อมทอง ท. เหล่านั้น ครั้นเมื่อ พระเถระ จงกรมอยู่, วิบัติแล้ว โดยมาก ฯ อ. อันเตวาสิก ท. ไม่กวาดแล้ว ซึ่งที่เป็นที่จงกรม ของพระเถระ ต่อกาลนั่นเทียว ฯ อ.ภิกษุท.นอกนี้มาแล้ว(ด้วยความหวัง)ว่าอ.เราท.จักเห็น ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของพระเถระ ดังนี้ เห็นแล้ว ซึ่งสัตว์มีปาณะ ท. ในที่เป็นที่จงกรม ถามแล้วว่า อ. ใคร ย่อมจงกรม ในที่เป็นที่จงกรม นี้ดังนี้ฯ (อ. อันเตวาสิก ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. พระอุปัชฌาย์ ของกระผม ท. (ย่อมจงกรม ในที่เป็นที่จงกรม นี้) ดังนี้ฯ อ.ภิกษุท.เหล่านั้นยกโทษแล้วว่าอ.ท่านท.จงเห็น ซึ่งกรรม ของสมณะ, อ. พระเถระนี้ นอนประพฤติหลับอยู่ ในกาลแห่งตน เป็นไปกับด้วยจักษุ ไม่กระท�ำแล้วซึ่งกรรมไรๆ,ยังสัตว์มีปาณะท. มีประมาณเท่านี้ ให้ตายแล้ว (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา จะจงกรม ดังนี้ในกาลแห่งตนมีจักษุอันวิกล ในกาลนี้; (อ. พระเถระ คิดแล้ว) ว่า อ. เราจักกระท�ำ ซึ่งประโยชน์ ดังนี้ ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม อันมิใช่ประโยชน์ ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว กราบทูลแล้ว แก่พระตถาคตเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระเถระชื่อว่า จักขุบาล ยังสัตว์มีปาณะ ท. มาก ให้ตายแล้ว (ด้วยอันคิด) ว่า อ. เรา จะจงกรม ดังนี้ดังนี้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ก็ อ. ภิกษุชื่อว่าจักขุบาลนั้น (ยังมีสัตว์มีปาณะ ท.) ให้ตายอยู่ อันเธอ ท. เห็นแล้ว หรือ ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. พระเถระ ชื่อว่าจักขุบาลนั้น ยังสัตว์มีปาณะ ท. ให้ตายอยู่ อันข้าพระองค์ ท.) ไม่เห็นแล้ว ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 24.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย19 “ยเถว ตุมฺเห ตํ น ปสฺสถ; ตถา โสปิ เต ปาเณ น ปสฺสติ, ขีณาสวานํ มรณเจตนา นาม นตฺถิ ภิกฺขเวติ. “ภนฺเต อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสเย สติ, กสฺมา อนฺโธ ชาโตติ. “อตฺตนา กตกมฺมวเสน ภิกฺขเวติ. “กึ ปน ภนฺเต เตน กตนฺติ. “เตนหิ ภิกฺขเว สุณาถ: อตีเต พาราณสิยํ พาราณสีราเช รชฺชํ กาเรนฺเต, เอโก เวชฺโช คามนิคเม จริตฺวา เวชฺชกมฺมํ กโรนฺโต เอกํ จกฺขุทุพฺพลํ อิตฺถึ ทิสฺวา ปุจฺฉิ “ กินฺเต อผาสุกนฺติ. “อกฺขีหิ น ปสฺสามีติ. “เภสชฺชนฺเต กริสฺสามีติ. “กโรหิ สามีติ. “กึ เม ทสฺสสีติ. “สเจ เม อกฺขีนิ ปากติกานิ กาตุํ สกฺขิสฺสสิ, อหนฺเต สทฺธึ ปุตฺตธีตาหิ ทาสี ภวิสฺสามีติ. โส “สาธูติ เภสชฺชํ สํวิทหิ. เอกเภสชฺเชเนว อกฺขีนิ ปากติกานิ อเหสุํ. สา จินฺเตสิ “อหํ เอตสฺส `สปุตฺตธีตา ทาสี ภวิสฺสามีติ ปฏิชานึ , น โข ปน มํ สณฺเหน สมุทาจริสฺสติ, วญฺเจสฺสามิ นนฺติ. สา เวชฺเชนาคนฺตฺวา “กีทิสํ ภทฺเทติ ปุฏฺ€า, “ปุพฺเพ เม อกฺขีนิ โถกํ รุชฺชึสุ, อิทานิ อติเรกตรํ รุชฺชนฺตีติ อาห. เวชฺโช “อยํ มํ วญฺเจตฺวา กิญฺจิ อทาตุกามา, น เม เอตาย ทินฺนภติยา อตฺโถ, อิทานิ ตํ อนฺธํ กริสฺสามีติ จินฺเตตฺวา เคหํ คนฺตฺวา ภริยาย ตมตฺถํ อาจิกฺขิ. สา ตุณฺหี อโหสิ. โส เอกํ เภสชฺชํ โยเชตฺวา ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา “ภทฺเท อิมํ เภสชฺชํ อญฺชาหีติ อญฺชาเปสิ. เทฺว อกฺขีนิ ทีปสิขา วิย วิชฺฌายึสุ. โส เวชฺโช จกฺขุปาโล อโหสิ. (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า อ. เธอ ท. ย่อมไม่เห็น ซึ่งภิกษุ ชื่อว่าจักขุบาลนั้นฉันใดนั่นเทียว; อ.ภิกษุชื่อว่าจักขุบาลแม้นั้น ย่อมไม่เห็น ซึ่งสัตว์มีปาณะ ท. เหล่านั้น ฉันนั้น, ดูก่อนภิกษุ ท. ชื่อ อ. เจตนาเป็นเหตุตาย แห่งพระขีณาสพ ท. ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. พระเถระชื่อว่าจักขุบาล นั้น) ครั้นเมื่อธรรมอันเป็นอุปนิสัย แห่งพระอรหัต มีอยู่, เป็นคนบอด เกิดแล้ว เพราะเหตุไร ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ภิกษุชื่อว่า จักขุบาลนั้น เป็นคนบอด เกิดแล้ว) ด้วยอ�ำนาจแห่งกรรม อันตนกระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ (อ. กรรม) อะไร อันพระเถระชื่อว่า จักขุบาลนั้น กระท�ำแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้าอย่างนั้น อ. เธอ ท. จงฟัง (ดังนี้ทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว) ว่า ในกาลอันล่วงไปแล้ว ครั้นเมื่อพระราชาผู้เป็นใหญ่ ในเมืองชื่อว่าพาราณสี (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในเมืองชื่อว่าพาราณสี , อ.หมอคนหนึ่ง เที่ยวไปแล้ว ในบ้านและนิคม กระท�ำอยู่ ซึ่งเวชกรรม เห็นแล้ว ซึ่งหญิง ผู้มีจักษุมีก�ำลังอันโทษประทุษร้ายแล้ว คนหนึ่ง ถามแล้ว ว่า อ. ความไม่ส�ำราญ แห่งท่าน อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา ย่อมไม่เห็น ด้วยนัยน์ตา ท. ดังนี้ ฯ (อ.หมอนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งยาแก่ท่าน ดังนี้ฯ (อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย อ. ท่าน จงกระท�ำ ดังนี้ฯ (อ. หมอนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท่าน จักให้ (ซึ่งวัตถุ) อะไร แก่เรา ดังนี้ ฯ (อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าว่า อ. ท่าน จักอาจ เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งนัยน์ตา ท. ของเรา ให้เป็นของตั้งอยู่ตามปกติไซร้, อ.เรา กับ ด้วยบุตรและธิดา ท. เป็นทาสี ของท่านจักเป็นดังนี้ฯ อ.หมอนั้น(รับพร้อมแล้ว)ว่าอ.ดีละดังนี้จัดแจงแล้วซึ่งยา ฯ อ. นัยน์ตา ท. เป็นของตั้งอยู่ตามปกติ ได้เป็นแล้ว ด้วยยาขนานเดียว นั่นเทียว ฯ อ. หญิงนั้น คิดแล้ว ว่า อ. เรา ปฏิญญาแล้ว ว่า (อ. เรา) ผู้เป็นไปกับด้วยบุตรและธิดา เป็นทาสีจักเป็น ดังนี้ แก่หมอนั่น, แต่ว่า (อ. หมอนั้น) จักประพฤติร้องเรียก ซึ่งเรา ด้วยค�ำอันอ่อนหวาน หามิได้แล, อ. เรา จักลวง ซึ่งหมอนั้น ดังนี้ฯ อ. หญิงนั้น ผู้อันหมอ มาแล้ว ถามแล้ว ว่า แน่ะนางผู้เจริญ (อ. คู่แห่งนัยน์ตา) เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น) ดังนี้, กล่าวแล้ว ว่า อ. นัยน์ตา ท. ของเรา เสียดแทงแล้ว หน่อยหนึ่ง ในกาลก่อน, ในกาลนี้(อ. นัยน์ตา ท.) ย่อมเสียดแทง ยิ่งเกิน ดังนี้ ฯ อ. หมอคิดแล้ว ว่า อ. หญิงนี้เป็นผู้ใคร่เพื่ออันลวง ซึ่งเรา แล้ว ไม่ให้ ซึ่งวัตถุไร ๆ (ย่อมเป็น) อ. ความต้องการ ด้วยค่าจ้าง อันหญิงนั่นให้แล้ว (ย่อมมี) แก่เรา หามิได้ , ในกาลนี้ อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งหญิงนั้น ให้เป็นหญิงบอด ดังนี้ ไปแล้ว สู่เรือน บอกแล้ว ซึ่งเนื้อความนั้น แก่ภรรยา ฯ อ.ภรรยานั้น เป็นหญิงนิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ อ. หมอนั้น ประกอบแล้ว ซึ่งยา ขนานหนึ่ง ไปแล้ว สู่ส�ำนักของหญิงนั้น (กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะนางผู้เจริญ อ. ท่าน จงหยอดซึ่งยานี้ดังนี้(ยังหญิงนั้น)ให้หยอดแล้วฯ อ.นัยน์ตาท. สอง ดับแล้ว ราวกะ อ. เปลวแห่งประทีป ฯ อ. หมอนั้น เป็นภิกษุ ชื่อว่า จักขุบาล ได้เป็นแล้ว (ดังนี้) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 25.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 20 “ภิกฺขเว ตทา มม ปุตฺเตน กตกมฺมํ ปจฺฉโต ปจฺฉโต อนุพนฺธิ , ปาปกมฺมํ หิ นาเมตํ ธุรํ วหโต พลิวทฺทสฺส ปทํ จกฺกํ วิย อนุคจฺฉตีติ อิทํ วตฺถุํ กเถตฺวา อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ปติฏฺ€าปิตมตฺติกํ สาสนํ ราชมุทฺทาย ลญฺฉนฺโต วิย ธมฺมราชา อิมํ คาถมาห “มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ€า มโนมยา; มนสา เจ ปทุฏฺเ€น ภาสติ วา กโรติ วา, ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทนฺติ. ตตฺถ “มโนติ กามาวจรกุสลาทิเภทํ สพฺพมฺปิ จตุภูมิกจิตฺตํ. อิมสฺมึ ปน ปเท ตทา ตสฺส เวชฺชสฺส อุปฺปนฺนจิตฺตวเสน นิยมิยมานํ ววตฺถาปิยมานํ ปริจฺฉิชฺชมานํ, โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ จิตฺตเมว ลพฺภติ. ปุพฺพงฺคมาติ:เตนป€มคามินาหุตฺวาสมนฺนาคตา. ธมฺมาติ: คุณเทสนาปริยตฺตินิสฺสตฺตนิชฺชีววเสน จตฺตาโร ธมฺมา นาม. เตสุ “ น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน, อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคฺคตินฺติ อยํ คุณธมฺโม นาม. “ธมฺมํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณนฺติ อยํ เทสนาธมฺโม นาม. “อิธ ปน ภิกฺขเว เอกจฺเจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ สุตฺตํ เคยฺยนฺติอยํปริยตฺติธมฺโม นาม. “ตสฺมึ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ, ขนฺธา โหนฺตีติ อยํ นิสฺสตฺตธมฺโม นาม. นิชฺชีวธมฺโมติปิ เอเสว นโย. เตสุ อิมสฺมึ €าเน นิสฺสตฺตนิชฺชีวธมฺโม อธิปฺเปโต. (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. กรรม อันบุตร ของเรา กระท�ำแล้ว ในกาลนั้น ติดตามแล้ว ข้างหลัง ๆ, จริงอยู่ ชื่อ อ. กรรมอันลามกนั่น ย่อมไปตาม ราวกะ อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า ของโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง ตัวน�ำไปอยู่ ซึ่งแอก ดังนี้ ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ทรงสืบต่อ ซึ่งอนุสนธิ ผู้เป็นพระราชาเพราะธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถานี้ว่า อ. ธรรม ท. มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด อันส�ำเร็จแล้วแต่ใจ , หากว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันอันโทษ ประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่หรือ หรือว่ากระท�ำอยู่ไซร้, อ. ทุกข์ ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น (เพราะทุจริตอันมีอย่างสาม) นั้น เพียงดัง อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า (ของโคตัวเนื่อง ด้วยก�ำลัง) ตัวน�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) ดังนี้ ฯ ราวกะ (อ.พระราชา) ทรงประทับอยู่ ซึ่งพระราชสาส์น มีดินเหนียว อันพระองค์ ทรงให้ตั้งไว้เฉพาะแล้ว ด้วยตราของพระราชา ฯ อ. จิตอันเป็นไปในภูมิ ๔ แม้ทั้งปวง อันต่างด้วยจิตมีกุศลจิต อันเป็นกามาวจรเป็นต้นชื่อว่า ใจ ในพระคาถานั้น ฯ แต่ว่า อ. จิตนั่นเทียว (อันบัณฑิต) นิยมอยู่ (อันบัณฑิต) ให้ตั้งลงต่างอยู่ (อันบัณฑิต) ก�ำหนดอยู่ ด้วยอ�ำนาจแห่งจิตดวงเกิดขึ้นแล้ว แก่หมอนั้นในกาลนั้น, อันไปแล้วกับด้วยโทมนัส อันประกอบพร้อมแล้ว ด้วยปฏิฆะ (อันบัณฑิต) ย่อมได้ ในบท นี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า มาตามพร้อมแล้ว (ด้วยใจ) นั้น เป็นสภาพถึงก่อน โดยปกติ เป็น (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ปุพฺพงฺคมา ดังนี้ ฯ ชื่อ อ. ธรรม ท. สื่ ด้วยอ�ำนาจแห่งคุณธรรมและเทศนาธรรม และปริยัติธรรมและนิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรม ชื่อว่าธรรม ฯ อ.ธรรมนี้(ในค�ำนี้) ว่า (อ. สภาพ ท.) ทั้งสอง คือ อ. ธรรมด้วย คือ อ. สภาพมิใช่ธรรม ด้วย เป็นสภาพมีวิบากเสมอกัน (ย่อมเป็น) หามิได้แล, อ. สภาพมิใช่ธรรม ย่อมน�ำไป (ซึ่งสัตว์) สู่นรก อ. ธรรม (ยังสัตว์) ย่อมให้ถึง ซึ่งสุคติ ดังนี้เป็นต้น (ในธรรม ท. สี่) เหล่านั้นหนา ชื่อว่า คุณธรรม ฯ อ. ธรรมนี้(ในค�ำนี้) ว่าดูก่อนภิกษุ ท. อ. เรา จักแสดง ซึ่งธรรม อันงามในเบื้องต้น แก่เธอ ท. ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าเทศนาธรรม ฯ อ. ธรรมนี้ (ในค�ำนี้) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ก็ อ. กุลบุตร ท. บางพวกในศาสนา นี้ ย่อมเล่าเรียน ซึ่งธรรม คือซึ่งสูตร คือซึ่งไคยะ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าปริยัติธรรม ฯ อ. ธรรมนี้ (ในค�ำนี้) ว่า ก็ อ. ธรรม ท. ย่อมมี ในสมัยนั้นแล , อ. ขันธ์ ท. ย่อมมี (ในสมัยนั้น) ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า นิสสัตตธรรม ฯ อ. นัย (ในบท) แม้ว่า อ. นิชชีวธรรม ดังนี้นี้นั่นเทียว ฯ ในธรรม ท. ๔ เหล่านั้นหนา อ. นิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรม (อันพระผู้มีพระภาคเจ้า) ทรงพระประสงค์เอาแล้วในที่นี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 26.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย21 โส อตฺถโต ตโย อรูปิโน ขนฺธา “เวทนากฺขนฺโธ สญฺญากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธติ. เอเต หิ, มโน ปุพฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา นาม. “กถํ ปเนเตหิ สทฺธึ เอกวตฺถุโก เอการมฺมโณ อปุพฺพํ อจริมํ เอกกฺขเณ อุปฺปชฺชมาโน มโน ปุพฺพงฺคโม นาม โหตีติ. อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน. ยถา หิ พหูสุ เอกโต คามฆาตาทิกมฺมานิ กโรนฺเตสุ, “โก เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุตฺเต, โย เตสํ ปจฺจโย โหติ, ยํ นิสฺสาย เต ตํ กมฺมํ กโรนฺติ; โส ทตฺโต วา มตฺโต วา “เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุจฺจติ; เอวํ สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํ. อิติ อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน มโน ปุพฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา. น หิ เต, มเน อนุปฺปชฺชนฺเต, อุปฺปชฺชิตุํ สกฺโกนฺติ. มโน ปน, เอกจฺเจสุ เจตสิเกสุ อนุปฺปชฺชนฺเตสุปิ, อุปฺปชฺชติเยว. อธิปติวเสน ปน มโน เสฏฺโ€ เอเตสนฺติ มโนเสฏฺ€า. ยถา หิ โจราทีนํ โจรเชฏฺ€กาทโย อธิปติโน เสฏฺ€า; ตถา เตสมฺปิ มโนติ มโนเสฏฺ€า. ยถา ปน ทารุอาทีหิ นิปฺผนฺนานิ ตานิ ตานิ ภณฺฑานิ ทารุมยาทีนิ นาม โหนฺติ; ตถา เอเตปิ มนโต นิปฺผนฺนตฺตา มโนมยา นาม. ปทุฏฺเฐนาติ: อาคนฺตุเกหิ อภิชฺฌาทีหิ โทเสหิ ปทุฏฺเ€น. ปกติมโน หิ ภวงฺคจิตฺตํ. ตํ อปฺปทุฏฺ€ํ, ยถา หิ ปสนฺนํ อุทกํ อาคนฺตุเกหิ นีลาทีหิ อุปกฺกิลิฏฺ€ํ นีโลทกาทิเภทํ โหติ, น จ นวํ อุทกํ นาปิ ปุริมํ ปสนฺนอุทกเมว; ตถา ตมฺปิ อาคนฺตุเกหิ อภิชฺฌาทีหิ โทเสหิ ปทุฏฺ€ํ โหติ, น จ นวํ จิตฺตํ, อ. นิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรมนั้น คือ อ. ขันธ์ ท. อันไม่มีรูป ๓ คือ อ. เวทนาขันธ์ อ. สัญญาขันธ์ อ. สัขารขันธ์ โดยเนื้อความ ฯ เพราะว่า อ. ธรรม ท.เหล่านั่น , ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อน (เพราะวิเคราะห์) ว่า อ. ใจ เป็นสภาพถึงก่อนแห่งธรรม ท. เหล่านั่น ดังนี้ ฯ (อ. อันถาม) ว่า ก็ อ. ใจ มีวัตถุเป็นอันเดียวกัน มีอารมณ์ เป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยธรรม ท. เหล่านั่น เกิดขึ้นอยู่ ในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน ย่อมเป็น อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ. อันแก้) ว่า (อ. ใจชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน) เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น(ย่อมเป็น)(ดังนี้) ฯ เหมือนอย่างว่า ครั้นเมื่อโจร ท. มาก กระท�ำอยู่ ซึ่งกรรม มีการฆ่าซึ่งชาวบ้านเป็นต้น ท. โดยความเป็นอันเดียวกัน, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ใคร เป็นผู้ถึงก่อน แห่งโจร ท. เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ดังนี้(อันชน ท.) กล่าวแล้ว, อ.โจรใด เป็นปัจจัย ของโจร ท. เหล่านั้น (ย่อมเป็น), อ.โจร ท. เหล่านั้น อาศัยแล้ว ซึ่งโจรใด ย่อมกระท�ำ ซึ่งกรรมนั้น, อ.โจรนั้น ชื่อว่าทัตตะหรือ หรือว่าชื่อว่ามัตตะ (อันชน ท.) ย่อมเรียกกัน ว่า เป็นผู้ถึงก่อน แห่งโจร ท. เหล่านั้น ดังนี้ฉันใด, อ.ค�ำเป็นเครื่องยังอุปไมยให้ถึงพร้อม นี้(อันบัณฑิต) พึงทราบ ฉันนั้น ฯ อ. ใจ ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน แห่งธรรม ท. เหล่านั่น เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท.เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อน ฯ เพราะว่าอ.ธรรมท.เหล่านั้น,ครั้นเมื่อใจ ไม่เกิดขึ้นอยู่,ย่อมไม่อาจ เพื่ออันเกิดขึ้น ฯ แต่ว่า อ. ใจ ,ครั้นเมื่อเจตสิก ท. บางพวก แม้ไม่เกิดขึ้นอยู่ ย่อมเกิดขึ้น นั่นเทียว ฯ แต่ว่า อ. ใจ เป็นสภาพประเสริฐที่สุด แห่งธรรม ท. เหล่านั่น ด้วยอ�ำนาจ แห่งความเป็นอธิบดี เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท. เหล่านั่น) ชื่อว่า มีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ เหมือนอย่างว่า (อ. ชน ท. ) ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง มีโจรผู้เจริญที่สุด เป็นต้น เป็นผู้ประเสริฐที่สุด (แห่งชน ท. ) มีโจรเป็นต้น (ย่อมเป็น) ฉันใด;อ.ใจ(เป็นสภาพประเสริฐที่สุด) (แห่งธรรมท.)แม้เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น (อ.ธรรม ท. เหล่านั้น) ชื่อว่ามีใจ เป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ เหมือนอย่างว่า อ.ภัณฑะท.เหล่านั้นๆ อันส�ำเร็จแล้ว (แต่สัมภาระ ท.) มีไม้เป็นต้น ชื่อว่าเป็นภัณฑะ มีภัณฑะส�ำเร็จแล้วแต่ไม้เป็นต้น ย่อมเป็น ฉันใด, อ.ธรรม ท. แม้เหล่านั่น ชื่อว่าเป็นสภาพส�ำเร็จแล้วแต่ใจ เพราะความที่ (แห่งธรรม ท.) เป็นสภาพส�ำเร็จแล้ว แต่ใจ (ย่อมเป็น) ฉันนั้น ฯ (อ.อรรถ) ว่า อันโทสะ ท. มีอภิชฌาเป็นต้น อันจรมา ประทุษร้ายแล้ว (ดังนี้ แห่งบท) ว่า ปทุฏฺเฐน ดังนี้ ฯ จริงอยู่ อ.ใจตามปกติ ชื่อว่า ภวังคจิต ฯ (อ. ภวังคจิต) นั้น (อันโทสะ ท.) ไม่ประทุษร้ายแล้ว, เหมือนอย่างว่า อ.น�้ำ อันใสแล้ว อันเข้าไปเศร้าหมองแล้ว (เพราะสี ท.) มีสีเขียวเป็นต้น อันจรมา เป็นน�้ำอันต่างด้วยน�้ำ มีน�้ำสีเขียวเป็นต้น ย่อมเป็น, เป็นน�้ำใหม่ (ย่อมเป็น) หามิได้แล, เป็นน�้ำอันใสแล้ว อันมีในก่อนนั่นเทียว (ย่อมเป็น) แม้หามิได้ ฉันใด, อ.ภวังคจิตแม้นั้น เป็นธรรมชาต อันโทสะ ท. มีอภิชฌาเป็นต้น อันจรมา ประทุษร้ายแล้ว ย่อมเป็น, เป็นจิตใหม่ (ย่อมเป็น) หามิได้แล, www.kalyanamitra.org
  • 27.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 22 นาปิ ปุริมํ ภวงฺคจิตฺตเมว. เตนาห ภควา “ ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ. ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺ€นฺติ. เอวํ มนสา เจ ปทุฏฺเ€น. ภาสติ วา กโรติ วาติ: โส ภาสมาโน จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตเมว ภาสติ, กโรนฺโต ติวิธํ กายทุจฺจริตเมว กโรติ, อภาสนฺโต อกโรนฺโต ตาย อภิชฺฌาทีหิ ปทุฏฺ€มานสตาย ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ ปูเรติ. เอวมสฺส ทส อกุสลกมฺมปถา ปาริปูรึ คจฺฉนฺติ. ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวตีติ: ตโต ติวิธทุจฺจริตโต ตํ ปุคฺคลํ ทุกฺขมเนฺวติ: ทุจฺจริตานุภาเวน จตูสุ อปาเยสุ วา มนุสฺเสสุ วา ตมตฺตภาวํ คจฺฉนฺตํ กายวตฺถุกมฺปิ อิตรวตฺถุกมฺปีติ อิมินา ปริยาเยน กายิกเจตสิกํ วิปากทุกฺขํ อนุคจฺฉติ. ยถากึ? จกฺกํว วหโต ปทนฺติ: ธุเร ยุตฺตสฺส ธุรํ วหโต พลิวทฺทสฺส ปทํ จกฺกํ วิย. ยถา หิ โส เอกํปิ ทิวสํ เทฺวปิ ปญฺจปิ ทสปิ อฑฺฒมาสํปิ วหนฺโต จกฺกํ นิวตฺเตตุํ ชหิตุํ น สกฺโกติ; อถขฺวสฺส ปุรโต อติกฺกมนฺตสฺส ยุคํ คีวํ พาธติ, ปจฺฉโต ปฏิกฺกมนฺตสฺส จกฺกํ อูรุมํสํ ปฏิหนฺติ; อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิ พาธนฺตํ จกฺกํ ตสฺส ปทานุปทิกํ โหนฺติ, ตเถว มนสา ปทุฏฺเ€น ตีณิ ทุจฺจริตานิ ปูเรตฺวา €ิตํ ปุคฺคลํ นิรยาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ คตฏฺ€าเนสุ ทุจฺจริตมูลกํ กายิกมฺปิ เจตสิกมฺปิ ทุกฺขํ อนุพนฺธตีติ. คาถาปริโยสาเน ตึสสหสฺสา ภิกฺขู สห ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณึสุ . สมฺปตฺตปริสายปิ เทสนา สาตฺถิกา สผลา อโหสีติ. จกฺขุปาลตฺเถรวตฺถุ. เป็นภวังคจิต อันมีในก่อนนั่นเทียว (ย่อมเป็น) แม้หามิได้ ฉันนั้น ฯ เพราะเหตุนั้น อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. จิตนี้ เป็นแดนสร้านออกแห่งรัศมี (ย่อมเป็น), ก็แล อ. จิตนั้น เข้าไปเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลส ท. อันจรมา ดังนี้ ฯ หากว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันอันโทษประทุษร้ายแล้ว อย่างนี้ (กล่าวอยู่ หรือ หรือว่า กระท�ำอยู่ไซร้) ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ. บุคคลนั้น เมื่อกล่าว ชื่อว่าย่อมกล่าว ซึ่งวจีทุจริต มีอย่างสี่นั่นเทียว , เมื่อกระท�ำ ชื่อว่าย่อมกระท�ำ ซึ่งกายทุจริตมีอย่างสามนั่นเทียว, เมื่อไม่กล่าว เมื่อไม่กระท�ำ ยังมโนทุจริต มีอย่างสาม ชื่อว่าย่อมให้เต็ม เพราะความที่- แห่งตนเป็นผู้มีใจ (อันโทสะ ท.) มีอภิชฌาเป็นต้น ประทุษร้ายแล้ว นั้น, อ. คลองแห่งกรรมอันเป็นอกุศล ท. ๑๐ ย่อมถึง ซึ่งความเต็มรอบ แก่บุคคลนั้น ด้วยประการฉะนี้ (ดังนี้ แห่งบาท แห่งพระคาถา) ว่า ภาสติ วา กโรติ วา ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ ว่า อ.ทุกข์ ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคล นั้น เพราะทุจริต อันมีอย่างสามนั้น คือว่า อ. ทุกข์ อันเป็นวิบาก อันเป็นไป ในกายและเป็นไปในจิต โดยปริยาย นี้ คือ (อ. วิบากทุกข์) มีกายเป็นที่ตั้งบ้าง (อ. วิบากทุกข์) มีจิตนอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น ผู้ไปอยู่ สู่อัตภาพ ในอบาย ท. ๔ หรือ หรือว่า ในมนุษย์ ท. เพราะอานุภาพแห่งทุจริต (ดังนี้) (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ ดังนี้ ฯ (อ.อันถาม)ว่า(อ.ทุกข์ ย่อมไปตามซึ่งบุคคลนั้น เพราะทุจริต อันมีอย่างสามนั้น)ราวกะอ.อะไร?(ดังนี้) (อ.อันแก้)ว่า(อ.ทุกข์ ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น เพราะทุจริตอันมีอย่างสามนั้น) เพียงดัง อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า (ของโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง) ตัวน�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) ดังนี้ : (อ. อธิบาย) ว่า ราวกะ อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า ของโคตัวเนื่องด้วยก�ำลัง ตัวอันบุคคล เทียมแล้ว ที่แอก ชื่อว่าตัวน�ำไปอยู่ ซึ่งแอก (ดังนี้) ฯ (อ. อธิบาย) ว่า เหมือนอย่างว่า อ. โคตัวเนื่องด้วยก�ำลังนั้น น�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) สิ้นวันหนึ่งบ้าง (สิ้นวัน ท. ) สองบ้าง (สิ้นวัน ท.) ห้าบ้าง (สิ้นวัน ท.) สิบบ้าง สิ้นเดือนด้วยทั้งกึ่งบ้าง ย่อมไม่อาจ เพื่ออันยังล้อให้กลับ คือว่า เพื่ออันละ (ซึ่งล้อ) , โดยที่แท้ เมื่อโค ตัวเนื่องด้วยก�ำลังนั้น ก้าวล่วงอยู่ ข้างหน้า อ. แอก ย่อมเบียดเบียน ซึ่งคอ, เมื่อโคตัวเนื่องด้วยก�ำลังนั้น ก้าวกลับอยู่ ข้างหลัง อ. ล้อ ย่อมกระทบ ซึ่งเนื้อแห่งขาอ่อน ; อ. ล้อ เบียดเบียนอยู่ ด้วยเหตุ ท. ๒ เหล่านี้ เป็นของแล่นไปตามซึ่งรอยเท้า ของโคนั้น ย่อมเป็น ฉันใด, อ. ทุกข์ อันเป็นไปในกายบ้าง อันเป็นไปในจิตบ้าง อันมีทุจริตเป็นมูล ย่อมติดตาม ซึ่งบุคคลผู้มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว ยังทุจริต ท. ๓ ให้เต็มแล้ว ตั้งอยู่แล้ว ในที่แห่งบุคคลนั้นไปแล้ว ท. เหล่านั้น ๆ มีนรกเป็นต้น ฉันนั้นนั่นเทียว ดังนี้ (อันบัณฑิต พึงทราบ) ฯ อ. ภิกษุ ท. มีพันสามสิบเป็นประมาณ บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต กับ ด้วยปฏิสัมภิทา ท. ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา ฯ อ. เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ เป็นเทศนา เป็นไปกับด้วยผล ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว ดังนี้แลฯ อ. เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าจักขุบาล (จบแล้ว) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 28.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย23 ๒. มฏฺฐกุณฺฑลิวตฺถุ. (๒) “มโนปุพฺพงฺคมาติ ทุติยคาถาปิ สาวตฺถิยํเยว มฏฺ€กุณฺฑลึ อารพฺภ ภาสิตา. สาวตฺถิยํ กิร อทินฺนปุพฺพโก นาม พฺราหฺมโณ อโหสิ. เตน กสฺสจิ กิฺจิ น ทินฺนปุพฺพํ, เตน ตํ “อทินฺนปุพฺพโกเตฺวว สฺชานึสุ. ตสฺเสกปุตฺตโก อโหสิ ปิโย มนาโป. อถสฺส ปิลนฺธนํ กาเรตุกาโม , “ สเจ สุวณฺณการสฺสาจิกฺขิสฺสามิ, เวตนํ ทาตพฺพํ ภวิสฺสตีติ สยเมว สุวณฺณํ โกฏฺเฏตฺวา มฏฺ€านิ กุณฺฑลานิ กตฺวา อทาสิ. เตนสฺส ปุตฺโต “มฏฺ€กุณฺฑลีเตฺวว ปฺายิตฺถ. ตสฺส โสฬสวสฺสกาเล ปณฺฑุโรโค อุทปาทิ. มาตา ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา “พฺราหฺมณ ปุตฺตสฺส เต โรโค อุปฺปนฺโน , ติกิจฺฉาเปหิ นนฺติ อาห . “โภติ สเจ เวชฺชํ อาเนสฺสามิ, ภตฺตเวตนํ ทาตพฺพํ ภวิสฺสติ; ตฺวํ มม ธนจฺเฉทํ น โอโลเกสีติ. “อถ กึ กริสฺสสิ พฺราหฺมณาติ. “ยถา เม ธนจฺเฉโท น โหติ; ตถา กริสฺสามีติ. โส เวชฺชานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา “อสุกโรคสฺส นาม ตุมฺเห กึ เภสชฺชํ กโรถาติ ปุจฺฉิ. อถสฺส เต ยํ วา ตํ วา รุกฺขตจาทึ อาจิกฺขนฺติ. โส ตํ อาหริตฺวา ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ กโรติ. ตํ กโรนฺตสฺเสวสฺส โรโค พลวา อโหสิ, อเตกิจฺฉภาวํ อุปาคมิ. พฺราหฺมโณ ตสฺส ทุพฺพลภาวํ ตฺวา เอกํ เวชฺชํ ปกฺโกสิ. โส โอโลเกตฺวา “อมฺหากํ เอกํ กิจฺจํ อตฺถิ, อฺํ เวชฺชํ ปกฺโกสิตฺวา ติกิจฺฉาเปหีติ ตํ ปจฺจกฺขาย นิกฺขมิ. ๒. อ. เรื่องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ แม้ อ. พระคาถาที่สอง ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ดังนี้เป็นต้น (อันพระศาสดา) ทรงปรารภ ซึ่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ตรัสแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถีนั่นเทียว ฯ ได้ยินว่า อ. พราณมณ์ ชื่อว่าอทินนปุพพกะ ได้มีแล้ว ในเมือง ชื่อว่าสาวัตถี ฯ อ. วัตถุไร ๆ เป็นของอันพราหมณ์นั้น ไม่เคยให้แล้ว แก่ใครๆ(ย่อมเป็น),เพราะเหตุนั้น(อ.ชนท.)รู้พร้อมแล้ว ซึ่งพราหมณ์ นั้น ว่า อ. พราหมณ์ชื่อว่า อทินนปุพพกะ ดังนี้นั่นเทียว ฯ (อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี) เป็นลูกชายคนเดียว เป็นผู้เป็นที่รัก เป็นผู้ยังใจให้เอิบอาบ ของพราหมณ์นั้น ได้เป็นแล้ว ฯ ครั้งนั้น (อ. พราหมณ์นั้น) เป็นผู้ใคร่เพื่ออันยังช่างให้กระท�ำ ซึ่งเครื่องประดับ แก่บุตรนั้น (เป็น) , (คิดแล้ว) ว่า ถ้าว่า อ. เรา จักบอก แก่บุคคลผู้กระท�ำซึ่งทองไซร้, อ. ก�ำเหน็จ เป็นของอันเรา พึงให้ จักเป็น ดังนี้บุแล้ว ซึ่งทอง เองนั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งต่างหู ท. อันเกลี้ยง ได้ให้แล้ว ฯ เพราะเหตุนั้น อ. บุตร ของพราหมณ์นั้น ปรากฏแล้ว ว่า อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ดังนี้นั่นเทียว ฯ อ. โรคผอมเหลือง ได้เกิดขึ้นแล้ว ในกาลแห่งบุตรนั้นมีกาลฝนสิบหก ฯ อ. มารดา แลดูแล้ว ซึ่งบุตร กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่พราหมณ์ อ. โรค เกิดขึ้นแล้ว แก่บุตร ของท่าน, อ. ท่าน (ยังหมอ) จงให้เยียวยา ซึ่งบุตรนั้น ดังนี้ ฯ (อ. พราหมณ์นั้น กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะนางผู้เจริญ ถ้าว่า อ.เรา จักน�ำมา ซึ่งหมอไซร้, อ. ภัตรและก�ำเหน็จ เป็นของอันเราพึงให้ จักเป็น; อ. ท่าน ไม่แลดูแล้ว ซึ่งความขาดไปแห่งทรัพย์ ของเราหรือ? ดังนี้ฯ (อ. นางพราหมณีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พราหมณ์ ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. ท่าน จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี้ฯ (อ. พราหมณ์นั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. ความขาดไปแห่งทรัพย์ ของเรา จะไม่มี โดยประการใด ; อ. เรา จักกระท�ำ โดยประการนั้น ดังนี้ ฯ อ. พราหมณ์นั้น. ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของหมอ ท. ถามแล้ว ว่า อ.ท่าน ท. ย่อมกระท�ำซึ่งยา อะไร ชื่อแก่โรคโน้น ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. หมอ ท. เหล่านั้น บอกอยู่ (ซึ่งยา) มีเปลือก แห่งต้นไม้เป็นต้น ใดหรือ หรือว่านั้น แก่พราหมณ์นั้น ฯ อ. พราหมณ์นั้น น�ำมาแล้ว ซึ่งยานั้น ย่อมกระท�ำ ซึ่งยา แก่บุตร ฯ เมื่อพราหมณ์นั้น กระท�ำอยู่ ซึ่งยานั้นนั่นเทียว อ. โรค เป็นสภาพมีก�ำลัง ได้เป็นแล้ว, (อ. โรคนั้น) ได้เข้าถึงแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งโรคอันบุคคลไม่พึงเยียวยา ฯ อ. พราหมณ์ รู้แล้ว ซึ่งความที่แห่งบุตรนั้นเป็นผู้มีก�ำลัง อันโทษประทุษร้ายแล้ว ร้องเรียกแล้ว ซึ่งหมอ คนหนึ่ง ฯ อ. หมอนั้น ตรวจดูแล้ว (กล่าวแล้ว) ว่า อ. กิจอย่างหนึ่ง ของเรา ท. มีอยู่, อ. ท่าน ร้องเรียกแล้ว ซึ่งหมอคนอื่น (ยังหมอนั้น) จงให้เยียวยาเถิด ดังนี้บอกคืนแล้ว ซึ่งพราหมณ์นั้น ออกไปแล้ว ฯ www.kalyanamitra.org
  • 29.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 24 พฺราหฺมโณ ตสฺส มรณสมยํ ตฺวา “อิมสฺส ทสฺสนตฺถาย อาคตาคตา อนฺโตเคเห สาปเตยฺยํ ปสฺสิสฺสนฺติ, พหิ นํ กริสฺสามีติ ปุตฺตํ นีหริตฺวา พหิ อาลินฺเท นิปชฺชาเปสิ. ตํ ทิวสํ ภควา พลวปจฺจูสสมเย มหากรุณา- สมาปตฺติโต วุฏฺ€าย ปุพฺพพุทฺเธสุ กตาธิการานํ อุสฺสนฺนกุสลมูลานํ เวเนยฺยพนฺธวานํ ทสฺสนตฺถํ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต, ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ าณชาลํ ปตฺถริ. มฏฺ€กุณฺฑลี พหิอาลินฺเท นิปนฺนากาเรเนว ตสฺส อนฺโต ปฺายิ. สตฺถา ตํ ทิสฺวา ตสฺส อนฺโตเคหา นีหริตฺวา ตตฺถ นิปฺปชฺชาปิตภาวํ ตฺวา “อตฺถิ นุ โข มยฺหํ เอตฺถ คตปฺปจฺจเยน อตฺโถติ อุปธาเรนฺโต, อิทํ อทฺทส “อยํ มาณโว มยิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, กาลํ กตฺวา, ตาวตึสเทวโลเก ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติสฺสติ, อจฺฉราสหสฺสปริวาโร ภวิสฺสติ, พฺราหฺมโณปิ ตํ ฌาเปตฺวา โรทนฺโต อาฬาหเน วิจริสฺสติ, เทวปุตฺโต ติคาวุตปฺปมาณํ สฏฺ€ิสกฏภาราลงฺการปฏิมณฺฑิตํ อจฺฉราสหสฺสปริวารํ อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา `เกน นุ โข กมฺเมน มยา อยํ สิริสมฺปตฺติ ลทฺธาติ โอโลเกนฺโต, มยิ จิตฺตปฺปสาเทน ลทฺธภาวํ ตฺวา `ธนจฺเฉทภเยน มม เภสชฺชํ อกาเรตฺวา, อิทานิ อาฬาหนํ คนฺตฺวา โรทติ , วิปฺปการปฺปตฺตํ นํ กริสฺสามีติ ปิตริ อกฺขนฺติยา มฏฺ€กุณฺฑลิวณฺเณนาคนฺตฺวา อาฬาหนสฺสาวิทูเร นิปฺปชฺชิตฺวา โรทิสฺสติ. อถ นํ พฺราหฺมโณ `โกสิ ตฺวนฺติ ปุจฺฉิสฺสติ, `อหนฺเต ปุตฺโต มฏฺ€กุณฺฑลีติ, `กุหึ นิพฺพตฺโตสีติ, อ. พราหมณ์ รู้แล้ว ซึ่งสมัยเป็นที่ตาย แห่งบุตรนั้น (คิดแล้ว) ว่า (อ. ญาติ ท.) ผู้ทั้งมาแล้วทั้งมาแล้ว เพื่อต้องการแก่อันเห็น ซึ่งบุตรนี้ จักเห็น ซึ่งสมบัติ ในภายในแห่งเรือน, อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งบุตรนั้น ในภายนอก ดังนี้ น�ำออกแล้ว ซึ่งบุตร (ยังบุตร) ให้นอนแล้ว ที่ระเบียง ในภายนอก ฯ ในวันนั้น อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จออกแล้ว จากสมาบัติ อันประกอบแล้วด้วยพระกรุณาใหญ่ ในสมัยอันขจัดเฉพาะ ซึ่งความมืดมัวมีก�ำลัง ทรงตรวจดูอยู่ ซึ่งโลก ด้วยจักษุ ของพระพุทธเจ้า เพื่ออันทอดพระเนตร ซึ่งสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งสัตว์ผู้อันพระองค์ พึงทรงแนะน�ำ ท. ผู้มีมูลแห่งกุศลอันหนาขึ้นแล้ว ผู้มีอธิการอันกระท�ำแล้ว ในพระพุทธเจ้าในกาลก่อน ท., ทรงแผ่ไปแล้ว ซึ่งข่ายคือ พระญาณ ในจักรวาฬหมื่นหนึ่ง ฯ อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ปรากฏแล้ว ในภายใน แห่งข่าย คือพระญาณนั้น โดยอาการแห่งตนนอนแล้ว ที่ระเบียง ในภายนอก นั่นเทียว ฯ อ.พระศาสดา ทรงเห็นแล้ว ซึ่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี นั้น ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนั้น เป็นผู้ (อันบิดา) น�ำออกแล้ว จากภายในแห่งเรือน ให้นอนแล้ว ที่ระเบียงนั้น ทรงใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ประโยชน์ เพราะปัจจัย แห่งเราผู้ไปแล้ว ในที่นี้ มีอยู่หรือหนอแล ดังนี้, ได้ทรงเห็นแล้ว ซึ่งเหตุนี้ ทรงทราบแล้ว ว่า อ. มาณพนี้ยังจิต ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา, กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ, จักบังเกิด ในวิมานอันเป็นวิการ แห่งทอง อันประกอบแล้วด้วยโยชน์สามสิบ ในเทวโลกชื่อว่า- ดาวดึงส์ , เป็นผู้มีพันแห่งนางอัปสรเป็นบริวาร จักเป็น, แม้ อ. พราหมณ์ ยังบุตรนั้น ให้ไหม้แล้ว ร้องไห้อยู่ จักเที่ยวไป ในป่าช้า, อ. เทพบุตร แลดูแล้ว ซึ่งอัตภาพ อันมีคาวุต ๓ เป็นประมาณ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยเครื่องประดับมีเกวียน ๖๐ เล่มเป็นภาระ มีพันแห่งนางอัปสรเป็นบริวารตรวจดู อยู่ ว่า อ. สมบัติอันเป็นสิริ นี้ อันเรา ได้แล้ว ด้วยกรรม อะไร หนอ แล ดังนี้, รู้แล้ว ซึ่งความที่ (แห่งสมบัติอันเป็นสิรินั้น) (อันตน) ได้แล้ว ด้วยความเลื่อมใสแห่งจิต ในเรา (คิดแล้ว) ว่า (อ. พราหมณ์นี้) ไม่ (ยังหมอ) ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งยา แก่เรา เพราะกลัวแต่อันขาดไป แห่งทรัพย์, ไปแล้ว สู่ป่าช้า ย่อมร้องไห้ ใน กาลนี้, อ.เราจักกระท�ำซึ่งพราหมณ์นั้นให้เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งประการ อันแปลก ดังนี้ มาแล้ว ด้วยเพศแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี จักนอนร้องไห้ในที่อันไม่ไกลแห่งป่าช้าเพราะความไม่ชอบใจในบิดา, ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. พราหมณ์ จักถาม ซึ่งเทพบุตรนั้น ว่า อ. ท่าน เป็นใคร ย่อมเป็น ดังนี้, (อ. เทพบุตร จักกล่าว) ว่า อ. เรา เป็นมัฏฐกุณฑลี ผู้เป็นบุตร ของท่าน (ย่อมเป็น) ดังนี้, (อ. พราหมณ์นั้น จักถาม) ว่า (อ. ท่าน) เป็นผู้บังเกิดแล้ว ในที่ไหน ย่อมเป็น ดังนี้, www.kalyanamitra.org
  • 30.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย25 `ตาวตึสภวเนติ, `กึ กมฺมํ กตฺวาติ วุตฺเต, มยิ จิตฺตปฺปสาเทน นิพฺพตฺตภาวํ อาจิกฺขิสฺสติ, พฺราหฺมโณ `ตุมฺเหสุ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สคฺเค นิพฺพตฺตา นาม อตฺถีติ มํ ปุจฺฉิสฺสติ, อถสฺสาหํ `เอตฺตกานิ สตานิ วา สหสฺสานิ วา สตสหสฺสานิ วาติ น สกฺกา คณนาย ปริจฺฉินฺทิตุนฺติ วตฺวา ธมฺมปเท คาถํ ภาสิสฺสามิ, คาถาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย ภวิสฺสติ, มฏฺ€กุณฑลี โสตาปนฺโน ภวิสฺสติ; ตถา อทินฺนปุพฺพโก พฺราหฺมโณ , อิติ อิมํ กุลปุตฺตํ นิสฺสาย ธมฺมยาโค มหา ภวิสฺสตีติ ญตฺวา ปุนทิวเส กตสรีรปฏิชคฺคโน มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถึ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา, อนุปุพฺเพน พฺราหฺมณสฺส เคหทฺวารํ คโต. ตสฺมึ ขเณ มฏฺ€กุณฺฑลี อนฺโตเคหาภิมุโข นิปนฺโน โหติ. สตฺถา อตฺตโน อปสฺสนภาวํ ญตฺวา, เอกํ รสฺมึ วิสฺสชฺเชสิ. มาณโว “กึ โอภาโส นาเมโสติ ปริวตฺติตฺวา นิปฺปนฺโนว สตฺถารํ ทิสฺวา “อนฺธพาลปิตรํ นิสฺสาย เอวรูปํ พุทฺธํ อุปสงฺกมิตฺวา กายเวยฺยาวฏิกํ วา กาตุํ ทานํ วา ทาตุํ ธมฺมํ วา โสตุํ นาลตฺถํ, อิทานิ เม หตฺถาปิ อวิเธยฺยา, อญฺญํ กตฺตพฺพํ นตฺถีติ มนเมว ปสาเทสิ. สตฺถา “อลํ เอตฺตเกน อิมสฺสาติ ปกฺกามิ. โส ตถาคเต จกฺขุปถํ วิชหนฺเตเยว, ปสนฺนมโน กาลํ กตฺวา สุตฺตปฺปพุทฺโธ วิย เทวโลเก ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติ. (อ. เทพบุตร จักกล่าว ว่า อ. เรา เป็นผู้บังเกิดแล้ว) ในภพ ชื่อว่าดาวดึงส์ (ย่อมเป็น) ดังนี้ , (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. ท่าน) กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอะไร (เป็นผู้บังเกิดแล้ว ในภพชื่อว่าดาวดึงส์ ย่อมเป็น) ดังนี้(อันพราหมณ์นั้น) กล่าวแล้ว, (อ. เทพบุตร) จักบอก ซึ่งความที่ (แห่งตน) เป็นผู้บังเกิดแล้ว เพราะความเลื่อมใสแห่งจิต ในเรา, อ. พราหมณ์ จักถาม ซึ่งเรา ว่า (อ. สัตว์ ท.) ชื่อว่า ผู้ยังจิต ให้เลื่อมใสแล้วในพระองค์ท.บังเกิดแล้วในสวรรค์มีอยู่หรือดังนี้, ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. เรา กล่าวแล้ว ว่า (อันใคร ๆ) ไม่อาจ เพื่ออันก�ำหนด ด้วยการนับ ว่า อ. ร้อย ท. หรือ หรือว่า อ. พัน ท. หรือว่า อ. แสน ท. มีประมาณเท่านี้ดังนี้ดังนี้ จักกล่าว ซึ่งคาถา ในธรรมบท แก่พราหมณ์นั้น, ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งคาถา อ. อันรู้ตลอดเฉพาะซึ่งธรรม จักมี แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท. แปดสิบสี่, อ, เทพบุตรชื่อว่า มัฏฐกุณฑลี เป็นพระโสดาบัน จักเป็น ; อ. อย่างนั้น คือว่า อ. พราหมณ์ชื่อว่าอทินนปุพพกะ (เป็นพระโสดาบัน จักเป็น) , อ. การบูชาซึ่งธรรม เป็นคุณใหญ่ จักเป็น เพราะอาศัย ซึ่งกุลบุตรนี้ ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้, ในวันรุ่งขึ้น ผู้มีการประคับประคอง ซึ่งพระสรีระอันทรงกระท�ำแล้ว ผู้อันหมู่แห่งภิกษุใหญ่แวดล้อมแล้ว เสด็จเข้าไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี เพื่อบิณฑะ เสด็จไปแล้ว สู่ประตูแห่งเรือน ของพราหมณ์ โดยล�ำดับ ฯ ในขณะนั้น อ.มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี เป็นผู้มีหน้าเฉพาะ ต่อภายในแห่งเรือน เป็นผู้นอนแล้ว ย่อมเป็น ฯ อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซึ่งความเป็นคือการไม่เห็น ซึ่งพระองค์ ทรงเปล่งแล้ว ซึ่งพระรัศมี สิ้นวาระหนึ่ง ฯ อ.มาณพ (คิดแล้ว) ว่า ชื่อ อ.แสงสว่างนั่น อะไร ดังนี้ นอน ยังกายให้เป็นไปรอบแล้วเทียว เห็นแล้วซึ่งพระศาสดา (คิดแล้ว) ว่า อ.เรา อาศัยแล้ว ซึ่งบิดาผู้อันธพาล ไม่ได้ได้แล้ว เพื่ออันเข้าไปเฝ ้ า ซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูปแล้ว ท�ำซึ่งกรรม อันประกอบแล้ว ด้วยความขวนขวายด้วยกาย หรือ หรือว่า เพื่ออันถวายซึ่งทาน หรือว่า เพื่ออันฟังซึ่งธรรม, ในกาลนี้ แม้ อ.มือ ท. ของเรา ไม่เป็น อวัยวะควรแก่ความตั้งไว้ต่าง (ย่อมเป็น), อ.กรรมอันเป็นกุศล อันเราพึงท�ำอื่น ย่อมไม่มี ดังนี้ ยังใจนั่นเทียว ให้เลื่อมใสแล้ว ฯ อ.พระศาสดา (ทรงพระด�ำริแล้ว) ว่า อ.พอละ ด้วยการยังใจ ให้เลื่อมใสมีประมาณเท่านี้ ของมาณพนี้ ดังนี้ เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ ครั้นเมื่อพระตถาคต ทรงละอยู่ ซึ่งคลองแห่งจักษุ นั่นเทียว อ.มาณพนั้น เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว เป็น ท�ำแล้วซึ่งกาละ เกิดแล้ว ในวิมานอันส�ำเร็จด้วยทอง อันประกอบแล้วด้วยโยชน์สามสิบ ในเทวโลก ราวกะ อ.บุคคลผู้หลับแล้วตื่น ฯ www.kalyanamitra.org
  • 31.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 26 พฺราหฺมโณปิสฺส สรีรํ ฌาเปตฺวา อาฬาหเน โรทนปรายโน อโหสิ, เทวสิกํ อาฬาหนํ คนฺตฺวา โรทติ “กหํ เอกปุตฺตก, กหํ เอกปุตฺตกาติ. เทวปุตฺโตปิ อตฺตโน สมฺปตฺตึ โอโลเกตฺวา “เกน กมฺเมน ลทฺธาติ อุปธาเรนฺโต “สตฺถริ มโนปสาเทนาติ ญตฺวา “ อยํ พฺราหฺมโณ มม อผาสุกกาเล เภสชฺชํ อกาเรตฺวา อิทานิ อาฬาหนํ คนฺตฺวา โรทติ ; วิปฺปการปฺปตฺตเมตํ กาตุํ วฏฺฏตีติ มฏฺ€กุณฺฑลิวณฺเณนาคนฺตฺวา อาฬาหนสฺสาวิทูเร พาหา ปคฺคยฺห โรทนฺโต อฏฺ€าสิ. พฺราหฺมโณ ตํ ทิสฺวา “ อหํ ตาว ปุตฺตโสเกน โรทามิ, เอส กิมตฺถํ โรทติ; ปุจฺฉิสฺสามิ นนฺติ ปุจฺฉนฺโต อิมํ คาถมาห “อลงฺกโต มฏฺ€กุณฺฑลี มาลาภารี หริจนฺทนุสฺสโท, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทสิ วนมชฺเฌ กึ ทุกฺขิโต ตุวนฺติ. โส อาห “โสวณฺณมโย ปภสฺสโร อุปฺปนฺโน รถปญฺชโร มม, ตสฺส จกฺกยุคํ น วินฺทามิ เตน ทุกฺเขน ชหิสฺสามิ ชีวิตนฺติ. อถ นํ พฺราหฺมโณ อาห แม้ อ.พราหมณ์ ยังสรีระ ของมาณพนั้น ให้ไหม้แล้ว เป็นผู้มี การร้องไห้เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ได้เป็นแล้ว ในที่เป็นที่น�ำมาเผา ฯ อ.พราหมณ์นั้น ไปแล้ว สู่ที่เป็นที่น�ำมาเผา สิ้นกาลอันเป็น ไปแล้วในวัน ย่อมร้องไห้ ว่า ดูก่อนบุตรน้อยคนเดียว (อ.เจ้า ไปแล้ว) ณ ที่ไหน, ดูก่อนบุตรน้อยคนเดียว (อ.เจ้า ไปแล้ว) ณ ที่ไหน ดังนี้ฯ แม้ อ. เทพบุตร แลดูแล้ว ซึ่งสมบัติ ของตน ใคร่ครวญอยู่ ว่า (อ. สมบัตินี้อันเรา) ได้แล้ว เพราะกรรมอะไร ดังนี้ รู้แล้ว ว่า (อ.สมบัตินี้อันเราได้แล้ว) เพราะการยังใจความเลื่อมใสในพระศาสดา ดังนี้(คิดแล้ว) ว่า อ. พราหมณ์ นี้ไม่ยังหมอให้กระท�ำแล้ว ซึ่งยา ในกาลอันไม่ผาสุก แห่งเรา ไปแล้ว สู่ที่เป็นที่น�ำมาเผา ร้องไห้อยู่ ในกาลนี้ อ.อัน อันเรา ท�ำ ซึ่งพราหมณ์นั้น ให้เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งประการอันแปลก ย่อมควร ดังนี้ มาแล้ว ด้วยเพศเพียงดัง เพศแห่งมาณพชื่อว่า มัฎฐกุณฑลี ได้ยืนประคองซึ่งแขน ท. ร้องไห้อยู่แล้ว ในที่อันไม่ไกลแห่งที่เป็นที่น�ำมาเผา ฯ อ. พราหมณ์ เห็นแล้ว ซึ่งเทพบุตรนั้น (คิดแล้ว) ว่า อ. เรา ร้องไห้อยู่เพราะความโศกเพราะบุตร ก่อน, อ. มาณพนั่น ร้องไห้อยู่ เพื่อประโยชน์อะไร; อ. เรา จักถาม ซึ่งมาณพนั้น ดังนี้ เมื่อถาม กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา นี้ว่า (อ. ท่าน) ผู้อันบุคคลกระท�ำให้พอแล้ว ผู้มีตุ้มหูอันเกลี้ยง ผู้มีภาระคือระเบียบ ผู้มีกายหนาขึ้นด้วยจันทน์เหลือง , ประคองแล้ว ซึ่งแขน ท. คร�่ำครวญอยู่ ในท่ามกลางแห่งป่า อ. ท่าน เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความทุกข์(ย่อมเป็น) เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ อ. เทพบุตรนั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. เรือนแห่งรถ อันส�ำเร็จแล้วด้วยทอง อันเป็นแดนสร้านออก แห่งรัศมี เกิดขึ้นแล้ว แก่ข้าพเจ้า, อ. ข้าพเจ้า ย่อมไม่ประสบ ซึ่งคู่แห่งล้อ แห่งเรือนแห่งรถนั้น อ. ข้าพเจ้า จักละ ซึ่งชีวิต เพราะความทุกข์นั้น ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ. พรามหมณ์ กล่าวแล้ว กะเทพบุตรนั้น ว่า www.kalyanamitra.org
  • 32.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย27 “โสวณฺณมยํ มณิมยํ โลหมยํ อถ รูปิยมยํ อาจิกฺข เม ภทฺทมาณว, จกฺกยุคํ ปฏิลาภยามิ เตติ. ตํ สุตฺวา มาณโว “อยํ ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ อกตฺวา ปุตฺตปฏิรูปกํ มํ ทิสฺวา โรทนฺโต `สุวณฺณาทิมยํ รถจกฺกํ กโรมีติ วทติ; โหตุ, นิคฺคณฺหิสฺสามิ นนฺติ จินฺเตตฺวา “กีวมหนฺตํ เม จกฺกยุคํ กริสฺสสีติ วตฺวา “ยาวมหนฺตํ อากงฺขสีติ วุตฺเต, “จนฺทสุริเยหิ เม อตฺโถ, เต เม เทหีติ ยาจิโต โส มาณโว ตสฺส ปาวทิ “จนฺทสุริยา อุภยตฺถ ภาตโร, โสวณฺณมโย รโถ มม เตน จกฺกยุเคน โสภตีติ. อถ นํ พฺราหฺมโณ อาห “พาโล โข ตฺวมสิ มาณว, โย ตฺวํ ปตฺถยเส อปตฺถิยํ, มญฺญามิ ตุวํ มริสฺสสิ, น หิ ตฺวํ ลจฺฉสิ จนฺทสุริเยติ. อถ นํ มาณโว “กึ ปน ปญฺญายมานสฺสตฺถาย โรทนฺโต พาโล โหติ, อุทาหุ อปญฺญายมานสฺสาติ วตฺวา ดูก่อนมาณพผู้เจริญ (อ.ท่าน) จงบอก (ซึ่งคู่แห่งล้อ) อันส�ำเร็จแล้วด้วยทองหรือ หรือว่าอันส�ำเร็จแล้วด้วยแก้วมณี อันส�ำเร็จแล้วด้วยโลหะหรือ หรือว่าอันส�ำเร็จแล้วด้วยรูปิยะ แก่เรา, อ. เรา จะยังท่านให้ได้เฉพาะ ซึ่งคู่แห่งล้อ ดังนี้ ฯ อ.มาณพ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น คิดแล้ว ว่า อ.พราหมณ์ นี้ ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งยาแก่บุตรเห็นแล้วซึ่งเรา ผู้มีรูปเปรียบด้วยบุตร ร้องไห้อยู่ย่อมกล่าวว่าอ.เราจะกระท�ำซึ่งล้อแห่งรถอันส�ำเร็จแล้ว ด้วยรัตนะมีทองเป็นต้น ดังนี้; (อ. อันกล่าวอย่างนั้น) จงมีเถิด, อ. เรา จักข่ม ซึ่งพราหมณ์นั้นดังนี้กล่าวแล้ว ว่า อ. ท่าน จักกระท�ำ ซึ่งคู่แห่งล้อ อันใหญ่เพียงไร แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ท่าน ย่อมหวัง (ซึ่งคู่แห่งล้อ) อันใหญ่เพียงใด (อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งคู่แห่งล้อ อันใหญ่เพียงนั้น แก่ท่าน) ดังนี้ (อันพราหมณ์นั้น) กล่าวแล้ว, (กล่าวแล้ว) ว่า อ. ความต้องการ ด้วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. (ย่อมมี) แก่ข้าพเจ้า, (อ. ท่าน) ผู้อันข้าพเจ้าขอแล้ว ขอจงให้ ซึ่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. เหล่านั้น แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ อ. มาณพนั้น ได้กล่าวย�้ำแล้ว แก่พราหมณ์นั้น ว่า อ. พระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. เป็นพี่น้องกัน (ย่อมเป็น) ในวิถี ทั้งสอง, อ. รถ ของข้าพเจ้า อันส�ำเร็จแล้วด้วยทอง จะงาม ด้วยคู่แห่งล้อนั้น ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ. พราหมณ์ กล่าวแล้ว กะมาณพนั้น ว่า ดูก่อนมาณพ อ. ท่านใด ปรารถนาอยู่ ซึ่งวัตถุอันบุคคล ไม่พึงปรารถนา อ.ท่าน (นั้น)เป็นคนพาลแล ย่อมเป็น, อ. เรา ย่อมส�ำคัญ ว่า อ. ท่าน จักตาย (ดังนี้), เพราะว่า อ. ท่าน จักไม่ได้ ซึ่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ท. ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. มาณพ กล่าวแล้ว กะพราหมณ์นั้น ว่า ก็ (อ. บุคคล) ร้องไห้อยู่ เพื่อประโยชน์ แก่วัตถุอันปรากฏอยู่ เป็นคนพาล ย่อมเป็นหรือ, หรือว่า (อ. บุคคล ร้องไห้อยู่ เพื่อประโยชน์แก่วัตถุ) อันไม่ปรากฏอยู่ (เป็นคนพาล ย่อมเป็น) ดังนี้ (กล่าวแล้ว) ว่า www.kalyanamitra.org
  • 33.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 28 “คมนาคมนํปิ ทิสฺสติ, วณฺณธาตุ อุภยตฺถ วีถิยา, เปโต กาลกโต น ทิสฺสติ โก นีธ กนฺทตํ พาลฺยตโรติ. ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ “ยุตฺตํ เอส วทตีติ สลฺลกฺเขตฺวา “สจฺจํ โข วเทสิ มาณว อหเมว กนฺทตํ พาลฺยตโร จนฺทํ วิย ทารโก รุทํ ปุตฺตํ กาลกตาภิปตฺถยนฺติ วตฺวา ตสฺส กถาย นิสฺโสโก หุตฺวา มาณวสฺส ถุตึ กโรนฺโต อิมา คาถา อภาสิ “อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ ฆตสิตฺตํว ปาวกํ วารินา วิย โอสิฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํ, อพฺพุหิ วต เม สลฺลํ โสกํ หทยนิสฺสิตํ, โย เม โสกปเรตสฺส ปุตฺตโสกํ อปานุทิ; สฺวาหํ อพฺพุฬฺหสลฺโลสฺมิ สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโต, น โสจามิ, น โรทามิ ตว สุตฺวาน มาณวาติ. อถ นํ “โก นาม ตฺวนฺติ ปุจฺฉนฺโต “เทวตา นุสิ คนฺธพฺโพ อาทู สกฺโก ปุรินฺทโท, โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุตฺโต? กถํ ชาเนมุ ตํ มยนฺติ. แม้ อ. การไปและการมา แม้ อ. ธาตุคือรัศมี (แห่งพระจันทร์ และพระ อาทิตย์ ท.) ย่อมปรากฏ ในวิถี ทั้งสอง, อ. บุคคล ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว ผู้ละไปแล้ว ย่อมไม่ปรากฏ แห่งเรา ท. ผู้คร�่ำครวญอยู่ ในที่นี้หนา- อ.ใครเป็นผู้มีความเป็น แห่งคนพาลกว่า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ อ. พราหมณ์ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ก�ำหนดแล้ว ว่า อ. มาณพนั่น ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำอันควรแล้ว ดังนี้ กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนมาณพ อ. ท่าน กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำจริงแล (แห่งเรา ท.) ผู้คร�่ำครวญอยู่หนา อ. เรานั่นเทียว เป็นผู้มีความเป็น- แห่งคนพาลกว่า (ย่อมเป็น) อ. เรา ปรารถนาเฉพาะอยู่ ซึ่งบุตร ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว ราวกะ อ. เด็ก ร้องไห้ถึงอยู่ ซึ่งพระจันทร์ ดังนี้ ฯ เป็นผู้มีความเศร้าโศกออกแล้ว เพราะวาจาเป็นเครื่องกล่าว ของมาณพนั้น เป็น เมื่อกระท�ำซึ่งการชมเชย แก่มาณพ ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ท. เหล่านี้ ว่า (อ. ท่าน) รดลงอยู่ ซึ่งข้าพเจ้า เป็น ผู้อันไฟติดทั่วแล้วหนอ มีอยู่ ราวกะ (อ. บุคคล) (รดลงอยู่) ซึ่งไฟผู้ช�ำระ อันบุคคล รดแล้วด้วยเปรียงเทียว ด้วยน�้ำ, ยังความกระวนกระวาย ทั้งปวง ให้ดับแล้ว, อ. ท่านใด ได้บรรเทาไปปราศแล้ว ซึ่งความเศร้าโศกเพราะบุตร แห่งข้าพเจ้า ผู้มีความเศร้าโศก อันไปแล้วในเบื้องหน้า , (อ. ท่านนั้น) ถอนขึ้นแล้วหนอ ซึ่งลูกศรคือความเศร้าโศกอันอาศัยแล้วซึ่งหทัยของข้าพเจ้า, อ. ข้าพเจ้า นั้น เป็นผู้มีลูกศรอันถอนขึ้นแล้ว ย่อมเป็น อ.ข้าพเจ้า เป็นผู้เย็นเป็นแล้ว เป็นผู้ดับแล้ว ย่อมเป็น, ดูก่อนมาณพ อ,ข้าพเจ้า ย่อมไม่เศร้าโศก, ย่อมไม่ร้องไห้ เพราะฟัง (ซึ่งค�ำ) ของท่าน ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น (อ. พราหมณ์) เมื่อถาม ซึ่งมาณพนั้น ว่า อ. ท่าน ซื่อเป็นใคร (ย่อมเป็น) ดังนี้(กล่าวแล้ว) ว่า (อ. ท่าน) เป็นเทวดาหรือหนอ หรือว่าเป็นคนธรรพ์ หรือว่า เป็นท้าวสักกะ ผู้ให้ซึ่งทานในกาลก่อน ย่อมเป็น, อ. ท่าน เป็นใครหรือ หรือว่าเป็นบุตร ของใคร (ย่อมเป็น) ? อ. เรา ท. พึงรู้ ซึ่งท่าน อย่างไร ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 34.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย29 อถสฺส มาณโว “ยฺจ กนฺทสิ ยฺจ โรทสิ ปุตฺตํ อาฬาหเน สยํ ฑหิตฺวา; สฺวาหํ กุสลํ กริตฺวาน กมฺมํ ติทสานํ สหพฺยตํ ปตฺโตติ อาจิกฺขิ. พฺราหฺมโณ อาห “อปฺปํ วา พหุํ วา นาทฺทสาม ทานํ ททนฺตสฺส สเก อคาเร, อุโปสถกมฺมํ วา ตาทิสํ, เกน กมฺเมน คโตสิ เทวโลกนฺติ. มาณโว อาห “อาพาธิโกหํ ทุกฺขิโต คิลาโน อาตูรรูโปมฺหิ สเก นิเวสเน, พุทฺธํ วิคตรชํ วิติณฺณกงฺขํ อทฺทกฺขึ สุคตํ อโนมปฺํ; สฺวาหํ มุทิตมโน ปสนฺนจิตฺโต อฺชลึ อกรึ ตถาคตสฺส ตาหํ กุสลํ กริตฺวาน กมฺมํ ติทสานํ สหพฺยตํ ปตฺโตติ. ตสฺมึ กเถนฺเต กเถนฺเตเยว, พฺราหฺมณสฺส สกลสรีรํ ปีติยา ปริปูริ. โส ตํ ปีตึ ปเวเทนฺโต ครั้งนั้น อ. มาณพ บอกแล้ว แก่พราหมณ์นั้น ว่า (อ. ท่าน) เผาแล้ว ซึ่งบุตร ในป่าช้า เอง ย่อมคร�ำ่ครวญถึง ซึ่งบุตรใด ด้วย ย่อมร้องไห้ถึง ซึ่งบุตรใด ด้วย, อ. ข้าพเจ้า คือ อ. บุตรนั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม อันเป็นกุศล เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งบุคคลผู้เที่ยวไปพร้อมกัน (แห่งเทวดา ท.) ผู้อยู่ในชั้นไตรทศ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ อ. พราหมณ์ กล่าวแล้ว ว่า (เมื่อท่าน) ถวายอยู่ ซึ่งทาน อันน้อยหรือ หรือว่าอันมาก ในเรือนอันเป็นของตนหรือ หรือว่า (กระท�ำอยู่) ซึ่งกรรม- คืออุโบสถ อันเช่นนั้น, (อ.เรา ท.) ย่อมไม่เห็น, (อ. ท่าน) เป็นผู้ไปแล้ว สู่เทวโลก ย่อมเป็น เพราะกรรม อะไร ดังนี้ ฯ อ. มาณพ กล่าวแล้ว ว่า อ. ข้าพเจ้า เป็นผู้มีอาพาธ เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความล�ำบาก เป็นคนไข้ เป็นผู้มีรูปอันกระสับกระส่าย ในที่เป็นที่อยู่ อันเป็นของตน ย่อมเป็น, อ. ข้าพเจ้า ได้เห็นแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีไปปราศแล้ว ผู้มีความสงสัยอันข้ามวิเศษแล้ว ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้มีพระปัญญาอันไม่ทราม, อ. ข้าพเจ้านั้น ผู้มีใจอันบันเทิงแล้ว ผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งอัญชลี แก่พระตถาคตเจ้า อ. ข้าพเจ้า ครั้นกระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอันเป็นกุศล นั้น เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งบุคคล ผู้เที่ยวไปพร้อมกัน (แห่งเทวดา ท.) ผู้อยู่ในชั้นไตรทศ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ ครั้นเมื่อมาณพนั้น กล่าวอยู่ กล่าวอยู่นั่นเทียว,อ.สรีระทั้งสิ้น ของพราหมณ์ เต็มรอบแล้ว ด้วยปีติ ฯ อ. พราหมณ์นั้น เมื่อยังบุคคลให้รู้ทั่ว ซึ่งปีตินั้น กล่าวแล้ว ว่า www.kalyanamitra.org
  • 35.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 30 “อจฺฉริยํ วต อพฺภุตํ, อญฺชลิกมฺมสฺส อยมีทิโส วิปาโก. อหํปิ มุทิตมโน ปสนฺนจิตฺโต, อชฺเชว พุทฺธํ สรณํ วชามีติ อาห. อถ นํ มาณโว “อชฺเชว พุทฺธํ สรณํ วชาหิ, ธมฺมฺจ สงฺฆฺจ ปสนฺนจิตฺโต, ตเถว สิกฺขาปทานิ ปฺจ อขณฺฑผุลฺลานิ สมาทิยสฺสุ. ปาณาติปาตา วิรมสฺสุ ขิปฺปํ, โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยสฺสุ, อมชฺชโป, โน จ มุสา ภณาหิ, สเกน ทาเรน จ โหหิ ตุฏฺโ€ติ อาห. โส “ สาธูติ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา อิมา คาถา อภาสิ “อตฺถกาโมสิ เม ยกฺข หิตกาโมสิ เทวเต, กโรมิ ตุยฺหํ วจนํ ตฺวมสิ อาจริโย มม อุเปมิ สรณํ พุทฺธํ ธมฺมญจาปิ อนุตฺตรํ สงฺฆฺจ นรเทวสฺส คจฺฉามิ สรณํ อหํ. ปาณาติปาตา วิรมามิ ขิปฺปํ, โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยามิ, อมชฺชโป, โน จ มุสา ภณามิ, สเกน ทาเรน จ โหมิ ตุฏฺโ€ติ. อ. เรื่องน่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีแล้ว , อ. วิบาก แห่งการกระท�ำซึ่งอัญชลี นี้ เป็นเช่นนี้ (ย่อมเป็น), แม้ อ. ข้าพเจ้า ผู้มีใจอันบันเทิงแล้ว ผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว จะขอถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะ ในวันนี้นั้นเทียว ดังนี้ ครั้งนั้น อ. มาณพ กล่าวแล้ว กะพราหมณ์นั้น ว่า อ. ท่าน ผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว จงถึง ซึ่งพระพุทธเจ้าด้วย ซึ่งพระธรรมด้วย ซึ่งพระสงฆ์ด้วย ว่าเป็นสรณะ ในวันนี้ นั่นเทียว, อ. ท่าน จงสมาทาน ซึ่งสิกขาบท ท. ๕ กระท�ำ ให้เป็นของขาดและท�ำลายแล้วหามิได้ อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ (อ. ท่าน) จงเว้น จากการยังสัตว์มีลมปราณให้ตกล่วงไป พลันด้วย, จงเว้นรอบซึ่งวัตถุอันเจ้าของไม่ให้แล้ว ในโลกด้วย, เป็นผู้ไม่ดื่มซึ่งน�้ำเมา (จงเป็น) ด้วย, จงไม่กล่าว เท็จ ด้วย, เป็นผู้ยินดีแล้ว ด้วยทาระ ผู้เป็นของตน จงเป็นด้วย ดังนี้ ฯ (อ. พราหมณ์นั้น) รับพร้อมแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ท. เหล่านี้ว่า ดูก่อนยักษ์ อ. ท่าน เป็นผู้ใคร่ซึ่งประโยชน์ แก่ข้าพเจ้า ย่อมเป็น ดูก่อนเทวดา อ. ท่าน เป็นผู้ใคร่ซึ่งความเกื้อกูล (แก่ข้าพเจ้า) ย่อมเป็น, อ. ข้าพเจ้า จะกระท�ำ ซึ่งค�ำ ของท่าน อ. ท่าน เป็นอาจารย์ ของข้าพเจ้า ย่อมเป็น อ. ข้าพเจ้า จะเข้าถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะด้วย (อ. ข้าพเจ้า จะเข้าถึง) แม้ซึ่งพระธรรม อันยอดเยี่ยม (ว่าเป็นสรณะด้วย) อ. ข้าพเจ้า จะถึง ซึ่งพระสงฆ์ (ของพระพุทธเจ้า) ผู้เป็นเทพแห่งนระ ว่าเป็นสรณะด้วย ฯ อ. ข้าพเจ้า จะเว้น จากการยังสัตว์มีลมปราณ ให้ตกล่วงไปพลันด้วย, จะเว้นรอบ ซึ่งวัตถุอันเจ้าของไม่ให้แล้ว ในโลกด้วย , เป็นผู้ไม่ดื่มซึ่งน�้ำเมา (จะเป็น) ด้วย , จะไม่กล่าว เท็จ ด้วย, เป็นผู้ยินดีแล้ว ด้วยทาระ ผู้เป็นของตน จะเป็นด้วย ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 36.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย31 อถ นํ เทวปุตฺโต “พฺราหฺมณ ตว เคเห พหุํ ธนํ อตฺถิ, สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ทานํ เทหิ ธมฺมํ สุณาหิ, ปฺหํ ปุจฺฉาหีติ วตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิ. พฺราหฺมโณปิ เคหํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณึ อามนฺเตตฺวา “ภทฺเท อหํ สมณํ โคตมํ นิมนฺเตตฺวา ปฺหํ ปุจฺฉิสฺสามิ; สกฺการํ กโรหีติ วตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ เนว อภิวาเทตฺวา น ปฏิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ €ิโต “โภ โคตม อธิวาเสหิ เม อชฺชตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนาติ อาห. สตฺถา อธิวาเสสิ. โส สตฺถุ อธิวาสนํ วิทิตฺวา เวเคนาคนฺตฺวา สกนิเวสเน ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปสิ. สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา ปฺตฺตาสเน นิสีทิ. พฺราหฺมโณ สกฺกจฺจํ ปริวิสิ. มหาชโน สนฺนิปติ. มิจฺฉาทิฏฺ€ิเกน กิร ตถาคเต นิมนฺติเต, เทฺว ชนกายา สนฺนิปตนฺติ: มิจฺฉาทิฏฺ€ิกา “ อชฺช สมณํ โคตมํ ปฺหํ ปุจฺฉาย วิเห€ิยมานํ ปสฺสิสฺสามาติ สนฺนิปตนฺติ, สมฺมาทิฏฺ€ิกา “อชฺช พุทฺธวิสยํ พุทฺธลีฬฺหํ ปสฺสิสฺสามาติ สนฺนิปตนฺติ. อถ พฺราหฺมโณ กตภตฺตกิจฺจํ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา นีจาสเน นิสินฺโน, ปฺหํ ปุจฺฉิ “โภ โคตม ตุมฺหากํ ทานํ อทตฺวา ปูชํ อกตฺวา ธมฺมํ อสฺสุตฺวา อุโปสถ วาสํ อวสิตฺวา เกวลํ มโนปสาทมตฺเตเนว สคฺเค นิพฺพตฺตา นาม โหนฺตีติ. “พฺราหฺมณ กสฺมา มํ ปุจฺฉสิ, ครั้งนั้น อ. เทพบุตร กล่าวแล้ว กะพราหมณ์นั้น ว่า ดูก่อนพราหมณ์ อ. ทรัพย์ มาก มีอยู่ในเรือน ของท่าน , (อ. ท่าน) เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา จงถวาย ซึ่งทาน จงฟัง ซึ่งธรรม, จงทูลถาม ซึ่งปัญหา ดังนี้หายไปแล้ว ในที่นั้นนั่นเทียว ฯ แม้ อ. พราหมณ์ ไปแล้ว สู่เรือน เรียกมาแล้ว ซึ่งนางพราหมณี กล่าวแล้ว ว่า แน่ะนางผู้เจริญ อ. เรา ทูลนิมนต์แล้ว ซึ่งพระสมณะ ผู้โคดม จักทูลถาม ซึ่งปัญหา; อ. ท่าน จงกระท�ำซึ่งสักการะ ดังนี้ ไปแล้ว สู่วิหาร ไม่อภิวาทแล้ว ซึ่งพระศาสดานั่นเทียว ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งปฏิสันถาร ยืนแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ (อ. พระองค์) กับ ด้วยหมู่แห่งภิกษุ ทรงยังภัตร ของข้าพระองค์ จงให้อยู่ทับ เพื่อภัตรบริโภคอันมี ในวันนี้ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา (ทรงยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว ฯ อ.พราหมณ์นั้น ทราบแล้ว ซึ่งการ ยังค�ำนิมนต์ ให้อยู่ทับ แห่งพระศาสดา มาแล้ว โดยเร็ว (ยังบุคคล) ให้จัดแจงแล้ว ซึ่งของอันบุคคลพึงเคี้ยว ซึ่งของอันบุคคลพึงบริโภค ในนิเวศน์ อันเป็นของตน ฯ อ. พระศาสดา ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่เรือน ของพราหมณ์นั้น ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันบุคคล ปูลาดแล้ว ฯ อ. พราหมณ์ อังคาสแล้ว โดยเคารพ ฯ อ. มหาชน ประชุมกันแล้ว ฯ ได้ยินว่า ครั้นเมื่อพระตถาคตเจ้า อันบุคคลผู้มีความเห็นผิด ทูลนิมนต์แล้ว, อ. หมู่แห่งชน ท. สอง ย่อมประชุมกัน : (อ.ชนท.)ผู้มีความเห็นผิดย่อมประชุมกัน(ด้วยความคิด)ว่า ในวันนี้(อ. เรา ท.) จักเห็น ซึ่งพระสมณะ ผู้โคดม ผู้อันพราหมณ์ เบียดเบียนอยู่ ด้วยการทูลถาม ซึ่งปัญหา ดังนี้ (อ. ชน ท.) ผู้มีความเห็นชอบ ย่อมประชุมกัน (ด้วยความคิด) ว่า ในวันนี้ (อ. เรา ท.) จักเห็น ซึ่งวิสัยแห่งพระพุทธเจ้า ซึ่งการเยื้องกรายแห่งพระพุทธเจ้า ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ.พราหมณ์เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า ผู้มีกิจด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว นั่งแล้ว บนอาสนะต�่ำ, ทูลถามแล้ว ซึ่งปัญหา ว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ (อ. ชน ท.) ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ถวายแล้ว ซึ่งทาน ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งการบูชา แก่พระองค์ท. ไม่ฟังแล้ว ซึ่งธรรม ไม่อยู่แล้ว อยู่ด้วยสามารถแห่งอุโบสถ บังเกิดแล้ว ในสวรรค์ (ด้วยเหตุ) สักว่าความเลื่อมใสแห่งใจ อย่างเดียวนั่นเทียว ย่อมเป็นหรือ ? ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนพราหมณ์ (อ. ท่าน) ย่อมถาม ซึ่งเรา เพราะเหตุไร, www.kalyanamitra.org
  • 37.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 32 นนุ เต ปุตฺเตน มฏฺ€กุณฺฑลินา มยิ มนํ ปสาเทตฺวา อตฺตโน สคฺเค นิพฺพตฺตภาโว กถิโตติ. “กทา โภ โคตมาติ. “นนุ ตฺวํ อชฺช สุสานํ คนฺตฺวา กนฺทนฺโต อวิทูเร พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺตํ เอกํ มาณวํ ทิสฺวา `อลงฺกโต มฏฺ€กุณฺฑลี มาลาภารี หริจนฺทนุสฺสโทติ ทฺวีหิ ชเนหิ กถิตํ กถํ ปกาเสนฺโต สพฺพํ มฏฺ€กุณฺฑลิวตฺถุํ กเถสิ. เตเนเวตํ พุทฺธภาสิตํ นาม ชาตํ. ตํ กเถตฺวา จ ปน, “ น โข พฺราหฺมณ เอกสตํ , น เทฺว , อถโข มยิ มนํ ปสาเทตฺวา สคฺเค นิพฺพตฺตานํ คณนา นตฺถีติ อาห. มหาชโน เวมติโก อโหสิ. อถสฺส อนิพฺเพมติกภาวํ วิทิตฺวา สตฺถา “มฏฺ€กุณฺฑลิเทวปุตฺโต วิมาเนเนว สทฺธึ อาคจฺฉตูติ อธิฏฺ €าสิ. โส ติคาวุตปฺปมาเณน ทิพฺพาภรณปฏิมณฺฑิเตน อตฺตภาเวนาคนฺตฺวา วิมานา โอรุยฺห สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺ€าสิ. อถ นํ สตฺถา “ตฺวํ อิมํ สมฺปตฺตึ กึ กมฺมํ กตฺวา ปฏิลภีติ ปุจฺฉนฺโต, อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ยา ตฺวํ ติฏฺ€สิ เทวเต โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา โอสธี วิย ตารกา, ปุจฺฉามิ ตํ เทว มหานุภาวํ มนุสฺสภูโต กิมกาสิ ปุฺนฺติ คาถมาห. เทวปุตฺโต “อยํ ภนฺเต สมฺปตฺติ ตุมฺเหสุ มนํ ปสาเทตฺวา ลทฺธาติ. “มยิ มนํ ปสาเทตฺวา ลทฺธา เตติ. “อาม ภนฺเตติ. อ. ความที่ แห่งตน เป็นผู้ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา บังเกิดแล้ว ในสวรรค์ อันมัฏฐกุณฑลี ผู้เป็นบุตร ของท่าน บอกแล้ว (แก่ท่าน) มิใช่หรือ ดังนี้ ฯ (อ. พราหมณ์ ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ (อ. ความที่แห่งตน เป็นผู้บังเกิดแล้ว ในสวรรค์ อันมัฏฐกุณฑลี บอกแล้ว แก่ข้าพระองค์) ในกาลไร ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดาตรัสแล้ว) ว่า อ. ท่าน ไปแล้ว สู่ป่าช้า ในวันนี้ คร�่ำครวญอยู่เห็นแล้วซึ่งมาณพคนหนึ่งผู้ประคองแล้วซึ่งแขนท. คร�่ำครวญอยู่ ในที่อันไม่ไกล (วเทสิ) กล่าวแล้ว ว่า (อ. ท่าน) ผู้อันบุคคลกระท�ำให้พอแล้ว ผู้มีตุ้มหูอันเกลี้ยง ผู้มีภาระคือระเบียบ ผู้มีกายหนาขึ้นด้วยจันทน์เหลือง ดังนี้เป็นต้น มิใช่หรือ (ดังนี้) เมื่อทรงประกาศ ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าว อันอันชน ท. สอง กล่าวแล้ว ตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องแห่งมาณพชื่อว่า- มัฏฐกุณฑลี ทั้งปวง ฯ เพราะเหตุนั้นนั่นเทียว อ. เรื่องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี นั่น ชื่อว่าเป็นเรื่องอันพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว เกิดแล้ว ฯ ก็แล (อ. พระศาสดา) ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องแห่งมาณพ ชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนั้น, ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนพราหมณ์ อ. ร้อยหนึ่ง (ย่อมมี) หามิได้แล, (อ. ร้อย ท.) สอง (ย่อมมี) หามิได้, อ. การนับ (ซึ่งสัตว์ ท.) ผู้ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา บังเกิดแล้ว ในสวรรค์ ย่อมไม่มี โดยแท้แล ดังนี้ ฯ อ. มหาชน เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ได้เป็นแล้ว ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งมหาชน นั้น มิใช่เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยความเคลือบแคลงสงสัยออกแล้ว ทรงอธิษฐานแล้ว ว่า อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี จงมา กับ ด้วยวิมานนั่นเทียว ดังนี้ ฯ อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนั้น มาแล้ว ด้วยทั้งอัตภาพ อันมีคาวุตสามเป็นประมาณ อันประดับเฉพาะ แล้วด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ ลงแล้ว จากวิมาน ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ได้ยืนแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสถามอยู่ ซึ่งเทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี นั้น ว่า อ. ท่าน กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอะไร ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งสมบัตินี้ ดังนี้, ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ว่า ดูก่อนเทวดา อ. ท่าน ใด มีรูป อันงาม ยังทิศ ท. ทั้งปวง ให้สว่างอยู่ ยืนอยู่ ราวกะ อ.ดาวประจ�ำรุ่ง (ยังทิศ ท. ทั้งปวง ให้สว่างอยู่) ฯ ดูก่อนเทวดา อ. เรา ย่อมถาม ซึ่งท่านนั้น ผู้มีอานุภาพมาก (อ. ท่านนั้น) เป็นมนุษย์เป็นแล้ว ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญอะไร ดังนี้ ฯ อ. เทพบุตร (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. สมบัติ นี้ อันข้าพระองค์ ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในพระองค์ ท. ได้แล้ว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า (อ. สมบัตินี้) อันท่าน ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในเรา ได้แล้ว หรือ ดังนี้ ฯ (อ. เทพบุตร กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 38.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย33 มหาชโน เทวปุตฺตํ โอโลเกตฺวา, อจฺฉริยา วต โภ พุทฺธคุณา อทินฺนปุพฺพกพฺราหฺมณสฺส นาม ปุตฺโต อฺํ กิฺจิ ปุฺํ อกตฺวา สตฺถริ มนํ ปสาเทตฺวา เอวรูปํ สมฺปตฺตึ ปฏิลภีติ ตุฏฺ€ึ ปเวเทสิ. อถ เนสํ “ กุสลากุสลกมฺมกรเณ มโน ปุพฺพงฺคโม, มโน เสฏฺโ€ ; ปสนฺเนน หิ มเนน กตกมฺมํ เทวโลกํ มนุสฺสโลกํ คจฺฉนฺตํ ปุคฺคลํ ฉายาว น วิชหตีติ อิทํ วตฺถุํ กเถตฺวา อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ปติฏฺ€าปิตมตฺติกํ สาสนํ ราชมุทฺทาย ลฺฉนฺโต วิย ธมฺมราชา อิมํ คาถมาห “มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ€า มโนมยา; มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา, ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินีติ. ตตฺถ กิฺจาปิ “มโนติ อวิเสเสน สพฺพมฺปิ จตุภูมิกจิตฺตํ วุจฺจติ; อิมสฺมึ ปน ปเท นิยมิยมานํ ววตฺถาปิยมานํ ปริจฺฉิชฺชมานํ อฏฺ€วิธํ กามาวจร- กุสลจิตฺตํ ลพฺภติ; วตฺถุวเสน ปนาหริยมานํ ตโตปิ โสมนสฺสสหคตํ าณสมฺปยุตฺตํ จิตฺตเมว ลพฺภติ. ปุพฺพงฺคมาติ: เตน ป€มคามินา หุตฺวา สมนฺนาคตา. ธมฺมาติ: เวทนาทโย ตโย ขนฺธา. เอเตสํ หิ อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน มโน ปุพฺพงฺคโม, เตน มโนปุพฺพงฺคมา นาม. ยถา หิ พหูสุ เอกโต มหาภิกฺขุสงฺฆสฺส ปตฺตจีวรทานาทีนิ วา อุฬารปูชาธมฺมสฺสวน- ทีปมาลากรณาทีนิ วา ปุฺานิ กโรนฺเตสุ, “โก เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุตฺเต, อ.มหาชนแลดูแล้วซึ่งเทพบุตร,(กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ อ. คุณแห่งพระพุทธเจ้า ท. เป็นสภาพน่าอัศจรรย์ หนอ (ย่อมเป็น) ! อ. บุตร ชื่อ ของพราหมณ์ชื่อว่าอทินนปุพพกะ ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญ อะไร ๆ อื่น ยังใจ ให้เลื่อมใสแล้ว ในพระศาสดา ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งสมบัติ มีอย่างนี้เป็นรูป ดังนี้ (ยังชน ท.) ให้รู้ทั่วแล้ว ซึ่งความยินดี ฯ ครั้งนั้น (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) แก่ชน ท. เหล่านั้น ว่า อ.ใจ เป็นสภาพถึงก่อน ในการกระท�ำซึ่งกรรมอันเป็นกุศลและอกุศล (ย่อมเป็น), อ. ใจ เป็นสภาพประเสริฐที่สุด (ในการกระท�ำซึ่งกรรม อันเป็นกุศลและอกุศล ย่อมเป็น); เพราะว่า อ. กรรมอันบุคคลกระท�ำแล้ว ด้วยใจ อันผ่องใสแล้ว ย่อมไม่ละ ซึ่งบุคคล ผู้ไปอยู่ สู่เทวโลก สู่มนุษยโลก เพียงดัง อ. เงา ดังนี้ ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ทรงสืบต่อ ซึ่งอนุสนธิ ผู้เป็นพระราชาเพราะธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถานี้ ว่า อ. ธรรม ท. มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด อันส�ำเร็จแล้วแต่ใจ, หากว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันผ่องใสแล้ว กล่าวอยู่ หรือ หรือว่ากระท�ำอยู่ไซร้, อ. ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น เพราะสุจริตอันมีอย่างสามนั้น เพียงดัง อ. เงา อันไปตามโดยปกติ ดังนี้ ฯ ราวกะ (อ. พระราชา) ทรงประทับอยู่ ซึ่งพระราชสาส์น มีดินเหนียว อันพระองค์ทรงให้ตั้งไว้เฉพาะแล้ว ด้วยตราของพระราชา ฯ อ. จิตอันเป็นไปในภูมิสี่ แม้ทั้งปวง (อันบัณฑิต) ย่อมเรียก ว่า อ. ใจ ดังนี้ในพระคาถานั้น โดยไม่แปลกกัน แม้ก็จริง; ถึงอย่างนั้น อ. กุศลจิตอันเป็นกามาวจร อันมีอย่าง ๘ อันอาจารย์นิยมอยู่ อันอาจารย์ให้ตั้งลงต่างอยู่ อันอาจารย์ก�ำหนดอยู่ (อันบัณฑิต) ย่อมได้ ในบทนี้; ก็ อ. จิตนั่นเทียว อันอาจารย์น�ำมาอยู่ ด้วยอ�ำนาจแห่งวัตถุ อันไปแล้วกับด้วยโสมนัสอันประกอบพร้อมแล้ว ด้วยญาณ (จากกุศลจิตอันเป็นกามาวจร) แม้นั้น (อันบัณฑิต) ย่อมได้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า มาตามพร้อมแล้ว ด้วยใจนั้น เป็นสภาพถึงก่อน โดยปกติเป็น (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ปุพฺพงฺคมา ดังนี้ฯ อ. ขันธ์ ท. สาม มีเวทนาเป็นต้น ชื่อว่า ธรรมา ฯ จริงอยู่ อ.ใจ ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน แห่งธรรม ท. เหล่านั่น เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น (ย่อมเป็น), เพราะเหตุนั้น (อ.ธรรมท.เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อนฯ เหมือนอย่างว่า (ครั้นเมื่อทายกท.) มาก กระท�ำอยู่ ซึ่งบุญท. มีการถวายซึ่งบาตรและจีวรเป็นต้น แก่หมู่แห่งภิกษุใหญ่ หรือ หรือว่า มีการบูชาอันโอฬารและการฟังซึ่งธรรมและการกระท�ำ- ซึ่งประทีปและระเบียบเป็นต้น โดยความเป็นอันเดียวกัน, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ใคร เป็นผู้ถึงก่อน แห่งทายก ท. เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ดังนี้(อันใคร ๆ) กล่าวแล้ว, www.kalyanamitra.org
  • 39.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 34 โย เตสํ ปจฺจโย โหติ, ยํ นิสฺสาย เต ตานิ ปุฺานิ กโรนฺติ, โส ติสฺโส วา ปุสฺโส วา “เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุจฺจติ; เอวํ สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํ. อิติ อุปฺปาทปฺปจฺจยตฺเถน มโน ปุพฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา. น หิ เต มเน อนุปฺปชฺชนฺเต,อุปฺปชฺชิตุํ สกฺโกนฺติ, มโน ปน, เอกจฺเจสุ เจตสิเกสุ อนุปฺปชฺชนฺเตสุปิ, อุปฺปชฺชติเยว. เอวํ อธิปติวเสน ปน มโน เสฏฺโ€ เอเตสนฺติ มโนเสฏฺ€า. ยถา หิ คณาทีนํ อธิปติ ปุริโส “ คณเสฏฺโ€ เสนีเสฏฺโ€ติ วุจฺจติ; ตถา เตสํปิ มโนติ มโนเสฏฺ€า. ยถา ปน สุวณฺณาทีหิ นิปฺผนฺนานิ ตานิ ตานิ ภณฺฑานิ สุวณฺณมยาทีนิ นาม โหนฺติ; ตถา เอเตปิ มนโต นิปฺผนฺนตฺตา มโนมยา นาม. ปสนฺเนนาติ: อนภิชฺฌาทีหิ คุเณหิ ปสนฺเนน. ภาสติ วา กโรติ วาติ: เอวรูเปน มเนน ภาสนฺโต จตุพฺพิธํ วจีสุจริตเมว ภาสติ, กโรนฺโต ติวิธํ กายสุจริตเมว กโรติ, อภาสนฺโต อกโรนฺโต ตาย อนภิชฺฌาทีหิ ปสฺนฺนมานสตาย ติวิธํ มโนสุจริตํ ปูเรติ. เอวมสฺส ทส กุสลกมฺมปถา ปาริปูรึ คจฺฉนฺติ. ตโต นํ สุขมเนฺวตีติ: ตโต ติวิธสุจริตโต ตํ ปุคฺคลํ สุขมเนฺวติ. อิธ เตภูมิกํปิ กุสลํ อธิปฺเปตํ; ตสฺมา “เตภูมิก- สุจริตานุภาเวน สุคติภเว นิพฺพตฺตํ สุคติยํ วา สุขานุภวนฏฺ€าเน €ิตํ `กายวตฺถุกมฺปิ อิตรวตฺถุกมฺปีติ กายิกเจตสิกํ วิปากสุขํ อนุคจฺฉติ น วิชหตีติ อตฺโถ เวทิตพฺโพ. อ. ทายกใด เป็นปัจจัย ของทายก ท. เหล่านั้น ย่อมเป็น , อ.ทายกท. เหล่านั้น อาศัยแล้ว ซึ่งทายกใด ย่อมกระท�ำซึ่งบุญท. เหล่านั้น, อ. ทายกนั้น ชื่อว่าติสสะหรือ หรือว่าชื่อว่าปุสสะ (อันชน ท.) ย่อมเรียก ว่า (อ.ทายกนั้น) เป็นผู้ถึงก่อน แห่งทายก ท. เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฉันใด; อ. ค�ำเป็นเครื่องยังอุปไมย ให้ถึงพร้อมนี้(อันบัณฑิต) พึงทราบฉันนั้น ฯ อ. ใจ ชื่อว่าเป็นสภาพถึงก่อน แห่งธรรม ท. เหล่านั่น เพราะอรรถคือความเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท. เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพถึงก่อน ฯ จริงอยู่ อ. ธรรม ท. เหล่านั้น ครั้นเมื่อใจ ไม่เกิดขึ้นอยู่ , ย่อมไม่อาจ เพื่ออันเกิดขึ้น, แต่ว่า อ. ใจ , ครั้นเมื่อเจตสิก ท. บางพวก แม้ไม่เกิดขึ้นอยู่, ย่อมเกิดขึ้นนั่นเทียว ฯ ก็ อ. ใจ เป็นสภาพประเสริฐที่สุด แห่งธรรม ท. เหล่านั้น ด้วยอ�ำนาจ แห่งความเป็นอธิบดี ด้วยประการฉะนี้เพราะเหตุนั้น (อ. ธรรม ท. เหล่านั่น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ เหมือนอย่างว่าอ.บุรุษผู้เป็นอธิบดี(แห่งชนท.)มีคณะเป็นต้น (อันชน ท.) ย่อมเรียก ว่า ผู้ประเสริฐที่สุดในคณะ ผู้ประเสริฐที่สุด ในกองทัพ ดังนี้ฉันใด; อ. ใจ (เป็นสภาพประเสริฐที่สุด) แห่งธรรม ท. แม้เหล่านั้น (ย่อมเป็น) ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น (อ.ธรรมท.เหล่านั้น) ชื่อว่ามีใจเป็นสภาพประเสริฐที่สุด ฯ เหมือนอย่างว่า อ.ภัณฑะท.เหล่านั้นเหล่านั้น อันส�ำเร็จแล้ว (แต่วัตถุ ท.) มีทองเป็นต้น ชื่อว่าเป็นวัตถุมีวัตถุอันส�ำเร็จแล้ว แต่ทองเป็นต้น ย่อมเป็น ฉันใด; อ. ธรรม ท. แม้เหล่านั่น ชื่อว่า เป็นสภาพส�ำเร็จแล้วแต่ใจ เพราะความที่ (แห่งธรรม ท. เหล่านั่น) เป็นสภาพส�ำเร็จแล้ว แต่ใจ (ย่อมเป็น) ฉันนั้น ฯ (อ.อรรถ)ว่าอันผ่องใสแล้วด้วยคุณท.มีความไม่เพ่งเล็งเป็นต้น (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ปสนฺเนน ดังนี้ฯ (อ. อรรถ) ว่า (อ. บุคคล) มีใจ อันมีอย่างนี้เป็นรูป เมื่อกล่าว ชื่อว่าย่อมกล่าว ซึ่งวจีสุจริต อันมีอย่าง ๔ นั่นเทียว, เมื่อกระท�ำ ชื่อว่าย่อมกระท�ำซึ่งกายสุจริตอันมีอย่าง๓นั่นเทียว,เมื่อไม่กล่าว เมื่อไม่กระท�ำ ยังมโนสุจริต อันมีอย่าง ๓ ชื่อว่าย่อมให้เต็มได้ เพราะความที่แห่งตนเป็นผู้มีใจอันผ่องใสแล้ว (ด้วยคุณ ท.) มีความไม่เพ่งเล็งเป็นต้น นั้น ฯ อ. กุศลกรรมบถ ท. ๑๐ ย่อมถึง ซึ่งความเต็มรอบ แก่บุคคลนั้น ด้วยประการฉะนี้ (ดังนี้ แห่งบาท แห่งพระคาถา) ว่า ภาสติ วา กโรติ วา ดังนี้ฯ (อ. อรรถ) ว่า อ. ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น เพราะสุจริตอันมีอย่าง ๓ นั้น (ดังนี้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า ตโต นํ สุขมเนฺวติ ดังนี้ ฯ อ. กุศล แม้อันเป็นไปในภูมิ ๓ (อันพระผู้มีพระภาคเจ้า) ทรงประสงค์เอาแล้ว ในที่นี้; เพราะเหตุนั้น อ. อธิบาย ว่า อ. ความสุขอันเป็นวิบาก อันเป็นไปในกายและเป็นไปในจิต (โดยปริยายนี้) ว่า (อ. วิบากสุข) อันมีกายเป็นที่ตั้งบ้าง อันมีจิต นอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง ดังนี้ย่อมไปตาม คือว่า ย่อมไม่ละ (ซึ่งบุคคลนั้น) ผู้บังเกิดแล้ว ในสุคติภพหรือ หรือว่าผู้ด�ำรงอยู่แล้ว ในที่เป็นที่เสวย ซึ่งความสุข ในสุคติ เพราะอานุภาพแห่งสุจริตอันเป็นไปในภูมิ ๓ ดังนี้(อันบัณฑิต) พึงทราบ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 40.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย35 ยถากึ? ฉายาว อนุปายินีติ: ยถา หิ ฉายา นาม สรีรปฺปฏิพทฺธา สรีเร คจฺฉนฺเต, คจฺฉติ, ติฏฺ€นฺเต, ติฏฺ€ติ, นิสีทนฺเต, นิสีทติ, น สกฺกา สณฺเหน วา ผรุเสน วา `นิวตฺตาหีติ วตฺวา วา โปเถตฺวา วา นิวตฺตาเปตุํ. กสฺมา?สรีรปฺปฏิพทฺธตฺตา.เอวเมวอิเมสํ ทสนฺนํ กุสลกมฺมปถานํ อาจิณฺณสมาจิณฺณกุสลมูลกํ กามาวจราทิเภทํ กายิกเจตสิกํ สุขํ คตคตฏฺ€าเน อนุปายินี ฉายา วิย หุตฺวา น วิชหตีติ. คาถาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ. มฏฺ€กุณฺฑลิเทวปุตฺโต โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€หิ. ตถา อทินฺนปุพฺพโก พฺราหฺมโณ. โส ตาวมหนฺตํ วิภวํ พุทฺธสาสเน วิปฺปกิรีติ. มฏฺฐกุณฺฑลิวตฺถุ. ๓. ติสฺสตฺเถรวตฺถุ. (๓) “อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต ติสฺสตฺเถรํ อารพฺภ กเถสิ. โส กิรายสฺมา ภควโต ปิตุจฺฉาปุตฺโต มหลฺลก- กาเล ปพฺพชิโต พุทฺธสาสเน อุปฺปนฺนํ ลาภสกฺการํ ปริภุฺชนฺโตถุลฺลสรีโรอาโกฏิตปจฺจาโกฏิเตหิ จีวเรหิ เยภุยฺเยน วิหารมชฺเฌ อุปฏฺ€านสาลายํ นิสีทติ. ตถาคตสฺส ทสฺสนตฺถาย อาคตา อาคนฺตุกา ภิกฺขู “เอโส มหาเถโร ภวิสฺสตีติ สฺาย ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วตฺตํ อาปุจฺฉนฺติ, ปาทสมฺพาหนาทีนิ อาปุจฺฉนฺติ. โส ตุณฺหี โหติ. (อ. อันถาม ว่า อ. ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคล นั้น เพราะสุจริตอันมีอย่าง ๓ นั้น) ราวกะ อ. อะไร? (ดังนี้) (อ. อันแก้ ว่า อ.ความสุข ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนั้น เพราะสุจริตอันมีอย่าง ๓ นั้น) เพียงดัง อ. เงา อันไปตามโดยปกติ ดังนี้ ฯ (อ. อธิบาย) ว่า เหมือนอย่างว่า ชื่อ อ. เงา อันเนื่องเฉพาะแล้วด้วยสรีระ ครั้นเมื่อสรีระ ไปอยู่, ย่อมไป, (ครั้นเมื่อสรีระ) ยืนอยู่, ย่อมยืน, (ครั้นเมื่อสรีระ) นั่งอยู่, ย่อมนั่ง, (อันใคร ๆ) ไม่อาจ เพื่ออันกล่าวแล้ว ว่า (อ.ท่าน) จงกลับ ดังนี้(ด้วยค�ำ) อันไพเราะหรือ หรือว่าอันหยาบคาย หรือ หรือว่าโบยแล้ว (ยังเงา) ให้กลับ ฯ (อ. อันถาม ว่า อันใคร ๆ ไม่อาจ เพื่ออันยังเงาให้กลับ) เพราะเหตุไร?(ดังนี้)(อ.อันแก้ว่าอันใครๆไม่อาจเพื่ออันยังเงาให้กลับ) เพราะความที่แห่งเงา นั้น เป็นธรรมชาติเนื่องเฉพาะแล้วด้วยสรีระ (ดังนี้) (ฉันใด) อ. ความสุข อันเป็นไปในกายและเป็นไปในจิต อันต่างด้วยสุขมีสุขอันเป็นกามาวจรเป็นต้น อันมีแห่งกุศลกรรมบถ ท. ๑๐ เหล่านี้หนา - กุศลอันอันบุคคลประพฤติทั่วแล้วและ ประพฤติทั่วดีแล้วเป็นมูล ย่อมไม่ละ (ซึ่งบุคคลนั้น) ในที่ (แห่งบุคคลนั้น) ไปแล้วและไปแล้ว เป็นราวกะว่า อ.เงา อันเป็นตามโดยปกติ เป็น ฉันนั้นนั่นเทียว ดังนี้ ( แห่งบาท แห่งพระคาถา)ว่า ฉายาว อนุปายินี ดังนี้ ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. อันรู้ตลอดเฉพาะ ซึ่งธรรม ได้มีแล้ว แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท. ๘๔ ฯ อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล ฯ อ.อย่างนั้น คือว่า อ.พราหมณ์ชื่อว่าอทินนปุพพกะ(ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล) ฯ อ.พราหมณ์ นั้น เรี่ยรายแล้ว ซึ่งสมบัติ อันบุคคลพึงเสวย อันใหญ่ เพียงนั้น ในพระพุทธศาสนา ดังนี้แล ฯ *จบ ก. ๖* อ. เรื่องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี (จบแล้ว) ฯ ๓. อ.เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าติสสะ (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ ซึ่งพระเถระชื่อว่าติสสะ ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ ว่า อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ ดังนี้เป็นต้น ฯ ได้ยินว่า (อ. พระติสสะ) ผู้มีอายุนั้น เป็นโอรสแห่งพระเจ้าอา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (เป็น) บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่ บริโภคอยู่ ซึ่งลาภและสักการะ อันเกิดขึ้นแล้ว ในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีสรีระอันอ้วน (เป็น) มีจีวร ท. อันบุคคลทุบทั่วแล้วและ ทุบทั่วเฉพาะแล้ว นั่งอยู่ ในศาลาเป็นที่บ�ำรุงในท่ามกลางแห่งวิหาร โดยมาก ฯ อ. ภิกษุ ท. ผู้จรมา ผู้มาแล้ว เพื่อต้องการแก่อันเฝ ้ า ซึ่งพระตถาคตเจ้า ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระติสสะนั้น ด้วยส�ำคัญ ว่า อ. พระเถระนั่น เป็นพระเถระผู้ใหญ่ จักเป็น ดังนี้ ย่อมถาม โดยเอื้อเฟื้อ ซึ่งวัตร, ย่อมถามโดยเอื้อเฟื้อ (ซึ่งกิจ ท.) มีการนวด ซึ่งเท้าเป็นต้น ฯ อ. พระเถระนั้น เป็นผู้นิ่ง ย่อมเป็น ฯ www.kalyanamitra.org
  • 41.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 36 อถ นํ เอโก ทหรภิกฺขุ “กติวสฺสา ตุมฺเหติ ปุจฺฉิตฺวา “วสฺสํ นตฺถิ, มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตา มยนฺติ วุตฺเต, “อาวุโส ทุพฺพินีต มหลฺลก อตฺตโน ปมาณํ น ชานาสิ, เอตฺตเก มหลฺลกตฺเถเร ทิสฺวา สามีจิมตฺตํปิ น กโรสิ, วตฺเต อาปุจฺฉิยมาเน, ตุณฺหี โหสิ, กุกฺกุจฺจมตฺตํปิ เต นตฺถีติ อจฺฉรํ ปหริ. โส ขตฺติยมานํ ชเนตฺวา “ตุมฺเห กสฺส สนฺติกํ อาคตาติ ปุจฺฉิตฺวา, “สตฺถุ สนฺติกนฺติ วุตฺเต, “ มํ ปน `โก เอโสติ สลฺลกฺเขถ, มูลเมว โว ฉินฺทิสฺสามีติ วตฺวา รุทนฺโต ทุกฺขี ทุมฺมโน สตฺถุ สนฺติกํ อคมาสิ. อถ นํ สตฺถา “กินฺนุ ตฺวํ ติสฺส ทุกฺขี ทุมฺมโน อสฺสุมุโข รุทมาโน อาคโตสีติ ปุจฺฉิ. เตปิ ภิกฺขู “เอส คนฺตฺวา กิฺจิ อาลุลิกํ กเรยฺยาติ จินฺเตตฺวา เตเนว สทฺธึ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ. โส สตฺถารา ปุจฺฉิโต “อิเม มํ ภนฺเต ภิกฺขู อกฺโกสนฺตีติ อาห. “กหํ ปน ตฺวํ นิสินฺโนสีติ. “วิหารมชฺเฌ อุปฏฺ€านสาลายํ ภนฺเตติ. “อิเม เต ภิกฺขู อาคจฺฉนฺตา ทิฏฺ€าติ. “ทิฏฺ€า ภนฺเตติ. “อุฏฺ€าย เต ปจฺจุคฺคมนํ กตนฺติ. “น กตํ ภนฺเตติ. “เตสํ ปริกฺขารคฺคหณํ เต อาปุจฺฉิตนฺติ. “นาปุจฺฉิตํ ภนฺเตติ. “วตฺตํ วา ปานียํ วา อาปุจฺฉิตนฺติ. “นาปุจฺฉิตํ ภนฺเตติ. “อาสนํ อภิหริตฺวา ปาทสมฺพาหนํ กตนฺติ. “น กตํ ภนฺเตติ. “ติสฺส มหลฺลกภิกฺขูนํ สพฺพเมตํ วตฺตํ กตฺตพฺพํ, ครั้งนั้น อ. ภิกษุหนุ่ม รูปหนึ่ง ถามแล้ว ซึ่งพระเถระนั้น ว่า อ. ท่าน ท. เป็นผู้มีพรรษาเท่าไร (ย่อมเป็น) ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. พรรษา ย่อมไม่มี, อ. เรา ท. เป็นผู้บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่ (ย่อมเป็น) ดังนี้(อันพระเถระ) กล่าวแล้ว, ดีดแล้ว ซึ่งนิ้วมือ (มีอันให้รู้) ว่า แน่ะคนแก่ ผู้อันบุคคลแนะน�ำได้โดยยากแล้ว ผู้มีอายุ (อ. ท่าน) ย่อมไม่รู้ ซึ่งประมาณ ของตน, อ. ท่าน เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระผู้แก่ ท. ผู้มีประมาณเท่านี้ ย่อมไม่กระท�ำ (ซึ่งวัตร) แม้สักว่าสามีจิกรรม , ครั้นเมื่อวัตร(อันเรา) ถามโดยเอื้อเฟื้ออยู่,(อ.ท่าน)เป็นผู้นิ่งย่อมเป็น, (อ. เหตุ) แม้สักว่าความรังเกียจ ย่อมไม่มี แก่ท่าน ดังนี้(เป็นเหตุ) ฯ อ.พระเถระนั้น ยังความถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ให้เกิดแล้ว ถามแล้ว ว่า อ. ท่าน ท. เป็นผู้มาแล้ว สู่ส�ำนัก ของใคร (ย่อมเป็น) ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. เรา ท. เป็นผู้มาแล้ว) สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา (ย่อมเป็น) ดังนี้ (อันภิกษุนั้น) กล่าวแล้ว, กล่าวแล้ว ว่า ก็ อ. ท่าน ท. ย่อมก�ำหนด ซึ่งเรา ว่า อ. ใคร นั่น ดังนี้, (อ. เรา) จักตัด ซึ่งรากเง่า ของท่าน ท. นั่นเทียว ดังนี้ ร้องไห้อยู่ เป็นผู้มีทุกข์ เป็นผู้มีใจอันโทษ ประทุษร้ายแล้ว (เป็น) ได้ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ซึ่งพระเถระนั้น ว่า แน่ะติสสะ อ. เธอ เป็นผู้มีทุกข์ เป็นผู้มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว เป็นผู้มีหน้าอัน ชุ่มแล้วด้วยน�้ำตา (เป็น) ร้องไห้อยู่ เป็นผู้มาแล้ว ย่อมเป็น เพราะเหตุ อะไรหนอดังนี้ฯ อ.ภิกษุ ท.แม้เหล่านั้นคิดแล้วว่าอ.ภิกษุนั่นไปแล้ว พึงกระท�ำ ซึ่งความวุ่นวาย อะไร ๆ ดังนี้ ไปแล้ว กับ ด้วยพระเถระ นั้นนั่นเที่ยวถวายบังคมแล้วซึ่งพระศาสดานั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่งฯ อ. พระเถระนั้น ผู้อันพระศาสดาตรัสถามแล้ว กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ย่อมด่า ซึ่งข้าพระองค์ ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ก็ อ. เธอ เป็นผู้นั่งแล้ว ในที่ไหน ย่อมเป็น ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ.ข้าพระองค์ เป็นผู้นั่งแล้ว) ในศาลาเป็นที่บ�ำรุง ในท่ามกลาง แห่งวิหาร (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ มาอยู่ อันเธอ เห็นแล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ มาอยู่ อันข้าพระองค์) เห็นแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า อ.การต้อนรับ อันเธอ ลุกขึ้นแล้ว กระท�ำแล้วหรือ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว)ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(อ.การต้อนรับอันข้าพระองค์) ไม่กระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า อ. การรับซึ่งบริขาร ของภิกษุ ท. เหล่านั้น อันเธอ ถามโดยเอื้อเฟื้อแล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว)ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(อ.การรับซึ่งบริขาร อันข้าพระองค์) ไม่ถามโดยเอื้อเฟื้อแล้ว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า อ. วัตร หรือ หรือว่า อ. น�้ำอันบุคคลพึงดื่ม (อันเธอ) ถามโดยเอื้อเฟื้อแล้ว หรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. วัตร หรือ หรือว่า อ. น�้ำอันบุคคลพึงดื่ม อันข้าพระองค์) ไม่ถาม โดยเอื้อเฟื้อแล้ว ดังนี้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว)ว่าอ.การนวดซึ่งเท้า (อันเธอ) น�ำไปเฉพาะแล้ว ซึ่งอาสนะ กระท�ำแล้วหรือ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. การนวด ซึ่งเท้า อันข้าพระองค์) ไม่กระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนติสสะ อ. วัตรนั่น ทั้งปวง (อันเธอ) พึงกระท�ำ แก่ภิกษุผู้แก่ ท., www.kalyanamitra.org
  • 42.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย37 เอตํ อกโรนฺเตน วิหารมชฺเฌ นิสีทิตุํ น วฏฺฏติ; ตเวว โทโส, เอเต ภิกฺขู ขมาเปหีติ. “เอเต มํ ภนฺเต อกฺโกสึสุ, นาหํ เอเต ขมาเปมีติ. “ติสฺส มา เอวํ กริ: ตเวว โทโส, ขมาเปหิ เนติ. “น ขมาเปมิ ภนฺเตติ. อถ สตฺถา “ทุพฺพโจ เอส ภนฺเตติ ภิกฺขูหิ วุตฺเต, “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปุพฺเพเปส ทุพฺพโจเย วาติ วตฺวา “อิทานิ ตาวสฺส ภนฺเต ทุพฺพจภาโว อมฺเหหิ าโต, อตีเต กิมกาลีติ วุตฺเต, “เตนหิ ภิกฺขเว สุณาถาติ วตฺวา อตีตํ อาหริ: อตีเต พาราณสิยํ พาราณสีราเช รชฺชํ กาเรนฺเต, เทวโล นาม ตาปโส อฏฺ€ มาเส หิมวนฺเต วสิตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย จตฺตาโร มาเส นครํ อุปนิสฺสาย วสิตุกาโม หิมวนฺตโต อาคนฺตฺวา นครทฺวารปาลเก ทิสฺวา ปุจฺฉิ “อิมํ นครํ สมฺปตฺตปพฺพชิตา กตฺถ วสนฺตีติ. “กุมฺภการสาลายํ ภนฺเตติ. โส กุมฺภการสาลํ คนฺตฺวา ทฺวาเร €ตฺวา “สเจ เต อครุ , วเสยฺยาม เอกรตฺตึ สาลายนฺติ อาห . กุมฺภกาโร “ มยฺหํ รตฺตึ สาลายํ กิจฺจํ นตฺถิ, มหตี สาลา, ยถาสุขํ วสถ ภนฺเตติ สาลํ นิยฺยาเทสิ. ตสฺมึ ปวิสิตฺวา นิสินฺเน, อปโรปิ นารโท นาม ตาปโส หิมวนฺตโต อาคนฺตฺวา กุมฺภการํ เอกรตฺติวาสํ ยาจิ. กุมฺภกาโร “ป€มาคโต อิมินา สทฺธึ เอกโต วสิตุกาโม ภเวยฺย วา โน วา, อตฺตานํ ปริโมเจสฺสามีติ จินฺเตตฺวา “สเจ ภนฺเต ป€มุปคโต โรเจสฺสติ, ตสฺส รุจิยา วสถาติ อาห. โส ตํ อุปสงฺกมิตฺวา “สเจ เต อาจริย อครุ, มยเมตฺถ เอกรตฺตึ วเสยฺยามาติ. “มหตี สาลา, อ. อัน (อันเธอ) ผู้ไม่กระท�ำอยู่ ซึ่งวัตรนั่น นั่งในท่ามกลาง แห่งวิหาร ย่อมไม่ควร ; อ. โทษ ของเธอนั่นเทียว อ. เธอ ยังภิกษุ ท. เหล่านั่น จงให้อดโทษ ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั่น ด่าแล้ว ซึ่งข้าพระองค์, อ. ข้าพระองค์ ยังภิกษุ ท. เหล่านั่น จะให้อดโทษ หามิได้ ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนติสสะ (อ. เธอ) อย่ากระท�ำแล้ว อย่างนี้ ; อ. โทษ ของเธอนั่นเทียว, (อ. เธอ) ยังภิกษุ ท. เหล่านั้น จงให้อดโทษ ดังนี้ฯ (อ.พระเถระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ.ข้าพระองค์) (ยังภิกษุ ท.) จะให้อดโทษ หามิได้ ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระเถระนั่น เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก (ย่อมเป็น) ดังนี้ อันภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ติสสะ) (เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก ย่อมเป็น) ในกาลนี้นั่นเทียว หามิได้, อ. ติสสะนั่น เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยากนั่นเทียว (ได้เป็นแล้ว) แม้ในกาลก่อน ดังนี้(ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ความที่ แห่งพระเถระนั้นเป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก อันข้าพระองค์ ท. ทราบแล้ว ในกาลนี้ ก่อน, (อ. พระเถระนั้น) ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม อะไร ในกาลอันล่วงไปแล้ว ดังนี้(อันภิกษุ ท.) กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้าอย่างนั้น (อ. เธอ ท.) จงฟัง ดังนี้ทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว ว่า: ในกาลอันล่วงไปแล้ว ครั้นเมื่อพระราชา ผู้เป็นใหญ่ในเมือง- ชื่อว่าพาราณสี (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในเมืองชื่อว่าพาราณสี,อ. ดาบส ชื่อว่าเทวละ อยู่แล้ว ในป่าหิมพานต์ สิ้นเดือน ท. ๘ เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเข้าไปอาศัยซึ่งเมืองอยู่ ตลอดเดือน ท. ๔ เพื่อต้องการแก่อันเสพซึ่งรสเค็มและรสเปรี้ยว (เป็น) มาแล้ว จากป่าหิมพานต์ เห็นแล้ว (ซึ่งชน ท.) ผู้รักษาซึ่งประตูแห่งเมือง ถามแล้ว ว่า อ. บรรพชิตผู้ถึงพร้อมแล้ว ท. ซึ่งเมืองนี้ย่อมอยู่ ในที่ไหน ดังนี้ฯ (อ.ชนท.เหล่านั้นกล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ(อ.บรรพชิตท. ย่อมอยู่) ในโรงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ดังนี้ ฯ อ. ดาบสนั้น ไปแล้ว สู่โรงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ยืนแล้ว ใกล้ประตู กล่าวแล้ว ว่า ถ้าว่า อ. ความไม่หนักใจ แห่งท่าน (ย่อมมี) ไซร้, (อ. เรา ท.) พึงอยู่ ในโรง สิ้นราตรีหนึ่ง ดังนี้ฯ อ. บุคคลผู้กระท�ำ ซึ่งหม้อ (กล่าวแล้ว) ว่า อ. กิจ ของกระผม ย่อมไม่มี ในโรง ในกลางคืน, อ. โรง ใหญ่, ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. จงอยู่ ตามความสบาย ดังนี้ มอบถวายแล้ว ซึ่งโรง ฯ ครั้นเมื่อดาบสนั้น เข้าไปแล้ว นั่งแล้ว, อ. ดาบส ชื่อว่านารทะ แม้อื่นอีก มาแล้ว จากป่าหิมพานต์ ขอแล้ว ซึ่งการอยู่ สิ้นราตรีหนึ่ง กะบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ฯ อ. บุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ คิดแล้ว ว่า อ. ดาบสผู้มาแล้วก่อน เป็นผู้ใคร่เพื่ออันอยู่ โดยความเป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยดาบสนี้พึงเป็น หรือ หรือว่า ( เป็นผู้ใคร่เพื่ออันอยู่ โดยความเป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยดาบสนี้) ไม่พึงเป็น, (อ. เรา) จักเปลื้อง ซึ่งตน ดังนี้กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ. ดาบสผู้เข้าไปแล้วก่อน จักชอบใจไซร้, (อ. ท่าน ท.) จงอยู่ ตามความชอบใจ แห่งดาบสนั้น ดังนี้ ฯ อ. ดาบสนั้น เข้าไปหาแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าเทวละนั้น (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ ถ้าว่า อ. ความไม่หนักใจ แห่งท่าน (ย่อมมี) ไซร้ , อ. กระผม ท. พึงอยู่ ในที่นี้ สิ้นราตรีหนึ่ง ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. โรง ใหญ่, www.kalyanamitra.org
  • 43.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 38 ปวิสิตฺวา เอกมนฺเต วสาติ วุตฺเต, ปวิสิตฺวา ปุเรตรํ ปวิฏฺ€สฺส อปรภาเค นิสีทิ. อุโภปิ สาราณียํ กถํ กเถตฺวา, สยนกาเล นารโท เทวลสฺส นิปชฺชนฏฺ€านฺจ ทฺวารฺจ สลฺลกฺเขตฺวา นิปชฺชิ. โส ปน เทวโล นิปชฺชมาโน อตฺตโน นิสินฺนฏฺ€าเน อนิปชฺชิตฺวา ทฺวารมชฺเฌ ติริยํ นิปชฺชิ. นารโท รตฺตึ นิกฺขมนฺโต ตสฺส ชฏาสุ อกฺกมิ. “โก มํ อกฺกมีติ วุตฺเต, “อาจริย อหนฺติ อาห. “กุฏชฏิล อรฺโต อาคนฺตฺวา มม ชฏาสุ อกฺกมสีติ. “อาจริย ตุมฺหากํ อิธ นิปนฺนภาวํ น ชานามิ, ขมถ เมติ วตฺวา ตสฺส กนฺทนฺตสฺเสว, พหิ นิกฺขมิ. อิตโร “อยํ ปวิสนฺโตปิ มํ อกฺกเมยฺยาติ ปริวตฺเตตฺวา ปาทฏฺ€าเน สีสํ กตฺวา นิปชฺชิ. นารโทปิ ปวิสนฺโต “ ป€มมฺปาหํ อาจริเย อปรชฺฌึ, อิทานิสฺส ปาทปสฺเสน ปวิสิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา อาคจฺฉนฺโต คีวาย อกฺกมิ, “โก เอโสติ วุตฺเต, “อหํ อาจริยาติ วตฺวา “กุฏชฏิล ป€มํ ชฏาสุ อกฺกมิตฺวา อิทานิ คีวาย อกฺกมสิ, อภิสปิสฺสามิ ตนฺติ วุตฺเต, “อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ, อหํ ตุมฺหากํ เอวํ นิปนฺนภาวํ น ชานามิ, `ป€มํปิ เม อปราธํ อตฺถิ, อิทานิ ปาทปสฺเสน ปวิสิสฺสามีติ ปวิฏฺโ€มฺหิ, ขมถ เมติ อาห. “กุฏชฏิล อภิสปิสฺสามิ ตนฺติ . “มา เอวํ อกริตฺถ อาจริยาติ. โส ตสฺส วจนํ อนาทยิตฺวา “สหสฺสรํสิ สตเตโช สุริโย ตมวิโนทโน, ปาโต อุทยนฺเต สุริเย มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธาติ ตํ อภิสปิเยว. นารโท “อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ, อ. ท่าน เข้าไปแล้ว จงอยู่ ในที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนี้ (อันดาบสนั้น) กล่าวแล้ว, เข้าไปแล้ว นั่งแล้ว ในส่วนอื่นอีก (แห่งดาบส) ผู้เข้าไปแล้ว ก่อนกว่า ฯ (อ. ดาบส ท.) แม้ทั้งสอง กล่าวแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าว อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึก, ในกาลเป็นที่นอน อ. ดาบสชื่อว่านารทะ ก�ำหนดแล้ว ซึ่งที่เป็นที่นอนแห่งดาบสชื่อว่าเทวละด้วย ซึ่งประตูด้วย นอนแล้ว ฯ ส่วนว่า อ. ดาบสชื่อว่าเทวละนั้น เมื่อนอน ไม่นอนแล้ว ในที่แห่งตนนั่งแล้ว นอนแล้ว ขวาง ในท่ามกลางแห่งประตูฯ อ. ดาบส ชื่อว่านารทะ ออกไปอยู่ ในกลางคืน เหยียบแล้ว ที่ชฎา ท. ของดาบส ชื่อว่าเทวละนั้น ฯ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ใคร เหยียบแล้ว ซึ่งเรา ดังนี้ (อันดาบส ชื่อว่าเทวละ) กล่าวแล้ว , (อ.ดาบสชื่อว่านารทะ) กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. กระผม ดังนี้ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) (กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนชฎิลโกง (อ. ท่าน) มาแล้ว จากป่า ย่อมเหยียบ ที่ชฎา ท. ของเรา ดังนี้ฯ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ) กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ (อ. กระผม) ย่อมไม่รู้ ซึ่งความที่ แห่งท่าน ท. เป็นผู้นอนแล้ว ในที่นี้, อ. ท่าน ท. ขอจงอดโทษ ต่อกระผมเถิด ดังนี้เมื่อดาบสชื่อว่าเทวละนั้น คร�่ำครวญ อยู่นั่นเทียว, ออกไปแล้ว ในภายนอก ฯ อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ นอกนี้(คิดแล้ว) ว่า อ. ดาบสนี้แม้เข้าไปอยู่ พึงเหยียบ ซึ่งเรา ดังนี้ เป็นไปรอบแล้ว นอนแล้ว กระท�ำ ซึ่งศีรษะ ในที่แห่งเท้า ฯ แม้ อ. ดาบสชื่อว่านารทะ เข้าไปอยู่ คิดแล้ว ว่า อ. เรา ผิดแล้ว ในอาจารย์ แม้ก่อน, ในกาลนี้ (อ. เรา) จักเข้าไป โดยข้างแห่งเท้า ของอาจารย์นั้นดังนี้มาอยู่เหยียบแล้วที่คอ,(ครั้นเมื่อค�ำ)ว่าอ.ใครนั่น ดังนี้(อันดาบสชื่อว่าเทวละ) กล่าวแล้ว, กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. กระผม ดังนี้ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ดูก่อนชฎิลโกง (อ. ท่าน) เหยียบแล้ว ที่ชฎา ท. ก่อน ย่อมเหยียบ ที่คอ ในกาลนี้, (อ.เรา) จักแช่ง ซึ่งท่าน ดังนี้ (อันดาบสชื่อว่าเทวละ) กล่าวแล้ว , กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. โทษ ของกระผม ย่อมไม่มี, อ. กระผม ย่อมไม่รู้ ซึ่งความที่แห่งท่าน ท. เป็นผู้นอนแล้วอย่างนี้, อ. กระผม เป็นผู้เข้าไปแล้ว (ด้วยความคิด) ว่า อ. ความผิดแม้ครั้งที่หนึ่ง แห่งเรา มีอยู่, ในกาลนี้ อ. เรา จักเข้าไป โดยข้างแห่งเท้า ดังนี้ ย่อมเป็น อ. ท่าน ท. ขอจงอดโทษ ต่อกระผมเถิด ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนชฎิลโกง อ. เรา จักแช่ง ซึ่งท่าน ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. ท่าน ท. อย่าได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ดังนี้ ฯ อ. ดาบสชื่อว่าเทวละนั้น ไม่เอื้อเฟื้อแล้ว ซึ่งค�ำ ของดาบสชื่อว่า นารทะนั้น แช่งแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่านารทะนั้นนั่นเทียว ว่า อ. พระอาทิตย์ มีรัศมีอันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยพัน มีเดช- อันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยร้อย มีอันบรรเทาซึ่งมืดเป็นปกติ, ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ ขึ้นไปอยู่ ในเวลาเช้า อ. ศีรษะ ของท่าน จงแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี้ ฯ อ. ดาสบชื่อว่านารทะ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. โทษ ของกระผม ย่อมไม่มี, www.kalyanamitra.org
  • 44.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย39 มม วทนฺตสฺเสว, ตุมฺเห อภิสปิตฺถ, ยสฺส โทโส อตฺถิ; ตสฺส มุทฺธา ผลตุ มา นิทฺโทสสฺสาติ วตฺวา “สหสฺสรํสิ สตเตโช สุริโย ตมวิโนทโน, ปาโต อุทยนฺเต สุริเย มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธาติ อภิสปิ. โส ปน มหานุภาโว “อตีเต จตฺตาฬีส อนาคเต จตฺตาฬีสาติ อสีติกปฺเป อนุสฺสรติ; ตสฺมา “ กสฺส นุ โข อุปริ สาโป ปติสฺสตีติ อุปธาเรนฺโต “อาจริยสฺสาติ ตฺวา ตสฺมึ อนุกมฺปํ ปฏิจฺจ อิทฺธิพเลน อรุณุคฺคมนํ นิวาเรสิ. นาครา อรุเณ อนุคฺคจฺฉนฺเต, ราชทฺวารํ คนฺตฺวา “เทว ตยิ รชฺชํ กาเรนฺเต, อรุโณ น อุฏฺ€าติ, อรุณํ โน อุฏฺ€าเปหีติ กนฺทึสุ. ราชา อตฺตโน กายกมฺมาทีนิ โอโลเกนฺโต กิฺจิ อยุตฺตํ อทิสฺวา “กึ นุ โข การณนฺติ จินฺเตตฺวา “ปพฺพชิตานํ วิวาเทน ภวิตพฺพนฺติ ปริสงฺกมาโน “กจฺจิ อิมสฺมึ นคเร ปพฺพชิตา อตฺถีติ ปุจฺฉิ . “หิยฺโย สายํ กุมฺภการสาลํ อาคตา อตฺถิ เทวาติ วุตฺเต, ตํขณฺเว ราชา อุกฺกาหิ ธาริยมานาหิ ตตฺถ คนฺตฺวา นารทํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺโน อาห “กมฺมนฺตา นปฺปวตฺตนฺติ ชมฺพูทีปสฺส นารท, เกน โลโก ตโมภูโต? ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโตติ. นารโท สพฺพํ ปวตฺตึ อาจิกฺขิตฺวา “อิมินา การเณนาหํ อิมินา อภิสปิโต, อถาหํ `มยฺหํ โทโส นตฺถิ, ยสฺส โทโส อตฺถิ; เมื่อกระผม กล่าวอยู่นั่นเทียว, อ. ท่าน ท. แช่งแล้ว , อ. โทษ ของบุคคลใด มีอยู่; อ.ศรีษะ ของบุคคลนั้น จงแตก (อ. ศีรษะ) ของบุคคลผู้ไม่มีโทษ จงอย่าแตก ดังนี้แช่งแล้ว ว่า อ. พระอาทิตย์ มีรัศมีอันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยพัน มีเดชอันบัณฑิตก�ำหนดแล้วด้วยร้อย มีอันบรรเทาซึ่งมืดเป็นปกติ, ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ ขึ้นไปอยู่ ในเวลาเช้า อ. ศีรษะ ของท่าน จงแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี้ ฯ ก็ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ) นั้น เป็นผู้มีอานุภาพมาก (เป็น) ย่อมตามระลึกได้ ซึ่งกัปป ์ แปดสิบ ท. คือ (ซึ่งกัปป ์ ท.) สี่สิบ ในกาล อันล่วงไปแล้ว (ซึ่งกัปป ์ ท.) สี่สิบ ในกาลอันไม่มาแล้ว; เพราะเหตุนั้น (อ. ดาบสนั้น) ใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื้องบน แห่งใครหนอแล ดังนี้รู้แล้ว ว่า (อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื้องบน) แห่งอาจารย์ ดังนี้อาศัยแล้ว ซึ่งความเอ็นดู ในอาจารย์นั้น ห้ามแล้ว ซึ่งการขึ้นไปแห่งอรุณ ด้วยก�ำลังแห่งฤทธิ์ ฯ (อ.ชน ท.) ผู้อยู่ในเมือง ครั้นเมื่ออรุณ ไม่ขึ้นไปอยู่ , ไปแล้ว สู่ประตูแห่งพระราชา คร�่ำครวญแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ครั้นเมื่อพระองค์ (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา, อ.อรุณ ย่อมไม่ตั้งขึ้น , (อ.พระองค์) ขอจงทรงยังอรุณให้ตั้งขึ้น แก่ข้าพระองค์ ท. ดังนี้ฯ อ. พระราชา ทรงตรวจดูอยู่ (ซึ่งกรรม ท.) มีกายกรรมเป็นต้น ของพระองค์ ไม่ทรงเห็นแล้ว (ซึ่งกรรม) อันไม่ควรแล้ว อะไร ๆ ทรงด�ำริแล้วว่าอ.เหตุอะไรหนอแลดังนี้ทรงระแวงอยู่ว่า อันความวิวาท แห่งบรรพชิต ท. พึงมี ดังนี้ตรัสถามแล้ว ว่า อ. บรรพชิต ท. ในเมืองนี้ มีอยู่ แลหรือ ดังนี้ฯ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ (อ. บรรพชิต ท.) ผู้มาแล้ว สู่โรงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึ่งหม้อ ในเวลาเย็น ในวันวาน มีอยู่ ดังนี้(อันราชบุรุษ ท.) กราบทูลแล้ว, ในขณะนั้นนั่นเทียว อ. พระราชา ด้วยทั้งคบเพลิง ท. (อันราชบุรุษ ท.) ทรงไว้อยู่ เสด็จไปแล้ว ในที่นั้น ทรงไหว้แล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่านารทะ ประทับนั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ตรัสแล้ว ว่า ข้าแต่พระดาบสชื่อว่านารทะ อ.การงาน ท. ของชมพูทวีป ย่อมไม่เป็นไปทั่ว, อ.โลก เป็นโลกมืดเป็นแล้ว เพราะเหตุอะไร (ย่อมเป็น) ? (อ.ท่าน) ผู้อันข้าพเจ้าถามแล้ว จงบอก ซึ่งเหตุนั้น แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะ กราบทูลแล้ว ซึ่งเรื่องอันเป็นไปทั่ว ทั้งปวง (กราบทูลแล้ว)ว่า อ.อาตมภาพ เป็นผู้อันดาบสนี้แช่งแล้ว เพราะเหตุนี้ (ย่อมเป็น), ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. อาตมภาพ กล่าวแล้ว ว่า อ. โทษ ของกระผม ย่อมไม่มี, อ. โทษ ของบุคคลใด มีอยู่; www.kalyanamitra.org
  • 45.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 40 ตสฺเสว อุปริ สาโป ปตตูติ วตฺวา อภิสปึ ; อภิสปิตฺวา จ ปน `กสฺส นุโข อุปริ สาโป ปติสฺสตีติ อุปธาเรนฺโต `สุริยุคฺคมนเวลาย อาจริยสฺส มุทฺธา สตฺตธา ผลิสฺสตีติ ทิสฺวา เอตสฺมึ อนุกมฺปํ ปฏิจฺจ อรุณสฺส อุคฺคนฺตุํ น เทมีติ. “กถํ ปนสฺส ภนฺเต อนฺตราโย น ภเวยฺยาติ. “สเจ มํ ขมาเปยฺย, น ภเวยฺยาติ. “เตนหิ ขมาเปหีติ. “เอโส มํ ชฏาสุ จ คีวาย จ อกฺกมิ, นาหํ เอตํ กุฏชฏิลํ ขมาเปมีติ. “ขมาเปหิ ภนฺเต, มา เอวํ กรีติ. “น ขมาเปมีติ. “มุทฺธา เต สตฺตธา ผลิสฺสตีติ วุตฺเตปิ , น ขมาเปสิเยว. อถ นํ ราชา “น ตฺวํ อตฺตโนรุจิยา ขมาเปสฺสสีติ, หตฺถปาทกุจฺฉิคีวาสุ ตํ คาหาเปตฺวา นารทสฺส ปาทมูเล โอนมาเปสิ. นารโท “อุฏฺเ€หิ อาจริย, ขมามิ เตติ วตฺวา “มหาราช นายํ ยถามเนน ขมาเปติ, อวิทูเร เอโก สโร อตฺถิ, ตตฺถ นํ สีเส มตฺติกาปิณฺฑํ กตฺวา คลปฺปมาเณ อุทเก €ปาเปหีติ อาห. ราชา ตถา กาเรสิ. นารโท เทวลํ อามนฺเตตฺวา “อาจริย มยา อิทฺธิยา วิสฺสฏฺ€าย, สุริยสนฺตาเป อุฏฺ€หนฺเต, ตฺวํ อุทเก นิมุชฺชิตฺวา อฺเน €าเนน อุตฺตริตฺวา คจฺเฉยฺยาสีติ อาห. ตสฺส สุริยรํสีหิ สมฺผุฏฺ€มตฺโตว มตฺติกาปิณฺโฑ สตฺตธา ผลิ. โส นิมุชฺชิตฺวา อฺเน €าเนน ปลายิ. สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา “ตทา ภิกฺขเว ราชา อานนฺโท อโหสิ, เทวโล ติสฺโส, นารโท อหเมว, เอวํ ตทาเปส ทุพฺพโจเยวาติ วตฺวา ติสฺสตฺเถรํ อามนฺเตตฺวา “ติสฺส ภิกฺขุโน หิ `อสุเกนาหํ อกฺกุฏฺโ€, อ. ความแช่ง จงตกไป ในเบื้องบน แห่งบุคคล นั้นนั่นเทียว ดังนี้ แช่งแล้ว; ก็แล (อ.อาตมภาพ) ครั้นแช่งแล้ว ใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื้องบน แห่งใคร หนอแล ดังนี้ เห็นแล้ว ว่า อ. ศีรษะ ของอาจารย์ จักแตก โดยส่วนเจ็ด ในเวลาเป็นที่ขึ้นไป แห่งพระอาทิตย์ ดังนี้ อาศัยแล้ว ซึ่งความอนุเคราะห์ ในอาจารย์นั่น ย่อมไม่ให้ เพื่ออันขึ้นไป แห่งอรุณ ดังนี้ฯ (อ. พระราชา ตรัสถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. อันตราย ไม่พึงมี แก่ดาบสชื่อว่าเทวละนั้น อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ถ้าว่า (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) ยังอาตมภาพ พึงให้อดโทษไซร้, (อ. อันตราย) ไม่พึงมี ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน (ยังดาบสชื่อว่านารทะ) จงให้อดโทษเถิด ดังนี้ฯ (อ.ดาบสชื่อว่าเทวละ กราบทูลแล้ว) ว่า อ. ชฎิลนั่น เหยียบแล้ว ซึ่งอาตมภาพ ที่ชฎา ท. ด้วย ที่คอด้วย, อ. อาตมภาพ จะไม่ยังชฎิลโกงนั่น ให้อดโทษ ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ยังดาบส ชื่อว่านารทะ จงให้อดโทษเถิด , อ. ท่าน อย่ากระท�ำแล้ว อย่างนี้ ดังนี้ ฯ (อ.ดาบสชื่อว่าเทวละ กราบทูลแล้ว) ว่า อ. อาตมภาพ จะไม่ยังชฎิลโกง ให้อดโทษ ดังนี้ ฯ (ครั้นเมื่อพระด�ำรัส) ว่า อ. ศีรษะ ของท่าน จักแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี้(อันพระราชา) แม้ตรัสแล้ว, (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) ไม่ยังดาบส ชื่อว่านารทะให้อดโทษแล้วนั่นเทียวฯ ครั้งนั้น อ.พระราชา(ตรัสแล้ว) กะดาบสชื่อว่าเทวละนั้น ว่า อ. ท่าน จักไม่ยังดาบสชื่อว่านารทะ ให้อดโทษ ตามความชอบใจ ของตนหรือ ดังนี้, ทรงยังราชบุรุษ ท. ให้จับแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าเทวละนั้น ที่มือและเท้าและท้องและคอ ท. ทรงยังดาบสชื่อว่าเทวละ ให้น้อมลงแล้ว ณ ที่ ใกล้แห่งเท้า ของดาบส ชื่อว่านารทะ ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะกล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. ท่าน จงลุกขึ้นเถิด, อ. กระผม ย่อมอดโทษ ต่อท่าน ดังนี้ กราบทูลแล้ว ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ดาบสนี้ (ยังอาตมภาพ) ย่อมให้อดโทษ ตามใจอย่างไร หามิได้, อ. สระ แห่งหนึ่ง มีอยู่ ในที่อันไม่ไกล, อ. พระองค์ ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งก้อนแห่งดินเหนียว บนศีรษะ (ทรงยังราชบุรุษ ท.) จงให้พักไว้ ซึ่งดาบสนั้น ในน�้ำ มีคอเป็นประมาณ ในสระนั้น ดังนี้ฯ อ. พระราชา (ทรงยังราชบุรุษ ท.) ให้กระท�ำแล้ว อย่างนั้น ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะ เรียกมาแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าเทวละ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ ครั้นเมื่อฤทธิ์ อันกระผม คลายแล้ว, ครั้นเมื่อความร้อนพร้อมแห่งพระอาทิตย์ ตั้งขึ้นอยู่, อ. ท่าน ด�ำลงแล้ว ในน�้ำ ข้ามขึ้นแล้ว พึงไป โดยที่ อื่น ดังนี้ฯ อ. ก้อนแห่งดินเหนียว (บนศีรษะ) ของดาบสนั้น อันสักว่าอันรัศมีแห่งพระอาทิตย์ ท.ถูกต้องแล้วเทียว แตกแล้ว โดยส่วนเจ็ด ฯ อ. ดาบสนั้น ด�ำลงแล้ว หนีไปแล้ว โดยที่อื่น (ดังนี้) ฯ อ. พระศาสดา ครั้นทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนานี้ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระราชา ในกาลนั้น เป็นอานนท์ ได้เป็นแล้ว (ในกาลนี้), อ.ดาบสชื่อว่าเทวละ(ในกาลนั้น) เป็นติสสะ(ได้เป็นแล้ว ในกาลนี้), อ. ดาบสชื่อว่านารทะ (ในกาลนั้น) เป็นเรานั่นเทียว (ได้เป็นแล้ว ในกาลนี้), อ. ติสสะนั่น เป็นผู้อันบุคคล พึงว่าได้โดยยากนั่นเทียว (ได้เป็นแล้ว) แม้ในกาลนั้น อย่างนี้ดังนี้ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระเถระ ชื่อว่าติสสะ ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนติสสะ ก็ เมื่อภิกษุ คิดอยู่ ว่า อ. เรา เป็นผู้อันบุคคลโน้นด่าแล้ว (ย่อมเป็น), www.kalyanamitra.org
  • 46.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย41 อสุเกน ปหโฏ, อสุเกน ชิโต, อสุโก เม ภณฺฑํ อหาสีติ จินฺเตนฺตสฺส เวรนฺนาม น วูปสมฺมติ; เอวํ ปน อนุปนยฺหนฺตสฺเสว อุปสมฺมตีติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ “อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ, อชินิ มํ, อหาสิ เม, เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสํ น สมฺมติ. `อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ, อชินิ มํ, อหาสิ เม,’ เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสูปสมฺมตีติ. ตตฺถ “อกฺโกจฺฉีติ: อกฺโกสิ. อวธีติ; ปหริ. อชินีติ: กุฏสกฺขึ โอตารเณน วา วาทปฺปฏิวาเทน วา กรณุตฺตริยกรเณน วา มํ อเชสิ. อหาสีติ: มม สนฺตกํ วตฺถาทีสุ ยงฺกิฺจิเทว อวหริ. เย จ ตนฺติ: เยเกจิ เทวา วา มนุสฺสา วา คหฏฺ€า วา ปพฺพชิตา วา ตํ `อกฺโกจฺฉิ มนฺติอาทิ วตฺถุกํ โกธํ สกฏธุรํ วิย นทฺธินา ปูติมจฺฉาทีนิ วิย จ กุสาทีหิ ปุนปฺปุนํ เวเ€นฺตา อุปนยฺหนฺติ, เตสํ สกึ อุปฺปนฺนํ เวรํ น สมฺมติ น อุปสมฺมติ. เย จ ตํ นูปนยฺหนฺตีติ: อสติอมนสิการวเสน วา กมฺมปจฺจเวกฺขณวเสน วา เย ตํ อกฺโกสาทิวตฺถุกํ โกธํ “ตยาปิ โกจิ นิทฺโทโส ปุริมภเว อกฺกุฏฺโ€ ภวิสฺสติ, ปหโฏ ภวิสฺสติ, กูฏสกฺขึ โอตาเรตฺวา ชิโต ภวิสฺสติ , กสฺสจิ เต ปสยฺห กิฺจิ อจฺฉินฺนํ ภวิสฺสติ; ตสฺมา นิทฺโทโส หุตฺวาปิ อกฺโกสาทีนิ ปาปุณาสีติ เอวํ น อุปนยฺหนฺติ, เตสํ ปมาเทน อุปฺปนฺนมฺปิ เวรํ อิมินา อนุปนยฺหเนน นิรินฺธโน วิย ชาตเวโท อุปสมฺมตีติ. เป็นผู้อันบุคคลโน้นประหารแล้ว (ย่อมเป็น), เป็นผู้อันบุคคลโน้นชนะแล้ว (ย่อมเป็น), อ. บุคคลโน้น ได้ลักแล้ว ซึ่งสิ่งของ ของเรา ดังนี้ ชื่อ อ. เวร ย่อมไม่เข้าไปสงบวิเศษ; แต่ว่า (เมื่อภิกษุ) ไม่เข้าไปผูกไว้อยู่ (ซึ่งความโกรธ) อย่างนี้นั่นเทียว (อ. เวร) ย่อมเข้าไปสงบ ดังนี้ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า ก็ อ.ชน ท.เหล่าใด ย่อมเข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนั้น ว่า (อ.บุคคลโน้น) ด่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ฆ่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ลักแล้ว (ซึ่งสิ่งของ) ของเรา (ดังนี้), อ.เวร ของชน ท. เหล่านั้น ย่อมไม่สงบ ฯ ส่วนว่า อ.ชน ท. เหล่าใด ย่อมไม่เข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนั้น ว่า (อ.บุคคลโน้น) ด่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ฆ่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ลักแล้ว (ซึ่งสิ่งของ) ของเรา ดังนี้ อ.เวร ของชน ท. เหล่านั้น ย่อมเข้าไปสงบ ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า ด่าแล้ว (ดังนี้) ในบท ท. เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า อกฺโกจฺฉิ ดังนี้ฯ (อ. อรรถ) ว่า ประหารแล้ว (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า อวธิ ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา ด้วยการยังพยานโกง ให้ข้ามลงหรือ หรือว่าด้วยการกล่าวและการกล่าวตอบ หรือว่า ด้วยการกระท�ำให้ยิ่งกว่าการกระท�ำ (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า อชินิ ดังนี้ฯ (อ. อรรถ) ว่า ลักแล้ว ในวัตถุ ท. มีผ้าเป็นต้นหนา ซึ่งวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นเทียว อันเป็นของมีอยู่ แห่งเรา (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า อหาสิ ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า (อ. ชน ท.) เหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือ อ. เทพ ท. หรือ หรือว่าคือ อ. มนุษย์ ท. คือ อ. คฤหัสถ์ ท. หรือ หรือว่าคือ อ. บรรพชิต ท. ย่อมเข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนั้น คือว่า อันมีค�ำว่า (อ. บุคคลโน้น) ด่าแล้ว ซึ่งเรา ดังนี้เป็นต้นเป็นวัตถุ ราวกะ (อ. ชน ท. ) (ขันอยู่) ซึ่งแอก แห่งเกวียน ด้วยชะเนาะด้วย ราวกะ (อ. ชน ท.) ห่ออยู่ ซึ่งวัตถุ ท. มีปลาอันเน่าเป็นต้น ด้วยวัตถุ ท. มีหญ้าคาเป็นต้น บ่อย ๆ ด้วย, อ. เวร ของชน ท. เหล่านั้น อันเกิดขึ้นแล้ว คราวเดียว ย่อมไม่สงบ คือว่า ย่อมไม่เข้าไปสงบ (ดังนี้) (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า เย จ ตํ ดังนี้ เป็นต้น ฯ (อ. อรรถ) ว่า (อ. ชน ท. เหล่าใด ย่อมไม่เข้าไปผูกไว้ ซึ่งความ โกรธ นั้น คือว่า อันมีเหตุมีการด่าเป็นต้นเป็นที่ตั้ง ด้วยอ�ำนาจ แห่งความไม่ระลึกถึงและการไม่กระท�ำไว้ในใจ หรือ หรือว่าด้วยอ�ำนาจ แห่งการพิจารณาซึ่งกรรม อย่างนี้ ว่า (อ. บุคคล) ผู้มีโทษออกแล้ว บางคน เป็นผู้แม้อันท่านด่าแล้ว ในภพอันมีในก่อน จักเป็น, (อ. บุคคล ผู้มีโทษออกแล้ว บางคน) เป็นผู้ (อันท่าน) ประหารแล้ว จักเป็น, (อ. บุคคล ผู้มีโทษออกแล้ว บางคน) เป็นผู้ (อันท่าน) ยังพยานโกง ให้ข้ามลงแล้ว ชนะแล้ว จักเป็น, (อ.ภัณฑะ) อะไร ๆ ของใครๆ เป็นของ อันท่าน ครอบง�ำแล้ว แย่งชิงเอาแล้ว จักเป็น; เพราะเหตุนั้น อ. ท่าน เป็นผู้มีโทษออกแล้ว แม้เป็น จะถึง (ซึ่งเหตุ ท.) มีการด่า เป็นต้น ดังนี้ (อ. เวร) ของชน ท. เหล่านั้น แม้อันเกิดขึ้นแล้ว เพราะความประมาท ย่อมเข้าไปสงบ ด้วยการไม่เข้าไปผูกไว้นี้ อย่างนี้ ราวกะ อ. ไฟอันเกิดแล้ว อันไม่มีเชื้อ ดังนี้ (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 47.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 42 เทสนาปริโยสาเน สตสหสฺสภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณึสุ. ธมฺมเทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสิ. ทุพฺพโจปิ สุวโจ ชาโตติ. ติสฺสตฺเถรวตฺถุ. ๔. กาลียกฺขินิยา อุปฺปตฺติวตฺถุ. (๔) “น หิ เวเรน เวรานีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อญฺญตรํ วญฺฌิตฺถึ อารพฺภ กเถสิ. เอโก กิร กุฏุมฺพิกปุตฺโต, ปิตริ กาลกเต, เขตฺเต จ ฆเร จ สพฺพกมฺมานิ อตฺตนาว กโรนฺโต มาตรํ ปฏิชคฺคิ. อถสฺส มาตา “กุมาริกํ เต ตาต อาเนสฺสามีติ อาห. “อมฺม มา เอวํ วเทถ, อหํ ยาวชีวํ ตุมฺเห ปฏิชคฺคิสฺสามีติ. “ตาต เขตฺเต จ ฆเร จ กิจฺจํ ตฺวเมว กโรสิ, เตน มยฺหํ จิตฺตสุขํ นาม น โหติ, อาเนสฺสามิ เตติ. โส ปุนปฺปุนํ ปฏิกฺขิปิตฺวาปิ ตุณฺหี อโหสิ. สา เอกํ กุลํ คนฺตุํ เคหา นิกฺขมิ. อถ นํ ปุตฺโต “กตรกุลํ คจฺฉถาติ ปุจฺฉิตฺวา, “อสุกนฺนามาติ วุตฺเต, ตตฺถ คมนํ ปฏิเสเธตฺวา อตฺตโน อภิรุจิตํ กุลํ อาจิกฺขิ. สา ตตฺถ คนฺตฺวา กุมาริกํ วาเรตฺวา ทิวสํ ววฏฺ€เปตฺวา ตํ อาเนตฺวา ตสฺส ฆเร อกาสิ. สา วญฺฌา อโหสิ. อถ นํ มาตา “ปุตฺต ตฺวํ อตฺตโน รุจิยา กุมาริกํ อานาเปสิ, สา อิทานิ วญฺฌา ชาตา; ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ.ภิกษุแสนหนึ่งท. บรรลุแล้ว (ซึ่งอริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ฯ อ. พระธรรมเทศนา เป็นเทศนาไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แก่มหาชน ฯ (อ. พระเถระชื่อว่าติสสะ) แม้เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้ โดยยาก เป็นผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยง่าย เกิดแล้ว ดังนี้แล ฯ อ. เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าติสสะ (จบแล้ว) ฯ ๔.อ.เรื่องแห่งความเกิดขึ้น แห่งนางยักษิณีชื่อว่ากาลี (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ ซึ่งหญิงหมัน คนใดคนหนึ่ง ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า น หิ เวเรน เวรานิ ดังนี้เป็นต้น ฯ ได้ยินว่าอ.บุตรแห่งกุฎุมพีคนหนึ่ง,ครั้นเมื่อบิดาเป็นผู้มีกาละ อันกระท�ำแล้ว (เป็นอยู่), กระท�ำอยู่ ซึ่งการงานทั้งปวง ท. ในนา ด้วย ในเรือนด้วย ด้วยตนเทียว ปฏิบัติแล้ว ซึ่งมารดา ฯ ครั้งนั้น อ.มารดา ของบุตรของกุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว ว่า แน่ะพ่อ อ.เรา จักน�ำมา ซึ่งนางกุมาริกา เพื่อเจ้า ดังนี้ ฯ อ.บุตรของกุฏุมพีนั้น กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่แม่ อ.ท่าน ท. ขอจงอย่ากล่าว อย่างนี้, อ.กระผม จักปรนนิบัติ ซึ่งท่าน ท. ตลอดกาลเพียงไรแห่งชีวิต ดังนี้ฯ อ.มารดา กล่าวแล้ว ว่า แน่ะพ่อ อ.เจ้านั่นเทียว ย่อมกระท�ำ ซึ่งกิจในนาด้วย ในเรือนด้วย เพราะเหตุนั้น ชื่อ อ. ความสุขแห่งจิต ย่อมไม่มี แก่เรา, อ. เรา จักน�ำมา (นางกุมาริกา) เพื่อเจ้า ดังนี้ ฯ อ. บุตรนั้น แม้ห้ามแล้วบ่อย ๆ เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ อ. มารดานั้น ออกไปแล้ว จากเรือน เพื่ออันไป สู่ตระกูลหนึ่ง ฯ ครั้งนั้น อ. บุตร ถามแล้ว ซึ่งมารดานั้น ว่า อ. ท่าน ท. จะไป สู่ตระกูลไหนดังนี้,(ครั้นเมื่อค�ำ)ว่า(อ.เราจะไปสู่ตระกูล)ชื่อโน้น ดังนี้ (อันมารดา) กล่าวแล้ว, ห้ามแล้ว ซึ่งการไป ในตระกูลนั้น บอกแล้ว ซึ่งตระกูล อันอันตนชอบใจยิ่งแล้ว ฯ อ. มารดานั้น ไปแล้ว ในตระกูลนั้น ขอแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา ก�ำหนดแล้ว ซึ่งวัน น�ำมาแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา นั้น ได้กระท�ำแล้ว ในเรือน เพื่อบุตรนั้น ฯ อ. นางกุมาริกานั้น เป็นหญิงหมัน ได้เป็นแล้ว ฯ ครั้งนั้น อ.มารดา (กล่าวแล้ว) กะบุตรนั้น ว่า แน่ะลูก อ. เจ้า (ยังเรา) ให้น�ำมาแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา ตามความชอบใจ ของตน, ในกาลนี้ อ. นางกุมาริกานั้น เป็นหญิงหมัน เกิดแล้ว; www.kalyanamitra.org
  • 48.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย43 อปุตฺตกฺจ นาม กุลํ วินสฺสติ, ปเวณิ น ฆฏิยติ; เตน อฺํ เต กุมาริกํ อาเนสฺสามีติ, เตน “อลํ อมฺมาติ วุจฺจมานาปิ ปุนปฺปุนํ กเถสิ. วฺฌิตฺถี ตํ กถํ สุตฺวา “ปุตฺตา นาม มาตาปิตูนํ วจนํ อติกฺกมิตุํ น สกฺโกนฺติ, อิทานิ อฺํ วิชายินึ อิตฺถึ อาเนตฺวา มํ ทาสีโภเคน ภุฺชิสฺสติ, ยนฺนูนาหํ สยเมเวกํ กุมาริกํ อาเนยฺยนฺติ จินฺเตตฺวา เอกํ กุลํ คนฺตฺวา ตสฺสตฺถาย กุมาริกํ วาเรตฺวา “กินฺนาเมตํ อมฺม วเทสีติ เตหิ ปฏิกฺขิตฺตา “อหํ วฺฌา, อปุตฺตกํ กุลํ วินสฺสติ, ตุมฺหากํ ธีตา ปุตฺตํ ปฏิลภิตฺวา กุฏุมฺพสฺส สามินี ภวิสฺสติ, เทถ ตํ มยฺหํ สามิกสฺสาติ ยาจิตฺวา สมฺปฏิจฺฉาเปตฺวา อาเนตฺวา สามิกสฺส ฆเร อกาสิ. อถสฺสา เอตทโหสิ “สจายํ ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา ลภิสฺสติ, อยเมว กุฏุมฺพสฺส สามินี ภวิสฺสติ, ยถา ทารกํ น ลภติ; ตเถว นํ กาตุํ วฏฺฏตีติ. อถ นํ อาห “ยทา เต กุจฺฉิยํ คพฺโภ ปติฏฺ€าติ; ตทา เม อาโรเจยฺยาสีติ. สา “สาธูติ ปฏิสุตฺวา, คพฺเภ ปติฏฺ€ิเต, ตสฺสา อาโรเจสิ. ตสฺสา ปน สาเยว นิจฺจํ ยาคุภตฺตํ เทติ. อถสฺสา อาหาเรเนว สทฺธึ คพฺภปาตนเภสชฺชํ อทาสิ. คพฺโภ ปติ. ทุติยมฺปิ คพฺเภ ปติฏฺ€ิเต, ตสฺสา อาโรเจสิ. อิตราปิ ทุติยมฺปิ ตเถว ปาเตสิ. อถ นํ ปฏิวิสฺสกิตฺถิโย ปุจฺฉึสุ “กจฺจิ เต สปตฺตี อนฺตรายํ กโรตีติ. สา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา, “ อนฺธพาเล กสฺมา เอวมกาสิ? อยํ ตว อิสฺสริยภเยน คพฺภปาตน- เภสชฺชํ โยเชตฺวา เทติ, เตน เต คพฺโภ ปตติ, มา ปุน เอวมกาสีติ วุตฺตา, ตติยวาเร น กเถสิ. ก็ อ. ตระกูล ชื่อว่าไม่มีบุตร ย่อมฉิบหาย, อ. เชื้อสาย (อันบุตร) ย่อมไม่สืบต่อ; เพราะเหตุนั้น อ. เรา จักน�ำมา ซึ่งนางกุมาริกา คนอื่น แก่เจ้า ดังนี้, แม้ผู้อันบุตรนั้นกล่าวอยู่ ว่า ข้าแต่แม่ อ. อย่าเลย ดังนี้กล่าวแล้ว บ่อย ๆ ฯ อ.หญิงหมัน ฟังแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวนั้น คิดแล้วว่า ชื่อ อ.บุตร ท. ย่อมไม่อาจ เพื่ออันก้าวล่วง ซึ่งค�ำของมารดาและ บิดา ท., ในกาลนี้ อ.แม่ผัว น�ำมาแล้ว ซึ่งหญิง ผู้มีปกติคลอดอื่น จักใช้สอย ซึ่งเรา ด้วยการใช้สอย เพียงดังทาสี, ไฉนหนอ อ.เรา พึงน�ำมา ซึ่งนางกุมาริกา คนหนึ่ง เองนั่นเทียว ดังนี้ ไปแล้วสู่ตระกูล หนึ่ง ขอแล้ว ซึ่งนางกุมาริกา เพื่อประโยชน์แก่สามีนั้น ผู้อันชน ท. เหล่านั้น ห้ามแล้วว่า แนะแม่ อ.เจ้า ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำนั่น ชื่ออะไร ดังนี้อ้อนวอนแล้ว ว่า อ.เรา เป็นหญิงหมัน (ย่อมเป็น), อ.ตระกูล อันไม่มีบุตร ย่อมพินาศ, อ.ธิดา ของท่าน ท. ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งบุตร เป็นเจ้าของแห่งขุมทรัพย์ จักเป็น, อ.ท่าน ท. จงให้ ซึ่งธิดานั้น แก่สามี ของดิฉัน ดังนี้ ยังชน ท. เหล่านั้น ให้รับพร้อมเฉพาะแล้ว น�ำมาแล้ว ได้กระท�ำแล้ว ในเรือน ของสามี ฯ ครั้งนั้น อ. ความคิดนั่น ว่า ถ้าว่า อ. หญิงนี้จักได้ ซึ่งบุตร หรือ หรือว่า ซึ่งธิดาไซร้ , อ.หญิง นี้นั่นเทียว เป็นเจ้าของแห่งขุมทรัพย์ จักเป็น, อ. หญิงนี้จะไม่ได้ ซึ่งเด็ก โดยประการใด; อ. อัน (อันเรา) กระท�ำ ซึ่งหญิงนั้น โดยประการนั้นนั่นเทียว ย่อมควร ดังนี้ ได้มีแล้ว แก่หญิงหมันนั้น ฯ ครั้งนั้น (อ.หญิงหมันนั้น) กล่าวแล้ว ว่า อ.สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ย่อมตั้งอยู่เฉพาะ ในท้องของเธอ ในกาลใด อ.เธอ พึงบอก แก่เรา ในกาลนั้น ดังนี้กะหญิงนั้น ฯ อ. หญิงนั้น ฟังตอบแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้, ครั้นเมื่อสัตว์ ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว, บอกแล้ว แก่หญิงหมันนั้น ฯ ก็ อ. หญิงหมันนั้นนั่นเทียว ย่อมให้ ซึ่งข้าวต้มและข้าวสวย แก่หญิงนั้น เนืองนิตย์ ฯ ครั้งนั้น (อ. หญิงหมันนั้น) ได้ให้แล้ว ซึ่งยาเป็นเครื่องยังสัตว์ ผู้เกิดแล้วในครรภ์ให้ตกไป กับ ด้วยอาหารนั่นเทียว แก่หญิงนั้น ฯ อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ตกไปแล้ว ฯ ครั้นเมื่อสัตว์ผู้เกิดแล้ว ในครรภ์ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว แม้ในครั้งที่สอง, (อ. หญิงนั้น) บอกแล้ว แก่หญิงหมันนั้น ฯ อ.หญิงหมันแม้นอกนี้(ยังสัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์) ให้ตกไปแล้ว อย่างนั้นนั่นเทียว แม้ครั้งที่สอง ฯ ครั้งนั้น อ. หญิงผู้คุ้นเคย ท. ถามแล้ว ซึ่งหญิงนั้น ว่า อ. หญิง ผู้เป็นไปกับด้วยผัว ย่อมกระท�ำ ซึ่งอันตราย แก่เธอ แลหรือ ดังนี้ ฯ อ. หญิงนั้น บอกแล้ว ซึ่งเนื้อความนั้น, (ผู้อันหญิง ท. เหล่านั้น)กล่าวแล้ว ว่า แน่ะหญิงผู้อันธพาล อ.เธอ ได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้เพราะเหตุอะไร? อ. หญิงนี้ประกอบแล้ว ซึ่งยาเป็นเครื่อง ยังสัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ให้ตกไป ย่อมให้ แก่เธอ เพราะกลัว แต่ความเป็นใหญ่, เพราะเหตุนั้น อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ของเธอ ย่อมตกไป, อ. เธอ อย่าได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ อีก ดังนี้, ไม่บอกแล้ว ในวาระที่สาม ฯ www.kalyanamitra.org
  • 49.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 44 อถสฺสา อิตรา อุทรํ ทิสฺวา “กสฺมา มยฺหํ คพฺภสฺส ปติฏฺ€ิตภาวํ น กเถสีติ วตฺวา, “ตฺวํ มํ อาเนตฺวา เทฺว วาเร คพฺภํ ปาเตสิ, กิมตฺถํ ตุยฺหํ กเถมีติ วุตฺเต, “นฏฺ€าทานิมฺหีติ จินฺเตตฺวา, ตสฺสา ปมาทํ โอโลเกนฺตี, ปริณเต คพฺเภ, โอกาสํ ลภิตฺวา เภสชฺชํ โยเชตฺวา อทาสิ. คพฺโภ ปริณตตฺตา ปติตุํ อสกฺโกนฺโต ติริยํ นิปชฺชิ. ติพฺพา ขรา เวทนา อุปฺปชฺชิ. ชีวิตสํสยํ ปาปุณิ. สา “นาสิตมฺหิ ตยา, ตฺวเมว มํ อาเนตฺวา ตโย ทารเก นาเสสิ; อิทานิ สยํปิ นสฺสามิ, อิโตทานิ จุตา ยกฺขินี หุตฺวา ตว ทารเก ขาทิตุํ สมตฺถา หุตฺวา นิพฺพตฺเตยฺยนฺติ ปตฺถนํ €เปตฺวา กาลํ กตฺวา ตสฺมึเยว เคเห มชฺชารี หุตฺวา นิพฺพตฺติ. อิตรํปิ สามิโก คเหตฺวา “ตยา เม กุลุปจฺเฉโท กโตติ กปฺปรชนฺนุกาทีหิ สุโปถิตํ โปเถสิ. สา เตเนวาพาเธน กาลํ กตฺวา ตตฺเถว กุกฺกุฏี หุตฺวา นิพฺพตฺติ. น จิรสฺเสว กุกฺกุฏี อณฺฑานิ วิชายิ. มชฺชารี อาคนฺตฺวา ตานิ ขาทิ. ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ขาทิเยว. กุกฺกุฏี “ตโย วาเร มม อณฺฑานิ ขาทิตฺวา, อิทานิ มํปิ ขาทิตุกามาสิ; อิโตทานิ จุตา ตํ สปุตฺตกํ ขาทิตุํ ลเภยฺยนฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ตโต จุตา ทีปินี หุตฺวา นิพฺพตฺติ. อิตราปิ มิคี หุตฺวา นิพฺพตฺติ. ตสฺสา วิชาตวิชาตกาเล ทีปินี อาคนฺตฺวา ตโย วาเร ปุตฺตเก ขาทิ. มิคี มรณกาเล “อิมาย เม ติกฺขตฺตุํ ปุตฺตา ขาทิตา, อิทานิ มํปิ ขาทิสฺสติ; ครั้งนั้น อ. หญิงหมันนอกนี้ เห็นแล้ว ซึ่งท้องของหญิงนั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. ท่าน ไม่บอกแล้ว ซึ่งความที่แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว ในครรภ์เป็นผู้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว แก่เรา เพราะเหตุอะไร ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ท่าน น�ำมาแล้ว ซึ่งดิฉัน ยังสัตว์ผู้เกิดแล้ว ในครรภ์ ให้ตกไปแล้ว สิ้นวาระ ท. สอง, อ. ดิฉัน จะบอก แก่ท่าน เพื่อประโยชน์ อะไร ดังนี้ (อันหญิงนั้น) กล่าวแล้ว, คิดแล้ว ว่า อ. เรา เป็นผู้ฉิบหายแล้ว ย่อมเป็น ในกาลนี้ ดังนี้, แลดูอยู่ ซึ่งความพลั้งเผลอ แห่งหญิงนั้น, ครั้นเมื่อสัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ แก่รอบแล้ว, ได้แล้ว ซึ่งโอกาส ประกอบแล้ว ซึ่งยา ได้ให้แล้ว ฯ อ. สัตว์ผู้เกิดแล้วในครรภ์ ไม่อาจอยู่ เพื่ออันตกไป เพราะความที่- แห่งครรภ์เป็นสภาพแก่รอบแล้ว นอนแล้ว ขวาง ฯ อ. เวทนา กล้า แข็ง เกิดขึ้นแล้ว ฯ (อ. หญิงนั้น) ถึงแล้ว ซึ่งความสงสัยในชีวิต ฯ อ. หญิงนั้น ตั้งไว้แล้ว ซึ่งความปรารถนา ว่า อ. เรา เป็นผู้- อันท่านให้ฉิบหายแล้ว ย่อมเป็น,อ.ท่านนั่นเทียวน�ำมาแล้วซึ่งเรา ยังเด็ก ท. สาม ให้ฉิบหายแล้ว, ในกาลนี้อ. เรา จะฉิบหาย แม้เอง, (อ. เรา) เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนี้ในกาลนี้เป็นนางยักษิณี เป็น เป็นผู้สามารถ เพื่ออันเคี้ยวกิน ซึ่งเด็ก ท. ของท่าน เป็น พึงบังเกิด ดังนี้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ เป็นนางแมว เป็น บังเกิดแล้ว ในเรือน นั้นนั่นเทียว ฯ อ. สามี จับแล้ว ซึ่งหญิงหมันแม้นอกนี้ (กล่าวแล้ว) ว่า อ. การเข้าไปตัดซึ่งตระกูล ของเรา อันท่าน กระท�ำแล้ว ดังนี้ โบยแล้ว โบยแล้วด้วยดี (ด้วยอวัยวะ ท.) มีศอกและเข่าเป็นต้น ฯ อ. หญิงหมันนั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ ด้วยความเจ็บนั้น นั่นเทียว เป็นแม่ไก่ เป็น บังเกิดแล้ว ในเรือนนั้นนั่นเทียว ฯ อ. แม่ไก่ ตกแล้ว ซึ่งฟองไข่ ท. ต่อกาลไม่นานนั่นเทียว ฯ อ. นางแมว มาแล้ว เคี้ยวกินแล้ว ซึ่งฟองไข่ ท. เหล่านั้น ฯ (อ. นางแมว) เคี้ยวกินแล้ว แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม นั่นเทียว ฯ อ.แม่ไก่กระท�ำแล้วซึ่งความปรารถนาว่าอ.ท่านเคี้ยวกินแล้ว ซึ่งฟองไข่ ท. ของเรา สิ้นวาระ ท. สาม, เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเคี้ยวกิน แม้ซึ่งเรา ย่อมเป็น ในกาลนี้; (อ. เรา) เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนี้ ในกาลนี้พึงได้ เพื่ออันเคี้ยวกิน ซึ่งท่าน ผู้เป็นไปกับด้วยบุตร ดังนี้ เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนั้น เป็นแม่เสือเหลือง เป็น บังเกิดแล้ว ฯ อ. นางแมวแม้นอกนี้เป็นแม่เนื้อ เป็น บังเกิดแล้ว ฯ อ.แม่เสือเหลือง มาแล้วเคี้ยวกินแล้วซึ่งลูกน้อยท.สิ้นวาระท. ๓ ในกาลแห่งแม่เนื้อนั้น คลอดแล้วและคลอดแล้ว ฯ อ. แม่เนื้อ กระท�ำแล้ว ซึ่งความปรารถนา ในกาลเป็นที่ตาย ว่า อ. บุตร ท. ของเรา อันแม่เสือเหลืองนี้ เคี้ยวกินแล้ว ๓ ครั้ง, อ. แม่เสือเหลือง จักเคี้ยวกิน แม้ซึ่งเรา ในกาลนี้; www.kalyanamitra.org
  • 50.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย45 อิโตทานิ จุตา เอตํ สปุตฺตกํ ขาทิตุํ ลเภยฺยนฺติ ปตฺถนํ กตฺวา กาลํ กตฺวา ยกฺขินี หุตฺวา นิพฺพตฺติ. ทีปินีปิ ตโต จุตา สาวตฺถิยํ กุลธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติ. สา วุฑฺฒิปฺปตฺตา ทฺวารคาเม ปติกุลํ อคมาสิ. อปรภาเค ปุตฺตํ วิชายิ. ยกฺขินี ตสฺสา ปิ ยสหายิกาวณฺเณน อาคนฺตฺวา “ กุหึ เม สหายิกาติ ปุจฺฉิ. “อนฺโตคพฺเภ วิชาตาติ อาหํสุ. สา ตํ สุตฺวา “ปุตฺตํ นุ โข วิชาตา อุทาหุ ธีตรํ, ปสฺสิสฺสามิ นนฺติ, ปวิสิตฺวา ปสฺสนฺตี วิย ทารกํ คเหตฺวา ขาทิตฺวา คตา. ทุติยวาเรปิ ตเถว ขาทิ. ตติยวาเร อิตรา ครุคพฺภา หุตฺวา สามิกํ อามนฺเตตฺวา “สามิ อิมสฺมึ €าเน เอกา ยกฺขินี มม เทฺว ปุตฺเต ขาทิตฺวา คตา, อิทานิ มม กุลเคหํ คนฺตฺวา วิชายิสฺสามีติ กุลเคหํ คนฺตฺวา วิชายิ. ตทา สา ยกฺขินี อุทกวารํ คตา โหติ. เวสฺสวณสฺส หิ ยกฺขินิโย วาเรน อโนตตฺตโต สีสปรมฺปราย อุทกํ อาหรนฺติโย จาตุมฺมาสจฺจเยนปิ ปฺจมาสจฺจเยนปิ มุจฺจนฺติ. อปรา กิลนฺตกายา ชีวิตกฺขยํปิ ปาปุณนฺติ. สา ปน อุทกวารโต มุตฺตมตฺตาว เวเคน ตํ ฆรํ คนฺตฺวา “กุหึ เม สหายิกาติ ปุจฺฉิ. “กุหึ นํ ปสฺสิสฺสสิ, ตสฺสา อิมสฺมึ €าเน ชาตทารเก ยกฺขินี ขาทติ; ตสฺมา กุลเคหํ คตาติ. สา “ยตฺถ วา ตตฺถ วา คจฺฉตุ, นเม มุจฺจิสฺสตีติ เวรเวคสมุสฺสาหิตา นคราภิมุขี ปกฺขนฺทิ. อิตราปิ นามคฺคหณทิวเส ตํ ทารกํ นหาเปตฺวา นามํ กตฺวา “สามิ อิทานิ อ. เรา เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนี้ในกาลนี้พึงได้ เพื่ออันเคี้ยวกิน ซึ่งแม่เสือเหลืองนั่น ผู้เป็นไปกับด้วยบุตร ดังนี้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ เป็นนางยักษิณี เป็น บังเกิดแล้ว ฯ แม้ อ. แม่เสือเหลือง เคลื่อนแล้ว จากอัตภาพนั้น เป็นกุลธิดา เป็น บังเกิดแล้ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ อ. กุลธิดานั้น ผู้ถึงแล้วซึ่งความเจริญ ได้ไปแล้ว สู่ตระกูลแห่งผัว ในบ้านใกล้ประตู ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก (อ. กุลธิดานั้น) คลอดแล้ว ซึ่งบุตร ฯ อ. นางยักษิณี มาแล้ว ด้วยเพศแห่งหญิงสหายผู้เป็นที่รัก ของหญิงนั้น ถามแล้ว ว่า อ. หญิงสหาย ของดิฉัน (ย่อมอยู่) ในที่ไหน ดังนี้ ฯ (อ. ชน ท.) กล่าวแล้ว ว่า (อ. หญิงสหาย ของท่าน) คลอดแล้ว ในภายในแห่งห้อง ดังนี้ฯ อ.นางยักษิณีนั้นฟังแล้วซึ่งค�ำนั้น(กล่าวแล้ว)ว่า(อ.หญิงสหาย) คลอดแล้ว ซึ่งลูกชาย หรือหนอแล หรือว่า (อ. หญิงสหาย คลอดแล้ว) ซึ่งลูกสาว, อ. เรา จักเห็น ซึ่งเด็กนั้น ดังนี้, เข้าไปแล้ว เป็นราวกะว่า ดูอยู่ (เป็น) จับแล้ว ซึ่งเด็ก เคี้ยวกินแล้ว ไปแล้ว ฯ (อ. นางยักษิณี) เคี้ยวกินแล้ว อย่างนั้นนั่นเทียว แม้ในวาระ ที่สอง ฯ ในวาระที่สาม อ. หญิงนอกนี้ เป็นผู้มีครรภ์อันหนัก เป็น เรียกมาแล้ว ซึ่งสามี (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย อ. นางยักษิณี ตนหนึ่ง เคี้ยวกินแล้ว ซึ่งบุตร ท. ๒ ของเรา ในที่นี้ไปแล้ว, ในกาลนี้ อ. ดิฉัน ไปแล้ว สู่เรือนแห่งตระกูล ของดิฉัน จักคลอด ดังนี้ไปแล้ว สู่เรือนแห่งตระกูล คลอดแล้ว ฯ ในกาลนั้น อ. นางยักษิณีนั้น เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งวาระแห่งน�้ำ ย่อมเป็น ฯ จริงอยู่ อ. นางยักษิณี ท. น�ำมาอยู่ ซึ่งน�้ำ โดยอันสืบ ๆ แห่งศีรษะ จากสระชื่อว่าอโนดาต ตามวาระ เพื่อท้าวเวสสุวัณ ย่อมพ้น โดยอันล่วงไปแห่งประชุมแห่งเดือนสี่บ้าง โดยอันล่วงไป แห่งประชุมแห่งเดือนห้าบ้าง ฯ อ. นางยักษิณี ท. เหล่าอื่นอีก ผู้มีกายอันบอบช�้ำแล้ว ย่อมถึง แม้ซึ่งความสิ้นไปแห่งชีวิต ฯ ก็ อ. นางยักษิณีนั้น ผู้สักว่าพ้นแล้ว จากวาระแห่งน�้ำเทียว ไปแล้ว สู่เรือนนั้น โดยเร็ว ถามแล้ว ว่า อ. หญิงสหาย ของดิฉัน (ไปแล้ว) ในที่ไหน ดังนี้ฯ (อ.ชนท.กล่าวแล้ว)ว่าอ.ท่านจักเห็น ซึ่งหญิงนั้นในที่ไหน, อ. นางยักษิณี ย่อมเคี้ยวกิน ซึ่งเด็กผู้เกิดแล้ว ท. ในที่นี้ของหญิง นั้น; เพราะเหตุนั้น (อ. หญิงนั้น) ไปแล้ว สู่เรือนแห่งตระกูล ดังนี้ฯ อ. นางยักษิณีนั้น (คิดแล้ว) ว่า (อ. หญิงนั้น) จงไป ในที่ใด หรือ หรือว่า ในที่นั้น, (อ. หญิงนั้น) จักไม่พ้น จากเรา ดังนี้ ผู้อันก�ำลังแห่งเวรให้อาจหาญขึ้นพร้อมแล้ว ผู้มีหน้าเฉพาะ ต่อเมือง แล่นไปแล้ว ฯ อ. หญิงแม้นอกนี้ ยังเด็กนั้นให้อาบแล้ว ในวันเป็นที่ถือเอาซึ่งชื่อ กระท�ำแล้ว ซึ่งชื่อ (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย ในกาลนี้ www.kalyanamitra.org
  • 51.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 46 สกฆรํ คจฺฉามาติ ปุตฺตํ อาทาย สามิเกน สทฺธึ วิหารมชฺฌคเตน มคฺเคน คจฺฉนฺตี ปุตฺตํ สามิกสฺส ทตฺวา วิหารโปกฺขรณิยํ นหาตฺวา อุตฺตริตฺวา ปุตฺตํ คเหตฺวา, สามิเก นหายนฺเต, ปุตฺตํ ปายมานา €ิตา, ยกฺขินึ อาคจฺฉนฺตึ ทิสฺวา สฺชานิตฺวา “สามิ เวเคน เอหิ, อยํ สา ยกฺขินีติ อุจฺจาสทฺทํ กตฺวา, ยาว ตสฺสาคมนํ สณฺ€าตุํ อสกฺโกนฺตี นิวตฺติตฺวา อนฺโตวิหาราภิมุขี ปกฺขนฺทิ. ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริสมชฺเฌ ธมฺมํ เทเสติ. สา ปุตฺตํ ตถาคตสฺส ปาทปิฏฺเ€ นิปชฺชาเปตฺวา “ ตุมฺหากํ มยา เอส ทินฺโน , ปุตฺตสฺส เม ชีวิตํ เทถาติ อาห. ทฺวารโกฏฺ€เก อธิวตฺโถ สุมนเทโว ยกฺขินิยา อนฺโต ปวิสิตุํ นาทาสิ. สตฺถา อานนฺทตฺเถรํ อามนฺเตตฺวา “คจฺฉานนฺท ตํ ยกฺขินึ ปกฺโกสาติ อาห. เถโร ตํ ปกฺโกสิ. อิตรา “อยํ ภนฺเต อาคจฺฉตีติ อาห. สตฺถา “เอตุ, มา สทฺทํ อกาสีติ วตฺวา, ตํ อาคนฺตฺวา €ิตํ “กสฺมา เอวํ กโรสิ? สเจ หิ ตุมฺเห มาทิสสฺส พุทฺธสฺส สมฺมุขีภาวํ นาคมิสฺสถ, อหินกุลานํ วิย เวรํ อจฺฉผนฺทนานํ วิย กาโกฬุกานํ วิย จ กปฺปฏฺ€ิติกํ โว เวรํ อภวิสฺส, กสฺมา เวรปฏิเวรํ กโรถ? เวรํ หิ อเวเรน อุปสมฺมติ, โน เวเรนาติ วตฺวา อิมํ คาถมาห “น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ. อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโนติ. ตตฺถ “น หิ เวเรนาติ: ยถา หิ เขฬสิงฺฆาณิกาทิ- อสุจิมกฺขิตฏฺ€านํ เตเหว อสุจีหิ โธวนฺโตปิ อ. เรา ท. จงไป สู่เรือนอันเป็นของตน ดังนี้ พาเอา ซึ่งบุตร ไปอยู่ โดยหนทาง อันไปแล้วในท่ามกลางแห่งวิหาร กับ ด้วยสามี ให้แล้ว ซึ่งบุตรแก่สามี อาบแล้ว ในสระโบกขรณีใกล้วิหาร ข้ามขึ้นแล้ว รับแล้ว ซึ่งบุตร, ครั้นเมื่อสามี อาบอยู่, ยืนยังบุตร ให้ดื่มอยู่แล้ว(ซึ่งน�้ำนม),เห็นแล้วซึ่งนางยักษิณีผู้มาอยู่รู้พร้อมแล้ว กระท�ำแล้ว ซึ่งเสียงสูง ว่า ข้าแต่นาย อ. ท่าน จงมา โดยเร็ว, (อ.หญิงนี้) เป็นนางยักษิณีนั้น (ย่อมเป็น) ดังนี้, ไม่อาจอยู่ เพื่ออันด�ำรงอยู่พร้อม เพียงใด ซึ่งอันมา แห่งสามีนั้น กลับแล้ว ผู้มีหน้าเฉพาะต่อภายในแห่งวิหาร แล่นไปแล้ว ฯ ในสมัยนั้น อ. พระศาสดา ทรงแสดงอยู่ ซึ่งธรรม ในท่ามกลาง แห่งบริษัทฯ อ.กุลธิดานั้น ยังบุตร ให้นอนแล้ว ที่หลังแห่งพระบาท ของพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้ว ว่า อ. บุตรนั่น อันหม่อมฉัน ถวายแล้ว แก่พระองค์ ท., อ. พระองค์ ท. ขอจงประทาน ซึ่งชีวิต แก่บุตร ของหม่อมฉันเถิด ดังนี้ฯ อ. สุมนเทพ ผู้สิงอยู่แล้ว ที่ซุ้มแห่งประตู ไม่ได้ให้แล้ว เพื่ออัน เข้าไป ในภายใน แก่นางยักษิณี ฯ อ. พระศาสดา ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่าอานนท์ ตรัสแล้วว่า ดูก่อนอานนท์ อ. เธอ จงไป จงร้องเรียก ซึ่งนางยักษิณี นั้น ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ ร้องเรียกแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนั้น ฯ อ. กุลธิดานอกนั้น กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. นางยักษิณีนี้ย่อมมา ดังนี้ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า (อ. นางยักษิณีนั่น) จงมาเถิด, อ. เธอ อย่าได้กระท�ำแล้ว ซึ่งเสียง ดังนี้, ตรัสแล้ว กะนางยักษิณีนั้น ผู้มาแล้ว ยืนแล้ว ว่า อ. เธอ ย่อมกระท�ำ อย่างนี้เพราะเหตุอะไร ? ก็ ถ้าว่า อ. เธอ ท. จักไม่มาแล้ว สู่ความเป็นแห่งบุคคลผู้มีหน้าพร้อม ต่อพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยเราไซร้ , อ.เวร ของเธอ ท. เป็นเวรตั้งอยู่ตลอดกัปป ์ จักได้เป็นแล้ว ราวกะ อ. เวรของงูเห่าและ พังพอน ท. ด้วย ราวกะ (อ. เวร) ของหมีและไม้สะคร้อ ท. ด้วย ราวกะ (อ.เวร) ของกาและนกเค้า ท. ด้วย, อ. เธอ ท. ย่อมกระท�ำ ซึ่งเวรและเวรตอบ เพราะเหตุอะไร ? เพราะว่า อ. เวร ย่อมเข้าไปสงบ ด้วยความไม่มีเวร, (อ. เวร) ย่อมไม่เข้าไปสงบ ด้วยเวร ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา นี้ว่า ก็ อ. เวร ท. ในโลกนี้ ย่อมไม่สงบ ด้วยเวร ในกาลไหน ๆ, แต่ว่า (อ. เวร ท.) ย่อมสงบ ด้วยความไม่มีแห่งเวร อ.ธรรมนั่น เป็นธรรมเก่า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า เหมือนอย่างว่า (อ. บุคคล) แม้ล้างอยู่ ซึ่งที่อันอันของไม่สะอาดมีน�้ำลายและน�้ำมูกเป็นต้นเปื้อนแล้ว ด้วยของไม่สะอาด ท. เหล่านั้นนั่นเทียว www.kalyanamitra.org
  • 52.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย47 สุทฺธํ นิคฺคนฺธํ กาตุํ น สกฺโกติ, อถโข ตํ €านํ ภิยฺโยโส มตฺตาย อสุทฺธตรฺจ ทุคฺคนฺธตรฺจ โหติ; เอวเมว อกฺโกสนฺตํ ปจฺจกฺโกสนฺโต ปหรนฺตํ ปฏิปฺปหรนฺโต เวเรน เวรํ วูปสเมตุํ น สกฺโกติ, อถโข ภิยฺโย ภิยฺโย เวรเมว กโรติ. อิติ เวรานิ นาม เวเรน กิสฺมิฺจิปิ กาเล น สมฺมนฺติ, อถโข วฑฺฒนฺติเยว. อเวเรน จ สมฺมนฺตีติ: ยถา ปน ตานิ เขฬาทีนิ อสุจีนิ วิปฺปสนฺเนน อุทเกน โธวิยมานานิ วินสฺสนฺติ, ตํ €านํ สุทฺธํ โหติ นิคฺคนฺธํ; เอวเมว อเวเรน ขนฺติเมตฺโตทเกน โยนิโสมนสิกาเรน ปจฺจเวกฺขเณน เวรานิ วูปสมฺมนฺติ ปฏิปฺปสฺสมฺภนฺติ อภาวํ คจฺฉนฺติ. เอส ธมฺโม สนนฺตโนติ: เอส อเวเรน เวรวูปสมนสงฺขาโต โปราณโก ธมฺโม สพฺเพสํ พุทฺธปจฺเจกพุทฺธขีณาสวานํ คตมคฺโคติ. คาถาปริโยสาเน สา ยกฺขีนี โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€หิ. สมฺปตฺตปริสายปิ เทสนา สาตฺถิกา อโหสิ. สตฺถา ตํ อิตฺถึ อาห “เอติสฺสา ตว ปุตฺตํ เทหีติ. “ภายามิ ภนฺเตติ. “มา ภายิ, นตฺถิ เต เอตํ นิสฺสาย ปริปนฺโถติ. สา ปุตฺตํ ตสฺสา อทาสิ. สา ตํ คเหตฺวา จุมฺพิตฺวา อาลิงฺคิตฺวา ปุน มาตุเยว ทตฺวา โรทิตุํ อารภิ. อถ นํ สตฺถา “กิเมตนฺติ ปุจฺฉิ. “ภนฺเต อหํ ปุพฺเพ ยถา ตถา ชีวิตํ กปฺเปนฺตีปิ กุจฺฉิปูรํ นาม นาลตฺถํ, อิทานิ กถํ ชีวิสฺสามีติ. อถ นํ สตฺถา “มา จินฺตยีติ สมสฺสาเสตฺวา, ตํ อิตฺถึ อาห “อิมํ เนตฺวา อตฺตโน เคเห นิวาสาเปตฺวา อคฺคยาคุภตฺเตหิ ปฏิชคฺคาหีติ. ย่อมไม่อาจ เพื่ออันกระท�ำให้เป็นที่หมดจดแล้ว ให้เป็นที่ มีกลิ่นออกแล้ว, โดยที่แท้ อ. ที่นั้น เป็นที่ไม่หมดจดแล้วกว่าด้วย เป็นที่มีกลิ่นชั่วกว่าด้วย ย่อมเป็น โดยยิ่ง โดยประมาณ ฉันใด, (อ. บุคคล) ด่าตอบอยู่ ซึ่งบุคคลผู้ด่าอย ประหารตอบอยู่ ซึ่งบุคคล ผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจ เพื่ออันยังเวรให้เข้าไปสงบวิเศษ ด้วยเวร, โดยที่แท้ (อ.บุคคลนั้น) ย่อมกระท�ำ ซึ่งเวร ยิ่งๆ นั่นเทียว ฉันนั้น นั่นเทียว ฯ ชื่อ อ. เวร ท. ย่อมไม่สงบ ด้วยเวร ในกาลแม้ไหนๆ โดยที่แท้ (อ. เวร ท.) ย่อมเจริญนั่นเทียว ด้วยประการฉะนี้(ดังนี้) ในบท ท. เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า น หิ เวเรน ดังนี้เป็นต้น ฯ (อ. อรรถ) ว่า เหมือนอย่างว่า อ. ของไม่สะอาด ท. มีน�้ำลาย เป็นต้น เหล่านั้น อันอันบุคคลล้างอยู่ ด้วยน�้ำ อันใสวิเศษแล้ว ย่อมเลือนหาย, อ.ที่นั้น เป็นที่หมดจดแล้ว เป็นที่มีกลิ่นออกแล้ว ย่อมเป็น ฉันใด ; อ. เวร ท. ย่อมเข้าไปสงบวิเศษ คือว่า ย่อมระงับเฉพาะ คือว่า ย่อมถึง ซึ่งความไม่มี ด้วยความไม่มีเวร คือว่า ด้วยน�้ำคือขันติและเมตตา คือว่า ด้วยการกระท�ำไว้ในใจ โดยแยบคาย คือว่า ด้วยการพิจารณา ฉันนั้นนั่นเทียว (ดังนี้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ดังนี้ฯ (อ. อรรถ) ว่า อ.ธรรม นั่น คือว่า อันบัณฑิตนับพร้อมแล้ว ว่าการยังเวรให้เข้าไปสงบวิเศษ ด้วยความไม่มีเวร เป็นธรรมเก่า คือว่า เป็นหนทางแห่งพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าและ พระขีณาสพ ท. ทั้งปวง ไปแล้ว (ย่อมเป็น) ดังนี้ (แห่งบาท แห่งพระคาถา) ว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ดังนี้ ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ.นางยักษิณีนั้น ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผลฯ อ.เทศนาเป็นเทศนาเป็นไป กับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว กะหญิงนั้น ว่า อ. เธอ จงให้ ซึ่งบุตร ของเธอ แก่นางยักษิณีนั่น ดังนี้ฯ (อ. หญิงนั้น ทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. หม่อนฉัน ย่อมกลัว ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า อ. เธอ อย่ากลัวแล้ว, อ.อันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบย่อมไม่มี แก่เธอเพราะอาศัย ซึ่งนางยักษิณีนั่น ดังนี้ฯ อ.หญิงนั้น ได้ให้แล้ว ซึ่งบุตร แก่นางยักษิณีนั้น ฯ อ. นางยักษิณีนั้น รับแล้ว ซึ่งบุตรนั้น จูบแล้ว สวมกอดแล้ว ให้แล้ว แก่มารดาอีกนั่นเทียว เริ่มแล้ว เพื่ออันร้องไห้ ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนั้น ว่า อ. เหตุนั่น อะไร ดังนี้ฯ (อ. นางยักษิณีนั้น กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลก่อน อ. หม่อมฉัน แม้ส�ำเร็จอยู่ ซึ่งชีวิต โดยประการใด โดยประการนั้น ไม่ได้ได้แล้ว (ซึ่งอาหารวัตถุ) ชื่ออันยังท้องให้เต็ม, ในกาลนี้อ.หม่อมฉัน จักเป็นอยู่ อย่างไร ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ทรงยังนางยักษิณีนั้น ให้หายใจออก คล่องดีแล้ว(ด้วยพระด�ำรัส)ว่า(อ.เธอ)อย่าคิดแล้วดังนี้ตรัสแล้ว กะหญิงนั้น ว่า อ. เธอ น�ำไปแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนี้ ให้เข้าอยู่แล้ว ในเรือน ของตน จงปฏิบัติ ด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอันเลิศ ท. ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 53.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 48 สา ตํ เนตฺวา ปิฏฺ€ิวํเส ปติฏฺ€าเปตฺวา อคฺคยาคุภตฺเตหิ ปฏิชคฺคิ. ตสฺสา วีหิปหรณกาเล มุสลํ มุทฺธํ ปหรนฺตํ วิย อุปฏฺ€าติ. สา สหายิกํ อามนฺเตตฺวา “อิมสฺมึ €าเน วสิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อฺตฺถ มํ ปติฏฺ€าเปหีติ วตฺวา, มุสลสาลายํ อุทกจาฏิยํ อุทฺธเน นิมฺพโกเส สงฺการกูเฏ คามทฺวาเรติ เอเตสุ €าเนสุ ปติฏฺ€าปิตาปิ, “อิธ เม มุสลํ สีสํ ภินฺทนฺตํ วิย อุปฏฺ€าติ, อิธ ทารกา อุจฺฉิฏฺ€ุทกํ โอตาเรนฺติ, อิธ สุนขา นิปชฺชนฺติ, อิธ ทารกา อสุจึ กโรนฺติ, อิธ กจวรํ ฉฑฺเฑนฺติ, อิธ คามทารกา ลกฺขโยคฺคํ กโรนฺตีติ สพฺพานิ ตานิ ปฏิกฺขิปิ. อถ นํ พหิคาเม วิวิตฺโตกาเส ปติฏฺ€าเปตฺวา ตตฺถ ตสฺสา อคฺคยาคุภตฺตาทีนิ หริตฺวา ปฏิชคฺคิ. สา ยกฺขินี เอวํ จินฺเตสิ “อยํ เม สหายิกา อิทานิ พหูปการา, หนฺทาหํ กิฺจิ ปฏิคุณํ กโรมีติ, “อิมสฺมึ สํวจฺฉเร สุพฺพุฏฺ€ิกา ภวิสฺสติ, ถลฏฺ€าเน สสฺสํ กโรหิ, อิมสฺมึ สํวจฺฉเร ทุพฺพุฏฺ€ิกา ภวิสฺสติ, นินฺนฏฺ€าเนเยว สสฺสํ กโรหีติ สหายิกาย อาโรเจสิ. เสสชเนหิ กตสสฺสํ อติอุทเกน วา อโนทเกน วา นสฺสติ. ตสฺสา สสฺสํ อติวิย สมฺปชฺชติ. อถ นํ “อมฺม ตยา กตํ สสฺสํ เนว อจฺโจทเกน นสฺสติ, น อโนทเกน นสฺสติ; สุพฺพุฏฺ€ิทุพฺพุฏฺ€ิภาวํ ตฺวา กมฺมํ กโรสิ, กึ นุ โข เอตนฺติ ปุจฺฉึสุ. “อมฺหากํ สหายิกา ยกฺขินี สุพฺพุฏฺ€ิทุพฺพุฏฺ€ิภาวํ อาจิกฺขติ, มยํ ตสฺสา วจเนน ถลนินฺเนสุ สสฺสานิ กโรม, อ. หญิงนั้น น�ำไปแล้ว ซึ่งนางยักษิณีนั้น ให้ด�ำรงอยู่แล้ว ในโรงแห่งครกกระเดื่อง ปฏิบัติแล้ว ด้วยข้าวต้มและข้าวสวย อันเลิศ ท. ฯ อ.สาก ย่อมปรากฏ แก่นางยักษิณีนั้น ราวกะว่าต่อยอยู่ซึ่งศีรษะ ในกาลเป็นที่ซ้อมซึ่งข้าวเปลือก ฯ อ. นางยักษิณีนั้น เรียกมาแล้ว ซึ่งหญิงสหาย กล่าวแล้ว ว่า อ.เราจักไม่อาจเพื่ออันอยู่ในที่นี้,อ.ท่านยังเรา จงให้ตั้งอยู่เฉพาะ ในที่อื่น ดังนี้, แม้ผู้อันหญิงสหายให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในที่ ท. เหล่านั่น คือในโรงแห่งสาก ในตุ่มแห่งน�้ำ ที่เตา ที่ชายคา ที่กอง แห่งหยากเยื่อ ใกล้ประตูแห่งบ้าน, ห้ามแล้ว ซึ่งที่ ท. เหล่านั้น ทั้งปวง (ด้วยค�ำ) ว่า อ. สาก ย่อมปรากฏ แก่เรา ราวกะว่าต่อยอยู่ ซึ่งศีรษะ ในที่นี้, อ. เด็ก ท. ยังน�้ำอันเป็นเดน ย่อมให้ข้ามลง ในที่นี้, อ.สุนัขท.ย่อมนอนในที่นี้,อ.เด็กท.ย่อมกระท�ำซึ่งความไม่สะอาด ในที่นี้, (อ. ชน ท.) ย่อมทิ้ง ซึ่งหยากเยื่อ ในที่นี้, อ. เด็กในบ้าน ท. ย่อมกระท�ำ ซึ่งกรรมอันบุคคลพึงประกอบด้วยคะแนน ในที่นี้ ดังนี้ฯ ครั้งนั้น (อ. หญิงสหาย) ยังนางยักษิณีนั้น ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโอกาสอันสงัดแล้ว ในภายนอกแห่งบ้าน น�ำไปแล้ว (ซึ่งอาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวยอันเลิศเป็นต้น แก่นางยักษิณีนั้น ปฏิบัติแล้ว ในที่นั้น ฯ อ. นางยักษิณีนั้น คิดแล้ว อย่างนี้ว่า อ. หญิงสหาย ของเรา นี้ เป็นผู้มีอุปการะมาก(ย่อมเป็น)ในกาลนี้,เอาเถิดอ.เราจะกระท�ำ ซึ่งคุณตอบ อะไร ๆ ดังนี้, บอกแล้ว แก่หญิงสหาย ว่า อ. ฝนดี จักมี ในปีนี้, อ. ท่าน จงกระท�ำ ซึ่งข้าวกล้า ในที่อันดอน, อ. ฝนแล้ง จักมี ในปีนี้, อ. ท่าน จงกระท�ำ ซึ่งข้าวกล้า ในที่อันลุ่มนั่นเทียว ดังนี้ฯ อ. ข้าวกล้า อันอันชนผู้เหลือ ท. กระท�ำแล้ว ย่อมฉิบหาย ด้วยน�้ำอันเกิน หรือ หรือว่า ด้วยน�้ำอันน้อย ฯ อ. ข้าวกล้า ของหญิง นั้น ย่อมถึงพร้อม เกินเปรียบ ฯ ครั้งนั้น(อ.ชนท.)ถามแล้วซึ่งหญิงนั้นว่าแน่ะแม่อ.ข้าวกล้า อันอันท่านกระท�ำแล้ว ย่อมไม่เสียหาย ด้วยน�้ำอันเกินนั่นเทียว, ย่อมไม่เสียหาย ด้วยน�้ำอันน้อย; อ. ท่าน รู้แล้ว ซึ่งความเป็น แห่งฝนดีและฝนแล้ง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการงานหรือ ?, อ. เหตุนั่น อะไรหนอแล ดังนี้ฯ (อ. หญิงนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. นางยักษิณี ผู้เป็นสหาย ของเรา ท. ย่อมบอก ซึ่งความเป็นแห่งฝนดีและฝนแล้ง, อ.เรา ท. ย่อมกระท�ำซึ่งข้าวกล้าท. ในที่ดอนและที่ลุ่มท.ตามค�ำ ของนางยักษิณีนั้น www.kalyanamitra.org
  • 54.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย49 เตน โน สสฺสํ สมฺปชฺชติ, กึ น ปสฺสถ นิพทฺธํ อมฺหากํ เคหโต ยาคุภตฺตาทีนิ หริยมานานิ? ตานิ เอติสฺสา หริยนฺติ, ตุมฺเหปิ เอติสฺสา อคฺคยาคุภตฺตาทีนิ หรถ, ตุมฺหากมฺปิ กมฺมนฺเต โอโลเกสฺสตีติ. อถสฺสา สกลนครวาสิโน สกฺการํ กรึสุ . สาปิ ตโต ปฏฺ€าย สพฺเพสํ กมฺมนฺเต โอโลเกนฺตี ลาภคฺคปฺปตฺตา อโหสิ มหาปริวารา. สา อปรภาเค อฏฺ€ สลากภตฺตานิ ปฏฺ€เปสิ. ตานิ ยาวชฺชกาลา ทียนฺติเยว. อิทํ กาลียกฺขินิยา อุปฺปตฺติวตฺถุ. ๕. โกสมฺพิกวตฺถุ. (๕) “ปเร จ น วิชานนฺตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต โกสมฺพิเก ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิ. โกสมฺพิยํ หิ โฆสิตาราเม ปญฺจสตปญฺจสต- ปริวารา เทฺว ภิกฺขู วิหรึสุ: วินยธโร จ ธมฺมกถิโก จ. เตสุ ธมฺมกถิโก เอกทิวสํ สรีรวลญฺชํ กตฺวา อุทกโกฏฺ€เก อาจมนอุทกาวเสสํ ภาชเน €เปตฺวา นิกฺขมิ. ปจฺฉา วินยธโร ตตฺถ ปวิฏฺโ€ ตํ อุทกํ ทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา อิตรํ ปุจฺฉิ “อาวุโส ตยา อุทกํ €ปิตนฺติ. “อาม อาวุโสติ. “กึ ปเนตฺถ อาปตฺติภาวํ น ชานาสีติ. “อาม น ชานามีติ. “โหตาวุโส, เอตฺถ อาปตฺตีติ. “เตนหิ ปฏิกฺกริสฺสามิ นนฺติ ฯ เพราะเหตุนั้น อ. ข้าวกล้า ของเรา ท. ย่อมถึงพร้อม, อ. ท่าน ท. ย่อมไม่เห็น ( ซึ่งอาหารวัตถุ ท. ) มีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น (อันเรา ท.) น�ำไปอยู่ จากเรือน ของเรา ท. เนืองนิตย์ หรือ ? อ.อาหารวัตถุท.เหล่านั้น(อันเราท.)ย่อมน�ำไปเพื่อนางยักษิณีนั่น, แม้ อ.ท่าน ท. จงน�ำไป (ซึ่งอาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวย อันเลิศเป็นต้น เพื่อนางยักษิณีนั่น อ. นางยักษิณี จักตรวจดู ซึ่งการงาน ท. แม้ของท่าน ท. ดังนี้ฯ ครั้งนั้น (อ. ชน ท.) ผู้อยู่ในเมืองทั้งสิ้นโดยปกติ กระท�ำแล้ว ซึ่งสักการะ แก่นางยักษิณีนั้น ฯ อ. นางยักษิณีแม้นั้น ตรวจดูอยู่ ซึ่งการงาน ท. ของชน ท. ทั้งปวง เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งลาภอันเลิศ. เป็นผู้มีบริวารมาก ได้เป็นแล้ว จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ อ. นางยักษิณีนั้น เริ่มตั้งแล้ว ซึ่งสลากภัตร ท. ๘ ในกาล อันเป็นส่วนอื่นอีก ฯ อ. สลากภัตร ท. เหล่านั้น (อันชน ท.) ถวายอยู่ เพียงใดแต่กาลอันมีในวันนี้นั่นเทียว ฯ อ.เรื่องแห่งความเกิดขึ้นแห่งนางยักษิณีชื่อว่ากาลี นี้ (จบแล้ว) ฯ ๕. อ. เรื่องแห่งภิกษุผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ ซึ่งภิกษุ ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพีตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า ปเร จ น วิชานนฺติ ดังนี้เป็นต้น ฯ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. ภิกษุ ท. สอง คือ อ. พระวินัยธรด้วย อ. พระธรรมกถึก ด้วย ผู้มีภิกษุมีร้อยห้าและ ร้อยห้าเป็นประมาณเป็นบริวาร อยู่แล้ว ในโฆสิตาราม ใกล้เมือง ชื่อว่าโกสัมพี ฯ ในภิกษุ ท. ๒ เหล่านั้นหนา อ. พระธรรมกถึก กระท�ำแล้ว ซึ่งวลัญชะในสรีระ เหลือไว้แล้ว ซึ่งน�้ำเป็นเครื่องช�ำระอันเหลือลง ในภาชนะ ในซุ้มแห่งน�้ำ ออกไปแล้ว ในวันหนึ่ง ฯ อ. พระวินัยธร เข้าไปแล้ว ในซุ้มแห่งน�้ำนั้น ในภายหลัง เห็นแล้ว ซึ่งน�้ำนั้น ออกไปแล้ว ถามแล้ว ซึ่งพระธรรมกถึกนอกนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. น�้ำ อันท่าน เหลือไว้แล้วหรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระธรรมกถึก กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เออ (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ (อ. พระวินัยธร ถามแล้ว) ว่า ก็ อ. ท่าน ย่อมไม่รู้ ซึ่งความเป็นแห่งอาบัติ ในเพราะเรื่องนี้ หรือ ดังนี้ ฯ (อ. พระธรรมกถึก กล่าวแล้ว) ว่า เออ อ. ข้าพเจ้า ย่อมไม่รู้ ดังนี้ฯ (อ. พระวินัยธร กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ (อ. เรื่อง นั้น) จงมีเถิด,อ.อาบัติ(ย่อมมี)ในเพราะเรื่องนี้ดังนี้ฯ (อ.พระธรรมกถึก กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ข้าพเจ้า จักกระท�ำคืน ซึ่งอาบัติ นั้นดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 55.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 50 “สเจ ปน เต อาวุโส อสญฺจิจฺจ อสติยา กตํ, นตฺถิ อาปตฺตีติ. โส ตสฺสา อาปตฺติยา อนาปตฺติทิฏฺ€ิ อโหสิ. วินยธโรปิ อตฺตโน นิสฺสิตกานํ “อยํ ธมฺมกถิโก อาปตฺตึ อาปชฺชมาโนปิ น ชานาตีติ อาโรเจสิ. เต ตสฺส นิสฺสิตเก ทิสฺวา “ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย อาปตฺตึ อาปชฺชิตฺวาปิ อาปตฺติภาวํ น ชานาตีติ อาหํสุ. เต คนฺตฺวา อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส อาโรเจสุํ. โส เอวมาห “อยํ วินยธโร ปุพฺเพ “อนาปตฺตีติ วตฺวา อิทานิ `อาปตฺตีติ วทติ, มุสาวาที เอโสติ. เต คนฺตฺวา “ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย มุสาวาทีติ กถยึสุ. เต เอวํ อญฺญมญฺญํ กลหํ วฑฺฒยึสุ. ตโต วินยธโร โอกาสํ ลภิตฺวา ธมฺมกถิกสฺส อาปตฺติยา อทสฺสเน อุกฺเขปนียกมฺมํ อกาสิ. ตโต ปฏฺ€าย เตสํ ปจฺจยทายกา อุปฏฺ€ากาปิ เทฺว โกฏฺ€าสา อเหสุํ. โอวาทปฏิคฺคาหิกา ภิกฺขุนิโยปิ อารกฺขเทวตาปิ ตาสํ สนฺทิฏฺ€สมฺภตฺตา อากาสฏฺ€เทวตาปิ ยาว พฺรหฺมโลกาปิ สพฺเพ ปุถุชฺชนา เทฺว ปกฺขา อเหสุํ. ยาว อกนิฏฺ€ภวนา ปน เอกนินฺนาทํ โกลาหลํ อคมาสิ. อเถโก ภิกฺขุ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา อุกฺเขปกานํ “ ธมฺมิเกเนวายํ กมฺเมน อุกฺขิตฺโตติ ลทฺธึ อุกฺขิตฺตานุวตฺตกานํ “อธมฺมิเกน กมฺเมน อุกฺขิตฺโตติ ลทฺธึ อุกฺเขปเกหิ วาริยมานานํปิ จ เตสํ ตํ อนุปริวาเรตฺวา วิจรณภาวํ อาโรเจสิ. ภควา “สมคฺคา กิร โหนฺตูติ เทฺว วาเร เปเสตฺวา “น อิจฺฉนฺติ ภนฺเต สมคฺคา ภวิตุนฺติ สุตฺวา ตติยวาเร “ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ, ภินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆติ สุตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา, (อ. พระวินัยธร กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็ ถ้าว่า (อ. วีติกกมนะ) อันท่าน ไม่แกล้งแล้ว กระท�ำแล้ว เพราะความระลึก ไม่ได้ไซร้, อ. อาบัติ ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ อ. พระธรรมกถึกนั้น เป็นผู้มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ ได้เป็นแล้ว ฯ แม้ อ. พระวินัยธร บอกแล้ว แก่นิสิต ท. ของตน ว่า อ. พระธรรมกถึกนี้แม้ต้องอยู่ ซึ่งอาบัติ ย่อมไม่รู้ ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น เห็นแล้ว ซึ่งนิสิต ท. ของพระธรรมกถึก นั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. อุปัชฌาย์ ของท่าน ท. แม้ต้องแล้ว ซึ่งอาบัติ ย่อมไม่รู้ ซึ่งความเป็นแห่งอาบัติ ดังนี้ฯ อ.ภิกษุท.เหล่านั้น ไปแล้ว บอกแล้ว แก่อุปัชฌาย์ ของตนฯ อ. พระธรรมกถึกนั้น กล่าวแล้ว อย่างนี้ ว่า อ. พระวินัยธร นี้ กล่าวแล้ว ว่า ไม่เป็นอาบัติ ดังนี้ ในกาลก่อน ย่อมกล่าว ว่า เป็นอาบัติ ดังนี้ ในกาลนี้, อ. พระวินัยธรนั่น เป็นผู้กล่าวเท็จ โดยปกติ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว กล่าวแล้ว ว่า อ. อุปัชฌาย์ ของท่าน ท. เป็นผู้กล่าวเท็จโดยปกติ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ยังความทะเลาะ ซึ่งกันและกัน ให้เจริญแล้ว ด้วยประการฉะนี้ฯ ในล�ำดับนั้น อ. พระวินัยธร ได้แล้ว ซึ่งโอกาส ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งอุกเขปนียกรรมในเพราะอันไม่เห็นซึ่งอาบัติแก่พระธรรมกถึกฯ แม้ อ. อุปัฏฐาก ท. ผู้ถวายซึ่งปัจจัย แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น เป็นส่วนสอง ได้เป็นแล้ว จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ อ. นางภิกษุณี ท. ผู้รับซึ่งโอวาทก็ดี อ. เทวดาผู้อารักขา ท. ก็ดี อ. เทวดาผู้ด�ำรงอยู่ในอากาศ ท. ผู้เห็นกันดีแล้วและคบกันดีแล้ว แห่งเทวดา ท. เหล่านั้น ก็ดี อ.ปุถุชน ท. ทั้งปวง เพียงใด แต่พรหมโลก ก็ดี เป็นฝ่ายสอง ได้เป็นแล้ว ฯ ก็ อ. ความโกลาหล มีความบันลือออกแล้วเป็นอันเดียวกัน ได้ไปแล้ว เพียงใด แต่ภพชื่อว่าอกนิฏฐะ ฯ ครั้งนั้น อ. ภิกษุ รูปหนึ่ง เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้วซึ่งลัทธิ ว่า อ.พระธรรมกถึกนี้(อันสงฆ์) ยกวัตรแล้ว ด้วยกรรม อันประกอบแล้วด้วยธรรมนั่นเทียว ดังนี้ (แห่งภิกษุ ท.) ผู้ยกวัตรด้วย ซึ่งลัทธิ ว่า (อ.พระอุปัชฌาย์ ของเรา ท. อันสงฆ์) ยกวัตรแล้ว ด้วยกรรม อันไม่ประกอบแล้วด้วยธรรม ดังนี้(แห่งภิกษุท.) ผู้ประพฤติตามซึ่งพระธรรมกถึกผู้อันสงฆ์ยกวัตรแล้วด้วย ซึ่งความเป็นคืออันเที่ยวไป ตามแวดล้อม ซึ่งพระธรรมกถึกนั้น แห่งภิกษุ ท. เหล่านั้น แม้ผู้อันภิกษุ ท. ผู้ยกวัตรห้ามอยู่ด้วย ฯ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่งไปแล้ว (ซึ่งพระโอวาท) ว่า ได้ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.) เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน จงเป็น ดังนี้สิ้นวาระ ท. สอง ทรงสดับแล้วว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(อ.ภิกษุท.)ย่อมไม่ปรารถนา เพื่ออันเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็น ดังนี้ ทรงสดับแล้ว ว่า อ. หมู่แห่งภิกษุ แตกกันแล้ว, อ. หมู่แห่งภิกษุ แตกกันแล้ว ดังนี้ เป็นต้น ในวาระที่ ๓ เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของภิกษุ ท. เหล่านั้น, www.kalyanamitra.org
  • 56.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย51 อุกฺเขปกานํ อุกฺเขปเน อิตเรสญฺจ อาปตฺติยา อทสฺสเน อาทีนวํ กเถตฺวา ปุน เตสํตตฺเถว เอกสีมายํ อุโปสถาทีนิ อนุชานิตฺวา ภตฺตคฺคาทีสุ ภณฺฑนชาตานํ “อาสนนฺตริกาย นิสีทิตพฺพนฺติ ภตฺตคฺเค วตฺตํ ปญฺญาเปตฺวา “อิทานิปิ ภณฺฑนชาตา วิหรนฺตีติ สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา “อลํ ภิกฺขเว มา ภณฺฑนนฺติ อาทีนิ วตฺวา “ภิกฺขเว ภณฺฑนกลหวิคฺคหวิวาทา นาเมเต อนตฺถการกา, กลหํ นิสฺสาย หิ ลฏุกิกาปิ สกุณิกา หตฺถินาคํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปสีติ ลฏุกิกชาตกํ กเถตฺวา “ภิกฺขเว สมคฺคา โหถ มา วิวทถ; วิวาทํ นิสฺสาย หิ อเนกสหสฺสวฏฺฏกาปิ ชีวิตกฺขยํ ปตฺตาติ วฏฺฏกชาตกํ กเถสิ. เอวํปิ เตสุ วจนํ อนาทิยนฺเตสุ, อญฺญตเรน ธมฺมวาทินา ตถาคตสฺส วิเหสํ อนิจฺฉนฺเตน “อาคเมตุ ภนฺเต ภควา ธมฺมสฺสามิ, อปฺโปสฺสุกฺโก ภนฺเต ภควา ทิฏฺ€ธมฺมสุขวิหารํ อนุยุตฺโต วิหรตุ; มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามาติ วุตฺเต, “ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺโต นาม กาสีราชา อโหสีติ พฺรหฺมทตฺเตน ทีฆีติสฺส โกสลรญฺโญ รชฺชํ อจฺฉินฺทิตฺวา อญฺญาตกเวเสน วสนฺตสฺส มาริตภาวญฺเจว ทีฆาวุกุมาเรน อตฺตโน ชีวิเต ทินฺเน, ตโต ปฏฺ€าย เตสํ สมคฺคภาวญฺจ กเถตฺวา “ เตสํ หิ นาม ภิกฺขเว ราชูนํ อาทินฺนทณฺฑานํ อาทินฺนสตฺถานํ เอวรูปํ ขนฺติโสรจฺจํ ภวิสฺสติ, ตรัสแล้วซึ่งโทษในเพราะการยกวัตรแห่งภิกษุท.ผู้ยกวัตรด้วย ในเพราะการไม่เห็น ซึ่งอาบัติ แห่งภิกษุ ท. เหล่านอกนี้ด้วย ทรงอนุญาตแล้ว ซึ่งกรรม ท. มีอุโบสถเป็นต้น ในสีมาอันเดียวกัน ในโฆสิตารามนั้นนั่นเทียวแก่ภิกษุท.เหล่านั้นอีกทรงบัญญัติแล้ว ซึ่งวัตรในโรงแห่งภัตรว่า(อันภิกษุท.)พึงนั่งในแถวอันมีในระหว่าง แห่งอาสนะ ดังนี้เป็นต้น (แก่ภิกษุ ท.) ผู้มีความแตกร้าวเกิดแล้ว (ในที่ ท.) มีโรงแห่งภัตรเป็นต้น ทรงสดับแล้ว ว่า (อ.ภิกษุ ท.) ผู้มีความแตกร้าวเกิดแล้ว อยู่อยู่ แม้ในกาลนี้ ดังนี้ เสด็จไปแล้ว ในที่นั้น ตรัสแล้ว (ซึ่งพระด�ำรัส ท.) มีค�ำว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. อย่าเลย (อ.เธอ ท.) อย่า (ได้กระท�ำแล้ว) ซึ่งความแตกร้าว ดังนี้เป็นต้น (ตรัสแล้ว)ว่าดูก่อนภิกษุท.ชื่อ อ.ความแตกร้าวและความทะเลาะ และความแก่งแย่งและความวิวาท ท. เหล่านั่น เป็นเหตุกระท�ำ ซึ่งความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ (ย่อมเป็น), ก็ อ. นางนก แม้ชื่อว่า นกไส้ อาศัยแล้ว ซึ่งความทะเลาะ ยังช้างตัวประเสริฐ ให้ถึงแล้ว ซึ่งความสิ้นไปแห่งชีวิต ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งลฏุกิกชาดก (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน จงเป็น จงอย่าวิวาทกัน; ก็ แม้ อ. นกกระจาบมีพันมิใช่หนึ่ง ท. อาศัยแล้ว ซึ่งความวิวาท ถึงแล้ว ซึ่งความสิ้นไปแห่งชีวิต ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งวัฏฏกชาดก ฯ ครั้นเมื่อภิกษุ ท. เหล่านั้น ไม่เอื้อเฟื้ออยู่ ซึ่งพระด�ำรัส แม้อย่างนี้ , (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าของแห่งธรรม (ทรงยังกาล) จงให้มาเถิด, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงมีความขวนขวายน้อย ทรงตามประกอบแล้วซึ่งธรรม เป็นเครื่องอยู่สบายในธรรมอันสัตว์เห็นแล้ว ขอจงประทับอยู่เถิด; อ.ข้าพระองค์ ท. จักปรากฏ ด้วยความแตกร้าว ด้วยความทะเลาะ ด้วยความแก่งแย่ง ด้วยความวิวาท นั่น ดังนี้ (อันภิกษุ) ผู้กล่าว ซึ่งธรรมโดยปกติ รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ไม่ปรารถนาอยู่ ซึ่งความล�ำบาก แห่งพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้ว, (อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ซึ่งความที่แห่งพระราชา ผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นชื่อว่าโกศล พระนามว่าทีฆีติ ผู้ประทับอยู่ อยู่ ด้วยเพศอันใคร ๆ ไม่รู้แล้ว ทรงเป็นผู้อันพระราชาพระนาม ว่าพรหมทัต ทรงแย่งชิงเอาแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ให้สวรรคตแล้วด้วยนั่นเทียว ซึ่งความที่ ( แห่งกษัตริย์ ท. ๒ ) เหล่านั้น ครั้นเมื่อพระชนม์ชีพ อันพระกุมารพระนามว่าทีฆาวุ ถวายแล้ว แก่พระองค์, ทรงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน จ�ำเดิมแต่กาล นั้นด้วยว่าดูก่อนภิกษุท.อ.เรื่องเคยมีแล้วอ.พระราชาผู้เป็นใหญ่ ในแว่นแคว้นชื่อว่ากาสี พระนามว่าพรหมทัต ได้มีแล้ว ในเมือง ชื่อว่าพาราณสี ดังนี้เป็นต้น แม้ตรัสสอนแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. ความอดทนและความเป็นแห่งบุคคลผู้ยินดีแล้วในธรรมอันงาม มีอย่างนี้เป็นรูป ได้มีแล้วแล แก่พระราชา ท. เหล่านั้น ผู้มีท่อนไม้ อันถือเอาแล้ว ผู้มีศัสตราอันถือเอาแล้ว, www.kalyanamitra.org
  • 57.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 52 อิธ โข ตํ ภิกฺขเว โสเภถ; ยํ ตุมฺเห เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตา สมานา ขมา จ ภเวยฺยาถ โสรตา จาติ โอวทิตฺวาปิ เนว เต สมคฺเค กาตุํ อสกฺขิ. โส ตาย อากิณฺณวิหารตาย อุกฺกณฺ€ิโต “อหํ โข อิทานิ อากิณฺโณ ทุกฺขํ วิหรามิ, อิเม จ ภิกฺขู มม วจนํ น กโรนฺติ; ยนฺนูนาหํ เอโก คณมฺหา วูปกฏฺโ€ วิหเรยฺยนฺติ จินฺเตตฺวา โกสมฺพิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา อนปโลเกตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ เอกโกว อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย พาลกโลณการามํ คนฺตฺวา ตตฺถ ภคุตฺเถรสฺส เอกจาริกวตฺตํ กเถตฺวา ปาจีนวํสมิคทาเย ติณฺณํ กุลปุตฺตานํ สามคฺคีรสานิสํสํ กเถตฺวา, เยน ปาริเลยฺยกํ, ตทวสริ. ตตฺร สุทํ ภควา ปาริเลยฺยกํ อุปนิสฺสาย รกฺขิตวนสณฺเฑ ภทฺทสาลมูเล ปาริเลยฺยเกน หตฺถินา อุปฏฺ€ิยมาโน ผาสุกํ วสฺสาวาสํ วสิ. โกสมฺพีวาสิโนปิ โข อุปาสกา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ อปสฺสนฺตา “กุหึ ภนฺเต สตฺถาติ ปุจฺฉึสุ. เต ภิกฺขู อาหํสุ “ปาริเลยฺยกวนสณฺฑํ คโตติ. “กึการณา ภนฺเตติ. “อมฺเห สมคฺเค กาตุํ วายมิ, มยํ ปน น สมคฺคา อหุมฺหาติ. “ภนฺเต ตุมฺเห สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา, ตสฺมึ สามคฺคึ กโรนฺเตปิ, สมคฺคา น อหุวตฺถาติ. “เอวมาวุโสติ. มนุสฺสา “อิเม สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา, ตสฺมึ สามคฺคึ กโรนฺเตปิ, สมคฺคา น ชาตา; มยํ อิเม นิสฺสาย สตฺถารํ ทฏฺ€ุํ น ลภิมฺหา; ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. เป็นผู้บวชแล้ว ในธรรมและวินัย อันเรากล่าวดีแล้ว อย่างนี้ มีอยู่ เป็นผู้อดทนด้วย เป็นผู้ยินดีแล้ว ในธรรมอันงามด้วย พึงเป็น ใด อ. ความที่แห่งเธอ ท. เป็นผู้อดทน และยินดีแล้วในธรรมอันงามนั้น พึงงามในธรรมและวินัยนี้แล ดังนี้ ไม่ได้ทรงอาจแล้ว เพื่ออันทรงกระท�ำ ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ให้เป็นผู้พร้อมเพรียงกันนั่นเทียว ฯ อ. พระศาสดานั้น ทรงระอาแล้ว เพราะความที่แห่งพระองค์ มีความอยู่อันเกลื่อนกล่นแล้วนั้น ทรงด�ำริแล้ว ว่า อ. เราแล เกลื่อนกล่นแล้ว ย่อมอยู่ ล�ำบาก ในกาลนี้, อนึ่ง อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้ ย่อมไม่กระท�ำซึ่งค�ำของเรา;กระไรหนออ.เราผู้เดียวหลีกออกแล้ว จากหมู่ พึงอยู่ ดังนี้เสด็จเที่ยวไปแล้ว เพื่อก้อนข้าว ในเมืองชื่อว่า โกสัมพี ไม่ทรงอ�ำลาแล้ว ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ ผู้พระองค์เดียวเทียว ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ของพระองค์ เสด็จไปแล้ว สู่พาลกโลณการาม ตรัสแล้ว ซึ่งวัตรของภิกษุ ผู้มีอันเที่ยวไป ผู้เดียวเป็นปกติ แก่พระเถระชื่อว่าภคุ ในอารามนั้น ตรัสแล้ว ซึ่งอานิสงส์แห่งรสของความสามัคคี แก่กุลบุตร ท. ๓ ในป่า เป็นที่ให้ซึ่งอภัยแก่เนื้อชื่อว่าปราจีนวงศ์, อ. ป่าชื่อว่าปาริไลยก์ (ย่อมตั้งอยู่) โดยส่วนแห่งทิศใด, เสด็จเที่ยวไปแล้ว โดยส่วน แห่งทิศนั้น ฯ ได้ยินว่า ในกาลนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไป อาศัยแล้ว ซึ่งป่าชื่อว่าปาริไลยก์ ผู้อันช้างชื่อว่าปาริไลยก์บ�ำรุงอยู่ ประทับอยู่แล้ว ประทับอยู่ตลอดพรรษา ส�ำราญ ณ โคนแห่งต้นรัง อันเจริญ ในชัฏชื่อว่ารักขิตวัน ฯ อ. อุบาสกและอุบาสิกา ท. แม้ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี โดยปกติแล ไปแล้ว สู่วิหาร ไม่เห็นอยู่ ซึ่งพระศาสดา ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. พระศาสดา (เสด็จไปแล้ว) ในที่ไหน ดังนี้ ฯ อ.ภิกษุท.เหล่านั้นกล่าวแล้วว่า(อ.พระศาสดา)เสด็จไปแล้ว สู่ชัฏแห่งป่าชื่อว่าปาริไลยก์ ดังนี้ฯ (อ. อุบาสกและอุบาสิกา ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. พระศาสดา เสด็จไปแล้ว) เพราะเหตุอะไร ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า อ. พระศาสดา ทรงพยายามแล้ว เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งเรา ท. ให้เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน, แต่ว่า อ. เรา ท. เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ได้เป็นแล้ว หามิได้ ดังนี้ ฯ (อ. อุบาสกและอุบาสิกา ท. กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.ท่านท.บวชแล้วในส�ำนัก ของพระศาสดา,ครั้นเมื่อพระศาสดา นั้น แม้ทรงกระท�ำอยู่ ซึ่งความสามัคคี, เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ได้เป็นแล้ว หามิได้ ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. อย่างนั้น ดังนี้ฯ อ. มนุษย์ ท. (ปรึกษากันแล้ว) ว่า อ. ภิกษุ ท. เหล่านี้บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระศาสดา, ครั้นเมื่อพระศาสดานั้น แม้ทรงกระท�ำอยู่ ซึ่งความสามัคคี, เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เกิดแล้ว หามิได้; อ. เรา ท. อาศัยแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านี้ ไม่ได้แล้ว เพื่ออันเฝ ้ า ซึ่งพระศาสดา; www.kalyanamitra.org
  • 58.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย53 อิเมสํ เนว อาสนํ ทสฺสาม, น อภิวาทนาทีนิ กริสฺสามาติ ตโต ปฏฺ€าย เตสํ สามีจิมตฺตกํปิ น กรึสุ. เต อปฺปาหารตาย สุสฺสมานา กติปาเหเนว อุชุกา หุตฺวา อฺมฺํ อจฺจยํ เทเสตฺวา ขมาเปตฺวา “อุปาสกา มยํ สมคฺคา ชาตา, ตุมฺเหปิ โน ปุริมสทิสาว โหถาติ อาหํสุ. “ขมาปิโต ปน โว ภนฺเต สตฺถาติ. “น ขมาปิโต อาวุโสติ. “เตนหิ สตฺถารํ ขมาเปถ, สตฺถุ ขมาปิตกาเล มยํปิ ตุมฺหากํ ปุริมสทิสา ภวิสฺสามาติ. เต อนฺโตวสฺสภาเวน สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตุํ อวิสหนฺตา ทุกฺเขน ตํ อนฺโตวสฺสํ วีตินาเมสุํ. สตฺถา ปน เตน หตฺถินา อุปฏฺ€ิยมาโน สุขํ วสิ. โสปิ คณํ ปหาย ผาสุวิหารตฺถาย ตํ วนสณฺฑํ ปาวิสิ. ยถาห? “อหํ โข อากิณฺโณ วิหรามิ หตฺถีหิ หตฺถินีหิ หตฺถิกลเภหิ หตฺถิจฺฉาเปหิ, ฉินฺนคฺคานิ เจว ติณานิ ขาทามิ, โอภคฺโคภคฺคฺจ เม สาขาภงฺคํ ขาทนฺติ, อาวิลานิ จ ปานียานิ ปิวามิ, โอคาหนฺตสฺส เม อุตฺติณฺณสฺส หตฺถินิโย กายํ อุปนิฆํสนฺติโย คจฺฉนฺติ, ยนฺนูนาหํ เอโก คณมฺหา วูปกฏฺโ€ วิหเรยฺยนฺติ. อถโข โส หตฺถินาโค ยูถา อปกฺกมฺม, เยน ปาริเลยฺยกํ รกฺขิตวนสณฺโฑ ภทฺทสาลมูลํ เยน ภควา, เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา จ ปน ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา โอโลเกนฺโต อฺํ กิฺจิ อทิสฺวา (อ. เรา ท.) จักไม่ถวาย ซึ่งอาสนะ แก่ภิกษุ ท. เหล่านี้นั่นเทียว, จักไม่กระท�ำ ซึ่งสามีจิกรรม ท. มีการกราบไหว้เป็นต้น (แก่ภิกษุ ท. เหล่านี้) ดังนี้ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งกิจแม้สักว่าสามีจิกรรม แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ซูบผอมอยู่ เพราะความที่แห่งตน เป็นผู้มีอาหารน้อยเป็นคนตรงเป็นโดยวันเล็กน้อยนั่นเทียวแสดงแล้ว ซึ่งโทษล่วงเกิน ซึ่งกันและกัน (ยังกันและกัน) ให้อดโทษแล้ว กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท. อ. เรา ท. เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นผู้เกิดแล้ว (ย่อมเป็น), แม้ อ. ท่าน ท. เป็นเช่นกับด้วยบุคคลผู้มีในก่อน เทียว จงเป็น แก่เรา ท. ดังนี้ฯ (อ.มนุษย์ท.กล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญก็ อ.พระศาสดา อันท่าน ท. ให้ทรงอดโทษแล้วหรือ ดังนี้ฯ (อ.ภิกษุท.กล่าวแล้ว)ว่าดูก่อนท่านผู้มีอายุท.(อ.พระศาสดา อันเรา ท.) ไม่ทรงให้อดโทษแล้ว ดังนี้ฯ (อ. มนุษย์ ท. กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น (อ. ท่าน ท.) ขอจงยังพระศาสดา ให้ทรงอดโทษเถิด, แม้ อ. กระผม ท. เป็นเช่นกับด้วยบุคคลผู้มีในก่อน จักเป็น แก่ท่าน ท. ในกาล แห่งพระศาสดา อันท่าน ท. ให้ทรงอดโทษแล้ว ดังนี้ ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ไม่อาจอยู่ เพื่ออันไป สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา เพราะความเป็นแห่งภายในแห่งพรรษา ยังภายในแห่งพรรษานั้น ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว โดยยาก ฯ ก็ อ. พระศาสดา ผู้อันช้างนั้นบ�ำรุงอยู่ ประทับอยู่แล้ว สบายฯ อ. ช้างแม้นั้น ละแล้ว ซึ่งฝูง ได้เข้าไปแล้ว สู่ชัฏแห่งป่านั้น เพื่อต้องการแก่อันอยู่ส�ำราญ ฯ (อ.พระธรรมสังคาหกาจารย์) กล่าวแล้ว อย่างไร ? (อ.พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวแล้ว อย่างนี้ ว่า ครั้งนั้น อ. ความคิดนั่น ได้มีแล้ว แก่ช้างนั้น) ว่า อ. เราแล เกลื่อนกล่นแล้ว ย่อมอยู่ ด้วยช้างพลาย ท. ด้วยช้างพัง ท. ด้วยช้างสะเทิ้น ท. ด้วยช้างผู้ลูกน้อย ท., อ.เรา ย่อมเคี้ยวกิน ซึ่งหญ้า ท. มีปลายอันอันช้าง ท. เหล่านั้น ตัดแล้วด้วยนั่นเทียว, (อ. ช้าง ท. เหล่านั้น) ย่อมเคี้ยวกิน ซึ่งรุกขาวัยวะอันบุคคลพึงหักคือกิ่งไม้ อันอันเรา หักลงแล้วและหักลงแล้วด้วย, อ. เรา ย่อมดื่ม ซึ่งน�้ำ อันบุคคลพึงดื่ม ท. อันขุ่นมัวด้วย, เมื่อเรา หยั่งลงอยู่ ข้ามขึ้นแล้ว อ. ช้างพัง ท. เข้าไปเสียดสีอยู่ ซึ่งกาย ย่อมไป, กระไรหนอ อ. เรา ผู้เดียว หลีกออกแล้ว จากฝูง พึงอยู่ ดังนี้(ดังนี้) ฯ ครั้งนั้นแล อ. ช้างตัวประเสริฐนั้น หลีกออกแล้ว จากโขลง, อ. ป่าชื่อว่าปาริไลยก์ อ. ชัฏชื่อว่ารักขิตวัน อ. โคนแห่งต้นรัง- อันเจริญ (ย่อมตั้งอยู่)โดยส่วนแห่งทิศใด, อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า (ย่อมประทับอยู่) โดยส่วนแห่งทิศใด, เข้าไปเฝ ้ าแล้ว โดยส่วน- แห่งทิศนั้น; ก็แล (อ. ช้างนั้น) ครั้นเข้าไปเฝ ้ าแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แลดูอยู่ ไม่เห็นแล้ว ซึ่งวัตถุอะไร ๆ อื่น www.kalyanamitra.org
  • 59.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 54 ภทฺทสาลมูลํ ปาเทน ปหรนฺโต ตจฺเฉตฺวา โสณฺฑาย สาขํ คเหตฺวา สมฺมชฺชิ; ตโต ปฏฺ€าย โสณฺฑาย ฆฏํ คเหตฺวา ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฏฺ€เปติ; อุณฺโหทเกน อตฺเถ สติ, อุณฺโหทกํ ปฏิยาเทติ. กถํ? หตฺเถน กฏฺ€านิ ฆํสิตฺวา อคฺคึ สมฺปาเทติ, ตํ ทารูนิ ปกฺขิปนฺโต ชาเลตฺวา ตตฺถ ปาสาเณ ปจิตฺวา ทารุทณฺฑเกน ปวฏฺเฏตฺวา ปริจฺฉินฺนาย ขุทฺทกโสณฺฑิยํ ขิปติ; ตโต หตฺถํ โอตาเรตฺวา อุทกสฺส ตตฺตภาวํ ชานิตฺวา คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทติ. สตฺถา “อุทกํ เต ตาปิตํ ปาริเลยฺยกาติ วตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา นหายติ. อถสฺส นานาวิธานิ ผลานิ อาหริตฺวา เทติ. ยทา ปน สตฺถา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ; ตทา สตฺถุ ปตฺตจีวรมาทาย กุมฺเภ ปติฏฺ€าเปตฺวา สตฺถารา สทฺธึเยว คจฺฉติ. สตฺถา คามูปจารํ ปตฺวา “ปาริเลยฺยก อิโต ปฏฺ€าย ตยา คนฺตุํ น สกฺกา, อาหร เม ปตฺตจีวรนฺติ อาหราเปตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ. โสปิ ยาว สตฺถุ นิกฺขมนา ตตฺเถว €ตฺวา สตฺถุ อาคมนกาเล ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปุริมนเยเนว ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วสนฏฺ€าเน โอตาเรตฺวา วตฺตํ ทสฺเสตฺวา สาขาย วีชติ, รตฺตึ วาลมิคปริปนฺถนิวารณตฺถํ มหนฺตํ ทณฺฑํ โสณฺฑาย คเหตฺวา “สตฺถารํ รกฺขิสฺสามีติ ยาว อรุณุคฺคมนา วนสณฺฑสฺส อนฺตรนฺตเร วิจรติ. ตโต ปฏฺ€ายเยว กิร โส วนสณฺโฑ รกฺขิตวนสณฺโฑ นาม ชาโต. อรุเณ อุคฺคเต, มุโขทกทานํ อาทึ กตฺวา เตเนว อุปาเยน สพฺพวตฺตานิ กโรติ. กระทืบอยู่ ซึ่งโคนแห่งต้นรังอันเจริญ ด้วยเท้า ถากแล้ว จับแล้ว ซึ่งกิ่งไม้ ด้วยงวง กวาดแล้ว; (อ. ช้าง) จับแล้ว ซึ่งหม้อ ด้วยงวง ย่อมเข้าไปตั้งไว้ ซึ่งน�้ำอันบุคคลพึงดื่ม ซึ่งน�้ำอันบุคคลพึงใช้สอย จ�ำเดิม แต่กาลนั้น; ครั้นเมื่อความต้องการด้วยน�้ำอันร้อน มีอยู่, (อ. ช้าง) ย่อมจัดแจง ซึ่งน�้ำอันร้อน ฯ (อ. อันถาม) ว่า (อ. ช้าง ย่อมจัดแจง) อย่างไร ? (ดังนี้) (อ. อันแก้) ว่า (อ. ช้าง) สีแล้ว ซึ่งไม้แห้ง ท. ด้วยงวง ยังไฟ ย่อมให้ ถึงพร้อม, (อ. ช้าง) ใส่เข้าอยู่ซึ่งฟืน ท. ยังไฟนั้น ให้โพลงแล้ว เผาแล้วซึ่งแผ่นหินท.ในไฟนั้นเขี่ยแล้วด้วยท่อนแห่งไม้ ย่อมซัดไป ในล�ำรางน้อย อันอันตนก�ำหนดแล้ว; (ดังนี้) ในล�ำดับนั้น (อ.ช้าง) ยังงวง ให้ข้ามลงแล้ว รู้แล้ว ซึ่งความที่แห่งน�้ำเป็นของร้อนแล้ว ไปแล้ว ย่อมจบ ซึ่งพระศาสดา ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ อ. น�้ำ อันเธอ ให้ร้อนแล้วหรือ ดังนี้ เสด็จไปแล้ว ในที่นั้น ย่อมทรงสนาน ฯ ครั้งนั้น (อ. ช้าง) น�ำมาแล้ว ซึ่งผลไม้ ท. อันมีอย่างต่าง ๆ ย่อมถวาย แก่พระศาสดานั้น ฯ ก็ ในกาลใด อ. พระศาสดา ย่อมเสด็จเข้าไป สู่บ้าน เพื่อก้อนข้าว; ในกาลนั้น (อ. ช้าง) ถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ของพระศาสดา (ยังบาตรและจีวร) ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว บนกระพอง ย่อมไป กับ ด้วยพระศาสดานั่นเทียว ฯ อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ว ซึ่งอุปจารแห่งบ้าน (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ อันเจ้า ไม่อาจ เพื่ออันไป จ�ำเดิม แต่ที่นี้, อ. เจ้า จงน�ำมา ซึ่งบาตรและจีวร ของเรา ดังนี้(ทรงยังช้าง) ให้น�ำมาแล้ว ย่อมเสด็จเข้าไป สู่บ้าน เพื่อก้อนข้าว ฯ อ. ช้างแม้นั้น ยืนแล้ว ในที่นั้นนั่นเทียว เพียงใด แต่อันเสด็จออก แห่งพระศาสดา กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับ ในกาลเป็นที่เสด็จมา แห่งพระศาสดา รับแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร โดยนัยอันมีในก่อนนั่นเทียว (ยังบาตรและจีวร) ให้ข้ามลงแล้ว ในที่เป็นที่ประทับอยู่ แสดงแล้ว ซึ่งวัตร ย่อมพัด ด้วยกิ่งไม้, ในเวลากลางคืน (อ. ช้าง) ถือเอาแล้ว ซึ่งท่อนไม้ ใหญ่ ด้วยงวง เพื่ออันห้ามซึ่งอันตรายเป็นเครื่อง- เบียดเบียนรอบแต่เนื้อร้าย ย่อมเที่ยวไป ในระหว่างและระหว่าง แห่งชัฏแห่งป่า เพียงใด แต่อันขึ้นไปแห่งอรุณ (ด้วยความคิด) ว่า (อ. เรา) จักรักษา ซึ่งพระศาสดา ดังนี้ ฯ ได้ยินว่า อ. ชัฏแห่งป่านั้น ชื่อเป็นชัฏชื่อว่ารักขิตวัน เกิดแล้ว จ�ำเดิม แต่กาลนั้นนั่นเทียว ฯ ครั้นเมื่ออรุณขึ้นไปแล้ว, (อ.ช้าง) ย่อมกระท�ำ ซึ่งวัตรทั้งปวง ท. โดยอุบาย นั้นนั่นเทียว กระท�ำ ซึ่งการถวายซึ่งน�้ำเป็นเครื่องล้าง ซึ่งพระพักตร์ ให้เป็นต้น ฯ www.kalyanamitra.org
  • 60.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย55 อเถโก มกฺกโฏ ตํ หตฺถึ อุฏฺ€าย สมุฏฺ€าย ตถาคตสฺส อภิสมาจาริกํ กโรนฺตํ ทิสฺวา “อหํปิ กิฺจิเทว กริสฺสามีติ วิจรนฺโต เอกทิวสํ นิมฺมกฺขิกํ ทณฺฑกมธุปฏลํ ทิสฺวา ทณฺฑกํ ภฺชิตฺวา ทณฺฑเกเนว สทฺธึ มธุปฏลํ สตฺถุ สนฺติกํ หริตฺวา กทลิปตฺตํ ฉินฺทิตฺวา ตตฺถ €เปตฺวา อทาสิ. สตฺถา คณฺหิ. มกฺกโฏ “กริสฺสติ นุ โข ปริโภคํ น กริสฺสตีติ โอโลเกนฺโต คเหตฺวา นิสินฺนํ ทิสฺวา “กึ นุ โขติ จินฺเตตฺวา ทณฺฑโกฏึ คเหตฺวา ปริวตฺเตตฺวา อุปธาเรนฺโต อณฺฑกานิ ทิสฺวา ตานิ สณิกํ อปเนตฺวา ปุน อทาสิ. สตฺถา ปริโภคมกาสิ. โส ตุฏฺ€มานโส ตํ ตํ สาขํ คเหตฺวา นจฺจนฺโต อฏฺ€าสิ. อถสฺส คหิตสาขาปิ อกฺกนฺตสาขาปิ ภิชฺชิ. โส เอกสฺมึ ขาณุมตฺถเก ปติตฺวา, นิพฺพิทฺธคตฺโต ปสนฺเนเนว จิตฺเตน กาลํ กตฺวา ตาวตึสภวเน ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติ , อจฺฉราสหสฺส- ปริวาโร อโหสิ. ตถาคตสฺส ตตฺถ หตฺถินาเคน อุปฏฺ€ิยมานสฺส วสนภาโว สกลชมฺพุทีเป ปากโฏ อโหสิ. สาวตฺถีนครโต “ อนาถปิณฺฑิโก วิสาขา มหาอุปาสิกาติ เอวมาทีนิ มหากุลานิ อานนฺทตฺเถรสฺส สาสนํ ปหิณึสุ “สตฺถารํ โน ภนฺเต ทสฺเสถาติ. ทิสาวาสิโนปิ ปฺจสตา ภิกฺขู วุตฺถวสฺสา อานนฺทตฺเถรํ อุปสงฺกมิตฺวา “จิรสฺสุตา โน อาวุโส อานนฺท ภควโต สมฺมุขา ธมฺมีกถา; สาธุ มยํ อาวุโส อานนฺท ลเภยฺยาม ภควโต สมฺมุขา ธมฺมีกถํ สวนายาติ ยาจึสุ. เถโร เต ภิกฺขู อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา ครั้งนั้น อ. ลิง ตัวหนึ่ง เห็นแล้ว ซึ่งช้างนั้น ผู้ลุกขึ้นแล้ว ลุกขึ้นพร้อมแล้ว กระท�ำอยู่ ซึ่งอภิสมาจาริกวัตร แก่พระตถาคตเจ้า (คิดแล้ว) ว่า แม้ อ. เรา จักกระท�ำ ซึ่งวัตรบางอย่างนั่นเทียว ดังนี้ เที่ยวไปอยู่ เห็นแล้ว ซึ่งรวงแห่งผึ้งที่ท่อนไม้ อันไม่มีตัว ในวันหนึ่ง หักแล้วซึ่งท่อนไม้ น�ำไปแล้ว ซึ่งรวงแห่งผึ้งกับด้วยท่อนไม้นั่นเทียว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ตัดแล้ว ซึ่งใบแห่งกล้วย ได้วางถวายแล้ว ในที่นั้น ฯ อ. พระศาสดา ทรงรับแล้ว ฯ อ. ลิง แลดูอยู่ (ด้วยความคิด) ว่า (อ. พระศาสดา) จักทรงกระท�ำ (ซึ่งการบริโภค) หรือหนอแล (หรือว่า อ. พระศาสดา) จักไม่ทรงกระท�ำ ซึ่งการบริโภค ดังนี้ เห็นแล้ว (ซึ่งพระศาสดา) ผู้ทรงรับแล้ว ประทับนั่งแล้ว คิดแล้ว ว่า อ. อะไร หนอแล ดังนี้ จับแล้ว ซึ่งปลายแห่งท่อนไม้ (ยังปลายแห่งท่อนไม้) ให้เป็นไปรอบแล้ว ใคร่ครวญอยู่เห็นแล้ว ซึ่งตัวอ่อน ท. น�ำไปปราศแล้ว ซึ่งตัวอ่อน ท. เหล่านั้น ค่อย ๆ ได้ถวายแล้ว อีก ฯ อ. พระศาสดา ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการบริโภค ฯ อ.ลิงนั้น ผู้มีใจยินดีแล้ว จับแล้ว ซึ่งกิ่งไม้ นั้นๆ ได้ยืนฟ ้ อนอยู่แล้วฯ ครั้งนั้น อ. กิ่งไม้อันลิงนั้นจับแล้วก็ดี อ. กิ่งไม้อันลิงนั้นเหยียบแล้ว ก็ดี หักแล้ว ฯ อ. ลิงนั้น ตกไปแล้ว บนที่สุดแห่งตอไม้ แห่งหนึ่ง, ผู้มีตัวอันตอไม้แทงแล้ว มีจิต อันเลื่อมใสแล้ว นั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ บังเกิดแล้ว ในวิมานอันเป็นวิการแห่งทอง อันประกอบแล้ว ด้วยโยชน์ ๓๐ ในภพชื่อว่าดาวดึงส์, เป็นผู้มีพันแห่งนางอัปสร เป็นบริวาร ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ความเป็นคืออันประทับอยู่ แห่งพระตถาคตเจ้า ผู้อันช้าง ตัวประเสริฐบ�ำรุงอยู่ ในป่านั้น เป็นสภาพปรากฏแล้ว ในชมพูทวีป ทั้งสิ้น ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ตระกูลใหญ่ ท. มีอย่างนี้คือ อ.เศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ อ. นางวิสาขา ผู้มหาอุบาสิกา เป็นต้น ส่งไปแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น แก่พระเถระชื่อว่าอานนท์ จากเมืองชื่อว่าสาวัตถี ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. ท่าน ท.) ขอจงแสดงซึ่ง พระศาสดา แก่เรา ท. ดังนี้ ฯ อ.ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ แม้ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ ผู้มีกาลฝนอันอยู่แล้ว เข้าไปหาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่าอานนท์ อ้อนวอนแล้ว ว่า ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ อ. วาจาเป็นเครื่องกล่าว ซึ่งธรรม ในที่พร้อมพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันเรา ท. ฟังแล้วสิ้นกาลนาน ; ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ ดังเรา ท. ขอโอกาส อ. เรา ท. พึงได้ เพื่ออันฟัง ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ในที่พร้อมพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ฯ อ. พระเถระ พาเอา ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว ในที่นั้น www.kalyanamitra.org
  • 61.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 56 “ เตมาสํ เอกวิหาริโน ตถาคตสฺส สนฺติกํ เอตฺตเกหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ อุปสงฺกมิตุํ อยุตฺตนฺติ จินฺเตตฺวา เต ภิกฺขู พหิ €เปตฺวา เอกโกว สตฺถารํ อุปสงฺกมิ. ปาริเลยฺยโก ตํ ทิสฺวา ทณฺฑกํ อาทาย ปกฺขนฺทิ. สตฺถา โอโลเกตฺวา “อเปหิ ปาริเลยฺยก, มา นิวารยิ; พุทฺธุปฏฺ€าโก เอโสติ อาห. โส ตตฺเถว ทณฺฑํ ฉฑฺเฑตฺวา ปตฺตจีวรปฏิคคหณํ อาปุจฺฉิ. เถโร นาทาสิ. นาโค “ สเจ อุคฺคหิตวตฺโต ภวิสฺสติ, สตฺถุ นิสีทนปาสาณผลเก อตฺตโน ปริกฺขารํ น €เปสฺสตีติ จินฺเตสิ. เถโร ปตฺตจีวรํ ภูมิยํ €เปสิ. วตฺตสมฺปนฺนา หิ ครูนํ อาสเน วา สยเน วา อตฺตโน ปริกฺขารํ น €เปนฺติ. โส ตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิตฺโต อโหสิ . เถโร สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ. สตฺถา “อานนฺท เอกโกว อาคโตสีติ ปุจฺฉิตฺวา ปฺจสเตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ อาคตภาวํ สุตฺวา “กุหึ ปน เตติ วตฺวา, “ตุมฺหากํ จิตฺตํ อชานนฺโต พหิ €เปตฺวา อาคโตมฺหีติ วุตฺเต, “ปกฺโกสาหิ เตติ อาห. เถโรตถาอกาสิ. เต ภิกฺขู อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ. สตฺถา เตหิ สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ กตฺวา, เตหิ ภิกฺขูหิ “ภนฺเต ภควา พุทฺธสุขุมาโล เจว ขตฺติยสุขุมาโล จ, ตุมฺเหหิ เตมาสํ เอกเกหิ ติฏฺ€นฺเตหิ นิสีทนฺเตหิ จ ทุกฺกรํ กตํ; วตฺตปฏิวตฺตการโกปิ มุโขทกทายโกปิ นาโหสิ มฺเติ วุตฺเต, “ภิกฺขเว ปาริเลยฺยกหตฺถินา มม สพฺพกิจฺจานิ กตานิ, เอวรูปํ หิ สหายกํ ลภนฺเตน เอกโต วสิตุํ ยุตฺตํ , อลภนฺตสฺส เอกจาริกภาโวว เสยฺโยติ วตฺวา อิมา นาควคฺเค ติสฺโส คาถาโย อภาสิ คิดแล้ว ว่า อ. อัน (อันเรา) เข้าไปสู่ส�ำนัก ของพระตถาคตเจ้า ผู้ประทับอยู่พระองค์เดียวโดยปกติ ตลอดประชุมแห่งเดือนสาม กับ ด้วยภิกษุ ท. มีประมาณเท่านี้ ไม่ควรแล้ว ดังนี้ พักไว้แล้ว ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ในภายนอก ผู้ผู้เดียวเทียว เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ฯ อ. ช้างชื่อว่าปาริไลยก์ เห็นแล้ว ซึ่งพระอานนท์นั้น ถือเอาแล้ว ซึ่งท่อนไม้ แล่นไปแล้ว ฯ อ. พระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ อ. เจ้า จงหลีกไป, อ. เจ้า อย่าห้ามแล้ว ; อ. ภิกษุนั่น เป็นผู้บ�ำรุงซึ่งพระพุทธเจ้า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ อ. ช้างนั้น ทิ้งแล้ว ซึ่งท่อนไม้ ในที่นั้นนั่นเทียว ถามโดย เอื้อเฟื้อแล้ว ซึ่งการรับเฉพาะซึ่งบาตรและจีวร ฯ อ. พระเถระ ไม่ได้ให้แล้ว ฯ อ. ช้างตัวประเสริฐ คิดแล้ว ว่า ถ้าว่า (อ. ภิกษุนี้) เป็นผู้มีวัตรอันเรียนเอาแล้ว จักเป็นไซร้, (อ. ภิกษุนี้) จักไม่วาง ซึ่งบริขาร ของตน บนแผ่นแห่งหินเป็นที่ประทับนั่ง ของพระศาสดา ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ วางแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร บนภาคพื้น ฯ จริงอยู่ (อ. ชน ท.) ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร ย่อมไม่วาง ซึ่งบริขาร ของตน บนที่เป็นที่นั่งหรือ หรือว่าบนที่เป็นที่นอนของครู ท. ฯ อ. ช้างนั้น เห็นแล้ว ซึ่งอาการนั้น เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ อ. พระเถระ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ อ.พระศาสดาตรัสถามแล้วว่าดูก่อนอานนท์ อ.เธอผู้ผู้เดียว เทียว เป็นผู้มาแล้ว ย่อมเป็นหรือ ดังนี้ ทรงสดับแล้ว ซึ่งความที แห่งพระเถระเป็นผู้มาแล้ว กับ ด้วยภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ ตรัสแล้ว ว่า ก็ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น (ย่อมอยู่) ในที่ไหน ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ข้าพระองค์ ไม่ทราบอยู่ ซึ่งพระทัย ของพระองค์ ท. พักไว้แล้ว (ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น) ในภายนอก เป็นผู้มาแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้ (อันพระเถระ) กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้ว ว่า อ. เธอ จงเรียก ซึ่งภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ ได้กระท�ำแล้ว อย่างนั้น ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น มาแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งปฏิสันถาร กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระผู้มี พระภาคเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อนด้วยนั่นเทียว เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อนด้วย (ย่อมเป็น), อ. กรรมอันบุคคล กระท�ำได้โดยยาก อันพระองค์ ท. ผู้พระองค์เดียว ผู้ประทับ ยืนอยู่ด้วย ผู้ประทับนั่งอยู่ด้วย ตลอดประชุมแห่งเดือนสาม ทรงกระท�ำแล้ว ; (อ. บุคคล) ผู้กระท�ำซึ่งวัตรและวัตรตอบก็ดี ผู้ถวายซึ่งน�้ำเป็นเครื่องล้างซึ่งพระพักตร์ก็ดี เห็นจะไม่ได้มีแล้ว ดังนี้อันภิกษุท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว, ตรัสแล้วว่า ดูก่อนภิกษุท. อ. กิจทั้งปวง ท. ของเรา อันช้างชื่อว่าปาริไลยก์ กระท�ำแล้ว, จริงอยู่ อ. อัน (อันบุคคล) ผู้ได้อยู่ ซึ่งสหาย ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป อยู่ โดยความเป็นอันเดียวกัน ควรแล้ว, อ. ความที่ แห่งบุคคล ผู้ไม่ได้อยู่ (ซึ่งสหาย ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป) เป็นผู้มีการเที่ยวไป แห่งบุคคลคนเดียวเป็นปกติเทียว เป็นอาการประเสริฐกว่า (ย่อมเป็น) ดังนี้ ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. ๓ ในนาควรรค เหล่านี้ ว่า www.kalyanamitra.org
  • 62.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย57 “สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ, อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมา. โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ, ราชาว รฏฺ€ํ วิชิตํ ปหาย, เอโก จเร, มาตงฺครฺเว นาโค. เอกสฺส จริตํ เสยฺโย , นตฺถิ พาเล สหายตา ; เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา, อปฺโปสฺสุกฺโก มาตงฺครฺเว นาโคติ. คาถาปริโยสาเน ปฺจสตาปิ เต ภิกฺขู อรหตฺเต ปติฏฺ€หึสุ. อานนฺทตฺเถโร อนาถปิณฺฑิกาทีหิ เปสิตํ สาสนํ อาโรเจตฺวา “ภนฺเต อนาถปิณฺฑิกปมุขา ปฺจ อริยสาวกโกฏิโย ตุมฺหากํ อาคมนํ ปจฺจาสึสนฺตีติ อาห. สตฺถา “เตนหิ คณฺหาหิ ปตฺตจีวรนฺติ ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา นิกฺขมิ. นาโค คนฺตฺวา มคฺเค ติริยํ อฏฺ€าสิ. ภิกฺขู ตํ ทิสฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉึสุ “กึ กโรติ ภนฺเตติ. “ตุมฺหากํ ภิกฺขเว ภิกฺขํ ทาตุํ ปจฺจาสึสติ, ทีฆรตฺตํ โข ปนายํ มยฺหํ อุปการโก, นาสฺส จิตฺตํ โกเปตุํ วฏฺฏติ, นิวตฺตถ ภิกฺขเวติ. สตฺถาภิกฺขู คเหตฺวา นิวตฺติ. หตฺถีปิ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา ถ้าว่า (อ. บุคคล) พึงได้ ซึ่งสหาย ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องรักษา ซึ่งตนโดยไม่เหลือ ผู้เป็นปราชญ์ ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ อันยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จ ผู้เที่ยวไปอยู่กับ (ด้วยตนไซร้), (อ. บุคคลนั้น) เป็นผู้มีใจเป็นของแห่งตน เป็นผู้มีสติ(เป็น) ครอบง�ำแล้ว ซึ่งอันตรายเป็นเครื่องนอนรอบ ท. ทั้งปวง พึงเที่ยวไป (กับ) ด้วยสหายนั้น ฯ หากว่า (อ. บุคคล) ไม่พึงได้ ซึ่งสหาย ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาซึ่งตนโดยไม่เหลือ ผู้เป็นปราชญ์ ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อันยังประโยชน์ ให้ส�ำเร็จ ผู้เที่ยวไปอยู่ กับ (ด้วยตนไซร้), อ. บุคคลนั้น เป็นคนเดียว (เป็น) พึงเที่ยวไป เพียงดัง อ. พระราชา ทรงละแล้ว ซึ่งแว่นแคว้น อันอันพระองค์ทรงชนะวิเศษแล้ว (เสด็จเที่ยวไปอยู่), เพียงดัง อ.ช้างตัวประเสริฐ ชื่อว่ามาตังคะ (เที่ยวไปอยู่) ในป่า ฯ อ. การเที่ยวไป แห่งบุคคลคนเดียว เป็นกิริยาประเสริฐกว่า (ย่อมเป็น) , (เพราะว่า) อ. คุณเครื่องความเป็นแห่งสหาย ย่อมไม่มี ในเพราะชนพาล, (อ. บุคคล) เป็นคนเดียว (เป็น) พึงเที่ยวไป เพียงดัง อ. ช้างตัวประเสริฐ ชื่อว่ามาตังคะตัวมีความขวนขวายน้อย (เที่ยวไปอยู่) ในป่าด้วย ไม่พึงกระท�ำ ซึ่งบาป ท. ด้วย ดังนี้ ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น แม้มีร้อยห้าเป็นประมาณ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในพระอรหัต ฯ อ.พระเถระชื่อว่าอานนท์ กราบทูลแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น อัน (อันชน ท.) มีเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะเป็นต้น ส่งไปแล้ว กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.โกฏิแห่งอริยสาวก ท. ห้า มีเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะเป็นประมุข ย่อมหวังเฉพาะ ซึ่งการเสด็จมาแห่งพระองค์ ท. ดังนี้ฯ อ. พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. เธอ จงถือเอา ซึ่งบาตรและจีวร ดังนี้(ยังพระเถระ) ให้ถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร เสด็จออกไปแล้ว ฯ อ. ช้างตัวประเสริฐ ไปแล้ว ได้ยืนแล้ว ขวาง ในหนทาง ฯ อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึ่งช้างนั้น ทูลถามแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. ช้าง) จะกระท�ำ ซึ่งอะไร ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ช้าง) ย่อมหวังเฉพาะ เพื่ออันถวาย ซึ่งภิกษา แก่เธอ ท., ก็ อ. ช้างนี้ เป็นผู้กระท�ำซึ่งอุปการะ แก่เรา (ย่อมเป็น) สิ้นกาลนานแล, อ.อัน (อันเรา) ยังจิต แห่งช้างนั้น ให้ก�ำเริบ ย่อมไม่ควร, ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. จงกลับ ดังนี้ฯ อ. พระศาสดา ทรงพาเอา ซึ่งภิกษุ ท. เสด็จกลับแล้ว, แม้ อ. ช้าง เข้าไปแล้ว สู่ชัฏแห่งป่า www.kalyanamitra.org
  • 63.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 58 ปนสกทลิผลาทีนิ นานาผลานิ สํหริตฺวา ราสึ กตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขูนํ อทาสิ. ปฺจสตา ภิกฺขู สพฺพานิ เขเปตุํ นาสกฺขึสุ. ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สตฺถา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา นิกฺขมิ. นาโค ภิกฺขูนํ อนฺตรนฺตเรน คนฺตฺวา สตฺถุ ปุรโต ติริยํ อฏฺ€าสิ. ภิกฺขู ตํ ทิสฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉึสุ “กึ กโรติ ภนฺเตติ. “อยํ ภิกฺขเว ตุมฺเห เปเสตฺวา มํ นิวตฺเตตีติ. “เอวํ ภนฺเตติ. “อาม ภิกฺขเวติ. อถนํ สตฺถา “ปาริเลยฺยก อิทํ มม อนิวตฺตคมนํ, ตว อิมินา อตฺตภาเวน ฌานํ วา วิปสฺสนํ วา มคฺคผลํ วา นตฺถิ, ติฏฺ€ ตฺวนฺติ อาห. ตํ สุตฺวา นาโค มุเข โสณฺฑํ ปกฺขิปิตฺวา โรทนฺโต ปจฺฉโต ปจฺฉโต อคมาสิ. โส หิ สตฺถารํ นิวตฺเตตุํ ลภนฺโต เตเนว นิยาเมน ยาวชีวํ ปฏิชคฺเคยฺย. สตฺถา ปน ตํ คามูปจารํ ปตฺวา “ปาริเลยฺยก อิโต ปฏฺ€าย ตว อภูมิ, มนุสฺสาวาโส สปริปนฺโถ, ติฏฺ€ ตฺวนฺติ อาห. โส โรทมาโน ตตฺถ €ตฺวา, สตฺถริ จกฺขุปถํ วิชหนฺเต, หทเยน ผลิเตน กาลํ กตฺวา สตฺถริ ปสาเทน ตาวตึสภวเน ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน อจฺฉราสหสฺสมชฺเฌ นิพฺพตฺติ. “ปาริเลยฺยกเทวปุตฺโตเตฺววสฺส นามํ อโหสิ. สตฺถาปิ อนุปุพฺเพน เชตวนํ อคมาสิ. โกสมฺพิกา ภิกฺขู “สตฺถา กิร สาวตฺถึ อาคโตติ สุตฺวา สตฺถารํ ขมาเปตุํ ตตฺถ อคมํสุ. โกสลราชา “เต กิร โกสมฺพิกา ภณฺฑนการกา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺตีติ สุตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา “อหํ ภนฺเต เตสํ มม วิชิตํ ปวิสิตุํ น ทสฺสามีติ อาห. รวบรวมแล้วซึ่งผลไม้ต่างๆท.มีผลแห่งขนุนและกล้วยเป็นต้น กระท�ำแล้ว ให้เป็นกอง ได้ถวายแล้ว แก่ภิกษุ ท. ในวันรุ่งขึ้น ฯ อ. ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออัน ยังผลไม้ ท. ทั้งปวง ให้สิ้นไป ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจด้วยภัตร อ. พระศาสดา ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร เสด็จออกไปแล้ว ฯ อ. ช้างตัวประเสริฐ ไปแล้ว โดยระหว่างและระหว่าง แห่งภิกษุ ท. ได้ยืนแล้ว ขวาง ข้างพระพักตร์ ของพระศาสดา ฯ อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึ่งช้างนั้น ทูลถามแล้ว ซึ่งพระผู้มี พระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ช้าง จะกระท�ำ ซึ่งอะไร ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. ช้าง นี้ ส่งไปแล้ว ซึ่งเธอ ท. ยังเรา จะให้กลับ ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. อย่างนั้นหรือ ดังนี้ ฯ ((อ.พระศาสดาตรัสแล้ว)ว่าดูก่อนภิกษุท.เออ (อ.อย่างนั้น) ดังนี้ฯ ครั้งนั้นอ.พระศาสดา ตรัสแล้ว กะช้างนั้นว่า ดูก่อนปาริไลยก์ อ. การไปนี้เป็นการไปไม่กลับแล้ว แห่งเรา (ย่อมเป็น), อ. ฌานหรือ หรือว่า อ. วิปัสสนา หรือว่า อ. มรรคและผล ย่อมไม่มี แก่เจ้า ด้วยอัตภาพนี้, อ. เจ้า จงหยุดเถิด ดังนี้ฯ อ. ช้างตัวประเสริฐ ฟังแล้ว ซึ่งพระด�ำรัสนั้น ใส่เข้าแล้ว ซึ่งงวง ในปาก ร้องไห้อยู่ ได้ไปแล้ว ข้างหลัง ๆ ฯ ก็ อ. ช้าง ตัวประเสริฐนั้น เมื่อได้ เพื่ออันยังพระศาสดาให้เสด็จกลับ พึงปฏิบัติ โดยท�ำนองนั้นนั่นเทียว ก�ำหนดเพียงไรแห่งชีวิต ฯ ส่วนว่า อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ว ซึ่งอุปจารแห่งบ้าน นั้น ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนปาริไลยก์ (อ. ภาคพื้นนี้) เป็นที่มิใช่ภาคพื้น ของเจ้า (ย่อมเป็น) จ�ำเดิม แต่ที่นี้, อ. ประเทศเป็นที่อยู่อาศัย แห่งมนุษย์ เป็นประเทศเป็นไปกับด้วยอันตรายเป็นเครื่อง- เบียดเบียนรอบ (ย่อมเป็น), อ. เจ้า จงหยุด ดังนี้ ฯ อ.ช้างนั้น ยืนร้องไห้อยู่แล้ว ในที่นั้น ครั้นเมื่อพระศาสดา ทรงละอยู่ ซึ่งคลองแห่งจักษุ, มีหทัย อันแตกแล้ว กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ บังเกิดแล้ว ในท่ามกลางแห่งพันแห่งนางอัปสร ในวิมาน อันเป็นวิการแห่งทอง อันประกอบแล้วด้วยโยชน์ ๓๐ ในภพชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะความเลื่อมใส ในพระศาสดา ฯ (อ.ค�ำ) ว่า อ. เทพบุตรชื่อว่าปาริไลยก์ ดังนี้นั่นเทียว เป็นชื่อ ของเทพบุตรนั้น ได้เป็นแล้ว ฯ แม้ อ.พระศาสดาได้เสด็จถึงแล้ว ซึ่งพระเชตวันตามล�ำดับฯ อ. ภิกษุ ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี ฟังแล้ว ว่า ได้ยินว่า อ. พระศาสดา เสด็จมาแล้ว สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี ดังนี้ ได้ไปแล้ว ในที่นั้น เพื่ออันยังพระศาสดาให้ทรงอดโทษ ฯ อ. พระราชาพระนามว่าโกศล ทรงสดับแล้ว ว่า ได้ยินว่า อ. ภิกษุ ท. ผู้กระท�ำซึ่งความแตกร้าว ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี เหล่านั้น มาอยู่ ดังนี้เสด็จเข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. หม่อมฉัน จักไม่ให้ เพื่ออันเข้าไป สู่แว่นแคว้น ของหม่อมฉัน แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 64.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย59 “มหาราช สีลวนฺตา เต ภิกฺขู, เกวลํ อฺมฺํ วิวาเทน มม วจนํ น คณฺหึสุ; อิทานิ มํ ขมาเปตุํ อาคจฺฉนฺติ: อาคจฺฉนฺตุ มหาราชาติ. อนาถปิณฺฑิโกปิ “ภนฺเต อหํ เตสํ วิหารํ ปวิสิตุํ น ทสฺสามีติ วตฺวา ตเถว ภควตา ปฏิกฺขิตฺโต ตุณฺหี อโหสิ. สาวตฺถิยํ อนุปฺปตฺตานํ ปน เตสํ ภควาเอกมนฺเต วิวิตฺตํ การาเปตฺวา เสนาสนํ ทาเปสิ. อฺเ ภิกฺขู เตหิ สทฺธึ เนว เอกโต นิสีทนฺติ น ติฏฺ€นฺติ. อาคตาคตา สตฺถารํ ปุจฺฉนฺติ “กตเม เต ภนฺเต ภณฺฑนการกา โกสมฺพิกา ภิกฺขูติ. สตฺถา “เอเตติ ทสฺเสติ. เต “เอเต กิร เต, เอเต กิร เตติ อาคตาคเตหิ องฺคุลิยา ทสฺสิยมานา ลชฺชาย สีสํ อุกฺขิปิตุํ อสกฺโกนฺตา ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ ขมาเปสุํ. สตฺถา “ภาริยํ โว ภิกฺขเว กตํ; ตุมฺเห นาม มาทิสสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวาปิ, มยิ สามคฺคึ กโรนฺเต, มม วจนํ น กริตฺถ, โปราณกปณฺฑิตาปิ วชฺฌปฺปตฺตานํ มาตาปิตูนํ โอวาทํ สุตฺวา, เตสุ ชีวิตา โวโรปิยมาเนสุปิ, ตํ อนติกฺกมิตฺวา ปจฺฉา ทฺวีสุ รฏฺเ€สุ รชฺชํ การยึสูติ วตฺวา ปุนเทว ทีฆาวุ- กุมารชาตกํ กเถตฺวา “เอวํ ภิกฺขเว ทีฆาวุกุมาโร มาตาปิตูสุ ชีวิตา โวโรปิยมาเนสุปิ, เตสํ โอวาทํ อนติกฺกมิตฺวา ปจฺฉา พฺรหฺมทตฺตสฺส ธีตรํ ลภิตฺวา ทฺวีสุ กาสิโกสลรฏฺเ€สุ รชฺชํ กาเรสิ, ตุมฺเหหิ ปน มม วจนํ อกโรนฺเตหิ ภาริยํ กตนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น มีศีล, ไม่ถือเอาแล้ว ซึ่งค�ำ ของอาตมภาพ เพราะความวิวาท ซึ่งกันและกัน อย่างเดียว ; ย่อมมา เพื่ออัน ยังอาตมภาพให้อดโทษ ในกาลนี้ : ดูก่อนมหาบพิตร อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น จงมา ดังนี้ฯ แม้ อ. เศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ จักไม่ให้ เพื่ออันเข้าไป สู่วิหาร แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านแล้ว อย่างนั้นนั่นเทียว เป็นผู้นิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ ก็ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว (ซึ่งที่) อันสงัดแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง (ทรงยังบุคคล) ให้ถวายแล้ว ซึ่งเสนาสนะ แก่ภิกษุ ท. เหล่านั้น ผู้ถึงโดยล�ำดับแล้ว ซึ่งเมือง ชื่อว่าสาวัตถี ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่นั่งนั่นเทียว ย่อมไม่ยืน โดยความ เป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น ฯ อ. ชน ท. ผู้มาแล้วและมาแล้ว ย่อมทูลถาม ซึ่งพระศาสดา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี ผู้กระท�ำซึ่งความแตกร้าว เหล่านั้น เหล่าไหน ? ดังนี้ฯ อ. พระศาสดา ทรงแสดงอยู่ ว่า อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น ดังนี้ฯ อ.ภิกษุ ท.เหล่านั้น(ผู้อันชนท.)ผู้มาแล้วและมาแล้วแสดงอยู่ ด้วยนิ้วมือ ว่า ได้ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.) เหล่านั้น เหล่านั่น (เป็นภิกษุ ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี) (ย่อมเป็น), ได้ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.) เหล่านั้น เหล่านั่น (เป็นภิกษุผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี) (ย่อมเป็น) ดังนี้ ไม่อาจอยู่ เพื่ออันยกขึ้น ซึ่งศีรษะ เพราะความละอาย หมอบลงแล้ว ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ทรงอดโทษแล้ว ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. กรรมอันหนัก อันเธอ ท. กระท�ำแล้ว ; ชื่อ อ. เธอ ท. แม้บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยเรา, ครั้นเมื่อเรา กระท�ำอยู่ ซึ่งความสามัคคี, ไม่กระท�ำแล้ว ซึ่งค�ำ ของเรา, แม้ อ. บัณฑิต ผู้มีในก่อน ท. ฟังแล้ว ซึ่งโอวาท ของมารดาและบิดา ท. ผู้ถึงแล้ว ซึ่งความเป็นผู้อันบุคคลพึงฆ่า, ครั้นเมื่อมารดาและบิดาท.เหล่านั้น (อันชน ท.) แม้ปลงลงอยู่ จากชีวิต, ไม่ก้าวล่วงแล้ว ซึ่งโอวาทนั้น (ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในแว่นแคว้น ท. ๒ ในภายหลัง ดังนี้ ตรัสแล้ว ซึ่งทีฆาวุกุมารชาดก อีกนั่นเทียว ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระกุมารพระนามว่าทีฆาวุ ครั้นเมื่อพระมารดาและพระบิดา ท. (อันชน ท) แม้ปลงลงอยู่ จากพระชนม์ชีพ อย่างนี้, ไม่ทรงก้าวล่วงแล้ว ซึ่งพระโอวาท ของพระมารดาและพระบิดา ท. เหล่านั้น ทรงได้แล้ว ซึ่งพระธิดา ของพระเจ้าพรหมทัต ในภายหลัง ทรงยังบุคคลให้กระท�ำแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในแว่นแคว้นชื่อว่ากาสีและแว่นแคว้น ชื่อว่าโกศล ท. ๒, ส่วนว่า อ. กรรม อันหนัก อันเธอ ท. ผู้ไม่กระท�ำอยู่ ซึ่งค�ำ ของเรา กระท�ำแล้ว ดังนี้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา นี้ว่า www.kalyanamitra.org
  • 65.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 60 “ปเร จ น วิชานนฺติ `มยเมตฺถ ยมาม เส; เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ. ตตฺถ “ปเรติ: ปณฺฑิเต €เปตฺวา ตโต อฺเ ภณฺฑนการกา ปเร นาม. เต ตตฺถ สงฺฆมชฺเฌ โกลาหลํ กโรนฺตา “มยํ ยมาม เส อุปรมาม นสฺสาม สสตํ สมีปํ มจฺจุสนฺติกํ คจฺฉามาติ น วิชานนฺติ. เย จ ตตฺถ วิชานนฺตีติ; เย ตตฺถ ปณฺฑิตา “มยํ มจฺจุสมีปํ คจฺฉามาติ วิชานนฺติ. ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ: เอวํ หิ เต ชานนฺตา โยนิโสมนสิการํ อุปฺปาเทตฺวา เมธคานํ กลหานํ วูปสมาย ปฏิปชฺชนฺติ, อถ เตสํ ตาย ปฏิปตฺติยา เต เมธคา สมฺมนฺติ. อถวา “ปเร จาติ: ปุพฺเพ มยา “มา ภิกฺขเว ภณฺฑนนฺติอาทีนิ วตฺวา โอวทิยมานาปิ มม โอวาทสฺส อปฏิคฺคหเณน อมามกา ปเร นาม “มยํ ฉนฺทาทิวเสน มิจฺฉาคาหํ คเหตฺวา เอตฺถ สงฺฆมชฺเฌ ยมามเส ภณฺฑนาทีนํ วุฑฺฒิยา วายมามาติ น วิชานนฺติ. อิทานิ ปน โยนิโส ปจฺจเวกฺขมานา ตตฺถ ตุมฺหากํ อนฺตเร เย ปณฺฑิตปุริสา “ปุพฺเพ มยํ ฉนฺทาทิวเสน วายมนฺตา อโยนิโส ปฏิปนฺนาติ วิชานนฺติ, ตโต เตสํ สนฺติกา เต ปณฺฑิตปุริเส นิสฺสาย อิเมทานิ กลหสงฺขาตา เมธคา สมฺมนฺตีติ อยเมตฺถ อตฺโถติ. คาถาปริโยสาเน สมฺปตฺตภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีสุ ปติฏฺ€หึสูติ. โกสมฺพิกวตฺถุ. ก็ อ.ชน ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่รู้แจ้ง ว่า อ.เรา ท. ย่อมย่อยยับสิ ในท่ามกลางแห่งสงฆ์นี้ (ดังนี้), ส่วนว่า อ.ชน ท. เหล่าใด ในหมู่นั้น ย่อมรู้แจ้ง , อ. ความหมายมั่น ท. ย่อมสงบ (จากส�ำนัก ของชน ท. เหล่านั้น) นั้น ดังนี้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า อ. ชน ท. ผู้กระท�ำซึ่งความแตกร้าว เว้น ซึ่งบัณฑิต ท. คือว่า เหล่าอื่น จากบัณฑิตนั้น ชื่อว่าเหล่าอื่น ฯ (อ. ชน ท. เหล่าอื่น) เหล่านั้น กระท�ำอยู่ ซึ่งความโกลาหล ในท่ามกลางแห่งสงฆ์นั้น ชื่อว่าย่อมไม่รู้แจ้ง ว่า อ. เรา ท. ย่อมย่อยยับ สิ คือว่า ย่อมบ่นปี้ คือว่า ย่อมฉิบหาย คือว่า ย่อมไปสู่ที่ใกล้ คือว่าสู่ส�ำนักของมัจจุเนืองๆดังนี้(ดังนี้)ในบทท. เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า ปเร ดังนี้เป็นต้น ฯ (อ. อรรถ) ว่า อ. ชน ท. เหล่าใด ผู้เป็นบัณฑิต ในหมู่นั้น ย่อมรู้แจ้ง ว่า อ. เรา ท. ย่อมไป สู่ที่ใกล้แห่งมัจจุ ดังนี้ (ดังนี้) (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ. ชน ท. เหล่านั้น รู้อยู่ อย่างนี้แล ยังการกระท�ำ ไว้ในใจโดยแยบคาย ให้เกิดขึ้นแล้ว ปฏิบัติอยู่ เพื่อความเข้าไป สงบวิเศษ แห่งความหมายมั่น ท. คือว่า แห่งความทะเลาะ ท., ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) อ. ความหมายมั่น ท. เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมสงบเพราะการปฏิบัตินั้นแห่งบัณฑิตท.เหล่านั้น(ดังนี้) (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ดังนี้ฯ อีกอย่างหนึ่ง อ. อธิบาย ในพระคาถานี้ นี้ว่า (อ. อรรถ) ว่า (อ.ชนท.)แม้ผู้อันเรากล่าวแล้ว(ซึ่งค�ำท.)มีค�ำว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท. อย่าได้กระท�ำแล้ว) ซึ่งความแตกร้าว ดังนี้เป็นต้น กล่าวสอนอยู่ ในกาลก่อน ชื่อว่าผู้ไม่เชื่อถือ เพราะอันไม่รับเอา ซึ่งโอวาท ของเรา ชื่อว่าเหล่าอื่น, (อ. ชน ท. เหล่าอื่น เหล่านั้น) ย่อมไม่รู้แจ้งว่า อ.เรา ท. ถือเอาแล้ว ถือเอาผิด ด้วยอ�ำนาจแห่งอคติ มีฉันทะเป็นต้น ย่อมย่อยยับสิ คือว่า ย่อมพยายาม เพื่อความเจริญ (แห่งเหตุ ท.) มีความแตกร้าวเป็นต้น ในท่ามกลางแห่งสงฆ์นี้ ดังนี้ฯ แต่ว่า ในกาลนี้ อ.บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ท. เหล่าใด ในระหว่าง แห่งเธอท.นั้นพิจารณาอยู่โดยแยบคาย ย่อมรู้แจ้งว่าในกาลก่อน อ.เรา ท. พยายามอยู่ ด้วยอ�ำนาจแห่งอคติมีฉันทะเป็นต้น เป็นผู้ปฏิบัติแล้ว โดยไม่แยบคาย (ย่อมเป็น) ดังนี้, ในกาลนี้ อ.ความหมายมั่น ท. อันบัณฑิตนับพร้อมแล้วว่าความทะเลาะ เหล่านี้ ย่อมสงบ จากส�ำนัก ของบัณฑิต ท. เหล่านั้น นั้น คือว่า เพราะอาศัย ซึ่งบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ท. เหล่านั้น (ดังนี้ แห่งบท) ว่า ปเร จ ดังนี้เป็นต้น (ดังนี้) (อันบัณฑิตพึงทราบ) ด้วยประการฉะนี้ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุผู้ถึงพร้อมแล้ว ท. ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว (ในอริยผลท.)มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แลฯ อ. เรื่องแห่งภิกษุผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าโกสัมพี (จบแล้ว) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 66.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย61 ๖. จุลฺลกาลมหากาลวตฺถุ. (๖) “สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตนฺติอิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เสตพฺยนครํ อุปนิสฺสาย สีสปาวเน วิหรนฺโต จุลฺลกาล มหากาเล อารพฺภ กเถสิ. เสตพฺยนครวาสิโน หิ “จุลฺลกาโล มชฺฌิมกาโล มหากาโล จาติ ตโย ภาตโร กุฏุมฺพิกา. เตสุ เชฏฺ€กนิฏฺ€า ทิสาสุ วิจริตฺวา ปฺจหิ สกฏสเตหิ ภณฺฑํ อาหรนฺติ. มชฺฌิมกาโล อาภตํ วิกฺกีณาติ. อเถกสฺมึ สมเย เต อุโภปิ ภาตโร ปฺจหิ สกฏสเตหิ นานาภณฺฑํ คเหตฺวา สาวตฺถึ คนฺตฺวา สาวตฺถิยา จ เชตวนสฺส จ อนฺตเร สกฏานิ โมจยึสุ. เตสุมหากาโล สายณฺหสมเย มาลาคนฺธาทิหตฺเถ สาวตฺถีวาสิโน อริยสาวเก ธมฺมสฺสวนาย คจฺฉนฺเต ทิสฺวา “กุหึ อิเม คจฺฉนฺตีติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา “อหํปิ คมิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา กนิฏฺ€ํ อามนฺเตตฺวา “ตาต สกเฏสุ อปฺปมตฺโต โหหิ, อหํปิ ธมฺมํ โสตุํ คมิสฺสามีติ วตฺวา คนฺตฺวา ตถาคตํ วนฺทิตฺวา ปริสปริยนฺเต นิสีทิ. สตฺถา ตํทิวสํ ตสฺส อชฺฌาสเยน อนุปุพฺพีกถํ กเถนฺโต ทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตาทิวเสน อเนกปริยาเยน กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสฺจ กเถสิ. ตํ สุตฺวา มหากาโล “ สพฺพํ กิร ปหาย คนฺตพฺพํ, ปรโลกํ คจฺฉนฺตํ เนว โภคา น าตโย อนุคจฺฉนฺติ,กึเมฆราวาเสน,ปพฺพชิสฺสามีติจินฺเตตฺวา, มหาชเน วนฺทิตฺวา ปกฺกนฺเต, สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา, สตฺถารา “นตฺถิ เต โกจิ อปโลเกตพฺโพติ วุตฺเต, “กนิฏฺโ€ เม อตฺถิ ภนฺเตติ วตฺวา, “เตนหิ อปโลเกหิ นนฺติ วุตฺเต, “สาธุ ภนฺเตติ อาคนฺตฺวา ๖. อ. เรื่องแห่งภิกษุชื่อว่าจุลกาลและภิกษุชื่อว่ามหากาล (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ. พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัย ซึ่งเมืองชื่อว่าเสตัพยะ ประทับอยู่ ในป่าแห่งไม้สีเสียด ทรงปรารภ ซึ่งภิกษุชื่อว่าจุลกาล และภิกษุชื่อว่ามหากาล ท. ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ ว่า สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ ดังนี้เป็นต้น ฯ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. กุฎุมพี ท. ผู้เป็นพี่น้องชายกัน ๓ คือ อ. จุลกาลด้วย อ.มัชฌิมกาลด้วย อ. มหากาลด้วย เป็นผู้อยู่ใน เมืองชื่อว่าเสตัพยะโดยปกติ (ได้เป็นแล้ว) ฯ ในกุฎุมพี ท. ๓ เหล่านั้นหนา อ. พี่ชายผู้เจริญที่สุดและน้องชาย ผู้น้อยที่สุด ท. เที่ยวไปแล้ว ในทิศ ท. ย่อมน�ำมา ซึ่งสิ่งของ ด้วยร้อยแห่งเกวียน ท. ๕ ฯ อ. กุฎุมพีชื่อว่ามัชฌิมกาล ย่อมขาย (ซึ่งสิ่งของ) อันอันชน ท. เหล่านั้นน�ำมาแล้ว ฯ ครั้งนั้น ในสมัย หนึ่ง อ. พี่น้องชาย ท. แม้ทั้งสอง เหล่านั้น ถือเอา ซึ่งสิ่งของต่าง ๆ ด้วยร้อยแห่งเกวียน ท. ๕ ไปแล้ว สู่เมือง ชื่อว่าสาวัตถี แก้แล้ว ซึ่งเกวียน ท. ในระหว่าง แห่งเมืองชื่อว่า สาวัตถีด้วย แห่งพระเชตวันด้วย ฯ ในกุฎุมพี ท. ๒ เหล่านั้นหนา อ. กุฎุมพี ชื่อว่ามหากาล เห็นแล้ว ซึ่งอริยสาวก ท. ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าสาวัตถีโดยปกติ ผู้มีวัตถุ มีระเบียบและของหอมเป็นต้นในมือ ผู้ไปอยู่ เพื่ออันฟังซึ่งธรรม ในสมัยเป็นที่สิ้นไปแห่งวัน ถามแล้ว ว่า อ. ชน ท. เหล่านี้ จะไป ในที่ไหน ดังนี้ ฟังแล้ว ซึ่งเนื้อความ นั้น คิดแล้ว ว่า แม้ อ. เรา จักไป ดังนี้ เรียกมาแล้ว ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุด กล่าวแล้ว ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้า เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ในเกวียน ท. จงเป็น, แม้ อ.เรา จักไป เพื่ออันฟัง ซึ่งธรรม ดังนี้ ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า นั่งแล้ว ในที่สุดรอบแห่งบริษัท ฯ ในวันนั้น อ. พระศาสดา เมื่อตรัส ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าว โดยล�ำดับ ตามอัธยาศัย แห่งกุฎุมพีนั้น ตรัสแล้ว ซึ่งโทษด้วย ซึ่งการกระท�ำต�่ำด้วย ซึ่งความเศร้าหมองพร้อมด้วย แห่งกาม ท. โดยปริยายมิใช่หนึ่ง ด้วยอ�ำนาจแห่งสูตรมีทุกขักขันธสูตร เป็นต้น ฯ อ. กุฎุมพีชื่อว่ามหากาล ฟังแล้ว ซึ่งพระด�ำรัสนั้น คิดแล้ว ว่า ได้ยินว่า (อันบุคคล) ละแล้ว ซึ่งวัตถุทั้งปวง พึงไป, อ. โภคะ ท. ย่อมไม่ไปตามนั่นเทียว อ. ญาติ ท. ย่อมไม่ไปตาม (ซึ่งบุคคล) ผู้ไปอยู่ สู่โลกอื่น, อ. ประโยชน์อะไร ของเรา ด้วยการอยู่ครอง ซึ่งเรือน, อ. เรา จักบวช ดังนี้, ครั้นเมื่อมหาชน ถวายบังคมแล้ว หลีกไปแล้ว, ทูลขอแล้ว ซึ่งการบวช กะพระศาสดา, (ครั้นเมื่อ พระด�ำรัส) ว่า อ. ใคร ๆ ผู้อันท่านพึงอ�ำลา ย่อมไม่มีหรือ ดังนี้ อันพระศาสดา ตรัสแล้ว, กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. น้องชายผู้น้อยที่สุด ของข้าพระองค์ มีอยู่ ดังนี้, (ครั้นเมื่อ พระด�ำรัส) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน จงอ�ำลา ซึ่งน้องชายผู้น้อยที่สุด นั้น ดังนี้ (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว , (รับพร้อมแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ดีละ ดังนี้มาแล้ว www.kalyanamitra.org
  • 67.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 62 กนิฏฺ€ํ เอตทโวจ “ตาต อิมํ สพฺพํ สาปเตยฺยํ ปฏิปชฺชาติ. “ตุมฺเห ปน ภาติกาติ. “อหํ สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามีติ. โส ตํ นานปฺปกาเรหิ ยาจิตฺวา นิวตฺเตตุํ อสกฺโกนฺโต “สาธุ สามิ ยถาชฺฌาสยํ กโรถาติ อาห. มหากาโล คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิ. “ อหํ ภาติกํ คเหตฺวาว อุปฺปพฺพชิสฺสามีติ จุลฺลกาโลปิ ปพฺพชิ. อปรภาเค มหากาโล อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา สาสเน ธุรานิ ปุจฺฉิตฺวา, สตฺถารา ทฺวีสุ ธุเรสุ กถิเตสุ , “อหํ ภนฺเต มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตตฺตา คนฺถธุรํ ปูเรตุํ น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุรํ ปน ปูเรสฺสามีติ ยาว อรหตฺตา โสสานิกธุตงฺคํ กถาเปตฺวา, ป€มยามาติกฺกเม สพฺเพสุ นิทฺทํ โอกฺกนฺเตสุ, สุสานํ คนฺตฺวา ปจฺจูสกาเล สพฺเพสุ อนุฏฺ€ิเตสุเยว, วิหารํ อาคจฺฉติ. อเถกา สุสานโคปิกา กาลี นาม ฉวฑาหิกา เถรสฺส€ิตฏฺ€านฺจนิสีทนฏฺ€านฺจจงฺกมนฏฺ€านฺจ ทิสฺวา “โก นุ โข อิธาคจฺฉติ, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ นนฺติ ปริคฺคณฺหิตุํ อสกฺโกนฺตี เอกทิวสํ สุสานกุฏิกาย ทีปํ ชาเลตฺวา ปุตฺตธีตโร อาทาย คนฺตฺวา เอกมนฺเต นิลีนา มชฺฌิมยาเม เถรํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา “อยฺโย โน ภนฺเต อิมสฺมึ €าเน วิหรตีติ อาห. “อาม อุปาสิเกติ. “ภนฺเต สุสาเน วิหรนฺเตหิ นาม วตฺตํ อุคฺคณฺหิตุํ วฏฺฏตีติ. เถโร “กึ ปน มยํ ตยา กถิตวตฺเต วตฺติสฺสามาติ อวตฺวา ได้กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำนั่น กะน้องชายผู้น้อยที่สุด ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้า จงครอบครอง ซึ่งสมบัติ นี้ทั้งปวง ดังนี้ฯ (อ.น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่พี่ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ? ดังนี้ฯ (อ. กุฎุมพีนั้น กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา จักบวช ในส�ำนัก ของพระศาสดา ดังนี้ ฯ อ. น้องชายผู้น้อยที่สุดนั้น อ้อนวอนแล้ว ซึ่งกุฎุมพีนั้น โดยประการต่าง ๆ ท. ไม่อาจอยู่ เพื่ออัน (ยังกุฎุมพี) ให้กลับได้ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่นาย อ. ดีละ , อ. ท่าน ท. จงกระท�ำ ตามอัธยาศัย ดังนี้ ฯ อ. มหากาล ไปแล้ว บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ แม้ อ. จุลกาล บวชแล้ว (ด้วยความคิด) ว่า อ. เรา พาเอาแล้ว ซึ่งพี่ชายเทียว จักสึก ดังนี้ ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีกอ.มหากาลได้แล้วซึ่งการอุปสมบท เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ทูลถามแล้ว ซึ่งธุระ ท. ในศาสนา, ครั้นเมื่อธุระ ท. สอง อันพระศาสดา ตรัสแล้ว (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ จักไม่อาจ เพื่ออัน ยังคันถธุระให้เต็ม เพราะความที่แห่งข้าพระองค์เป็นผู้บวชแล้ว ในกาลแห่งตนเป็นคนแก่, แต่ว่า อ. ข้าพระองค์ ยังวิปัสสนาธุระ จักให้เต็ม ดังนี้ (ยังพระศาสดา) ให้ตรัสบอกแล้ว ซึ่งธุดงค์ แห่งภิกษุผู้มีอันอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ เพียงใด แต่พระอรหัต, ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง ก้าวลงแล้ว สู่ความหลับ ในกาลเป็นที่ก้าวล่วง ซึ่งยามที่หนึ่ง, ไปแล้ว สู่ป่าช้า ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง ไม่ลุกขึ้นแล้วนั่นเทียว ในกาลอันขจัดเฉพาะซึ่งความมืดมัว, ย่อมมา สู่วิหาร ฯ ครั้งนั้น (อ.หญิง) ผู้เผาซึ่งซากศพ คนหนึ่ง ชื่อว่ากาลี ผู้เฝ ้ า ซึ่งป่าช้า เห็นแล้ว ซึ่งที่แห่งพระเถระยืนแล้วด้วยนั่นเทียว ซึ่งที่เป็นที่นั่งแห่งพระเถระด้วย ซึ่งที่เป็นที่จงกรมแห่งพระเถระด้วย (คิดแล้ว) ว่า อ. ใครหนอแล ย่อมมา ในที่นี้, อ. เรา จักก�ำหนดจับ ซึ่งบุคคลนั้น ดังนี้ไม่อาจอยู่ เพื่ออันก�ำหนดจับ ในวันหนึ่ง ยังประทีป ให้โพลงแล้ว ในกระท่อมใกล้ป่าช้า พาเอา ซึ่งบุตรและธิดา ท. ไปแล้ว แอบแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้มาอยู่ ในยามอันมีในท่ามกลาง ไปแล้ว ไหว้แล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. พระผู้เป็นเจ้า ย่อมอยู่ ในที่นี้ของเรา ท. หรือ ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสิกา เออ (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ (อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อัน (อันภิกษุ ท.) ชื่อผู้อยู่อยู่ ในป่าช้า เรียนเอา ซึ่งวัตร ย่อมควร ดังนี้ฯ อ. พระเถระ ไม่กล่าวแล้ว ว่า ก็ อ. เรา ท. จักประพฤติ ในวัตร อันอันท่านกล่าวแล้ว หรือ ดังนี้ www.kalyanamitra.org
  • 68.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย63 “กึ กาตุํ วฏฺฏติ อุปาสิเกติ อาห. “ภนฺเต โสสานิเกหิ นาม สุสาเน วสนภาโว สุสานโคปกานํ วิหาเร มหาเถรสฺส คามโภชกสฺส จ กเถตุํ วฏฺฏตีติ. “กึการณาติ. “กตกมฺมา โจรา สามิเกหิ ปทานุปทํ อนุพนฺธนฺตา สุสาเน ภณฺฑิกํ ฉฑฺเฑตฺวา ปลายนฺติ; อถ มนุสฺสา โสสานิกานํ ปริปนฺถํ กโรนฺติ; เอเตสํ ปน กถิเต, `มยํ อิมสฺส ภทฺทนฺตสฺส เอตฺตกนฺนาม กาลํ เอตฺถ วสนภาวํ ชานาม, อโจโร เอโสติ อุปทฺทวํ นิวาเรนฺติ; ตสฺมา เอเตสํ กเถตุํ วฏฺฏตีติ. “อญฺญํ กึ กาตพฺพนฺติ. “ภนฺเต สุสาเน วสนฺเตน นาม อยฺเยน มจฺฉมํสปิฏฺ€ติลคุฬาทีนิ วชฺเชตพฺพานิ, ทิวา น นิทฺทายิตพฺพํ, อกุสีเตน ภวิตพฺพํ อารทฺธวิริเยน, อสเ€น อมายาวินา หุตฺวา กลฺยาณชฺฌาสเยน ภวิตพฺพํ, สายํ สพฺเพสุ สุตฺเตสุ วิหารโต อาคนฺตพฺพํ, ปจฺจูสกาเล สพฺเพสุ อนุฏฺ€ิเตสุเยว, วิหารํ คนฺตพฺพํ, สเจ ภนฺเต อยฺโย อิมสฺมึ €าเน เอวํ วิหรนฺโต ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปตุํ สกฺขิสฺสติ, สเจ มตสรีรํ อาเนตฺวา ฉฑฺเฑนฺติ, กมฺพลกูฏาคารํ อาโรเปตฺวา คนฺธมาลาทีหิ สกฺการํ กตฺวา สรีรกิจฺจํ กริสฺสามิ; โน เจ สกฺขิสฺสติ, จิตกํ อาโรเปตฺวา อคฺคึ ชาเลตฺวา สงฺกุนา อากฑฺฒิตฺวา พหิ €เปตฺวาผรสุนา โกฏฺเฏตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา อคฺคิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา ตุยฺหํ ทสฺเสตฺวา ฌาเปสฺสามีติ. กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนอุบาสิกา อ. อัน (อันเรา) กระท�ำ ซึ่งอะไร ย่อมควร ดังนี้ฯ (อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อัน (อันภิกษุ ท.) ชื่อว่าผู้มีการอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าว ซึ่งความเป็นคือการอยู่ ในป่าช้า (แก่ชน ท.) ผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้าด้วย แก่พระมหาเถระ ในวิหาร ด้วย แก่บุคคลผู้บริโภคซึ่งบ้านด้วย ย่อมควร ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ ถามแล้ว) ว่า อ.อัน ๆ ภิกษุ ท. ชื่อผู้มีการอยู่ ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าวซึ่งความเป็นคืออันอยู่ในป่าช้า แก่ชน ท. ผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้าด้วย แก่พระมหาเถระ ในวิหารด้วย แก่บุคคล ผู้บริโภคซึ่งบ้านด้วย ย่อมควร เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ (อ.นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า (เพราะว่า) อ.โจร ท. ผู้มีกรรม อันกระท�ำแล้ว ผู้อันเจ้าของ ท. ติดตามอยู่ ซึ่งรอยเท้าและรอยเท้าตาม ทิ้งแล้ว ซึ่งห่อมีภัณฑะ ในป่าช้า จะหนีไป; ครั้นเมื่อความเป็น อย่างนั้น (มีอยู่) อ. มนุษย์ ท. จะกระท�ำ ซึ่งอันตรายเป็นเครื่อง เบียดเบียนรอบ (แก่ภิกษุ ท.) ผู้มีอันอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ; แต่ว่า ครั้นเมื่อความเป็นคืออันอยู่ในป่าช้า อันภิกษุ ท. ผู้มีการอยู่ ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าวแล้ว แก่ชน ท. มีชนผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้าเป็นต้น เหล่านั่น อ.ชน ท. มีชนผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้าเป็นต้น เหล่านั่น ย่อมห้าม ซึ่งอุปัททวะ ด้วยอันกล่าวว่า อ.เรา ท. ย่อมรู้ ซึ่งความเป็นคือ อันอยู่ในปาช้านี้ แห่งท่านผู้เจริญนี้ ตลอดกาลชื่อมีประมาณเท่า นี้ อ.ท่านผู้เจริญนั่น เป็นผู้มิใช่โจร ย่อมเป็น ดังนี้, เพราะฉะนั้น อ.อัน ๆ ภิกษุ ท. ผู้มีการอยู่ในป่าช้าเป็นปกติ กล่าวซึ่งความเป็น คือการอยูในป่าช้า แก่ชนท. มีชนผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้าเป็นต้น เหล่านั้น ย่อมควร ดังนี้ฯ (อ.พระเถระถามแล้ว)ว่าอ.กรรมอะไรอื่น(อันเรา)พึงกระท�ำ ดังนี้ฯ (อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. วัตถุ ท.) มีปลาและเนื้อและแป ้ งและงาและน�้ำอ้อยงบเป็นต้น อันพระผู้เป็นเจ้า ชื่อว่าผู้อยู่อยู่ ในป่าช้า พึงเว้น, (อันพระผู้เป็นเจ้า ชื่อว่าผู้อยู่อยู่ ในป่าช้า) ไม่พึงประพฤติหลับ ในกลางวัน, พึงเป็นผู้เกียจคร้าน หามิได้ พึงเป็น เป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เป็นผู้โอ้อวด หามิได้ เป็นผู้มีมายาหามิได้ เป็น พึงเป็นผู้มีอัธยาสัยอันงาม พึงเป็น ในเวลาเย็น ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง หลับแล้ว (อันพระผู้เป็นเจ้า ชื่อผู้อยู่ๆในป่าช้า) พึงมาจากวิหาร, ในกาลเป็นที่ขจัดเฉพาะซึ่งมืด ครั้นเมื่อชน ท. ทั้งปวง ยังไม่ลุกขึ้นแล้วนั่นเทียว พึงไป สู่วิหาร, ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ.พระผู้เป็นเจ้าอยู่ๆ อย่างนี้ในที่นี้ จักอาจ เพื่ออันยังกิจแห่งบรรพชิต ให้ถึงซึ่งที่สุด ไซร้, ถ้าว่า อ.ชน ท. น�ำมาแล้ว ซึ่งสรีระของชนผู้ตายแล้ว ย่อมทิ้ง ไซร้, อ.ดิฉัน จักยกขึ้นแล้ว ซึ่งสรีระของชนผู้ตายแล้วนั้น สู่เรือนยอดอันบุคคล ลาดแล้วด้วยผ้ากัมพล กระท�ำแล้ว ซึ่งสักการะ (ด้วยวัตถุ ท.) มีของหอมและระเบียบแห่งดอกไม้เป็นต้น จักกระท�ำ ซึ่งกิจคือ การเผาซึ่งสรีระ, ถ้าว่า อ.พระผู้เป็นเจ้า จักไม่อาจเพื่ออันยังกิจ แห่งบรรพชิตให้ถึงซึ่งที่สุด ไซร้ อ. ดิฉัน จักยกขึ้นแล้ว ซึ่งสรีระ ของชนผู้ตายแล้วนั้น สู่เชิงตะกอน ยังไฟให้โพลงแล้ว คร่ามาแล้ว ด้วยขอ ตั้งไว้แล้ว ในภายนอก ทุบแล้ว ด้วยขวาน ตัดแล้ว ท�ำให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ใส่เข้าแล้ว ในไฟ แสดงแล้ว แก่ท่าน จักยังสรีระของชนผู้ตายแล้วนั้นให้ไหม้ ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 69.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 64 อถ นํ เถโร “สาธุ ภทฺเท, เอกํ ปน รูปารมฺมณํ ทิสฺวา มยฺหํ กเถหีติ อาห. สา “สาธูติ ปจฺจสฺโสสิ. เถโร ยถาชฺฌาสเยน สุสาเน สมณธมฺมํ กโรติ. จุลฺลกาลตฺเถโร ปน อุฏฺ€าย สมุฏฺ€าย ฆราวาสํ จินฺเตติ, ปุตฺตทารํ อนุสฺสรติ, “อยํ เม ภาติโก อติภาริยํ กมฺมํ กโรตีติ จินฺเตสิ. อเถกา กุลธีตา ตํมุหุตฺตํ สมุฏฺ€ิเตน พฺยาธินา สายณฺหสมเย อมิลาตา อกิลนฺตา กาลมกาสิ. ตเมนํ าตโย ทารุเตลาทีหิ สทฺธึ สายํ สุสานํ เนตฺวา สุสานโคปิกาย “อิมํ ฌาเปหีติ ภตึ ทตฺวา นิยฺยาเทตฺวา ปกฺกมึสุ. สา ตสฺสา ปารุปนวตฺถํ อปเนตฺวา ตํ มุหุตฺตมตํ ปณีตปฺปณีตํ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ ทิสฺวา “อิมํ อยฺยสฺส ทสฺเสตุํ ปฏิรูปํ อารมฺมณนฺติ จินฺเตตฺวา คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา “เอวรูปํ นาม ภนฺเต อารมฺมณํ อตฺถิ, โอโลเกยฺยาถาติ อาห. เถโร “สาธูติ คนฺตฺวา ปารุปนวตฺถํ นีหราเปตฺวา ปาทตลโต ยาว เกสคฺคา โอโลเกตฺวา “อติปณีตเมตํ รูปํ สุวณฺณวณฺณํ , อคฺคิมฺหิ นํ ปกฺขิปิตฺวา มหาชาลาหิ คหิตกาเล มยฺหํ อาโรเจยฺยาสีติ วตฺวา สกฏฺ€านเมว คนฺตฺวา นิสีทิ. สา ตถา กตฺวา เถรสฺส อาโรเจสิ. เถโร คนฺตฺวา โอโลเกสิ. ชาลาย ปหฏปหฏฏฺ€าเน กวรคาวี วิย สรีรวณฺณํ อโหสิ. ปาทา นมิตฺวา โอลมฺพึสุ, หตฺถา ปฏิกุชฺชึสุ, ลลาฏํ นิจฺจมฺมํ อโหสิ. เถโร “อิทํ สรีรํ อิทาเนว โอโลเกนฺตานํ อปริยนฺตีกรํ หุตฺวา อิทาเนว ขยปฺปตฺตํ วยปฺปตฺตนฺติ รตฺติฏฺ€านํ คนฺตฺวา นิสีทิตฺวา ขยวยํ สมฺปสฺสมาโน ครั้งนั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้ว กะนางกาลีนั้น ว่า ดูก่อน นางผู้เจริญอ.ดีละ,ก็อ.ท่านเห็นแล้วซึ่งอารมณ์คือรูปอย่างหนึ่ง จงบอก แก่เรา ดังนี้ฯ อ. นางกาลีนั้น ได้ฟังตอบแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ฯ อ.พระเถระย่อมกระท�ำ ซึ่งสมณธรรมในป่าช้าตามอัธยาศัย อย่างไร ฯ ส่วนว่า อ. พระเถระชื่อว่าจุลกาล ลุกขึ้นแล้ว ลุกขึ้นพร้อมแล้ว ย่อมคิดซึ่งการอยู่ครองซึ่งเรือน,ย่อมตามระลึกถึงซึ่งบุตรและทาระ, คิดแล้ว ว่า อ. พี่ชาย ของเรา นี้ย่อมกระท�ำ ซึ่งกรรม อันหนักยิ่ง ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. กุลธิดา คนหนึ่ง ไม่เหี่ยวแห้งแล้ว ไม่บอบช�้ำแล้ว ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ ในสมัยเป็นที่สิ้นไปแห่งวัน ด้วยความเจ็บ อันตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ในครู่หนึ่งนั้น ฯ อ. ญาติ ท. น�ำไปแล้ว ซึ่งกุลธิดานั่นนั้น สู่ป่าช้า ในเวลาเย็น กับ (ด้วยวัตถุ ท.) มีฟืนและน�้ำมันเป็นต้น ให้แล้ว ซึ่งค่าจ้าง แก่หญิงผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้า (ด้วยค�ำ) ว่า (อ. เธอ) ยังกุลธิดานี้จงให้ไหม้ ดังนี้มอบให้แล้ว หลีกไปแล้ว ฯ อ. หญิงผู้เฝ ้ าซึ่งป่าช้า นั้น น�ำไปปราศแล้ว ซึ่งผ้าเป็นเครื่องห่ม ของกุลธิดานั้นเห็นแล้วซึ่งสรีระ มีสีเพียงดังสีแห่งทองอันประณีต และประณีต อันตายแล้วในครู่หนึ่ง นั้น คิดแล้ว ว่า อ. อารมณ์นี้ เป็นอารมณ์ อันสมควร เพื่ออันแสดง แก่พระผู้เป็นเจ้า (ย่อมเป็น) ดังนี้ไปแล้ว ไหว้แล้ว ซึ่งพระเถระ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. อารมณ์ ชื่อมีอย่างนี้เป็นรูป มีอยู่, (อ.ท่าน ท.) ควรแลดู ดังนี้ฯ อ.พระเถระ(รับพร้อมแล้ว)ว่าอ.ดีละดังนี้ไปแล้ว(ยังนางกาลี) ให้น�ำออกแล้ว ซึ่งผ้าเป็นเครื่องห่ม แลดูแล้ว แต่พื้นแห่งเท้า เพียงใด แต่ปลายแห่งผม กล่าวแล้ว ว่า อ. รูปนั่น เป็นรูปประณีตเกิน เป็นรูปมีสีเพียงดังสีแห่งทอง (ย่อมเป็น), (อ. ท่าน) ใส่เข้าแล้ว ซึ่งรูปนั้น ในไฟ พึงบอก แก่เรา ในกาลแห่งรูปนั้น อันเปลวไฟใหญ่ ท. จับแล้ว ดังนี้ไปแล้ว สู่ที่อันเป็นของตนนั่นเทียว นั่งแล้ว ฯ อ. นางกาลีนั้น กระท�ำแล้ว อย่างนั้น บอกแล้ว แก่พระเถระ ฯ อ. พระเถระ ไปแล้ว แลดูแล้ว ฯ อ. สีแห่งสรีระ เป็นราวกะว่าแม่โคด่าง ได้เป็นแล้ว ในที่ แห่งสรีระ อันเปลวไฟกระทบแล้วและกระทบแล้ว ฯ อ. เท้า ท. งอแล้ว ห้อยลงแล้ว, อ. มือ ท. งอกลับแล้ว, อ. หน้าผาก เป็นอวัยวะไม่มีหนัง ได้เป็นแล้ว ฯ อ. พระเถระ กระท�ำไว้ในใจแล้ว ว่า อ. สรีระ นี้ เป็นอวัยวะกระท�ำซึ่งกิเลสให้เป็นสภาพไม่มีที่สุดรอบ เป็น แก่ชน ท. ผู้แลดูอยู่ ในกาลนี้นั่นเทียว เป็นอวัยวะถึงแล้วซึ่งความสิ้นไป เป็นอวัยวะถึงแล้วซึ่งความเสื่อมไป (ย่อมเป็น) ในกาลนี้นั่นเทียว ดังนี้ ไปแล้ว สู่ที่เป็นที่พักในเวลากลางคืน นั่งพิจารณาอยู่แล้ว ซึ่งความสิ้นไปและความเสื่อมไป กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ว่า www.kalyanamitra.org
  • 70.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย65 “อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน, อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโขติ คาถํ วตฺวา วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา สห ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิ. ตสฺมึ อรหตฺตํ ปตฺเต, สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต จาริกฺจรมาโน เสตพฺยนครํ คนฺตฺวา สึสปาวนํ ปาวิสิ. จุลฺลกาลสฺส ภริยาโย “สตฺถา กิร อนุปฺปตฺโตติ สุตฺวา “อมฺหากํ สามิกํ คณฺหิสฺสามาติ เปเสตฺวา สตฺถารํ นิมนฺตาเปสุํ. พุทฺธานํ ปน อปริจิตฏฺ€าเน อาสนปฺตฺตึ อาจิกฺขนฺเตน เอเกน ภิกฺขุนา ป€มตรํ คนฺตุํ วฏฺฏติ. พุทฺธานํ หิ มชฺฌิมฏฺ€าเน อาสนํ ปฺาเปตฺวา ตสฺส ทกฺขิณโต สารีปุตฺตตฺเถรสฺส วามโต มหาโมคฺคลฺลานตฺเถรสฺส ตโต ปฏฺ€าย อุโภสุ ปสฺเสสุ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาสนํ ปฺาเปตพฺพํ โหติ; ตสฺมา มหากาลตฺเถโร จีวรปารุปนฏฺ€าเน €ตฺวา “ตฺวํ ปุรโต คนฺตฺวา อาสนปฺตฺตึ อาจิกฺขาหีติ จุลฺลกาลํ เปเสสิ. ตสฺส ทิฏฺ€กาลโต ปฏฺ€าย เคหชนา เตน สทฺธึ ปริหาสํ กโรนฺตา นีจาสนานิ สงฺฆตฺเถรโกฏิยํ อตฺถรนฺติ, อุจฺจาสนานิ สงฺฆนวกโกฏิยํ. อิตโร “มา เอวํ กโรถ, อุจฺจาสนานิ อุปริ ปฺาเปถ, นีจาสนานิ เหฏฺ€าติ อาห. อิตฺถิโย ตสฺส วจนํ อสณนฺติโย วิย “ตฺวํ กึ กโรนฺโต วิจรสิ? กึ ตว อาสนานิ ปฺาเปตุํ น วฏฺฏติ? ตฺวํ กํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิโต? เกน ปพฺพชาปิโตสิ? กสฺมา อิธาคโตสีติ วตฺวา นิวาสน- ปารุปนํ อจฺฉินฺทิตฺวา เสตกานิ วตฺถานิ นิวาเสตฺวา อ. สังขาร ท. ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป เป็นธรรม เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป, อ. ความเข้าไปสงบวิเศษ แห่งสังขาร ท. เหล่านั้น เป็นเหตุน�ำมาซึ่งความสุข (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ ยังวิปัสสนา ให้เจริญแล้ว บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต กับ ด้วยปฏิสัมภิทา ท. ฯ ครั้นเมื่อพระเถระนั้น บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต, อ. พระศาสดา ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จเที่ยวไปอยู่สู่ที่จาริก เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าเสตัพยะ ได้เสด็จเข้าไปแล้ว สู่ป่าแห่งไม้สีเสียด ฯ อ. ภรรยา ท. ของพระจุลกาล ฟังแล้ว ว่า ได้ยินว่า อ. พระศาสดา เสด็จถึงโดยล�ำดับแล้ว ดังนี้ (คิดกันแล้ว) ว่า อ. เรา ท. จักจับ ซึ่งสามี ของเรา ท. ดังนี้ ส่งไปแล้ว (ซึ่งบุรุษ) (ยังบุรุษ) ให้ทูลนิมนต์แล้ว ซึ่งพระศาสดา ฯ ก็ อ. อัน อันภิกษุ รูปหนึ่ง ผู้บอกอยู่ ซึ่งการปูลาดซึ่งอาสนะ ไปก่อนกว่า ในที่แห่งพระพุทธเจ้าท.ไม่ทรงคุ้นเคยแล้วย่อมควรฯ จริงอยู่ อ. อาสนะ เป็นอาสนะ อันบุคคล ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะ ในที่อันมีในท่ามกลาง แก่พระพุทธเจ้า ท. พึงปูลาดแก่พระเถระ ชื่อว่าสารีบุตร ข้างขวา แห่งอาสนะ นั้น แก่พระเถระชื่อว่า มหาโมคคัลลานะ ข้างซ้าย (แห่งอาสนะ นั้น) แก่หมู่แห่งภิกษุ ในข้าง ท. ทั้งสอง จ�ำเดิม แต่ที่นั้น ย่อมเป็น ; เพราะเหตุนั้น อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล ยืนแล้ว ในที่เป็นที่ห่มซึ่งจีวร ส่งไปแล้ว ซึ่งพระจุลกาล (ด้วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน ไปแล้ว ข้างหน้า จงบอก ซึ่งการปูลาดซึ่งอาสนะ ดังนี้ฯ อ.ชนในเรือนท.กระท�ำอยู่ซึ่งการหัวเราะกับด้วยพระจุลกาล นั้น ย่อมลาด ซึ่งอาสนะต�่ำ ท. ในที่สุดแห่งพระเถระในสงฆ์, (ย่อมลาด) ซึ่งอาสนะสูง ท. ในที่สุดแห่งภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ จ�ำเดิม แต่กาลแห่งพระจุลกาลนั้นอันชน ท. เหล่านั้น เห็นแล้ว ฯ อ. พระจุลกาลนอกนี้กล่าวแล้ว ว่า (อ.ท่าน ท.) จงอย่ากระท�ำ อย่างนี้, (อ.ท่าน ท.) จงปูลาด ซึ่งอาสนะสูง ท. ในเบื้องบน, (อ.ท่าน ท. จงปูลาด) ซึ่งอาสนะต�่ำ ท. ในภายใต้ ดังนี้ฯ อ.หญิง ท. เป็นราวกะว่าไม่ฟังอยู่ ซึ่งค�ำ ของพระเถระนั้น เป็น กล่าวแล้ว ว่า อ. ท่าน ย่อมเที่ยวไปกระท�ำอยู่ ซึ่งอะไร ? อ. อันอันท่านปูลาด ซึ่งอาสนะ ท. จะไม่ควร หรือ ? อ. ท่าน อ�ำลาแล้ว ซึ่งใคร เป็นผู้บวชแล้ว (ย่อมเป็น) ? อ. ท่าน เป็นผู้อันใคร ให้บวชแล้ว ย่อมเป็น ? อ. ท่าน เป็นผู้มาแล้ว ในที่นี้ ย่อมเป็น เพราะเหตุอะไร ดังนี้ แย่งชิงเอาแล้ว ซึ่งผ้าเป็นเครื่องนุ่งและ ผ้าเป็นเครื่องห่ม (ยังพระจุลกาล) ให้นุ่งแล้ว ซึ่งผ้า ท. อันขาว www.kalyanamitra.org
  • 71.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 66 สีเส มาลาจุมฺพฏกํ €เปตฺวา “คจฺฉ ตฺวํ, สตฺถารํ อาเนหิ; มยํ อาสนานิ ปฺาเปสฺสามาติ ปหิณึสุ. โส นจิรํ ภิกฺขุภาเว €ตฺวา อวสฺสิโกว อุปฺปพฺพชิตฺวา ลชฺชิตุํ น ชานาติ; ตสฺมา เตน อากปฺเปน นิราสงฺโกว คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ อาทาย อาคโต. ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปน ภตฺตกิจฺจาวสาเน มหากาลสฺส ภริยาโย “อิมาหิ อตฺตโน สามิโก คหิโต, มยํปิ อมฺหากํ สามิกํ คณฺหิสฺสามาติ จินฺเตตฺวา ปุนทิวสตฺถาย สตฺถารํ นิมนฺตยึสุ. ตทา ปน อาสนปฺาปนตฺถํ อฺโ ภิกฺขุ อคมาสิ. ตา ตสฺมึ ขเณ โอกาสํ อลภิตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ อทํสุ. จุลฺลกาลสฺส ปน เทฺว ภริยาโย, มชฺฌิมกาลสฺส จตสฺโส, มหากาลสฺส อฏฺ€. ภิกฺขูปิ ภตฺตกิจฺจํ กาตุกามา นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจมกํสุ, พหิ คนฺตุกามา อุฏฺ€าย อคมํสุ. สตฺถา ปน นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กริ. ตสฺส ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ตา อิตฺถิโย “ภนฺเต มหากาโล อมฺหากํ อนุโมทนํ กตฺวา คมิสฺสติ, ตุมฺเห ปุรโต คจฺฉถาติ วทึสุ. สตฺถา “สาธูติ วตฺวา ปุรโต อคมาสิ. คามทฺวารํ ปตฺวา ภิกฺขุสงฺโฆ อุชฺฌายิ “กินฺนาเมตํ สตฺถารา กตํ, ตฺวา นุ โข กตํ อุทาหุ อชานิตฺวา?, หิยฺโย จุลฺลกาลสฺส ปุรโต คตตฺตา ปพฺพชฺชนฺตราโย ชาโต, อชฺช อฺสฺส ปุรโต คตตฺตา อนฺตราโย นาโหสิ, อิทานิ สตฺถา มหากาลํ นิวตฺเตตฺวา อาคโต, สีลวา โข ปน ภิกฺขุ อาจารสมฺปนฺโน; กริสฺสนฺติ นุ โข ตสฺส ปพฺพชฺชนฺตรายนฺติ. วางแล้ว ซึ่งเทริดอันเป็นวิการแห่งระเบียบ บนศีรษะ ส่งไปแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน จงไป, (อ. ท่าน) จงน�ำมา ซึ่งพระศาสดา ; อ. เรา ท. จักปูลาด ซึ่งอาสนะ ท. ดังนี้ ฯ *จบ ก. ๑๒* อ. จุลกาลนั้น ด�ำรงอยู่แล้ว ในความเป็นแห่งภิกษุ สิ้นกาลไม่นาน ผู้ไม่มีกาลฝนเทียว สึกแล้ว ย่อมไม่รู้ เพื่ออันละอาย ; เพราะเหตุนั้น (อ. จุลกาลนั้น) ผู้ไม่มีความรังเกียจ ด้วยมรรยาทนั้นเทียว ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา พาเอา ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุข มาแล้ว ฯ ก็ ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งกิจด้วยภัตร ของหมู่แห่งภิกษุ อ. ภรรยา ท. ของพระเถระชื่อว่ามหากาล คิดแล้ว ว่า อ. สามี ของตน อันหญิง ท. เหล่านี้ จับแล้ว, แม้ อ. เรา ท. จักจับ ซึ่งสามี ของเรา ท. ดังนี้ทูลนิมนต์แล้ว ซึ่งพระศาสดา เพื่อประโยชน์ ในวันรุ่งขึ้น ฯ ก็ ในกาลนั้น อ.ภิกษุ รูปอื่น ได้ไปแล้ว เพื่ออันปูลาดซึ่งอาสนะ ฯ อ.หญิง ท. เหล่านั้น ไม่ได้แล้ว ซึ่งโอกาส ในขณะนั้น ยังหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้นั่งแล้ว ได้ถวายแล้ว ซึ่งภิกษา ฯ ก็ อ. ภรรยา ท. ๒ ของจุลกาล (มีอยู่), อ. ภรรยา ท. ๔ ของมัชฌิมกาล(มีอยู่),อ.ภรรยาท.๘ของพระเถระชื่อว่ามหากาล (มีอยู่) ฯ แม้ อ. ภิกษุ ท. ผู้ใคร่เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งกิจด้วยภัตร นั่งแล้ว ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกิจด้วยภัตร , (อ. ภิกษุ ท.) ผู้ใคร่เพื่ออันไป ในภายนอก ลุกขึ้นแล้ว ได้ไปแล้ว ฯ ส่วนว่า อ. พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งกิจด้วยภัตร ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจด้วยภัตร ของพระศาสดานั้น อ. หญิง ท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล กระท�ำแล้ว ซึ่งอนุโมทนา แก่หม่อมฉัน ท. จักไป, อ. พระองค์ ท. ขอจงเสด็จไป ข้างหน้า ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า อ. ดีละ ดังนี้ ได้เสด็จไปแล้ว ข้างหน้า ฯ อ. หมู่แห่งภิกษุ ถึงแล้ว ซึ่งประตูแห่งบ้าน ยกโทษแล้ว ว่า (อ.กรรม)นั่นอันพระศาสดาทรงกระท�ำแล้วชื่ออย่างไร,(อ.กรรม อันพระศาสดา) ทรงทราบแล้ว ทรงกระท�ำแล้วหรือหนอแล หรือว่า (อ. กรรม อันพระศาสดา) ไม่ทรงทราบแล้ว (ทรงกระท�ำแล้ว) ?, อ. อันตรายแห่งการบวช เกิดแล้ว เพราะความที่แห่งจุลกาล เป็นผู้ไปแล้ว ข้างหน้า ในวันวาน , ในวันนี้ อ. อันตราย ไม่ได้มีแล้ว เพราะความที่แห่งภิกษุรูปอื่นเป็นผู้ไปแล้ว ข้างหน้า, ในกาลนี้อ.พระศาสดา ทรงยังพระเถระชื่อว่ามหากาลให้กลับแล้ว เสด็จมาแล้ว, ก็ อ. ภิกษุ เป็นผู้มีศีลแล เป็นผู้ถึงพร้อมแล้ว ด้วยมรรยาท (ย่อมเป็น) ; (อ.หญิง ท. เหล่านั้น) จักกระท�ำ ซึ่งอันตรายแห่งการบวช แก่พระเถระนั้น หรือหนอแล ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 72.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย67 สตฺถา เตสํ วจนํ สุตฺวา นิวตฺติตฺวา €ิโต “กึ กเถถ ภิกฺขเวติ ปุจฺฉิ. เต ตมตฺถํ อาโรเจสุํ. “กึ ปน ตุมฺเห ภิกฺขเว จุลฺลกาลํ วิย มหากาลํ สลฺลกฺเขถาติ. “อาม ภนฺเต, ตสฺส หิ เทฺว ปชาปติโย, อิมสฺส อฏฺ€; อฏฺ€หิ ปริกฺขิปิตฺวา คหิโต กึ กริสฺสติ ภนฺเตติ. สตฺถา “มา ภิกฺขเว เอวํ อวจุตฺถ, จุลฺลกาโล อุฏฺ€าย สมุฏฺ€าย สุภารมฺมณพหุโลวิหรติ, ปปาตตเฏ €ิตทุพฺพลรุกฺขสทิโส, มยฺหํ ปน ปุตฺโต มหากาโล อสุภานุปสฺสี วิหรติ, ฆนเสลปพฺพโต วิย อจโล วาติ วตฺวา อิมา คาถาโย อภาสิ “สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ โภชนมฺหิ อมตฺตฺุํ กุสีตํ หีนวีริยํ ตํ เว ปสหตี มาโร, วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ. อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ โภชนมฺหิ จ มตฺตฺุํ สทฺธํ อารทฺธวีริยํ ตํ เว นปฺปสหตี มาโร, วาโต เสลํว ปพฺพตนฺติ. ตตฺถ สุภานุปสฺสินฺติ: สุภํ อนุปสฺสนฺตํ. “อิฏฺ€ารมฺมเณ มานสํ วิสฺสชฺเชตฺวา วิหรนฺตนฺติ อตฺโถ. โย หิ ปุคฺคโล นิมิตฺตคฺคาหํ อนุพฺยฺชนคฺคาหํ คณฺหนฺโต “นขา โสภณาติ คณฺหาติ, “องฺคุลิโย โสภณาติ คณฺหาติ, “หตฺถา ปาทา ชงฺฆา อูรู กฏิ อุทรํ ถนา คีวา โอฏฺโ€ ทนฺตา มุขํ นาสา อกฺขีนิ กณฺณา ภมุกา ลลาฏํ เกสา โสภณาติ คณฺหาติ, “เกสา โลมา นขาทนฺตาตโจ โสภโณติ คณฺหาติ, “วณฺโณ สุโภ, สณฺ€านํ สุภนฺติ คณฺหาติ; อ. พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซึ่งค�ำ ของภิกษุ ท. เหล่านั้น เสด็จกลับประทับยืนแล้วตรัสถามแล้วว่าดูก่อนภิกษุท.(อ.เธอท.) ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำอะไร ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. เหล่านั้น กราบทูลแล้ว ซึ่งเนื้อความนั้น ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ก็ อ. เธอ ท. ย่อมก�ำหนด ซึ่งมหากาล (กระท�ำ) ให้เป็นราวกะว่าจุลกาล หรือ ดังนี้ฯ (อ.ภิกษุท.กราบทูลแล้ว)ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระเจ้าข้า (อ. อย่างนั้น), เพราะว่า อ. ปชาบดี ท. ๒ ของจุลกาลนั้น (มีอยู่), อ. ปชาบดี ท. ๘ ของพระเถระชื่อว่ามหากาลนี้ (มีอยู่) ; ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล) ผู้อันปชาบดี ท. ๘ แวดล้อมแล้ว จับเอาแล้ว จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. อย่าได้กล่าวแล้ว อย่างนี้ , อ. ภิกษุชื่อว่าจุลกาล ลุกขึ้นแล้ว ลุกขึ้นพร้อมแล้ว เป็นผู้มากด้วยอารมณ์ว่างาม (เป็น) ย่อมอยู่, (อ. ภิกษุชื่อว่าจุลกาลนั้น) เป็นผู้เช่นกับด้วยต้นไม้มีก�ำลังอันโทษ- ประทุษร้ายแล้ว อันตั้งอยู่แล้ว ที่ริมแห่งเหว (ย่อมเป็น), ส่วนว่า อ.ภิกษุชื่อว่ามหากาล ผู้เป็นบุตร ของเรา เป็นผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์- ว่าไม่งามโดยปกติ (เป็น) ย่อมอยู่, (อ. ภิกษุชื่อว่ามหากาลนั้น) เป็นผู้มีความหวั่นไหวหามิได้เทียว (ย่อมเป็น) ราวกะ อ. ภูเขา- อันประกอบแล้วด้วยศิลาอันเป็นแท่งทึบ ดังนี้ ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า อ. มาร ย่อมรังควาน ซึ่งบุคคลนั้นแล ผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ ว่างามโดยปกติ อยู่อยู่ ผู้ไม่ส�ำรวมแล้ว ในอินทรีย์ ท. ผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ ผู้เกียจคร้านแล้ว ผู้มีความเพียร- อันทราม เพียงดัง อ. ลม (รังควานอยู่) ซึ่งต้นไม้ อันมีก�ำลัง- อันโทษประทุษร้ายแล้ว, อ.มาร ย่อมไม่รังควาน ซึ่งบุคคลนั้นแล ผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ว่าไม่งามโดยปกติ อยู่อยู่ ด้วย ผู้ส�ำรวมดีแล้ว ในอินทรีย์ ท. ด้วย ผู้รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะด้วย ผู้มีศรัทธาด้วย ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วด้วย, เพียงดัง อ.ลม(ไม่รังควานอยู่) ซึ่งภูเขา อันประกอบแล้วด้วยศิลา ดังนี้ ฯ อ. อรรถว่า ผู้ตามเห็นอยู่ ซึ่งอารมณ์ว่างาม ดังนี้ ในบท ท. เหล่านั้นหนา แห่งบทว่า สุภานุปสฺสึ ดังนี้ อ. อธิบายว่า ผู้สละแล้วซึ่งใจ ในอารมณ์อันบุคคลปรารถนาแล้ว อยู่อยู่ ดังนี้ฯ จริงอยู่ อ. บุคคลใด เมื่อถือ ถือโดยนิมิต ถือโดยอนุพยัญชนะ ย่อมถือ ว่า อ. เล็บ ท. เป็นของงาม (ย่อมเป็น) ดังนี้, ย่อมถือ ว่า อ. นิ้ว ท. เป็นของงาม (ย่อมเป็น) ดังนี้, ย่อมถือ ว่า อ. มือ ท. อ. เท้า ท. อ. แข้ง ท. อ. ขาอ่อน ท. อ. สะเอว อ. ท้อง อ. ถัน ท. อ.คออ.ริมฝีปากอ.ฟันท.อ.ปาก อ.จมูกอ.นัยน์ตาท.อ.หูท. อ. คิ้ว ท. อ. หน้าผาก อ. ผม ท. เป็นของงาม (ย่อมเป็น) ดังนี้, ย่อมถือว่า อ.ผม ท. อ.ขน ท. อ.เล็บ ท. อ.ฟัน ท. อ.หนัง เป็นของงาม(ย่อมเป็น)ดังนี้, ย่อมถือว่าอ.วรรณะเป็นของงาม ย่อมเป็น ดังนี้ย่อมถือว่า อ. ทรวดทรง เป็นของงาม ย่อมเป็น ดังนี้ www.kalyanamitra.org
  • 73.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 68 อยํ สุภานุปสฺสี นาม; ตํ เอวํ สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ. อินฺทฺริเยสูติ: จกฺขาทีสุ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ. อสํวุตฺนฺติ; จกฺขุทฺวาราทีนิ อรกฺขนฺตํ. อมตฺตญฺญุนฺติ: ปริเยสนมตฺตา ปฏิคฺคหณมตฺตา ปริโภคมตฺตาติ อิมิสฺสามตฺตาย อชานนโต โภชนมฺหิ อมตฺตฺุํ. อปิจ “ ปจฺจเวกฺขณมตฺตา วิสฺสชฺชนมตฺตาติ อิมิสฺสาปิ มตฺตาย อชานนโต อมตฺตฺุํ. “อิทํ โภชนํ ธมฺมิกํ, อิทํ อธมฺมิกนฺติปิ อชานนฺตํ. กุสีตนฺติ: กามพฺยาปาทวิหึสาวิตกฺกวสิกตาย กุสีตํ. หีนวีริยนฺติ: นิพฺพีริยํ จตูสุ อิริยาปเถสุ วีริยกรณวิรหิตํ. ปสหตีติ: อภิภวติ อชฺโฌตฺถรติ. วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลนฺติ: พลววาโต ฉินฺนตเฏ ชาตํ ทุพฺพลรุกฺขํ วิย. “ยถาหิโสวาโตตสฺส รุกฺขสฺส ปุปฺผผลปลฺลวาทีนิปิ ปาเตติ, ขุทฺทกสาขาปิ ภฺชติ, มหาสาขาปิ ภฺชติ, สมูลํปิ ตํ รุกฺขํ อุพฺพตฺเตตฺวา อุทฺธมูลํอโธสาขํ กตฺวา คจฺฉติ; เอวเมว เอวรูปํ ปุคฺคลํ อนฺโต อุปฺปนฺโน กิเลสมาโร ปสหติ; พลววาโต ทุพฺพลรุกฺขสฺส ปุปฺผผลปลฺลวาทิปาตนํ วิย ขุทฺทานุขุทฺทกาปตฺติ อาปชฺชนํปิ กโรติ , ขุทฺทกสาขาภฺชนํ วิย นิสฺสคฺคิยาทิอาปตฺติอาปชฺชนํปิ กโรติ, มหาสาขาภฺชนํ วิย เตรสสงฺฆาทิเสสาปชฺชนํปิ กโรติ, อุพฺพตฺเตตฺวา อุทฺธมูลํ เหฏฺ€าสาขํ กตฺวา ปาตนํ วิย ปาราชิกาปตฺติ- อาปชฺชนํปิ กโรติ, สฺวากฺขาตสาสนา นีหริตฺวา กติปาเหเนว คิหิภาวํ ปาเปติ; เอวรูปํ ปุคฺคลํ กิเลสมาโร อตฺตโน วเส วตฺเตตีติ อตฺโถ. อ.บุคคลนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ว่างามโดยปกติ ย่อมเป็น, ซึ่งบุคคลนั้น ผู้ตามเห็นซึ่งอารมณ์ว่างามโดยปกติ อยู่อยู่ อย่างนี้ฯ อ. อรรถว่า ในอินทรีย์ ท. หก มีจักษุเป็นต้น ดังนี้แห่งบทว่า อินฺทฺริเยสุ ดังนี้ฯ อ. อรรถว่า ผู้ไม่รักษาอยู่ซึ่งทวาร ท. มีทวารคือจักษุเป็นต้น ดังนี้แห่งบทว่า อสํวุตํ ดังนี้ฯ อ. อรรถว่า ชื่อว่าผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ เพราะความไม่รู้ ซึ่งประมาณนี้คือ อ. ประมาณในการแสวงหา อ. ประมาณในการรับ อ. ประมาณในการบริโภค ดังนี้ แห่งบทว่า อมตฺตญฺญุํ ดังนี้ ฯ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ เพราะความไม่รู้ ซึ่งประมาณ แม้นี้ คือ อ.ประมาณ ในการพิจารณา อ.ประมาณ- ในการสละ ฯ คือว่า ผู้ไม่รู้อยู่แม้ว่าอ.โภชนะนี้เป็นของประกอบแล้ว ด้วยธรรม (ย่อมเป็น) อ.โภชนะนี้ เป็นของไม่ประกอบแล้ว ด้วยธรรม (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ อ.อรรถว่า ชื่อว่าผู้เกียจคร้านแล้ว เพราะความที่แห่งตน เป็นผู้เป็นไปแล้วในอ�ำนาจแห่งกามวิตกและพยาบาทวิตกและ วิหิงสาวิตก ดังนี้ แห่งบทว่า กุสีตํ ดังนี้ ฯ อ.อรรถว่า ผู้มีความเพียรอันออกแล้ว คือว่าผู้เว้นแล้ว- จากการกระท�ำซึ่งความเพียร ในอิริยาบถ ท. สี่ ดังนี้ แห่งบทว่า หีนวีริยํ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ)ว่าย่อมครอบง�ำคือว่าย่อมท่วมทับ ดังนี้แห่งบทว่า ปสหติ ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ราวกะ อ.ลมมีก�ำลัง (รังควานอยู่) ซึ่งต้นไม้ มีก�ำลังอันโทษประทุษร้าย อันเกิดแล้วแล้ว ใกล้เหวอันขาดแล้ว (ดังนี้แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ ดังนี้ ฯ อธิบาย ว่า เหมือนอย่างว่า อ.ลมนั้น (ยังรุกขาวัยวะ ท.) มีดอกและผลและใบอ่อนเป็นต้น ของต้นไม้นั้น ย่อมให้ตกไปบ้าง ย่อมหักราน ซึ่งกิ่งน้อย ท. บ้าง ย่อมหักราน ซึ่งกิ่งใหญ่ ท. บ้าง ยังต้นไม้นั้น อันเป็นไปกับด้วยราก ให้เพิกขึ้นแล้ว กระท�ำ ให้มีราก ในเบื้องบน ให้มีกิ่งในเบื้องต�่ำ ย่อมไปบ้าง ฉันใด; อ.มารคือกิเลส อันเกิดขึ้นแล้ว ในภายใน ย่อมรังควาน ซึ่งบุคคล ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ฉันนั้นนั่นเทียว คือว่า (อ.มารคือกิเลส) ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้อง ซึ่งอาบัติเล็กๆน้อยๆ ราวกะ อ.ลมมีก�ำลัง (กระท�ำอยู่) ซึ่งการ- ยังรุกขาวัยวะมีดอกและผลและใบอ่อนเป็นต้น ของต้นไม้มีก�ำลัง อันโทษประทุษร้ายแล้ว ให้ตกไปบ้าง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้อง- ซึ่งอาบัติมีนิสสัคคีย์เป็นต้น ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู่) ซึ่งการหักรานกิ่งน้อยบ้าง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้องซึ่งสังฆาทิเสส ๑๓ ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู่) ซึ่งการรักรานกิ่งใหญ่บ้าง ย่อมกระท�ำ ซึ่งการต้องซึ่งอาบัติคือปาราชิก น�ำออกแล้ว จากพระศาสนาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมให้ถึง ซึ่งความเป็นแห่งคฤหัสถ์ โดยวันเล็กน้อยนั่นเทียว ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลังกระท�ำอยู่) ซึ่งการ (ยังต้นไม้)ให้เพิกขึ้นแล้ว กระท�ำ ให้มีรากในเบื้องบน ให้มีกิ่งในภายใต้ แล้วให้ตกไปบ้าง อ.มาร- คือกิเลส ยังบุคคล ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมให้เป็นไป ในอ�ำนาจ ของตน ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 74.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย69 อสุภานุปสฺสินฺติ: ทสสุ อสุเภสุ อฺตรํ อสุภํ ปสฺสนฺตํ, ปฏิกูลมนสิกาเร ยุตฺตํ, เกเส อสุภโต ปสฺสนฺตํ, โลเม นเข ทนฺเต ตจํ วณฺณํ สณฺ€านํ อสุภโต ปสฺสนฺตํ. อินฺทฺริเยสูติ: ฉสุ อินฺทฺริเยสุ. สุสํวุตนฺติ: นิมิตฺตคฺคาหาทิวิรหิตํ ปิหิตทฺวารํ. อมตฺตฺุตาปฏิปกฺเขน โภชนมฺหิ จ มตฺตฺุํ. สทฺธนฺติ: กมฺมสฺส เจว ผลสฺส จ สทฺทหนลกฺขณาย โลกิยสทฺธาย เจว ตีสุ วตฺถูสุ อเวจฺจปฺปสาทสงฺขาตาย โลกุตฺตรสทฺธาย จ สมนฺนาคตํ. อารทฺธวีริยนฺติ: ปคฺคหิตวีริยํ ปริปุณฺณวีริยํ. ตํ เวติ: ตํ เอวรูปํ ปุคฺคลํ. “ยถา ทุพฺพลวาโต สณิกํ ปหรนฺโต เอกฆนํ เสลํ จาเลตุํ น สกฺโกติ; ตถา อพฺภนฺตเร อุปฺปชฺชมาโนปิ ทุพฺพลกิเลสมาโร นปฺปสหติ โขเภตุํ กมฺเปตุํ จาเลตุํ น สกฺโกตีติ อตฺโถ. ตาปิ โข ตสฺส ปุราณทุติยิกา เถรํ ปริวาเรตฺวา “ตฺวํ กํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิโต? อิทานิ คิหี ภวิสฺสสิ น ภวิสฺสสีติอาทีนิ วตฺวา กาสายานิ นีหริตุกามา อเหสุํ. เถโร ตาสํ อาการํ สลฺลกฺเขตฺวา นิสินฺนาสนา วุฏฺ€าย อิทฺธิยา อุปฺปติตฺวา กูฏาคารกณฺณิกํ ภินฺทิตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา , สตฺถริ คาถา ปริโยสาเปนฺเตเยว , สตฺถุ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ อภิตฺถวนฺโต โอตริตฺวา ตถาคตสฺส ปาเท วนฺทิ. คาถาปริโยสาเน สมฺปตฺตภิกฺขู โสตาปตฺติผลาทีสุ ปติฏฺ€หึสูติ. จุลฺลกาลมหากาลวตฺถุ. (อ.อรรถ) ว่า ผู้เห็นอยู่ (ในอารมณ์ ท.) อันไม่งาม ๑๐ หนา (ซึ่งอารมณ์) ว่าไม่งาม อย่างใดอย่างหนึ่ง, คือว่า ผู้ประกอบแล้ว ในการกระท�ำไว้ในใจโดยความเป็นของน่าเกลียด, คือว่า ผู้เห็นอยู่ ซึ่งผม ท. โดยความเป็นของไม่งาม, ผู้เห็นอยู่ ซึ่งขน ท. ซึ่งเล็บ ท. ซึ่งฟัน ท. ซึ่งหนัง ซึ่งวรรณะ ซึ่งทรวดทรง โดยความเป็นของไม่งาม (ดังนี้แห่งบท) ว่า อสุภานุปสฺสึ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า ในอินทรีย์ ท. ๖ (ดังนี้ แห่งบท) ว่า อินฺทฺริเยสุ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า ผู้เว้นแล้วจากการถือมีการถือโดยนิมิตเป็นต้น คือว่า ผู้มีทวารอันปิดแล้ว (ดังนี้แห่งบท) ว่า สุสํวุตํ ดังนี้ฯ ก็ ผู้รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ โดยความเป็น ข้าศึกต่อความเป็น แห่งบุคคลผู้ไม่รู้ซึ่งประมาณ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ผู้มาตามพร้อมแล้ว ด้วยศรัทธาอันเป็นโลกิยะ มีการเชื่อซึ่งกรรมด้วยนั่นเทียว ซึ่งผล (ของกรรม) ด้วยเป็นลักษณะ ด้วยนั่นเทียว ด้วยศรัทธาอันเป็นโลกุตระ อันบัณฑิตนับพร้อมแล้ว ว่าความเลื่อมใสอันไม่คลอนแคลน ในวัตถุ ท. ๓ ด้วย (ดังนี้ แห่งบท) ว่า สทฺธํ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ)ว่าผู้มีความเพียรอันประคองแล้ว คือว่าผู้มีความเพียร อันเต็มรอบแล้ว (ดังนี้แห่งบท) ว่า อารทฺธวีริยํ ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ซึ่งบุคคลนั้น คือว่า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป (ดังนี้ แห่งบท) ว่า ตํ เว ดังนี้ฯ อ.อธิบายว่า อ.ลมมีก�ำลังอันโทษประทุษร้าแล้วพัดอยู่ค่อยๆ ย่อมไม่อาจ เพื่ออันยังภูเขา อันประกอบแล้วด้วยศิลา อันเป็น- แท่งทึบเป็นอันเดียวกัน ให้หวั่นไหวได้ ฉันใด ; อ.มารคือกิเลสมีก�ำลัง- อันโทษประทุษร้ายแล้ว แม้เกิดขึ้นอยู่ ในภายใน ย่อมไม่รังควาน คือว่า ย่อมไม่อาจ เพื่ออันให้หวั่นไหว เพื่ออันให้สะเทือน เพื่ออันให้คลอนแคลน ฉันนั้น ดังนี้ ฯ อ. หญิงที่สองผู้มีในก่อน ท. ของพระเถระนั้น แม้เหล่านั้นแล แวดล้อมแล้ว ซึ่งพระเถระ กล่าวแล้ว (ซึ่งค�ำ ท.) มีค�ำ ว่า อ. ท่าน อ�ำลาแล้ว ซึ่งใคร เป็นผู้บวชแล้ว (ย่อมเป็น) ? ในกาลนี้ อ. ท่าน เป็นคฤหัสถ์ จักเป็น (หรือ หรือว่า อ. ท่าน เป็นคฤหัสถ์) จักไม่เป็น ดังนี้เป็นต้น เป็นผู้ใคร่เพื่ออันน�ำออก ซึ่งผ้ากาสายะ ท. ได้เป็นแล้ว ฯ อ. พระเถระ ก�ำหนดแล้ว ซึ่งอาการ ของหญิง ท. เหล่านั้น ลุกขึ้นแล้ว จากอาสนะแห่งตนนั่งแล้ว เหาะขึ้นแล้ว ด้วยฤทธิ์ ท�ำลายแล้ว ซึ่งช่อฟ ้ าแห่งเรือนยอด ไปแล้ว โดยอากาศ, ครั้นเมื่อพระศาสดา ทรงยังคาถา ท. ให้จบลงรอบอยู่นั่นเทียว, ชมเชยอยู่ ซึ่งพระสรีระ มีสีเพียงดังสีแห่งทอง ของพระศาสดา ข้ามลงแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระบาท ท. ของพระตถาคตเจ้า ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุผู้ถึงพร้อมแล้ว ท. ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว (ในอริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล ฯ อ.เรื่องแห่งภิกษุชื่อว่าจุลกาลและภิกษุชื่อว่ามหากาล (จบแล้ว) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 75.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 70 ๗. เทวทตฺตวตฺถุ. (๗) “อนิกฺกสาโวติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต ราชคเห เทวทตฺตสฺส คนฺธารกาสาวลาภํ อารพฺภ กเถสิ. เอกสฺมึ หิ สมเย เทฺว อคฺคสาวกา ปฺจสเต ปฺจสเต อตฺตโน ปริวาเร อาทาย สตฺถารํ อาปุจฺฉิตฺวา เชตวนโต ราชคหํ อคมํสุ. ราชคหวาสิโน เทฺวปิ ตโยปิ พหูปิ เอกโต หุตฺวา อาคนฺตุกทานํ อทํสุ. อเถกทิวสํ อายสฺมา สารีปุตฺโต อนุโมทนํ กโรนฺโต “อุปาสกา เอโก สยํ ทานํ เทติ, ปรํ น สมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน โภคสมฺปทํ ลภติ, โน ปริวารสมฺปทํ, เอโก ปรํ สมาทเปติ, สยํ น เทติ; นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน ปริวารสมฺปทํ ลภติ, โน โภคสมฺปทํ, เอโก สยํปิ น เทติ, ปรํปิ นสมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน กฺชิกมตฺตํปิ กุจฺฉิปูรํ น ลภติ, อนาโถ โหติ นิปฺปจฺจโย, เอโก สยํปิ เทติ, ปรํปิ สมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน อตฺตภาวสเตปิ อตฺตภาวสหสฺเสปิ อตฺตภาวสตสหสฺเสปิ โภคสมฺปทฺเจว ปริวารสมฺปทฺจ ลภตีติ เอวํ ธมฺมํ เทเสสิ. ตเมโก ปณฺฑิตปุริโส สุตฺวา “อจฺฉริยา วต โภ ธมฺมเทสนา, สุขการณํ กถิตํ; มยา อิมาสํ ทฺวินฺนํ สมฺปตฺตีนํ นิปฺผาทนกกมฺมํ กาตุํ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา “ ภนฺเต เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถาติ เถรํ นิมนฺเตสิ. “กิตฺตเกหิ เต ภิกฺขูหิ อตฺโถ อุปาสกาติ. “กิตฺตกา ปน โว ภนฺเต ปริวาราติ. “สหสฺสมตฺตา อุปาสกาติ. “สพฺเพหิ สทฺธึเยว ภิกฺขํ คณฺหถ ภนฺเตติ. เถโร อธิวาเสสิ. ๗. อ.เรื่องแห่งพระเทวทัต (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ ซึ่งการได้ซึ่งผ้ากาสาวะอันบุคคลน�ำมาแล้วจากแว่นแคว้นชื่อว่า- คันธาระ แห่งพระเทวทัต ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า อนิกฺกสาโว ดังนี้เป็นต้น ฯ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ในสมัยหนึ่ง อ. พระอัครสาวก ท. สอง พาเอาแล้ว ซึ่งบริวาร ท. ของตน มีร้อยห้าเป็นประมาณ ๆ ทูลลาแล้ว ซึ่งพระศาสดา ได้ไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ จากพระเชตวัน ฯ (อ. ชน ท.) ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์โดยปกติ ๒ บ้าง ๓ บ้าง มากบ้าง เป็น โดยความเป็นอันเดียวกัน ได้ถวายแล้ว ซึ่งทาน เพื่อภิกษุผู้จรมา ฯ ครั้งนั้นในวันหนึ่ง อ. พระสารีบุตรผู้ มีอายุ เมื่อกระท�ำ ซึ่งการอนุโมทนา แสดงแล้ว ซึ่งธรรม อย่างนี้ ว่า ดูก่อนอุบาสก และอุบาสิกา ท. (อ. บุคคล) คนหนึ่ง ย่อมถวาย ซึ่งทาน เอง, ย่อมไม่ชักชวน ซึ่งบุคคลอื่น; อ. บุคคลนั้น ย่อมได้ ซึ่งความถึงพร้อม ด้วยโภคะ, ย่อมไม่ได้ ซึ่งความถึงพร้อมด้วยบริวาร ในที่แห่งตน บังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว, อ.บุคคล คนหนึ่ง ย่อมชักชวน ซึ่งบุคคลอื่น, ย่อมไม่ถวาย เอง, (อ. บุคคลนั้น) ย่อมได้ ซึ่งความ ถึงพร้อมด้วยบริวาร, ย่อมไม่ได้ ซึ่งความถึงพร้อมด้วยโภคะ ในที่แห่งตนบังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว,อ.บุคคลคนหนึ่งย่อมไม่ถวาย แม้เอง, ย่อมไม่ชักชวน ซึ่งบุคคลแม้อื่น; อ. บุคคลนั้น ย่อมไม่ได้ ซึ่งวัตถุอันยังท้องให้เต็ม แม้สักว่าข้าวปลายเกรียน, เป็นผู้ไม่มีที่พึ่ง เป็นผู้ไม่มีปัจจัย ย่อมเป็น ในที่แห่งตนบังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว, (อ. บุคคล) คนหนึ่ง ย่อมถวาย แม้เอง, ย่อมชักชวน ซึ่งบุคคล แม้อื่น; อ. บุคคลนั้น ย่อมได้ ซึ่งความถึงพร้อมด้วยโภคะด้วย นั่นเทียว ซึ่งความถึงพร้อมด้วยบริวารด้วย ในร้อยแห่งอัตภาพบ้าง ในพันแห่งอัตภาพบ้าง ในแสนแห่งอัตภาพบ้าง ในที่แห่งตนบังเกิดแล้ว และบังเกิดแล้ว ดังนี้ฯ อ. บุรุษผู้ฉลาด คนหนึ่ง ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น คิดแล้ว ว่า แน่ะท่านผู้เจริญ อ.พระธรรมเทศนา น่าอัศจรรย์ หนอ, อ. เหตุแห่งความสุข (อันพระเถระ) กล่าวแล้ว, อ. อัน อันเรา กระท�ำ ซึ่งกรรมเป็นเหตุยังสมบัติ ท. สอง เหล่านี้ ให้ส�ำเร็จ ย่อมควร ดังนี้ นิมนต์แล้ว ซึ่งพระเถระ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. ขอจงรับ ซึ่งภิกษา ของกระผม ในวันพรุ่ง ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก อ. ความต้องการ ด้วยภิกษุ ท. มีประมาณเท่าไร (มีอยู่) แก่ท่าน ดังนี้ฯ (อ. อุบาสก ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. บริวาร ท. ของท่าน ท. มีประมาณเท่าไร ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่าดูก่อนอุบาสก(อ.บริวารท.ของเรา) มีพันเป็นประมาณ ดังนี้ฯ (อ. อุบาสก กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. ท่าน ท.) ขอจงรับ ซึ่งภิกษา กับ ด้วยภิกษุ ท. ทั้งปวงนั่นเทียว ดังนี้ ฯ อ. พระเถระ (ยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว ฯ www.kalyanamitra.org
  • 76.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย71 อุปาสโก นครวีถิยํ จรนฺโต “อมฺมตาตา มยา ภิกฺขุสหสฺสํ นิมนฺติตํ, ตุมฺเห กิตฺตกานํ ภิกฺขูนํ ภิกฺขํ ทาตุํ สกฺขิสฺสถ, ตุมฺเห กิตฺตกานนฺติ สมาทเปติ. มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน ปโหนกนิยาเมน “มยํ ทสนฺนํ ทสฺสาม, มยํ วีสติยา, มยํ สตสฺสาติ อาหํสุ. อุปาสโก “เตนหิ เอกสฺมึ €าเน สมาคมํ กตฺวา เอกโตว ปจิสฺสาม, สพฺเพ เตลติลตณฺฑุลสปฺปิ ผาณิตาทีนิ สมาหรถาติ เอกสฺมึ €าเน สมาหราเปสิ. อถสฺส เอโก กุฏุมฺพิโก สตสหสฺสคฺฆนกํ คนฺธาร- กาสาววตฺถํ ทตฺวา “สเจ เต ทานวฏฺฏํ นปฺปโหติ, อิทํ วิสฺสชฺเชตฺวา, ยทูนํ, ตํ ปูเรยฺยาสิ; สเจ ปโหติ, ยสฺส อิจฺฉสิ; ตสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยาสีติ อาห. ตทา ตสฺส สพฺพํ ทานวฏฺฏํ ปโหสิ, กิฺจิ อูนนฺนาม นาโหสิ. โส มนุสฺเส ปุจฺฉิ “อิทํ อนคฺฆกาสาวํ เอเกน กุฏุมฺพิเกน เอวํ นาม วตฺวา ทินฺนํ, ทานวฏฺฏํ อติเรกํ ชาตํ, กสฺสิทํ เทมาติ. เอกจฺเจ “สารีปุตฺตตฺเถรสฺสาติ อาหํสุ. เอกจฺเจ “เถโร สสฺสปริปากสมเย อาคนฺตฺวา คมนสีโล; เทวทตฺโต อมฺหากํ มงฺคลามงฺคเลสุ สหาโย อุทกมณิโก วิย นิจฺจํ ปติฏฺ€ิโต, ตสฺส ตํ เทมาติ อาหํสุ. สมฺพหุลิกาย กถายปิ “เทวทตฺตสฺส ทาตพฺพนฺติ วตฺตาโร พหุตรา อเหสุํ. อถ นํ เทวทตฺตสฺส อทํสุ. โส ตํ ฉินฺทิตฺวา สิพฺพิตฺวา รชิตฺวา นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา วิจรติ. มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา “นยิทํ เทวทตฺตสฺส อนุจฺฉวิกํ; สารีปุตฺตตฺเถรสฺส อนุจฺฉวิกํ ; เทวทตฺโต อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา วิจรตีติ วทึสุ. อเถโก ทิสาวาสิโก ภิกฺขุ ราชคหา สาวตฺถึ คนฺตฺวา อ. อุบาสก เที่ยวไปอยู่ ในถนนในเมือง ย่อมชักชวน ว่า แน่ะแม่และพ่อ ท. อ. พันแห่งภิกษุ อันข้าพเจ้า นิมนต์แล้ว, อ. ท่าน ท. จักอาจ เพื่ออันถวาย ซึ่งภิกษา แก่ภิกษุ ท. มีประมาณเท่าไร, อ. ท่าน ท. (จักอาจ เพื่ออันถวาย ซึ่งภิกษา แก่ภิกษุ ท.) มีประมาณ เท่าไร ดังนี้ฯ อ.มนุษย์ ท.กล่าวแล้วว่าอ.ข้าพเจ้าท.จักถวายแก่ภิกษุ ท. ๑๐,อ.ข้าพเจ้าท.จักถวาย(แก่ภิกษุท.)๒๐, อ. ข้าพเจ้า ท. จักถวาย แก่ร้อย (แห่งภิกษุ ท.) ดังนี้ โดยก�ำหนดแห่งภิกษุผู้เพียงพอ แก่ตน แก่ตน ฯ อ. อุบาสก (กล่าวแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. เรา ท. จักกระท�ำ ซึ่งการมาพร้อมกัน ในที่แห่งหนึ่ง แล้วจักหุงต้ม โดยความเป็น อันเดียวกันเทียว,(อ.ท่านท.)ทั้งปวงจงน�ำมาพร้อม(ซึ่งอาหารวัตถุท.) มีนํ้มันและงาและข้าวสารและเนยใสและน�้ำอ้อยเป็นต้น ดังนี้ (ยังมนุษย์ ท.) ให้น�ำมาพร้อมแล้ว (ซึ่งวัตถ ท. มีน�้ำมันเป็นต้น เหล่านั้น) ในที่แห่งหนึ่ง ฯ ครั้งนั้น อ.กุฏุมพี คนหนึ่ง ให้แล้ว ซึ่งผ้าอันบุคคลย้อมแล้ว ด้วยน�้ำฝาด อันบุคคลน�ำมาแล้ว จากแคว้นชื่อว่า คันธาระ อันมี แสนหนึ่งเป็นราคา แก่อุบาสกนั้น กล่าวแล้วว่า ถ้าว่า อ.วัตถุ อันเป็นไปในทาน ของท่าน ย่อมไม่เพียงพอ (แก่ท่าน)ไซร้,อ.ท่าน พึงสละแล้ว ซึ่งผ้าอันบุคคลย้อม แล้วด้วยนํ้าฝาดนี้ ยัง - อ.วัตถุ ใด เป็นของพร่อง ย่อมเป็น - วัตถุนั้น พึงให้เต็ม ถ้าว่า อ.วัตถุ อันเป็นไปในทาน ย่อมไม่เพียงพอ ไซร้,อ.ท่าน พึงถวายแก่- อ.ท่าน ย่อมปรารถนา เพื่ออันถวาย แก่ภิกษุรูปใด - ภิกษุรูปนั้น ดังนี้ฯ ในกาลนั้น อ. วัตถุอันเป็นไปในทาน ทั้งปวง ของอุบาสกนั้น เพียงพอแล้ว, อ. วัตถุอะไร ๆ ชื่อว่าเป็นของพร่อง ไม่ได้มีแล้ว ฯ อ. อุบาสกนั้น ถามแล้ว ซึ่งมนุษย์ ท. ว่า อ.ผ้ากาสาวะ- อันมีค่าหามิได้ นี้อันกุฎุมพี คนหนึ่ง กล่าวแล้ว ชื่อย่างนี้ถวายแล้ว, อ.วัตถุอันเป็นไปในทาน เป็นของยิ่งเกิน เกิดแล้ว, อ. เรา ท. จะถวาย ซึ่งผ้านี้แก่ใคร ดังนี้ฯ อ. ชน ท. บางพวก กล่าวแล้ว ว่า (อ. เรา ท. จะถวาย) แก่พระเถระชื่อว่าสารีบุตร ดังนี้ฯ อ. ชน ท. บางพวก กล่าวแล้ว ว่า อ. พระเถระ เป็นผู้มีการมา ในสมัยเป็นที่แก่รอบแห่งข้าวกล้า แล้วจึงไปเป็นปกติ (ย่อมเป็น); อ. พระเทวทัต เป็นสหาย ในงานมงคลและมิใช่มงคล ท. ของเรา ท. (เป็น) ด�ำรงอยู่แล้ว เนืองนิตย์ ราวกะ อ. หม้อแห่งน�้ำ, (อ. เรา ท.) จะถวาย ซึ่งผ้านั้น แก่พระเทวทัตนั้น ดังนี้ฯ แม้ครั้นเมื่อวาจาเป็นเครื่องกล่าว เป็นวาจามีมากพร้อม (มีอยู่) (อ. ชน ท.) ผู้กล่าว ว่า (อ. ผ้า อันเรา ท.) ควรถวาย แก่พระเทวทัต ดังนี้ เป็นผู้มากกว่า ได้เป็นแล้ว ฯ ครั้งนั้น (อ. ชน ท.) ได้ถวายแล้ว ซึ่งผ้านั้น แก่พระเทวทัต ฯ อ.พระเทวทัต นั้น ตัดแล้ว ซึ่งผ้านั้น เย็บแล้ว ย้อมแล้ว นุ่งแล้ว ห่มแล้ว ย่อมเที่ยวไป ฯ อ. มนุษย์ ท. เห็นแล้ว ซึ่งพระเทวทัตนั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. ผ้า นี้ เป็นผ้าสมควร แก่พระเทวทัต (ย่อมเป็น) หามิได้ ; (อ. ผ้านั้น) เป็นผ้าสมควรแก่พระเถระชื่อว่าสารีบุตร(ย่อมเป็น);อ.พระเทวทัต นุ่งแล้ว ห่มแล้ว (ซึ่งผ้า) อันไม่สมควร แก่ตน ย่อมเที่ยวไป ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. ภิกษุ ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ รูปหนึ่ง ไปแล้ว สู่เมือง ชื่อว่าสาวัตถี จากเมืองชื่อว่าราชคฤห์ www.kalyanamitra.org
  • 77.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 72 สตฺถารํ วนฺทิตฺวา กตปฏิสนฺถาโร สตฺถารา ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉิโต อาทิโต ปฏฺ€าย สพฺพํ ตํ ปวตฺตึ อาโรเจสิ. สตฺถา “น โข ภิกฺขุ อิทาเนว โส อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ วตฺถํ ธาเรติ, ปุพฺเพปิ ธาเรสิเยวาติ วตฺวา อตีตํ อาหริ; อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต, พาราณสีวาสี เอโก หตฺถิมารโก หตฺถึ มาเรตฺวา ทนฺเต จ ตเจ จ อนฺตานิ จ ฆนมํสฺจ อาหริตฺวา วิกฺกีณนฺโต ชีวิตํ กปฺเปสิ. อเถกสฺมึ อรฺเ อเนกสหสฺสา หตฺถี โคจรํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตา ปจฺเจกพุทฺเธ ทิสฺวา ตโต ปฏฺ€าย คจฺฉมานา คมนาคมนกาเล ชนฺนุเกหิ นิปติตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติ. เอกทิวสํ หตฺถิมารโก ตํ กิริยํ ทิสฺวา “อหํ อิเม กิจฺเฉน มาเรมิ, อิเม จ คมนาคมนกาเล ปจฺเจกพุทฺเธ วนฺทนฺติ, กินฺนุ โข ทิสฺวา วนฺทนฺตีติ จินฺเตนฺโต “กาสาวนฺติ สลฺลกฺเขตฺวา “มยาปิ อิทานิ กาสาวํ ลทฺธุํ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา เอกสฺส ปจฺเจกพุทฺธสฺส ชาตสฺสรํ โอรุยฺห นหายนฺตสฺส ตีเร €ปิเตสุ กาสาเวสุ จีวรํ เถเนตฺวา เตสํ หตฺถีนํ คมนาคมนมคฺเค สตฺตึ คเหตฺวา สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสีทติ. หตฺถี ตํ ทิสฺวา “ปจฺเจกพุทฺโธติ สฺาย วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติ. โส เตสํ สพฺพปจฺฉโต คจฺฉนฺตํ สตฺติยา ปหริตฺวา มาเรตฺวา ทนฺตาทีนิ คเหตฺวา เสสํ ภูมิยํ นิขนิตฺวา คจฺฉติ. อปรภาเค โพธิสตฺโต หตฺถิโยนิยํ ปฏิสนฺธึ คเหตฺวา หตฺถิเชฏฺ€โก ยูถปติ อโหสิ. ตทาปิ โส ตเถว กโรติ . มหาปุริโส อตฺตโน ปริสาย ปริหานึ ตฺวา “กุหึ อิเม หตฺถี คตา มนฺทา ชาตาติ ปุจฺฉิตฺวา, ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ผู้มีปฏิสันถารอันพระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ผู้อันพระศาสดาตรัสถามแล้ว ซึ่งการอยู่ส�ำราญ แห่งพระอัครสาวก ท. สอง กราบทูลแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่วนั้น ทั้งปวง จ�ำเดิม แต่ต้น ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ อ. เทวทัตนั้น ย่อมทรงไว้ ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน ในกาลนี้นั่นเทียว หามิได้แล, (อ. เทวทัต) ทรงไว้แล้ว (ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน) นั่นเทียว แม้ในกาลก่อน ดังนี้ทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว ว่า ; ในกาลอันล่วงไปแล้ว ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัต (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา ในเมืองชื่อว่าพาราณสี, อ.บุคคลผู้ยังช้างให้ตาย คนหนึ่ง ผู้อยู่ในเมืองชื่อว่าพาราณสีโดยปกติ ยังช้าง ให้ตายแล้ว น�ำมาแล้ว ซึ่งงา ท. ด้วย ซึ่งหนัง ท. ด้วย ซึ่งไส้ใหญ่ ท. ด้วย ซึ่งเนื้อล�่ำด้วย ขายอยู่ ส�ำเร็จแล้ว ซึ่งชีวิต ฯ ครั้งนั้นอ.ช้างท.มีพันมิใช่หนึ่งในป่าแห่งหนึ่งคาบซึ่งเหยื่อ ไปอยู่ เห็นแล้ว ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ท. เมื่อไป จ�ำเดิม แต่กาลนั้น หมอบลงแล้ว ด้วยเข่า ท. จบแล้ว ในกาลเป็นที่ไปและเป็นที่มา ย่อมหลีกไป ฯ ในวันหนึ่ง (อ. บุคคล) ผู้ยังช้างให้ตาย เห็นแล้ว ซึ่งกิริยานั้น คิดอยู่ ว่า อ. เรา ยังช้าง ท. เหล่านี้ ย่อมให้ตายได้ โดยยาก, ก็ อ. ช้าง ท. เหล่านี้ ย่อมจบ ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ท. ในกาล เป็นที่ไปและเป็นที่มา, (อ. ช้าง ท.) เห็นแล้ว ซึ่งอะไรหนอแล ย่อมจบ ดังนี้ก�ำหนดแล้ว ว่า (อ. ช้าง ท. เห็นแล้ว) ซึ่งผ้ากาสาวะ (ย่อมจบ) ดังนี้ คิดแล้ว ว่า อ. อัน แม้อันเรา ได้ ซึ่งผ้ากาสาวะ ย่อมควร ในกาลนี้ ดังนี้ ลักแล้ว ในผ้ากาสาวะ ท. อันอันพระปัจเจกพุทธเจ้า รูปหนึ่ง ผู้ลงแล้ว สู่สระอันเกิดแล้ว อาบอยู่ ตั้งไว้แล้ว ที่ฝั่ง หนา ซึ่งจีวร ถือเอาแล้ว ซึ่งหอก ย่อมนั่งคลุม (ซึ่งอวัยวะ) อันเป็นไปกับ ด้วยศีรษะ ใกล้หนทางเป็นที่ไปและเป็นที่มา แห่งช้าง ท. เหล่านั้น ฯ อ. ช้าง ท. เห็นแล้ว ซึ่งบุคคลนั้น จบแล้ว ด้วยความส�ำคัญ ว่า อ. พระปัจเจกพุทธเจ้า ดังนี้ ย่อมหลีกไป ฯ อ. พรานนั้น ประหารแล้ว (ซึ่งช้าง) ตัวไปอยู่ ข้างหลังแห่งช้าง ทั้งปวง แห่งช้าง ท. เหล่านั้น ด้วยหอก (ยังช้างนั้น) ให้ตายแล้ว ถือเอาแล้ว (ซึ่งอวัยวะ ท.) มีงาเป็นต้น ฝังแล้ว ซึ่งอวัยวะอันเหลือ ในแผ่นดิน ย่อมไป ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก อ. พระโพธิสัตว์ ถือเอาแล้ว ซึ่งปฏิสนธิ ในก�ำเนิดแห่งช้าง เป็นช้างตัวเจริญที่สุด เป็นเจ้าแห่งโขลง ได้เป็นแล้ว ฯ แม้ในกาลนั้น อ. พรานนั้น ย่อมกระท�ำ อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ อ. พระมหาบุรุษ ทราบแล้ว ซึ่งความเสื่อมรอบ แห่งบริษัท ของตน ถามแล้ว ว่า อ. ช้าง ท. เหล่านี้ไปแล้ว ในที่ไหน เป็นสัตว์น้อย เกิดแล้ว ดังนี้, www.kalyanamitra.org
  • 78.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย73 “น ชานาม สามีติ วุตฺเต, “กุหึ คจฺฉนฺตา มํ อนาปุจฺฉา น คมิสฺสนฺติ, ปริปนฺเถน ภวิตพฺพนฺติ จินฺเตตฺวา “เอกสฺมึ €าเน กาสาวํ ปารุปิตฺวา นิสินฺนสฺส สนฺติกา ปริปนฺเถน ภวิตพฺพนฺติ ปริสงฺกิตฺวา ตํ ปริคฺคณฺหิตุํ สพฺเพ หตฺถี ปุรโต เปเสตฺวา สยํ ปจฺฉโต วิลมฺพมาโน อาคจฺฉติ. โส เสสหตฺถีสุ วนฺทิตฺวา คเตสุ, มหาปุริสํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา จีวรํ สํหริตฺวา สตฺตึ วิสฺสชฺชิ. มหาปุริโส สตึ อุปฏฺ€เปตฺวา อาคจฺฉนฺโต ปจฺฉโต ปฏิกฺกมิตฺวา สตฺตึ วฺเจสิ. อถ นํ “อิมินา เม หตฺถี นาสิตาติ คณฺหิตุํ ปกฺขนฺทิ. อิตโร เอกํ รุกฺขํ ปุรโต กตฺวา นิลียิ. อถ นํ รุกฺเขน สทฺธึ โสณฺฑาย ปริกฺขิปิตฺวา “คเหตฺวา ภูมิยํ โปเถสฺสามีติ เตน นีหริตฺวา ทสฺสิตํ กาสาวํ ทิสฺวา “สจาหํ อิมสฺมึ ทุสฺสิสฺสามิ, อเนกสหสฺเสสุ เม พุทฺธปฺปจฺเจกพุทฺธขีณาสเวสุ ลชฺชา นาม ภินฺนา ภวิสฺสตีติ อธิวาเสตฺวา “ตยา เม เอตฺตกา าตกา นาสิตาติ ปุจฺฉิ. “อาม สามีติ. “กสฺมา เอวํ ภาริยํ กมฺมํ อกาสิ? อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ วีตราคานํ อนุจฺฉวิกํ วตฺถํ ปริทหิตฺวา เอวรูปํ ปาปกมฺมํ กโรนฺเตน ภาริยํ ตยา กตนฺติ. เอวฺจ ปน วตฺวา อุตฺตรึปิ นิคฺคณฺหนฺโต “อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ อเปโต ทมสจฺเจน, น โส กาสาวมรหติ, โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต อุเปโต ทมสจฺเจน, ส เว กาสาวมรหตีติ คาถํ วตฺวา “อยุตฺตนฺเต กตนฺติ วตฺวา ตํ วิสฺสชฺเชสิ. (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่นาย อ. เรา ท. ย่อมไม่รู้ ดังนี้(อันช้าง ท.) กล่าวแล้ว, คิดแล้ว ว่า (อ. ช้าง ท.) เมื่อไป ในที่ไหน ไม่อ�ำลาแล้ว ซึ่งเรา จักไม่ไป, อันอันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบ พึงมี ดังนี้ ระแวงแล้ว ว่า อันอันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียนรอบ พึงมี จากส�ำนัก ของบุรุษ ผู้นั่งคลุมแล้ว ซึ่งผ้ากาสาวะ ในที่แห่งหนึ่ง ดังนี้ส่งไปแล้ว ซึ่งช้าง ท. ทั้งปวง ข้างหน้า ย่อมมาล้าอยู่ ข้างหลัง เอง เพื่ออันก�ำหนดจับ ซึ่งบุรุษนั้น ฯ อ.พรานนั้นครั้นเมื่อช้างตัวเหลือท.จบแล้วไปแล้ว, เห็นแล้ว ซึ่งพระมหาบุรุษ ผู้มาอยู่ ม้วนแล้ว ซึ่งจีวร ปล่อยไปแล้วซึ่งหอกฯ อ. พระมหาบุรุษ เข้าไปตั้งไว้แล้ว ซึ่งสติ มาอยู่ ก้าวกลับแล้ว ข้างหลัง ลวงแล้ว ซึ่งหอก ฯ ครั้งนั้น (อ.พระมหาบุรุษ)แล่นไปแล้วเพื่ออันจับซึ่งพรานนั้น (ด้วยความส�ำคัญ)ว่าอ.ช้างท.ของเรา อันบุรุษนี้ให้ฉิบหายแล้ว ดังนี้ฯ อ.พรานนอกนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งต้นไม้ ต้นหนึ่ง ข้างหน้า แอบแล้ว ฯ ครั้งนั้น อ. พระมหาบุรุษ รวบรัดแล้ว ซึ่งพรานนั้น กับ ด้วยต้นไม้ ด้วยงวง (คิดแล้ว) ว่า (อ. เรา) จับแล้ว จักฟาด บนภาคพื้น ดังนี้ เห็นแล้ว ซึ่งผ้ากาสาวะ อันอันพรานนั้น น�ำออกแล้ว แสดงแล้ว (ยังความโกรธ) ให้อยู่ทับแล้ว (ด้วยความคิด) ว่า ถ้าว่า อ. เรา จักประทุษร้าย ในบุรุษนี้ไซร้, ชื่อ อ. ความละอาย ในพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพ ท. มีพันมิใช่หนึ่ง เป็นกิริยาอันเราท�ำลายแล้ว จักเป็น ดังนี้ ถามแล้ว ว่า อ. ญาติ ท. มีประมาณเท่านี้ของเรา อันเจ้า ให้ฉิบหายแล้วหรือ ดังนี้ฯ (อ. พราน กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย เออ (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ (อ.พระมหาบุรุษกล่าวแล้ว)ว่าอ.เจ้าได้กระท�ำแล้วซึ่งกรรม อันหนัก อย่างนี้ เพราะเหตุอะไร ? อ. กรรมอันหนัก อันเจ้า ผู้เมื่อนุ่งห่มแล้ว ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน อันสมควร (แก่ชน ท.) ผู้มีราคะไปปราศแล้วกระท�ำ ซึ่งกรรมอันลามก อันมีอย่างนี้เป็นรูป กระท�ำแล้ว ดังนี้ฯ ก็แล (อ.พระมหาบุรุษ)ครั้นกล่าวแล้วอย่างนี้เมื่อข่มขี่ แม้ยิ่ง กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ว่า อ. บุคคลใด ผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันไม่ออกแล้ว ผู้ไปปราศแล้ว จากทมะและสัจจะ จักนุ่งห่ม ซึ่งผ้ากาสาวะ, อ. บุคคลนั้น ย่อมไม่ควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ, ส่วนว่า อ. บุคคลใด เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันคายแล้ว เป็นผู้ตั้งมั่นดีแล้ว ในศีล ท. เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ด้วย ทมะและสัจจะ พึงเป็น, อ.บุคคลนั้นแล ย่อมควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ ดังนี้ กล่าวแล้ว ว่า อ. กรรมอันไม่ควรแล้ว อันเจ้ากระท�ำแล้ว ดังนี้ ปล่อยแล้ว ซึ่งพรานนั้น (ดังนี้) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 79.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 74 สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา “ตทา หตฺถิมารโก เทวทตฺโต อโหสิ, ตสฺส นิคฺคหโก หตฺถิ นาโค อหเมวาติ ชาตกํ สโมธาเนตฺวา “น โข ภิกฺขุ อิทาเนว, ปุพฺเพปิ เทวทตฺโต อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ วตฺถํ ธาเรสิเยวาติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ “อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ อเปโต ทมสจฺเจน, น โส กาสาวมรหติ, โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต อุเปโต ทมสจฺเจน, ส เว กาสาวมรหตีติ. ฉทฺทนฺตชาตเกนาปิ อยมตฺโถ ทีเปตพฺโพติ. ตตฺถ “อนิกฺกสาโวติ: กามราคาทีหิ กสาเวหิ สกสาโว. ปริทเหสฺสตีติ: นิวาสนปารุปนตฺถรณวเสน ปริภุฺชิสฺสติ. “ปริทหิสฺสตีติปิ ปาโ€. อเปโต ทมสจฺเจนาติ: อินฺทฺริยทมเนน เจว ปรมตฺถสจฺจปกฺขิเกน จ วจีสจฺเจน อเปโต. “วิยุตฺโตติ อตฺโถ. น โสติ: โส เอวรูโป ปุคฺคโล กาสาวํ ปริทหิตุํ นารหติ. วนฺตกสาวสฺสาติ: จตูหิ มคฺเคหิ วนฺตกสาโว ฉฑฺฑิตกสาโว ปหีนกสาโว อสฺส. สีเลสูติ: จตูสุ ปาริสุทฺธิสีเลสุ. สุสมาหิโตติ: สุฏฺ€ุ สมาหิโต สุฏฺ€ุ €ิโต. อุเปโตติ: อินฺทฺริยทมเนน เจว วุตฺตปฺปกาเรน จ วจีสจฺเจน อุเปโต. ส เวติ: โส เอวรูโป ปุคฺคโล ตํ กาสาววตฺถํ อรหตีติ. คาถาปริโยสาเน โส ทิสาวาสิโก ภิกฺขุโสตาปนฺโน ชาโต. อฺเปิ พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณึสุ. เทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสีติ. เทวทตฺตวตฺถุ. อ. พระศาสดา ครั้นทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ ทรงยังชาดก ให้ตั้งลงพร้อมแล้วว่า อ. บุคคลผู้ยังช้างให้ตาย ในกาลนั้น เป็นเทวทัต ได้เป็นแล้ว (ในกาลนี้), อ. ช้างตัวประเสริฐ ตัวข่มขี่ ซึ่งบุคคลผู้ยังช้างให้ตายนั้น (ในกาลนั้น) เป็นเรานั่นเทียว (ได้เป็นแล้ว ในกาลนี้) ดังนี้ ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ (อ. เทวทัต ย่อมทรงไว้ ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตน) ในกาลนี้นั่นเทียว หามิได้แล, อ.เทวทัต ทรงไว้แล้ว ซึ่งผ้า อันไม่สมควร แก่ตนนั่นเทียว แม้ในกาลก่อน ดังนี้ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า อ. บุคคลใด ผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันไม่ออกแล้ว ผู้ไปปราศแล้ว จากทมะและสัจจะ จักนุ่งห่ม ซึ่งผ้ากาสาวะ, อ. บุคคลนั้น ย่อมไม่ควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ, ส่วนว่า อ. บุคคลใด เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันคายแล้ว เป็นผู้ตั้งมั่นดีแล้ว ในศีล ท. เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ด้วยทมะและสัจจะ พึงเป็น, อ.บุคคลนั้นแล ย่อมควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ ดังนี้ ฯ อ. เนื้อความนี้ (อันบัณฑิต) พึงแสดง แม้ด้วยฉัททันตชาดก ดังนี้แล ฯ (อ.อรรถ) ว่า ชื่อว่าผู้เป็นไปกับด้วยกิเลสเพียงดังน�้ำฝาด เพราะกิเลสเพียงดังน�้ำฝาด ท. มีกามราคะเป็นต้น (ดังนี้) ในบท ท. เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า อนิกฺกสาโว ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า จักใช้สอย ด้วยอ�ำนาจแห่งการนุ่งและการห่มและการลาด (ดังนี้ แห่งบท) ว่า ปริทเหสฺสติ ดังนี้ฯ อ.พระบาลี ว่า ปริทหิสฺสติ ดังนี้บ้าง ฯ (อ.อรรถ) ว่า ผู้ไปปราศแล้ว, อ.อธิบาย ว่า ผู้พรากแล้ว ดังนี้ จากการฝึกซึ่งอินทรีย์ด้วยนั่นเทียว (จากวจีสัจจะ) อันมีในฝ่าย แห่งปรมัตถสัจจะด้วย (ดังนี้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า อเปโต ทมสจฺเจน ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.บุคคลนั้น คือว่า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมไม่ควร เพื่ออันนุ่งห่ม ซึ่งผ้ากาสาวะ (ดังนี้แห่งบท) ว่า น โส ดังนี้เป็นต้น ฯ (อ.อรรถ) ว่า เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันคายแล้ว คือว่า เป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน�้ำฝาดอันทิ้งแล้ว คือว่า เป็นผู้มีกิเลสเพียง ดังน�้ำฝาดอันละได้แล้ว ด้วยมรรค ท. ๔ พึงเป็น (ดังนี้แห่งบท) ว่า วนฺตกสาวสฺส ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ในปาริสุทธิศีล ท. ๔ (ดังนี้แห่งบท) ว่า สีเลสุ ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า เป็นผู้ตั้งมั่นแล้ว ด้วยดี คือว่า เป็นผู้ด�ำรงอยู่แล้ว ด้วยดี (ดังนี้ แห่งบท) ว่า สุสมาหิโต ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ด้วยการฝึก ซึ่งอินทรีย์ด้วยนั่นเทียว ด้วยวจีสัจจะ มีประการอันข้าพเจ้า กล่าวแล้ว ด้วย(ดังนี้แห่งบท) ว่า อุเปโต ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.บุคคลนั้น คือว่า ผู้มีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมควร (เพื่ออันนุ่งห่ม) ซึ่งผ้ากาสาวะ นั้น ดังนี้(แห่งบท) ว่า ส เว ดังนี้เป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุ ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ นั้น เป็นพระโสดาบัน เกิดแล้ว ฯ อ. ชน ท. มาก แม้เหล่าอื่น บรรลุแล้ว (ซึ่งอริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ฯ อ. เทศนา เป็นเทศนา เป็นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แก่มหาชน ดังนี้แล ฯ อ.เรื่องแห่งพระเทวทัต (จบแล้ว) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 80.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย75 ๘. สญฺชยวตฺถุ. (๘) “อสาเร สารมติโนติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ นิเวทิตํ สฺชยสฺส อนาคมนํ อารพฺภ กเถสิ. ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา: อมฺหากํ หิ สตฺถา อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขยฺยานํ มตฺถเก อมรวตีนคเร สุเมโธ นาม พฺราหฺมณกุมาโร หุตฺวา สพฺพสิปฺปานํ นิปฺผตฺตึ ปตฺโต มาตาปิตูนํ อจฺจเยน อเนกโกฏิสงฺขฺยํ ธนํ ปริจฺจชิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺเต วสนฺโต ฌานาภิฺาโย นิพฺพตฺเตตฺวา อากาเสน คจฺฉนฺโต ทีปงฺกรทสพลสฺส สุทสฺสนวิหารโต อมรวตีนครํ ปวิสนตฺถาย มคฺคํ โสธิยมานํ ทิสฺวา สยํปิ เอกํ ปเทสํ คเหตฺวา, ตสฺมึ อนิฏฺ€ิเตเยว อาคตสฺส สตฺถุโน อตฺตานํ เสตุํ กตฺวา อชินิจมฺมํ กลเล อตฺถริตฺวา “สตฺถา สสาวกสงฺโฆ กลลํ อนกฺกมิตฺวา มํ อกฺกมนฺโต คจฺฉตูติ นิปนฺโน, สตฺถารา ทิสฺวาว “พุทฺธงฺกุโร เอส อนาคเต กปฺปสต- สหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขยฺยานํ ปริโยสาเน โคตโม นาม พุทฺโธ ภวิสฺสตีติ พฺยากโต, ๘.อ. เรื่องแห่งปริพาชกชื่อว่าสญชัย (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภ ซึ่งการไม่มาแห่งปริพาชกชื่อว่าสญชัย อันอันพระอัครสาวก ท. สอง กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี้ว่า อสาเร สารมติโน ดังนี้เป็นต้น ฯ อ.วาจาเป็นเครื่องกล่าวโดยล�ำดับ ในเรื่องนั้น นี้ : ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. พระศาสดา ของเรา ท. เป็นกุมารของ พราหมณ์ ชื่อว่าสุเมธ ในเมืองชื่อว่าอมรวดี ในที่สุด แห่งอสงไขย ท. ๔ อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป ์ แต่ภัททกัปป ์ นี้เป็น ถึงแล้ว ซึ่งความส�ำเร็จ แห่งศิลปะทั้งปวง ท. บริจาคแล้ว ซึ่งทรัพย์ อันบุคคลพึงนับพร้อม ด้วยโกฏิมิใช่หนึ่ง โดยอันล่วงไป แห่งมารดาและบิดา ท. บวชแล้ว บวชโดยความเป็นฤาษี อยู่อยู่ ในป่าหิมพานต์ ยังฌานและอภิญญา ท. ให้บังเกิดแล้ว ไปอยู่ โดยอากาศ เห็นแล้ว ซึ่งหนทาง อันอันบุคคลช�ำระอยู่ เพื่อประโยชน์แก่การเสด็จเข้าไป สู่เมือง ชื่อว่าอมรวดี จากวิหารชื่อว่าสุทัศน์ แห่งพระทศพลพระนามว่า ทีปังกร ถือเอาแล้ว ซึ่งประเทศ แห่งหนึ่ง แม้เอง, ครั้นเมื่อ ประเทศนั้น ไม่ส�ำเร็จแล้วนั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งตน ให้เป็นสะพาน เพื่อพระศาสดา ผู้เสด็จมาแล้ว ลาดแล้ว ซึ่งแผ่นหนังของเสือเหลือง บนเปือกตม นอนแล้ว ด้วยความประสงค์ ว่า อ.พระศาสดาผู้เป็นไปกับด้วยหมู่แห่งพระสาวก ไม่ทรงเหยียบแล้ว ซึ่งเปือกตม ขอจงทรงเหยียบอยู่ ซึ่งเรา เสด็จไป ดังนี้, ผู้อันพระศาสดา ทรงเห็นแล้วเทียว ทรงพยากรณ์แล้ว ว่า อ.บุรุษนั่น ผู้เป็นหน่อเนื้อของพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม จักเป็น ในกาลเป็นที่สุดลงรอบ แห่งอสงไขย ท. สี่ อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป ์ ในกาลอันไม่มาแล้ว ดังนี้, www.kalyanamitra.org
  • 81.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 76 ตสฺส สตฺถุโน อปรภาเค “โกณฺฑฺโ สุมงฺคโล สุมโน เรวโต โสภิโต อโนมทสฺสี ปทุโม นารโท ปทุมุตฺตโร สุเมโธ สุชาโต ปิยทสฺสี อตฺถทสฺสี ธมฺมทสฺสี สิทฺธตฺโถ ติสฺโส ปุสฺโส วิปสฺสี สิขี เวสฺสภู กกุสนฺโธ โกนาคมโน กสฺสโป จาติ โลกํ โอภาเสตฺวา อุปฺปนฺนานํ อิเมสํปิ เตวีสติยา พุทฺธานํ สนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ “ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมตึสปารมิโย ปูเรตฺวา เวสฺสนฺตรตฺตภาเว €ิโต สตฺตกฺขตฺตุํ ป€วีกมฺปนานิ มหาทานานิ ทตฺวา ปุตฺตทารํ ปริจฺจชิตฺวา อายุปริโยสาเน ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ €ตฺวา, ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ สนฺนิปติตฺวา “กาโลยนฺเต มหาวีร, อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ, สเทวกํ ตารยนฺโต พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปทนฺติ วุตฺเต, ปฺจ มหาวิโลกนานิ วิโลเกตฺวา ตโต จุโต สกฺยราชกุเล ปฏิสนฺธึ คเหตฺวา ตตฺถ มหาสมฺปตฺติยา ปริจาริยมาโน อนุกฺกเมน ภทฺรโยพฺพนํ ปตฺวา ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเกสุ ตีสุ ปาสาเทสุ เทวโลกสิรึ วิย รชฺชสิรึ อนุภวนฺโต อุยฺยานกีฬาย คมนสมเย อนุกฺกเมน ชิณฺณพฺยาธิมตสงฺขาเต ตโย เทวทูเต ทิสฺวา ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก แห่งพระศาสดา พระองค์นั้น ผู้มีพยากรณ์อันได้แล้ว ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า ท. ๒๓ พระองค์ แม้เหล่านี้ผู้เสด็จอุบัติยังโลกให้สว่างแล้ว คือ อ. พระโกณฑัญญะด้วย อ. พระสุมังคละด้วย อ. พระสุมนะด้วย อ. พระเรวตะด้วย อ. พระโสภิตะด้วย อ. พระอโนมทัสสีด้วย อ. พระปทุมะด้วย อ. พระนารทะด้วย อ. พระปทุมุตตระด้วย อ. พระสุเมธะด้วย อ. พระสุชาตะด้วย อ. พระปิยทัสสีด้วย อ. พระอัตถทัสสีด้วย อ. พระธรรมทัสสีด้วย อ. พระสิทธัตถะด้วย อ. พระติสสะด้วย อ.พระปุสสะด้วย อ.พระวิปัสสีด้วย อ.พระสิขีด้วย อ.พระเวสสภูด้วย อ.พระกกุสันธะด้วย อ.พระโกนาคมนะด้วย อ. พระกัสสปะด้วย ทรงยังบารมี ๓๐ อันเสมอ ท. คือ อ. บารมี ท. ๑๐ อ. อุปบารมี ท. ๑๐ อ. ปรมัตถบารมี ท. ๑๐ ให้เต็มแล้ว ด�ำรงอยู่แล้ว ในอัตภาพแห่งพระเวสสันดร ทรงถวายแล้ว ซึ่งทาน อันใหญ่ ท. อันเป็นเหตุหวั่นไหวแห่งแผ่นดิน เจ็ดครั้ง ทรงบริจาคแล้ว ซึ่งพระโอรสและพระชายา ทรงบังเกิดแล้ว ในบุรีชื่อว่าดุสิต ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งอายุ ทรงด�ำรงอยู่แล้ว สิ้นกาลก�ำหนด เพียงใดแห่งอายุ ในบุรีชื่อว่าดุสิตนั้น, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระมหาวีระ อ. กาลนี้ เป็นกาล ของพระองค์ (ย่อมเป็น), (อ. พระองค์) เสด็จอุบัติแล้ว ในพระครรภ์ ของพระมารดา (ทรงยังโลก) อันเป็นไปกับด้วยเทวโลก ให้ข้ามอยู่ ขอจงตรัสรู้ ซึ่งความไม่ประมาทเป็นเครื่องถึง ซึ่งอมตะ ดังนี้ อันเทวดาในจักรวาลหมื่นหนึ่ง ท. ประชุมกันแล้ว กราบทูลแล้ว, ทรงเลือกแล้ว ซึ่งฐานะอันบุคคลพึงเลือกใหญ่ ท. ห้า ทรงเคลื่อนแล้ว จากบุรีชื่อว่าดุสิตนั้น ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งปฏิสนธิ ในราชตระกูล แห่งเจ้าศากยะ ผู้ (อันพระญาติ ท.) ทรงบ�ำเรออยู่ ด้วยสมบัติใหญ่ ในราชตระกูลนั้น ทรงถึงแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งหนุ่มอันเจริญ ตามล�ำดับ ทรงเสวยอยู่ ซึ่งสิริในความเป็นแห่งพระราชา อันราวกะว่าสิริในเทวโลกในปราสาท ท. ๓ อันสมควร แก่ฤดูท. ๓ ทรงเห็นแล้วซึ่งเทวทูตท.๓ อันบัณฑิตนับพร้อมแล้วว่าชนผู้แก่แล้ว และชนผู้เจ็บและชนผู้ตายแล้ว ตามล�ำดับ ในสมัยเป็นที่เสด็จไป เพื่อทรงกรีฑาในพระอุทยาน www.kalyanamitra.org
  • 82.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย77 สฺชาตสํเวโค นิวตฺติตฺวา จตุตฺถวาเร ปพฺพชิตํ ทิสฺวา “สาธุปพฺพชฺชาติ ปพฺพชฺชาย รุจึ อุปฺปาเทตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตตฺถ ทิวสํ เขเปตฺวา มงฺคล- โปกฺขรณีตีเร นิสินฺโน กปฺปกเวสํ คเหตฺวา อาคเตน วิสฺสุกมฺมุนา เทวปุตฺเตน อลงฺกตปฏิยตฺโต ราหุลกุมารสฺส ชาตสาสนํ สุตฺวา ปุตฺตสิเนหสฺส พลวภาวํ ตฺวา “ยาว อิทํ พนฺธนํ น พนฺธติ, ตาวเทว ฉินฺทิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา สายํ นครํ ปวิสนฺโต “นิพฺพุตา นูน สา มาตา, นิพฺพุโต นูน โส ปิตา, นิพฺพุตา นูน สา นารี, ยสฺสายํ อีทิโส ปตีติ กิสาโคตมิยา นาม ปิตุจฺฉาธีตาย ภาสิตํ อิมํ คาถํ สุตฺวา “อหํ อิมาย นิพฺพุตปทํ สาวิโตติ คีวโต มุตฺตาหารํ โอมุฺจิตฺวา ตสฺสา เปเสตฺวา อตฺตโน ภวนํ ปวิสิตฺวา สิริสยเน นิสินฺโน, นิทฺทูปคตานํ นาฏกิตฺถีนํ วิปฺปการํ ทิสฺวา นิพฺพินฺนหทโย ฉนฺนํ อุฏฺ€าเปตฺวา กนฺถกํ อาหราเปตฺวา กนฺถกํ อารุยฺห ฉนฺนสหาโย ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ ปริวุโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตฺวา อนุกฺกเมน ราชคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปณฺฑวปพฺพตปพฺภาเร นิสินฺโน มคธรฺา รชฺเชน นิมนฺติยมาโน ตํ ปฏิกฺขิปิตฺวา สพฺพฺุตํ ปตฺวา อตฺตโน วิชิตํ อาคมนตฺถาย เตน คหิตปฏิฺโ อาฬารฺจ อุทฺทกฺจ อุปสงฺกมิตฺวา เตสํ สนฺติเก อธิคตวิเสสํ อนลงฺกริตฺวา ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ ปทหิตฺวา วิสาขปุณฺณมีทิวเส ปาโตว สุชาตาย ทินฺนํ ปายาสํ ปริภุฺชิตฺวา ผู้มีความสังเวชอันเกิดพร้อมแล้ว เสด็จกลับแล้ว ทรงเห็นแล้ว ซึ่งบรรพชิต ในวาระที่ ๔ ทรงยังความพอใจ ในการบวช ว่า อ. การบวช เป็นคุณชาติยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ให้เกิดขึ้นแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่พระอุทยาน ทรงยังวันให้สิ้นไปแล้ว ในพระอุทยานนั้น ประทับนั่งแล้ว ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณีอันเป็นมงคล ผู้ อันเทพบุตร ชื่อว่าวิษณุกรรม ผู้ถือเอาแล้ว ซึ่งเพศแห่งช่างกัลบก มาแล้ว กระท�ำให้พอแล้วและตกแต่งแล้ว ทรงสดับแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น แห่งพระกุมารพระนามว่าราหุลประสูติแล้ว ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งความรักในพระโอรสเป็นสภาพมีก�ำลัง ทรงด�ำริแล้ว ว่า อ. วัตถุเป็นเครื่องผูกนี้ จะไม่ผูก เพียงใด, (อ. เรา) จักตัด (ซึ่งวัตถุเป็นเครื่องผูกนี้) เพียงนั้นนั่นเทียว ดังนี้ เสด็จเข้าไปอยู่ สู่เมือง ในเวลาเย็น ทรงสดับแล้ว ซึ่งคาถานี้ อันอันพระธิดา ของพระเจ้าอา พระนามว่ากิสาโคตมี ตรัสแล้ว ว่า (อ. พระสิทธัตถะนี้ ผู้เช่นนี้ เป็นพระโอรส ของพระมารดาใด ย่อมเป็น) อ.พระมารดานั้น ทรงดับแล้ว แน่, (อ. พระสิทธัตถะ นี้ ผู้เช่นนี้ เป็นพระโอรส ของพระบิดาใด ย่อมเป็น) อ. พระบิดานั้น ทรงดับแล้ว แน่, อ. พระสิทธัตถะนี้ ผู้เช่นนี้ เป็นพระสวามี ของพระนางใด (ย่อมเป็น) อ. พระนางนั้น ทรงดับแล้ว แน่ ดังนี้ (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นผู้อันพระนางกิสาโคตมีนี้ ให้ฟังแล้ว ซึ่งบทว่าทุกข์ดับแล้ว (ย่อมเป็น) ดังนี้ ทรงเปลื้องแล้ว ซึ่งแก้วมุกดาหาร จากพระศอ ทรงส่งไปแล้ว แก่พระนางกิสาโคตมี นั้น เสด็จเข้าไปแล้ว สู่ภพ ของพระองค์ ประทับนั่งแล้ว บนที่เป็นที่- บรรทมอันเป็นสิริ, ทรงเห็นแล้ว ซึ่งประการอันแปลก ของหญิงนักฟ ้ อน ท. ผู้เข้าถึงแล้วซึ่งความหลับ ผู้มีพระทัยอันเบื่อหน่ายแล้ว ทรงยังนายฉันนะ ให้ลุกขึ้นแล้ว ทรงให้น�ำมาแล้ว ซึ่งม้าชื่อว่ากันถกะ เสด็จขึ้นแล้ว สู่ม้าชื่อว่ากันถกะ ผู้มีนายฉันนะเป็นสหาย ผู้อันเทวดาในจักรวาฬหมื่นหนึ่ง ท. แวดล้อมแล้ว เสด็จออกไปแล้ว เสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ ผนวชแล้ว ที่ฝั่งแห่งแม่น�ำ้ชื่อว่าอโนมา เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ โดยล�ำดับ เสด็จเที่ยวไปแล้ว ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์นั้น เพื่อก้อนข้าว ประทับนั่งแล้ว ที่เงื้อม แห่งภูเขาชื่อว่าปัณฑวะ ผู้อันพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ชื่อว่ามคธทรงเชื้อเชิญอยู่ ด้วยความเป็นแห่งพระราชา ทรงห้ามแล้ว ซึ่งความเป็นแห่งพระราชานั้น ผู้มีปฏิญญาอันพระราชานั้น ทรงรับแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การ บรรลุแล้ว ซึ่งความเป็น- แห่งพระสัพพัญญู เสด็จมา สู่แว่นแคว้น ของพระองค์ เสด็จเข้าไปหาแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าอาฬาระด้วย ซึ่งดาบส ชื่อว่าอุทกะด้วย ไม่ทรงกระท�ำให้พอแล้ว ซึ่งคุณวิเศษอันพระองค์ ทรงถึงทับแล้ว ในส�ำนัก ของดาบส ท. เหล่านั้น ทรงเริ่มตั้งแล้ว ซึ่งความเพียรใหญ่ สิ้นปีหก ท. เสวยแล้ว ซึ่งข้าวปายาส อันอันนางสุชาดาถวายแล้ว ในเวลาเช้าเทียว ในวันคือดิถี มีพระจันทร์อันเต็มแล้วด้วยวิสาขฤกษ์ www.kalyanamitra.org
  • 83.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 78 เนรฺชราย นทิยา สุวณฺณปาตึ ปวาเหตฺวา เนรฺชราย นทิยา ตีเร มหาวนสณฺเฑ นานาสมาปตฺตีหิ ทิวสภาคํ วีตินาเมตฺวา สายณฺหสมเย โสตฺถิเยน ทินฺนํ ติณํ คเหตฺวา กาเฬน นาคราเชน อภิตฺถุตคุโณ โพธิมณฺฑํ อารุยฺห ติณานิ สนฺถริตฺวา “น ตาวิมํ ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามิ, ยาว เม อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ น วิมุจฺจิสฺสตีติ ปฏิฺํ กตฺวา ปุรตฺถาภิมุโข นิสีทิตฺวา, สุริเย อนตฺถงฺคมิเตเยว, มารพลํ วิธมิตฺวา ป€มยาเม ปุพฺเพนิวาสาณํ มชฺฌิมยาเม จุตูปปาตาณํ ปตฺวา ปจฺฉิมยามาวสาเน ปจฺจยากาเร าณํ โอตาเรตฺวา อรุณุคฺคมเน ทสพลจตุเวสารชฺชาทิ- สพฺพคุณปฏิมณฺฑิตํ สพฺพฺุตาณํ ปฏิวิชฺฌิตฺวา สตฺตสตฺตาหํ โพธิมณฺเฑ วีตินาเมตฺวา อฏฺ€เม สตฺตาเห อชปาลนิโคฺรธมูเล นิสินฺโน ธมฺมคมฺภีรตา- ปจฺจเวกฺขเณน อปฺโปสฺสุกฺกตํ อาปชฺชมาโน ทสสหสฺส- มหาพฺรหฺมปริวาเรน สหมฺปติพฺรหฺมุนา อายาจิต- ธมฺมเทสโน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โอโลเกตฺวา พฺรหฺมุโน อชฺเฌสนํ อธิวาเสตฺวา “กสฺส นุ โข อหํ ป€มํ ธมฺมํ เทเสยฺยนฺติ โอโลเกนฺโต อาฬารุทฺทกานํ กาลกตภาวํ ตฺวา ปฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ พหุปการตํ อนุสฺสริตฺวา อุฏฺ€ายาสนา กาสีปุรํ คจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค อุปเกน อาชีวเกน สทฺธึ มนฺเตตฺวา อาสาฬฺหปุณฺณมี- ทิวเส อิสิปตเน มิคทาเย ปฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ วสนฏฺ€านํ ปตฺวา เต อนนุจฺฉวิเกน สมุทาจาเรน สมุทาจรนฺเต สฺาเปตฺวา อฺาโกณฺฑฺปฺปมุเข อฏฺ€ารสพฺรหฺมโกฏิโย อมตปานํ ปาเยนฺโต ทรงลอยแล้ว ซึ่งถาดอันเป็นวิการแห่งทอง ในแม่น�ำ้ ชื่อว่าเนรัญชรา ทรงยังส่วนแห่งวัน ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว ด้วยสมาบัติต่าง ๆ ท. ในชัฏแห่งป่าใหญ่ ที่ฝั่ง แห่งแม่น�ำ้ ชื่อว่าเนรัญชรา ทรงรับแล้ว ซึ่งหญ้า อันอันพราหมณ์ชื่อว่าโสตถิยะถวายแล้ว ในสมัยเป็นที่ สิ้นไปแห่งวัน ผู้มีพระคุณอันอันนาคผู้ราชาชื่อว่ากาฬะชมเชยแล้ว เสด็จขึ้นแล้วสู่ควงแห่งไม้โพธิ์ ทรงลาดแล้วซึ่งหญ้าท.ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการปฏิญญา ว่า อ. จิต ของเรา จักไม่พ้นวิเศษ จากอาสวะ ท. เพราะอันไม่เข้าไปยึดมั่น เพียงใด (อ. เรา) จักไม่ท�ำลาย ซึ่งบัลลังก์ นี้ เพียงนั้น ดังนี้ ผู้มีพระพักตร์เฉพาะต่อทิศอันตั้งอยู่ในเบื้องหน้า ประทับนั่งแล้ว, ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ เป็นสภาพถึงแล้วซึ่งอันตั้งอยู่ ไม่ได้นั่นเทียว (มีอยู่), ทรงก�ำจัดแล้ว ซึ่งมารและพลของมาร ทรงบรรลุแล้ว ซึ่งปุพเพนิวาสญาณ ในปฐมยาม ซึ่งจุตูปปาตญาณ ในมัชฌิมยาม ทรงยังญาณ ให้ข้ามลงแล้ว ในปัจจยาการ ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งปัจฉิมยาม ทรงรู้ตลอดแล้ว ซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยคุณทั้งปวง มีทศพลญาณและเวสารัชชญาน ๔ เป็นต้น ในกาลเป็นที่ขึ้นไป แห่งอรุณ ทรงยังสัปดาห์เจ็ด ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว ที่ควง แห่งไม้โพธิ์ ประทับนั่งแล้ว ที่โคนแห่งต้นอชปาลนิโครธ ในสัปดาห์ ที่แปด ทรงถึงทั่วอยู่ ซึ่งความเป็นแห่งบุคคลผู้มี ความขวนขวายน้อย ด้วยการพิจารณาซึ่งความที่แห่งธรรมเป็นสภาพลึกซึ้ง ผู้มีการแสดงซึ่งธรรม อันพรหมชื่อว่าสหัมบดีผู้มีท้าวมหาพรหม หมื่นหนึ่งเป็นบริวาร ทูลวิงวอนแล้ว ทรงตรวจดูแล้ว ซึ่งโลก ด้วยจักษุของพระพุทธเจ้า ทรงยังค�ำเป็นเครื่องเชื้อเชิญ ของพรหม ให้อยู่ทับแล้ว ทรงตรวจดูอยู่ ว่า อ. เรา พึงแสดง ซึ่งธรรม ครั้งที่หนึ่ง แก่ใครหนอแล ดังนี้ ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่ แห่งดาบสชื่อว่าอาฬาระและดาบสชื่อว่าอุทกะ ท. เป็นผู้มีกาละ อันกระท�ำแล้ว ทรงอนุสรณ์ถึงแล้ว ซึ่งความที่แห่งภิกษุ ท. ผู้นับเนื่องแล้วในพวก ๕ เป็นผู้มีอุปการะมาก เสด็จลุกขึ้นแล้ว จากอาสนะ เสด็จไปอยู่ สู่เมืองชื่อว่ากาสี ทรงสนทนาแล้ว กับ ด้วยอาชีวก ชื่อว่าอุปกะ ในระหว่างแห่งหนทาง เสด็จถึงแล้ว ซึ่งที่เป็นที่อยู่ ของภิกษุ ท. ผู้นับเนื่องแล้วในพวก ๕ ในป่าเป็นที่ให้ ซึ่งอภัยแก่เนื้อ ชื่อว่าอิสิปตนะ ในวันคือดิถีมีพระจันทร์ อันเต็มแล้วด้วยอาสาฬหฤกษ์ ทรงยังภิกษุ ท. เหล่านั้น ผู้ประพฤติร้องเรียกอยู่ ด้วยความประพฤติร้องเรียก อันไม่สมควร ให้รู้พร้อมแล้ว ทรงยังโกฏิแห่งพรหม ๑๘ ท. มีพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นประมุข ให้ดื่มอยู่ ซึ่งน�้ำอันบุคคล พึงดื่มชื่อว่าอมฤต www.kalyanamitra.org
  • 84.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย79 ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตตฺวา ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก ปฺจมิยํ ปกฺขสฺส สพฺเพปิ เต ภิกฺขู อรหตฺเต ปติฏฺ€าเปตฺวา ตํทิวสเมว ยสสฺส กุลปุตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺตึ ทิสฺวา ตํ รตฺติภาเค นิพฺพินฺทิตฺวา เคหํ ปหาย นิกฺขมนฺตํ “เอหิ ยสาติ ปกฺโกสิตฺวา ตสฺมึเยว รตฺติภาเค โสตาปตฺติผลํ ปาเปตฺวา ปุนทิวเส อรหตฺตํ ปาเปตฺวา อปเรปิ ตสฺส สหายเก จตุปฺาสชเน เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา อรหตฺตํ ปาเปสิ. เอวํ โลเก เอกสฏฺ€ิยา อรหนฺเตสุ ชาเตสุ, วุตฺถวสฺโส ปวาเรตฺวา “จรถ ภิกฺขเว จาริกนฺติ สฏฺ€ิภิกฺขู ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ คจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค กปฺปาสิกวนสณฺเฑ ตึสชเน ภทฺทวคฺคิยกุมาเร วิเนสิ. เตสุ สพฺพปจฺฉิมโก โสตาปนฺโน, สพฺพุตฺตโม อนาคามี อโหสิ. เตปิ สพฺเพ เอหิภิกฺขุภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ คนฺตฺวา อฑฺฒุฑฺฒานิ ปาฏิหาริยสหสฺสานิ ทสฺเสตฺวา อุรุเวลกสฺสปาทโย สหสฺสชฏิลปริวาเร เตภาติกชฏิเล วิเนตฺวา เอหิภิกฺขุ ภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา คยาสีเส นิสีทาเปตฺวา อาทิตฺตปริยายเทสนาย อรหตฺเต ปติฏฺ€าเปตฺวา เตน อรหนฺตสหสฺเสน ปริวุโต “พิมฺพิสารรฺโ ทินฺนํ ปฏิฺํ โมเจสฺสามีติ ราชคหนครุปจาเร ลฏฺ€ิวนุยฺยานํ คนฺตฺวา “สตฺถา กิร อาคโตติ สุตฺวา ทฺวาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ สทฺธึ อาคตสฺส รฺโ มธุรธมฺมกถํ กเถนฺโต ราชานํ เอกาทสหิ นหุเตหิ สทฺธึ โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€าเปตฺวา เอกํ นหุตํ สรเณสุ ปติฏฺ€าเปตฺวา ทรงยังจักรคือธรรม ให้เป็นไปทั่วแล้ว ผู้มีจักรคือธรรมอันประเสริฐ อันทรงให้เป็นไปทั่วแล้ว ทรงยังภิกษุ ท. เหล่านั้น แม้ทั้งปวง ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในพระอรหัต ในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ทรงเห็นแล้ว ซึ่งความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัย แห่งกุลบุตร ชื่อว่ายสะ ในวันนั้น นั่นเทียว ทรงร้องเรียกแล้ว ซึ่งยสะนั้น ผู้เบื่อหน่ายแล้ว ละแล้ว ซึ่งเรือน ออกไปอยู่ ในส่วนแห่งราตรี (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนยสะ (อ. ท่าน) จงมา ดังนี้ทรงยังยสะนั้น ให้บรรลุแล้ว ซึ่งโสดาปัตติผล ในส่วนแห่งราตรี นั้นนั่นเทียว ให้บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ในวันรุ่งขึ้น ทรงยังชน ๕๔ ท. ผู้เป็นสหาย ของพระยสะนั้น แม้เหล่าอื่นอีก ให้บวชแล้ว ด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ให้บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ฯ ครั้นเมื่อพระอรหันต์ ท. ๖๑ เกิดแล้ว ในโลก อย่างนี้, (อ. พระศาสดา) ผู้มีกาลฝนอันประทับอยู่แล้ว ทรงปวารณาแล้ว ทรงส่งไปแล้วซึ่งภิกษุ ๖๐ ท. ในทิศ ท. (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.) จงเที่ยวไป สู่ที่จาริก ดังนี้เป็นต้น เสด็จไปอยู่ สู่ประเทศชื่อว่าอุรุเวลา เอง ทรงแนะน�ำแล้ว ซึ่งกุมาร ผู้นับเนื่องแล้วในพวกอันเจริญ ท. ผู้เป็นชน ๓๐ ในชัฏแห่งป่าฝ ้ าย ในระหว่างแห่งหนทาง ฯ ในกุมาร ท. เหล่านั้นหนา (อ. กุมาร) ผู้เกิดแล้วในภายหลัง แห่งกุมารทั้งปวง เป็นพระโสดาบัน (ได้เป็นแล้ว) , (อ. กุมาร) ผู้สูงสุดแห่งกุมารทั้งปวง เป็นพระอนาคามี ได้เป็นแล้ว ฯ (อ. พระศาสดา) ทรงยังกุมาร ท. ทั้งปวงแม้เหล่านั้น ให้บวชแล้ว ด้วยความเป็นแห่งเอหิภิกขุนั่นเทียว ทรงส่งไปแล้ว ในทิศ ท. เสด็จไปแล้ว สู่ประเทศชื่อว่าอุรุเวลา เอง ทรงแสดงแล้ว ซึ่งพัน แห่งปาฏิหาริย์ ท. ที่ ๔ ด้วยทั้งกึ่ง ทรงแนะน�ำแล้ว ซึ่งชฎิลพี่น้องชาย ๓ คน ท. มีชฎิลพันหนึ่งเป็นบริวาร มีชฎิลชื่อว่าอุรุเวลากัสสปะ เป็นต้น ให้บวชแล้ว ด้วยความเป็นแห่งเอหิภิกขุนั่นเทียว ให้นั่งแล้ว ณ ประเทศชื่อว่าคยาสีสะ ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในพระอรหัต ด้วยเทศนาคืออาทิตตปริยายสูตร ผู้อันพันแห่งพระอรหันต์ นั้น แวดล้อมแล้ว (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า (อ. เรา) จักเปลื้อง ซึ่งปฏิญญา อันอันเราให้แล้ว แก่พระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ดังนี้ เสด็จไปแล้ว สู่สวนชื่อว่าลัฏฐิวัน ใกล้อุปจารแห่งเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตรัสอยู่ ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรมอันไพเราะ แก่พระราชาผู้ทรงสดับแล้ว ว่า ได้ยินว่า อ.พระศาสดา เสด็จมาแล้ว ดังนี้ เสด็จมาแล้ว กับ ด้วยพราหมณ์และคฤหบดี ท. มีหมื่นสิบสองเป็นประมาณ ทรงยังพระราชา กับ ด้วยนหุต ท. ๑๑ ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล ทรงยังนหุตหนึ่ง ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในสรณะ ท. www.kalyanamitra.org
  • 85.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 80 ปุนทิวเส สกฺเกน เทวรฺา มาณวกวณฺณํ คเหตฺวา อภิตฺถุตคุโณ ราชคหนครํ ปวิสิตฺวา ราชนิเวสเน กตภตฺตกิจฺโจ เวฬุวนารามํ ปฏิคฺคเหตฺวา ตตฺเถว วาสํ กปฺเปสิ. ตตฺถ นํ สารีปุตฺตโมคฺคลฺลานา อุปสงฺกมึสุ. ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา: อนุปฺปนฺเนเยว หิ พุทฺเธ, ราชคหโต อวิทูเร “อุปติสฺสคาโม จ โกลิตคาโม จาติ เทฺว พฺราหฺมณคามา อเหสุํ. เตสุ อุปติสฺสคาเม สาริยา นาม พฺราหฺมณิยา คพฺภสฺส ปติฏฺ€ิตทิวเสเยว โกลิตคาเม โมคฺคลฺลิยา นาม พฺราหฺมณิยาปิ คพฺโภ ปติฏฺ€หิ. ตานิ กิร เทฺวปิ กุลานิ ยาว สตฺตมา กุลปริวฏฺฏา อาพทฺธปฏิพทฺธสหายกาเนว. ตาสํ ทฺวินฺนํปิ เอกทิวสเมว คพฺภปริหารํ อทํสุ. ตา อุโภปิ ทสมาสจฺจเยน ปุตฺเต วิชายึสุ. นามคฺคหณทิวเส สาริยา พฺราหฺมณิยา ปุตฺตสฺส อุปติสฺสคามเก เชฏฺ€กุลสฺส ปุตฺตตฺตา “อุปติสฺโสติ นามํ อกํสุ. อิตรสฺส โกลิตคาเม เชฏฺฐกุลสฺส ปุตฺตตฺตา “โกลิโตติ นามํ อกํสุ. เต อุโภปิ วุฑฺฒิมนฺวาย สพฺพสิปฺปานํ ปารํ อคมํสุ. อุปติสฺสมาณวสฺส กีฬนตฺถาย นทึ วา อุยฺยานํ วา คมนกาเล ปฃฺจ สุวณฺณสิวิกาสตานิ ปริวารานิ โหนฺติ, โกลิตมาณวสฺส ปฃฺจ อาชญฺญรถสตานิ. เทฺวปิ ชนา ปญฺจปญฺจมาณวสตปริวารา โหนฺติ. ราชคเห จ อนุสํวจฺฉเร คิรคฺคสมชฺโช นาม โหติ. เตสํ ทฺวินฺนํปิ เอกฏฺฐาเนเยว มญฺจาติมญฺจํ พนฺธนฺติ. เทฺวปิ เอกโตว นิสีทิตฺวา สมชฺชํ ปสฺสนฺตา หสิตพฺพฏฺฐาเน หสนฺติ, สํเวคฏฺฐาเน สํเวคํ อาปชฺชนฺติ, ผู้มีพระคุณอันท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งเพศแห่งมาณพ ทรงชมเชยแล้ว เสด็จเข้าไปแล้ว สู่เมือง ชื่อว่าราชคฤห์ ในวันรุ่งขึ้น ผู้มีกิจด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว ในพระราชนิเวศน์ ทรงรับเฉพาะแล้ว ซึ่งอารามชื่อว่าเวฬุวัน ทรงส�ำเร็จแล้ว ซึ่งการประทับอยู่ ในอารามนั้นนั่นเทียว ฯ อ.พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท. เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดานั้น ในอาราม นั้น ฯ อ. วาจาเป็นเครื่องกล่าว โดยล�ำดับ ในเรื่องนั้น นี้ : ก็ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ไม่เสด็จอุบัติแล้วนั่นเทียว , อ. บ้าน แห่งพราหมณ์ ท. ๒ คือ อ. อุปติสสคามด้วย อ. โกลิตคามด้วย ได้มีแล้ว ในที่ไม่ไกล จากเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ฯ ในบ้านแห่งพราหมณ์ ท. ๒ เหล่านั้นหนา อ. ครรภ์ แม้ของพราหมณี ชื่อว่าโมคคัลลี ในโกลิตคาม ตั้งอยู่ เฉพาะแล้ว ในวันแห่งครรภ์ของพราหมณีชื่อว่าสารี ในอุปติสสคาม ตั้งอยู่เฉพาะแล้วนั่นเทียว ฯ ได้ยินว่า อ. ตระกูล ท. แม้สอง เหล่านั้น เป็นสหายเนื่องกัน ทั่วแล้วและเนื่องเฉพาะแล้วนั่นเทียว เพียงใดแต่อันเวียนรอบ แห่งตระกูล ที่เจ็ด (ได้เป็นแล้ว) ฯ (อ. ญาติ ท.) ได้ให้แล้ว ซึ่งวัตถุเป็นเครื่องบริหารซึ่งครรภ์ แก่พราหมณี ท. แม้สอง เหล่านั้น ในวันเดียวกันนั่นเทียว ฯ อ. พราหมณี ท. แม้ทั้งสอง เหล่านั้น คลอดแล้ว ซึ่งบุตร ท. โดยอันล่วงไปแห่งเดือน ๑๐ ฯ ในวันเป็นที่ถือเอาซึ่งชื่อ (อ. ญาติ ท.) ได้กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ. อุปติสสะ ดังนี้ให้เป็นชื่อ ของบุตร ของพราหมณีชื่อว่าสารี เพราะความที่ (แห่งเด็กนั้น) เป็นบุตร ของตระกูลเจริญที่สุด ในอุปติสสคาม ฯ (อ. ญาติ ท.) ได้กระท�ำแล้ว (ซึ่งค�ำ) ว่า อ. โกลิตะ ดังนี้ ให้เป็นชื่อ (ของบุตร ของพราหมณี ชื่อว่าโมคคัลลี) นอกนี้ เพราะความที่ (แห่งเด็กนั้น) เป็นบุตร ของตระกูลเจริญที่สุด ในโกลิตคาม ฯ อ. บุตร ท. แม้ทั้งสอง เหล่านั้น อาศัยแล้ว ซึ่งความเจริญ ได้ถึงแล้ว ซึ่งฝั่ง แห่งศิลปะทั้งปวง ท. ฯ ในกาลเป็นที่ไป สู่แม่น�้ำหรือ หรือว่า สู่สวน เพื่อประโยชน์ แก่การเล่น ของมาณพชื่อว่าอุปติสสะ อ. ร้อยแห่งวออันเป็นวิการ แห่งทอง ท. ๕ เป็นบริวาร ย่อมเป็น, (ในกาลเป็นที่ไป สู่แม่น�้ำหรือ หรือว่าสู่สวน เพื่อประโยชน์แก่การเล่น) ของมาณพชื่อว่าโกลิตะ อ. ร้อยแห่งรถอันเทียมแล้วด้วยม้าอาชาไนย ท. ๕ (เป็นบริวาร) (ย่อมเป็น) ฯ อ. ชน ท. แม้ ๒ เป็นผู้มีร้อยแห่งมาณพห้าห้าเป็นบริวาร ย่อมเป็น ฯ ก็ชื่ออ.มหรสพอันบุคคลพึงเล่นบนยอดแห่งภูเขาในปีตามล�ำดับ ย่อมมี ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ฯ (อ.บริวารท.)ย่อมผูกซึ่งเตียงและเตียงเกิน ในที่แห่งเดียวกัน นั่นเทียว เพื่อชน ท. แม้ ๒ เหล่านั้น ฯ (อ. ชน ท.) แม้ ๒ นั่งดูอยู่ซึ่งมหรสพ โดยความเป็นอันเดียวกัน เทียว ย่อมหัวเราะ ในที่อันตนควรหัวเราะ, ย่อมถึงทั่ว ซึ่งความสลด ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความสลด, www.kalyanamitra.org
  • 86.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย81 ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฏฺฐาเน ทายํ เทนฺติ. เตสํ อิมินา นิยาเมน เอกทิวสํ สมชฺชํ ปสฺสนฺตานํ ปริปากคตตฺตา ญาณสฺส ปุริมทิวเสสุ วิย หสิตพฺพฏฺฐาเน หาโส วา สํเวคฏฺฐาเน สํเวโค วา ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฏฺฐาเน ทายํ วา นาโหสิ. เทฺว ปน ชนา เอวํ จินฺตยึสุ “ กึ เอตฺถ โอโลเกตพฺพํ อตฺถิ, สพฺเพปิเม อปฺปตฺเต วสฺสสเต อปณฺณตฺติกภาวํ คมิสฺสนฺติ, อมฺเหหิ ปน เอกํ โมกฺขธมฺมํ ปริเยสิตุํ วฏฺฏตีติ อารมฺมณํ คเหตฺวา นิสีทึสุ. ตโต โกลิโต อุปติสฺสํ อาห “สมฺม อุปติสฺส ตฺวํ น อชฺเชสุ ทิวเสสุ วิย หฏฺฐปหฏฺโฐ, อิทานิ อนตฺตมนธาตุโกสิ, กินฺเต สลฺลกฺขิตนฺติ. โส อาห “สมฺม โกลิต `เอเตสํ โอโลกเน สาโร นตฺถิ, นิรตฺถกเมตํ, อตฺตโน โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ วฏฺฏตีติ อิทํ จินฺตยนฺโต นิสินฺโนมฺหิ, ตฺวํ ปน กสฺมา อนตฺตมโนสีติ. โสปิ ตเถวาห. อถสฺส อตฺตนา สทฺธึ เอกชฺฌาสยตํ ญตฺวา อุปติสฺโส อาห “สมฺม อมฺหากํ อุภินฺนํปิ สุจินฺติตํ, โมกฺขธมฺมํ ปน คเวสิตุํ วฏฺฏติ, คเวสนฺเตหิ นาม เอกํ ปพฺพชฺชํ ลทฺธุํ วฏฺฏติ, กสฺส สนฺติเก ปพฺพชามาติ. เตน โข ปน สมเยน สฃฺชโย ปริพฺพาชโก ราชคเห ปฏิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ. เต “ ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามาติ ปญฺจมาณวกสตานิ “สิวิกาโย จ รเถ จ คเหตฺวา คจฺฉถาติ อุยฺโยเชตฺวา ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ สทฺธึ สญฺชยสฺส สนฺติเก ปพฺพชึสุ. เตสํ ปพฺพชิตกาลโต ปฏฺฐาย สญฺชโย อติเรกลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺโต อโหสิ. ย่อมให้ ซึ่งรางวัล ในที่อันควรแล้ว เพื่ออันให้ ซึ่งรางวัล ฯ เมื่อชนท.๒เหล่านั้นดูอยู่ซึ่งมหรสพในวันหนึ่ง โดยท�ำนองนี้ อ. การหัวเราะ ในที่อันตนควรหัวเราะหรือ หรือว่า อ. ความสลด ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความสลด หรือว่า อ. รางวัล ในที่อันควรแล้ว เพื่ออันให้ ซึ่งรางวัล ราวกะ (อ. การหัวเราะ ในที่อันตนควรหัวเราะ หรือ หรือว่า อ. ความสลด ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความสลด หรือว่า อ.รางวัลในที่อันควรแล้ว เพื่ออันให้ซึ่งรางวัล)ในวันอันมีในก่อนท. ไม่ได้มีแล้ว เพราะความที่แห่งญาณ เป็นคุณชาตถึงแล้ว ซึ่งความแก่รอบ ฯ ก็ อ. ชน ท. ๒ คิดแล้ว อย่างนี้ว่า อ. วัตถุอะไรอัน (อันเรา ท.) พึงแลดู ในมหรสพนี้ มีอยู่, อ. ชน ท. เหล่านี้ แม้ทั้งปวง ครั้นเมื่อร้อยแห่งปี ไม่ถึงแล้ว จักถึง ซึ่งความเป็นแห่งบุคคล ผู้ไม่มีบัญญัติ, ก็ อ. อัน อันเรา ท. แสวงหาซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น อย่างหนึ่ง ย่อมควร ดังนี้นั่งถือเอาแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็นอารมณ์ ฯ ในล�ำดับนั้นอ.โกลิตะกล่าวแล้วกะอุปติสสะว่าแน่ะอุปติสสะ ผู้สหาย อ.ท่าน เป็นผู้ร่าเริงแล้วและร่าเริงทั่วแล้ว ราวกะว่า (ผู้ร่าเริงแล้วและร่าเริงทั่วแล้ว) ในวัน ท. เหล่าอื่น (ย่อมเป็น) หามิได้, ในกาลนี้ (อ. ท่าน) เป็นผู้มีธาตุของบุคคลผู้มีใจมิใช่- เป็นของมีอยู่แห่งตน ย่อมเป็น, อ. อะไร อันท่าน ก�ำหนดได้แล้ว ดังนี้ฯ อ. อุปติสสะนั้น กล่าวแล้ว ว่า แน่ะโกลิตะ ผู้สหาย (อ. เรา) เป็นผู้นั่งคิดอยู่แล้ว ซึ่งเหตุนี้ ว่า อ. สาระ ในการแลดู ซึ่งชน ท. เหล่านั่น ย่อมไม่มี, อ. การดูแลนั่น เป็นของไม่มีประโยชน์ (ย่อมเป็น), อ.อัน(อันเราท.)แสวงหาซึ่งธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น เพื่อตนย่อม ควร ดังนี้ย่อมเป็น, ก็ อ. ท่าน เป็นผู้มีใจมิใช่เป็นของมีอยู่แห่งตน ย่อมเป็น เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ อ. โกลิตะแม้นั้น กล่าวแล้ว อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ ครั้งนั้น อ. อุปติสสะ รู้แล้ว ซึ่งความที่แห่งโกลิตะนั้นเป็น- ผู้มีอัธยาศัยเป็นอันเดียวกัน กับ ด้วยตน กล่าวแล้ว ว่า แน่ะสหาย (อ. เหตุ) อันเรา ท. แม้ทั้งสองคิดกันดีแล้ว, ก็ อ. อัน (อันเรา ท.) แสวงหา ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น ย่อมควร, อ. อัน (อันชน ท.) ชื่อว่า ผู้แสวงหาอยู่ ได้ ซึ่งการบวช อย่างหนึ่ง ย่อมควร, (อ. เรา ท.) จะบวช ในส�ำนัก ของใคร ดังนี้ฯ ก็ โดยสมัยนั้นแล อ. ปริพาชก ชื่อว่าสญชัย ย่อมอยู่เฉพาะ ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ กับ ด้วยบริษัทคือปริพาชก หมู่ใหญ่ ฯ อ. ชน ท. เหล่านั้น (ปรึกษากันแล้ว) ว่า (อ. เรา ท.) จักบวช ในส�ำนัก ของปริพาชกนั้น ดังนี้ส่งไปแล้ว ซึ่งร้อยแห่งมาณพห้า ท. (ด้วยค�ำ) ว่า (อ. ท่าน ท.) ถือเอา ซึ่งวอ ท. ด้วย ซึ่งรถ ท. ด้วย จงไปเถิด ดังนี้ บวชแล้ว ในส�ำนัก ของปริพาชกชื่อว่าสญชัย กับ ด้วยร้อยแห่งมาณพ ท. ๕ ฯ อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งลาภอันเลิศและยศ อันเลิศยิ่งเกิน ได้เป็นแล้ว จ�ำเดิม แต่กาล แห่งชน ท. ๒ เหล่านั้น บวชแล้ว ฯ www.kalyanamitra.org
  • 87.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 82 เต กติปาเหเนว สพฺพํ สฃฺชยสฺส สมยํ ปริคฺคณฺหิตฺวา “อาจริย ตุมฺหากํ ชานนสมโย เอตฺตโกว อุทาหุ อุตฺตรึปิ อตฺถีติ ปุจฺฉึสุ. “เอตฺตโกว, สพฺพํ ตุมฺเหหิ ฃาตนฺติ วุตฺเต, เต จินฺตยึสุ “เอวํ สติ, อิมสฺส สนฺติเก พฺรหฺมจริยวาโส นิรตฺถโก, มยํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ นิกฺขนฺตา, โส อิมสฺส สนฺติเก อุปฺปาเทตุํ น สกฺกา, มหา โข ปน ชมฺพุทีโป, คามนิคมชนปทราชธานิโย จรนฺตา อทฺธา โมกฺขธมฺมเทสกํ กญฺจิ อาจริยํ ลภิสฺสามาติ. ตโต ปฏฺฐาย “ยตฺถ ยตฺถ ปณฺฑิตา สมณพฺราหฺมณา สนฺตีติ วทนฺติ; ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา สากจฺฉํ กโรนฺติ. เตหิ ปุฏฺฐปญฺหํ อญฺเญ กเถตุํ น สกฺโกนฺติ, เต ปน เตสํ ปฃฺหํ วิสฺสชฺเชนฺติ. เอวํ สกลชมฺพุทีปํ ปริคฺคณฺหิตฺวา นิวตฺติตฺวา สกฏฺฐานเมว อาคนฺตฺวา “สมฺม โกลิต อมฺเหสุ โย ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตูติ กติกํ อกํสุ. เอวํ เตสุ กติกํ กตฺวา วิหรนฺเตสุ, สตฺถา วุตฺตานุกฺกเมน ราชคหํ ปตฺวา เวฬุวนํ ปฏิคฺคเหตฺวา เวฬุวเน วิหรติ. ตทา “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตายาติ รตนตฺตยคุณปฺปกาสนตฺถํ อุยฺโยชิตานํ เอกสฏฺฐิยา อรหนฺตานํ อนฺตเร ปฃฺจวคฺคิยานํ อพฺภนฺตเร อสฺสชิตฺเถโร ปฏินิวตฺติตฺวา ราชคหํ อาคโต ปุนทิวเส ปาโตว ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ. ตสฺมึ สมเย อุปติสฺสปริพฺพาชโก ปาโตว ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปริพฺพาชการามํ คจฺฉนฺโต เถรํ ทิสฺวา อ. ชน ท. ๒ เหล่านั้น เรียนเอาแล้ว ซึ่งลัทธิเป็นเหตุรู้ ของปริพาชก ชื่อว่าสญชัย ทั้งปวง โดยวันเล็กน้อยนั่นเทียว ถามแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. ลัทธิเป็นเหตุรู้ ของท่าน ท. เป็นลัทธิมีประมาณ เท่านี้เทียว (ย่อมเป็นหรือ) หรือว่ามีอยู่ แม้ยิ่ง ดังนี้ ฯ (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. ลัทธิเป็นเหตุรู้ ของเรา) มีประมาณ เท่านี้เทียว, (ชานนํ อ. ความรู้) ทั้งปวง อันท่าน ท. รู้แล้ว ดังนี้ (อันปริพาชกชื่อว่าสญชัย) กล่าวแล้ว, อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น คิดแล้ว ว่า ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่), อ. การอยู่ เพื่อพรหมจรรย์ ในส�ำนัก ของอาจารย์นี้ เป็นสภาพไม่มีประโยชน์ (ย่อมเป็น), อ. เรา ท. เป็นผู้ออกไป แล้ว เพื่ออันแสวงหา ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น (ย่อมเป็น),อ.ธรรมเป็นเหตุพ้นนั้น(อันเราท.)ไม่อาจเพื่ออันให้เกิดขึ้น ในส�ำนัก ของอาจารย์นี้ , ก็ อ.ชมพูทวีป เป็นทวีปใหญ่แล (ย่อมเป็น), อ. เรา ท. เที่ยวไปอยู่ สู่บ้านและนิคมและชนบทและ ราชธานี ท. จักได้ ซึ่งอาจารย์ บางคน ผู้แสดงซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น แน่แท้ ดังนี้ฯ (อ. ชน ท.) ย่อมกล่าว ว่า อ. สมณะและพราหมณ์ ท. ผู้ฉลาด มีอยู่ ในที่ใด ๆ ดังนี้; (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น) ไปแล้ว ในที่นั้น ๆ ย่อมกระท�ำ ซึ่งการสนทนา จ�ำเดิม แต่กาลนั้น ฯ อ. ชน ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่อาจ เพื่ออันกล่าว ซึ่งปัญหา อันอันสหาย ท. ๒ เหล่านั้นถามแล้ว, แต่ว่า อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ย่อมแก้ ซึ่งปัญหา ของชน ท. เหล่านั้น ฯ (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น) สอบสวนแล้ว ซึ่งชมพูทวีป ทั้งสิ้น อย่างนี้ กลับแล้ว มาแล้ว สู่ที่อันเป็นของตนนั่นเทียว ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกติกา ว่า แน่ะโกลิตะ ผู้สหาย ในเรา ท. หนา อ. บุคคลใด ย่อมถึงทับซึ่งธรรมอัน ไม่ตายแล้ว ก่อน, อ. บุคคลนั้น จงบอก (แก่สหายนอกนี้) ดังนี้ ฯ ครั้นเมื่อสหาย ท. ๒ เหล่านั้น กระท�ำแล้ว ซึ่งกติกา อยู่อยู่ อย่างนี้, อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ว ซึ่งเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตามล�ำดับแห่งค�ำอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ทรงรับเฉพาะแล้ว ซึ่งพระเวฬุวัน ประทับอยู่อยู่ ในพระเวฬุวัน ฯ ในกาลนั้น อ. พระเถระชื่อว่าอัสสชิ ในภายใน แห่งภิกษุ ท. ผู้นับเนื่องแล้วในพวก ๕ ในระหว่าง แห่งพระอรหันต์ ท. ๖๑ ผู้ (อันพระศาสดา) ทรงส่งไปแล้ว เพื่ออันประกาศซึ่งพระคุณ- แห่งหมวดสามแห่งรัตนะ (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. จงเที่ยวไป สู่ที่จาริก เพื่อความเกื้อกูลแก่ชนมาก ดังนี้ เป็นต้น กลับเฉพาะแล้ว มาแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ ถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ได้เข้าไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ เพื่อก้อนข้าว ในเวลาเช้าเทียว ในวันรุ่งขึ้น ฯ ในสมัยนั้น อ. ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ กระท�ำแล้ว ซึ่งกิจด้วยภัตร ในเวลาเช้าเทียว ไปอยู่ สู่อารามของปริพาชก เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ www.kalyanamitra.org
  • 88.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย83 จินฺเตสิ “มยา เอวรูโป นาม ปพฺพชิโต น ทิฏฺฐปุพฺโพเยว, เย โลเก อรหนฺโต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา, อยํ เตสํ ภิกฺขุ อญฺญตโร; ยนฺนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺเฉยฺยํ `กํสิ ตฺวํ อาวุโส อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสีติ. อถสฺส เอตทโหสิ “อกาโล โข อิมํ ภิกฺขุํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ, อนฺตรฆรํ ปวิฏฺโฐ ปิณฺฑาย จรติ; ยนฺนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺเธยฺยํ, อตฺถิเกหิ อุปญาตํ มคฺคนฺติ. โส เถรํ ลทฺธปิณฺฑปาตํ อญฺญตรํ โอกาสํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา นิสีทิตุกามตญฺจสฺส ญตฺวา อตฺตโน ปริพฺพาชกปีฐกํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิ. ภตฺตกิจฺจปริโยสาเนปิสฺส อตฺตโน กุณฺฑิกาย- อุทกํ อทาสิ. เอวํ อาจริยวตฺตํ กตฺวา กตภตฺตกิจฺเจน เถเรน สทฺธึ มธุรปฏิสนฺถารํ กตฺวา เอวมาห “วิปฺปสนฺนานิ โข เต อาวุโส อินฺทฺริยานิ, ปริสุทฺโธ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโต; กํสิ ตฺวํ อาวุโส อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสีติ ปุจฺฉิ. เถโร จินฺเตสิ “ อิเม ปริพฺพาชกา นาม สาสนสฺส ปฏิปกฺขภูตา, อิมสฺส สาสเน คมฺภีรตํ ทสฺเสสฺสามีติ อตฺตโน นวกภาวํ ทสฺเสนฺโต อาห “อหํ โข อาวุโส นโว อจิรปพฺพชิโต อธุนาคโต อิมํ ธมฺมวินยํ, น ตาว สกฺขิสฺสามิ วิตฺถาเรน ธมฺมํ เทเสตุนฺติ. ปริพฺพาชโก “อหํ อุปติสฺโส นาม, ตฺวํ ยถาสตฺติยา อปฺปํ วา พหุํ วา วท, เอตํ นยสเตน นยสหสฺเสน ปฏิวิชฺฌิตุํ มยฺหํ ภาโรติ วตฺวา อาห คิดแล้ว ว่า อ.บรรพชิต ชื่อมีอย่างนี้เป็นรูป เป็นผู้อันเรา ไม่เคยเห็นแล้วนั่นเทียว (ย่อมเป็น), อ. พระอรหันต์ ท. หรือ หรือว่า (อ. บุคคล ท.) ผู้บรรลุแล้ว ซึ่งอรหัตตมรรค เหล่าใด (มีอยู่) ในโลก, อ. ภิกษุนี้ เป็น (แห่งพระอรหันต์ ท. หรือ หรือว่า แห่งบุคคล ท. ผู้บรรลุแล้วซึ่งอรหัตตมรรค) เหล่านั้นหนา-รูปใด รูปหนึ่ง (ย่อมเป็น); กระไรหนอ อ. เรา เข้าไปหาแล้ว ซึ่งภิกษุนี้พึงถาม ว่า ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน เป็นผู้บวชแล้ว เจาะจง ซึ่งใคร ย่อมเป็น, อ. ใคร เป็นครู ของท่าน (ย่อมเป็น) หรือ, หรือว่า อ. ท่าน ย่อมชอบใจ ซึ่งธรรม ของใคร (ดังนี้) ดังนี้ฯ ครั้งนั้น อ. ความปริวิตกนั่น ว่า (อ. กาลนี้) เป็นสมัยมิใช่กาลแล เพื่ออันถามซึ่งปัญหากะภิกษุนี้(ย่อมเป็น),(อ.ภิกษุนี้)เข้าไปแล้ว สู่ระหว่างแห่งเรือน ย่อมเที่ยวไป เพื่อบิณฑะ; กระไรหนอ อ. เรา แสวงหาอยู่ (ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น) อันอันชน ท. ผู้มีความต้องการ เข้าไปรู้แล้ว พึงติดตาม ซึ่งภิกษุนี้ข้างหลัง ข้างหลัง ดังนี้ได้มีแล้ว แก่ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะนั้น ฯ อ.ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ นั้น เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้มีบิณฑบาตอันได้แล้ว ผู้ไปอยู่ สู่โอกาส โอกาสใดโอกาสหนึ่งด้วย ทราบแล้ว ซึ่งความที่แห่งพระเถระนั้น เป็นผู้ใคร่เพื่ออันนั่งด้วย ได้ตั้ง ซึ่งตั่งแห่งปริพาชก ของตน ถวายแล้ว ฯ (อ.ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะนั้น) ได้ถวายแล้ว ซึ่งน�้ำ ในลักจั่น ของตน แก่พระเถระนั้น แม้ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจ ด้วยภัตร ฯ (อ. ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะนั้น) ครั้นกระท�ำแล้ว ซึ่งวัตร- เพื่ออาจารย์ อย่างนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับอันมีรสหวาน กับ ด้วยพระเถระ ผู้มีกิจด้วยภัตรอันกระท�ำแล้ว กล่าวแล้ว อย่างนี้ ถามแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ อ. อินทรีย์ ท. ของท่าน ผ่องใสแล้ว แล, อ. สีแห่งผิว หมดจดรอบแล้ว ผุดผ่องรอบแล้ว; ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน เป็นผู้บวชแล้ว เจาะจง ซึ่งใคร ย่อมเป็น, อ. ใคร เป็นครู ของท่าน (ย่อมเป็น) หรือ, หรือว่า อ. ท่าน ย่อมชอบใจ ซึ่งธรรม ของใคร ดังนี้ฯ อ. พระเถระ คิดแล้ว ว่า ชื่อ อ. ปริพาชก ท. เหล่านี้ เป็นปฏิปักข์ต่อพระศาสนาเป็นแล้ว (ย่อมเป็น), อ. เรา จักแสดง ซึ่งความที่แห่งธรรมในพระศาสนา เป็นสภาพลึกซึ้ง แก่ปริพาชกนี้ ดังนี้ เมื่อแสดง ซึ่งความที่แห่งตนเป็นผู้ใหม่ กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. เราแล เป็นผู้ใหม่ เป็นผู้บวชแล้วสิ้นกาลไม่นาน เป็นผู้มาแล้ว สู่พระธรรมและพระวินัยนี้ โดยกาลไม่นาน (ย่อมเป็น), อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันแสดง ซึ่งธรรม โดยพิสดาร ก่อน ดังนี้ฯ อ.ปริพาชก กล่าวแล้ว ว่า อ. เรา เป็นผู้ชื่อว่าอุปติสสะ (ย่อมเป็น), อ. ท่าน จงกล่าว (ซึ่งธรรม) อันน้อยหรือ หรือว่าอันมาก ตามความสามารถอย่างไร, อ. อันรู้ตลอด ซึ่งธรรมนั่น ด้วยร้อยแห่งนัย ด้วยพันแห่งนัย เป็นภาระ ของเรา (ย่อมเป็น) ดังนี้กล่าวแล้ว ว่า www.kalyanamitra.org
  • 89.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 84 “อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ, อตฺถฺเว เม พฺรูหิ, อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยฺชนํ พหุนฺติ. เอวํ วุตฺเต, เถโร “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา, เตสํ เหตุํ ตถาคโต, เตสฺจ โย นิโรโธ จ; เอวํวาที มหาสมโณติ คาถมาห. ปริพฺพาชโก ป€มปททฺวยเมว สุตฺวา สหสฺสนย- สมฺปนฺเน โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€หิ. อิตรํ ปททฺวยํ โสตาปนฺนกาเล นิฏฺ€าเปสิ. โส โสตาปนฺโน หุตฺวา อุปริวิเสเส อปฺปวตฺตนฺเต “ภวิสฺสติ เอตฺถ การณนฺติ สลฺลกฺเขตฺวา เถรํ อาห “ภนฺเต มา อุปริ ธมฺมเทสนํ วฑฺฒยิตฺถ, เอตฺตกเมว โหตุ, กุหึ อมฺหากํ สตฺถา วสตีติ. “เวฬุวเน อาวุโสติ. “เตนหิ ภนฺเต ตุมฺเห ปุรโต ยาถ; มยฺหํ เอโก สหายโก อตฺถิ, อมฺเหหิ จ อฺมฺํ กติกา กตา `โย ป€มํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตูติ อหนฺตํ ปฏิฺํ โมเจตฺวา สหายกํ คเหตฺวา ตุมฺหากํ คตมคฺเคเนว สตฺถุ สนฺติกํ อาคมิสฺสามีติ ปฺจปฺปติฏฺ€ิเตน เถรสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เถรํ อุยฺโยเชตฺวา ปริพฺพาชการามาภิมุโข อคมาสิ. โกลิตปริพฺพาชโก ตํ ทูรโต ว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา “ อชฺช มยฺหํ สหายกสฺส มุขวณฺโณ น อฺทิวเสสุ วิย, อทฺธาเนน อมตํ อธิคตํ ภวิสฺสตีติ อมตาธิคมํ ปุจฺฉิ. โสปิสฺส “อามาวุโส อมตํ อธิคตนฺติ ปฏิชานิตฺวา ตเมว คาถํ อภาสิ. (อ. ท่าน) จงกล่าว (ซึ่งธรรม) อันน้อยหรือ หรือว่าอันมาก, (อ. ท่าน) จงกล่าว ซึ่งเนื้อความนั่นเทียว แก่เรา, อ. ความต้องการ ด้วยเนื้อความนั่นเทียว (ย่อมมี) แก่เรา (อ. ท่าน) จักกระท�ำ ซึ่งพยัญชนะ ให้เป็นค�ำมาก ท�ำไม ดังนี้ ฯ (ครั้นเมื่อค�ำ) อย่างนี้ (อันปริพาชกนั้น) กล่าวแล้ว, อ. พระเถระ กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา ว่า อ. พระตถาคตเจ้า (ตรัสแล้ว) ซึ่งเหตุ แห่ง-อ. ธรรม ท. เหล่าใด เป็นสภาพมีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน (ย่อมเป็น), -ธรรม ท. เหล่านั้น (ด้วย), (ซึ่งเหตุ แห่ง-อ. ความดับใด แห่งธรรม ท. เหล่านั้น-ความดับนั้น) ด้วย, อ. พระมหาสมณะ เป็นผู้มีอันตรัสอย่างนี้เป็นปกติ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ฯ อ.ปริพาชก ฟังแล้ว ซึ่งหมวดสองแห่งบทที่หนึ่งนั่นเทียว ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล อันถึงพร้อมแล้วด้วยนัยพันหนึ่ง ฯ (อ. พระเถระ) ยังหมวดสองแห่งบท นอกนี้ ให้จบแล้ว ในกาล (แห่งปริพาชก) เป็นพระโสดาบัน ฯ อ. ปริพาชกนั้น เป็นพระโสดาบัน เป็น ครั้นเมื่อคุณวิเศษ ในเบื้องบน ไม่เป็นไปข้างหน้าอยู่ ก�ำหนดแล้ว ว่า อ.เหตุ ในเรื่องนี้ จักมี ดังนี้กล่าวแล้ว กะพระเถระ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ. ท่าน ท.) อย่ายังธรรมเทศนา ให้เจริญแล้ว ในเบื้องบน, อ. ค�ำ มีประมาณเท่านี้นั่นเทียว จงมีเถิด, อ. พระศาสดา ของเรา ท. ย่อมประทับอยู่ ในที่ไหน ดังนี้ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ (อ.พระศาสดา ย่อมประทับอยู่) ในพระเวฬุวัน ดังนี้ฯ (อ. ปริพาชก กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น อ. ท่าน ท. ขอจงไป ข้างหน้า; อ. สหาย คนหนึ่ง ของกระผม มีอยู่, อนึ่ง อ. ความนัดหมาย ซึ่งกันและกัน อันเรา ท. กระท�ำแล้ว ว่า อ. บุคคลใด ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันไม่ตายแล้ว ก่อน, อ. บุคคล นั้น จงบอก ดังนี้ อ. กระผม เปลื้องแล้ว ซึ่งปฏิญญานั้น พาเอา ซึ่งสหาย จักมา สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ตามหนทางแห่งท่าน ท. ไปแล้วนั่นเทียว ดังนี้ หมอบลงแล้ว ใกล้เท้า ท. ของพระเถระ ด้วยอันตั้งไว้เฉพาะแห่งองค์ห้า กระท�ำแล้ว ซึ่งการเวียนรอบ ๓ ครั้ง ส่งไปแล้ว ซึ่งพระเถระ ผู้มีหน้าเฉพาะต่ออารามของปริพาชก ได้ไปแล้ว ฯ อ. ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะ เห็นแล้ว ซึ่งปริพาชกนั้น ผู้มาอยู่ แต่ ไกลเทียว (คิดแล้ว) ว่า ในวันนี้ อ. สีแห่งหน้า ของสหาย ของเรา เป็นราวกะว่า (สีแห่งหน้า) ในวันอื่น ท. (ย่อมเป็น) หามิได้, อ.อมตะ เป็นคุณ อันสหายนี้ ถึงทับแล้ว จักเป็น แน่แท้ ดังนี้ ถามแล้ว ซึ่งการบรรลุซึ่งอมตะ ฯ อ.ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ แม้นั้น ปฏิญญาแล้ว ว่า แน่ะท่านผู้มีอายุ เออ อ.อมตะ(อันเรา) ถึงทับแล้ว ดังนี้ได้กล่าวแล้ว ซึ่งคาถา นั้นนั่นเทียว แก่ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะนั้น ฯ www.kalyanamitra.org
  • 90.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย85 คาถาปริโยสาเน โกลิโต โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ€หิตฺวา อาห “กุหึ กิร สมฺม อมฺหากํ สตฺถา วสตีติ. “เวฬุวเน กิร สมฺม, เอวํ โน อาจริเยน อสฺสชิตฺเถเรน กถิตนฺติ. “เตนหิ สมฺม อายาม, สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามาติ. สารีปุตฺตตฺเถโร จ นาเมส สทาปิ อาจริยปูชโก ว; ตสฺมา สหายกํ เอวมาห “สมฺม อมฺเหหิ อธิคตํ อมตํ อมฺหากํ อาจริยสฺส สฺชยปริพฺพาชกสฺสาปิ กเถสฺสาม , พุชฺฌมาโน ปฏิวิชฺฌิสฺสติ , อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต อมฺหากํ สทฺทหิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสติ, พุทฺธานํ เทสนํ สุตฺวา มคฺคผลปฏิเวธํ กริสฺสตีติ. ตโต เทฺวปิ ชนา สฺชยสฺส สนฺติกํ อคมํสุ. สฺชโย เต ทิสฺวา “ กึ ตาตา โกจิ โว อมตมคฺคเทสโก ลทฺโธติ ปุจฺฉิ. “อาม อาจริย ลทฺโธ; พุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโน, ธมฺโม อุปฺปนฺโน, สงฺโฆ อุปฺปนฺโน; ตุมฺเห ตุจฺเฉ อสาเร วิจรถ, เอถ, สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสามาติ. “คจฺฉถ ตุมฺเห, อหํ น สกฺขิสฺสามีติ. “กึการณาติ. “อหํ มหาชนสฺส อาจริโย หุตฺวา วิจรึ, ตสฺส เม อนฺเตวาสิกวาโส จาฏิยา อุทกจลนภาวุปฺปตฺติสทิโส, น สกฺขิสฺสามหํ อนฺเตวาสิกวาสํ วสิตุนฺติ. “มา เอวํ กริตฺถ อาจริยาติ. “โหตุ ตาตา, คจฺฉถ ตุมฺเห, นาหํ สกฺขิสฺสามีติ. “อาจริย โลเก พุทฺธสฺส อุปฺปนฺนกาลโต ปฏฺ€าย มหาชโน คนฺธมาลาทิหตฺโถ คนฺตฺวา ตเมว ปูเชสฺสติ, มยํปิ ตตฺเถว คมิสฺสาม, ตุมฺเห กึ กริสฺสถาติ. “ตาตา กินฺนุ โข อิมสฺมึ โลเก ทนฺธา พหู, อุทาหุ ปณฺฑิตาติ. ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งคาถา อ. ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล กล่าวแล้ว ว่า แน่ะสหาย ได้ยินว่า อ. พระศาสดา ของเรา ท. ย่อมประทับอยู่ ในที่ไหน ดังนี้ฯ (อ. ปริพาชกชื่อว่าอุปติสสะ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย ได้ยินว่า (อ. พระศาสดา ของเรา ท. ย่อมประทับอยู่) ในพระเวฬุวัน, (อ. ค�ำ) อย่างนี้ อันพระเถระชื่อว่าอัสสชิ ผู้เป็นอาจารย์ ของเรา ท. บอกแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. ปริพาชกชื่อว่าโกลิตะ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย ถ้าอย่างนั้น อ. เรา ท. จงมาเถิด, (อ. เรา ท.) จักเฝ ้ า ซึ่งพระศาสดา ดังนี้ฯ ก็ ชื่อ อ. พระเถระชื่อว่าสารีบุตร นั่น เป็นผู้บูชาซึ่งอาจารย์ เทียว (ย่อมเป็น) แม้ในกาลทุกเมื่อ; เพราะเหตุนั้น (อ.ปริพาชก ชื่อว่าอุปติสสะนั้น) กล่าวแล้ว อย่างนี้ กะสหาย ว่า แน่ะสหาย (อ. เรา ท.) จักบอก ซึ่งอมตะ อันอันเรา ท. ถึงทับแล้ว แม้แก่ปริพาชก ชื่อว่าสญชัย ผู้เป็นอาจารย์ ของเรา ท., (อ. อาจารย์) รู้อยู่ จักรู้ตลอด, เมื่อไม่รู้ตลอด เชื่อแล้ว ต่อเรา ท. จักไป สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา, ฟังแล้ว ซึ่งเทศนา ของพระพุทธเจ้า ท. จักกระท�ำ ซึ่งการรู้ตลอด ซึ่งมรรคและผล ดังนี้ฯ ในล�ำดับนั้น อ. ชน ท. แม้สอง ได้ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของปริพาชก ชื่อว่าสญชัย ฯ อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย เห็นแล้ว ซึ่งสหาย ท. ๒ เหล่านั้น ถามแล้ว ว่า ดูก่อนพ่อ ท. อ. ใคร ๆ ผู้แสดงซึ่งทาง- แห่งอมตะ อันท่าน ท. ได้แล้ว หรือ ดังนี้ฯ (อ. สหาย ท.๒ เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ ขอรับ (อ. อาจารย์ อันกระผม ท.) ได้แล้ว; อ. พระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก, อ. พระธรรม เกิดขึ้นแล้ว, อ. พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้ว; อ. ท่าน ท. ย่อมประพฤติ (ซึ่งธรรม ท.) อันไม่มีสาระ อันเปล่า, (อ. ท่าน ท.) จงมา, (อ. เรา ท.) จักไป สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ดังนี้ฯ (อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า อ. ท่าน ท. จงไป, อ. เรา จักไม่อาจ ดังนี้ฯ (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ถามแล้ว) ว่า (อ. ท่าน ท. จักไม่อาจ) เพราะเหตุอะไร ดังนี้ฯ (อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา เป็นอาจารย์ ของมหาชน เป็น เที่ยวไปแล้ว, อ. การอยู่โดยความเป็นอันเตวาสิก แห่งเรานั้น เป็นเช่นกับด้วยการเกิดขึ้นแห่งความเป็นคืออันไหวแห่งน�้ำ ในตุ่ม (ย่อมเป็น), อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันอยู่ อยู่โดยความเป็น อันเตวาสิก ดังนี้ ฯ (อ.สหาย ท. ๒ เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ.ท่านท.อย่ากระท�ำแล้วอย่างนี้ดังนี้ฯ (อ.ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. (อ. เรื่องนั้น) จงมีเถิด, อ. ท่าน ท. จงไป, อ. เรา จักไม่อาจ ดังนี้ฯ (อ.สหาย ท. ๒ เหล่านั้น กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ.มหาชน มีวัตถุมีของหอมและระเบียบเป็นต้นในมือ ไปแล้ว จักบูชา ซึ่งพระพุทธเจ้านั้น นั่นเทียว จ�ำเดิม แต่กาลแห่งพระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก, แม้ อ.เรา ท. จักไป ในที่นั้นนั่นเทียว, อ. ท่าน ท. จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี้ ฯ (อ.ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนพ่อ ท. อ. คนโง่ ท. ในโลกนี้ เป็นผู้มาก (ย่อมเป็น) หรือหนอแล, หรือว่า อ. คนฉลาด ท. (เป็นผู้มาก ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 91.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 86 “ทนฺธา อาจริย พหู,ปณฺฑิตา นาม กติปยาเอว โหนฺตีติ. “เตนหิ ตาตา ปณฺฑิตา ปณฺฑิตา สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ คมิสฺสนฺติ, ทนฺธา ทนฺธา มม สนฺติกํ อาคมิสฺสนฺติ; คจฺฉถ ตุมฺเห, นาหํ คมิสฺสามีติ. เต “ปฺายิสฺสถ ตุมฺเห อาจริยาติ ปกฺกมึสุ. เตสุ คจฺฉนฺเตสุ, สฺชยสฺส ปริสา ภิชฺชิ. ตสฺมึ ขเณ อาราโม ตุจฺโฉ อโหสิ. โส ตุจฺฉํ อารามํ ทิสฺวา อุณหํ โลหิตํ ฉฑฺเฑสิ. เตหิปิ สทฺธึ คจฺฉนฺเตสุ ปฺจสุ ปริพฺพาชกสเตสุ, สฺชยสฺส ปริสาย อฑฺฒเตยฺยสตานิ นิวตฺตึสุ. อตฺตโน อนฺเตวาสิเกหิ อฑฺฒเตยฺเยหิ ปริพฺพาชกสเตหิ สทฺธึ เวฬุวนํ อคมํสุ. สตฺถา จตุปริสมชฺเฌ นิสินฺโน ธมฺมํ เทเสนฺโต เต ทูรโต ว ทิสฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ “เอเต ภิกฺขเว เทฺว สหายกา อาคจฺฉนฺติ โกลิโต จ อุปติสฺโส จ, เอตํ เม สาวกยุคํ ภวิสฺสติ อคฺคํ ภทฺทยุคนฺติ. เต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ. เต ภควนฺตํ เอตทโวจุํ “ลเภยฺยาม มยํ ภนฺเต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ; ลเภยฺยาม อุปสมฺปทนฺติ. “เอถ ภิกฺขโวติ ภควา อโวจ, “สฺวากฺขาโต ธมฺโม,จรถ พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายาติ. สพฺเพปิ อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสติกตฺเถรา วิย อเหสุํ. อถ เนสํ ปริสาย จริยาวเสน สตฺถา ธมฺมเทสนํ วฑฺเฒสิ. €เปตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก อวเสสา อรหตฺตํ ปาปุณึสุ. อคฺคสาวกานํ ปน อุปริมคฺคกิจฺจํ น นิฏฺ€าสิ. กึการณา? สาวกปารมีาณสฺส มหนฺตตาย. (อ.สหายท.๒เหล่านั้น กล่าวแล้ว)ว่าข้าแต่อาจารย์อ.คนโง่ท. เป็นผู้มาก (ย่อมเป็น), ชื่อ อ. คนฉลาด ท. เป็นผู้เล็กน้อยนั่นเทียว (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ.ปริพาชกชื่อว่าสญชัย กล่าวแล้ว) ว่า ดูก่อนพ่อ ท. ถ้าอย่างนั้น อ. คนฉลาด ท. อ. คนฉลาด ท. จักไป สู่ส�ำนัก ของพระสมณะ ผู้โคดม, อ. คนโง่ ท. อ. คนโง่ ท. จักมา สู่ส�ำนัก ของเรา; อ. ท่าน ท. จงไป, อ. เรา จักไม่ไป ดังนี้ฯ อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. ท่าน ท. จักปรากฏ ดังนี้หลีกไปแล้ว ฯ ครั้นเมื่อสหาย ท. ๒ เหล่านั้น ไปอยู่, อ. บริษัท ของปริพาชก ชื่อว่าสญชัย แตกกันแล้ว ฯ ในขณะนั้น อ. อาราม เป็นสภาพ เปล่า ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ปริพาชกชื่อว่าสญชัย นั้น เห็นแล้ว ซึ่งอาราม อันเปล่า ส�ำรอกแล้ว ซึ่งเลือด อันร้อน ฯ ในร้อยแห่งปริพาชก ท. ๕ ผู้ไปอยู่ กับ ด้วยสหาย ท. ๒ แม้ เหล่านั้นหนา อ. ร้อยที่สามด้วยทั้งกึ่ง ท. แห่งบริษัท ของปริพาชก ชื่อว่าสญชัย กลับแล้ว ฯ (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น) ได้ไปแล้ว สู่พระเวฬุวัน กับ ด้วยร้อยแห่งปริพาชก ท. ที่สามด้วยทั้งกึ่ง ผู้เป็นอันเตวาสิก ของตน ฯ อ.พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ในท่ามกลางแห่งบริษัท ๔ เมื่อ ทรงแสดง ซึ่งธรรม ทรงเห็นแล้ว ซึ่งสหาย ท. ๒ เหล่านั้น แต่ที่ไกลเทียว ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งภิกษุ ท. (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั่น คือ อ. โกลิตะ ด้วย คือ อ. อุปติสสะ ด้วย ย่อมมา, (อ. คู่แห่งสหาย) นั่น เป็นคู่แห่งสาวก เป็นคู่อันเลิศ เป็นคู่อันเจริญ ของเรา จักเป็น ดังนี้ฯ อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั้น ได้กราบทูลแล้ว ซึ่งค�ำนั่น กะพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ท. พึงได้ ซึ่งการบวช ในส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า; (อ.ข้าพระองค์ ท.) พึงได้ ซึ่งการอุปสมบท (ในส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า) ดังนี้ ฯ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสแล้ว ว่า (อ. ท่าน ท.) เป็นภิกษุ (เป็น) จงมา ดังนี้, (ตรัสแล้ว) ว่า อ. ธรรม อันเรา กล่าวดีแล้ว, อ.ท่าน ท. จงประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ เพื่ออันกระท�ำซึ่งที่สุด แห่งทุกข์ โดยชอบ ดังนี้ฯ อ. ชน ท. แม้ทั้งปวง เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบาตรและจีวรอันส�ำเร็จแล้ว ด้วยฤทธิ์ เป็นราวกะว่าพระเถระผู้ประกอบแล้วด้วยร้อยแห่งกาลฝน ได้เป็นแล้ว ฯ ครั้งนั้น อ. พระศาสดา ทรงยังธรรมเทศนา ให้เจริญแล้ว ด้วยอ�ำนาจแห่งความประพฤติ แห่งบริษัท ของสหาย ท. ๒ เหล่านั้น ฯ อ. ปริพาชก ท. ผู้เหลือลง เว้น ซึ่งพระอัครสาวก ท. สอง บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ฯ ก็ อ. กิจด้วยมรรคในเบื้องบน ของพระอัครสาวก ท. ไม่ส�ำเร็จแล้วฯ (อ.อันถาม) ว่า (อ.กิจด้วยมรรคในเบื้องบน ของพระอัครสาวก ท. ไม่ส�ำเร็จแล้ว) เพราะเหตุอะไร ? (ดังนี้) (อ. อันแก้) ว่า (อ. กิจ ด้วยมรรคในเบื้องบน ของพระอัครสาวก ท. ไม่ส�ำเร็จแล้ว) เพราะความที่ แห่งสาวกบารมีญาณ เป็นคุณใหญ่ (ดังนี้) ฯ www.kalyanamitra.org
  • 92.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย87 อถายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปพฺพชิตทิวสโต สตฺตเม ทิวเส มคธรฏฺเ€ กลฺลวาลคามกํ อุปนิสฺสาย วิหรนฺโต, ถีนมิทฺเธ โอกฺกมนฺเต, สตฺถารา สํเวชิโต ถีนมิทฺธํ วิโนเทตฺวา ตถาคเตน ทินฺนํ ธาตุกมฺมฏฺ€านํ สุณนฺโตว อุปริมคฺคตฺตยกิจฺจํ นิฏฺ€าเปตฺวา สาวกปารมีาณสฺส มตฺถกํ ปตฺโต, สารีปุตฺตตฺเถโรปิ ปพฺพชิตทิวสโต อฑฺฒมาสํ อติกฺกมิตฺวา สตฺถารา สทฺธึ ตเมว ราชคหํ อุปนิสฺสาย สูกรขาตเลเณ วิหรนฺโต, อตฺตโน ภาคิเนยฺยสฺส ทีฆนขปริพฺพาชกสฺส เวทนาปริคฺคห- สุตฺตนฺเต เทสิยมาเน, สุตฺตานุสาเรน าณํ เปเสตฺวา ปรสฺส วฑฺฒิตํ ภตฺตํ ภุฺชนฺโต วิย สาวกปารมีาณสฺส มตฺถกํ ปตฺโต. “นนุ จายสฺมา มหาปฺโ, อถ กสฺมา มหาโมคฺคลฺลานโต จิรตเรน สาวกปารมีาณํ ปาปุณีติ. ปริกมฺมมหนฺตตาย. ยถา หิ ทุคฺคตมนุสฺสา กตฺถจิ คนฺตุกามา ขิปฺปเมว นิกฺขมนฺติ, ราชูนํ ปน หตฺถิวาหนกปฺปนาทึ มหนฺตํ ปริกมฺมํ ลทฺธุํ วฏฺฏติ; เอวํ สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํ. ตํทิวสเมว ปน สตฺถา วฑฺฒมานกจฺฉายาย เวฬุวเน สาวกสนฺนิปาตํ กตฺวา ทฺวินฺนํ เถรานํ อคฺคสาวกฏฺ€านํ ทตฺวา ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสิ. ภิกฺขู อุชฺฌายึสุ “สตฺถา มุโขโลกเนน ภิกฺขูนํ เทติ, อคฺคสาวกฏฺ€านํ เทนฺเตน นาม ป€มํ ปพฺพชิตานํ ปฺจวคฺคิยานํ ทาตุํ วฏฺฏติ, เอเต อโนโลเกนฺเตน ยสตฺเถรปฺปมุขานํ ปฺจปฺาสาย ภิกฺขูนํ ทาตุํ วฏฺฏติ , เอเต อโนโลเกนฺเตน ภทฺทวคฺคิยานํ, เอเต อโนโลเกนฺเตน อุรุเวลกสฺสปาทีนํ เตภาติกานํ; ครั้งนั้น อ.พระมหาโมคคัลลานะ ผู้มีอายุ เข้าไปอาศัย ซึ่งบ้านชื่อว่ากัลลวาล ในแว่นแคว้นชื่อว่ามคธ อยู่อยู่ ในวันที่เจ็ด แต่วันแห่งตนบวชแล้ว, ครั้นเมื่อความท้อแท้และความง่วง ครอบง�ำอยู่, ผู้อันพระศาสดาทรงให้สลดแล้ว บรรเทาแล้ว ซึ่งความท้อแท้และความง่วง ฟังอยู่ ซึ่งกัมมัฏฐานมีธาตุเป็นอารมณ์ อันอันพระตถาคตเจ้าประทานแล้วเทียว ยังกิจในหมวดสามแห่งมรรค ในเบื้องบน ให้ส�ำเร็จแล้ว ถึงแล้ว ซึ่งที่สุด แห่งสาวกบารมีญาณ, แม้ อ. พระเถระชื่อว่าสารีบุตร เข้าไปอาศัย ซึ่งเมืองชื่อว่า ราชคฤห์ นั้นนั่นเทียว อยู่อยู่ ในถ�้ำชื่อว่าสุกรขาตา กับ ด้วยพระศาสดา ก้าวล่วง ซึ่งเดือนด้วยทั้งกึ่ง แต่วันแห่งตนบวชแล้ว, ครั้นเมื่อ เวทนาปริคคหสูตร (อันพระศาสดา) ทรงแสดงอยู่ แก่ปริพาชก ชื่อว่าทีฆนขะ ผู้เป็นหลาน ของตน, ส่งไปแล้ว ซึ่งญาณ ตามแนวแห่งพระสูตร ถึงแล้ว ซึ่งที่สุด แห่งสาวกบารมีญาณ ราวกะ (อ. บุคคล) ผู้บริโภคอยู่ ซึ่งข้าวสวย อันอันบุคคลให้เจริญแล้ว แก่บุคคลอื่น ฯ (อ.อันถาม)ว่าก็(อ.พระสารีบุตร)ผู้มีอายุเป็นผู้มีปัญญามาก (ย่อมเป็น) มิใช่หรือ, ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น (มีอยู่) (อ. พระสารีบุตร) ถึงแล้ว ซึ่งสาวกบารมีญาณ โดยกาลนานกว่า กว่าพระมหาโมคคัลลานะ เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ (อ. อันแก้) ว่า (อ. พระสารีบุตร ถึงแล้ว ซึ่งสาวกบารมีญาณ โดยกาลนานกว่า กว่าพระมหาโมคคัลลานะ) เพราะความที่ แห่งตนเป็นผู้มีบริกรรมใหญ่ (ดังนี้) ฯ เหมือนอย่างว่า อ.มนุษย์ผู้ถึงแล้ว ซึ่งยาก ท. ผู้ใคร่เพื่ออันไป ในที่ไหน ๆ ย่อมออกไป พลันนั่นเทียว, ส่วนว่า อ. อัน อันพระราชา ท. ทรงได้ ซึ่งบริกรรมใหญ่ มีความส�ำเร็จแห่งพาหนะคือช้างเป็นต้น ย่อมควร ฉันใด ; อ. ค�ำเป็นเครื่องยังอุปไมยให้ถึงพร้อม นี้ (อันบัณฑิต) พึงทราบ ฉันนั้น ฯ ก็ ในวันนั้นนั่นเทียว อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการประชุมแห่งสาวก ในพระเวฬุวัน ในเวลามีเงาอันเจริญอยู่ ประทานแล้ว ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก แก่พระเถระ ท. สอง ทรงสวดแล้ว ซึ่งพระปาฏิโมกข์ ฯ อ.ภิกษุท.ยกโทษแล้วกล่าวแล้วว่าอ.พระศาสดาย่อมประทาน แก่ภิกษุ ท. ด้วยการทรงแลดูซึ่งหน้า, อ. อัน (อันพระศาสดา) ชื่อผู้เมื่อประทาน ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก ประทาน (แก่ภิกษุ ท.) ผู้นับเนื่องแล้วในพวกห้า ผู้บวชแล้ว ก่อน ย่อมควร, อ. อัน (อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึ่งภิกษุ ท.) เหล่านั่น ประทาน แก่ภิกษุ ท. ๕๕ มีพระเถระชื่อว่ายสะเป็นประมุข ย่อมควร, (อ. อัน อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึ่งภิกษุ ท.) เหล่านั่น (ประทาน แก่ภิกษุ ท.) ผู้นับเนื่องแล้วในพวกอันเจริญ (ย่อมควร), (อ. อัน อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึ่งภิกษุ ท.) เหล่านั่น (ประทาน) (แก่ภิกษุ ท.) ผู้พี่น้องชาย ๓ รูป มีพระอุรุเวลากัสสปะเป็นต้น (ย่อมควร); www.kalyanamitra.org
  • 93.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 88 เอเต ปน เอตฺตเก ปหาย สพฺพปจฺฉา ปพฺพชิตานํ อคฺคสาวกฏฺ€านํ เทนฺเตน มุขํ โอโลเกตฺวา ทินฺนนฺติ วทึสุ. สตฺถา “กึ กเถถ ภิกฺขเวติปุจฺฉิตฺวา, “ อิทํ นามาติ วุตฺเต, “นาหํ ภิกฺขเว มุขํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขูนํ เทมิ, เอเตสํ ปน อตฺตนา อตฺตนา ปตฺถิตปตฺถิตเมว เทมิ; อฺาโกณฺฑฺโ หิ เอกสฺมึ สสฺเส นว อคฺคสสฺสทานานิ เทนฺโต น อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถตฺวา อทาสิ, อคฺคธมฺมํ ปน อรหตฺตํ สพฺพป€มํ ปฏิวิชฺฌิตุํ ปตฺเถตฺวา อทาสีติ. “กทา ภควาติ. “สุณิสฺสถ ภิกฺขเวติ. “อาม ภนฺเตติ. “ภิกฺขเว อิโต เอกนวุติกปฺเป วิปสฺสี ภควา โลเก อุทปาทิ. ตทา “มหากาโล จุลฺลกาโลติ เทฺว ภาติกา กุฏุมฺพิกา มหนฺตํ สาลิกฺเขตฺตํ วปาเปสุํ. อเถกทิวสํ จุลฺลกาโล สาลิกฺเขตฺตํ คนฺตฺวา เอกํ สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา ขาทิ. อติมธุรํ อโหสิ. โส พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส สาลิคพฺภทานํ ทาตุกาโม หุตฺวา เชฏฺ€ภาติกํ อุปสงฺกมิตฺวา “ภาติก สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา พุทฺธานํ อนุจฺฉวิกํ กตฺวา ปจาเปตฺวา ทานํ เทมาติ อาห. “กึ วเทสิ, สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา ทานํ นาม เนว อตีเต ภูตปุพฺพํ, นานาคเต ภวิสฺสติ, มา สสฺสํ นาสยีติ. โส ปุนปฺปุนํ ยาจิเยว. อถ นํ ภาตา “เตนหิ เขตฺตํ เทฺว โกฏฺ€าเส กตฺวา มม โกฏฺ€าสํ อนามสิตฺวา อตฺตโน เขตฺตโกฏฺ€าเส, ยํ อิจฺฉสิ, ตํ กโรหีติ อาห. โส “สาธูติ เขตฺตํ วิภชิตฺวา พหู มนุสฺเส หตฺถกมฺมํ ยาจิตฺวา สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา แต่ว่า (อ. ต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก) (อันพระศาสดา) ผู้เมื่อ ทรงละแล้ว (ซึ่งภิกษุ ท.) เหล่านั่น มีประมาณเท่านี้ ประทาน ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก (แก่ภิกษุ ท.) ผู้บวชแล้วในภายหลัง แห่งภิกษุทั้งปวง ประทานแล้ว เพราะทรงแลดู ซึ่งหน้า ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.) ย่อมกล่าว (ซึ่งเรื่อง) อะไร ดังนี้, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า (อ. ข้าพระองค์ ท. ย่อมกล่าว ซึ่งเรื่อง) ชื่อนี้ดังนี้(อันภิกษุ ท. เหล่านั้น) กราบทูลแล้ว, (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เรา ย่อมให้ แก่ภิกษุ ท. เพราะแลดู ซึ่งหน้า หามิได้, แต่ว่า (อ. เรา) ย่อมให้ ( ซึ่งต�ำแหน่ง) อันตน ๆ ปรารถนาแล้วและปรารถนาแล้วนั่นเทียว แก่ภิกษุ ท. เหล่านั่น; ก็ อ. อัญญาโกณฑัญญะ เมื่อถวาย ซึ่งทานในเพราะข้าวกล้า อันเลิศ ท. ๙ ในเพราะข้าวกล้า ครั้งหนึ่ง ปรารถนาแล้ว ซึ่งต�ำแหน่งแห่งอัครสาวก ได้ถวายแล้ว หามิได้ , แต่ว่า (อ.อัญญาโกณฑัญญะ) ปรารถนาแล้ว เพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งพระอรหัต อันเป็นธรรมอันเลิศ ก่อนกว่าชนทั้งปวง ได้ถวายแล้ว ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า (อ. พระอัญญาโกณฑัญญะ ปรารถนาแล้ว เพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งพระอรหัต อันเป็นธรรมอันเลิศ ก่อนกว่าชนทั้งปวง ได้ถวายแล้ว) ในกาลไร ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.) จักฟังหรือ ดังนี้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ พระเจ้าข้า (อ. ข้าพระองค์ ท. จักฟัง) ดังนี้ ฯ (อ.พระศาสดา ทรงน�ำมาแล้ว ซึ่งเรื่องอันล่วงไปแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก ในกัปป ์ ๙๑ แต่ภัททกัปป ์ นี้ฯ ในกาลนั้น อ. กุฎุมพี ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๒ คน คือ อ. มหากาล อ. จุลกาล (ยังบุคคล) ให้หว่านแล้ว ซึ่งนาแห่งข้าวสาลี ใหญ่ ฯ ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. จุลกาล ไปแล้ว สู่นาแห่งข้าวสาลี ฉีกแล้ว ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลีหนึ่ง เคี้ยวกินแล้ว ฯ (อ. อาหารวัตถุนั้น) เป็นของมีรสอันอร่อยยิ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ อ.จุลกาลนั้น เป็นผู้ใคร่เพื่ออันถวาย ถวายซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี แก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็น เข้าไปหาแล้ว ซึ่งพี่ชายผู้เจริญที่สุด กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่พี่ (อ. เรา ท.) ฉีกแล้ว ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี (ยังบุคคล) ให้ต้มแล้ว กระท�ำ ให้เป็นของสมควร แก่พระพุทธเจ้า ท. จะถวาย ซึ่งทาน ดังนี้ฯ อ. พี่ชายผู้เจริญที่สุด กล่าวแล้ว ว่า (อ. ท่าน) กล่าวแล้ว (ซึ่งค�ำ) อะไร, ชื่อ อ. การ ฉีกแล้ว ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี ถวาย เป็นของไม่เคยมีแล้ว ในกาลอันล่วงไปแล้วนั่นเทียว (ย่อมเป็น), จักไม่มี ในกาลอันไม่มาแล้ว , (อ. ท่าน) อย่ายังข้าวกล้า ให้ฉิบหายแล้ว ดังนี้ ฯ อ.จุลกาลนั้น อ้อนวอนแล้ว บ่อย ๆ นั่นเทียว ฯ ครั้งนั้น อ. พี่ชาย กล่าวแล้ว กะจุลกาลนั้น ว่า ถ้าอย่างนั้น อ.เจ้า กระท�ำแล้ว ซึ่งนา ให้เป็นส่วนสอง ไม่แตะต้องแล้ว ซึ่งส่วนของเรา, (อ. เจ้า) ย่อมปรารถนา ซึ่งกรรมใด, จงกระท�ำ ซึ่งกรรมนั้น ในส่วนแห่งนา ของตน ดังนี้ ฯ อ. จุลกาลนั้น (รับพร้อมแล้ว) ว่า อ. ดีละ ดังนี้ แบ่งแล้ว ซึ่งนา ขอแล้ว ซึ่งหัตถกรรม กะมนุษย์ ท. มาก ฉีกแล้ว ซึ่งท้องแห่งข้าวสาลี www.kalyanamitra.org
  • 94.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย89 นิรุทเก ขีเร ปจาเปตฺวา สปฺปิมธุสกฺขราหิ โยเชตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน “อิทํ ภนฺเต มม อคฺคทานํ อคฺคธมฺมสฺส สพฺพป€มํ ปฏิเวธาย สํวตฺตตูติ อาห. สตฺถา “เอวํ โหตูติ อนุโมทนํ อกาสิ. โส เขตฺตํ คนฺตฺวา โอโลเกนฺโต สกลเขตฺเต กณฺณิกาพทฺเธหิ วิย สาลิสีเสหิ สฺฉนฺนํ ทิสฺวา ปฺจวิธํ ปีตึ ปฏิลภิตฺวา “ลาภา วต เมติ จินฺเตตฺวา ปุถุกกาเล ปุถุกคฺคํ นาม อทาสิ, คามวาสีหิ สทฺธึ อคฺคสสฺสทานํ นาม อทาสิ; ลายเน ลายนคฺคํ, เวณิกรเณ เวณิคฺคํ, กลาปาทีสุ กลาปคฺคํ ขลคฺคํ ภณฺฑคฺคํ โกฏฺ€คฺคนฺติ เอวํ เอกสสฺเส นว วาเร อคฺคทานํ อทาสิ. ตสฺส สพฺเพสุ วาเรสุ คหิตคหิตฏฺ€านํ ปริปูริ. สสฺสํ อติเรกํ อุฏฺ€านสมฺปนฺนํ อโหสิ. ธมฺโม นาเมส อตฺตานํ รกฺขนฺตํ รกฺขติ. ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารีติ. เอวเมว วิปสฺสิสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล อคฺคธมฺมํ ป€มํ ปฏิวิชฺฌิตุํ ปตฺเถนฺโต นว อคฺคทานานิ อทาสิ. อิโต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก ปน หํสวตีนคเร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเลปิ สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ตสฺส ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา อคฺคธมฺมสฺส ป€มํ ปฏิวิชฺฌนตฺถเมว ปตฺถนํ €เปสิ. ยังบุคคลให้ต้มแล้ว ในน�้ำนม อันไม่มีน�ำ้ ปรุงแล้วด้วยเนยใสและ น�้ำผึ้งและน�้ำตาลกรวด ท. ถวายแล้ว ซึ่งทาน แก่หมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ทานอันเลิศ ของข้าพระองค์ นี้ จงเป็นไปพร้อมเพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งธรรมอันเลิศ ก่อนกว่าชนทั้งปวง ดังนี้ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบ แห่งกิจด้วยภัตร ฯ อ.พระศาสดา ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งอนุโมทนา ว่า (อ. ความปรารถนาอันอันท่านปรารถนาแล้ว) อย่างนี้ จงมีเถิด ดังนี้ฯ อ.จุลกาลนั้น ไปแล้ว สู่นา แลดูอยู่ เห็นแล้ว (ซึ่งนา) อันดาดาษแล้ว ด้วยรวงแห่งข้าวสาลี ท. อันราวกะว่าเนื่องกันแล้วโดยความเป็นช่อ ในนาทั้งสิ้น ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งปีติ มีอย่าง ๕ คิดแล้ว ว่า อ. ลาภ ท. หนอ ของเรา ดังนี้ ได้ถวายแล้ว ชื่อซึ่งทานอันเลิศในเพราะข้าวเม่า ในกาลแห่งข้าวเม่า, ได้ถวายแล้ว ชื่อซึ่งทานในเพราะข้าวกล้าอันเลิศ กับ ด้วยชน ท. ผู้อยู่ในบ้านโดยปกติ; (ได้ถวายแล้ว) ซึ่งทาน อันเลิศในการเกี่ยว ในกาลเป็นที่เกี่ยว, (ได้ถวายแล้ว) ซึ่งทาน อันเลิศในการกระท�ำซึ่งขะเน็ด ในกาลเป็นที่กระท�ำซึ่งขะเน็ด, (ได้ถวายแล้ว) (ซึ่งทาน) อันเลิศในฟ่อน (ซึ่งทาน) อันเลิศในลาน (ซึ่งทาน) อันเลิศในลอม (ซึ่งทาน) อันเลิศในฉาง ในกาล ท. มีกาลเป็นที่กระท�ำซึ่งฟ่อนเป็นต้น ได้ถวายแล้ว ซึ่งทานอันเลิศ สิ้นวาระ ท. ๙ ในเพราะข้าวกล้า ครั้งหนึ่ง อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ฯ อ. ที่ (แห่งข้าวกล้า) อันจุลกาลนั้นถือเอาแล้วและถือเอาแล้ว ในวาระ ท. ทั้งปวง เต็มรอบแล้ว ฯ อ. ข้าวกล้า เป็นข้าวเหลือเฟือ เป็นข้าวถึงพร้อมแล้วด้วยอันตั้งขึ้น ได้เป็นแล้ว ฯ ชื่อ อ. ธรรม นั่น ย่อมรักษา (ซึ่งบุคคล) ผู้รักษาอยู่ ซึ่งตน ฯ (เพราะเหตุนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ว่า) อ. ธรรมแล ย่อมรักษา ซึ่งบุคคลผู้ประพฤติซึ่งธรรมโดยปกติ อ. ธรรม อันบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมน�ำมา ซึ่งความสุข อ. อานิสงส์ นั่น เป็นอานิสงส์ ในธรรม อันบุคคลประพฤติดีแล้ว (ย่อมเป็น) อ.บุคคลผู้ประพฤติซึ่งธรรมโดยปกติ ย่อมไม่ไป สู่ทุคติ ดังนี้ ฯ (อ. อัญญาโกณฑัญญะ)ปรารถนาอยู่เพื่ออันรู้ตลอดซึ่งธรรม อันเลิศ ก่อน ได้ถวายแล้วซึ่งทานอันเลิศ ท. เก้า ในกาล แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี อย่างนี้นั่นเทียว ฯ อนึ่ง (อ. อัญญาโกณฑัญญะ) ถวายแล้ว ซึ่งทานใหญ่ สิ้นวันเจ็ด หมอบลงแล้ว ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้า นั้น ตั้งไว้แล้ว ซึ่งความปรารถนา เพื่ออันรู้ตลอด ซึ่งธรรมอันเลิศ ก่อนนั่นเทียว แม้ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ในเมืองชื่อว่าหงสวดี ในที่สุดแห่งกัปป ์ แสนหนึ่ง แต่ภัททกัปป ์ นี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 95.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 90 อิติ อิมินา ปตฺถิตเมว มยา ทินฺนํ, นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา เทมีติ. “ยสกุลปุตฺตปฺปมุขา ปฺจปฺาส ชนา กึ กมฺมํ กรึสุ ภนฺเตติ. “เอเตปิ เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก อรหตฺตํ ปตฺเถนฺตา พหุํ ปุฺกมฺมํ กตฺวา, อปรภาเค อนุปฺปนฺเน พุทฺเธ, สหายกา หุตฺวา วคฺคพนฺเธน ปุฺานิ กโรนฺตา อนาถสรีรานิ ปฏิชคฺคนฺตา วิจรึสุ. เต เอกทิวสํ สคพฺภํ อิตฺถึ กาลกตํ ทิสฺวา “ฌาเปสฺสามาติ สุสานํ หรึสุ. เตสุ ปฺจ ชเน “ตุมฺเห ฌาเปถาติ สุสาเน €เปตฺวา เสสา คามํ ปวิฏฺ€า. ยสทารโก ตํ สรีรํ สูเลหิ วิชฺฌิตฺวา ปริวตฺเตตฺวา ปริวตฺเตตฺวา ฌาเปนฺโต อสุภสฺํ ปฏิลภิ. อิตเรสํปิ จตุนฺนํ ชนานํ “ปสฺสถ โภ อิมํ สรีรํ ตตฺถ ตตฺถ วิทฺธสฺตจมฺมํ กพรโครูปํ วิย อสุจึ ทุคฺคนฺธํ ปฏิกูลนฺติ ทสฺเสสิ. เตปิ ตตฺถ อสุภสฺํ ปฏิลภึสุ. เต ปฺจ ชนา คามํ คนฺตฺวา เสสสหายกานํ กถยึสุ. ยโส ปน ทารโก เคหํ คนฺตฺวา มาตาปิตูนฺจ ภริยาย จ กเถสิ. เต สพฺเพปิ อสุภํ ภาวยึสุ. อิทเมเตสํ ปุพฺพกมฺมํ. เตเนว ยสสฺส อิตฺถาคาเร สุสานสฺา อุปฺปชฺชิ. ตาย จ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติยา สพฺเพสํ วิเสสาธิคโม นิพฺพตฺติ. เอวํ อิเม อตฺตนา ปตฺถิตเมว ลภึสุ. นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ทมฺมีติ. “ภทฺทวคฺคิยา สหายกา ปน กึ กรึสุ ภนฺเตติ. “เอเตปิ ภิกฺขเว ปุพฺพพุทฺธานํ สนฺติเก อรหตฺตํ ปตฺเถตฺวา ปุฺานิ กตฺวา, (อ. ต�ำแหน่ง) อันอัญญาโกณฑัญญะนี้ปรารถนาแล้วนั่นเทียว อันเรา ให้แล้ว ด้วยประการฉะนี้, อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดู ซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ฯ *จบ ก. ๑๗* (อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ชน ท. ห้าสิบห้า มีกุลบุตรชื่อว่ายสะเป็นประมุข กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม อะไร ดังนี้ฯ (อ.พระศาสดาตรัสแล้ว)ว่าอ.ชนท.แม้เหล่านั่นปรารถนาอยู่ ซึ่งพระอรหัต ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมคือบุญ มาก, ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ไม่เสด็จอุบัติแล้ว, เป็นสหายกัน เป็น กระท�ำอยู่ ซึ่งบุญ ท. ด้วยการผูกกันเป็นพวก เที่ยวปฏิบัติอยู่แล้ว ซึ่งสรีระอันไม่มีที่พึ่ง ท. ฯ ในวันหนึ่ง อ. ชน ท. เหล่านั้น เห็นแล้ว ซึ่งหญิง ผู้เป็นไป กับด้วยครรภ์ ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว (ปรึกษากันแล้ว) ว่า (อ. เรา ท. ยังสรีระ) จักให้ไหม้ ดังนี้น�ำไปแล้ว สู่ป่าช้า ฯ ในชน ท. เหล่านั้นหนา อ. ชน ท. ผู้เหลือ เว้น ซึ่งชน ท. ๕ ในป่าช้า (ด้วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน ท. (ยังสรีระ) จงให้ไหม้ ดังนี้ เข้าไปแล้ว สู่บ้าน ฯ อ. ทารกชื่อว่ายสะ แทงแล้ว ซึ่งสรีระนั้น ด้วยหลาว ท. (ยังสรีระ) ให้เป็นไปรอบแล้วๆ ให้ไหม้อยู่ ได้เฉพาะแล้ว ซึ่งอสุภสัญญา ฯ (อ. ยสะ) แสดงแล้ว แก่ชน ท. ๔ แม้เหล่านอกนี้(ด้วยค�ำ) ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท. (อ. ท่าน ท. ) จงเห็น ซึ่งสรีระ นี้มีหนังอันไฟ ขจัดแล้ว ในที่นั้น ๆ ราวกะว่าแม่โคด่าง อันไม่สะอาด มีกลิ่นชั่ว อันสกปรก ดังนี้ ฯ อ.ชนท.แม้เหล่านั้นได้เฉพาะแล้วซึ่งอสุภสัญญาในสรีระนั้น ฯ อ.ชน ท. ห้า เหล่านั้น ไปแล้ว สู่บ้าน บอกแล้ว แก่สหายผู้เหลือ ท. ฯ ส่วนว่า อ.ทารก ชื่อว่ายสะ ไปแล้ว สู่เรือน บอกแล้ว แก่มารดาและบิดา ท. ด้วย แก่ภรรยา ด้วย ฯ อ.ชนท.เหล่านั้นแม้ทั้งปวง ยังอสุภกรรมฐานให้เจริญแล้วฯ อ.กรรมนี้ เป็นกรรมในกาลก่อน ของชน ท. เหล่านั่น (ย่อมเป็น) ฯ เพราะเหตุนั้นนั่นเทียว อ.ความส�ำคัญว่าป่าช้า ในเรือน อันเต็มแล้วด้วยหญิง เกิดขึ้นแล้ว แก่ยสะ ฯ ก็ อ. การถึงทับซึ่งคุณวิเศษ บังเกิดแล้ว แก่ชน ท. ทั้งปวง เพราะความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัย นั้น ฯ อ. ชน ท. เหล่านี้ได้แล้ว (ซึ่งต�ำแหน่ง) อันอันตนปรารถนาแล้ว นั่นเทียว อย่างนี้ ฯ อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดูซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ ฯ (อ.ภิกษุท.ทูลถามแล้ว)ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็ อ.สหาย ท. ผู้นับเนื่องแล้วในพวกอันเจริญ กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอะไร ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สหาย ท. แม้เหล่านั่น ปรารถนาแล้ว ซึ่งพระอรหัต ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้า ในกาลก่อน ท. กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญ ท., www.kalyanamitra.org
  • 96.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย91 อปรภาเค อนุปฺปนฺเน พุทฺเธ, ตึสธุตฺตา หุตฺวา ตุณฺฑิโลวาทํ สุตฺวา สฏฺ€ิวสฺสสหสฺสานิ ปฺจ สีลานิ รกฺขึสุ. เอวํ อิเมปิ อตฺตนา ปตฺถิตปตฺถิตเมว ลภึสุ, นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขูนํ ทมฺมีติ. “อุรุเวลกสฺสปาทโย ปน ภนฺเต กึ กรึสูติ. “อรหตฺตเมว ปตฺเถตฺวา ปุฺานิ กรึสุ. อิโต หิ เทฺวนวุติกปฺเป `ติสฺโส ผุสฺโสติ เทฺว พุทฺธา อุปฺปชฺชึสุ. ผุสฺสพุทฺธสฺส มหินฺโท นาม ราชา ปิตา อโหสิ. ตสฺมึ ปน สมฺโพธึ ปตฺเต, รฺโ กนิฏฺ€ปุตฺโต อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุตฺโต ทุติยสาวโก อโหสิ. ราชา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา “เชฏฺ€ปุตฺโต เม พุทฺโธ, กนิฏฺ€ปุตฺโต อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุตฺโต ทุติยสาวโกติ เต โอโลเกตฺวา “มเมว พุทฺโธ, มเมว ธมฺโม, มเมว สงฺโฆ; นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสาติ ติกฺขตฺตุํ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา “ภนฺเต อิทานิ เม นวุติวสฺสสหสฺสปริมาณสฺส อายุโน โกฏิยํ นิสีทิตฺวา นิทฺทายนกาโล วิย, อฺเสํ เคหทฺวารํ อคนฺตฺวา, ยาวาหํ ชีวามิ, ตาว เม จตฺตาโร ปจฺจเย อธิวาเสถาติ ปฏิฺํ คเหตฺวา นิพทฺธํ พุทฺธุปฏฺ€านํ กโรติ. รฺโ ปน อปเรปิ ตโย ปุตฺตา อเหสุํ. เตสุ เชฏฺ€สฺส ปฺจ โยธสตานิ ปริวาโร, มชฺฌิมสฺส ตีณิ, กนิฏฺ€สฺส เทฺว. เต “มยมฺปิ ภาติกํ โภเชสฺสามาติ ปิตรํ โอกาสํ ยาจิตฺวา ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ไม่เสด็จอุบัติแล้ว, เป็นนักเลง ๓๐ คน เป็น ฟังแล้ว ซึ่งโอวาทแห่งสุกรผู้เป็นบัณฑิต ชื่อว่าตุณฑิละ รักษาแล้ว ซึ่งศีล ท. ๕ สิ้นพันแห่งปี ๖๐ ท. ฯ (อ. สหาย ท.)แม้เหล่านี้ ได้แล้ว ซึ่งต�ำแหน่ง อันอันตน ปรารถนาแล้วและปรารถนาแล้ว นั่นเทียว อย่างนี้, อ. เรา ย่อมให้ แก่ภิกษุ ท. เพราะแลดู ซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ฯ (อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ (อ. ภิกษุ ท.)มีพระอุรุเวลากัสสปะเป็นต้น กระท�ำแล้ว (ซึ่งกรรม) อะไร ดังนี้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว)ว่า(อ.ภิกษุท.เหล่านั้น)ปรารถนาแล้ว ซึ่งพระอรหัตนั่นเทียว กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญ ท. ฯ ดังจะกล่าวโดยย่อ อ. พระพุทธเจ้า ท. สอง คือ อ.พระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ อ.พระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ เสด็จอุบัติแล้ว ในกัปป ์ ๙๒ แต่ภัททกัปป ์ นี้ ฯ อ.พระราชาพระนามว่ามหินท์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะ ได้เป็นแล้ว ฯ ก็ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้านั้น ทรงบรรลุแล้ว ซึ่งพระญาณ เป็นเครื่องตรัสรู้พร้อม, อ. พระโอรสผู้น้อยที่สุด ของพระราชา เป็นสาวกผู้เลิศ (ได้เป็นแล้ว), อ. บุตรของปุโรหิต เป็นสาวกที่สอง ได้เป็นแล้ว ฯ อ. พระราชา เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ซึ่งชน ท. เหล่านั้น (ด้วยอันทรงด�ำริ) ว่า อ. บุตรผู้เจริญที่สุด ของเรา เป็นพระพุทธเจ้า (ได้เป็นแล้ว), อ. บุตรผู้น้อยที่สุด เป็นสาวกผู้เลิศ (ได้เป็นแล้ว), อ. บุตรของปุโรหิต เป็นสาวกที่สอง (ได้เป็นแล้ว) ดังนี้ ทรงเปล่งแล้ว ซึ่งอุทาน ๓ ครั้ง ว่า อ. พระพุทธเจ้า ของเรานั่นเทียว, อ.พระธรรม ของเรานั่นเทียว, อ. พระสงฆ์ ของเรา นั่นเทียว; อ.ความนอบน้อม (จงมี) แก่พระผู้มีภาคเจ้า พระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบแล้ว ดังนี้ ทรงหมอบลงแล้ว ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระศาสดา ทรงรับแล้ว ซึ่งปฏิญญา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. กาลนี้ เป็นราวกะว่ากาลเป็นที่นั่ง- ประพฤติหลับ ในที่สุด แห่งอายุ มีพันแห่งปีเก้าสิบเป็นประมาณ ของหม่อมฉัน (ย่อมเป็น), (อ. พระองค์) ไม่เสด็จไปแล้ว สู่ประตู แห่งเรือน ของชน ท. เหล่าอื่น, อ. หม่อมฉัน ย่อมเป็นอยู่ เพียงใด, ทรงยังปัจจัย ท. สี่ ของหม่อมฉัน จงให้อยู่ทับ เพียงนั้น ดังนี้ ย่อมทรงกระท�ำ ซึ่งการบ�ำรุงซึ่งพระพุทธเจ้า เนืองนิตย์ ฯ ก็ อ. พระโอรส ท. สาม แม้เหล่าอื่นอีก ของพระราชา ได้มีแล้ว ฯ ในพระโอรส ท. ๓ เหล่านั้นหนา อ. ร้อยแห่งทหาร ท. ๕ เป็นบริวาร ของพระโอรสผู้เจริญที่สุด (ได้เป็นแล้ว),( อ. ร้อยแห่งทหาร ท.) ๓ (เป็นบริวาร) ของพระโอรสผู้มีในท่ามกลาง (ได้เป็นแล้ว), (อ. ร้อยแห่งทหาร ท.) ๒ (เป็นบริวาร) ของพระโอรสผู้น้อยที่สุด (ได้เป็นแล้ว) ฯ อ. พระโอรส ท. ๓ เหล่านั้น (ทรงปรึกษากันแล้ว) ว่า แม้ อ. เรา ท. ยังพระเจ้าพี่ จักให้เสวย ดังนี้ ทรงขอแล้ว ซึ่งโอกาส กะพระบิดา www.kalyanamitra.org
  • 97.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 92 ปุนปฺปุนํ ยาจนฺตาปิ อลภิตฺวา, ปจฺจนฺเต กุปิเต, ตสฺส วูปสมนตฺถาย เปสิตา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา ปิตุ สนฺติกํ อาคมึสุ. อถ เน ปิตา อาลิงฺคิตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา “วรํ โว ตาตา ทมฺมีติ อาห. เต “สาธุ เทวาติ วรํ คหิตกํ กตฺวา ปุน กติปาหจฺจเยน ปิตรา “คณฺหถ ตาตา วรนฺติ วุตฺตา “เทว อมฺหากํ อฺเน เกนจิ อตฺโถ นตฺถิ, อิโต ปฏฺ€าย มยํ ภาติกํ โภเชสฺสาม, อิมํ โน วรํ เทหีติ อาหํสุ. “น เทมิ ตาตาติ. “นิจฺจกาลํ อเทนฺตา สตฺต สํวจฺฉรานิ เทถาติ. “น เทมิ ตาตาติ. “เตนหิ ฉ ปฺจ จตฺตาริ ตีณิ เทฺว เอกํ สํวจฺฉรํ สตฺต มาเส ฉ มาเส ปฺจ มาเส จตฺตาโร มาเส ตโย มาเส เทถาติ. “น เทมิ ตาตาติ. “โหตุ เทว, เอเกกสฺส โน เอเกกํ มาสํ กตฺวา ตโย มาเส เทถาติ. “สาธุ ตาตา, เตนหิ ตโย มาเส โภเชถาติ. เตสํ ปน ติณฺณมฺปิ เอโก ว โกฏฺ€าคาริโก, เอโก ว อายุตฺตโก. เต ทฺวาทสนหุตปุริสปริวารา. เต ปกฺโกสาเปตฺวา “มยํ อิมํ เตมาสํ ทส สีลานิ คเหตฺวา เทฺว กาสายานิ นิวาเสตฺวา สตฺถารา สหวาสํ วสิสฺสาม, ตุมฺเห เอตฺตกํ นาม ทานวฏฺฏํ คเหตฺวา เทวสิกํ นวุติสหสฺสานํ ภิกฺขูนํ โยธสหสฺสสฺส จ โน สพฺพํ ขาทนียโภชนียํ สํวตฺเตยฺยาถ, มยํ หิ อิโต ปฏฺ€าย น กิฺจิ วกฺขามาติ วทึสุ. เต ตโยปิ ปริวารกปุริสสหสฺสํ คเหตฺวา ทส สีลานิ สมาทาย กาสายวตฺถานิ นิวาเสตฺวา วิหาเรเยว วสึสุ. แม้ทรงขออยู่บ่อยๆไม่ทรงได้แล้ว,ครั้นเมื่อประเทศอันเป็นที่สุดเฉพาะ (อันโจร ท.) ให้ก�ำเริบแล้ว, ผู้อันพระบิดา ทรงส่งไปแล้ว เพื่อประโยชน์ แก่ความเข้าไปสงบวิเศษ แห่งประเทศอันเป็นที่สุดเฉพาะนั้น ครั้นทรงยังประเทศอันเป็นที่สุดเฉพาะ ให้เข้าไปสงบวิเศษแล้ว เสด็จมาแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระบิดา ฯ ครั้งนั้น อ. พระบิดา ทรงสวมกอดแล้ว ซึ่งพระโอรส ท. เหล่านั้น ทรงจุมพิตแล้ว ที่พระเศียร ตรัสแล้ว ว่า แน่ะพ่อ ท. (อ. เรา) จะให้ ซึ่งพร แก่เจ้า ท. ดังนี้ฯ อ.พระโอรส ท. เหล่านั้น (ทรงรับพร้อมแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้สมมติเทพ อ. ดีละ ดังนี้ ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งพร ให้เป็นพร อันพระองค์ทรงรับเอาแล้ว ผู้อันพระบิดาตรัสแล้วว่า แน่ะพ่อ ท. (อ. เจ้า ท.) จงรับ ซึ่งพร ดังนี้โดยอันล่วงไปแห่งวันเล็กน้อย อีก กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ อ.ความต้องการ ด้วยวัตถุอะไร ๆ อื่น ย่อมไม่มี แก่ข้าพระพุทธเจ้า ท., อ.ข้าพระพุทธเจ้า ท. ยังพระเจ้าพี่ จักให้เสวย จ�ำเดิม แต่กาลนี้, อ.พระองค์ ขอจงพระราชทาน ซึ่งพรนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ท. ดังนี้ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว)ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เรา ย่อมไม่ให้ ดังนี้ฯ (อ.พระโอรส ท. กราบทูลแล้ว) ว่า (อ. พระองค์ ท.) เมื่อไม่พระราชทาน ตลอดกาลเนืองนิตย์ ขอจงพระราชทาน สิ้นปี ท. เจ็ด ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เรา ย่อมไม่ให้ ดังนี้ ฯ (อ. พระโอรส ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ถ้าอย่างนั้น (อ. พระองค์ ท.) ขอจงพระราชทาน (สิ้นปี ท.) ๖ (สิ้นปี ท.) ๕ (สิ้นปี ท.) ๔ (สิ้นปี ท.) ๓ (สิ้นปี ท.) ๒ สิ้นปีหนึ่ง สิ้นเดือน ท. ๗ สิ้นเดือน ท. ๖ สิ้นเดือน ท. ๕ สิ้นเดือน ท. ๔ สิ้นเดือน ท. ๓ ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เรา ย่อมไม่ให้ ดังนี้ฯ (อ. พระโอรส ท. กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้สมมติเทพ (อ.ข้อนั่น) จงมีเถิด, อ. พระองค์ ท. ขอจงพระราชทาน สิ้นเดือน ท. ๓ แก่ข้าพระพุทธเจ้า ท. กระท�ำ ให้เป็นเดือน ๆ หนึ่ง ๆ แก่ข้าพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง ๆ ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. ดีละ, ถ้าอย่างนั้น อ. เจ้า ท. (ยังพระเจ้าพี่) จงให้เสวย สิ้นเดือน ท. ๓ ดังนี้ ฯ ก็ อ.บุคคลผู้ประกอบแล้วในเรือนคลัง ของพระโอรส ท. แม้สาม เหล่านั้น คนเดียวกันเทียว, อ. นายเสมียน คนเดียวกันเทียว ฯ อ. พระโอรส ท. ๓ เหล่านั้น เป็นผู้มีบุรุษมีนหุต ๑๒ เป็นประมาณ เป็นบริวาร (ย่อมเป็น) ฯ (อ. พระโอรส ท. ๓) ทรงยังบุคคลให้ร้องเรียกแล้ว ซึ่งบุรุษ ท. เหล่านั้น (ตรัสแล้ว) ว่า อ. เรา ท. รับแล้ว ซึ่งศีล ท. ๑๐ นุ่งแล้ว ซึ่งผ้ากาสายะ ท. ๒ จักอยู่ อยู่กับ ด้วยพระศาสดา ตลอดประชุม แห่งเดือนสาม นี้, อ. ท่าน ท. รับแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในทาน ชื่อมีประมาณเท่านี้ ยังของอันบุคคลพึงเคี้ยวและของอันบุคคล พึงบริโภค ทั้งปวง พึงให้เป็นไปพร้อม แก่ภิกษุ ท. เก้าหมื่นรูปด้วย แก่พันแห่งทหาร ของเรา ท. ด้วย ทุก ๆ วัน, เพราะว่า อ. เรา ท. จักไม่กล่าว ซึ่งค�ำอะไร ๆ จ�ำเดิม แต่กาลนี้ ดังนี้ ฯ อ. พระโอรส ท. แม้สาม เหล่านั้น ทรงพาเอาแล้ว ซึ่งพันแห่ง บุรุษผู้เป็นบริวาร ทรงสมาทานแล้ว ซึ่งศีล ท. ๑๐ ทรงนุ่งแล้ว ซึ่งผ้ากาสายะ ท. ประทับอยู่แล้ว ในวิหารนั่นเทียว ฯ www.kalyanamitra.org
  • 98.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย93 โกฏฺ€าคาริโก จ อายุตฺตโก จ เอกโต หุตฺวา ติณฺณํ ภาติกานํ โกฏฺ€าคาเรหิ วาเรน วาเรน วฏฺฏํ คเหตฺวา ทานํ เทนฺติ. กมฺมกรานํ ปน ปุตฺตา ยาคุภตฺตาทีนํ อตฺถาย โรทนฺติ. เต เตสํ, ภิกฺขุสงฺเฆ อนาคเตเยว, ยาคุภตฺตาทีนิ เทนฺติ. ภิกฺขุสงฺฆสฺส ภตฺตกิจฺจาวสาเน กิฺจิ อติเรกํ น ภูตปุพฺพํ. เต อปรภาเค “ทารกานํ เทมาติ อตฺตนาปิ คเหตฺวา ขาทึสุ, มนุฺํปิ อาหารํ ทิสฺวา อธิวาเสตุํ นาสกฺขึสุ. เต ปน จตุราสีติสหสฺสา อเหสุํ. เต สงฺฆสฺส ทินฺนํ วฏฺฏํ ขาทิตฺวา กายสฺส เภทา เปตฺติวิสเย นิพฺพตฺตึสุ. เต ภาติกา ปน ปุริสสหสฺเสน สทฺธึ กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เทวโลกา เทวโลกํ สํสรนฺตา เทฺวนวุติกปฺเป เขเปสุํ. เอวํ เต ตโย ภาตโร อรหตฺตํ ปตฺเถนฺตา ตทา กลฺยาณกมฺมํ กรึสุ. เต อตฺตนา ปตฺถิตเมว ลภึสุ. นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ทมฺมีติ.” ตทา ปน เตสํ อายุตฺตโก พิมฺพิสาโร อโหสิ, โกฏฺ€าคาริโก วิสาโข อุปาสโก. เตสํ กมฺมกรา ตทา เปเตสุ นิพฺพตฺติตฺวา สุคติทุคฺคติวเสน สํสรนฺตา อิมสฺมึ กปฺเป จตฺตาริ พุทฺธนฺตรานิ เปตโลเกเยว นิพฺพตฺตึสุ. เต อิมสฺมึ กปฺเป สพฺพป€มํ อุปฺปนฺนํ จตฺตาฬีสวสฺสสหสฺสายุกํ กกุสนฺธํภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา “อมฺหากํ อาหารํ ลภนกาลํ อาจิกฺขถาติ ปุจฺฉึสุ. อ. บุคคลผู้ประกอบแล้วในเรือนคลังด้วย อ. นายเสมียนด้วย เป็น โดยความเป็นอันเดียวกัน รับแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่าย ตามวาระ ๆ จากเรือนคลัง ท. ของพระโอรสผู้พี่น้องชาย ท. ๓ ย่อมถวาย ซึ่งทาน ฯ ก็ อ. บุตร ท. (ของชน ท.) ผู้กระท�ำซึ่งการงาน ย่อมร้องไห้ เพื่อประโยชน์ (แก่อาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ฯ อ. ชน ท. เหล่านั้น, ครั้นเมื่อหมู่แห่งภิกษุ ไม่มาแล้วนั่นเทียว, ย่อมให้ (ซึ่งอาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น แก่บุตร ท. เหล่านั้น ฯ (อ. อาหารวัตถุ) อันยิ่งเกิน ไร ๆ เป็นของไม่เคยมีแล้ว ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งกิจด้วยภัตร แห่งหมู่แห่งภิกษุ (ย่อมเป็น) ฯ ในกาลอันเป็นส่วนอื่นอีก อ. ชน ท. เหล่านั้น (กล่าวแล้ว) ว่า อ. เรา ท. จะให้ แก่เด็ก ท. ดังนี้ถือเอาแล้ว แม้ด้วยตน เคี้ยวกินแล้ว, เห็นแล้ว ซึ่งอาหาร แม้อันเป็นที่ฟูแห่งใจ ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออัน (ยังความฟูแห่งใจ) ให้อยู่ทับ ฯ ก็ อ.ชน ท. เหล่านั้น เป็นผู้มีพันแปดสิบสี่เป็นประมาณ ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ชน ท. เหล่านั้น เคี้ยวกินแล้ว, ซึ่งค่าใช้จ่าย อันอันบุคคล ถวายแล้ว แก่สงฆ์ บังเกิดแล้ว ในวิสัยแห่งเปรต เพราะความแตกไป แห่งกาย ฯ ส่วนว่า อ.พระโอรส ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน เหล่านั้น กับ ด้วยพันแห่งบุรุษ กระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ บังเกิดแล้ว ในเทวโลก ท่องเที่ยวไปอยู่ สู่เทวโลก จากเทวโลก ยังกัปป ์ ๙๒ ท. ให้สิ้นไปแล้ว ฯ อ.พระโอรส ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๓ เหล่านั้น ปรารถนาอยู่ ซึ่งพระอรหัต กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอันงาม ในกาลนั้น ด้วยประการฉะนี้ฯ อ. ชฎิล ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๓ เหล่านั้น ได้แล้ว (ซึ่งต�ำแหน่ง) อันอันตนปรารถนาแล้วนั่นเทียว ฯ อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดูซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ฯ ก็ อ. นายเสมียน ของพระโอรส ท. ผู้เป็นพี่น้องกัน ๓ เหล่านั้น ในกาลนั้น เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ได้เป็นแล้ว (ในกาลนี้), อ. บุคคล ผู้ประกอบแล้วในเรือนคลัง (ในกาลนั้น) เป็นอุบาสก ชื่อว่าวิสาขะ (ได้เป็นแล้ว ในกาลนี้) ฯ อ. ชน ท. ผู้กระท�ำซึ่งการงาน ของพระโอรส ท. ๓ เหล่านั้น บังเกิดแล้ว ในเปรต ท. ในกาลนั้น ท่องเที่ยวไปอยู่ ด้วยอ�ำนาจ แห่งสุคติและทุคติ บังเกิดแล้ว ในโลกแห่งเปรตนั่นเทียว สิ้นพุทธันดร ท. ๔ ในกัปป ์ นี้ ฯ อ. เปรต ท. เหล่านั้น เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ผู้ทรงมีอายุมีพันแห่งปี ๔๐ เป็นประมาณ ผู้เสด็จอุบัติแล้ว ก่อนกว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวง ในกัปป ์ นี้ทูลถามแล้ว ว่า อ. พระองค์ ท. ขอจงตรัสบอก ซึ่งกาลเป็นที่ได้ ซึ่งอาหาร แก่ข้าพระองค์ ท. ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 99.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 94 “มม ตาว กาเล น ลภิสฺสถ, มม ปจฺฉโต มหาป€วิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย โกนาคมนพุทฺโธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตํ ปุจฺเฉยฺยาถาติ อาห. เต ตตฺตกํ กาลํ เขเปตฺวา, ตสฺมึ อุปฺปนฺเน, ตํ ปุจฺฉึสุ. โสปิ “มม กาเล น ลภิสฺสถ, มม ปจฺฉโต มหาป€วิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย กสฺสปพุทฺโธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตํ ปุจฺเฉยฺยาถาติ อาห. เต ตตฺตกํ กาลํ เขเปตฺวา, ตสฺมึ อุปฺปนฺเน, ตํ ปุจฺฉึสุ. โสปิ “มม กาเล น ลภิสฺสถ, มม ปจฺฉโต มหาป€วิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย โคตมพุทฺโธ นาม อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตทา ตุมฺหากํ าตโก พิมฺพิสาโร นาม ราชา ภวิสฺสติ, โส สตฺถุ ทานํ ทตฺวา ตุมฺหากํ ปาเปสฺสติ, ตทา ลภิสฺสถาติ อาห. เตสํ เอกํ พุทฺธนฺตรํ เสฺวทิวสํ วิย อโหสิ. เต, ตถาคเต อุปฺปนฺเน, พิมฺพิสารรฺา ป€มทิวสํ ทาเน ทินฺเน, รตฺติภาเค เภรวสทฺทํ กตฺวา รฺโ อตฺตานํ ทสฺสยึสุ. โส ปุนทิวเส เวฬุวนํ อาคนฺตฺวา ตถาคตสฺส ตํ ปวตฺตึ อาโรเจสิ. สตฺถา “มหาราช อิโต เทฺวนวุติกปฺปมตฺถเก ผุสฺสพุทฺธกาเล เอเต ตว าตกา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทินฺนํ วฏฺฏํ ขาทิตฺวา เปตโลเก นิพฺพตฺติตฺวา สํสรนฺตา กกุสนฺธาทโย พุทฺเธ อุปฺปนฺเน ปุจฺฉิตฺวา เตหิ อิทฺจิทฺจ วุตฺตา เอตฺตกํ กาลํ ตว ทานํ ปจฺจาสึสมานา, หิยฺโย ตยา ทาเน ทินฺเน, ปตฺตึ อลภมานา เอวมกํสูติ. “กึ ปน ภนฺเต อิทานิปิ ทินฺเน ลภิสฺสนฺตีติ. “อาม มหาราชาติ. (อ. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ) ตรัสแล้ว ว่า อ. ท่าน ท. จักไม่ได้ ในกาล ของเรา ก่อน, ครั้นเมื่อแผ่นดินใหญ่ งอกขึ้นยิ่งแล้ว (สิ้นที่) มีโยชน์เป็นประมาณ อ.พระพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมน์ จักเสด็จอุบัติ ข้างหลัง ของเรา, อ. ท่าน ท. พึงทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น ดังนี้ ฯ อ. เปรต ท. เหล่านั้น ยังกาล มีประมาณเท่านั้น ให้สิ้นไปแล้ว, ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสด็จอุบัติแล้ว, ทูลถามแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ อ. พระพุทธเจ้า แม้นั้น ตรัสแล้ว ว่า อ. ท่าน ท. จักไม่ได้ ในกาล ของเรา, ครั้นเมื่อแผ่นดินใหญ่งอกขึ้นยิ่งแล้ว สิ้นที่มีโยชน์ เป็นประมาณ อ. พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ จักเสด็จอุบัติ ข้างหลัง ของเรา, อ. ท่าน ท. พึงทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ดังนี้ฯ อ.เปรต ท. เหล่านั้น ยังกาล มีประมาณเท่านั้น ให้สิ้นไปแล้ว, ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น เสด็จอุบัติแล้ว, ทูลถามแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ฯ อ. พระพุทธเจ้า แม้นั้น ตรัสแล้ว ว่า อ. ท่าน ท. จักไม่ได้ ในกาล ของเรา, ครั้นเมื่อแผ่นดินใหญ่ งอกขึ้นยิ่งแล้ว สิ้นที่มีโยชน์ เป็นประมาณ ชื่อ อ. พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติ ข้างหลัง ของเรา , ในกาลนั้น อ. ญาติ ของท่าน ท. เป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร จักเป็น, อ.พระราชา นั้น ถวายแล้ว ซึ่งทาน แก่พระศาสดา (ทรงยังทาน) จักให้ถึง แก่ท่าน ท., อ. ท่าน ท. จักได้ ในกาลนั้น ดังนี้ ฯ อ. พุทธันดรหนึ่ง เป็นราวกะว่าวันพรุ่ง ได้มีแล้ว แก่เปรต ท. เหล่านั้น ฯ อ. เปรต ท. เหล่านั้น, ครั้นเมื่อพระตถาคตเจ้า เสด็จอุบัติแล้ว, ครั้นเมื่อทาน อันพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ทรงถวายแล้ว ในวันที่หนึ่ง, กระท�ำแล้ว ซึ่งเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งความกลัว แสดงแล้ว ซึ่งตน แก่พระราชา ในส่วนแห่งราตรี ฯ ในวันรุ่งขึ้น อ. พระราชานั้น เสด็จมาแล้ว สู่พระเวฬุวัน กราบทูลแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่ว นั้น แก่พระตถาคตเจ้า ฯ อ. พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ญาติ ท. ของพระองค์ เหล่านั้น เคี้ยวกินแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่าย อันอันบุคคล ถวายแล้ว แก่หมู่แห่งภิกษุ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ ในที่สุดแห่งกัปป ์ ๙๒ แต่ภัททกัปป ์ นี้ บังเกิดแล้ว ในโลกแห่งเปรต ท่องเที่ยวไปอยู่ ทูลถามแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า ท. มีพระกกุสันธะ เป็นต้น ผู้เสด็จอุบัติแล้ว ผู้อันพระพุทธเจ้า ท. เหล่านั้น ตรัสแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ด้วย ๆ หวังเฉพาะอยู่ ซึ่งทาน ของพระองค์ สิ้นกาล มีประมาณเท่านี้, ครั้นเมื่อทานอันพระองค์ ทรงถวายแล้ว ในวันวาน, ไม่ได้อยู่ซึ่งส่วนบุญ ได้กระท�ำแล้ว อย่างนี้ ดังนี้ ฯ (อ. พระราชา ตรัสถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ (ครั้นเมื่อทาน อันหม่อมฉัน) ถวายแล้ว แม้ในกาลนี้(อ. เปรต ท.) จักได้ หรือ ดังนี้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร ขอถวายพระพร (อ. อย่างนั้น) ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 100.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย95 ราชา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมนฺเตตฺวา ปุนทิวเส มหาทานํ ทตฺวา “ภนฺเต อิโต เตสํ เปตานํ ทิพฺพนฺนปานํ สมฺปชฺชตูติ ปตฺตึ อทาสิ. เตสํ ตเถว นิพฺพตฺติ. ปุนทิวเส นคฺคา หุตฺวา อตฺตานํ ทสฺเสสุํ. ราชา “อชฺช ภนฺเต นคฺคา หุตฺวา อตฺตานํ ทสฺเสสุนฺติ อาโรเจสิ. “วตฺถานิ เต น ทินฺนานิ มหาราชาติ. ปุนทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส จีวรานิ ทตฺวา “อิโต เตสํ ทิพฺพวตฺถานิ โหนฺตูติ ปาเปสิ. ตํขณฺเว เตสํ ทิพฺพวตฺถานิ อุปฺปชฺชึสุ. เต เปตตฺตภาวํ วิชหิตฺวา ทิพฺพตฺตภาเวน สณฺ€หึสุ. สตฺถา อนุโมทนํ กโรนฺโต “ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺตีติ ติโรกุฑฺฑานุโมทนํ อกาสิ. อนุโมทนาวสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ. อิติ สตฺถา เตภาติกชฏิลานํ วตฺถุํ กเถตฺวา อิมมฺปิ ธมฺมเทสนํ อาหริ. “อคฺคสาวกา ปน ภนฺเต กึ กรึสูติ. “อคฺคสาวกภาวาย ปตฺถนํ กรึสุ. อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกสฺส หิ กปฺปานํ อสงฺเขยฺยสฺส มตฺถเก สารีปุตฺโต พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ, นาเมน สรทมาณโว นาม อโหสิ. โมคฺคลฺลาโน คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ, นาเมน สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิโก นาม อโหสิ. เต อุโภปิ สหปํ สุกีฬกา สหายกา อเหสุํ. สรทมาณโว ปิตุอจฺจเยน กุลสนฺตกํ มหาธนํ ปฏิปชฺชิตฺวา เอกทิวสํ รโหคโต จินฺเตสิ “อหํ อิธโลกตฺตภาวเมว ชานามิ, โน ปรโลกตฺตภาวํ; ชาตสตฺตานฺจ มรณํ นาม ธุวํ, มยา เอกํ ปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา โมกฺขธมฺมคเวสนํ กาตุํ วฏฺฏตีติ. อ. พระราชา ทรงนิมนต์แล้ว ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุข ถวายแล้ว ซึ่งทานใหญ่ ในวันรุ่งขึ้น ได้พระราชทานแล้ว ซึ่งส่วนบุญ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.ข้าวและน�้ำอันบุคคล พึงดื่มอันเป็นทิพย์ จงถึงพร้อม แก่เปรต ท. เหล่านั้น แต่มหาทาน นี้ ดังนี้ ฯ (อ.ข้าวและน�้ำอันบุคคลพึงดื่มอันเป็นทิพย์) บังเกิดแล้ว แก่เปรต ท. เหล่านั้น อย่างนั้นนั่นเทียว ฯ ในวันรุ่งขึ้น (อ. เปรต ท.) เป็นผู้เปลือย เป็น แสดงแล้ว ซึ่งตน ฯ อ.พระราชา ทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันนี้ (อ. เปรต ท.) เป็นผู้เปลือย เป็น แสดงแล้ว ซึ่งตน ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัส แล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ผ้า ท. อันพระองค์ ไม่ทรงถวายแล้ว ดังนี้ฯ ในวันรุ่งขึ้น (อ.พระราชา) ทรงถวายแล้ว ซึ่งจีวร ท. แก่หมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (ทรงยังส่วนบุญ) ให้ถึงแล้ว (แก่เปรต ท. ด้วยพระด�ำรัส) ว่า อ. ผ้าอันเป็นทิพย์ ท. จงมี แก่เปรต ท. เหล่านั้น แต่ทานนี้ดังนี้ ฯ อ. ผ้าอันเป็นทิพย์ ท. เกิดขึ้นแล้ว แก่เปรต ท. เหล่านั้น ในขณะนั้น นั่นเทียว ฯ อ.เปรตท.เหล่านั้น,ละแล้วซึ่งอัตภาพแห่งเปรตตั้งอยู่พร้อมแล้ว โดยอัตภาพ อันเป็นทิพย์ ฯ อ.พระศาสดา เมื่อทรงกระท�ำ ซึ่งอนุโมทนา ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการอนุโมทนา ด้วยติโรกุฑฑสูตร ว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ ดังนี้เป็นต้น ฯ อ.อันรู้เฉพาะซึ่งธรรม ได้มีแล้ว แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท. ๘๔ ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งการอนุโมทนา ฯ อ. พระศาสดา ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งเรื่อง แห่งชฎิลผู้เป็นพี่น้องกัน ๓คนท.ทรงน�ำมาแล้วซึ่งพระธรรมเทศนาแม้นี้ด้วยประการฉะนี้ฯ (อ.ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ อ. พระอัครสาวก ท. กระท�ำแล้ว (ซึ่งความปรารถนา) อย่างไร ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า (อ. อัครสาวก ท.) กระท�ำแล้ว ซึ่งความปรารถนา เพื่อความเป็นแห่งสาวกผู้เลิศ ฯ ดังจะกล่าวโดยย่อ อ.สารีบุตร บังเกิดแล้ว ในตระกูล แห่งพราหมณ์ผู้มหาศาล ในที่สุด แห่งอสงไขย แห่งกัปป ์ ท. อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป ์ แต่ภัททกัปป ์ นี้, เป็นผู้ชื่อว่าสรทมาณพ โดยชื่อ ได้เป็นแล้ว ฯ อ.โมคคัลลานะ บังเกิดแล้ว ในตระกูลแห่งคฤหบดี ผู้มหาศาล, เป็นผู้ชื่อว่าสิริวัฑฒกุฎุมพี โดยชื่อ ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ชน ท. แม้ทั้งสองเหล่านั้น เป็นเพื่อน ผู้เล่นซึ่งฝุ่นพร้อมกัน ได้เป็นแล้ว ฯ อ.มาณพชื่อว่าสรทะ ครอบครองแล้วซึ่งทรัพย์ใหญ่ อันเป็นของมีอยู่แห่งตระกูล โดยอันล่วงไปแห่งบิดา ผู้ไปแล้ว ในที่ลับ ในวันหนึ่ง คิดแล้ว ว่า อ. เรา ย่อมรู้ ซึ่งอัตภาพ ในโลกนี้ นั่นเทียว, ย่อมไม่รู้ ซึ่งอัตภาพในโลกอื่น, ก็ ชื่อ อ. ความตาย แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว ท. เป็นธรรมชาตยั่งยืน (ย่อมเป็น), อ.อัน (อันเรา) บวชแล้ว บวช อย่างหนึ่ง กระท�ำ ซึ่งการแสวงหาซึ่งธรรม- เป็นเหตุพ้น ย่อมควร ดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 101.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 96 โส สหายกํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห “สมฺม สิริวฑฺฒ อหํ ปพฺพชิตฺวา โมกฺขธมฺมํ คเวสิสฺสามิ, ตฺวํ มยา สทฺธึ ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสสิ, น สกฺขิสฺสสีติ. “น สกฺขิสฺสามิ สมฺม, ตฺวํเยว ปพฺพชาหีติ. โส จินฺเตสิ “ปรโลกํ คจฺฉนฺโต สหายํ วา าติมิตฺเต วา คเหตฺวา คโต นาม นตฺถิ, อตฺตนา กตํ อตฺตโนว โหตีติ. ตโต รตนโกฏฺ€าคารํ วิวราเปตฺวา กปณทฺธิก- วณิพฺพกยาจกานํ มหาทานํ ทตฺวา ปพฺพตปาทํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิ. ตสฺส เอโก เทฺว ตโยติ เอวํ อนุปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา จตุสตฺตติสหสฺสมตฺตา ชฏิลา อเหสุํ. โส ปฺจ อภิฺา อฏฺ€ จ สมาปตฺติโย นิพฺพตฺเตตฺวา เตสํ ชฏิลานํ กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขิ. เตปิ สพฺเพ ปฺจ อภิฺา อฏฺ€ จ สมาปตฺติโย นิพฺพตฺเตสุํ. เตน สมเยน อโนมทสฺสี นาม พุทฺโธ โลเก อุทปาทิ. นครํ จนฺทวตี นาม อโหสิ. ปิตา ยสวนฺโต นาม ขตฺติโย, มาตา ยโสธรา นาม เทวี, โพธิ อชฺชุนรุกฺโข, นิสโภ จ อโนโม จ เทฺว อคฺคสาวกา, วรุโณ นาม อุปฏฺ€าโก, สุนฺทรา จ สุมนา จ เทฺว อคฺคสาวิกา; อายุ วสฺสสตสหสฺสํ อโหสิ, สรีรํ อฏฺ€ปฺาสหตฺถุพฺเพธํ, สรีรปฺปภา ทฺวาทสโยชนํ ผริ, ภิกฺขุสตสหสฺสํ ปริวาโร อโหสิ. โส เอกทิวสํ ปจฺจูสกาเล มหากรุณาสมาปตฺติโต วุฏฺ€าย โลกํ โวโลเกนฺโต สรทตาปสํ ทิสฺวา อ. มาณพชื่อว่าสรทะนั้น เข้าไปหาแล้ว ซึ่งสหาย กล่าวแล้ว ว่า แน่ะสิริวัฑฒ์ ผู้มีธุระเสมอ อ. เรา บวชแล้ว จักแสวงหา ซึ่งธรรมเป็นเหตุพ้น,อ.ท่านจักอาจเพื่ออันบวชกับด้วยเรา(หรือ), (หรือว่า อ. ท่าน) จักไม่อาจ ดังนี้ ฯ (อ. กุฎุมพีชื่อว่าสิริวัฑฒ์ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะสหาย อ. เรา จักไม่อาจ, อ. ท่านนั่นเทียว จงบวช ดังนี้ ฯ อ.มาณพชื่อว่าสรทะ นั้น คิดแล้ว ว่า อ. บุคคล ผู้ไปอยู่ สู่โลกอื่น ชื่อว่าผู้ พาเอา ซึ่งสหายหรือ หรือว่า ซึ่งญาติและมิตร ท. ไปแล้ว ย่อมไม่มี, อ. กรรม อันอันตนกระท�ำแล้ว ย่อมมี แก่ตนเทียว ดังนี้ ฯ ในล�ำดับนั้น (อ. มาณพชื่อว่าสรทะ) (ยังบุคคล) ให้เปิดแล้ว ซึ่งเรือนคลังแห่งรัตนะ ให้แล้ว ซึ่งทานใหญ่ แก่คนก�ำพร้าและ คนผู้ไปสู่ทางไกลและคนมีแผลและคนขอ ท. เข้าไปแล้ว สู่เชิงแห่งภูเขา บวชแล้ว บวชโดยความเป็นฤาษี ฯ (อ. ชน ท.) บวชแล้ว บวชตาม ซึ่งมาณพนั้น อย่างนี้คือ (อ. ชน) คนหนึ่ง (อ. ชน ท.) สอง (อ. ชน ท.) สาม เป็นชฎิล มีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ได้เป็นแล้ว ฯ อ. ชฎิลนั้น ยังอภิญญา ท. ห้าด้วย ยังสมาบัติ ท. แปด ด้วย ให้บังเกิดแล้ว บอกแล้ว ซึ่งการบริกรรมซึ่งกสิณ แก่ชฎิล ท. เหล่านั้น ฯ อ. ชฎิล ท. ทั้งปวง แม้เหล่านั้น ยังอภิญญา ท. ห้าด้วย ยังสมาบัติ ท. แปดด้วย ให้บังเกิดแล้ว ฯ โดยสมัยนั้น อ.พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี ได้เสด็จอุบัติแล้ว ในโลก ฯ อ. เมือง เป็นเมืองชื่อว่าจันทวดี ได้เป็นแล้ว ฯ อ. พระบิดา เป็นกษัตริย์ พระนามว่ายัสวันต์ ได้เป็นแล้ว, อ. พระมารดา เป็นพระเทวี พระนามว่ายโสธรา (ได้เป็นแล้ว), อ. ต้นรกฟ ้ า เป็นต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ (ได้เป็นแล้ว), อ. อัครสาวก ท. ๒ คือ อ. พระนิสภะด้วย คือ อ. พระอโนมะด้วย (ได้มีแล้ว), อ. ภิกษุ ผู้อุปัฏฐาก เป็นผู้ชื่อว่า วรุณะ (ได้เป็นแล้ว), อ. อัครสาวิกา ท. ๒ คือ อ. นางสุนทราด้วย คือ อ. นางสุมนาด้วย (ได้มีแล้ว) ; อ. แสน แห่งปี เป็นอายุ ได้เป็นแล้ว, อ. พระสรีระ เป็นสรีระอันสูง โดยศอก ๕๘ (ได้เป็นแล้ว), อ. แสงสว่างแห่งพระสรีระ แผ่ไปแล้ว ตลอดโยชน์ ๑๒, อ. แสนแห่งภิกษุ เป็นบริวาร ได้เป็นแล้ว ฯ ในวันหนึ่ง อ.พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น เสด็จออกแล้ว จากสมาบัติอันประกอบแล้วด้วยพระกรุณาใหญ่ ในกาล- อันขจัดเฉพาะซึ่งมืด ทรงตรวจดูอยู่ ซึ่งโลก ทรงเห็นแล้ว ซึ่งดาบสชื่อว่าสรทะ www.kalyanamitra.org
  • 102.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย97 “อชฺช มยฺหํ สรทตาปสสฺส สนฺติกํ คตปจฺจเยน ธมฺมเทสนา จ มหตี ภวิสฺสติ, โส จ อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถสฺสติ, ตสฺส สหายโก สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิโก ทุติยสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถสฺสติ, เทสนาปริโยสาเน จสฺส ปริวารา จตุสตฺตติ- สหสฺสชฏิลา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติ; มยา ตตฺถ คนฺตุํ วฏฺฏตีติ อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย อฺํ กฺจิ อนามนฺเตตฺวา สีโห วิย เอกจโร หุตฺวา, สรทตาปสสฺส อนฺเตวาสิเกสุ ผลาผลตฺถาย คเตสุ, “พุทฺธภาวํ เม ชานาตูติ, ปสฺสนฺตสฺเสว สรทตาปสสฺส, อากาสโต โอตริตฺวา ป€วิยํ ปติฏฺ€าสิ. สรทตาปโส พุทฺธานุภาวฺเจว สรีรนิปฺผตฺติฺจ ทิสฺวา ลกฺขณมนฺเต สมฺมสิตฺวา “อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต นาม อคารมชฺเฌ วสนฺโต ราชา โหติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชนฺโต โลเก วิวฏจฺฉโท สพฺพฺุพุทฺโธ โหติ; อยํ ปุริโส นิสฺสํสยํ พุทฺโธติ ชานิตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปฺจปติฏฺ€ิเตน วนฺทิตฺวา อาสนํ ปฺาเปตฺวา อทาสิ. นิสีทิ ภควา ปฺตฺตาสเน. สรทตาปโสปิ อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ. ตสฺมึ สมเย จตุสตฺตติสหสฺสา ชฏิลา ปณีตปณีตานิ โอชวนฺตานิ ผลาผลานิ คเหตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ สมฺปตฺตา, พุทฺธานฺเจว อาจริยสฺส จ นิสินฺนาสนํ โอโลเกตฺวา อาหํสุ “อาจริย มยํ `อิมสฺมึ โลเก ตุมฺเหหิ มหนฺตตโร นตฺถีติ วิจราม, อยํ ปน ปุริโส ตุมฺเหหิ มหนฺตตโร มฺเติ. “ ตาตา กึ วเทถ , สาสเปน สทฺธึ อฏฺ€สฏฺ€ิโยชนสตสหสฺสุพฺเพธํ สิเนรุํ สมํ กาตุํ อิจฺฉถ, สพฺพฺุพุทฺเธน สทฺธึ มม อุปมํมา กริตฺถ ปุตฺตกาติ. (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า ในวันนี้ อ.การแสดงซึ่งธรรม เป็นคุณใหญ่ จักเป็น เพราะปัจจัยแห่งเราผู้ไปแล้วสู่ส�ำนัก ของดาบสชื่อว่าสรทะด้วย, อ. ดาบสชื่อว่าสรทะนั้น จักปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งอัครสาวก ด้วย, อ. กุฎุมพีชื่อว่าสิริวัฑฒ์ ผู้เป็นสหาย ของดาบสชื่อว่าสรทะ นั้น จักปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สองด้วย, อ.ชฎิลมีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ท. ผู้เป็นบริวาร ของดาบสชื่อว่าสรทะนั้น จักบรรลุซึ่งพระอรหัต ในกาลเป็นที่สุด- ลงรอบแห่งเทศนาด้วย, อ. อันอันเราไป ที่นั้น ย่อมควร ดังนี้ ทรงถือเอาแล้ว ซึ่งบาตรและจีวร ของพระองค์ ไม่ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งใคร ๆ อื่น เป็นผู้เสด็จเที่ยวไปพระองค์เดียว ราวกะ อ. สีหะ เป็น, ครั้นเมื่ออันเตวาสิก ท. ของดาบสชื่อว่าสรทะ ไปแล้ว เพื่อประโยชน์แก่ผลและผลอันเจริญ, (ทรงอธิษฐานแล้ว) ว่า (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) จงรู้ ซึ่งความที่แห่งเราเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้, เมื่อดาบสชื่อว่าสรทะ เห็นอยู่ นั่นเทียว, เสด็จข้ามลงแล้ว จากอากาศ ประทับยืนแล้ว บนแผ่นดิน, อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ เห็นแล้ว ซึ่งอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ด้วยนั่นเทียว ซึ่งความส�ำเร็จแห่งพระสรีระด้วยพิจารณาแล้ว ซึ่งมนต์เป็นเครื่องท�ำนายซึ่งลักษณะ ท. รู้แล้ว ว่า อ. บุคคลชื่อว่า ผู้มาตามพร้อมแล้ว ด้วยลักษณะ ท. เหล่านี้ อยู่อยู่ ในท่ามกลาง แห่งเรือน เป็นพระราชาผู้จักรพรรดิ์ ย่อมเป็น , เมื่อบวช เป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ซึ่งเรื่องทั้งปวง ผู้มีกิเลสเพียงดังเครื่องมุงบัง อันเปิดแล้ว ในโลก ย่อมเป็น ; อ. บุรุษนี้ เป็นพระพุทธเจ้า (ย่อมเป็น) โดยความไม่มีแห่งความสงสัย ดังนี้ กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับ ถวายบังคมแล้ว ด้วยการตั้งไว้เฉพาะแห่งองค์ ๕ ได้ปูลาด ซึ่งอาสนะ ถวายแล้ว ฯ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันดาบส ปูลาดแล้ว ฯ แม้ อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ถือเอาแล้ว ซึ่งอาสนะ อันสมควร แก่ตน นั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ ในสมัยนั้น อ. ชฎิล ท. มีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ถือเอาแล้ว ซึ่งผลและผลอันเจริญ ท. ทั้งประณีต ๆ อันมีโอชะ ถึงพร้อมแล้ว ซึ่งส�ำนัก ของอาจารย์, แลดูแล้ว ซึ่งอาสนะ แห่งพระพุทธเจ้า ท. ด้วยนั่นเทียว แห่งอาจารย์ด้วย นั่งแล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ อ. เรา ท. ย่อมเที่ยวไป (ด้วยความคิด) ว่า (อ. บุคคล) ผู้ใหญ่กว่า กว่าท่าน ท. ย่อมไม่มี ในโลกนี้ ดังนี้, ก็ อ. บุรุษ นี้ เห็นจะ เป็นผู้ใหญ่กว่า กว่าท่าน ท. (จักเป็น) ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เจ้า ท. ย่อมกล่าว (ซึ่งค�ำ) อะไร, อ. เจ้า ท. ย่อมปรารถนา เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งภูเขาชื่อว่าสิเนรุ อันสูงโดยแสนแห่งโยชน์ ๖๘ ให้เสมอ กับ ด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาดหรือ, แน่ะลูก ท. อ. เจ้า ท. อย่ากระท�ำแล้ว ซึ่งการเปรียบ ซึ่งเรา กับ ด้วยพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 103.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 98 อถ เต ตาปสา “สจายํ ปุริโส อิตฺตรสตฺโต อภวิสฺส, น อมฺหากํ อาจริโย เอวรูปํ อุปมํ อาหริสฺสติ, ยาว มหา วตายํ ปุริโสติ สพฺเพว ปาเทสุ ปติตฺวา สิรสา วนฺทึสุ. อถ เน อาจริโย อาห “ตาตา อมฺหากํ พุทฺธานํ อนุจฺฉวิโก เทยฺยธมฺโม นตฺถิ, สตฺถา จ ภิกฺขาจารเวลายํ อิธาคโต, มยํ ยถาสตฺติ ยถาพลํ เทยฺยธมฺมํ ทสฺสาม; ตุมฺเห ยํ ยํ ปณีตํ ผลาผลํ, ตํ ตํ อาหรถาติ อาหราเปตฺวา หตฺเถ โธวิตฺวา สยํ ตถาคตสฺส ปตฺเต ปติฏฺ€าเปสิ. สตฺถารา ผลาผเล ปฏิคฺคหิตมตฺเต, เทวตา ทิพฺโพชํ ปกฺขิปึสุ. โส ตาปโส อุทกํปิ สยเมว ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิ. ตโต ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา นิสินฺเน สตฺถริ, สพฺเพ อนฺเตวาสิเก ปกฺโกสิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก สาราณียกถํ กเถนฺโต นิสีทิ. สตฺถา “เทฺว อคฺคสาวกา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ อาคจฺฉนฺตูติ จินฺเตสิ. เต สตฺถุจิตฺตํ ตฺวา สตสหสฺสขีณาสวปริวารา อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺ€ํสุ. ตโต สรทตาปโส อนฺเตวาสิเก อามนฺเตสิ “ตาตา พุทฺธานํ นิสินฺนาสนมฺปิ นีจํ, สมณสตสหสฺสสฺสาปิ อาสนํ นตฺถิ, ตุมฺเหหิ อชฺช อุฬารํ พุทฺธสกฺการํ กาตุํ วฏฺฏติ, ปพฺพตปาทโต วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อาหรถาติ. กถนกาโล ปปฺโจ วิย โหติ, อิทฺธิมโต ปน อิทฺธิวิสโย อจินฺเตยฺโยติ. มุหุตฺตมตฺเตเนว เต ตาปสา วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อาหริตฺวา พุทฺธานํ โยชนปฺปมาณํ ปุปฺผาสนํ ปฺาเปสุํ. * ก. ๑๙ * ครั้งนั้น อ. ดาบส ท. เหล่านั้น (คิดแล้ว) ว่า ถ้าว่า อ. บุรุษนี้ เป็นสัตว์เล็กน้อย จักได้เป็นแล้วไซร้, อ.อาจารย์ ของเรา ท. จักไม่น�ำมา ซึ่งการเปรียบ มีอย่างนี้เป็นรูป อ. บุรุษนี้ เป็นผู้ใหญ่ เพียงใดหนอ (ย่อมเป็น) ดังนี้ ทั้งปวงเทียว หมอบแล้ว ใกล้พระบาท ท. ถวายบังคมแล้ว ด้วยศีรษะ ฯ ครั้งนั้น อ. อาจารย์ กล่าวแล้ว กะดาบส ท. เหล่านั้น ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. ไทยธรรม อันสมควร แก่พระพุทธเจ้า ท. ของเรา ท. ย่อมไม่ มี, อนึ่ง อ. พระศาสดา เสด็จมาแล้ว ในที่นี้ในเวลาเป็นที่ เที่ยวไปเพื่อภิกษา, อ. เรา ท. จักถวาย ซึ่งไทยธรรม ตามความสามารถ ตามก�ำลัง ; อ. ผลและผลอันเจริญ อันประณีต ใด ๆ (มีอยู่) , อ. เจ้า ท. จงน�ำมา ซึ่งผลและผลอันเจริญนั้น ๆ ดังนี้ (ยังดาบส ท. เหล่านั้น) ให้น�ำมาแล้ว ล้างแล้ว ซึ่งมือ ท. (ยังผลและผลอันเจริญ) ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในบาตร ของพระตถาคตเจ้า เอง ฯ ครั้นเมื่อผลและผลอันเจริญ เป็นผลไม้สักว่าอันพระศาสดา ทรงรับเฉพาะแล้ว (มีอยู่) , อ. เทวดา ท. ใส่เข้าแล้ว ซึ่งโอชะ อันเป็นทิพย์ ฯ อ. ดาบสนั้น กรองแล้ว แม้ซึ่งน�้ำ ได้ถวายแล้ว เองนั่นเทียว ฯ ในล�ำดับนั้น ครั้นเมื่อพระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ทรงกระท�ำ ซึ่งกิจด้วยภัตร, อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ร้องเรียกแล้ว ซึ่งอันเตวาสิก ท. ทั้งปวงนั่งกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวเป็นที่ตั้ง แห่งความระลึกถึง ในส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ อ. พระศาสดา ทรงด�ำริแล้ว ว่า อ. อัครสาวก ท. สอง จงมา กับ ด้วยหมู่แห่งภิกษุ ดังนี้ฯ อ. พระอัครสาวก ท. เหล่านั้น ทราบแล้ว ซึ่งพระด�ำริ แห่งพระศาสดา ผู้มีพระขีณาสพแสนหนึ่งเป็นบริวารมาแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ได้ยืนแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ฯ ในล�ำดับนั้นอ.ดาบสชื่อว่าสรทะเรียกมาแล้วซึ่งอันเตวาสิกท. (ด้วยค�ำ) ว่า แน่ะพ่อ ท. แม้ อ. อาสนะแห่งพระพุทธเจ้า ท. ประทับนั่งแล้ว เป็นที่ต�่ำ (ย่อมเป็น) , อ. อาสนะ ย่อมไม่มี แม้เพื่อแสนแห่งสมณะ, อ. อัน อันเจ้า ท. กระท�ำ ซึ่งสักการะ แก่พระพุทธเจ้า อันโอฬาร ในวันนี้ย่อมควร, อ. เจ้า ท. จงน�ำมา ซึ่งดอกไม้ ท. อันถึงพร้อมแล้วด้วยสีและกลิ่น จากเชิงแห่งภูเขา ดังนี้ ฯ อ.กาลเป็นที่กล่าว เป็นราวกะว่าเนิ่นช้า ย่อมเป็น, แต่ว่า อ. วิสัยแห่งฤทธิ์ ของบุคคลผู้มีฤทธิ์ เป็นสภาพอันใคร ๆ ไม่ควรคิด (ย่อมเป็น) ดังนี้แล ฯ อ.ดาบสท.เหล่านั้นน�ำมาแล้ว ซึ่งดอกไม้ ท. อันถึงพร้อมแล้ว ด้วยสีและกลิ่น โดยกาลสักว่าครู่เดียวนั่นเทียว ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ มีโยชน์เป็นประมาณ เพื่อพระพุทธเจ้า ท. ฯ www.kalyanamitra.org
  • 104.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย99 อุภินฺนํ อคฺคสาวกานํ ติคาวุตํ, เสสานํ ภิกฺขูนํ อฑฺฒโยชนิกาทิเภทํ, สงฺฆนวกสฺส อุสภมตฺตํ อโหสิ. “กถํ เอกสฺมึ อสฺสมปเท ตาวมหนฺตานิ อาสนานิ ปฺตฺตานีติ น จินฺเตตพฺพํ . อิทฺธิวิสโย เหส. เอวํ ปฺตฺเตสุ อาสเนสุ, สรทตาปโส ตถาคตสฺส ปุรโต อฺชลึ ปคฺคยฺห €ิโต “ภนฺเต มยฺหํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย อิมํ ปุปฺผาสนํ อภิรุหถาติ อาห. เตน วุตฺตํ “นานาปุปฺผฺจ คนฺธฺจ สนฺนิปาเตตฺวาน เอกโต ปุปฺผาสนํ ปฺาเปตฺวา อิทํ วจนมพฺรวิ อิทํ เม อาสนํ วีร ปฺตฺตํ ตวนุจฺฉวึ, มม จิตฺตํ ปสาเทนฺโต นิสีท ปุปฺผมาสเน. สตฺตรตฺตินฺทิวํ พุทฺโธ นิสีทิ ปุปฺผมาสเน มม จิตฺตํ ปสาเทตฺวา หาสยิตฺวา สเทวเกติ. เอวํ นิสินฺเน สตฺถริ, เทฺว อคฺคสาวกา เสสภิกฺขู จ อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทึสุ. สรทตาปโส มหนฺตํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ คเหตฺวา ตถาคตสฺส มตฺถเก ธาเรนฺโต อฏฺ€าสิ. สตฺถา “ชฏิลานํ อยํ สกฺกาโร มหปฺผโล โหตูติ นิโรธสมาปตฺตึ สมาปชฺชิ. สตฺถุ สมาปตฺตึ สมาปนฺนภาวํ ตฺวา เทฺว อคฺคสาวกาปิ เสสภิกฺขูปิ สมาปตฺตึ สมาปชฺชึสุ. ตถาคเต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺตึ สมาปชฺชิตฺวา นิสินฺเน, อนฺเตวาสิกา, ภิกฺขาจารกาเล สมฺปตฺเต, วนมูลผลาผลํ ปริภุฺชิตฺวา เสสกาลํ พุทฺธานํ อฺชลึ ปคฺคยฺห ติฏฺ€นฺติ. สรทตาปโส ปน ภิกฺขาจารมฺปิ อคนฺตฺวา ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธารยมาโนว (อ. อาสนะ) มีคาวุต ๓ เป็นประมาณ (ได้มีแล้ว) เพื่อพระอัครสาวก ท. ทั้งสอง, (อ. อาสนะ) อันต่างด้วยอาสนะมีอาสนะประกอบแล้ว ด้วยโยชน์ด้วยทั้งกึ่งเป็นต้น (ได้มีแล้ว) เพื่อภิกษุ ท. ผู้เหลือ, (อ. อาสนะ) มีอุสภะเป็นประมาณ ได้มีแล้ว เพื่อภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ ฯ (อันใครๆ)ไม่ควรคิดว่าอ.อาสนะท. อันใหญ่เพียงนั้น(อันดาบสท.) ปูลาดแล้ว ในอาศรมบท แห่งหนึ่ง อย่างไร ดังนี้ ฯ เพราะว่า อ. วิสัยนั่น เป็นวิสัยแห่งฤทธิ์ ย่อมเป็น ฯ ครั้นเมื่ออาสนะ ท. อันดาบส ท. ปูลาดแล้ว อย่างนี้, อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ ยืนประคองแล้ว ซึ่งอัญชลี ข้างพระพักตร์ ของพระตถาคตเจ้า กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ. พระองค์ ท.) ขอจงเสด็จขึ้นเฉพาะ สู่อาสนะอันเป็นวิการ แห่งดอกไม้ นี้ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ สิ้นกาลนานเถิด ดังนี้ฯ เพราะเหตุนั้น (อ. ค�ำอันเป็นคาถา) ว่า (อ. เรา) ยังดอกไม้ต่าง ๆ ด้วย ยังกลิ่นด้วย ให้ประชุมกันแล้ว โดยความเป็นอันเดียวกัน ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะอันเป็นวิการ- แห่งดอกไม้ ได้กราบทูลแล้ว ซึ่งค�ำนี้ ว่า ข้าแต่พระวีระ อ.อาสนะนี้ อันข้าพระองค์ ปูลาดแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็นที่สมควร แก่พระองค์, (อ. พระองค์) เมื่อทรงยังจิต ของข้าพระองค์ ให้เลื่อมใส ขอจงเสด็จประทับนั่ง บนอาสนะอันเป็นวิการ- แห่งดอกไม้เถิด ฯ อ. พระพุทธเจ้า ทรงยังจิต ของข้าพระองค์ ให้เลื่อมใส แล้ว (ทรงยังมนุษยโลก ท.) อันเป็นไปกับด้วยเทวโลก ให้ร่าเริงแล้ว ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ ตลอดคืนและวัน ๗ (ดังนี้) ดังนี้ ฯ (อันดาบสชื่อว่าสรทะ) กล่าวแล้ว ฯ ครั้นเมื่อพระศาสดา ประทับนั่งแล้ว อย่างนี้, อ. พระอัครสาวก ท. ๒ ด้วย อ. ภิกษุผู้เหลือ ท. ด้วย นั่งแล้ว บนอาสนะอันถึงแล้ว แก่ตน ๆ ฯ อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ ถือเอาแล้ว ซึ่งฉัตรอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ อันใหญ่ ได้ยืนกั้นอยู่แล้ว เหนือพระเศียร ของพระตถาคตเจ้า ฯ อ.พระศาสดา (ทรงอธิษฐานแล้ว) ว่า อ. สักการะนี้ ของชฎิล ท. เป็นสภาพมีผลใหญ่ จงเป็น ดังนี้ทรงเข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติชื่อว่านิโรธ ฯ อ. พระอัครสาวก ท. ๒ ก็ดี อ. ภิกษุผู้เหลือ ท. ก็ดี รู้แล้ว ซึ่งความที่ แห่งพระศาสดาเป็นผู้ทรงเข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติ เข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติ ฯ ครั้นเมื่อพระตถาคตเจ้า ประทับนั่งเข้าแล้ว ซึ่งสมาบัติชื่อว่านิโรธ ตลอดวันเจ็ด, อ.อันเตวาสิก ท., ครั้นเมื่อกาลเป็นที่เที่ยวไป เพื่อภิกษา ถึงพร้อมแล้ว, บริโภคแล้ว ซึ่งรากไม้และผลและผลอันเจริญ ในป่า ย่อมยืนประคอง ซึ่งอัญชลี ต่อพระพุทธเจ้า ท. สิ้นกาล อันเหลือ ฯ ส่วนว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ไม่ไปแล้ว แม้สู่ที่เป็นที่เที่ยวไป เพื่อภิกษา กั้นอยู่ ซึ่งฉัตรอันเป็นวิการแห่งดอกไม้เทียว www.kalyanamitra.org
  • 105.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 100 สตฺตาหํ ปีติสุเขน วีตินาเมสิ. สตฺถา นิโรธโต วุฏฺ€าย ทกฺขิณปสฺเส นิสินฺนํ อคฺคสาวกํ นิสภตฺเถรํ อามนฺเตสิ “นิสภ สกฺการการกานํ ตาปสาฃนํ ปุปฺผาสนานุโมทนํ กโรหีติ. เถโร จกฺกวตฺติรฺโ สนฺติกา ปฏิลทฺธมหาลาโภ มหาโยโธ วิย ตุฏฺ€มานโส สาวกปารมีาเณ €ตฺวา ปุปฺผาสนานุโมทนํ อารภิ. ตสฺส เทสนาวสาเน ทุติยสาวกํ อามนฺเตสิ “ตฺวํปิ ภิกฺขุ ธมฺมํ เทเสหีติ. อโนมตฺเถโร เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ สมฺมสิตฺวา ธมฺมํ กเถสิ . ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ เทสนาย เอกสฺสาปิ อภิสมโย นาโหสิ. อถ สตฺถา อปริมาเณ พุทฺธวิสเย €ตฺวา ธมฺมเทสนํ อารภิ. เทสนาปริโยสาเน €เปตฺวา สรทตาปสํ สพฺเพปิ จตุสตฺตติสหสฺสชฏิลา อรหตฺตํ ปาปุณึสุ. สตฺถา “ เอถ ภิกฺขโวติ หตฺถํ ปสาเรสิ. เตสํ ตาวเทว เกสมสฺสูนิ อนฺตรธายึสุ. อฏฺ€ ปริกฺขารา กาเย ปฏิมุกฺกาว อเหสุํ. “สรทตาปโส กสฺมา อรหตฺตํ น ปตฺโตติ . วิกฺขิตฺตจิตฺตตฺตา. ตสฺส กิร พุทฺธานํ ทุติยาสเน นิสีทิตฺวา สาวกปารมีาเณ €ตฺวา ธมฺมํ เทสยโต อคฺคสาวกสฺส ธมฺมเทสนํ โสตุํ อารทฺธกาลโต ปฏฺ€าย “อโห วตาหํปิ อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อิมินา สาวเกน ปฏิลทฺธํ ธุรํ ลเภยฺยนฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิ. โส เตน ปริวิตกฺเกน มคฺคผลปฺปฏิเวธํ กาตุํ นาสกฺขิ. ตถาคตํ ปน วนฺทิตฺวา สมฺมุเข €ตฺวา อาห “ภนฺเต ตุมฺหากํ อนนฺตราสเน นิสินฺโน ภิกฺขุ ตุมฺหากํ สาสเน โก นาม โหตีติ. (ยังกาล) ให้น้อมไปล่วงวิเศษแล้ว ด้วยสุขอันเกิดแล้วจากปีติ ตลอดวันเจ็ด ฯ อ.พระศาสดา เสด็จออกแล้ว จากนิโรธ ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่านิสภะ ผู้เป็นอัครสาวก ผู้นั่งแล้ว ณ ข้างเบื้องขวา (ด้วยพระด�ำรัส)ว่าดูก่อนนิสภะอ.เธอจงกระท�ำซึ่งการอนุโมทนา ในเพราะอาสนะอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ แก่ดาบส ท. ผู้กระท�ำ ซึ่งสักการะ ดังนี้ ฯ อ.พระเถระ ผู้มีใจยินดีแล้ว ราวกะ อ. นักรบใหญ่ ผู้มีลาภใหญ่ อันได้เฉพาะแล้ว จากส�ำนัก ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ตั้งอยู่แล้ว ในสาวกบารมีญาณ เริ่มแล้ว ซึ่งการอนุโมทนาในเพราะอาสนะ อันเป็นวิการแห่งดอกไม้ ฯ (อ.พระศาสดา) ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระสาวกที่สอง ในกาลเป็นที่สุดลงแห่งเทศนา ของพระนิสภะนั้น (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ อ. เธอ จงแสดง ซึ่งธรรม ดังนี้ฯ อ.พระเถระชื่อว่าอโนมะ พิจารณาแล้ว ซึ่งพระพุทธพจน์ คือประชุมแห่งปิฎกสาม กล่าวแล้ว ซึ่งธรรม ฯ อ. อันรู้เฉพาะ ไม่ได้มีแล้ว แก่ดาบสแม้รูปหนึ่ง ด้วยเทศนา ของพระอัครสาวก ท. ๒ ฯ ครั้งนั้น อ.พระศาสดา ทรงตั้งอยู่แล้ว ในวิสัยของพระพุทธเจ้า อันไม่มีประมาณ ทรงเริ่มแล้ว ซึ่งการแสดงซึ่งธรรม ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ.ชฎิล มีพัน ๗๔ เป็นประมาณ ท. แม้ทั้งปวง เว้น ซึ่งดาบสชื่อว่าสรทะ บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต ฯ อ.พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า (อ. เธอ ท.) เป็นภิกษุ (เป็น) จงมา ดังนี้ ทรงเหยียดออกแล้วซึ่งพระหัตถ์ ฯ อ. ผมและหนวด ท. ของดาบส ท. เหล่านั้น หายไปแล้ว ในขณะนั้นนั่นเทียว ฯ อ. บริขาร ท. ๘ เป็นของสวมเข้าแล้ว ที่กายเทียว ได้เป็นแล้ว ฯ (อ. อันถาม) ว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ไม่บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต เพราะเหตุอะไร ดังนี้ ฯ (อ. อันแก้ ว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ไม่บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต) เพราะความที่แห่งตนเป็นผู้มีจิตฟุ ้ งซ่านแล้ว (ดังนี้) ฯ ได้ยินว่า (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะนั้น) ยังความคิด ให้เกิดขึ้นแล้ว ว่า โอ ! หนอ แม้ อ. เรา พึงได้ ซึ่งธุระ อันอันพระสาวกนี้ได้เฉพาะแล้ว ในศาสนา ของพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จอุบัติ ในกาลอันไม่มาแล้ว ดังนี้ จ�ำเดิม แต่กาลแห่งดาบสชื่อว่าสรทะนั้น เริ่มแล้ว เพื่ออันฟัง ซึ่งธรรมเทศนา ของพระอัครสาวก ผู้นั่งแล้ว บนอาสนะที่สอง ของพระพุทธเจ้า ท. ตั้งอยู่แล้ว ในสาวกบารมีญาณ แสดงอยู่ ซึ่งธรรม ฯ อ.ดาบสชื่อว่าสรทะนั้น ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออันกระท�ำ ซึ่งการรู้ตลอดซึ่งมรรคและผล เพราะความปริวิตกนั้น ฯ ก็ (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระตถาคตเจ้า ยืนแล้ว ในที่พร้อมหน้า กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ภิกษุ ผู้นั่งแล้ว บนอาสนะอันเป็นล�ำดับ แห่งพระองค์ ท. เป็นผู้ชื่อ อะไร ในศาสนา ของพระองค์ ท. ย่อมเป็น ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 106.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย101 “ มยา ปวตฺติตํ ธมฺมจกฺกํ อนุปวตฺเตนฺโต สาวกปารมีาณสฺส โกฏิปฺปตฺโต โสฬส ปญฺญา ปฏิวิชฺฌิตฺวา ฐิโต มยฺหํ สาสเน อคฺคสาวโก นาม เอโสติ . “ภนฺเต ยฺวายํ มยา สตฺตาหํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธาเรนฺเตน สกฺกาโร กโต อหํ อิมศฺส ผเลน อญฺญํ สกฺกตฺต วา พฺรหมตฺตํ วา น ปตฺเถมิ, อนาคเต ปน อยํ นิสภตฺเถโร วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส อคฺคสาวโก ภเวยฺยนฺติ ปตฺถนํ อกาสิ. สตฺภา “สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข อิมสฺส ปุริสสฺส ปตฺถนาติ อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา โอโลเกนฺโต กปฺปสตสหสฺสาธิกํ เอกํ อสงเชยฺยํ อติกฺกมิตวา สมิชฺฌนภาวํ อทฺทส , ทิสฺวา สรทตาปสํ อาห น เต อยํ ปตฺถนา โมฆา ภวิสฺสติ, อนาคเต ปน กปฺปสตสหสฺสาธิกํ เอกํ อสงเขยฺยํ อติกกมิตฺวา โคตโม นาม พุทฺโธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส มาตา มหามายาเทวี นาม ภวิสฺสติ, ปิตา สุทฺโธทโน นาม มหาราชา, ปุตฺโต ราหุโล นาม, อุปฏฺ€าโก อานนฺโท นาม, ทุติยสาวโก โมคฺคลฺลาโน นาม, ตฺวํ ปนสฺส อคฺคสาวโก ธมฺมเสนาปติ สารีปุตฺโต นาม ภวิสฺสสีติ. เอวํ ตาปสํ พฺยากริตฺวา ธมฺมกถํ กเถตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อากาสํ ปกฺขนฺทิ. สรทตาปโสปิ อนฺเตวาสิกตฺเถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สหายกสฺส สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิกสฺส สาสนํ เปเสสิ “ภนฺเต มม สหายกสฺส วเทถ `สหายเกน เต สรทตาปเสน อโนมทสฺสิสฺส พุทฺธสฺส ปาทมูเล อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส สาสเน อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺถิตํ, ตฺวํ ทุติยสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถหีติ. (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า (อ. ภิกษุ) ผู้ยังจักรคือธรรม อันอันเราให้เป็นไปทั่วแล้ว ให้เป็นไปทั่วตามอยู่ บรรลุแล้วซึ่งที่สุด แห่งสาวกบารมีญาณ รู้ตลอดแล้ว ซึ่งปัญญา ท. ๑๖ ด�ำรงอยู่แล้ว, อ. ภิกษุนั่น ชื่อว่าสาวกผู้เลิศ ในศาสนา ของเรา ดังนี้ ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งความปรารถนา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. สักการะ นี้ใด อันข้าพระองค์ ผู้กั้นอยู่ ซึ่งฉัตรอันเป็นวิการแห่งดอกไม้ ตลอดวันเจ็ด กระท�ำแล้ว , อ.ข้าพระองค์ ย่อมไม่ปรารถนา ซึ่งความเป็นแห่งท้าวสักกะหรือ หรือว่าซึ่งความเป็นแห่งพรหม อื่น ด้วยผล แห่งสักการะนี้, แต่ว่า (อ. ข้าพระองค์) เป็นสาวกผู้เลิศ ของพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง พึงเป็น ในการอันไม่มาแล้ว ราวกะ อ. พระเถระชื่อว่านิสภะ นี้ ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ทรงส่งไปแล้ว ซึ่งญาณอันเป็นส่วนแห่งกาล อันไม่มาแล้ว ทรงตรวจดูอยู่ ว่า อ. ความปรารถนา แห่งบุรุษนี้ จักส�ำเร็จ หรือหนอแล ดังนี้ ได้ทรงเห็นแล้ว ซึ่งความเป็นคือ อันก้าวล่วงแล้ว ซึ่งอสงไขย หนึ่ง อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป ์ ส�ำเร็จ, (อ. พระศาสดา) ครั้นทรงเห็นแล้ว ตรัสแล้ว กะดาบสชื่อว่าสรทะ ว่า อ. ความปรารถนา นี้ แห่งท่าน เป็นธรรมชาติเปล่า จักเป็น หามิได้, ก็ อ. พระพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติ ในโลก ก้าวล่วง ซึ่งอสงไขยหนึ่ง อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป ์ ในกาลอันไม่มาแล้ว, อ.พระมารดา ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ทรงพระนามว่ามหามายาเทวี จักเป็น, อ. พระบิดา เป็นพระราชาผู้ใหญ่ พระนามว่าสุทโธทนะ (จักเป็น), อ. พระโอรส เป็นผู้ทรงพระนามว่าราหุล (จักเป็น), อ. ภิกษุผู้อุปัฏฐาก เป็นผู้ชื่อว่าอานนท์ (จักเป็น), อ. สาวกที่สอง เป็นผู้ชื่อว่า โมคคัลลานะ (จักเป็น), ส่วนว่า อ. ท่าน เป็นผู้ชื่อว่า สารีบุตร ผู้ธรรมเสนาบดี ผู้เป็นสาวกผู้เลิศ ของพระพุทธเจ้านั้น จักเป็น ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา) ครั้นทรงพยากรณ์แล้ว ซึ่งดาบส อย่างนี้ตรัสแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่อากาศ ฯ แม้ อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระเถระ ผู้เป็นอันเตวาสิก ท. ส่งไปแล้ว ซึ่งข่าวสาส์น แก่กุฎุมพีชื่อว่า สิริวัฑฒ์ ผู้เป็นสหาย ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ท. จงบอก แก่สหาย ของเรา ว่า อ. ต�ำแหน่งแห่งสาวกผู้เลิศ ในศาสนา ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้เสด็จอุบัติ ในกาลอันไม่มาแล้ว อันดาบสชื่อว่าสรทะ ผู้เป็นสหาย ของท่าน ปรารถนาแล้ว ณ ที่ใกล้แห่งพระบาท ของพระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี, อ.ท่าน จงปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สอง ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 107.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 102 เอวฺจ ปน วตฺวา เถเรหิ ปุเรตรเมว เอกปสฺเสน คนฺตฺวา สิริวฑฺฒสฺส นิเวสนทฺวาเร อฏฺ€าสิ. สิริวฑฺโฒ “จิรสฺสํ วต เม อยฺโย อาคโตติ อาสเน นิสีทาเปตฺวา อตฺตนา นีจตเร อาสเน นิสินฺโน “อนฺเตวาสิกปริสา ปน โว ภนฺเต น ปฺายนฺตีติ ปุจฺฉิ, “อาม สมฺม, อมฺหากํ อสฺสมํ อโนมทสฺสี พุทฺโธ อาคโต, มยํ ตสฺส อตฺตโน พเลน สกฺการํ กริมฺหา, สตฺถา สพฺเพสํ ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน €เปตฺวา มํ เสสา อรหตฺตํ ปตฺตา ปพฺพชึสุ, อหํ สตฺถุ อคฺคสาวกํ นิสภตฺเถรํ ทิสฺวา อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส นาม สาสเน อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถสึ, ตฺวํปิ ตสฺส สาสเน ทุติยสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถหีติ. “มยฺหํ พุทฺเธหิ สทฺธึ ปริจโย นตฺถิ ภนฺเตติ. “พุทฺเธหิ สทฺธึ กถนํ มยฺหํ ภาโร โหตุ, ตฺวํ มหนฺตํ อภิสกฺการํ สชฺเชหีติ. สิริวฑฺโฒ ตสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน นิเวสนทฺวาเร ราชมาเนน อฏฺ€กรีสมตฺตํ €านํ สมตลํ กาเรตฺวา วาลิกํ โอกิริตฺวา ลาชปฺจมานิ ปุปฺผานิ วิกฺกิริตฺวา นีลุปฺปลจฺฉทนํ มณฺฑปํ การาเปตฺวา พุทฺธาสนํ ปฺาเปตฺวา เสสภิกฺขูนํปิ อาสนานิ ปฏิยาเทตฺวา มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ สชฺเชตฺวา พุทฺธานํ นิมนฺตนตฺถาย สรทตาปสสฺส สฺํ อทาสิ. ตาปโส พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ คเหตฺวา ตสฺส นิเวสนํ อคมาสิ. สิริวฑฺโฒปิ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ตถาคตสฺส หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา มณฺฑปํ ปเวเสตฺวา ก็แล (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ครั้นกล่าวแล้ว อย่างนี้ ไปแล้ว โดยข้างข้างหนึ่ง ก่อนกว่า กว่าพระเถระ ท. นั่นเทียว ได้ยืนแล้ว ใกล้ประตูแห่งนิเวศน์ ของกุฎุมพีชื่อว่าสิริวัฑฒ์ ฯ อ. สิริวัฑฒ์ (กล่าวแล้ว) ว่า อ. พระผู้เป็นเจ้า ของเรา มาแล้ว สิ้นกาลนานหนอ ดังนี้(ยังดาบสชื่อว่าสรทะ) ให้นั่งแล้ว บนอาสนะ นั่งแล้วบนอาสนะอันต�่ำกว่าด้วยตนถามแล้วว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ อ. บริษัทคืออันเตวาสิก ท. ของท่าน ท. ย่อมไม่ปรากฏ ดังนี้ ฯ (อ.ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ว) ว่าดูก่อนสหาย เออ (อ. อย่างนั้น), อ. พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จมาแล้ว สู่อาศรม ของเรา ท., อ. เรา ท. กระท�ำแล้ว ซึ่งสักการะ แก่พระพุทธเจ้า นั้น ตามก�ำลัง ของตน, อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซึ่งธรรม แก่เรา ท. ทั้งปวง, ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ. ดาบส ท. ผู้เหลือ เว้น ซึ่งเรา บรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัต บวชแล้ว, อ. เรา เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่านิสภะ ผู้เป็นอัครสาวก ของพระศาสดา ปรารถนาแล้ว ซึ่งต�ำแหน่งแห่งอัครสาวก ในศาสนา ชื่อของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมผู้เสด็จอุบัติ ในกาลอันไม่มาแล้ว, แม้ อ. ท่าน จงปรารถนา ซึ่งต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สอง ในศาสนา ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมนั้น ดังนี้ ฯ (อ. สิริวัฑฒ์ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ความคุ้นเคย กับ ด้วยพระพุทธเจ้า ท. แห่งข้าพเจ้า ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ว) ว่า อ. การกราบทูล กับ ด้วยพระพุทธเจ้า ท. เป็นภาระ ของเรา จงเป็น, อ. ท่าน จงจัดแจง ซึ่งสักการะอันยิ่งใหญ่เถิด ดังนี้ฯ อ. สิริวัฑฒ์ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำ ของดาบสชื่อว่าสรทะนั้น ยังบุคคล ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งที่มีกรีสแปดเป็นประมาณ โดยเครื่องวัดของพระราชา ใกล้ประตูแห่งนิเวศน์ ของตน ให้เป็นที่มีพื้นเสมอ เกลี่ยลงแล้ว ซึ่งทราย เรี่ยรายแล้ว ซึ่งดอกไม้ ท. มีข้าวตอกเป็นที่ห้า ยังบุคคล ให้กระท�ำแล้วซึ่งปะร�ำ มีดอกอุบลเขียวเป็นเครื่องมุง ยังบุคคล ให้ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะของพระพุทธเจ้า ตกแต่งแล้ว ซึ่งอาสนะ ท. แม้แก่ภิกษุผู้เหลือ ท. จัดแจงแล้ว ซึ่งสักการะและสัมมานะ อันใหญ่ ได้ให้แล้ว ซึ่งสัญญา แก่ดาบสชื่อว่าสรทะ เพื่อประโยชน์ แก่การทูลนิมนต์ ซึ่งพระพุทธเจ้า ท. ฯ อ. ดาบส พาเอา ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้ไปแล้ว สู่นิเวศน์ ของสิริวัฑฒ์นั้น ฯ แม้ อ. สิริวัฑฒ์ กระท�ำแล้ว ซึ่งการต้อนรับ รับแล้ว ซึ่งบาตร จากพระหัตถ์ ของพระตถาคตเจ้า (ยังพระศาสดา) ให้เสด็จเข้าไปแล้ว สู่ปะร�ำ www.kalyanamitra.org
  • 108.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย103 ปฺตฺตาสเน นิสินฺนสฺส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ปณีตโภชเนน ปริวิสิตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ มหารเหหิ วตฺเถหิ อจฺฉาเทตฺวา “ภนฺเต นายํ อารมฺโภ อปฺปมตฺตกฏฺ€านตฺถาย, อิมินาว นิยาเมน สตฺตาหํ อนุกมฺปํ กโรถาติ อาห. สตฺถา อธิวาเสสิ. โส เตเนว นิยาเมน สตฺตาหํ มหาทานํ ปวตฺเตตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อฺชลึ ปคฺคยฺห €ิโต อาห “ภนฺเต มม สหาโย สรทตาปโส `ยสฺส สตฺถุ อคฺคสาวโก ภเวยฺยนฺติ ปตฺเถสิ, อหํ ตสฺเสว ทุติยสาวโก ภเวยฺยนฺติ. สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา ตสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา พฺยากาสิ “ตฺวํปิ อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสงฺเขยฺยํ อติกฺกมิตฺวา โคตมพุทฺธสฺส ทุติยสาวโก ภวิสฺสสีติ. พุทฺธานํ พฺยากรณํ สุตฺวา สิริวฑฺโฒ หฏฺ€ปหฏฺโ€ อโหสิ. สตฺถาปิ ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา สปริวาโร วิหารเมว คโต. อยํ ภิกฺขเว มม ปุตฺเตหิ ตทา ปตฺถิตปตฺถนา, เต ยถาปตฺถิตเมว ลภึสุ, นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา เทมีติ. เอวํ วุตฺเต, เทฺว อคฺคสาวกา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา “ภนฺเต มยํ อคาริยภูตา สมานา คิรคฺคสมชฺชํ ทสฺสนาย คตาติ ยาว อสฺสชิตฺเถรสฺส สนฺติกา โสตาปตฺติผลปฏิเวธา สพฺพํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุํ กเถตฺวา “เต มยํ ภนฺเต สฺชยสฺส อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ ตุมฺหากํ ปาทมูลํ อาเนตุกามา, ตสฺส ลทฺธิยา นิสฺสารภาวํ กเถตฺวา ถวายแล้ว ซึ่งน�้ำเพื่อทักษิณา แก่หมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า- เป็นประมุข ผู้นั่งแล้ว บนอาสนะอันบุคคลปูลาดแล้ว อังคาสแล้ว ด้วยโภชนะอันประณีต ยังหมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้ห่มแล้ว ด้วยผ้า ท. อันควรแก่ค่ามาก ในกาลเป็นที่สุดลงรอบ แห่งกิจด้วยภัตร กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.ความริเริ่มนี้(ย่อมเป็นไป)เพื่อประโยชน์แก่ต�ำแหน่งมีประมาณน้อย หามิได้, อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงกระท�ำ ซึ่งความอนุเคราะห์ ตลอดวันเจ็ด โดยท�ำนอง นี้เทียว ดังนี้ฯ อ. พระศาสดา (ทรงยังค�ำนิมนต์) ให้อยู่ทับแล้ว ฯ อ. สิริวัฑฒ์ นั้น ยังทานใหญ่ ให้เป็นไปทั่วแล้ว ตลอดวันเจ็ด โดยท�ำนองนั้นนั่นเทียว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนประคองแล้ว ซึ่งอัญชลี กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.ดาบสชื่อว่าสรทะผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ ปรารถนาแล้วว่า อ. เรา เป็นสาวกผู้เลิศ ของพระศาสดา พระองค์ใด พึงเป็น ดังนี้, อ. ข้าพระองค์ เป็นสาวกที่สอง ของพระศาสดา พระองค์นั้นนั่นเทียว พึงเป็น ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ซึ่งกาลอันไม่มาแล้ว ทรงเห็นแล้ว ซึ่งความเป็นคืออันส�ำเร็จ แห่งความปรารถนา แห่งสิริวัฑฒ์นั้น ทรงพยากรณ์แล้ว ว่า แม้ อ. ท่าน เป็นสาวกที่สอง ของพระพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม จักเป็น ก้าวล่วง ซึ่งอสงไชย อันยิ่งด้วยแสนแห่งกัปป์ แต่ภัททกัปป ์ นี้ดังนี้ฯ อ. สิริวัฑฒ์ ฟังแล้ว ซึ่งค�ำพยากรณ์ ของพระพุทธเจ้า ท. เป็นผู้ร่าเริงแล้วและร่าเริงทั่วแล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ แม้ อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการอนุโมทนาในเพราะภัตร ผู้เป็นไปกับด้วยบริวาร เสด็จไปแล้ว สู่วิหารนั่นเทียว ฯ ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ความปรารถนา) นี้เป็นความปรารถนาอัน บุตร ท. ของเรา ปรารถนาแล้ว ในกาลนั้น (ย่อมเป็น), (อ. บุตร ท. ของเรา) เหล่านั้น ได้แล้ว ตามความปรารถนานั่นเทียว, อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดู ซึ่งหน้า หามิได้ ดังนี้ ฯ ครั้นเมื่อพระด�ำรัสอย่างนี้ (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว, อ. พระอัครสาวก ท. สอง ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลแล้ว ซึ่งเรื่องอันเกิดขึ้นเฉพาะแล้ว ทั้งปวง เพียงใด แต่การรู้ตลอดซึ่งโสดาปัตติผล จากส�ำนัก ของพระเถระชื่อว่าอัสสชิ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ท. เป็นผู้มีเรือนเป็นแล้ว มีอยู่ เป็นผู้ไปแล้ว เพื่ออันเห็น ซึ่งมหรสพอันบุคคลพึงเล่นบนยอด แห่งภูเขา (ย่อมเป็น) ดังนี้เป็นต้น (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ท. เหล่านั้น ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของอาจารย์ ชื่อว่าสญชัย เป็นผู้ใคร่เพื่ออันน�ำมา ซึ่งอาจารย์นั้น สู่ที่ใกล้ แห่งพระบาท ของพระองค์ ท. (เป็น), บอกแล้ว ซึ่งความที่แห่งลัทธิ ของอาจารย์นั้น เป็นลัทธิไม่มีสาระ www.kalyanamitra.org
  • 109.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 104 อิธาคมเน อานิสํสํ กถยิมฺหา, โส `อิทานิ มยฺหํ อนฺเตวาสิวาโส นาม จาฏิยา อุทกจลนภาวปฺปตฺติสทิโส, น สกฺขิสฺสามิ อนฺเตวาสิวาสํ วสิตุนฺติ วตฺวา; `อาจริย อิทานิ มหาชโน คนฺธมาลาทิหตฺโถ คนฺตฺวา สตฺถารํเยว ปูเชสฺสติ, ตุมฺเห กถํ ภวิสฺสถาติ วุตฺเต, `กึ ปน อิมสฺมึ โลเก ปณฺฑิตา พหู อุทาหุ ทนฺธาติ, `ทนฺธาติ กถิเต, `เตนหิ ปณฺฑิตา ปณฺฑิตา สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ คมิสฺสนฺติ, ทนฺธา ทนฺธา มม สนฺติกํ อาคมิสฺสนฺติ, คจฺฉถ ตุมฺเหติ วตฺวา อาคนฺตุํ น อิจฺฉิ ภนฺเตติ. ตํ สุตฺวา สตฺถา “ภิกฺขเว สฺชโย อตฺตโน มิจฺฉาทิฏฺ€ิตาย อสารํ `สาโรติ สารฺจ `อสาโรติ คณฺหิ, ตุมฺเห ปน อตฺตโน ปณฺฑิตตาย สารํ สารโต อสารฺจ อสารโต ตฺวา อสารํ ปหาย สารเมว คณฺหิตฺถาติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ “อสาเร สารมติโน สาเร จาสารทสฺสิโน เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา สารฺจ สารโต ตฺวา อสารฺจ อสารโต เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจราติ. ตตฺถ “อสาเร สารมติโนติ: จตฺตาโร ปจฺจยา, ทสวตฺถุกา มิจฺฉาทิฏฺ€ิ, ตสฺสา อุปนิสฺสยภูตา ธมฺมเทสนาติ อยํ อสาโร นาม, ตสฺมึ สารทิฏฺ€ิโนติ อตฺโถ. สาเร จาสารทสฺสิโนติ: ทสวตฺถุกา สมฺมาทิฏฺ€ิ, ตสฺสาอุปนิสฺสยภูตา ธมฺมเทสนาติ อยํ สาโร นาม, ตสฺมึ “นายํ สาโรติ อสารทสฺสิโน. บอกแล้ว ซึ่งอานิสงส์ ในการมา ในที่นี้, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. อาจารย์นั้น กล่าวแล้ว ว่า ในกาลนี้ ชื่อ อ. การอยู่โดย- ความเป็นอันเตวาสิก แห่งเรา เป็นเช่นกับด้วยการถึงซึ่งความเป็น- คืออันไหวแห่งน�้ำ ในตุ่ม (ย่อมเป็น), อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันอยู่ อยู่โดยความเป็นอันเตวาสิก ดังนี้; (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่อาจารย์ ในกาลนี้อ. มหาชน ผู้มีวัตถุมีของหอมและระเบียบเป็นต้นในมือ ไปแล้ว จักบูชา ซึ่งพระศาสดา นั่นเทียว, อ. ท่าน ท. จักเป็น อย่างไร ดังนี้ (อันข้าพระองค์ ท.) กล่าวแล้ว, (กล่าวแล้ว) ว่า ก็ อ. คนฉลาด ท. ในโลกนี้ เป็นผู้มาก (ย่อมเป็น) หรือ หรือว่า อ.คนโง่ท.(เป็นผู้มาก)(ย่อมเป็น)ดังนี้,(ครั้นเมื่อค�ำ)ว่าอ.คนโง่ท. (เป็นผู้มาก) (ย่อมเป็น) ดังนี้ (อันข้าพระองค์ ท.) กล่าวแล้ว, กล่าวแล้ว ว่า ถ้าอย่างนั้น อ. คนฉลาด ท. ๆ จักไป สู่ส�ำนัก ของพระสมณะ ผู้โคดม, อ. คนโง่ ท. ๆ จักมา สู่ส�ำนัก ของเรา, อ. ท่าน ท. จงไป ดังนี้ไม่ปรารถนาแล้ว เพื่ออันมา ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สญชัย ถือเอาแล้ว ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ ว่า อ. ธรรมอันเป็นสาระ ดังนี้ ด้วย ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ ว่า อ. ธรรมอันไม่เป็นสาระ ดังนี้ ด้วย เพราะความที่แห่งตนเป็นผู้มีความเห็นผิด, ส่วนว่า อ. เธอ ท. รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันเป็นสาระด้วย ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันไม่เป็นสาระด้วย ละแล้ว ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ ถือเอาแล้ว ซึ่งธรรม อันเป็นสาระ นั่นเทียว เพราะความที่แห่งตนเป็นคนฉลาด ดังนี้ ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า (อ. ชน ท. เหล่าใด) เป็นผู้มีความรู้ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ ในธรรมอันไม่เป็นสาระด้วย เป็นผู้เห็นซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ โดยปกติ ในธรรมอันเป็นสาระด้วย (ย่อมเป็น) อ. ชน ท. เหล่านั้น เป็นผู้มีความด�ำริผิดเป็นอารมณ์ (เป็น) ย่อมไม่ถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ (อ. ชน ท. เหล่าใด) รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันเป็นสาระ ด้วย ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ โดยความเป็นธรรมอันไม่เป็น- สาระด้วย อ. ชน ท. เหล่านั้น เป็นผู้มีความด�ำริชอบ- เป็นอารมณ์ (เป็น) ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ ดังนี้ ฯ อ.อรรถ ว่า อ.ธรรมนี้ คือ อ.ปัจจัย ท. ๔, อ.ความเห็นผิด อันมีวัตถุ ๑๐ , อ.ธรรมเทศนา อันเป็นอุปนิสัย แห่งความเห็นผิด นั้น เป็นแล้ว ชื่อว่าธรรมอันไม่เป็นสาระ, เป็นผู้มีความเห็นซึ่งธรรม อันเป็นสาระ ในธรรมอันไม่เป็นสาระนั้น ดังนี้ ในบท ท. เหล่านั้น หนา (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า อสาเร สารมติโน ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.ธรรมนี้ คือ อ.ความเห็นชอบ อันมีวัตถุ ๑๐, อ.ธรรมเทศนา อันเป็นอุปนิสัย แห่งความเห็นชอบนั้น เป็นแล้ว ชื่อว่าธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้เห็นซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระโดยปกติ ว่า อ.ธรรมนี้เป็นสาระ (ย่อมเป็น) หามิได้ ดังนี้ ในธรรมอันเป็นสาระ นั้น(ดังนี้)(แห่งบาทแห่งพระคาถา)ว่าสาเร จาสารทสฺสิโนดังนี้ฯ www.kalyanamitra.org
  • 110.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย105 เต สารนฺติ: เต ตํ มิจฺฉาทิฏฺ€ิคหณํ คเหตฺวา €ิตา กามวิตกฺกาทีนํ วเสน มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา หุตฺวา สีลสารํ สมาธิสารํ ปฺาสารํ วิมุตฺติสารํ วิมุตฺติาณทสฺสนสารํ ปรมตฺถสารํ นิพฺพานฺจ นาธิคจฺฉนฺติ. สารญฺจาติ: ตเมว สีลสาราทิสารํ “สาโร นาม อยนฺติ วุตฺตปฺปการฺจ อสารํ “อสาโร อยนฺติ ตฺวา. เต สารนฺติ: เต ปณฺฑิตา เอวํ สมฺมาทสฺสนํ คเหตฺวา €ิตา เนกฺขมฺมสงฺกปฺปาทีนํ วเสน สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา หุตฺวา ตํ วุตฺตปฺปการํ สารํ อธิคจฺฉนฺตีติ. คาถาปริโยสาเน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิปาปุณึสุ. สนฺนิปติตานํ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีติ. สญฺชยวตฺถุ. ๙. นนฺทตฺเถรวตฺถุ. (๙) “ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อายสฺมนฺตํ นนฺทํ อารพฺภ กเถสิ. สตฺถา หิ ปวตฺติตปวรธมฺมจกฺโก ราชคหํ คนฺตฺวา เวฬุวเน วิหรนฺโต, “ปุตฺตํ เม อาเนตฺวา ทสฺเสถาติ สุทฺโธทนมหาราเชน เปสิตานํ สหสฺสสหสฺสปริวารานํ ทสนฺนํ ทูตานํ สพฺพปจฺฉโต คนฺตฺวา อรหตฺตํ ปตฺเตน กาฬุทายิตฺเถเรน อาคมนกาลํ ญตฺวา สฏฺฐิมตฺตาย คาถาย มคฺควณฺณํ วณฺเณตฺวา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต กปิลวตฺถุปุรํ นีโต, (อ.อรรถ) ว่า อ.ชน ท. เหล่านั้น คือว่า ผู้ถือเอา ถือเอาซึ่งความเห็นผิด นั้น ตั้งอยู่แล้ว เป็นผู้มีความด�ำริผิดเป็นอารมณ์ เป็น ด้วยอ�ำนาจ แห่งวิตก ท. มีกามวิตกเป็นต้น ย่อมไม่ถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ คือศีลด้วยซึ่งธรรมอันเป็นสาระคือสมาธิด้วยซึ่งธรรมอันเป็นสาระ คือปัญญาด้วย ซึ่งธรรมอันเป็นสาระคือวิมุตติด้วย ซึ่งธรรม อันเป็นสาระคือวิมุตติญาณทัสสนะด้วย ซึ่งพระนิพพาน อันเป็นสาระ คือประโยชน์อย่างยิ่งด้วย (ดังนี้) (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า เต สารํ ดังนี้เป็นต้น ฯ (อ.อรรถ) ว่า รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นสาระมีธรรมอันเป็นสาระ คือศีลเป็นต้น นั้นนั่นเทียว ว่า อ.ธรรมนี้ชื่อว่าเป็นสาระ (ย่อมเป็น) ดังนี้ด้วย ซึ่งธรรมอันไม่เป็นสาระ มีประการอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ว่า อ.ธรรมนี้ เป็นธรรมไม่เป็นสาระ (ย่อมเป็น) ดังนี้ด้วย (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า สารญฺจ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า (อ.ชน ท.) เหล่านั้น คือว่า ผู้ฉลาด คือว่า ผู้ถือเอา ซึ่งความเห็นชอบ อย่างนี้ ตั้งอยู่แล้ว เป็นผู้มีความด�ำริชอบ เป็นอารมณ์ เป็น ด้วยอ�ำนาจ (แห่งความด�ำริ ท.) มีความด�ำริ ในเนกขัมมะเป็นต้น เป็น ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็นสาระ มีประการอันข้าพเจ้ากล่าวแล้ว นั้น ดังนี้ (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า เต สารํ ดังนี้เป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. ชน ท. มาก บรรลุแล้ว (ซึ่งอริยผล ท.) มีโสดาบัตติผลเป็นต้น ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) ผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล ฯ อ. เรื่องแห่งปริพาชกชื่อว่าสญชัย (จบแล้ว) ฯ ๙. อ. เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่านันทะ (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนานี้ ว่า ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ ดังนี้เป็นต้น ฯ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. พระศาสดา ผู้มีจักรคือธรรม อันประเสริฐอันทรงให้เป็นไปทั่วแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่า ราชคฤห์ ประทับอยู่อยู่ ในพระเวฬุวัน, ผู้อัน - แห่งทูต ท. สิบ ผู้มีบุรุษ มีพันหนึ่ง ๆ เป็นประมาณเป็นบริวาร ผู้อันพระเจ้าสุทโธทนะ มหาราช ทรงไปแล้ว ด้วยพระด�ำรัส ว่า อ.ท่าน ท. จงน�ำมาแล้ว ซึ่งบุตรของเรา แสดงแก่เรา ดังนี้ หนา พระเถระชื่อว่ากาฬุทายี ผู้ไปแต่ภายหลังแห่งทูตทั้งปวง แล้วจึงบรรลุแล้วซึ่งความเป็น แห่งพระอรหันต์ ทราบกาลเป็นที่เสด็จมาแล้ว จึงพรรณนาแล้ว พรรณนาซึ่งหนทาง ด้วยคาถา มีคาถาหกสิบเป็นประมาณ ผู้อันพระขีณาสพมีพันยี่สิบเป็นประมาณแวดล้อมแล้วน�ำไปแล้ว สู่บุรีชื่อว่ากบิลพัสดุ, www.kalyanamitra.org
  • 111.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 106 ญาติสมาคเม โปกฺขรวสฺสํ อตฺถุปฺปตฺตึ กตฺวา มหาเวสฺสนฺตรชาตกํ กเถตฺวา, ปุนทิวเส ปิณฺฑาย ปวิฏฺโฐ “อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺยาติ คาถาย ปิตรํ โสตาปตฺติผเล ปติฏฺฐาเปตฺวา “ธมฺมญฺจเร สุจริตนฺติ คาถาย มหาปชาปตึ โคตมึ โสตาปตฺติผเล ราชานญฺจ สกทาคามิผเล ปติฏฺฐาเปสิ. ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ปน ราหุลมาตุคุณกถํ นิสฺสาย จนฺทกินฺนรีชาตกํ กเถตฺวา, ตโต ตติยทิวเส นนฺทกุมารสฺส อภิเสกเคหปฺปเวสนวิวาหมงฺคเลสุ วตฺตมาเนสุ, ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา นนฺทกุมารสฺส หตฺเถ ปตฺตํ ทตฺวา มงฺคลํ วตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมนฺโต นนฺทกุมารสฺส หตฺถโต ปตฺตํ น คณฺหิ. โสปิ ตถาคตคารเวน “ปตฺตํ โว ภนฺเต คณฺหถาติ วตฺตุํ นาสกฺขิ. เอวํ ปน จินฺเตสิ “ โสปาณสีเส ปตฺตํ คณฺหิสฺสตีติ. สตฺถา ตสฺมึปิ ฐาเน น คณฺหิ. อิตโร “โสปาณปาทมูเล คณฺหิสฺสตีติ จินฺเตสิ. สตฺถา ตตฺถาปิ น คณฺหิ. อิตโร “ราชงฺคเณ คณฺหิสฺสตีติ จินฺเตสิ. สตฺถา ตตฺถาปิ น คณฺหิ. กุมาโร นิวตฺติตุกาโม อรุจิยา คจฺฉนฺโต ตถาคตคารเวน “ปตฺตํ คณฺหถาติ วตฺตุํ น สกฺโกติ, “อิธ คณฺหิสฺสติ, เอตฺถ คณฺหิสฺสตีติ จินฺเตนฺโต คจฺฉติ. ตสฺมึ ขเณ อญฺญา อิตฺถิโย ตํ ทิสฺวา ชนปทกลฺยาณิยา อาจิกฺขึสุ “ อยฺเย ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งฝนโบกขรพัส ให้เป็นเหตุเป็นเป็นแดนเกิดขึ้น แห่งเนี้อความ ตรัสแล้ว ซึ่งมหาเวสสันดรชาดก ในสมาคม แห่งพระญาติเสด็จเข้าไปแล้วเพื่อบิณฑะ ในวันรุ่งขึ้นยังพระบิดา ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล ด้วยพระคาถาว่า อุตุติฎฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย (บุคคลไม่พึงประมาทในก้อนข้าวอันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ) ดังนี้ เป็นต้น ยังพระนางมหาปชาบดี ผู้โคตมี ให้ตั้งอยู่ เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผลด้วย ยังพระราชา ให้ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในสกทาคามิผลด้วย ด้วยพระคาถา ว่า ธมฺมญฺจเร สุจริตํ (บุคคลพึงประพฤติซึ่งธรรมให้เป็น สุจริต) ดังนี้เป็นต้น ฯ ก็ อ.พระศาสดา ทรงอาศัย ซึ่งวาจาเป็นเครื่องกล่าวซึ่งคุณ แห่งพระมารดาของพระราหุล ตรัสแล้ว ซึ่งจันทกินนรีชาดก ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกิจด้วยภัต ครั้นเมื่อมงคลคือการอภิเษก และมงคลคืออันเข้าไปสู่เรือนและมงคลคือวิวาหะ ท. แห่งพระกุมาร พระนามว่านันทะ เป็นไปอยู่ เสด็จเข้าไปแล้วเพื่อบิณฑะ ในวันที่ ๓ แต่วันนั้น ประทานแล้ว ซึ่งบาตร บนพระหัตถ์ ของพระกุมาร พระนามว่านันทะ ตร้สแล้วซึ่งมงคล เสด็จลุกขึ้นแล้วจากอาสนะ หลีกไปอยู่ ไม่ทรงรับแล้ว ซึ่งบาตร จากพระหัตถ์ ของพระกุมาร พระนามว่านันทะ ฯ อ. พระนันทกุมารแม้นั้น ไม่ได้ทรงอาจแล้ว เพื่ออันกราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงรับ ซึ่งบาตร ของพระองค์ ท. ดังนี้ด้วยความเคารพในพระตถาคตเจ้า ฯ แต่ว่า (อ.พระนันทกุมาร) ทรงด�ำริแล้ว อย่างนี้ ว่า (อ. พระศาสดา) จักทรงรับ ซึ่งบาตร ที่หัวแห่งบันได ดังนี้ ฯ อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ว ในที่แม้นั้น ฯ อ. พระนันทกุมารนอกนี้ ทรงด�ำริแล้ว ว่า (อ. พระศาสดา) จักทรงรับ ณ โคนแห่งเชิงของบันได ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา) ไม่ทรงรับแล้ว ในที่แม้นั้น ฯ อ. พระนันทกุมารนอกนี้ ทรงด�ำริแล้ว ว่า (อ. พระศาสดา) จักทรงรับ ที่เนินของพระราชา ดังนี้ฯ อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ว ในที่แม้นั้น ฯ อ. พระกุมาร เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเสด็จกลับ (เป็น) เสด็จไปอยู่ ด้วยความไม่ชอบพระทัย ย่อมไม่ทรงอาจ เพื่ออันกราบทูล ว่า อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงรับ ซึ่งบาตร ดังนี้ ด้วยความเคารพ ในพระตถาคตเจ้า, ย่อมเสด็จด�ำริไปอยู่ ว่า (อ.พระศาสดา) จักทรงรับเอา ในที่นี้, จักทรงรับเอา ในที่นั่น ดังนี้ ฯ ในขณะนั้น อ.หญิงอยู่ ท. เหล่าอื่น เห็นแล้ว ซึ่งเหตุนั้น บอกแล้ว แก่พระนางชนบทกัลยาณี ว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า www.kalyanamitra.org
  • 112.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย107 ภควา นนฺทกุมารํ คเหตฺวา คโต, ตุมฺเหหิ ตํ วินา กริสฺสตีติ. สาปิ ตํ สุตฺวา อุทกพินฺทูหิ ปคฺฆรนฺเตเหว อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ เวเคน คนฺตฺวา “ตุวฏํ โข อยฺยปุตฺต อาคจฺเฉยฺยาสีติ อาห. ตํ ตสฺสา วจนํ ตสฺส หทเย ติริยํ ปติตฺวา วิย €ิตํ. สตฺถาปิสฺส หตฺถโต ปตฺตํ อคฺคณฺหิตฺวาว ตํ วิหารํ เนตฺวา “ปพฺพชิสฺสสิ นนฺทาติ อาห. โส พุทฺธคารเวน “น ปพฺพชิสฺสามีติ อวตฺวา “อาม ภนฺเต ปพฺพชิสฺสามีติ อาห. สตฺถา “เตนหิ ภิกฺขเว นนฺทํ ปพฺพาเชถาติ อาห. สตฺถา กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา ตติยทิวเส นนฺทํ ปพฺพาเชสิ. สตฺตเม ทิวเส ราหุลมาตา กุมารํ อลงฺกริตฺวา ภควโต สนฺติกํ เปเสสิ “ปสฺส ตาต เอตํ วีสติสหสฺสสมณปริวุตํ สุวณฺณวณฺณํ พฺรหฺมรูปวณฺณํ สมณํ, อยนฺเต ปิตา, เอตสฺส ตว ปิตุโน ชาตกาเล มหนฺตา นิธิกุมฺภิโย อเหสุํ, ตสฺส นิกฺขมนกาลโต ปฏฺ€าย น ปสฺสามิ, คจฺฉ นํ ทายชฺชํ ยาจาหิ `อหํ ตาต กุมาโร, อภิเสกํ ปตฺวา จกฺกวตฺตี ภวิสฺสามิ, ธเนน เม อตฺโถ, ธนํ เม เทหิ, สามิโก หิ ปุตฺโต ปิตุ สนฺตกสฺสาติ. กุมาโร ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปิตุสิเนหํ ปฏิลภิตฺวา หฏฺ€ตุฏฺโ€ “สุขา เต สมณ ฉายาติ วตฺวา อฺํปิ พหุํ อตฺตโน อนุรูปํ วทนฺโต อฏฺ€าสิ. ภควา กตภตฺตกิจฺโจ อนุโมทนํ กตฺวา อุฏฺ€ายาสนา ปกฺกามิ. กุมาโรปิ “ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ, ทายชฺชํ เม สมณ เทหีติ ภควนฺตํ อนุพนฺธิ. อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพาเอา ซึ่งพระนันทกุมาร เสด็จไปแล้ว, จักทรงกระท�ำ ซึ่งพระนันทกุมารนั้น เว้น จากพระองค์ ท. ดังนี้ ฯ อ.พระนางชนบทกัลยาณีแม้นั้น ทรงสดับแล้ว ซึ่งค�ำนั้น ด้วยทั้งหยาดแห่งน�้ำ ท. อันไหลออกอยู่นั่นเทียว ด้วยทั้งผม ท. อันตนสยายแล้วด้วยทั้งกึ่ง เสด็จไปแล้ว โดยเร็ว ทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า (อ. พระองค์) พึงเสด็จมา ด่วนแล ดังนี้ ฯ อ.พระด�ำรัส ของพระนางชนบทกัลยาณีนั้น นั้น ราวกะว่า ตกไปขวางตั้งอยู่แล้วในพระทัยของพระนันทกุมารนั้นฯ แม้ อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ว ซึ่งบาตร จากพระหัตถ์ ของพระนันทกุมารนั้นเทียว ทรงน�ำไปแล้ว ซึ่งพระนันทกุมารนั้น สู่วิหาร ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จักบวชหรือ ดังนี้ ฯ อ. พระนันทกุมารนั้น ไม่ทูลแล้ว ว่า อ. ข้าพระองค์ จักไม่บวช ดังนี้กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า อ. ข้าพระองค์ จักบวช ดังนี้ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้าอย่างนั้น (อ. เธอ ท.) ยังนันทะ จงให้บวชเถิด ดังนี้ ฯ อ.พระศาสดา เสด็จไปแล้ว สู่บุรีชื่อว่ากบิลพัสดุ์ ทรงยังพระนันทะ ให้ผนวชแล้ว ในวันที่สาม ฯ ในวันที่เจ็ด อ.พระมารดาของพระราหุล ทรงประดับแล้ว ซึ่งพระกุมาร ทรงส่งไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้า จงเห็น ซึ่งสมณะ ผู้มีวรรณะ แห่งรูปเพียงดังพรหม ผู้มีวรรณะเพียงดังวรรณะแห่งทอง ผู้อันสมณะมีพันยี่สิบเป็นประมาณแวดล้อมแล้ว นั่น, อ. สมณะนี้ เป็นพระบิดา ของเจ้า (ย่อมเป็น), อ. หม้อแห่งขุมทรัพย์ ท. ใหญ่ ได้มีแล้ว ในกาลแห่งพระบิดาของเจ้านั่น ประสูติแล้ว, อ. เรา ย่อมไม่เห็น จ�ำเดิม แต่กาลเป็นที่เสด็จออกไป แห่งพระบิดานั้น, อ.เจ้า จงไป จงทูลขอ ซึ่งทรัพย์มรดก กะพระบิดานั้น ว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ อ. หม่อมฉัน เป็นกุมาร (ย่อมเป็น), อ. หม่อมฉัน ถึงแล้ว ซึ่งการอภิเษก เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ จักเป็น, อ. ความต้องการ ด้วยทรัพย์ แห่งหม่อมฉัน (มีอยู่), อ. พระองค์ ขอจงประทาน ซึ่งทัพย์ แก่หม่อมฉัน , เพราะว่า อ. บุตร เป็นเจ้าของ แห่งทรัพย์อันเป็นของมีอยู่ แห่งบิดา (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ อ. พระกุมาร เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว กลับได้แล้ว ซึ่งความรักในพระบิดา ผู้ร่าเริงแล้ว และยินดีแล้ว กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่สมณะ อ. เงา ของพระองค์ สบาย ดังนี้ ได้ประทับยืนตรัสอยู่แล้ว ซึ่งค�ำอันสมควร แก่ตน อันมาก แม้อื่น ฯ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีกิจด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งการอนุโมทนา เสด็จลุกขึ้นแล้ว จากอาสนะ เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ แม้ อ. พระกุมาร (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่สมณะ อ. พระองค์ ขอจงประทาน ซึ่งทรัพย์มรดก แก่หม่อมฉัน , ข้าแต่สมณะ อ.พระองค์ ขอจงประทาน ซึ่งทรัพย์มรดก แก่หม่อมฉัน ดังนี้ เสด็จติดตามไปแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯ www.kalyanamitra.org
  • 113.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 108 ภควาปิ กุมารํ น นิวตฺตาเปสิ. ปริชโนปิ ภควตา สทฺธึ คจฺฉนฺตํ นิวตฺเตตุํ นาสกฺขิ. อิติ โส ภควตา สทฺธึ อารามเมว อคมาสิ. ตโต ภควา จินฺเตสิ “ยํ อยํ ปิตุ สนฺตกํ ธนํ อิจฺฉติ, ตํ วฏฺฏานุคตํ สวิฆาตํ; หนฺทสฺส โพธิมูเล มยา ปฏิลทฺธํ สตฺตวิธํ อริยธนํเทมิ, โลกุตฺตรทายชฺชสฺส นํ สามิกํ กโรมีติ. อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ อามนฺเตสิ “เตนหิ ตฺวํ สารีปุตฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชหีติ. เถโร ตํ ปพฺพาเชสิ. ปพฺพชิเต ปน กุมาเร, รฺโ ตํ สุตฺวา อธิมตฺตํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชิ. ตํ อธิวาเสตุํ อสกฺโกนฺโต ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฏินิเวเทตฺวา “ สาธุ ภนฺเต อยฺยา มาตาปิตูหิ อนนุฺาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชยฺยุนฺติ วรํ ยาจิ. ภควา ตสฺส ตํ วรํ ทตฺวา, ปุเนกทิวสํ ราชนิเวสเน กตปาตราโส, เอกมนฺตํ นิสินฺเนน รฺา “ภนฺเต ตุมฺหากํ ทุกฺกรการิกกาเล เอกา เทวตา มํ อุปสงฺกมิตฺวา `ปุตฺโต เต กาลกโตติ อาห, อหํ ตสฺสา วจนํ อสทฺทหนฺโต `น มยฺหํ ปุตฺโต โพธึ อปฺปตฺวา กาลํ กโรตีติ ตํ ปฏิกฺขิปินฺติ วุตฺเต, “อิทานิ มหาราช กึ สทฺทหิสฺสถ; ปุพฺเพปิ, อฏฺ€ิกานิ ตุยฺหํ ทสฺเสตฺวา `ปุตฺโต เต มโตติ วุตฺเต, น สทฺทหิตฺถาติ, อิมิสฺสา อตฺถุปฺปตฺติยา มหาธมฺมปาลชาตกํ กเถสิ. กถาปริโยสาเน ราชา อนาคามิผเล ปติฏฺ€หิ. แม้ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงยังพระกุมารให้เสด็จ กลับแล้ว ฯ แม้ อ. ชนผู้เป็นบริวาร ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออัน (ยังพระกุมาร) ผู้เสด็จไปอยู่ กับ ด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เสด็จกลับ ฯ อ. พระกุมาร นั้น ได้เสด็จไปแล้ว สู่อาราม กับ ด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเทียว ด้วยประการฉะนี้ ฯ *ก.๒๓* ในล�ำดับนั้น อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระด�ำริแล้ว ว่าอ.กุมารนี้ย่อมปรารถนาซึ่งทรัพย์อันเป็นของมีอยู่แห่งบิดาใด, อ. ทรัพย์นั้น เป็นของไปตามแล้วซึ่งวัฏฏะ เป็นของเป็นไปกับ ด้วยความคับแคบ (ย่อมเป็น) ; เอาเถิด (อ. เรา) จะให้ ซึ่งทรัพย์ อันประเสริฐ อันมีอย่าง๗อันอันเราได้เฉพาะแล้วที่โคนแห่งต้นไม้ เป็นที่ตรัสรู้ แก่กุมาร นั้น, อ. เรา จะกระท�ำ ซึ่งกุมารนั้น ให้เป็นเจ้าของ แห่งทรัพย์มรดกอันเป็นโลกุตระ ดังนี้ฯ ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกมาแล้ว ซึ่งพระสารีบุตร ผู้มีอายุ (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนสารีบุตร ถ้าอย่างนั้น อ. เธอ ยังกุมารชื่อว่าราหุลจงให้บวชเถิดดังนี้ฯ อ.พระเถระยังพระกุมาร นั้น ให้ผนวชแล้ว ฯ ก็ ครั้นเมื่อพระกุมาร ผนวชแล้ว, อ. ความทุกข์ มีประมาณยิ่ง เกิดขึ้นแล้ว แก่พระราชา เพราะทรงสดับ ซึ่งข่าวสาส์นนั้น ฯ (อ. พระราชา) ไม่ทรงอาจอยู่ เพื่ออันทรงยังความทุกข์นั้น ให้อยู่ทับ เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (ทรงยังพระผู้มีพระภาคเจ้า) ให้ทรงทราบเฉพาะแล้ว ทูลขอแล้ว ซึ่งพร ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังหม่อมฉันทูลขอวโรกาส อ.พระผู้เป็นเจ้า ท. ไม่พึงยังบุตร ผู้อันมารดาและบิดา ท. ไม่อนุญาตแล้ว ให้บวช ดังนี้ ฯ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทานแล้ว ซึ่งพรนั้น แก่พระราชา นั้น, ในวันหนึ่งอีก ผู้มีอาหารอันบุคคลพึงกินในเวลาเช้า อันทรงกระท�ำแล้ว ในพระราชนิเวศน์, (ครั้นเมื่อพระด�ำรัส) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลแห่งพระองค์ ท. ทรงประกอบแล้ว ด้วยการกระท�ำซึ่งกรรมอันบุคคลกระท�ำได้โดยยาก อ. เทวดา ตนหนึ่ง เข้าไปหาแล้ว ซึ่งหม่อมฉัน กล่าวแล้ว ว่า อ. ลูกชาย ของท่านเป็นผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว(ย่อมเป็น)ดังนี้,อ.หม่อมฉัน ไม่เชื่ออยู่ซึ่งค�ำของเทวดานั้นห้ามแล้วซึ่งเทวดานั้นว่าอ.ลูกชาย ของข้าพเจ้า ไม่บรรลุแล้ว ซึ่งญาณเป็นเครื่องตรัสรู้ จะกระท�ำ ซึ่งกาละ หามิได้ ดังนี้ ดังนี้ (อันพระราชา) ผู้ประทับนั่งแล้ว ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ทูลแล้ว, (ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในกาลนี้ อ. พระองค์ ท. จักทรงเชื่อ อย่างไร ; แม้ในกาลก่อน, (ครั้นเมื่อค�ำ) ว่า อ. ลูกชาย ของท่าน ตายแล้ว ดังนี้(อันพราหมณ์) แสดงแล้ว ซึ่งกระดูก ท. แก่พระองค์ กราบทูลแล้ว, (อ. พระองค์ ท.) ไม่ทรงเชื่อแล้ว ดังนี้, ตรัสแล้ว ซึ่งมหาธรรมบาลชาดก ในเพราะความเกิดขึ้นแห่งเรื่อง นี้ ฯ ในกาลเป็นที่สุดลงรอบแห่งกถา อ. พระราชา ทรงตั้งอยู่เฉพาะแล้ว ในอนาคามิผล ฯ www.kalyanamitra.org
  • 114.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย109 อิติ ภควา ปิตรํ ตีสุ ผเลสุ ปติฏฺ€าเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปุนเทว ราชคหํ คนฺตฺวา ตโต อนาถปิณฺฑิเกน สาวตฺถึ อาคมนตฺถาย คหิตปฏิฺโ, นิฏฺ€ิเต เชตวนมหาวิหาเร, ตตฺถ คนฺตฺวา วาสํ กปฺเปสิ. เอวํ สตฺถริ เชตวเน วิหรนฺเตเยว, อายสฺมา นนฺโท อุกฺกณฺ€ิตฺวา ภิกฺขูนํ เอตมตฺถํ อาโรเจสิ “ อนภิรโต อหํ อาวุโส พฺรหฺมจริยํ จรามิ , น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามีติ. ภควา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ปกฺโกสาเปตฺวา เอตทโวจ “สจฺจํ กิร ตฺวํ นนฺท สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ เอวมาโรเจสิ `อนภิรโต อหํ อาวุโส พฺรหฺมจริยํ จรามิ, น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามีติ. “เอวํ ภนฺเตติ. “กิสฺส ปน ตฺวํ นนฺท อนภิรโต พฺรหฺมจริยํ จรสิ,น สกฺโกสิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสสีติ. “สากิยานี เม ภนฺเต ชนปทกลฺยาณี ฆรา นิกฺขมนฺตสฺส อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ อปโลเกตฺวา มํ เอตทโวจ “ตุวฏํ โข อยฺยปุตฺต อาคจฺเฉยฺยาสีติ; โส โข อหํ ภนฺเต ตํ อนุสฺสรมาโน อนภิรโต พฺรหฺมจริยํ จรามิ, น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามีติ. อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ พาหาย คเหตฺวา อิทฺธิพเลน ตาวตึสเทวโลกํ เนนฺโต, อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังพระบิดา ให้ตั้งอยู่เพาะแล้ว ในผล ท. สาม ด้วยประการฉะนี้ผู้อันหมู่แห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่เมืองชื่อว่าราชคฤห์ อีกนั่นเทียว ผู้มีปฏิญญา อันเศรษฐีชื่อว่าอนาถบิณฑิกะรับแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การเสด็จมา สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี (จากเมืองชื่อว่าราชคฤห์) นั้น, ครั้นเมื่อมหาวิหาร ชื่อว่าเชตวัน ส�ำเร็จแล้ว , เสด็จไปแล้ว ทรงส�ำเร็จแล้ว ซึ่งการประทับอยู่ ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวันนั้น ฯ ครั้นเมื่อพระศาสดา ประทับอยู่อยู่ ในพระเชตวัน อย่างนี้ นั่นเทียว, อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ กระสันขึ้นแล้ว บอกแล้ว ซึ่งเนื้อความ นั่น แก่ภิกษุ ท. ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุท. อ. ข้าพเจ้า ไม่ยินดียิ่งแล้ว ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ , อ.ข้าพเจ้า ย่อมไม่อาจ เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, (อ. ข้าพเจ้า) บอกคืนแล้ว ซึ่งสิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลว ดังนี้ฯ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับแล้ว ซึ่งความเป็นไปทั่ว นั้น (ทรงยังบุคคล) ให้ร้องเรียกแล้ว ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ได้ตรัสแล้ว ซึ่งค�ำนั่น ว่า ดูก่อนนันทะ ได้ยินว่า อ. เธอ บอกแล้ว อย่างนี้ ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ข้าพเจ้า ไม่ยินดียิ่งแล้ว ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์, อ.ข้าพเจ้า ย่อมไม่อาจ เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, อ. ข้าพเจ้า บอกคืนแล้ว ซึ่งสิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลวดังนี้แก่ภิกษุ ท. ผู้มากพร้อมจริงหรือ(ดังนี้)ฯ (อ. พระนันทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. อย่างนั้น ดังนี้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนนันทะ ก็ อ. เธอ ผู้ไม่ยินดียิ่งแล้ว ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์, อ. เธอ ย่อมไม่อาจ เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, อ. เธอ บอกคืนแล้ว ซึ่งสิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลว เพื่ออะไร ดังนี้ฯ (อ.พระนันทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ ออกไปอยู่ จากเรือน อ. พระนางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ ด้วยทั้งผม ท. อันตนเกล้าแล้วด้วยทั้งกึ่ง เหลียวแลแล้ว ได้กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำนั่น กะข้าพระองค์ ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า อ. พระองค์ พึงเสด็จมา ด่วนแล ดังนี้, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.ข้าพระองค์นั้นแล ระลึกตามอยู่ ซึ่งค�ำนั้น ไม่ยินดียิ่งแล้ว ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ , อ.ข้าพระองค์ ย่อมไม่อาจ เพื่ออันทรงไว้พร้อม ซึ่งพรหมจรรย์, อ. ข้าพระองค์ บอกคืนแล้ว ซึ่งสิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็นคนเลว ดังนี้ ฯ ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจับแล้ว ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ที่แขน ทรงน�ำไปอยู่ สู่เทวโลกชื่อว่าดาวดึงส์ ด้วยก�ำลังแห่งพระฤทธิ์, www.kalyanamitra.org
  • 115.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 110 อนฺตรามคฺเค เอกสฺมึ ฌามกฺเขตฺเต ฌามขานุมตฺถเก นิสินฺนํ ฉินฺนกณฺณนาสนงฺคุฏฺ€ํ เอกํ ปลุฏฺ€มกฺกฏึ ทสฺเสตฺวา, ตาวตึสภวเน สกฺกสฺส เทวรฺโ อุปฏฺ€านํ อาคตานิ กกุฏปาทานิ ปฺจ อจฺฉราสตานิ ทสฺเสสิ. ทสฺเสตฺวา จ ปน เอวมาห “ตํ กึ มฺสิ นนฺท, กตมา นุโข อภิรูปตรา จ ทสฺสนียตรา จ ปาสาทิกตรา จ, สากิยานี วา ชนปทกลฺยาณี อิมานิ วา ปฺจ อจฺฉราสตานิ กกุฏปาทานีติ. ตํ สุตฺวา อาห “เสยฺยถาปิ สา ภนฺเต ฉินฺนกณฺณ- นาสนงฺคุฏฺ€า ปลุฏฺ€มกฺกฏี; เอวเมว โข ภนฺเต สากิยานี ชนปทกลฺยาณี, อิเมสํ ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ อุปนิธาย สงฺขฺยํปิ น อุเปติ, กลํปิ น อุเปติ ภาคํปิ น อุเปติ; อถโข อิมาเนว ปฺจ อจฺฉราสตานิ อภิรูปตรานิ เจว ทสฺสนียตรานิ จ ปาสาทิกตรานิ จาติ. “อภิรม นนฺท, อภิรม นนฺท, อหนฺเต ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺติ. “สเจ เม ภนฺเต ภควา ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานํ, อภิรมิสฺสามหํ ภนฺเต ภควา พฺรหฺมจริเยติ. อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ คเหตฺวา ตตฺถ อนฺตรหิโต เชตวเนเยว ปาตุรโหสิ. อสฺโสสุํ โข ภิกฺขู “อายสฺมา กิร นนฺโท ภควโต ภาตา มาตุจฺฉาปุตฺโต อจฺฉรานํ เหตุ พฺรหฺมจริยํ จรติ, ทรงแสดงแล้ว ซึ่งนางลิงรุ่น ตัวหนึ่ง ตัวมีหูและจมูกและหาง อันขาดแล้ว ตัวนั่งแล้ว บนที่สุดแห่งตออันไฟไหม้แล้ว ในนา อันไฟไหม้แล้ว แห่งหนึ่ง ในระหว่างแห่งหนทาง, ทรงแสดงแล้ว ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ ผู้มาแล้ว สู่ที่เป็นที่บ�ำรุง ซึ่งท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ ในภพชื่อว่าดาวดึงส์ ฯ ก็แล (อ. พระศาสดา) ครั้นทรงแสดงแล้ว ตรัสแล้ว อย่าง นี้ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จะส�ำคัญ ซึ่งข้อนั้น อย่างไร, อ. หญิง ท. เหล่าไหนหนอแล คือ อ. นางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ หรือ หรือว่า คือ อ. ร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้า แห่งนกพิราบ เหล่านี้เป็นผู้มีรูปงามกว่าด้วย เป็นผู้ควรแก่การเห็น กว่าด้วย เป็นผู้ยังความเลื่อมใสให้เกิดกว่าด้วย (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ.พระนันทะ) ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. นางลิงลุ่น ตัวมีหูและจมูกและหาง อันขาดแล้ว นั้น (ย่อมเป็น) แม้ฉันใด; ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระนางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ (ย่อมเป็น) ฉันนั้น นั่นเทียวแล. (อ.นางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ) ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซึ่งการนับพร้อม, ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซึ่งเสี้ยว ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซึ่งส่วน แห่งร้อย แห่งนางอัปสร ท. ๕ เหล่านี้เพราะอันเข้าไปเทียบเคียง; โดยที่แท้ อ. ร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ เหล่านี้นั่นเทียว เป็นผู้มีรูปงามกว่าด้วย เป็นผู้ควรแก่การเห็นกว่าด้วย เป็นผู้ยังความเลื่อมใสให้เกิดกว่าด้วย (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จงยินดียิ่ง ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จงยินดียิ่ง, อ. เรา เป็นผู้รับรอง เพื่ออันยังเธอ ให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ (อ. พระนันทะ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าว่า อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออันยังข้าพระองค์ให้ได้ เฉพาะซึ่งร้อยแห่งนางอัปสรท.๕ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ไซร้, ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ จักยินดียิ่ง ในพรหมจรรย์ ดังนี้ฯ ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพาเอาแล้ว ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ทรงหายไปแล้ว ในที่นั้น ได้มีปรากฏแล้ว ในพระเชตวัน นั่นเทียว ฯ อ. ภิกษุ ท. ได้ฟังแล้ว แล ว่า ได้ยินว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ ผู้เป็นพระภาดา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระโอรสของพระแม่น้า ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ เพราะเหตุ แห่งนางอัปสร ท., www.kalyanamitra.org
  • 116.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย111 ภควา กิรสฺส ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺติ. อถโข อายสฺมโต นนฺทสฺส สหายกา ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ภตกวาเทน จ อุปกฺกีตกวาเทน จ สมุทาจรนฺติ “ ภตโก กิรายสฺมา นนฺโท , อุปกฺกีตโก กิรายสฺมา นนฺโท, ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ เหตุ พฺรหฺมจริยํ จรติ, ภควา กิรสฺส ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺติ. อถโข อายสฺมา นนฺโท สหายกานํ ภิกฺขูนํ ภตกวาเทน จ อุปกฺกีตกวาเทน จ อฏฺฏิยมาโน หรายมาโน ชิคุจฺฉมาโน เอโก วูปกฏฺโ€ อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต, นจิรสฺเสว ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิ, “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อพฺภฺาสิ, อฺตโร จ ปนายสฺมา นนฺโท อรหตํ อโหสิ. อเถกา เทวตา รตฺติภาเค สกลํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อาโรเจสิ “ อายสฺมา ภนฺเต นนฺโท ภควโต ภาตา มาตุจฺฉาปุตฺโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ. ภควโตปิ โข าณํ อุทปาทิ “นนฺโท อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ. ได้ยินว่า อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออัน ยังพระนันทะนั้น ให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้า เพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ ครั้งนั้นแล อ. ภิกษุ ท. ผู้เป็นสหาย ของพระนันทะ ผู้มีอายุ ย่อมประพฤติร้องเรียก ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ด้วยวาทะว่า พระนันทะผู้กระท�ำซึ่งการรับจ้างด้วย ด้วยวาทะว่าพระนันทะ ผู้อันพระศาสดาทรงไถ่แล้วด้วย ว่า ได้ยินว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ เป็นผู้กระท�ำซึ่งการรับจ้าง (ย่อมเป็น), ได้ยินว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ เป็นผู้อันพระศาสดาทรงไถ่แล้ว (ย่อมเป็น), (อ. พระนันทะ) ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ เพราะเหตุ แห่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕, ได้ยินว่า อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออันยังพระนันทะ นั้นให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเทียงดังเท้า แห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ ครั้งนั้นแล อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ อึดอัดอยู่ ละอายอยู่ รังเกียจอยู่ ด้วยวาทะว่าพระนันทะผู้กระท�ำซึ่งการรับจ้างด้วย ด้วยวาทะว่า พระนันทะผู้อันพระศาสดาทรงไถ่แล้วด้วย ของภิกษุ ท. ผู้เป็นสหาย ผู้เดียว หลีกออกแล้ว ผู้ไม่ประมาทแล้ว ผู้มีความเพียรเป็นเครื่อง ยังกิเลสให้ร้อนทั่ว ผู้มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่อยู่, อ. กุลบุตร ท. ย่อมบวช ไม่มีกรรมเกื้อกูลแก่เรือน จากเรือน โดยชอบนั่นเทียว เพื่อประโยชน์แก่คุณวิเศษใด, กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งคุณวิเศษนั้น อันยอดเยี่ยม อันมีพรหมจรรย์เป็นที่สุดลงรอบ เพราะรู้ยิ่ง เอง ต่อกาลไม่นานนั่นเทียว เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่แล้ว ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว, (อ. พระนันทะ) ได้รู้ยิ่งแล้ว ว่า อ. ชาติ สิ้นแล้ว อ.พรหมจรรย์อันเราอยู่จบแล้ว,อ.กิจอันบุคคลพึงกระท�ำ อันเรา กระท�ำแล้ว, อ. กิจ อื่นอีก (ย่อมไม่มี) เพื่อความเป็นอย่างนี้ ดังนี้, ก็แล อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ เป็น-แห่งพระอรหันต์ ท. หนา- พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง ได้เป็นแล้ว ฯ ครั้งนั้น อ.เทวดา ตนหนึ่ง ยังพระเชตวัน ทั้งสิ้น ให้สว่างแล้ว ในส่วนแห่งราตรี เข้าไปเฝ ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระนันทะผู้มีอายุ ผู้เป็นพระภาดา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระโอรสของพระแม่น้า กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่อยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว ดังนี้ฯ อ.พระญาณ ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล ว่า อ. นันทะ กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่อยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว ดังนี้ ฯ www.kalyanamitra.org
  • 117.
    ธรรมบทภาคที่ ๑ สองภาษาแปลโดยพยัญชนะ และ บาลี 112 โสปายสฺมา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอตทโวจ “ยํ เม ภนฺเต ภควา ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานํ, มุฺจามหํ ภนฺเต ภควนฺตํ เอตสฺมา ปฏิสฺสวาติ. “มยาปิ โข เต นนฺท เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโต `นนฺโท อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ, เทวตาปิ เม เอตมตฺถํ อาโรเจสิ `อายสฺมา ภนฺเต นนฺโท อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺาวิมุตฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ, ยเทว โข เต นนฺท อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ มุตฺตํ, อถาหํ มุตฺโต เอตสฺมา ปฏิสฺสวาติ. อถโข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ “ยสฺส ติณฺโณ กามปงฺโก มทฺทิโต กามกณฺฏโก โมหกฺขยมนุปฺปตฺโต สุขทุกฺเข น เวธตีติ. อเถกทิวสํ ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ปุจฺฉึสุ “อาวุโส นนฺท ปุพฺเพ ตฺวํ `อุกฺกณฺ€ิโตมฺหีติ วเทสิ, อิทานิ เต กถนฺติ. “นตฺถิ เม อาวุโส คิหิภาวาย อาลโยติ. ตํ สุตฺวา ภิกฺขู “อภูตํ อายสฺมา นนฺโท กเถติ, อฺํ พฺยากโรติ, อตีตทิวเสสุ `อุกฺกณฺ€ิโตมฺหีติ วตฺวา, อิทานิ `นตฺถิ เม คิหิภาวาย อาลโยติ กเถตีติ วตฺวา คนฺตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ. อ.พระนันทะผู้มีอายุแม้นั้นเข้าไปเฝ ้ าแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยอันล่วงไป แห่งราตรี นั้น ถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลแล้ว ซึ่งค�ำนั่น ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงรับรอง เพื่ออันยังข้าพระองค์ให้ได้เฉพาะ ซึ่งร้อย แห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ (ย่อมเป็น) ใด, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ย่อมเปลื้อง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า จากการฟังตอบ นั่น ดังนี้ฯ (อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนนันทะ อ. ใจ ของเธอ แม้อันเราแล ก�ำหนด รู้แล้ว ด้วยใจ ว่า อ. นันทะ กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่อยู่ในธรรมอันสัตว์เห็นแล้วเทียวดังนี้, แม้ อ.เทวดาบอกแล้ว ซึ่งเนื้อความนั่น แก่เรา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ กระท�ำให้แจ้งแล้ว ซึ่งเจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง เข้าไปถึงพร้อมแล้ว อยู่อยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้วเทียว ดังนี้, ดูก่อนนันทะ ในกาลใดนั่นเทียวแล อ.จิต ของเธอ พ้นแล้ว จากอาสวะ ท. เพราะไม่เข้าไปถือมั่น, ในกาลนั้น อ. เรา เป็นผู้พ้นแล้ว จากการฟังตอบ นั่น (ย่อมเป็น) ดังนี้ฯ ครั้งนั้นแล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบแล้ว ซึ่งเนื้อความ นั่น ทรงเปล่งแล้ว ซึ่งพระอุทาน นี้ในเวลานั้น ว่า อ. เปือกตมคือกาม อันบุคคลใด ข้ามแล้ว อ. หนามคือกาม (อันบุคคล) ใด ย�่ำยีแล้ว (อ.บุคคลนั้น) ถึงโดยล�ำดับแล้ว ซึ่งความสิ้นไปแห่งโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะสุข และทุกข์ ดังนี้ ฯ ครั้งนั้น ในวันหนึ่ง อ. ภิกษุ ท. ถามแล้ว ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ว่า ดูก่อนนันทะ ผู้มีอายุ ในกาลก่อน อ. ท่าน กล่าวแล้ว ว่า อ. ข้าพเจ้า เป็นผู้กระสันขึ้นแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้, ในกาลนี้ (อ. จิต) ของท่าน (ย่อมเป็น) อย่างไร ดังนี้ฯ (อ.พระนันทะ)(กล่าวแล้ว)ว่าแน่ะท่านผู้มีอายุท. อ.ความอาลัย เพื่อความเป็นแห่งคฤหัสถ์ ย่อมไม่มี แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ฯ อ. ภิกษุ ท. ฟังแล้ว ซึ่งค�ำนั้น กล่าวแล้ว ว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ ย่อมกล่าว ซึ่งค�ำอันไม่มีแล้ว , ย่อมกระท�ำให้แจ้ง ซึ่งพระอรหัตตผลอันบุคคลพึงรู้ทั่ว, (อ. พระนันทะ) กล่าวแล้ว ว่า (อ.ข้าพเจ้า) เป็นผู้กระสันขึ้นแล้ว ย่อมเป็น ดังนี้ในวันอันล่วงไปแล้ว ท. ย่อมกล่าว ว่า อ.ความอาลัย เพื่อความเป็นแห่งคฤหัสถ์ ย่อมไม่มี แก่ข้าพเจ้า ดังนี้ ในกาลนี้ดังนี้ไปแล้ว กราบทูลแล้ว ซึ่งเนื้อความนั่น แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ฯ www.kalyanamitra.org
  • 118.
    ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย113 ภควา “ภิกฺขเว อตีตทิวเสสุ นนฺทสฺส อตฺตภาโว ทุจฺฉนฺนเคหสทิโส อโหสิ, อิทานิ สุจฺฉนฺนเคหสทิโส ชาโต, อยํ หิ ทิพฺพจฺฉรานํ ทิฏฺ€กาลโต ปฏฺ€าย ปพฺพชิตกิจฺจสฺส มตฺถกํ ปาเปตุํ วายมนฺโต ตํ กิจฺจํ ปตฺโตติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ “ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฏฺ€ิ สมติวิชฺฌติ; เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ. ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ วุฏฺ€ิ น สมติวิชฺฌติ; เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ ราโค น สมติวิชฺฌตีติ. ตตฺถ “อคารนฺติ: ยงฺกิฺจิ เคหํ. ทุจฺฉนฺนนฺติ: วิรลจฺฉนฺนํ ฉิทฺทาวฉิทฺทํ. สมติวิชฺฌตีติ: วสฺสวุฏฺ€ิ วินิวิชฺฌติ. อภาวิตนฺติ: ตํ อคารํ วุฏฺ€ิ วิย ภาวนารหิตตฺตา อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ, น เกวลํ ราโคว, โทสโมหมานาทโย สพฺพกฺกิเลสา ตถารูปํ จิตฺตํ อติวิชฺฌนฺติเยว. สุภาวิตนฺติ: สมถวิปสฺสนาภาวนาหิ สุภาวิตํ, เอวรูปํ จิตฺตํ สุจฺฉนฺนํ เคหํ วุฏฺ€ิ วิย ราคาทโย กิเลสา อติวิชฺฌิตุํ น สกฺโกนฺตีติ. คาถาปริโยสาเน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณึสุ, มหาชนสฺส สาตฺถิกา เทสนา อโหสิ. อถ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฏฺ€าเปสุํ “อาวุโส พุทฺธา จ นาม อจฺฉริยา, ชนปทกลฺยาณึ นิสฺสาย อุกฺกณฺ€ิโต นามายสฺมา นนฺโท สตฺถารา เทวจฺฉรา อามิสํ กตฺวา วินีโตติ. สตฺถาอาคนฺตฺวา, “กาย นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา, อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. อัตภาพ ของนันทะ เป็นเช่นกับด้วยเรือนอันบุคคลมุงชั่วแล้ว ได้เป็นแล้ว ในวันอันล่วงไปแล้ว ท. , ในกาลนี้ (อ.อัตภาพ ของนันทะ) เป็นเช่นกับด้วยเรือนอันบุคคลมุงดีแล้ว เกิดแล้ว , เพราะว่า อ.นันทะนี้พยายามอยู่เพื่ออันยังตนให้ถึงซึ่งที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต จ�ำเดิม แต่กาลแห่งนางอัปสรผู้เป็นทิพย์ ท. อันตนเห็นแล้ว ถึงแล้ว ซึ่งกิจนั้น ดังนี้ได้ตรัสแล้ว ซึ่งพระคาถา ท. เหล่านี้ว่า อ.ฝน ย่อมรั่วรด ซึ่งเรือน อันบุคคลมุงชั่วแล้ว ฉันใด, อ. ราคะ ย่อมเสียดแทง ซึ่งจิต อันบุคคลไม่ให้เจริญแล้ว ฉันนั้น ฯ อ.ฝน ย่อมไม่รั่วรด ซึ่งเรือน อันบุคคลมุงดีแล้ว ฉันใด, อ. ราคะ ย่อมไม่เสียดแทง ซึ่งจิตอันบุคคลให้เจริญ ดีแล้ว ฉันนั้น ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ซึ่งเรือน อย่างใดอย่างหนึ่ง (ดังนี้) ในบท ท. เหล่านั้นหนา (แห่งบท) ว่า อคารํ ดังนี้ฯ (อ.อรรถ) ว่า อันบุคคลมุงแล้วห่าง คือว่า อันมีช่องใหญ่และ ช่องน้อย (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า ทุจฺฉนฺนํ ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.ฝนในฤดูฝน ย่อมรั่วรดได้ (ดังนี้) (แห่งบท) ว่า สมติวิชฺฌติ ดังนี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า อ.ราคะ ย่อมเสียดแทง ซึ่งจิต ชื่อว่าอันบุคคล ไม่ให้เจริญแล้ว เพราะความที่แห่งจิตเป็นธรรมชาตเว้นแล้วจากภาวนา ราวกะอ.ฝน(รั่วรดอยู่)ซึ่งเรือนนั้น,อ.ราคะเทียว(ย่อมเสียดแทงซึ่งจิต) อย่างเดียว หามิได้, อ.กิเลสทั้งปวง ท. มีโทสะและโมหะและมานะ เป็นต้น ย่อมเสียดแทง