คำำนำำ
         กำรศึกษำพระปริยัติธรรม ทีจะอำำนวยประโยชน์แก่ผู้ศึกษำ
                                  ่
เต็มที่ จำำต้องมีหนังสือเครื่องประกอบหลักสูตรครบบริบูรณ์ เพรำะ
หนังสือเครื่องประกอบเท่ำกับดวงประทีปสำำหรับส่องมรรคำ ให้ผู้ศึกษำ
มองเห็นแนวทำงได้สะดวกชัดเจน เพรำะฉะนั้น กองตำำรำแห่งมหำ-
มกุฏรำชวิทยำลัย ในพระบรมรำชูปถัมภ์ ซึงมีหน้ำที่จดพิมพ์หนังสือ
                                     ่          ั
ที่เกี่ยวแก่กำรศึกษำพระปริยัติธรรมทุกประเภท จึงได้คดจัดพิมพ์
                                                   ิ
หนังสือเครื่องอุปกรณ์ทั้งฝ่ำยนักธรรมทั้งฝ่ำยบำลีขึ้น เพื่อให้ผู้ศึกษำ
ได้รับควำมสะดวกในกำรศึกษำ และได้จัดพิมพ์เสร็จไปแล้วหลำย
เรื่อง เฉพำะหนังสือธัมมปทัฏฐกถำ ก็นับว่ำเป็นหนังสือสำำคัญเรื่อง
หนึ่ง เพรำะใช้เป็นหลักสูตรเปรียญธรรมประโยค ๓ ผู้ศึกษำบำล
ีีเมื่อเรียนบำลีไวยำกรณ์จบแล้ว ก็เริ่มเรียนธัมมปทัฏฐกถำเป็นลำำดับ
ไป    เห็นควรแปลเป็นภำษำไทยให้ตลอดเรื่อง จึงได้มอบให้
พระมหำอู นิสฺสโภ ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร เป็นผู้รับไปดำำเนินกำร.
ท่ำนได้ค้นคว้ำรวบรวมจำกหนังสือต่ำง ๆ ซึงพระเถรำนุเถระได้แปล
                                       ่
ไว้บ้ำง ขอให้ท่ำนที่เป็นกรรมกำรกองตำำรำช่วยแปลบ้ำง ขอให้
ท่ำนที่เป็นเปรียญในสำำนักเดียวและต่ำงสำำนักช่วยแปลบ้ำง.
         แต่กำรแปลนั้น ได้ขอให้แปลตำมวิธีกำรที่กองตำำรำได้วำงไว้
เพื่อให้หนังสือเป็นระเบียบเดียวกัน ไม่ลักลั่น โดยถือหลักว่ำ แปลให้ได้
ควำมชัด สำำนวนเรียบร้อย ไม่โลดโผนจนเสียหลักของภำษำ และแปล
เท่ำศัพท์อย่ำงพระกรรมกำรแปลเป็นตัวอย่ำงในสนำมหลวง ถ้ำทีไหน
                                                       ่
ถ้ำที่ไหนไม่มีศัพท์ เพิ่มเข้ำใหม่ ก็ทำำเครื่องหมำยวงเล็บ   []   ไว้ ถ้ำที่ไหน
บ่งถึงข้อธรรมก็ดี   เกี่ยวกับลัทธิธรรมเนียมก็ดี    ท่ำนชักควำมมำ
จำกบำลีหรือคัมภีร์อื่น ๆ ก็ดี ก็ได้ทำำเชิงอรรถบอกไว้ให้ทรำบ เพื่อ
สะดวกแก่ผู้ศึกษำซึ่งสนใจในกำรค้นคว้ำ.
         กองตำำรำ ฯ ขอแสดงควำมขอบใจท่ำนผูช่วยแปลและผู้มีส่วน
                                         ้
ช่วยให้หนังสือนี้สำำเร็จทุก ๆ ท่ำน และขออุทิศส่วนกุศลซึ่งเกิดจำก


หนังสือนี้ แต่ทำนบุรพูปัธยำจำรย์ผู้บริหำรพระศำสนำสืบ ๆ กันมำ.
               ่
กองตำำรำ
มหำกุฏรำชวิทยำลัย
๕ เมษำยน ๒๔๘๑
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   1
                                         ๖. บัณฑิตวรรค วรรณนำ
                                         ๑. เรื่องพระรำธเถระ                                 [
ข้อควำมเบื้องต้น]
              พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภท่ำนพระ
รำธะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ          "   นิธีนว ปวตฺตำร   "    เป็นต้น.
                           [    รำธพรำหมณ์ซูบผอมเพรำะไม่ได้บวช                ]
              ได้ยินว่ำ พระรำธะนั้น ในเวลำเป็นคฤหัสถ์ ได้เป็นพรำหมณ์
ตกยำกอยู่ในกรุงสำวัตถี.         เขำคิดว่ำ    "   เรำจักเลี้ยงชีพอยูในสำำนักของ
                                                                   ่
ภิกษุทั้งหลำย   "   ดังนี้แล้ว ไปสู่วิหำร ดำยหญ้ำ กวำดบริเวณ ถวำย
วัตถุมีนำ้ำล้ำงหน้ำเป็นต้น อยู่ในวิหำรแล้ว.        ภิกษุทั้งหลำยได้สงเครำะห์
เธอแล้วก็ตำม, แต่ก็ไม่ปรำรถนำจะให้บวช.                เขำเมื่อไม่ได้บวช จึง
ซูบผอมแล้ว.
                          [    รำธพรำหมณ์มีอุปนิสัยพระอรหัต           ]
              ภำยหลังวันหนึ่ง พระศำสดำทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลำใกล้รุ่ง
ทอดพระเนตรเห็นพรำหมณ์นั้นแล้ว ทรงใคร่ครวญอยู่ว่ำ                  "   เหตุอะไร
หนอ   ?"        ดังนีแล้ว ทรงทรำบว่ำ
                     ้                      "   รำธพรำหมณ์จักเป็นพระอรหันต์              "
ในเวลำเย็น      เป็นเหมือนเสด็จเที่ยวจำริกไปในวิหำร             เสด็จไปสู่

* พระมหำเปลี่ยน ป. ธ. ๗ วัดสัมพันธวงศ์ แปล.                 ปัจจุบันเป็นพระรำชวรญำณมุนี
ป. ธ. ๙ วัดบูรณศิริมำตยำรำม.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -    หน้ำที่   2
สำำนักของพรำหมณ์แล้วตรัสถำมว่ำ               "   พรำหมณ์ เธอเที่ยวทำำอะไร
อยู่   ?"   เขำกรำบทูลว่ำ     "   ข้ำพระองค์ทำำวัตตปฏิวัตรแก่ภิกษุทั้งหลำยอยู่
พระเจ้ำข้ำ.   "
                 พระศำสดำ.        เธอได้กำรสงเครำะห์จำกสำำนักของภิกษุเหล่ำนั้น
หรือ   ?
                 พรำหมณ์.       ได้พระเจ้ำข้ำ,       ข้ำพระองค์ได้แต่เพียงอำหำร, แต่
ท่ำนไม่ให้ข้ำพระองค์บวช.
                              [       พระสำรีบุตรเป็นผู้กตัญญูกตเวที    ]
                 พระศำสดำรับสังให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพรำะเรื่องนั้นแล้ว ตรัส
                              ่
ถำมควำมนั้นแล้ว ตรัสถำมว่ำ             "   ภิกษุทั้งหลำย ใคร ๆ ระลึกถึง
คุณของพรำหมณ์นี้ได้ มีอยู่บำงหรือ
                           ้                 ?"      พระสำรีบุตรเถระกรำบทูลว่ำ
"   พระเจ้ำข้ำ     ข้ำพระองค์ระลึกได้,           เมื่อข้ำพระองค์เที่ยวบิณฑบำต
อยู่ในกรุงรำชคฤห์ พรำหมณ์นี้ให้คนถวำยภิกษำทัพพีหนึ่ง ที่เขำ
นำำมำเพื่อตน,         ข้ำพระองค์ระลึกถึงคุณของพรำหมณ์นี้ได้.        "         เมื่อพระ
ศำสดำตรัสว่ำ      "   สำรีบตร ก็กำรที่เธอเปลื้องพรำหมณ์ผู้มีอุปกำระ
                           ุ
                                       ? " ท่ำนกรำบทูลว่ำ
อันกระทำำแล้วอย่ำงนี้ จำกทุกข์ ไม่ควรหรือ
" ดีละ พระเข้ำข้ำ, ข้ำพระองค์จักให้เขำบวช " จึงให้พรำหมณ์นั้น
บวชแล้ว.
                    [ พรำหมณ์บวชแล้วเป็นคนว่ำง่ำย ]
           อำสนะที่สุดแห่งอำสนะในโรงฉันย่อมถึงแก่ท่ำน,  ท่ำนลำำบำก
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   3
อยู่ ด้วยอำหำรวัตถุมีขำวยำคูและภัตรเป็นต้น.
                      ้                                พระเถระพำท่ำนหลีก
ไปสู่ที่จำริกแล้ว.     กล่ำวสอน        พรำ่ำสอนท่ำนเนือง ๆ ว่ำ   "   สิ่งนี้ คุณ
ควรทำำ, สิ่งนี้ คุณไม่ควรทำำ       "   เป็นต้น.    ท่ำนได้เป็นผู้วำง่ำย มี
                                                                  ่
ปกติรับเอำโอวำทโดยเบื้องขวำแล้ว, เพรำะฉะนั้น เมื่อท่ำนปฏิบัตตำม
                                                            ิ
คำำที่พระเถระพรำ่ำสอนอยู่ โดย ๒-๓ วันเท่ำนั้น ก็ได้บรรลุพระอรหัต
แล้ว.    พระเถระพำท่ำนไปสู่สำำนักพระศำสดำ ถวำยบังคมนั่งแล้ว.
              ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงทำำปฏิสันถำรกะท่ำนแล้ว ตรัสว่ำ
"   สำรีบตร อันเตวำสิกของเธอเป็นผู้ว่ำง่ำยแลหรือ
         ุ                                             ?"
              พระเถระ.       อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ,      เธอเป็นผู้ว่ำง่ำยเหลือเกิน,
เมื่อโทษไร ๆ ที่ขำพระองค์แม้กล่ำวสอนอยู่, ไม่เคยโกรธเลย.
                 ้
              พระศำสดำ.        สำรีบุตร เธอเมื่อได้สัทธิวิหำริกเห็นปำนนี้ จะพึง
รับได้ประมำณเท่ำไร   ?
              พระเถระ. ข้ำพระองค์พึงได้รับแม้มำกทีเดียว พระเจ้ำข้ำ.
                    [ พวกภิกษุสรรเสริญพระสำรีบตรและพระรำธะ ]
                                              ุ
              ภำยหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " ได้ยิน
ว่ำ พระสำรีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูกตเวที ระลึกถึงอุปกำระสักว่ำภิกษำ
ทัพพีหนึ่ง ให้พรำหมณ์ตกยำกบวชแล้ว;                แม้พระรำธเถระก็เป็นผู้อดทน
ต่อโอวำท ได้ท่ำนผู้ควรแก่กำรสังสอนเหมือนกันแล้ว.
                              ่                            "
                        [   พระศำสดำทรงแสดงอลีนจิตตชำดก              ]
              พระศำสดำทรงสดับกถำของภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว ตรัสว่ำ                 "    ภิกษุ
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -    หน้ำที่    4
ทั้งหลำย   มิใช่แต่ในบัดนี้เท่ำนั้น,           ถึงในกำลก่อน สำรีบตรเป็นผู้
                                                                 ุ
กตัญญูกตเวทีเหมือนกัน     "            ดังนี้แล้ว เพื่อจะประกำศควำมนั้น จึงตรัส
อลีนจิตตชำดก               "    เสนำหมู่ใหญ่อำศัยเจ้ำอลีนจิตตกุมำร                ร่ำเริง
                ทั่วกันแล้ว            ได้ให้ชำงจับพระเจ้ำโกศลทั้งเป็น
                                              ้
                ผู้ไม่พอพระทัยด้วยรำชสมบัติ, ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วย
                นิสัยอย่ำงนี้           เป็นผู้มีควำมเพียรอันปรำรภแล้ว
                เจริญกุศลธรรมอยู่, เพื่อบรรลุธรรมเป็นแดนเกษม
                จำกโยคะ            พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์
                ทั้งปวงโดยลำำดับ.          "
            ได้ยินว่ำ ช้ำงตัวหนึ่งเที่ยวไปตัวเดียว รู้อุปกำระที่พวกช่ำงไม้
ทำำแล้วแก่ตน โดยภำวะคือทำำเท้ำให้หำยโรค แล้วให้ลูกช้ำงตัวขำว
ปลอด ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสำรีบุตรเถระแล้ว.
                      [   ภิกษุควรเป็นผู้ว่ำง่ำยอย่ำงพระรำธเถระ          ]
            พระศำสดำครั้นตรัสชำดกปรำรภพระเถระอย่ำงนั้นแล้ว                         ทรง
ปรำรภพระรำธเถระ ตรัสว่ำ            "   ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำภิกษุควรเป็น
ผู้ว่ำง่ำยเหมือนรำธะ, แม้อำจำรย์ชี้โทษกล่ำวสอนอยู่ ก็ไม่ควรโกรธ,
อนึ่ง ควรเห็นบุคคลผู้ให้โอวำท เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ให้ฉะนั้น                  "
ดังนีแล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ
     ้                                                                       :-
๑. ขุ. ชำ. ๒๗/๕๒. ตทฏฺกถำ. ๓/๒๓.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   5
                 "   บุคคล               นิคคหะ ชี้โทษ ว่ำเป็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้ ,
                 พึงคบผูมีปัญญำเช่นนั้น ซึ่งเป็นบัณฑิต,
                        ้                                          (เพรำะว่ำ)
                 เมื่อคบท่ำนผู้เช่นนั้น        มีแต่คุณอย่ำงประเสริฐ
                 ไม่มีโทษที่ลำมก.        "
                                                         [   แก้อรรถ   ]
             บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ นิธีน ได้แก่ หม้อแห่งขุมทรัพย์อัน
เต็มด้วยเงินทองเป็นต้น ซึ่งเขำฝังเก็บไว้ในที่นั้น ๆ.
             บทว่ำ ปวตฺตำร คือ เหมือนอย่ำงผู้ทำำควำมอนุเครำะห์คน
เข็ญใจ ซึงเป็นอยู่โดยฝืดเคือง แล้วชักชวนว่ำ
         ่                                              "    ท่ำนจงมำ,       เรำจักชี้
อุบำยเลี้ยงชีพโดยสะดวกแก่ท่ำน        "       ดังนี้แล้ว นำำไปยังที่ขุมทรัพย์แล้ว
เหยียดออกบอกว่ำ      "   ท่ำนจงถือเอำทรัพย์นี้เลี้ยงชีพตำมสบำยเถิด."
             วินิจฉัยในบทว่ำ วชฺชทสฺสิน          :   ภิกษุผู้ชี้โทษมี ๒ จำำพวก คือ
ภิกษุคอยแส่หำโทษ ด้วยคิดว่ำ          "   เรำจักข่มภิกษุนั้นด้วยมำรยำทอัน
ไม่สมควร     หรือด้วยควำมพลั้งพลำดอันนี้ในท่ำมกลำงสงฆ์             "       ดังนี้
จำำพวก ๑.     ภิกษุผดำำรงอยู่แล้วตำมสภำพ ด้วยสำมำรถแห่งกำร
                    ู้
อุ้มชูด้วยกำรแลดูโทษนั้น ๆ เพื่อประโยชน์จะให้รู้สิ่งทียังไม่รู้ เพื่อ
                                                      ่
ต้องกำรจะได้ถือตำมเอำสิงที่รู้แล้ว เพรำะควำมเป็นผู้ปรำรถนำควำม
                       ่
เจริญแห่งคุณมีศีลเป็นต้นแก่ผู้นั้น       จำำพวก ๑;            ภิกษุจำำพวกหลังนี้

๑. พระรำชกวี (อำบ) วัดบวรนิเวศวิหำร แปลออกสอบเปรียญ ๖ ประโยค ใน
สนำมหลวง พ. ศ. ๒๔๖๔.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   6
พระผูมีพระภำคทรงประสงค์ ในบทว่ำ วชฺชทสฺสน นี้.
     ้                                                                คนเข็ญใจถูก
ผู้อื่นคุกคำมก็ดี ตีก็ดี ชี้ขุมทรัพย์ให้ว่ำ    "   แกจงถือเอำทรัพย์นี้      "     ย่อม
ไม่ทำำควำมโกรธ,          มีแต่ปรำโมทย์อย่ำงเดียว ฉันใด;                เมื่อบุคคลเห็น
ปำนดังนั้น เห็นมำรยำทมิบงควรก็ดี ควำมพลำดพลั้งก็ดี แล้วบอก
                        ั
อยู่, ผูรบบอกไม่ควรทำำควำมโกรธ ควรเป็นผู้ยินดีอย่ำงเดียว ฉันนั้น.
        ้
ควรปรำรถนำทีเดียวว่ำ         "   ท่ำนเจ้ำข้ำ กรรมอันใหญ่ อันใต้เท้ำผูตั้ง
                                                                     ้
อยู่ในฐำนเป็นอำจำรย์ เป็นอุปัชฌำย์ ของกระผมแล้ว สังสอนอยู่
                                                  ่
กระทำำแล้ว, แม้ต่อไป ใต้เท้ำพึงโอวำทกระผม               "   ดังนี้.
                บทว่ำ นิคฺคยฺหวำทึ ควำมว่ำ ก็อำจำรย์บำงท่ำนเห็นมำรยำท
อันมิบังควรก็ดี ควำมพลั้งพลำดก็ดี ของพวกศิษย์มีสัทธิวิหำริกเป็น
อำทิแล้ว ไม่อำจเพื่อจะพูด ด้วยเกรงว่ำ          "   ศิษย์ผู้นี้อุปัฏฐำกเรำอยู่
ด้วยกิจวัตรมีให้นำ้ำบ้วนปำกเป็นต้น แก่เรำ โดยเคำรพ;                   ถ้ำเรำจักว่ำ
เธอไซร้,        เธอจักไม่อุปัฏฐำกเรำ, ควำมเสื่อมจักมีแก่เรำ ด้วยอำกำร
อย่ำงนี้   "   ดังนี้ ย่อมหำชื่อว่ำเป็นผู้กล่ำวนิคคหะไม่, เธอผู้นั้น ชื่อว่ำ
เรี่ยรำยหยำกเยื่อลงในศำสนำนี้.            ส่วนอำจำรย์ใด เมื่อเห็นโทษปำนนั้น
แล้ว คุกคำม ประณำม ลงทัณฑกรรม ไล่ออกจำกวิหำร ตำม
สมควรแก่โทษ ให้ศึกษำอยู่.                อำจำรย์นี้ ชื่อว่ำผู้กล่ำวนิคคหะ;
แม้เหมือนอย่ำงพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ.            สมจริงอย่ำงนั้น พระผู้มีพระ-
ภำคตรัสคำำนี้ไว้ว่ำ     "   ดูก่อนอำนนท์ เรำจักกล่ำวข่ม ๆ,             ดูก่อน
อำนนท์ เรำจักกล่ำวยกย่อง ๆ, ผู้ใดเป็นสำระ, ผูนั้นจักดำำรงอยู่ได้.
                                             ้                                        "
                บทว่ำ เมธำวึ คือ ผู้ประกอบด้วยปัญญำมีโอชะเกิดแต่ธรรม.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   7
            บทว่ำ ตำทิส เป็นต้น ควำมว่ำ บุคคลพึงคบ คือพึงเข้ำไป
นั่งใกล้ บัณฑิตเห็นปำนนั้น,      เพรำะเมื่ออันเตวำสิกคบอำจำรย์เช่นนั้น
อยู่, คุณอย่ำงประเสริฐย่อมมี โทษที่ลำมกย่อมไม่มี คือมีแต่ควำม
เจริญอย่ำงเดียว ไม่มีควำมเสื่อมเสีย.
            ในที่สุดเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                            เรื่องพระรำธเถระ จบ.
ประโยค๒     -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   8
                                     ๒. เรื่องภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ
[   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
              พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภภิกษุอัสสชิ
และปุนัพพสุกะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ               "   โอวเทยฺยำนุสำเสยฺย     "
เป็นต้น.     ก็เทศนำตังขึ้นแล้วที่กิฏำคีรี.
                      ้
                                       [   ภิกษุลำมกต้องถูกปัพพำชนียกรรม       ]
              ดังได้สดับมำ ภิกษุ ๒ รูปนั้น             แม้เป็นสัทธิวิหำริกของพระ
อัครสำวกก็จริง,        ถึงอย่ำงนั้น เธอก็กลำยเป็นอลัชชี เป็นภิกษุชั่ว.
ภิกษุ ๒ รูปนั้น เมื่ออยู่ที่กิฏำคีรี กับภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึงเป็นบริวำร-
                                                        ่
ของตน      (ล้วน)   เป็นผู้ชั่วช้ำ     ทำำอนำจำรหลำยอย่ำงหลำยประกำร
เป็นต้นว่ำ ปลูกต้นไม้กระถำงเองบ้ำง ใช้ให้เขำปลูกบ้ำง ทำำกรรมแห่ง
ภิกษุผู้ประทุษร้ำยตระกูล เลี้ยงชีพด้วยปัจจัยอันเกิดแต่กรรมนั้น ได้
ทำำอำวำสนั้นมิให้เป็นที่อยู่แห่งพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก.       พระศำสดำ
ทรงสดับข่ำวนั้นแล้ว ตรัสเรียกพระอัครสำวกทั้ง ๒ พร้อมด้วยบริวำร
มำ เพื่อทรงประสงค์ทำำปัพพำชนียกรรมแก่พวกภิกษุพวกนั้นแล้ว ตรัสว่ำ
"   สำรีบตรและโมคคัลลำนะ
         ุ                           เธอพำกันไปเถิด,       ในภิกษุเหล่ำนั้น
เหล่ำใดไม่เชื่อฟังคำำของเธอ,           จงทำำปัพพำชนียกรรมแก่ภิกษุเหล่ำนั้น;
ส่วนเหล่ำใดเชื่อฟังคำำ,       จงว่ำกล่ำวพรำ่ำสอนเหล่ำนั้น,        ธรรมดำผู้ว่ำ
กล่ำวสั่งสอน ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ที่มใช่บัณฑิตเท่ำนั้น ,
                                        ิ                           แต่เป็นที่

*แปลออกสอบเปรียญ ๖ ประโยค                  ในสนำมหลวง พ.ศ. ๒๔๖๙.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่    9
รักที่ชอบใจของบัณฑิตทั้งหลำย     "         ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม จึงได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ       :-
                "   ผู้ใดพึงว่ำกล่ำว       พึงสอน และพึงห้ำมจำก
                  ธรรมของอสัตบุรุษ,          ผูนั้นแล ย่อมเป็นที่รักของ
                                               ้
                  สัตบุรุษทังหลำย, ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ.
                            ้                                          "
                                                            [ แก้อรรถ ]
             บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ โอวเทยฺย ควำมว่ำ เมื่อเกิดเรื่อง
ขึ้นแล้ว จึงกล่ำว ชื่อว่ำย่อมโอวำท,          เมื่อยังไม่เกิดเรื่อง ชีโทษอัน
                                                                     ้
ยังไม่มำถึง ด้วยสำมำรถเป็นต้นว่ำ       "   แม้โทษจะพึงมีแก่ท่ำน    "    ดังนี้
ชื่อว่ำย่อมอนุศำสน์;     กล่ำวต่อหน้ำ ชื่อว่ำย่อมโอวำท,                ส่งฑูตหรือ
ศำสน์ไปในที่ลับหลัง ชื่อว่ำย่อมอนุศำสน์.            แม้กล่ำวครำวเดียว ชือ
                                                                        ่
ว่ำย่อมโอวำท,       กล่ำวบ่อย ๆ ชื่อว่ำย่อมอนุศำสน์.         อีกอย่ำงหนึ่ง
กำำลังโอวำทนั่นแล ชื่อว่ำอนุศำสน์ พึงกล่ำวสังสอนอย่ำงนี้ ด้วย
                                            ่
ประกำรฉะนี้.
             บทว่ำ อสฺพภำ ควำมว่ำ พึงห้ำมจำกอกุศลธรรม พึงให้ตั้ง
อยู่ในกุศลธรรม.        บทว่ำ สต ควำมว่ำ บุคคลเห็นปำนนี้นั้น ย่อม
เป็นที่รักแห่งสัตบุรุษทั้งหลำย มีพระพุทธเจ้ำเป็นต้น;          แต่ผู้ว่ำกล่ำว
ผู้สงสอนนั้น ย่อมไม่เป็นที่รักแห่งพวกที่ไม่เห็นธรรม มีปรโลกอัน
    ั่
ข้ำมล่วงแล้ว ผู้เห็นแก่อำมิส บวชเพื่อประโยชน์แก่กำรเลี้ยงชีพ
เหล่ำนั้น ชื่อว่ำอสัตบุรุษ ผู้ทมแทงด้วยหอกคือปำกอย่ำงนี้ว่ำ
                               ิ่                                      "   ท่ำน
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   10
ไม่ใช่พวกอุปัชฌำย์อำจำรย์ของพวกเรำ,          ว่ำกล่ำวพวกเรำทำำไม    ?"
             ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มี
โสดำปัตติผลเป็นต้นแล้ว.
             ฝ่ำยพระสำรีบุตรและพระโมคคัลลำนะ ไปที่กิฏำคีรีนั้น ว่ำกล่ำว
สั่งสอนภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว.       ในภิกษุเหล่ำนั้น บำงพวกก็รับโอวำท
ตังใจประพฤติปฏิบัติ,
  ้                      บำงพวกก็สึกไป,       บำงพวกต้องปัพพำชนียกรรม
ดังนีแล.
     ้
                         เรื่องภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ   จบ.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   11
                                                ๓. เรื่องพระฉันนเถระ
[   ข้อควำมเบื้องต้น     ]
                  พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระฉันน-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ             "   น ภเช ปำปเก มิตฺเต        "         เป็นต้น.
                                            [    พระฉันนเถระด่ำพระอัครสำวก              ]
                  ดังได้สดับมำ        ท่ำนพระฉันนะนั้นด่ำพระอัครสำวกทั้ง                   ว่ำ
"   เรำเมื่อตำมเสด็จออกมหำภิเนษกรมน์ กับพระลูกเจ้ำของเรำทั้งหลำย
ในเวลำนั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว,             แต่บัดนี้ ท่ำนพวกนี้เที่ยว
กล่ำวว่ำ     '   เรำชื่อสำรีบุตร, เรำชื่อโมคคัลลำนะ,          พวกเรำเป็นอัคร-
สำวก.    "        พระศำสดำทรงสดับข่ำวนั้นแต่สำำนักภิกษุทั้งหลำยแล้ว รับสั่ง
ให้หำพระฉันนเถระมำ ตรัสสอนแล้ว.                     ท่ำนนิ่งในชั่วขณะนั้นเท่ำนั้น
ยังกลับไปด่ำพระเถระทั้งหลำยเหมือนอย่ำงนั้นอีก.                       พระศำสดำรับสั่ง
ให้หำท่ำนซึ่งกำำลังด่ำมำแล้ว ตรัสสอนอย่ำงนั้นถึง ๓ ครั้งแล้ว ตรัส
เตือนว่ำ     "   ฉันนะ ชื่อว่ำอัครสำวกทั้ง ๒ เป็นกัลยำณมิตร เป็นบุรุษ
ชั้นสูง ของเธอ, เธอจงเสพ จงคบกัลยำณมิตรเห็นปำนนี้                     "       ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ               :-
                     "   บุคคลไม่ควรคบปำปมิตร,           ไม่ควรคบบุรุษตำ่ำช้ำ,
                     ควรคบกัลยำณมิตร,             ควรคบบุรุษสูงสุด.   "
*แปลออกสอบเปรียญ             ๖ ประโยค ในสนำมหลวง พ.ศ. ๒๔๖๙.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   12
                                                                 [   แก้อรรถ   ]
                เนื้อควำมแห่งพระคำถำนั้นว่ำ            "   คนผูยินดีในอกุศลกรรม มี
                                                               ้
กำยทุจริตเป็นต้น ชื่อว่ำปำปมิตร,            คนผูชักนำำในเหตุอันไม่สมควร มี
                                                ้
กำรตัดช่องเป็นต้นก็ดี อันต่ำงโดยกำรแสวงหำไม่ควร ๒๑ อย่ำงชื่อว่ำบุรุษตำ่ำช้ำ . อนึ่ง
ชน ๒ จำำพวกนั้น ชือว่ำเป็นทั้งปำปมิตร
                  ่
ทั้งบุรุษตำ่ำช้ำ;   บุคคลไม่ควรคบ คือไม่ควรนั่งใกล้เขำเหล่ำนั้น;                    ฝ่ำย
ชนผูผิดตรงกันข้ำม ชื่อว่ำเป็นกัลยำณมิตร ทั้งสัตบุรุษ ,
    ้                                                                 บุคคลควร
คบ คือควรนั่งใกล้ท่ำนเหล่ำนั้น.
                ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มี
โสดำปัตติผลเป็นต้นแล้ว.
                           [   พระศำสดำตรัสสั่งให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ                ]
                ฝ่ำยพระฉันนเถระ แม้ได้ฟังพระโอวำทแล้ว ก็ยังด่ำขู่พวกภิกษุ
อยู่อีกเหมือนนัยก่อนนั่นเอง.             แม้พวกภิกษุก็กรำบทูลแด่พระศำสดำ
อีก.     พระศำสดำตรัสว่ำ         "   ภิกษุทั้งหลำย เมื่อเรำยังมีชีวิตอยู่ พวก
เธอจักไม่อำจ เพื่อให้ฉันนะสำำเหนียกได้.                แต่เมื่อเรำปรินิพพำนแล้ว
จึงจักอำจ   "   ดังนี้แล้ว,     เมื่อพระอำนนท์ทูลถำม ในเวลำจวนจะ
เสด็จปรินิพพำนว่ำ      "   พระเจ้ำข้ำ อันพวกข้ำพระองค์จะพึงปฏิบัติใน
พระฉันนเถระอย่ำงไร         ?    จึงตรัสบังคับว่ำ   "   อำนนท์ พวกเธอพึงลง
พรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุเถิด.           "
๑. ปรมัตถโชติก หน้ำ ๒๖๕.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   13
            พระฉันนะนั้น       เมือพระศำสดำเสด็จปรินิพพำนแล้ว ได้ฟัง
                                  ่
พรหมทัณฑ์ ที่พระอำนนทเถระยกขึ้นแล้ว มีทุกข์ เสียใจ ล้มสลบ
ถึง ๓ ครั้ง แล้ววิงวอนว่ำ      "   ข้ำแต่ท่ำนผู้เจริญ ขอท่ำนอย่ำให้กระผม
ฉิบหำยเลย   "   ดังนีแล้ว บำำเพ็ญวัตรอยู่โดยชอบ
                     ้                                  ต่อกำลไม่นำนนัก
ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำยแล้ว ดังนี้แล.
                                   เรื่องพระฉันนเถระ จบ.
ประโยค๒            -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   14
                                            ๔.       เรื่องพระมหำกัปปินเถระ
[   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
              พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน                       ทรงปรำรภพระมหำ
กัปปินเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                    "   ธมฺมปีติ สุข เสติ    "
เป็นต้น.     ในเรื่องนั้น มีอนุบุพพีกถำ ดังต่อไปนี้               :-
                                [   พระปัจเจกพุทธะทูลขอหัตถกรรมทำำเสนำสนะ                  ]
              ได้ยินว่ำ ในอดีตกำล ท่ำนพระมหำกัปปินะ มีอภินิหำรได้ทำำไว้
แทบบำทมูลของพระพุทธเจ้ำทรงพระนำมว่ำปทุมุตตระ                            ท่องเที่ยว
อยู่ในสงสำร เกิดเป็นนำยช่ำงหูกผู้เป็นหัวหน้ำ ในบ้ำนช่ำงหูกแห่งหนึ่ง
ในที่ไม่ไกลแต่กรุงพำรำณสี.                ครังนั้น
                                             ้           พระปัจเจกพุทธะประมำณพัน
องค์ อยู่ในหิมวันตประเทศ ๘ เดือน อยู่ในชนบท ๔ เดือนอันเป็น
ฤดูฝน.      ครำวหนึ่ง พระปัจเจกพุทธะเหล่ำนั้น พักอยู่ในที่ไม่ไกลแต่
กรุงพำรำณสี แล้วส่งพระปัจเจกพุทธะ ๒ รูปไปยังสำำนักพระรำชำด้วย
     "
คำำว่ำ     ท่ำนทั้งหลำยจงทูลขอหัตถกรรมเพื่อประโยชน์แก่กำรทำำเสนำ-
สนะ. "       ก็ในกำลนั้น เป็นครำววัปปมงคลแรกนำขวัญของพระรำชำ.
ท้ำวเธอทรงสดับว่ำ          "   ได้ยินว่ำ พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยมำ              "     จึง
เสด็จออกไป ตรัสถำมถึงเหตุที่มำ แล้วตรัสว่ำ                    "   ข้ำแต่ทำนผู้เจริญ
                                                                         ่
วันนี้ยงไม่มีโอกำส.
       ั                   (เพรำะ)        พรุ่งนี้ ข้ำพเจ้ำทังหลำยจะมีกำรมงคล
                                                             ้
แรกนำขวัญ, ข้ำพเจ้ำจักทำำในวันที่ ๓                  "     ไม่ทรงอำรำธนำพระปัจเจก-

*พระมหำเฉย (พระรำชปัญญำกวี)                      ป.ธ. ๗ วัดสัมพันธวงศ์ แปล.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   15
พุทธะทั้งหลำยไว้เลย        เสด็จเข้ำไปแล้ว.           พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำย
คิดว่ำ   "   เรำทังหลำยจักเข้ำไปสู่บ้ำนอื่น
                  ้                           "       หลีกไปแล้ว.
                                                  [   พวกบ้ำนช่ำงหูกทำำบุญ    ]
                ในขณะนั้น ภรรยำของนำยช่ำงหูกผู้หัวหน้ำ ไปสู่กรุงพำรำณสี
ด้วยกิจบำงอย่ำง เห็นพระปัจเจกพุทธะเหล่ำนั้น นมัสกำรแล้วถำมว่ำ
"   ท่ำนผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ำมำในกำลมิใช่เวลำ เพรำะเหตุไร              ?"
ได้ทรำบควำมเป็นไปนั้นตั้งแต่ต้น เป็นหญิงมีศรัทธำ ถึงพร้อมด้วย
ปัญญำ นิมนต์ว่ำ      " ท่ำนผู้เจริญ ขอท่ำนทั้งหลำยจงรับภิกษำของดิฉัน
ทั้งหลำยในวันพรุ่งนี้. "
               พระปัจเจก. น้องหญิง พวกเรำมีมำก.
               หญิง. มีประมำณเท่ำไร ? เจ้ำข้ำ.
               พระปัจเจก. มีประมำณพันรูป น้องหญิง.
               หญิงนั้นกล่ำวว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ พวกดิฉันมีประมำณพันคน
อยู่ในบ้ำนนี้,     คนหนึ่ง ๆ จักถวำยภิกษำแด่พระผู้เป็นเจ้ำรูปหนึ่ง ๆ
ขอท่ำนทั้งหลำย จงรับภิกษำเถิด, ดิฉันคนเดียวจักให้ทำำแม้ที่อยู่แก่
ท่ำนทั้งหลำย. "
               พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยรับ (อำรำธนำ) แล้ว. นำงเข้ำไปสู่
บ้ำน ป่ำวร้องว่ำ " เรำเห็นพระปัจเจกพุทธะประมำณพันองค์ นิมนต์
ไว้แล้ว,      ท่ำนทั้งหลำยจงจัดแจงที่เป็นที่นั่งแด่พระผู้เป็นเจ้ำทั้งหลำย,
จงจัดอำหำรวัตถุทั้งหลำยมีขำวต้มและข้ำวสวยเป็นต้น แด่พระผู้เป็น
                          ้
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   16
เจ้ำทังหลำยเถิด
      ้           "     แล้วให้สร้ำงปรำำในท่ำมกลำงบ้ำน ลำดอำสนะไว้
ในวันรุ่งขึ้น จึงให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยนั่ง อังคำสด้วย
โภชนะอันประณีต ในเวลำเสร็จภัตกิจ จึงพำหญิงทั้งหมดในบ้ำนนั้น
พร้อมกับหญิงเหล่ำนั้น นมัสกำรพระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยแล้ว รับ
เอำปฏิญญำเพื่อประโยชน์แก่กำรอยูตลอดไตรมำส แล้วป่ำวร้องชำวบ้ำน
                               ่
อีกว่ำ   "   แม่และพ่อทั้งหลำย บุรุษคนหนึ่ง ๆ แต่ตระกูลหนึ่ง ๆ
จงถือเอำเครื่องมือมีมดเป็นต้นเข้ำไปสู่ปำ นำำเอำทัพพสัมภำระมำสร้ำง
                     ี                 ่
ที่เป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้ำทังหลำย.
                                 ้              "
               พวกชำวบ้ำนตั้งอยู่ในถ้อยคำำของนำงแล้ว คนหนึ่ง ๆ ทำำทีแห่ง
                                                                    ่
หนึ่ง ๆ แล้วให้สร้ำงศำลำมุงด้วยใบไม้พันหลัง พร้อมกับที่พักกลำง
คืนและกลำงวัน         แล้วอุปัฏฐำกพระปัจเจกพุทธะผู้เข้ำจำำนำำพรรษำใน
บรรณศำลำของตน ๆ ด้วยตั้งใจว่ำ               "   เรำจักอุปัฏฐำกโดยเคำรพ, เรำ
จักอุปัฏฐำกโดยเคำรพ.       "
               ในเวลำออกพรรษำแล้ว นำงชักชวนว่ำ                  "   ท่ำนทั้งหลำยจง
ตระเตรียมผ้ำเพื่อจีวร    (ถวำย)         แด่พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยผู้อยู่จำำ
พรรษำในบรรณศำลำของตน ๆ เถิด.                    "   แล้วให้ถวำยจีวรมีคำพันหนึ่ง
                                                                      ่
แด่พระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่ง ๆ.             พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยออกพรรษำ
แล้ว ทำำอนุโมทนำแล้วก็หลีกไป.
                                    [    อำนิสงส์ทำนนำำให้เกิดในดำวดึงส์       ]
               แม้พวกชำวบ้ำน            ครั้นทำำบุญนี้แล้ว จุติจำกอัตภำพนั้นแล้วเกิด
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่    17
ในภพดำวดึงส์ ได้มีนำมว่ำคณะเทวบุตรแล้ว.                 เทวบุตรเหล่ำนั้น
เสวยทิพยสมบัติในภพดำวดึงส์นั้น              ในกำลแห่งพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ
ทรงพระนำมว่ำกัสสปะ         (มำ)    เกิดในเรือนของกุฎุมพี     ในกรุง
พำรำณสี.        หัวหน้ำช่ำงหูกได้เป็นบุตรของกุฎุมพีผู้ใหญ่.          ฝ่ำยภรรยำ
ของเขำ ก็ได้เป็นธิดำของกุฎุมพีผู้ใหญ่เหมือนกัน.             หญิงเหล่ำนั้น
แม้ทงหมด ถึงควำมเจริญวัยแล้ว เมื่อจะไปสูตระกูลผัว ก็ได้ไป
    ั้                                  ่
สู่เรือนของบุรุษเหล่ำนั้นนั่นแล.
                                              [   กุฎุมพีถวำยมหำทำน      ]
                ต่อมำวันหนึ่ง เขำป่ำวร้องกำรฟังธรรมในวิหำร.                  กุฎุมพี
เหล่ำนั้นแม้ทั้งหมด ได้ยินว่ำ     "   พระศำสดำจะทรงแสดงธรรม          "       ปรึกษำ
กันว่ำ    "   เรำทังหลำยจักฟังธรรม
                   ้                    "    แล้วได้ไปสู่วิหำรกับภรรยำ.                ใน
ขณะที่ชนเหล่ำนั้น เข้ำไปสู่ทำมกลำงวิหำร ฝนได้ตั้งเค้ำแล้ว,
                            ่                                                บรรพ-
ชิตทังหลำยมีสำมเณรเป็นต้น
     ้                                ผูเป็นกุลุปกะหรือเป็นญำติของชนเหล่ำ
                                        ้
ใดมีอยู่;        ชนเหล่ำนั้นก็เข้ำไปสู่บริเวณของบรรพชิตเหล่ำนั้น.               แต่
กุฎุมพีเหล่ำนั้นไม่อำจจะเข้ำไปในที่ไหน ๆ ได้          เพรำะควำมที่กุลุปกะ
หรือญำติเห็นปำนนั้นไม่มี ได้ยืนอยู่ท่ำมกลำงวิหำรนั่นเอง.
                ลำำดับนั้น กุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ จึงกล่ำวกะกุฎุมพีผู้บริวำรเหล่ำ
นั้นว่ำ   "   ท่ำนทั้งหลำย จงดูอำกำรอันน่ำเกลียดของพวกเรำ, ธรรมดำ
กุลบุตรทั้งหลำย ละอำยด้วยเหตุมีประมำณเท่ำนี้ สมควรแล้ว.              "
                บริวำร.    นำย พวกเรำจะทำำอย่ำงไรเล่ำ       ?
                กุฎุมพี.   พวกเรำถึงอำกำรน่ำเกลียดนี้ เพรำะไม่มีสถำนที่ซงมี
                                                                        ึ่
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   18
คนคุ้นเคยกัน,      เรำทั้งหมดรวมทรัพย์กัน สร้ำงบริเวณเถอะ.
              บริวำร.      ดีละ นำย.
              คนผู้หัวหน้ำ ได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง,            ชนที่เหลือให้คนละ ๕๐๐,
พวกหญิงให้คนละ ๒๕๐.                      ชนเหล่ำนั้นรวบรวมทรัพย์นั้นแล้วเริ่ม
(สร้ำง)     ชื่อบริเวณใหญ่ เพื่อประโยชน์เป็นที่ประทับของพระศำสดำ
ซึ่งมีเรือนยอดพันหลังเป็นบริวำร.              เมื่อทรัพย์ไม่เพียงพอ เพรำะ
ควำมที่นวกรรมเป็นงำนใหญ่,                จึงได้ออกอีกคนละกึ่ง      จำกทรัพย์ที่
ตนให้แล้วในก่อน.        เมื่อบริเวณเสร็จแล้ว,           ชนเหล่ำนั้นเมื่อจะทำำกำร
ฉลองวิหำร      จึงถวำยมหำทำนแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุข
ตลอด ๗ วัน แล้วจัดจีวรเพื่อภิกษุสองหมื่นรูป.
                            [      ภรรยำของกุฎุมพีถวำยดอกอังกำบ           ]
              ฝ่ำยภรรยำของกุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ ไม่ทำำให้มีส่วนเสมอด้วยชน
ทั้งหมด     ตังอยู่ด้วยปัญญำของตน คิดว่ำ
              ้                                     "   เรำจักบูชำพระศำสดำ
ทำำให้ยง
       ิ่    (กว่ำเขำ) "            จึงถือเอำผอบดอกอังกำบ           กับผ้ำสำฎกมีสีดัง
ดอกอังกำบรำคำพันหนึ่ง ในเวลำอนุโมทนำ บูชำพระศำสดำด้วย
ดอกอังกำบแล้ว      วำงผ้ำสำฎกนั้นไว้           แทบบำทมูลของพระศำสดำ
ตังควำมปรำรถนำไว้ว่ำ
  ้                        "    ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอสรีระของหม่อมฉัน
จงมีสีดุจดอกอังกำบนี่แหละ ในที่หม่อมฉันเกิดแล้ว ๆ, และขอหม่อม
ฉันจงมีนำมว่ำ อโนชำนั่นแล.           "
              พระศำสดำได้ทรงทำำอนุโมทนำว่ำ                  "   จงสำำเร็จอย่ำงนั้นเถิด.   "
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   19
                             [   กุฎุมพีภรรยำและบริวำรเกิดในรำชตระกูล       ]
         ชนเหล่ำนั้นแม้ทงหมด ดำำรงอยู่จนตลอดอำยุแล้ว จุตจำก
                        ั้                              ิ
อัตภำพนั้นแล้วก็เกิดในเทวโลก ในพุทธุปบำทกำลนี้ จุตจำก
                                                  ิ
เทวโลกแล้ว.        กุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ เกิดในรำชตระกูล ในกุกกุฏวดีนคร
ถึงควำมเจริญวัยแล้ว ได้เป็นพระรำชำพระนำมว่ำ พระเจ้ำมหำกัปปินะ .
ชนที่เหลือได้เกิดในตระกูลมหำอำำมำตย์;              ภรรยำของกุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ
เกิดในรำชตระกูล ในสำคลนคร ในมัททรัฐ.            พระนำงได้มีพระสรีระ
เช่นกับสีดอกอังกำบนั่นเทียว.       พระญำติขนำนพระนำมแก่พระนำงว่ำ
"   อโนชำ    "   นั่นแล.          พระนำงทรงถึงควำมเจริญวัยแล้ว ก็ไปสู่พระ
รำชมณเฑียรของพระเจ้ำกัปปินะ              ได้เป็นพระเทวีมีพระนำมว่ำ
อโนชำแล้ว.        แม้หญิงทั้งหลำยที่เหลือ เกิดในตระกูลอำำมำตย์ทั้งหลำย
ถึงควำมเจริญวัยแล้ว ก็ได้ไปสู่เรือนแห่งบุตรอำำมำตย์เหล่ำนั้นเหมือน
กัน.    ชนเหล่ำนั้นแม้ทุกคน ได้เสวยสมบัติเช่นกับสมบัติของพระรำชำ.
ในกำลใด พระรำชำทรงประดับเครื่องอลังกำรทังปวง ทรงช้ำงเที่ยวไป;
                                        ้
ในกำลนั้น แม้ชนเหล่ำนั้นก็เที่ยวไปเหมือนอย่ำงนั้น.       เมื่อพระรำชำ
เสด็จเที่ยวไปด้วยม้ำหรือด้วยรถ,       แม้ชนเหล่ำนั้น ก็เที่ยวไปเหมือน
อย่ำงนั้น.       ชนเหล่ำนั้นเสวยสมบัติร่วมกัน ด้วยอำนุภำพแห่งบุญที่ทำำ
ร่วมกัน ด้วยประกำรฉะนี้.
         ก็มำของพระรำชำมีอยู่ ๕ ม้ำ คือ ม้ำชื่อพละ ๑ พลวำหนะ ๑
            ้
ปุปผะ ๑ ปุปผวำหนะ ๑ สุปตตะ ๑.
                       ั                     บรรดำม้ำเหล่ำนั้น ม้ำชื่อ
สุปัตตะ พระรำชำทรงเอง.            ๔ ม้ำนอกนี้ ได้พระรำชำแก่พวกม้ำ
ประโยค๒             -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   20
ใช้ เพื่อประโยชน์นำำข่ำวสำสน์มำ.
                                                 [    พระรำชำให้สืบข่ำวพระรัตนตรัย         ]
             พระรำชำให้ม้ำใช้เหล่ำนั้น บริโภคแต่เช้ำตรู่แล้ว ทรงส่งไป
ด้วยพระดำำรัสว่ำ           "    พวกท่ำนไปเถิด,           เที่ยวไป ๒ หรือ ๓ โยชน์แล้ว
ทรำบว่ำพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์อุบติแล้ว จงนำำข่ำวที่
                                     ั
ให้เกิดสุขมำแก่เรำ.            "   ม้ำใช้เหล่ำนั้น ออกโดยประตูทั้ง ๔ เทียวไป
                                                                        ่
ได้ ๒-๓ โยชน์ ไม่ได้ข่ำวแล้วก็กลับ.
                                   [   พระรำชำได้ขำวพระรัตนตรัยจำกพ่อค้ำม้ำ
                                                  ่                                        ]
             ต่อมำวันหนึ่ง พระรำชำทรงม้ำชื่อสุปัตตะ อันอำำมำตย์พันหนึ่ง
แวดล้อม เสด็จไปพระรำชอุทยำน ทอดพระเนตรเห็นพวกพ่อค้ำ
ประมำณ ๕๐๐ ผูมีร่ำงอ่อนเพลียกำำลังเข้ำสู่พระนคร แล้วทรงดำำริว่ำ
             ้
"   ชนเหล่ำนี้ลำำบำกในกำรเดินทำงไกล,                          เรำจักฟังข่ำวดีอย่ำงหนึ่ง
จำกสำำนักแห่งชนเหล่ำนี้เป็นแน่               "       จึงรับสังให้เรียกพ่อค้ำเหล่ำนั้นมำ
                                                             ่
แล้วตรัสถำมว่ำ         "   ท่ำนทั้งหลำยมำจำกเมืองไหน             ?"
             พ่อค้ำ.           พระเจ้ำข้ำ พวกข้ำพระองค์มำจำกนครชื่อสำวัตถี
ซึ่งมีอยู่ในที่สุดประมำณ ๑๒๐ โยชน์ แต่พระนครนี้.
             พระรำชำ.              ก็ข่ำวอะไร ๆ อุบติขึ้นในประเทศของพวกท่ำน
                                                   ั
มีอยู่หรือ   ?
             พ่อค้ำ.           พระเจ้ำข้ำ ข่ำวอะไร ๆ อย่ำงอื่นไม่มี,          แต่พระสัมมำ
สัมพุทธเจ้ำทรงอุบัติขึ้นแล้ว.
             พระรำชำทรงมีสรีระอันปีตมีวรรณ ๕ ถูกต้องแล้ว ในทันใด
                                    ิ
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   21
นั้นนั่นเอง   ไม่อำจเพื่อกำำหนดอะไร ๆ ได้       ทรงยับยังอยู่
                                                        ้
ครู่หนึ่ง แล้วตรัสถำมว่ำ   "   พวกท่ำนกล่ำวอะไร   ?   พ่อ. " พวกพ่อค้ำ
กรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระพุทธเจ้ำทรงอุบติขึ้นแล้ว. " แม้ครั้ง
                                                 ั
ที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ พระรำชำก็ทรงยับยั้งอยู่เหมือนอย่ำงนั้น. ในวำระ
ที่ ๔ ตรัสถำมว่ำ " พวกท่ำนกล่ำวอะไร ? พ่อ " เมื่อพ่อค้ำเหล่ำนั้น
กรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระพุทธเจ้ำทรงอุบติขึ้นแล้ว. " จึงตรัสว่ำ
                                                   ั
" พ่อทั้งหลำย เรำให้ทรัพย์แก่พวกท่ำนแสนหนึ่ง " แล้วตรัสถำมว่ำ
" ข่ำวอะไร ๆ แม้อื่นอีก มีอยู่หรือ ? พ่อ. " พวกพ่อค้ำกรำบทูลว่ำ
" มีอยู่ พระเจ้ำข้ำ, พระธรรมอุบติขึ้นแล้ว. " พระรำชำทรงสดับแม้
                                       ั
คำำนั้นแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๓ วำระโดยนัยก่อนนั่นแล, ในวำระ
ที่ ๔ เมื่อพวกพ่อค้ำกรำบทูลบทว่ำ " ธมฺโม " จึงตรัสว่ำ " แม้ใน
เพรำะบทนี้ เรำให้ทรัพย์พวกท่ำนแสนหนึ่ง " แล้วตรัสถำมว่ำ
" ข่ำวแม้อื่นอีก มีอยู่หรือ ? พ่อ. " พวกพ่อค้ำกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ
มีอยู่, พระสังฆรัตนะอุบติขึ้นแล้ว. " พระรำชำทรงสดับแม้คำำนั้นแล้ว
                          ั
ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๓ วำระอย่ำงนั้นเหมือนกัน,         ในวำระที่ ๔ เมื่อ
พวกพ่อค้ำกรำบทูลบทว่ำ " สงฺโฆ " จึงตรัสว่ำ " แม้ในเพรำะบทนี้
เรำให้ทรัพย์แก่พวกท่ำนแสนหนึ่ง " แล้วทรงแลดูอำำมำตย์พันหนึ่ง
ตรัสถำมว่ำ " พ่อทั้งหลำย พวกท่ำนจักทำำอย่ำงไร ? "
           อำำมำตย์.     พระเจ้ำข้ำ พระองค์จักทรงทำำอย่ำงไรเล่ำ ?
           พระรำชำ.         พ่อทั้งหลำย เรำได้สดับว่ำ ' พระพุทธเจ้ำทรง
อุบัตขึ้นแล้ว, พระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว, พระสงฆ์อุบติขึ้นแล้ว ' จักทรง
      ิ                                                  ั
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   22
ไม่กลับมำอีก,       เรำจักอุทิศต่อพระศำสดำไปบวชในสำำนักของพระองค์.
            อำำมำตย์.     แม้ข้ำพระองค์ทั้งหลำย ก็จักบวชพร้อมด้วยพระองค์
พระเจ้ำข้ำ.
                           [   พระรำชำออกผนวชพร้อมกับอำำมำตย์        ]
            พระรำชำรับสั่งให้เจ้ำพนักงำนอำลักษณ์จำรึกอักษรลงในแผ่นทอง
แล้ว ตรัสกะพวกพ่อค้ำม้ำว่ำ" พระเทวีพระนำมว่ำอโนชำ จักพระรำช-
ทำนทรัพย์ ๓ แสนแก่พวกท่ำน ; ก็แลพวกท่ำนพึงทูลอย่ำงนี้ว่ำ ' ได้
ยินว่ำ พระรำชทรงสละควำมเป็นใหญ่ถวำยพระองค์แล้ว,        พระองค์
จงเสวยสมบัตตำมสบำยเถิด ;
            ิ                ก็ถ้ำพระเทวีจักตรัสถำมพวกท่ำนว่ำ
' พระรำชำเสด็จไปที่ไหน ? ' พวกท่ำนพึงทูลว่ำ ' พระรำชำตรัสว่ำ
จักบวชอุทิศพระศำสดำ ' แล้วก็เสด็จไป. "
            แม้อำำมำตย์ทงหลำยก็ส่งข่ำวไปแก่ภรรยำของตน ๆ อย่ำงนั้น
                        ั้
เหมือนกัน.        พระรำชำทรงส่งพวกพ่อค้ำไปแล้ว อันอำำมำตย์พันหนึ่ง
แวดล้อม เสด็จออกไปในขณะนั้นนั่นแล.
            ในวันนั้น แม้พระศำสดำเมือทรงตรวจดูสัตว์โลกในกำลใกล้รุ่ง
                                    ่
ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ำมหำกัปปินะพร้อมบริวำร           ทรงดำำริ
ว่ำ   "   พระเจ้ำมหำกัปปินะนี้ ได้ทรงสดับควำมที่รัตนะ ๓ อุบัติขึ้น
แต่สำำนักของพวกพ่อค้ำแล้ว ทรงบูชำคำำของพ่อค้ำเหล่ำนั้นด้วยทรัพย์
๓ แสน ทรงสละรำชสมบัติ อันอำำมำตย์พันหนึ่งแวดล้อม ทรงประ -
สงค์เพื่อจะผนวช อุทิศเรำ จักเสด็จออกไปในวันพรุ่งนี้,          ท้ำวเธอ
พร้อมทั้งบริวำรจักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย,
                                                    ้                    เรำ
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   23
จักทำำกำรต้อนรับท้ำวเธอ       "       ดังนี้แล้ว    ในวันรุ่งขึ้น ทรงบำตรและ
จีวรด้วยพระองค์เองทีเดียว เสด็จต้อนรับสิ้นทำง ๑๒๐ โยชน์ ดุจพระ
เจ้ำจักรพรรดิ์ทรงต้อนรับกำำนันฉะนั้น ประทับนั่งเปล่งพระรัศมี มี
พรรณ ๖ ณ ภำยใต้โคนต้นนิโครธ ริมฝั่งแม่นำ้ำจันทภำคำนที.
         ฝ่ำยพระรำชำเสด็จมำถึงแม่นำ้ำแห่งหนึ่งแล้ว ตรัสถำมว่ำ                 "    นี่ชื่อ
แม่นำ้ำอะไร   ?"
         อำำมำตย์.          ชืออำรวปัจฉำนที พระเจ้ำข้ำ.
                              ่
         พระรำชำ.            พ่อทั้งหลำย แม่นำ้ำนี้มีประมำณเท่ำไร        ?
         อำำมำตย์.          โดยลึก คำวุตหนึ่ง, โดยกว้ำง ๒ คำวุต พระเจ้ำข้ำ.
         พระรำช.            ก็ในแม่นำ้ำนี้ เรือหรือแพมีไหม     ?
         อำำมำตย์.          ไม่มี พระเจ้ำข้ำ.
         พระรำชำตรัสว่ำ               "   เมื่อเรำทังหลำยมัวหำยำนมีเรือเป็นต้น,
                                                    ้
ชำติย่อมนำำไปสูชรำ, ชรำย่อมไปสู่มรณะ, เรำไม่มีควำมสงสัย ออก
               ่
บวชอุทิศพระรัตนตรัย, ด้วยอำนุภำพแห่งพระรัตนตรัยนั้น นำ้ำนี้ อย่ำ
ได้เป็นเหมือนนำ้ำเลย    "      ดังนี้แล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ระลึก
ถึงพุทธำนุสติว่ำ    "   แม้เพรำะเหตุนี้ พระผู้มีพระภำคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันตสัมมำสัมพุทธเจ้ำ              "   เป็นต้น พร้อมทังบริวำรเสด็จไป
                                                              ้
บนหลังนำ้ำด้วยม้ำพันหนึ่ง.            ม้ำสินธพทั้งหลำยก็วิ่งไป ดุจวิ่งไปบน
หลังแผ่นหิน.       ปลำยกีบก็ไม่เปียก
๑. ถ้ำบำลีเป็น อคฺคำเนว เตมึสุ ก็แปลว่ำ ปลำยกีบเท่ำนั้น เปียกนำ้ำ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   24
             พระรำชำเสด็จข้ำมแม่นำ้ำนั้นแล้ว เสด็จไปข้ำงหน้ำ ทอดพระ
เนตรเห็นแม่นำ้ำอื่นอีก จึงตรัสถำมว่ำ          "   แม่นำ้ำนี้ชื่ออะไร   ?"
             อำำมำตย์.       ชือนีลวำหนำนที พระเจ้ำข้ำ.
                               ่
             พระรำชำ.         แม่นำ้ำนี้ประมำณเท่ำไร     ?
             อำำมำตย์.       ทังส่วนลึก ทั้งส่วนกว้ำง ประมำณกึ่งโยชน์พระเจ้ำข้ำ.
                               ้
             คำำที่เหลือก็เช่นกับคำำก่อนนั่นแหละ.
             ก็พระรำชำ ทอดพระเนตรเห็นแม่นำ้ำนั้นแล้ว ทรงระลึกถึง
ธรรมนำนุสติวำ
            ่          "   พระธรรมอันพระผู้มีพระภำคตรัสดีแล้ว          "        เป็นต้น
เสด็จไปแล้ว.        ครั้นเสด็จข้ำมแม่นำ้ำแม้นั้นไปได้แล้ว ทอดพระเนตร
เห็นแม่นำ้ำอื่นอีก จึงตรัสถำมว่ำ       "   แม่นำ้ำนี้ชื่ออะไร   ?"
             อำำมำตย์.       แม่นำ้ำนี้ชื่อว่ำจันทภำคำนที พระเจ้ำข้ำ.
             พระรำชำ. แม่นำ้ำนี้ประมำณเท่ำไร           ?
             อำำมำตย์.       ทังส่วนลึก ทั้งส่วนกว้ำง ประมำณโยชน์หนึ่ง พระ
                               ้
เจ้ำข้ำ.
             คำำที่เหลือก็เหมือนกับคำำก่อนนั่นแล.
             ส่วนพระรำชำทอดพระเนตรเห็นแม่นำ้ำนี้แล้ว                 ทรงระลึกถึง
สังฆำนุสติว่ำ      "   พระสงฆ์สำวกของพระผู้มีพระภำค เป็นผู้ปฏิบัติ
ดีแล้ว   "   เป็นต้น เสด็จไปแล้ว.          ก็เม่อเสด็จข้ำมแม่นำ้ำนั้นไป ได้ทอด
พระเนตรเห็นพระรัศมีมีพรรณ ๖ แต่พระสรีระของพระศำสดำ.                              กิ่ง
ค่ำคบ และใบ แห่งต้นนิโครธ ได้เป็นรำวกะว่ำสำำเร็จด้วยทองคำำ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   25
                             [     พระรำชำและอำำมำตย์ได้บรรลุคุณวิเศษ            ]
           พระรำชำทรงดำำริว่ำ        "   แสงสว่ำงนี้ ไม่ใช่แสงจันทร์, ไม่ใช่แสง
อำทิตย์, ไม่ใช่แสงสว่ำงแห่งเทวดำ มำร พรหม นำค ครุฑเป็นต้น
ผู้ใดผู้หนึ่ง,   เรำอุทิศพระศำสดำมำอยู่ จักเป็นผู้อันพระมหำโคดม-
พุทธเจ้ำทรงเห็นแล้วโดยแน่แท้.            "       ในทันใดนั้นนั่นแล ท้ำวเธอเสด็จ
ลงจำกหลังม้ำทรงน้อมพระสรีระ เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ตำมสำยพระ
รัศมี เสด็จเข้ำไปภำยในแห่งพระพุทธรัศมี รำวกะว่ำดำำลงไปใน
มโนสิลำรส ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง
พร้อมกับอำำมำตย์พันหนึ่ง
           พระศำสดำทรงแสดงอนุปุพพีกถำแล้ว.                     ในเวลำจบเทศนำ
พระรำชำพร้อมด้วยบริวำร ตั้งอยู่แล้วในโสดำปัตติผล.                     ลำำดับนั้น
ชนเหล่ำนั้นทั้งหมด ลุกขึ้นทูลขอบรรพชำแล้ว.
           พระศำสดำทรงใคร่ครวญว่ำ    " บำตรจีวรสำำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์
ของกุลบุตรเหล่ำนี้ จักมำหรือหนอแล ? " ทรงทรำบว่ำ " กุลบุตร
เหล่ำนี้ ได้ถวำยจีวรพันผืน แด่พระปัจเจกพุทธะพันองค์. ในกำล
แห่งพระพุทธเจ้ำพระนำมว่ำกัสสป ได้ถวำยจีวรสองหมื่น แม้แก่
ภิกษุสองหมื่นรูป.       ควำมมำแห่งบำตรและจีวรอันสำำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์
ของกุลบุตรเหล่ำนี้ ไม่น่ำอัศจรรย์            "   ดังนีแล้ว ทรงเหยียดพระหัตถ์
                                                      ้
ขวำ ตรัสว่ำ      "   ท่ำนทั้งหลำยจงเป็นภิกษุมำเถิด, ท่ำนทั้งหลำยจงประ
พฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.               "     ทันใดนั้นนั่นเอง
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   26
กุลบุตรเหล่ำนั้นเป็นรำวกะพระเถระมีพรรษำตัง ๑๐๐
                                         ้                     ทรงบริขำร ๘
เหำะขึ้นสู่เวหำส กลับลงมำถวำยบังคมพระศำสดำนั่งอยู่แล้ว.
                            [   พระนำงอโนชำเทวีเสด็จออกผนวช              ]
         ฝ่ำยพ่อค้ำเหล่ำนั้นไปสู่รำชตระกูลแล้ว            ให้เจ้ำหน้ำที่กรำบทูล
ข่ำวที่พระรำชำทรงส่งไป,          เมื่อพระเทวีรับสั่งว่ำ   "   จงมำเถิด   "        เข้ำ
ไปถวำยบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง,                ลำำดับนั้น พระเทวี
ตรัสถำมพ่อค้ำเหล่ำนั้นว่ำ   "    พ่อทั้งหลำย พวกท่ำนมำเพรำะเหตุอะไร                ?"
         พ่อค้ำ.     พระรำชำทรงส่งพวกข้ำพระองค์มำยังสำำนักของพระ
องค์.    นัยว่ำ ขอพระองค์จงพระรำชทำนทรัพย์ ๓ แสนแก่พวก
ข้ำพระองค์.
         พระเทวี.    พ่อทั้งหลำย พวกท่ำนพูดมำกเกินไป.                    พวกท่ำน
ทำำอะไร แก่พระรำชำ,             พระรำชำทรงเลื่อมใสในอะไรของพวกท่ำน
จึงรับสังให้พระรำชทำนทรัพย์มีประมำณเท่ำนี้
        ่                                          ?
         พ่อค้ำ.    พระเจ้ำข้ำ       อะไร ๆ อย่ำงอื่น         พวกข้ำพระองค์มิได้ทำำ,
แต่พวกข้ำพระองค์ได้กรำบทูลข่ำวแด่พระรำชำ.
         พระเทวี.      พ่อค้ำทังหลำย ก็พวกท่ำนสำมำรถบอกแก่เรำบ้ำง
                               ้
ได้ไหม   ?
         พ่อค้ำ.    ได้ พระเจ้ำข้ำ.
         พระเทวี.    พ่อทั้งหลำย ถ้ำกระนั้น พวกท่ำนจงบอก.
         พ่อค้ำ.    พระเจ้ำข้ำ พระพุทธเจ้ำทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
         แม้พระเทวีทรงสดับคำำนั้นแล้ว          มีพระสรีระอันปีติถูกต้อง
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   27
แล้ว โดยนัยก่อนนั่นแล ทรงกำำหนดอะไร ๆ ไม่ได้ถึง ๓ ครั้ง, ใน
วำระที่ ๔ ทรงสดับบทว่ำ          "   พุทฺโธ   "   แล้วจึงตรัสว่ำ    "   พ่อทั้งหลำย
ในเพรำะบทนี้ พระรำชำพระรำชทำนอะไร                  ?"
            พ่อค้ำ.    ทรัพย์แสนหนึ่ง        พระเจ้ำข้ำ.
            พระเทวี.    พ่อทั้งหลำย พระรำชำทรงสดับข่ำวเห็นปำนนี้แล้ว
พระรำชทำนทรัพย์แสนหนึ่งแก่ทำนทั้งหลำย
                           ่                         (ชือว่ำ)
                                                        ่          ทรงกระทำำไม่
สมกันเลย.         แต่เรำจะให้แก่พวกท่ำน ๓ แสน ในเพรำะของกำำนัล
อันขัดสนของเรำ, ข่ำวอะไรอีก           ?      ที่ทำนทั้งหลำยกรำบทูลแล้ว.
                                                 ่
            พ่อค้ำเหล่ำนั้นกรำบทูลข่ำว ๒ อย่ำง แม้อื่นอีกว่ำ            "   ข่ำวอย่ำง
นี้ แลอย่ำงนี้.   "
            พระเทวีมีพระสรีระอันถูกต้องแล้ว          โดยนัยก่อนนั่นแล
ทรงกำำหนดอะไร ๆ ไม่ได้ถึง ๓ ครั้ง,                ในครั้งที่ ๔ ทรงสดับอย่ำง
นั้นเหมือนกันแล้ว รับสั่งให้พระรำชทำนทรัพย์ครังละ ๓ แสน.
                                              ้                                 พ่อค้ำ
เหล่ำนั้น ได้ทรัพย์ทงหมดเป็น ๑๒ แสน ด้วยประกำรฉะนี้.
                    ั้
            ลำำดับนั้น พระเทวีตรัสถำมพ่อค้ำเหล่ำนั้นว่ำ            "   พ่อทั้งหลำย
พระรำชำเสด็จไปไหน        ?"
            พ่อค้ำ.    พระเจ้ำข้ำ พระรำชำรับสังว่ำ
                                              ่             "     เรำจักบวชอุทิศพระ-
ศำสดำ   "      แล้วก็เสด็จไป.
            พระเทวี.    ข่ำวอะไร     ?    ที่พระองค์พระรำชทำนแก่เรำ.
            พ่อค้ำ.    นัยว่ำ พระองค์ทรงสละควำมเป็นใหญ่ทั้งหมด ถวำย
พระองค์.       นัยว่ำ พระองค์จงเสวยสมบัตตำมพระประสงค์เถิด.
                                        ิ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   28
          พระเทวี.      ก็พวกอำำมำตย์ไปไหน     ?   พ่อ.
          พ่อค้ำ.     แม้อำำมำตย์เหล่ำนั้นกล่ำวว่ำ   '   เรำจักบวชกับพระรำชำ
เหมือนกัน   '   แล้วก็ไป พระเจ้ำข้ำ.
          พระนำง       รับสังให้เรียกภรรยำ ของอำำมำตย์เหล่ำนั้นมำแล้ว
                            ่
ตรัสว่ำ " แม่ทั้งหลำย สำมีของพวกเจ้ำ กล่ำวว่ำ ' เรำจักบวชกับ
พระรำชำ ' แล้วก็ไป, พวกเจ้ำจักทำำอย่ำงไร ? "
        หญิง. พระเจ้ำข้ำ ก็ข่ำวอะไร ? ที่พวกเขำส่งมำเพื่อพวก
หม่อมฉัน.
        พระเทวี. ได้ยินว่ำ อำำมำตย์เหล่ำนั้น สละสมบัติของตน ๆ แก่
พวกเจ้ำแล้ว, ได้ยินว่ำ พวกเจ้ำจงบริโภคสมบัตินั้นตำมชอบใจเถิด.
        หญิง. ก็พระองค์จักทรงทำำอย่ำงไรเล่ำ ? พระเจ้ำข้ำ.
        พระเทวี. แม่ทงหลำย ทีแรก พระรำชำนั้นทรงสดับข่ำวแล้ว
                       ั้
ประทับยืนในหนทำงเทียว             ทรงบูชำพระรัตนตรัยด้วยทรัพย์ ๓ แสน
ทรงสละสมบัตดุจก้อนนำ้ำลำย ตรัสว่ำ เรำจักบวช แล้วเสด็จออก
           ิ
ไป   ;      ส่วนเรำได้ฟังข่ำวพระรัตนตรัยแล้ว บูชำพระรัตนตรัยด้วย
ทัพย์ ๙ แสน     ;     ก็แล ชื่อว่ำสมบัตินี้ มิได้นำำทุกข์มำแด่พระรำชำ
เท่ำนั้น, ย่อมเป็นเหตุนำำทุกข์มำ แม้แก่เรำเหมือนกัน,          ใครจักคุกเข่ำ
รับเอำก้อนนำ้ำลำยที่พระรำชำทรงบ้วนทิ้งด้วยปำกเล่ำ         ?    เรำไม่
ต้องกำรด้วยสมบัติ,       แม้เรำก็จักไปบวชอุทิศพระศำสดำ.
          หญิง.       พระเข้ำข้ำ แม้พวกหม่อมฉันก็จักบวชกับพระองค์
เหมือนกัน.
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   29
               พระเทวี.       ถ้ำพวกเจ้ำอำจ, ก็ดีละแม่.
               หญิง.        อำจ พระเจ้ำข้ำ.
               พระเทวี ตรัสว่ำ        "   ถ้ำกระนั้น พวกเจ้ำจงมำ   "    ดังนี้แล้ว รับสั่ง
ให้เทียมรถพันคัน เสด็จออกไปกับหญิงเหล่ำนั้น ทอดพระ
เนตรเห็นแม่นำ้ำสำยที่หนึ่งในระหว่ำงทำง               ตรัสถำมเหมือนพระรำชำ
ตรัสถำมแล้วเหมือนกัน ทรงสดับควำมเป็นไปทั้งหมดแล้ว ตรัส
ว่ำ    "   พวกเจ้ำจงตรวจดูทำงเสด็จไปของพระรำชำ               "         เมื่อหญิง
เหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ          "   พวกหม่อมฉันไม่เห็นรอยเท้ำม้ำสินธพ พระ-
เจ้ำข้ำ    "    ทรงดำำริว่ำ      "   พระรำชำจักทรงทำำสัจจกิริยำว่ำ      '   เรำออกบวช
อุทิศพระรัตนตรัย        '        แล้วเสด็จไป,     ถึงเรำก็ออกบวชอุทิศพระรัตนตรัย,
ด้วยอำนุภำพแห่งพระรัตนะเหล่ำนั้นนั่นแล ขอนำ้ำนี้อย่ำได้เป็นเหมือนนำ้ำ
เลย    "       ดังนีแล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทรงส่งรถพันคันไป.
                    ้
นำ้ำได้เป็นเช่นกับหลังแผ่นหิน. ปลำยเพลำและเกลียวกงแห่งล้อก็ไม่เปียก
เลย.       พระเทวีเสด็จข้ำมแม่นำ้ำทั้ง ๒ แม้นอกนี้ไปได้ โดยอุบำยนั้น
เหมือนกัน.
               พระศำสดำทรงทรำบควำมเสด็จมำของพระเทวี ได้ทรงทำำโดย
ประกำรที่ภิกษุทั้งหลำย ผูนั่งอยู่ในสำำนักของพระองค์ ไม่ปรำกฏ
                         ้
ได้.       แม้พระเทวีเสด็จไปอยู่ ๆ ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีพุ่งออก
จำกพระสรีระของพระศำสดำ                     ทรงดำำริอย่ำงนั้นเหมือนกัน แล้ว
เสด็จไปเฝ้ำพระศำสดำ ถวำยบังคมแล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วน
ข้ำงหนึ่ง ทูลถำมว่ำ          "    ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้ำมหำ-
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่    30
กัปปินะ เสด็จออกผนวชอุทิศพระองค์, ท้ำวเธอชะรอยจะเสด็จมำในที่
นี้แล้ว.       ท้ำวเธอประทับอยู่ไหน     ?   พระองค์ไม่แสดงแม้แก่พวก
หม่อมฉันบ้ำง.       "
               พระศำสดำตรัสว่ำ      "   ท่ำนทั้งหลำยจงนั่งก่อน,            จักเห็นพระ
รำชำในที่นี้เอง.        "   หญิงเหล่ำนั้นแม้ทุกคน มีจิตยินดี นังแล้ว ด้วย
                                                               ่
คิดว่ำ     "   นัยว่ำ พวกเรำนั่งในที่นี้แหละ จักเห็นพวกสำมี.       "
               พระศำสดำตรัสอนุปุพพีกถำแล้ว.         ในเวลำจบเทศนำ พระนำง
อโนชำเทวี พร้อมทั้งบริวำร บรรลุโสดำปัตติผลแล้ว.
               พระมหำกัปปินะพร้อมทั้งบริวำร สดับพระธรรมเทศนำ
ที่พระศำสดำทรงขยำยแก่หญิงเหล่ำนั้นแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย.
                ้                   ในขณะนั้น พระศำสดำ ทรงแสดงภิกษุ
เหล่ำนั้น ผู้บรรลุพระอรหัตแล้ว แก่หญิงเหล่ำนั้น.
               ได้ยินว่ำ ในขณะที่หญิงเหล่ำนั้นมำนั่นเทียว จิต          (ของเขำ)
ไม่พึงมีอำรมณ์เป็นหนึ่ง        เพรำะเห็นสำมีของตน ๆ ทรงผ้ำย้อมนำ้ำ
ฝำด, มีศีรษะโล้น เพรำะเหตุนั้น หญิงเหล่ำนั้น จึงไม่พึงอำจเพื่อ
บรรลุมรรคผลได้; เพรำะฉะนั้น ในเวลำหญิงเหล่ำนั้น ตั้งมั่นอยู่ใน
ศรัทธำอันไม่หวั่นไหวแล้ว พระศำสดำจึงทรงแสดงภิกษุเหล่ำนั้น ผู้
บรรลุพระอรหัตแล้ว แก่หญิงเหล่ำนั้น. แม่หญิงเหล่ำนั้น เห็นภิกษุ
เหล่ำนั้นแล้ว นมัสกำรด้วยเบญจำงคประดิษฐ์แล้ว กล่ำวว่ำ                      "   ท่ำน
ผู้เจริญ กิจบรรพชิตของท่ำนทังหลำย ถึงที่สุดก่อน
                            ้                             "       ดังนีแล้ว
                                                                       ้
ถวำยบังคมพระศำสดำ ยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง แล้วทูลขอบรรพชำ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   31
            อำจำรย์บำงพวก กล่ำวว่ำ         "   ได้ยินว่ำ เมื่อหญิงเหล่ำนั้นกรำบ
ทูลอย่ำงนั้นแล้ว,     พระศำสดำทรงดำำริกำรมำของพระอุบลวรรณำเถรี.                    "
            แต่พระศำสดำตรัสกะอุบำสิกำเหล่ำนั้นว่ำ  "        ท่ำนทั้งหลำยพึง
ไปสู่กรุงสำวัตถี    บรรพชำในสำำนักแห่งภิกษุณีเถิด. "             อุบำสิกำเหล่ำ
นั้น เที่ยวจำริกไปโดยลำำดับ มีสักกำระและสัมมำนะอันมหำชนนำำ
มำในระหว่ำงทำง เดินทำงไปด้วยเท้ำสิ้นหนทำง ๑๒๐ โยชน์ บวชใน
สำำนักแห่งนำงภิกษุณี ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.             แม้พระศำสดำก็ได้ทรง
พำภิกษุพันรูป เสด็จไปสู่พระเชตวัน ทำงอำกำศนั่นแล.
            ได้ยินว่ำ ในภิกษุเหล่ำนั้น ท่ำนพระมหำกัปปินะเที่ยวเปล่ง
อุทำนในที่ทั้งหลำยมีที่พักกลำงคืนและที่พักกลำงวันว่ำ         "     สุขหนอ
สุขปนอ.     "    ภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลแด่พระผู้มีพระภำคว่ำ          "    ข้ำแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระมหำกัปปินะ เที่ยวเปล่งอุทำนว่ำ            '   สุขหนอ
สุขหนอ,     '   ท่ำนเห็นจะกล่ำวปรำรภควำมสุขในรำชสมบัติของตน.                  "
            พระศำสดำรับสั่งให้เรียกพระมหำกัปปินะนั้นมำแล้ว ตรัสถำม
ว่ำ   "   กัปปินะ ได้ยินว่ำเธอเปล่งอุทำนปรำรภ สุขในกำม สุขใน
รำชสมบัติ จริงหรือ    ?"
            พระมหำกัปปินะทูลว่ำ      "   ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระ
ภำค ย่อมทรงทรำบ กำรเปล่งหรือไม่เปล่งปรำรภกำมสุขและรัชสุข
นั้นของข้ำพระองค์.     "
            พระศำสดำตรัสว่ำ      "   ภิกษุทั้งหลำย บุตรของเรำย่อมเปล่ง
อุทำนปรำรภสุขในกำม สุขในรำชสมบัติ หำมิได้,                 ก็แต่ว่ำ ควำม
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   32
เอิบอิ่มในธรรม ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรของเรำ,     บุตรของเรำนั้นย่อม
เปล่งอุทำนอย่ำงนั้น เพรำะปรำรภอมตมหำนิพพำน        "    ดังนีแล้ว
                                                            ้
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ      :-
              "   บุคคลผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อม
               อยู่เป็นสุข, บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้ำ
               ประกำศแล้วทุกเมื่อ.   "
                                                        [   แก้อรรถ      ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ธมฺมปีติ ควำมว่ำ ผู้เอิบอิ่มใน
ธรรม อธิบำยว่ำ ผูดื่มธรรม.
                 ้               ก็ชื่อพระธรรมนี่ อันใคร ๆ ไม่
อำจเพื่อจะดื่มได้ เหมือนดื่มข้ำวยำคูเป็นต้น ด้วยภำชนะฉะนั้น .       ก็
บุคคลถูกต้องโลกุตรธรรม ๙ อย่ำง ด้วยนำมกำย ทำำให้แจ้งโดย
ควำมเป็นอำรมณ์ แทงตลอดอริยสัจมีทุกข์เป็นต้น ด้วยกิจมีกำร
บรรลุธรรมด้วยควำมกำำหนดรู้เป็นต้น ชื่อว่ำย่อมดื่มธรรม.
         คำำว่ำ สุข เสติ นี้ สักว่ำเป็นหัวข้อเทศนำ.    อธิบำยว่ำ
ย่อมอยู่เป็นสุข แม้ด้วยอิริยำบถ ๔.
         บทว่ำ วิปฺปสนฺเนน คือ ไม่ขุ่นมัว ได้แก่ ไม่มีอุปกิเลส.
         บทว่ำ อริยปฺปเวทิเต ควำมว่ำ ในโพธิปักขิยธรรม อัน
ต่ำงด้วยสติปัฏฐำนเป็นต้น อันพระอริยเจ้ำทั้งหลำย มีพระพุทธเจ้ำ
เป็นต้น ประกำศแล้ว.
         สองบทว่ำ สทำ รมติ ควำมว่ำ บัณฑิตผู้เอิบอิ่มในธรรมเห็น
ปำนนั้น มีใจผ่องใสอยู่ มำตำมพร้อมแล้วด้วยควำมเป็นบัณฑิต
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   33
ย่อมยินดี คือย่อมชื่นชมทุกเมื่อ.
         ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก ได้เป็นพระอริยบุคคลมีพระ
โสดำบันเป็นต้นแล้ว ดังนีแล.
                        ้
                                เรื่องพระมหำกัปปินะเถระ   จบ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   34
                                            ๕. เรื่องบัณฑิตสำมเณร
[   ข้อควำมเบื้องต้น     ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน             ทรงปรำรภบัณฑิต
สำมเณร ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                 " อุทก หิ นยนฺติ " เป็นต้น.
                                             [ พระศำสดำตรัสอนุโมทนำกถำ ]
            ดังได้สดับมำ ในอดีตกำล พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำพระนำมว่ำกัสสป
มีพระขีณำสพ ๒ หมื่นรูปเป็นบริวำร              ได้เสด็จไปสู่กรุงพำรำณสี.
มนุษย์ทั้งหลำยกำำหนดกำำลังของตน ๆ แล้ว รวมกัน ๘ คนบ้ำง ๑๐
คนบ้ำง ได้ถวำยอำคันตุกทำนแล้ว.
            ต่อมำวันหนึ่ง ในกำลเป็นที่เสร็จภัตกิจ พระศำสดำได้ทรง
ทำำอนุโมทนำกถำอย่ำงนี้ว่ำ            "   เรำอุบำสกอุบำสิกำทั้งหลำย       คนบำงคนใน
โลกนี้ คิดว่ำ   '   เรำให้ของ ๆ ตนเท่ำนั้นควร, ประโยชน์อะไรด้วย
กำรชักชวนคนอื่น      '       ดังนี้แล้ว จึงให้ทำนด้วยตนเท่ำนั้น ไม่ชักชวน
ผู้อื่น, เขำย่อมได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวำรสมบัติ ในที่ ๆ ตนเกิด
แล้ว, บำงคนชักชวนผู้อื่น ไม่ให้ด้วยตน, เขำย่อมได้บริวำรสมบัติ
ไม่ได้โภคสมบัติ ในที่ ๆ ตนเกิดแล้ว,              บำงคนทั้งไม่ให้ด้วยตน ทั้ง
ไม่ชักชวนผู้อื่น, เขำย่อมไม่ได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวำรสมบัติ เป็น
คนกินเดนเป็นอยู่ ในที่ ๆ ตนเกิดแล้ว;              บำงคนทั้งให้ด้วยตน ทั้ง
ชักชวนผู้อื่น, เขำน่อมได้ทั้งโภคสมบัติทงบริวำรสมบัติ ในที่ ๆ ตน
                                       ั้
เกิดแล้ว.   "
*    พระมหำจับ ป.ธ. ๗            (พระธรรมปัญญำจำรย์ ป.ธ.         ๙) วัดโสมนัสวิหำร แปล.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   35
                                      [   ผู้เลื่อมใสในอนุโมทนำกถำ         ]
             ชำยบัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้     ได้ฟังอนุโมทนำกถำนั้นแล้ว
คิดว่ำ   "   บัดนี้ เรำจักทำำอย่ำงที่สมบัติทั้ง ๒ จักมีแก่เรำ.   "         เขำ
ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว กรำบทูลว่ำ              "    พรุ่งนี้ ขอพระองค์จง
ทรงรับภิกษำของข้ำพระองค์          พระเจ้ำข้ำ "
             พระศำสดำ.       ต้องกำรภิกษุเท่ำไร    ?
             บัณฑิต.     ก็บริวำรของพระองค์ มีเท่ำไร     ?   พระเจ้ำข้ำ.
             พระศำสดำ.       มีภิกษุ ๒ หมื่นรูป.
             บัณฑิต.     พระเจ้ำข้ำ พรุ่งนี้ ขอพระองค์กับภิกษุทั้งหมด จง
ทรงรับภิกษำของข้ำพระองค์.
             พระศำสดำทรงรับนิมนต์แล้ว.           เขำเข้ำไปบ้ำนแล้ว เดินบอก
บุญว่ำ   "    แม่และพ่อทั้งหลำย พรุ่งนี้ ข้ำพเจ้ำนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระ
พุทธเจ้ำเป็นประมุขไว้  (เพื่อรับภิกษำ), ท่ำนทั้งหลำยจงถวำยแก่
ภิกษุเท่ำจำำนวนที่สำมำรถ (ถวำยได้). "          เมื่อชนทั้งหลำยกำำหนด
กำำลังของตน ๆ แล้วกล่ำวว่ำ " พวกเรำ จักถวำย ๑๐ รูป, พวก
เรำจักถวำย ๒๐ รูป, พวกเรำ ๑๐๐ รูป, พวกเรำ ๕๐๐ รูป " ดังนี้
แล้ว จึงจดคำำของคนทั้งหมดลงไว้ในบัญชีตงแต่ต้นมำ.
                                            ั้
                                  [ ชำยเข็ญใจยินดีรับเลี้ยงภิกษุ ]
          ก็ในสมัยนั้น ในกรุงมีชำยคนหนึ่งปรำกฏชื่อว่ำ " มหำ-
ทุคคตะ "      เพรำะควำมเป็นผูยำกจนยิงนัก.
                                ้       ่            ชำยบัณฑิตเห็นชำย
เข็ญใจแม้นั้นมำเฉพำะหน้ำ จึงบอกว่ำ " เพื่อนมหำทุคคตะ ข้ำพเจ้ำ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   36
ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ำเป็นประธำนไว้ เพื่อฉันในวันพรุ่ง
นี้. พรุ่งนี้ ชำวเมืองจักถวำยทำนกัน, แกจักเลี้ยงภิกษุสักกี่รูป
                                                             ?"
          มหำทุคคตะ. คุณ ผมจะต้องกำรอะไรด้วยภิกษุเล่ำ ? ชื่อว่ำ
ควำมต้องกำรภิกษุ เป็นของคนมีทรัพย์,        ส่วนผมแม้สักว่ำข้ำวสำร
ทะนำนหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่ข้ำวต้มพรุ่งนี้ ก็ไม่มี, ผมทำำงำนรับจ้ำง
เลี้ยงชีพ, ผมจะต้องกำรอะไรด้วยภิกษุ ?
          ธรรมดำผู้ชักชวนพึงเป็นผู้ฉลำด,      เพรำะฉะนั้น ชำยบัณฑิต
นั้น แม้เมื่อมหำทุคคตะพูดว่ำ " ไม่มี " ก็ไม่นิ่งเฉย ยังกล่ำวอย่ำง
นี้ว่ำ " เพื่อนมหำทุคคตะ คนเป็นอันมำก ในเมืองนี้ บริโภคโภชนะ
อย่ำงดี นุงผ้ำเนื้อละเอียด แต่งตัวด้วยเครื่องอำภรณ์ตำง ๆ นอน
          ่                                         ่
บนที่นอนอันสง่ำงำม ย่อมเสวยสมบัติกัน,            ส่วนแกทำำงำนรับจ้ำง
ตลอดวัน ยังไม่ได้อำหำรแม้พอเต็มท้อง;           เมื่อเป็นเช่นนี้ แกยัง
         ' เรำไม่ได้อะไร ๆ เพรำะไม่ได้ทำำบุญอะไร ๆ ไว้แม้ใน
ไม่รู้สึกว่ำ
กำลก่อน. "
        มหำทุคคตะ. ผมทรำบ คุณ.
        บัณฑิต. เมื่อเช่นนั้น ทำำไมบัดนีแกจึงไม่ทำำบุญเล่ำ ?
                                        ้                                แกยัง
เป็นหนุ่ม มีเรี่ยวแรงสมบูรณ์ แกแม้ทำำงำนจ้ำงแล้ว ให้ทำนตำม
กำำลัง จะไม่ควรหรือ       ?
               มหำทุคคตะนั้น เมื่อชำยบัณฑิตกล่ำวอยู่ ถึงควำมสลดใจ
จึงพูดว่ำ       "   คุณจงลงบัญชีภิกษุให้ผมบ้ำงสักรูปหนึ่ง, ผมจักทำำงำน
จ้ำงอะไรสักอย่ำงแล้ว จักถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง,          ชำยบัณฑิต
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่   37
นอกนี้ คิดว่ำ      "   ภิกษุรูปเดียว จะจดลงในบัญชีทำำไม             ?"      ดังนีแล้ว
                                                                                 ้
จึงไม่จดไว้.
              ฝ่ำยมหำทุคคตะ ไปเรือนแล้ว พูดกะภรรยำว่ำ                   "   หล่อน
พรุ่งนี้ ชำวเมืองเขำจัดภัตรเพื่อพระสงฆ์,                  แม้ฉันก็ถูกผู้ชักชวนบอก
ว่ำ     '   จงถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง.                พวกเรำจักถวำยภิกษำแก่ภิกษุ
รูปหนึ่ง พรุ่งนี้.     "   ลำำดับนั้น ภรรยำของเขำไม่พูดเลยว่ำ               "    พวกเรำ
เป็นคนจน,          แกรับคำำเขำทำำไม          ?"      กล่ำวว่ำ   "   นำย แกทำำดีแล้ว,
เมื่อก่อนเรำไม่ให้อะไร ๆ ชำตินี้จึงเกิดเป็นคนยำกจน,                    เรำทั้ง ๒
คน ทำำงำนจ้ำงแล้ว จักถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง                  "    แม้ทั้ง ๒ คน
ได้ออกไปสู่ททำำงำนจ้ำง.
            ี่                       มหำเศรษฐี เห็นมหำทุคคตะ จึงถำมว่ำ
"     เพื่อนมหำทุคคตะ เธอจักทำำงำนจ้ำงหรือ               ?"
              มหำทุคคตะ.      ขอรับ กระผม.
              มหำเศรษฐี.     จักทำำอะไร         ?
              มหำทุคคตะ.      แล้วแต่ท่ำนจักให้ทำำ.
              มหำเศรษฐีกล่ำวว่ำ          "   ถ้ำอย่ำงนั้น พรุ่งนี้ เรำจักเลี้ยงภิกษุ
๒-๓ ร้อย,         จงผ่ำฟืนเถิด   "           แล้วก็ให้หยิบมีดและขวำนมำให้.                มหำ
ทุคคตะถกเขมนอย่ำงแข็งแรง ถึงควำมอุตสำหะ วำงมีด คว้ำขวำน
ทิ้งขวำน ฉวยมีด ผ่ำฟืนไป.
              ลำำดับนั้น เศรษฐีพูดกะเขำว่ำ          "   เพื่อน วันนี้ เธอขยันทำำงำน
เหลือเกิน, มีเหตุอะไรหรือ            ?
              มหำทุคคตะ.      นำย ผมจักเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง.
ประโยค๒          -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   38
            เศรษฐีฟังคำำนั้นแล้ว มีใจเลื่อมใส คิดว่ำ            "   น่ำเลื่อมใสจริง
มหำทุคคตะนี้ ทำำกรรมที่ทำำได้ยำก,                   เขำไม่ถึงควำมเฉยเมยด้วยคิด
ว่ำ   '   เรำจน   '       พูดว่ำ   '   จักทำำงำนจ้ำงแล้วเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง.     "
            ฝ่ำยภรรยำของเศรษฐี เห็นภรรยำของมหำทุคคตะนั้นแล้ว ก็
ถำมว่ำ     "   แม่ เจ้ำจักทำำงำนอะไร           ?"     เมื่อนำงตอบว่ำ     "    แล้วแต่
จะใช้ดิฉันให้ทำำ      "      จึงให้เข้ำไปสู่โรงกระเดื่องแล้ว ให้มอบเครื่องมือมี
กะด้งและสำกเป็นต้นให้แล้ว.                   นำงยินดีรำเริง ทั้งตำำข้ำวและฝัดข้ำวเหมือน
                                                      ่
จะรำำละคร.
            ลำำดับนั้น ภรรยำเศรษฐีถำมนำงว่ำ                "   แม่ เจ้ำยินดีรำเริง
                                                                             ่
ทำำงำนเหลือเกิน,            มีเหตุอะไรหรือ      ?"
            นำง.          คุณนำย พวกดิฉันทำำงำนจ้ำงนี้แล้ว จักเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง.
            ฝ่ำยภรรยำเศรษฐี ฟังคำำนั้นแล้ว เลื่อมใสในนำงว่ำ                     "   น่ำ
เลื่อมใส   !    นำงนีทำำกรรมที่ทำำได้ยำก.
                     ้                               "
            ในเวลำที่มหำทุคคตะผ่ำฟืนเสร็จ เศรษฐีสั่งให้ ๆ ข้ำวสำลี ๔
ทะนำน ด้วยพูดว่ำ       " นี้ค่ำจ้ำงของเธอ " แล้วสั่งให้ ๆ แม้อีก ๔
ทะนำน ด้วยพูดว่ำ " นี้เป็นส่วนที่เพิ่มให้เพรำะควำมยินดีแก่เธอ. "
          เขำไปสู่เรือน บอกกะภรรยำว่ำ " ฉันรับจ้ำงได้ข้ำวสำลีมำ,
ส่วนนี้ จักเป็นกับ, เจ้ำจงถือเอำของ คือ นมส้ม นำ้ำมัน และเครื่อง
เทศ ด้วยค่ำจ้ำง (แรงงำน) ที่เจ้ำได้แล้ว. "
            ฝ่ำยภรรยำเศรษฐี สั่งให้จำยเนยใสขวดหนึ่ง ๑ นมส้มกระปุก ๑
                                    ่
เครื่องเทศ ๑ และข้ำวสำลีอย่ำงเป็นตัวทะนำนหนึ่งแก่นำง, เรำ
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   39
ทั้ง ๒ ได้มีขำวสำรรวม ๕ ทะนำน ด้วยประกำรฉะนี้.
             ้
           ทัง ๒ ผัวเมียนั้น ยินดีร่ำเริงว่ำ
             ้                                       "   เรำได้ไทยธรรมแล้ว          "   ลุก
ขึ้นแต่เช้ำตรู่.        ภรรยำพูดกะมหำทุคคตะว่ำ             "   ไปหำผักมำซิ นำย          "
เขำไม่เห็นผักในร้ำนตลำด จึงไปฝั่งแม่นำ้ำ มีใจร่ำเริงว่ำ                  "    จักได้
ถวำยโภชนะแก่พระผู้เป็นเจ้ำ           "     ร้องเพลงพลำง เลือกเก็บผักพลำง.
ชำวประมงยืนทอดแหใหญ่อยู่ รู้ว่ำ              "   เป็นเสียงของมหำทุคคตะ          "
จึงเรียกเขำมำถำมว่ำ        "   แกมีจตยินดีเหลือเกิน ร้องเพลงอยู่,
                                    ิ                                            มี
เหตุอะไรหรือ       ?"
           มหำทุคคตะ.          เก็บผัก เพื่อน.
           ชำวประมง.           จักทำำอะไรกัน     ?
           มหำทุคคตะ.          จักเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง.
           ชำวประมง.           โอ    !   อิ่มละ ภิกษุที่ฉันผักของแก.
           มหำทุคคตะ.          จะทำำอย่ำงไรได้       ?   เพื่อน, กันต้องเลี้ยงภิกษุด้วย
ผักที่กันได้.
           ชำวประมง.           ถ้ำอย่ำงนั้น มำนี่เถิด.
           มหำทุคคตะ.          จะทำำอย่ำงไร      ?   เพื่อน.
           ชำวประมง.           จงถือเอำปลำเหล่ำนี้ ร้อยให้เป็นพวง มีรำคำ
บำทหนึ่งบ้ำง กึ่งบำทบ้ำง กหำปณะหนึ่งบ้ำง.                      เขำได้กระทำำอย่ำงนั้น.
           ชำวเมืองซื้อปลำที่มหำทุคคตะร้อยไว้ ๆ ไป เพื่อประโยชน์แก่
ภิกษุที่ตนนิมนต์แล้ว ๆ.             เมื่อเขำกำำลังร้อยปลำอยู่นั้นแล,          ก็ถึงเวลำ
ภิกขำจำรแล้ว.           เขำกำำหนดเวลำแล้ว กล่ำวว่ำ             "   จักต้องไป เพื่อน,
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   40
นี้ เป็นเวลำที่ภิกษุมำ.       "
            ชำวประมง.             ก็พวงปลำยังมีอยูไหม
                                                  ่       ?
            มหำทุคคตะ.            ไม่มี เพื่อน,      หมดสิ้นแล้ว.
            ชำวประมง.             ถ้ำอย่ำงนั้น ปลำตะเพียน ๔ ตัว ข้ำหมกทรำย
ไว้เพื่อประโยชน์แก่ตน,                แม้ถ้ำแกต้องกำรจะเลี้ยงภิกษุ,          จงเอำปลำ
เหล่ำนี้ไปเถิด    "    ดังนีแล้ว ก็ได้ให้ปลำตะเพียนเหล่ำนั้นแก่เขำไป.
                            ้
                              [    มหำทุคคตะได้ถวำยทำนแด่พระพุทธเจ้ำ                 ]
            ก็วันนั้น พระศำสดำทรงตรวจดูสตว์โลก ในเวลำใกล้รุ่ง ทรง
                                        ั
เห็นมหำทุคคตะ เข้ำไปในข่ำยคือพระญำณของพระองค์ ทรง
รำำพึงว่ำ   "   จักมีเหตุอะไรหนอ         ?"       ทรงดำำริว่ำ   "   มหำทุคคตะ คิดว่ำ
'   จักเลี้ยงภิกษุรูปหนึ่ง,        จึงได้ทำำงำนจ้ำงกับภรรยำแล้วในวันวำน,                    เขำ
จักได้ภิกษุรูปไหนหนอ          ?"          จึงทรงใคร่ครวญว่ำ         "   คนทั้งหลำย จัก
พำภิกษุไปตำมชื่อที่จดไว้ในบัญชีแล้ว ให้นั่งในเรือนของตน ๆ.                              มหำ-
ทุคคตะเว้นเรำเสียแล้ว จักไม่ได้ภิกษุอื่น.             "
            ได้ยินว่ำ พระพุทธเจ้ำทังหลำย ย่อมทรงทำำควำมอนุเครำะห์
                                   ้
ในพวกเข็ญใจ.            เพรำะฉะนั้น พระศำสดำทรงทำำสรีรกิจแต่เช้ำตรู่
แล้ว เสด็จเข้ำสู่พระคันธกุฎี ประทับนั่ง ด้วยทรงดำำริวำ
                                                     ่                   "   จัก
สงเครำะห์มหำทุคคตะ.           "        แม้เมื่อมหำทุคคตะ กำำลังถือปลำเข้ำไป
สู่เรือน,       บัณฑุกัมพลสิลำอำสน์ของท้ำวสักกะ แสดงอำกำรร้อน.
ท้ำวเธอทรงพิจำรณำว่ำ              "    เหตุอะไรกันหนอ     ?"        ทรงดำำริว่ำ     "    วำนนี้
มหำทุคคตะได้ทำำงำนจ้ำงกับภรรยำของตน ด้วยตั้งใจว่ำ                        '   จักถวำย
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   41
ภิกษำแก่ภิกษุสัก ๑ รูป   '          เขำจักได้ภิกษุรูปไหนหนอ     ?"    ทรงทรำบว่ำ
"   ภิกษุอื่นไม่มสำำหรับเขำ,
                 ี                 แต่พระศำสดำ ประทับนั่งในพระคันธกุฎี
นั่นเอง ด้วยตังพระทัยว่ำ
              ้                '   จักสงเครำะห์มหำทุคคตะ,   '    มหำทุคคตะ
พึงถวำยข้ำวต้มข้ำวสวย          แม้มีผักเป็นกับ   อย่ำงที่ตัวบริโภคเอง
แด่พระตถำคต,         ถ้ำกระไร เรำควรไปยังเรือนของมหำทุคคตะ ทำำ
หน้ำที่เป็นพ่อครัว   "   ดังนีแล้ว จึงทรงจำำแลงเพศมิให้ใครรู้จัก เสด็จ
                              ้
ไปใกล้เรือนของมหำทุคคตะนั้นแล้ว ตรัสถำมว่ำ            "   ใคร ๆ มีงำน
จ้ำงอะไรบ้ำงหรือ    ? " มหำทุคคตะเห็นท้ำวสักกะแล้ว จึงกล่ำวว่ำ
" จักทำำงำนอะไร ? เพื่อน. "
             ชำยแปลง. ข้ำพเจ้ำรู้วิชำกำรทุกอย่ำง นำย,         ชื่อว่ำวิชำกำร
สิ่งไร ทีข้ำพเจ้ำไม่เข้ำใจ ไม่มีเลย,
         ่                               รู้จนกำรปรุง ข้ำวต้มข้ำวสวย
เป็นต้น.
             มหำทุคคตะ. เพื่อน พวกข้ำพเจ้ำมีควำมต้องกำรด้วยกำรงำน
ของท่ำน, แต่ยังไม่เห็นค่ำจ้ำงที่ควรจะให้แก่ท่ำน.
             ชำยแปลง. ก็ท่ำนต้องกำรทำำอะไร ?
             มหำทุคคตะ.    ข้ำพเจ้ำประสงค์จะถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง,
ประสงค์จดแจงข้ำวต้มข้ำวสวยถวำยภิกษุนั้น.
           ั
             ชำยแปลง. ถ้ำท่ำนจะถวำยภิกษำแก่ภิกษุ,         ข้ำพเจ้ำไม่ต้อง
กำรค่ำจ้ำง. ท่ำนให้บุญแก่ข้ำพเจ้ำ ไม่ควรหรือ ?
             มหำทุคคตะ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นกำรดีละ เพื่อน, เชิญ
เข้ำไปเถิด.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   42
             ท้ำวสักกะนั้น เสด็จเข้ำไปในเรือนของมหำทุคคตะนั้นแล้ว ให้
นำำข้ำวสำรเป็นต้นมำแล้ว ทรงส่งมหำทุคคตะนั้นไปด้วยคำำว่ำ                "   ไป
เถิดท่ำน,        จงนำำภิกษุที่ถึงแก่ตนมำ.    "
             ฝ่ำยผู้จัดกำรทำน ได้จำยภิกษุไปสู่เรือนของพวกชนเหล่ำนั้น ๆ
                                  ่
ตำมรำยกำรที่จดไว้ในบัญชีนั่นแล.               มหำทุคคตะไปยังสำำนักของเขำ
แล้ว พูดว่ำ      "                         "
                     จงให้ภิกษุที่ถึงแก่ผมเถิด     เขำได้สติขึ้นในขณะนั้น
จึงพูดว่ำ    " ฉันลืมภิกษุสำำหรับแกเสียแล้ว "      มหำทุคคตะเป็นเหมือน
ถูกประหำรที่ท้องด้วยหอกอันคม ประคองแขนรำ่ำไรว่ำ               "   เหตุไรจึง
ให้ผมฉิบหำยเสียเล่ำ       ?   คุณ,       แม้ผมอันท่ำนชวนแล้วเมื่อวำน ก็
พร้อมด้วยภรรยำ ทำำงำนจ้ำงตลอดวัน วันนี้ แต่เช้ำตรู่ เที่ยวไปที่
ฝังแม่นำ้ำ เพื่อต้องกำรผักแล้วจึงมำ,
  ่                                          ขอท่ำนจงให้ภิกษุแก่ผมสักรูป
หนึ่งเถิด.   "
                                    [   มหำทุคคตะไปนิมนต์พระศำสดำ          ]
             คนทั้งหลำยประชุมกันแล้ว ถำมว่ำ        "   มหำทุคคตะ นั่นอะไร
กัน ? " เขำบอกเนื้อควำมนั้น. คนเหล่ำนั้น ถำมผูจัดกำรว่ำ " จริง
                                                    ้
ไหม ? เพื่อน, ได้ยินว่ำ มหำทุคคตะนี้ ท่ำนชักชวนว่ำ ' จงทำำงำน
จ้ำงแล้วถวำยภิกษำแก่ภิกษุสักรูปหนึ่ง. "
         ผูจัดกำร. ขอรับ นำย.
           ้
         คนเหล่ำนั้น. ท่ำนจัดกำรภิกษุมีประมำณถึงเท่ำนี้ ไม่ได้ให้
ภิกษุแก่มหำทุคคตะนี้สักรูปหนึ่ง ทำำกรรมหนักเสียแล้ว.
             เขำละอำยใจ ด้วยคำำพูดของคนเหล่ำนั้น จึงพูดกะมหำทุคคตะ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   43
นั้นว่ำ    "   เพื่อนมหำทุคคตะ อย่ำให้ฉันฉิบหำยเลย,          ฉันถึงควำม
ลำำบำกใหญ่ เพรำะเหตุแห่งท่ำน,             คนทั้งหลำย นำำภิกษุที่ถึงแก่ตน ๆ
ไปตำมรำยกำรที่จดไว้ในบัญชี,             ชื่อว่ำคนผู้ซึ่งจะถอนภิกษุผู้ซงนั่งใน
                                                                      ึ่
เรือนของตนให้ ไม่มี,            ส่วนพระศำสดำ สรงพระพักตร์แล้ว
ประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎีนั่นเอง,         พระเจ้ำแผ่นดิน ยุพรำช และ
คนโต ๆ มีเสนำบดีเป็นต้น นังแลดูกำรเสด็จออกจำกพระคันธกุฎี
                          ่
แห่งพระศำสดำ คิดว่ำ         '   จักรับบำตรของพระศำสดำไป,
                                                    ' ธรรมดำ
พระพุทธเจ้ำทังหลำย ย่อมทรงทำำอนุเครำะห์ในคนยำกจน, ท่ำนจง
             ้
ไปวิหำร กรำบทูลพระศำสดำว่ำ ' ข้ำพระองค์เป็นคนยำกจน พระ
เจ้ำข้ำ, ขอพระองค์ จงทรงทำำควำมสงเครำะห์แก่ข้ำพระองค์เถิด ;
ถ้ำท่ำนมีบุญ, ท่ำนจักได้แน่ " เขำได้ไปสู่วิหำรแล้ว.
                     [ พระศำสดำประทำนบำตรแก่มหำทุคคตะ ]
               ลำำดับนั้น พระเจ้ำแผ่นดินและยุพรำชเป็นต้น ตรัสกะเขำว่ำ
"     มหำทุคคตะ ไม่ใช่เวลำภัตรก่อน, เจ้ำมำทำำไม           ?"   เพรำะเคย
เห็นเขำโดยควำมเป็นวิฆำสำทในวิหำร                ในวันอื่น ๆ.   มหำทุคคตะ
กรำบทูลว่ำ       "   ข้ำพระองค์ทรำบอยู่วำ
                                        ่   '   ไม่ใช่เวลำภัตรก่อน   '      แต่
ข้ำพระองค์มำก็เพื่อถวำยบังคมพระศำสดำ             "   ดังนีแล้ว จึงซบศีรษะ
                                                          ้
ลงที่พระคันธกุฎี ถวำยบังคมด้วยเบญจำงคประดิษฐ์ กรำบทูล
ว่ำ    "   ผู้ทยำกจนกว่ำข้ำพระองค์ในพระนครนี้ไม่มี พระเจ้ำข้ำ, ขอ
               ี่
ทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้ำพระองค์เถิด,        ขอทรงทำำควำมสงเครำะห์แก่ข้ำพระ-
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   44
องค์เถิด.   "   พระศำสดำทรงเปิดพระทวำรพระคันธกุฎี ทรงนำำบำตรมำ
ประทำนในมือของเขำ. เขำได้เป็นเหมือนบรรลุจักรพรรดิสิริ. พระ
เจ้ำแผ่นดินและยุพรำชเป็นต้น ต่ำงทรงแลดูพระพักตร์กันและกัน.
            แท้จริง ใคร ๆ ชื่อว่ำสำมำรถเพื่อจะรับบำตรที่พระศำสดำ
ประทำนแก่มหำทุคคตะ ด้วยอำำนำจควำมเป็นใหญ่ หำมีไม่, เป็นแต่
กล่ำวอย่ำงนี้   "   เพื่อนมหำทุคคตะ ท่ำนจงให้บำตรของพระศำสดำ
แก่พวกเรำ, พวกเรำจักให้ทรัพย์มีประมำณเท่ำนี้ คือ พันหนึ่งหรือ
แสนหนึ่ง แก่ท่ำน, ท่ำนเป็นคนเข็ญใจ จงเอำทรัพย์เถิด, ประโยชน์
อะไรของท่ำนด้วยบำตรเล่ำ         ?"      มหำทุคคตะ ตอบว่ำ     "   ข้ำพเจ้ำจัก
ไม่ให้ใคร, ข้ำพเจ้ำไม่มีควำมต้องกำรด้วยทรัพย์, จักให้พระศำสดำ
เท่ำนั้นเสวย.   "    ชนทังหลำยที่เหลือ อ้อนวอนเขำ ไม่ได้บำตรแล้ว
                         ้
จึงกลับไป.
            ฝ่ำยพระเจ้ำแผ่นดิน ทรงดำำริว่ำ    "   มหำทุคคตะ แม้ถูกเขำเล้ำ
โลมล่อด้วยทรัพย์ ก็ไม่ให้บำตรของพระศำสดำ,              ก็ใคร ๆ ไม่อำจ
จะรับบำตรที่พระศำสดำประทำนแล้วด้วยพระองค์เองได้, อันไทยธรรม
ของมหำทุคคตะนี้ จักมีประมำณเท่ำไร         ?   ในเวลำมหำทุคคตะนี้ถวำย
ไทยธรรมเสร็จแล้ว เรำจักนำำพระศำสดำไปยังเรือน ถวำยอำหำร
ที่เขำจัดไว้สำำหรับเรำ   "    ดังนีแล้ว จึงได้ตำมเสด็จไปพร้อมด้วยพระ
                                   ้
ศำสดำทีเดียว.
                         [   พระศำสดำเสด็จไปเรือนของมกำทุคคตะ         ]
            ฝ่ำยท้ำวสักกเทวรำช จัดอำหำรภัตรมีข้ำวต้มข้ำวสวยและผัก
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   45
เป็นต้น พร้อมมูลแล้ว ปูอำสนะที่สมควรเป็นที่ประทับแห่งพระศำสดำ
แล้วประทับนั่ง.       มหำทุคคตะนำำพระศำสดำออกไปแล้ว กรำบทูลว่ำ                  "   จง
เสด็จเข้ำไปเถิด พระเจ้ำข้ำ.        "   ก็เรือนที่อยูของเขำตำ่ำ, ผูที่ไม่ก้ม ไม่
                                                    ่             ้
อำจเขำไปได้, ก็แต่ธรรมดำพระพุทธเจ้ำทั้งหลำย เมื่อเสด็จเข้ำ
สู่เรือน ไม่ต้องก้มเสด็จไป.         เพรำะว่ำ ในเวลำเสด็จเข้ำสู่เรือน
แผ่นดินใหญ่ ย่อมยุบลงภำยใต้.             หรือเรือนสูงขึ้น. นี่เป็นผลแห่งทำน
ที่พระพุทธเจ้ำทังหลำยนั้นถวำยไว้ดีแล้ว.
                ้                                 ในเวลำที่พระองค์เสด็จออกไป
แล้ว ทุกสิ่งเป็นปกติเหมือนเดิมอีก; เพรำะฉะนั้น พระศำสดำ ทั้งประทับ
ยืนอยู่นั่นเอง เสด็จเข้ำสู่เรือนแล้ว ประทับนั่งบนอำสนะที่ท้ำวสักกะปู
ไว้แล้ว.     เมื่อพระศำสดำประทับนั่งแล้ว, พระรำชำรับสั่งว่ำ           "   เพื่อน
มหำทุคคตะ ท่ำนไม่ให้บำตรของพระศำสดำ แก่พวกเรำ แม้ผู้
อ้อนวอนอยู่,         พวกเรำจะดูก่อน, สักกำระที่ท่ำนจัดถวำยพระศำสดำ
เป็นเช่นไร   ?"        ลำำดับนั้น ท้ำวสักกะเปิดข้ำวยำคูและภัตรออกอวด,
กลิ่นเครื่องอบอำหำรภัตรเหล่ำนั้น ได้กลบทั่วพระนครตั้งอยู่.             พระ
รำชำทรงตรวจดูขำวยำคูเป็นต้นแล้ว กรำบทูลพระผู้มีพระภำคว่ำ
              ้                                                           "   ข้ำ
แต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน คิดว่ำ          '   ไทยธรรมของมหำทุคคตะ
จักมีสักเท่ำไร   ?    เมื่อมหำทุคคตะนี้ถวำยไทยธรรมแล้ว จักนำำเสด็จ
พระศำสดำไปยังเรือน ถวำยอำหำรที่เขำจัดไว้สำำหรับตน             '   ดังนี้ จึง
มำแล้ว, อำหำรเห็นปำนนี้ หม่อมฉันไม่เคยเห็นเลย, เมื่อหม่อมฉัน
อยู่ในที่นี้ มหำทุคคตะต้องลำำบำกเหลือเกิน หม่อมฉันจะกลับ          "
ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว เสด็จหลีกไป.
ประโยค๒     -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   46
                      [    บ้ำนของมหำทุคคตะเต็มด้วยแก้ว ๗ อย่ำง                  ]
             ฝ่ำยท้ำวสักกะ ถวำยยำคูเป็นต้น ทรงอังคำสพระศำสดำโดย
เคำรพ.        แม้พระศำสดำ ทรงทำำภัตรกิจแล้ว ทรงทำำอนุโมทนำ เสด็จ
ลุกจำกอำสนะหลีกไป.              ท้ำวสักกะได้ให้สัญญำแก่มหำทุคคตะ.                    เขำ
รับบำตร ตำมเสด็จพระศำสดำ. ท้ำวสักกะเสด็จกลับ ประทับยืนอยู่ที่
ประตูเรือนของมหำทุคคตะ ทรงแลดูอำกำศแล้ว. ฝนแก้ว ๗ ประกำร
ตกลงจำกอำกำศ เต็มภำชนะทั้งหมดในเรือนของเขำแล้ว ยังล้นไป
ทั่วเรือน.     ในเรือนของเขำไม่มีที่ว่ำง.             ภรรยำของเขำได้จูงมือพวก
เด็ก นำำออกไปยืนอยู่ภำยนอก. เขำตำมเสด็จพระศำสดำแล้วกลับมำ
เห็นเด็กข้ำงถนน จึงถำมว่ำ             "   นี่อะไร   ?"       ภรรยำของเขำตอบว่ำ
"   นำย เรือนของเรำเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประกำรทั่วทั้งหลัง,                         ไม่มช่อง
                                                                                    ี
จะเข้ำไปได้.     "        เขำคิดว่ำ   "   ทำนของเรำให้ผลวันนี้เอง       "        ดังนี้แล้ว
จึงไปสู่พระรำชำสำำนัก ถวำยบังคมพระรำชำแล้ว.                        เมื่อพระรำชำรับสัง
                                                                                    ่
ถำมว่ำ   "    มำทำำไม     ?"      จึงกรำบทูลว่ำ          "   พระเจ้ำข้ำ เรือนของ
ข้ำพระองค์ เต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประกำร,                          ขอพระองค์จงทรงถือเอำ
ทรัพย์นั้นเถิด.   "
             พระรำชำทรงดำำริว่ำ           "   น่ำอัศจรรย์ ทำนที่เขำถวำยแก่พระพุทธ-
เจ้ำทังหลำย ถึงที่สุดวันนี้เอง
      ้                               "       ดังนีแล้ว จึงรับสั่งกะเขำว่ำ
                                                   ้
"                 ?"
    เธอควรจะได้อะไร
         มหำทุคคตะ. ขอจงพระรำชทำนเกวียนพันเล่ม                           เพื่อต้องกำร
นำำทรัพย์มำ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   47
          พระรำชำทรงส่งเกวียนพันเล่มไป ให้นำำทรัพย์มำ เกลี่ยไว้ที่
พระลำนหลวง.            กองทรัพย์ได้เป็นกองสูงประมำณเท่ำต้นตำล.               พระ
รำชำรับสั่งให้ชำวเมืองประชุมกันแล้ว ตรัสถำมว่ำ              "   ในกรุงนี้ ใคร
มีทรัพย์ถึงเท่ำนี้ไหม    ?"
          ชำวเมือง.         ไม่มี พระเจ้ำข้ำ.
          พระรำชำ.           จะควรทำำอย่ำงไร      ?   แก่คนมีทรัพย์มำกอย่ำงนี้.
          ชำวเมือง.         ควรตังเป็นเศรษฐี พระเจ้ำข้ำ.
                                 ้
          พระรำชำทรงทำำสักกำระเป็นอันมำกแก่เขำแล้ว รับสังให้พระ
                                                        ่
รำชทำนตำำแหน่งเศรษฐี.
          ลำำดับนั้น ท้ำวเธอตรัสบอกที่บ้ำนของเศรษฐีคนหนึ่งในกำล
ก่อนแก่เขำแล้ว ตรัสว่ำ        "   เธอจงให้ถำงพุ่มไม้ที่เกิดในที่นี้แล้ว ปลูก
เรือนอยู่เถิด.   "    เมื่อเขำแผ้วถำงที่นั้น ขุดพื้นที่ทำำให้เรียบอยู่,      หม้อ
ทรัพย์ได้ผดขึ้นยัดเยียดกันและกัน.
          ุ                                      เมื่อเขำกรำบทูลแก่พระรำชำ,
ท้ำวเธอจึงรับสั่งว่ำ    "   หม้อทรัพย์เกิดเพรำะบุญของเธอนั่นเอง,            เธอ
นั่นแหละจงถือเอำเถิด.        "
                              [   มหำทุคคตะตำยแล้วเกิดในกรุงสำวัตถี         ]
          เขำได้ปลูกเรือนแล้ว ได้ถวำยมหำทำนแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำ
เป็นประมุขตลอด ๗ วัน.                 แม้เบื้องหน้ำแต่นั้น เขำดำำรงอยู่ บำำเพ็ญ
บุญจนตลอดอำยุ ในที่สดอำยุ ได้บงเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติ
                    ุ         ั
สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบำทกำลนี้ จุตจำกนั้นแล้วถือปฏิสนธิ
                                       ิ
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   48
ในท้องธิดำคนโต ในตระกูลอุปัฏฐำก ของพระสำรีบุตรเถระ
ในกรุงสำวัตถี.
             ครังนั้น มำดำบิดำของนำง ทรำบควำมที่นำงตั้งครรภ์ จึงได้
                ้
ให้เครื่องบริหำรครรภ์.       โดยสมัยอื่น นำงเกิดแพ้ท้องเห็นปำนนี้ว่ำ
'   โอ   !   เรำพึงถวำยทำนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตังแต่ต้นพระธรรมเสนำบดี
                                             ้
ด้วยรสปลำตะเพียนแล้ว นุ่งผ้ำย้อมนำ้ำฝำด นังในที่สุดอำสนะ
                                          ่
บริโภคภัตรที่เป็นเดนของภิกษุเหล่ำนั้น.      "   นำงบอกแก่มำรดำบิดำ
แล้วก็ได้กระทำำตำมประสงค์.          ควำมแพ้ท้องระงับไปแล้ว.       ต่อมำใน
งำนมงคล ๗ ครังแม้อื่นจำกนั้น มำรดำบิดำของนำงเลี้ยงภิกษุ ๕๐๐
             ้
รูป มีพระธรรมเสนำบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลำตะเพียน
เหมือนกัน.
             พึงทรำบเรื่องทั้งหมด โดยนัยที่กล่ำวแล้ว ในเรื่องติสสกุมำร
นั้นแล.       ก็แต่ว่ำ นี้เป็นผลแห่งกำรถวำยรสแห่งปลำตะเพียนที่ถวำย
ในกำลที่เด็กนี้เป็นมหำทุคคตะนั่นเอง.
                                    [   ทำรกออกบวชเป็นสำมเณร      ]
                                ่                  " ข้ำแต่ทำนผู้
             ก็ในวันตั้งชื่อ เมือมำรดำของเด็กนั้น กล่ำวว่ำ  ่
เจริญ ขอท่ำนจงให้สิกขำบททังหลำยแก่ทำสของท่ำนเถิด " พระเถระ
                               ้
จึงกล่ำวว่ำ " เด็กนี้ชื่ออะไร ? "
          มำรดำของเด็ก ตอบว่ำ " ข้ำแต่ทำนผู้เจริญ คนเงอะงะ
                                       ่
ในเรือนนี้ แม้พวกพูดไม่ได้เรื่อง ก็กลับเป็นผู้ฉลำด ตั้งแต่กำลที่
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                -   หน้ำที่    49
เด็กนี้ถือปฏิสนธิในท้อง; เพรำะฉะนั้น บุตรของดิฉัน จักมีชื่อว่ำ
"   หนูบัณฑิต       "   เถิด.       พระเถระ ได้ให้สิกขำบททังหลำยแล้ว. ก็ตั้งแต่
                                                           ้
วันที่หนูบัณฑิตเกิดมำ ควำมคิดเกิดขึ้นแก่มำรดำของเขำว่ำ                               "   เรำ
จักไม่ทำำลำยอัธยำศัยของบุตรเรำ.                "       ในเวลำที่เขำมีอำยุได้ ๗ ขวบ
เขำกล่ำวกะมำรดำว่ำ              "   ผมจักบวชในสำำนักพระเถระ.             "       นำงกล่ำวว่ำ
"   ได้ พ่อคุณ, แม่นึกไว้แล้วอย่ำงนี้ว่ำ                   '   จักไม่ทำำลำยอัธยำศัย
ของเจ้ำ     "    ดังนีแล้ว จึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้ว กล่ำวว่ำ
                      ้                                                                  "   ข้ำแต่
ท่ำนผู้เจริญ ทำสของท่ำน อยำกจะบวช,                               ดิฉันจักนำำเด็กนี้ไปวิหำร
ในเวลำเย็น      "       ส่งพระเถระไปแล้ว ให้หมู่ญำติประชุมกัน กล่ำวว่ำ
"   พวกข้ำพเจ้ำ จักทำำสักกำระที่ควรทำำแก่บุตรของข้ำพเจ้ำ ในเวลำ
เป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทีเดียว           "      ดังนีแล้ว ก็ให้ทำำสักกำระมำกมำย
                                                  ้
พำหนูบัณฑิตนั้นไปสู่วิหำร ได้มอบถวำยแก่พระเถระว่ำ                            "   ขอท่ำน
จงให้เด็กนี้บวชเถิด เจ้ำข้ำ.             "    พระเถระบอกควำมที่กำรบวชเป็นกิจ
ทำำได้ยำกแล้ว,            เมื่อเด็กรับรองว่ำ       "   ผมจักทำำตำมโอวำทของท่ำน
ขอรับ   "       จึงกล่ำวว่ำ     "    ถ้ำอย่ำงนั้น จงมำเถิด         "    ชุบผมให้เปียก
แล้ว บอกตจปัญจกัมมัฏฐำน ให้บวชแล้ว.                             แม้มำรดำบิดำของ
บัณฑิตสำมเณรนั้น อยูในวิหำรนั่นเองสิ้น ๗ วัน ถวำยทำนแก่
                    ่
ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุข ด้วยรสปลำตะเพียนอย่ำงเดียว
ในวันที่เจ็ด เวลำเย็น จึงได้ไปเรือน.
            ในวันที่แปด พระเถระเมื่อจะไปภำยในบ้ำน พำสำมเณรนั้น
ไป ไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ. เพรำะเหตุไร                   ?       เพรำะว่ำ กำรห่มจีวรและ
ประโยค๒         -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   50
ถือบำตร หรืออิริยำบถของเธอ ยังไม่นำเลื่อมใสก่อน;
                                  ่                                       อีกอย่ำง
หนึ่ง วัตรที่พึงทำำในวิหำรของพระเถระ ยังมีอยู่;                     อนึ่ง พระเถระ,
เมื่อภิกษุสงฆ์เข้ำไปภำยในบ้ำนแล้ว,                     เที่ยวไปทั่ววิหำร กวำดที่ ๆ
ยังไม่กวำด ตังนำ้ำฉันนำ้ำใช้ไว้ในภำชนะที่ว่ำงเปล่ำ เก็บเตียงตั่งเป็น
             ้
ต้น ที่ยงเก็บไว้ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้ำไปบ้ำนภำยหลัง;
        ั                                                                  อีกอย่ำง
หนึ่ง   ท่ำนคิดเห็นว่ำ      "    พวกเดียรถีย์เข้ำไปยังวิหำรว่ำงแล้ว อย่ำ
ได้เพื่อจะพูดว่ำ   '   ดูเถิด ที่นั่งของพวกสำวกพระสมณโคดม                  '   ดังนี้
แล้ว จึงได้จัดแจงวิหำรทังสิ้น เข้ำไปบ้ำนภำยหลัง; เพรำะฉะนั้น
                        ้
แม้ในวันนั้น พระเถระให้สำมเณรนั่นเอง ถือบำตรจีวร เข้ำไป
บ้ำนสำยหน่อย.
                           [    สำมเณรเข้ำไปบิณฑบำตกับพระเถระ                  ]
          สำมเณรเมื่อเดินไปกับพระอุปัชฌำย์ เห็นเหมืองในระหว่ำงทำง
จึงเรียนถำมว่ำ     "   นี้ชื่ออะไร     ?   ขอรับ   "
          พระเถระ.             ชื่อว่ำเหมือง สำมเณร.
          สำมเณร.              เขำทำำอะไร     ?        ด้วยเหมืองนี้.
          พระเถระ.             เขำไขนำ้ำจำกที่นี้ ๆ แล้ว ทำำกำรงำนเกี่ยวด้วยข้ำว
กล้ำของตน.
          สำมเณร.              ก็นำ้ำมีจิตไหม      ?   ขอรับ.
          พระเถระ.             ไม่มี เธอ.
          สำมเณร.              ชนทั้งหลำยย่อมไขนำ้ำที่ไม่มีจิตเห็นปำนนี้สู่ที่ ๆ ตน
ปรำรถนำแล้ว ๆ ได้หรือ          ?   ขอรับ.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -       หน้ำที่   51
            พระเถระ.         ได้ เธอ.
            สำมเณรนั้น คิดว่ำ       "    ถ้ำคนทังหลำยไขนำ้ำซึ่งไม่มีจิตแม้เห็นปำนนี้
                                                ้
สู่ที่ ๆ ตนปรำรถนำแล้ว ๆ ทำำกำรงำนได้;               เหตุไฉน     ?   คนมี
จิตแท้ ๆ จักไม่อำจเพื่อทำำจิตของตนให้เป็นไปในอำำนำจแล้ว บำำเพ็ญ
สมณธรรม.        "    เธอเดินต่อไปเห็นพวกช่ำงศรกำำลังเอำลูกศรลนไฟแล้ว
เล็งด้วยหำงตำ ดัดให้ตรง จึงเรียนถำมว่ำ              "   พวกนี้ ชือพวก
                                                                 ่
อะไรกัน     ?   ขอรับ.   "
            พระเถระ.         ชือช่ำงศร เธอ.
                               ่
            สำมเณร.          ก็พวกเขำ ทำำอะไรกัน        ?
            พระเถระ.         เขำลนที่ไฟ แล้วดัดลูกศรให้ตรง.
            สำมเณร.          ลูกศรนั่น มีจตไหม
                                          ิ        ?    ขอรับ.
            พระเถระ.         ไม่มีจต เธอ.
                                   ิ
            เธอคิดว่ำ    "   ถ้ำคนทั้งหลำยถือเอำลูกศรอันไม่มีจตลนไฟแล้ว
                                                              ิ
ดัดให้ตรงได้;       เพรำะเหตุไร      ?     แม้คนมีจิต จึงจักไม่อำจเพื่อทำำจิต
ของตนให้เป็นไปในอำำนำจ แล้วบำำเพ็ญสมณธรรมเล่ำ                    ?"
            ครั้นสำมเณรเดินต่อไป เห็นชนถำกไม้ทำำเครื่องทัพพสัมภำระมี
กำำกงและดุมเป็นต้น จึงเรียนถำมว่ำ            "   พวกนี้ ชื่อพวกอะไร         ?
ขอรับ   "
            พระเถระ.         ชือช่ำงถำก เธอ.
                               ่
            สำมเณร. ก็พวกเขำ ทำำอะไรกัน                ?
            พระเถระ.         เขำถือเอำไม้แล้วทำำล้อแห่งยำนน้อยเป็นต้น เธอ.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                 -   หน้ำที่   52
          สำมเณร.       ก็ไม้เหล่ำนั่น มีจิตไหม      ?    ขอรับ.
          พระเถระ.       ไม่มีจต เธอ.
                               ิ
                                 [   สำมเณรลำกลับไปทำำสมณธรรม                   ]
          ทีนั้น เธอได้มีควำมตริตรองอย่ำงนี้ว่ำ           "   ถ้ำคนทังหลำยถือเอำ
                                                                     ้
ท่อนไม้ที่ไม่มีจิต ทำำเป็นล้อเป็นต้นได้;        เพรำะเหตุไร คนผูมีจิต
                                                                ้
จึงจักไม่อำจทำำจิตของตนให้เป็นไปในอำำนำจแล้วบำำเพ็ญสมณธรรมเล่ำ                          ?
เธอเห็นเหตุเหล่ำนี้แล้ว จึงเรียนว่ำ       "   ใต้เท้ำขอรับ ถ้ำใต้เท้ำควร
ถือบำตรและจีวรของใต้เท้ำได้;          กระผมพึงกลับ        "      พระเถระมิได้เกิด
ควำมคิดเลยว่ำ     "   เจ้ำสำมเณรเล็กนี้บวชได้หยก ๆ ตำมเรำมำ
กล่ำวอย่ำงนี้ได้ "    กลับกล่ำวว่ำ    "   จงเอำมำ สำมเณร          "   แล้วได้รับ
บำตรและจีวรของตนไว้.
          ฝ่ำยสำมเณรไหว้พระอุปัชฌำย์แล้ว เมื่อจะกลับ จึงเรียนว่ำ
"   ใต้เท้ำเมื่อจะนำำอำหำรมำเพื่อกระผม พึงนำำมำด้วยรสปลำตะเพียนเถอะ
ขอรับ.   "
          พระเถระ.       เรำจักได้ ในที่ไหนเล่ำ      ?    เธอ.
          สำมเณรเรียนว่ำ     "    ถ้ำไม่ได้ด้วยบุญของใต้เท้ำ ก็จักได้ด้วย
บุญของกระผม ขอรับ.      "        พระเถระวิตกว่ำ       "      แม้อันตรำยจะพึงมีแก่
สำมเณรเล็กผู้นั่งข้ำงนอก "        จึงให้ลูกดำลไปแล้วบอกว่ำ            "   ควรเปิด
ประตูห้องอยูของฉันแล้ว เข้ำไปนังเสียภำยใน.
            ่                  ่                         "      เธอได้กระทำำ
อย่ำงนั้นแล้ว นั่งลงหยั่งควำมรู้ลงในกรัชกำยของตน พิจำรณำอัตภำพอยู่.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่   53
                   [   อำสนะท้ำวสักกะร้อนเพรำะคุณของสำมเณร                      ]
          ครังนั้น ที่ประทับนั่งของท้ำวสักกะ แสดงอำกำรร้อนด้วยเดช
             ้
แห่งคุณ ของสำมเณรนั้น.              ท้ำวเธอใคร่ครวญว่ำ         "   จักมีเหตุอะไร
กันหนอ   ?"        ทรงดำำริได้ว่ำ     "   บัณฑิตสำมเณรถวำยบำตรและจีวรแก่
พระอุปัชฌำย์แล้วกลับ ด้วยตั้งใจว่ำ 'จักทำำสมณธรรม                  '   แม้เรำ
ก็ควรไปในที่นั้น   "     ดังนีแล้ว, ตรัสเรียกท้ำวมหำรำชทั้ง ๔ มำ ตรัสว่ำ
                              ้
"   พวกท่ำนจงไปไล่นกที่บินจอแจอยูในป่ำใกล้วิหำรให้หนีไป แล้วยึด
                                 ่
อำรักขำไว้โดยรอบ.        "      ตรัสกะจันทเทพบุตรว่ำ       "   ท่ำนจงฉุดรั้งมณฑล
พระจันทร์ไว้, "          ตรัสกะสุริยเทพบุตรว่ำ     "   ท่ำนจงฉุดรั้งมณฑล
พระอำทิตย์ไว้ "        ดังนี้แล้ว พระองค์เอง ได้เสด็จไปประทับยืนยึด
อำรักขำอยู่ที่สำยยู.         ในวิหำรแม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี.              จิตของ
สำมเณรได้มีอำรมณ์เป็นหนึ่งแล้ว.             เธอพิจำรณำอัตภำพแล้ว บรรลุ-
ผล ๓ อย่ำงในระหว่ำงภัตรนั้นเอง.
          ฝ่ำยพระเถระ คิดว่ำ          "   สำมเณรนั่งแล้วในวิหำร,                เรำอำจ
จะได้โภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ ในสกุลชื่อโน้น            "       ดังนีแล้ว จึง
                                                                    ้
ได้ไปสูตระกูลอุปัฏฐำก ซึ่งประกอบด้วยควำมรักและเคำรพตระกูลหนึ่ง .
       ่
ก็ในวันนั้น มนุษย์ทั้งหลำยในตระกูลนั้น ได้ปลำตะเพียนหลำยตัว
นั่งดูกำรมำแห่งพระเถระอยู่เทียว.             พวกเขำเห็นพระเถระกำำลังมำ
จึงกล่ำวว่ำ   "   ท่ำนขอรับ ท่ำนมำที่นี้ ทำำกรรมเจริญแล้ว              "       แล้ว
นิมนต์ให้เข้ำไปข้ำงใน ถวำยข้ำวยำคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว
ได้ถวยบิณฑบำตด้วยรสปลำตะเพียน.                 พระเถระแสดงอำกำรจะนำำ
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   54
ไป.       พวกมนุษย์เรียนว่ำ         "   นิมนต์ฉันเถิดขอรับ ใต้เท้ำจักได้แม้
ภัตรสำำหรับนำำไป     "       ในเวลำเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอำโภชนะ
ประกอบด้วยรสปลำตะเพียน ใส่เต็มบำตรถวำยแล้ว.                      พระเถระคิด
ว่ำ   "   สำมเณรของเรำหิวแล้ว           "   จึงได้รีบไป.
                         [   พระศำสดำทรงทำำอำรักขำสำมเณร            ]
            แม้พระศำสดำ ในวันนั้น เสวยแต่เช้ำทีเดียว เสด็จไปวิหำรทรง
ใคร่ครวญว่ำ     "   บัณฑิตสำมเณรให้บำตรและจีวรแก่พระอุปัชฌำย์แล้ว
กลับไป ด้วยตังใจว่ำ
             ้           '    จักทำำสมณธรรม         ;'     กิจแห่งบรรพชิตของเธอ
                ? " ทรงทรำบว่ำ สำมเณรบรรลุผล ๓ อย่ำงแล้ว
จักสำำเร็จหรือไม่
จึงทรงพิจำรณำว่ำ " อุปนิสยแห่งพระอรหัตจะมีหรือไม่มี ? " ทรงเห็น
                           ั
ว่ำ " มี " แล้วทรงใคร่ครวญว่ำ " เธอจักอำจเพื่อบรรลุพระอรหัตก่อน
ภัตรทีเดียว หรือจักไม่อำจ ? " ได้ทรงทรำบว่ำ " จักอำจ. " ลำำดับ
นั้น พระองค์ได้มีควำมปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " สำรีบุตร ถือภัตรเพื่อ
สำมเณรรีบมำ, เธอจะพึงทำำอันตรำยแก่สำมเณรนั้นก็ได้, เรำจักนั่ง
ถือเอำอำรักขำที่ซุ้มประตู, ทีนั้นจักถำมปัญหำ ๔ ข้อกะเธอ, เมื่อ
เธอแก้อยู่, สำมเณรจักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ " ดังนี้
แล้ว จึงเสด็จไปจำกวิหำรนั้น ประทับยืนอยู่ที่ซมประตู ตรัสถำม
                                             ุ้
ปัญหำ ๔ ข้อกะพระเถระผู้มำถึงแล้ว.                  พระเถระแก้ปัญหำที่พระศำสดำ
ตรัสถำมแล้ว.
            ในปัญหำนั้น มีปุจฉำวิสัชนำดังต่อไปนี้          :-
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                -   หน้ำที่   55
        ได้ยินว่ำ พระศำสดำตรัสกะพระเถระนั้นว่ำ                  "    สำรีบุตร
เธอได้อะไรมำ ?"
        พระเถระ.     อำหำร พระเจ้ำข้ำ.
        พระศำสดำ.        ชื่อว่ำอำหำร ย่อมนำำอะไรมำ              ?    สำรีบุตร.
        พระเถระ.     เวทนำ พระเจ้ำข้ำ.
        พระศำสดำ.        เวทนำ ย่อมนำำอะไรมำ             ?     สำรีบตร.
                                                                    ุ
        พระเถระ.     รูป พระเจ้ำข้ำ.
        พระศำสดำ.        ก็รูป ย่อมนำำอะไรมำ       ?         สำรีบุตร.
        พระเถระ.     ผัสสะ พระเจ้ำข้ำ.
                                                     [   คำำอธิบำยในปัญหำ              ]
        ในปัญหำนั้น มีอธิบำยดังนี้       :-
        จริงอยู่ อำหำรอันคนหิวบริโภคแล้ว กำำจัดควำมหิวของเขำ
แล้ว นำำสุขเวทนำมำให้,           เมื่อสุขเวทนำเกิดขึ้นแก่ผู้มีควำมสุขเพรำะ
กำรบริโภคอำหำร วรรณสมบัติย่อมมีในสรีระ,                  เวทนำชื่อว่ำย่อมนำำ
รูปมำ ด้วยอำกำรอย่ำงนี้,          ก็ผู้มีสุขเกิดสุขโสมนัส ด้วยอำำนำจรูปที่
เกิดจำกอำหำร นอนอยู่ก็ตำม นั่งอยู่ก็ตำม ด้วยคิดว่ำ                   "   บัดนี้
อัสสำทะ เกิดแก่เรำแล้ว   "        ย่อมได้สขสัมผัส.
                                          ุ
                                          [   สำมเณรบรรลุพระอรหัตผล                ]
        เมื่อพระเถระแก้ปัญหำทั้ง ๔ ข้อเหล่ำนี้ อย่ำงนั้นแล้ว,                     สำมเณร
ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ,           ฝ่ำยพระศำสดำ ตรัส
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   56
กะพระเถระว่ำ      "   ไปเถิด สำรีบตร, จงให้ภัตรแก่สำมเณรของ
                                  ุ
เธอ.    "    พระเถระไปเคำะประตูแล้ว.         สำมเณรออกมำรับบำตรจำก
มือพระเถระ วำงไว้ ณ ส่วนข้ำงหนึ่งแล้ว จึงเอำพัดก้ำนตำลพัดพระ
เถระ.       ลำำดับนั้น พระเถระ กล่ำวกะเธอว่ำ    "   สำมเณร จงทำำ
ภัตกิจเสียเถิด.   "
            สำมเณร. ก็ใต้เท้ำเล่ำ ขอรับ.
            พระเถระ.     เรำทำำภัตกิจเสร็จแล้ว, เธอจงทำำเถิด.
            เด็กอำยุ ๗ ขวบ บวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุพระอรหัตเป็น
เหมือนดอกประทุมทีแย้มแล้ว ในขณะนั้น ได้นั่งพิจำรณำที่เป็น
                 ่
ที่ใส่ภัตร ทำำภัตกิจแล้ว.    ในขณะที่เธอล้ำงบำตรเก็บไว้ จันท-
เทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์,               สุรยเทพบุตรปล่อยมณฑลพระอำทิตย์
                                            ิ
ท้ำวมหำรำชทั้ง ๔ ปล่อยอำรักขำทั้ง ๔ ทิศ,            ท้ำวสักกเทวรำช เลิก
อำรักขำที่สำยยู,       พระอำทิตย์เคลื่อนคล้อยไปแล้วจำกที่ท่ำมกลำง.
                                     [   ธรรมดำบัณฑิตย่อมฝึกตน     ]
            ภิกษุทั้งหลำยโพนทนำว่ำ    " เงำ บ่ำยเกินประมำณแล้ว, พระ
อำทิตย์เคลื่อนคล้อยไปจำกที่ท่ำมกลำง, ก็สำมเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง,
นี่เรื่องอะไรกันหนอ ? "     พระศำสดำทรงทรำบควำมเป็นไปนั้นแล้ว
เสด็จมำตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน ? "
            พวกภิกษุ. เรื่องชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ.
            พระศำสดำตรัสว่ำ " อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย, ในเวลำผู้มีบุญ
ทำำสมณธรรม จันทเทพบุตรฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้, สุริยเทพบุตร
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   57
ฉุดมณฑลพระอำทิตย์รั้งไว้.         ท้ำวมหำรำชทั้ง ๔ ถืออำรักขำทั้ง ๔
ทิศในป่ำใกล้วิหำร,     ท้ำวสักกเทวรำชเสด็จมำยึดอำรักขำที่สำยยู, ถึงเรำผู้
มีควำมขวนขวำยน้อยด้วยนึกเสียว่ำ      '   เป็นพระพุทธเจ้ำ   '   ก็ไม่ได้เพื่อ
จะนั่งอยูได้,
         ่      ยังได้ไปยึดอำรักขำเพื่อบุตรของเรำ ทีซุ้มประตู,
                                                    ่                    พวก
บัณฑิตเห็นคนไขนำ้ำกำำลังไขนำ้ำไปจำกเหมือง ช่ำงศรกำำลังดัดลูกศรให้
ตรง และช่ำงถำกกำำลังถำกไม้แล้ว ถือเอำเหตุเท่ำนั้น ให้เป็น
อำรมณ์ ทรมำนตนแล้ว ย่อมยึดเอำพระอรหัตไว้ได้ทีเดียว     " ดังนี้
แล้ว   เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
                 " อันคนไขนำ้ำทั้งหลำยย่อมไขนำ้ำ, ช่ำงศรทังหลำย
                                                          ้
                 ย่อมดัดศร, ช่ำงถำกทั้งหลำยย่อมถำกไม้, บัณฑิต
                 ทังหลำยย่อมฝึกตน. "
                   ้
                                                      [ แก้อรรถ ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อุทก เป็นต้น ควำมว่ำ ชนทั้งหลำย
ขุดที่ดอนบนแผ่นดิน ถมที่เป็นบ่อแล้วทำำเหมือง หรือวำงรำงไม้ไว้
ย่อมไขนำ้ำไปสู่ทตนต้องกำร ๆ เพรำะฉะนั้น จึงชื่อว่ำผู้ไขนำ้ำ.
                ี่
          บทว่ำ เตชน ได้แก่ ลูกศร.
          มีพระพุทธำธิบำย ตรัสไว้ดังนี้ว่ำ   :-
          "   พวกคนไขนำ้ำย่อมไขนำ้ำไปตำมชอบใจของตนได้,               แม้ช่ำงศรก็
ย่อมลนดัดลูกศร คือทำำให้ตรง,       ถึงช่ำงถำก เมื่อจะถำกเพื่อเป็น
ประโยชน์แก่ทัพพสัมภำระมีกงเป็นต้น ย่อมดัดไม้ คือทำำให้ตรงหรือ
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   58
คด ตำมชอบใจของตน.              บัณฑิตทั้งหลำยทำำเหตุมีประมำณเท่ำนี้ ให้
เป็นอำรมณ์อย่ำงนั้นแล้ว ยังมรรคมีโสดำปัตติมรรคเป็นต้นให้เกิดขึ้น
อยู่ ย่อมชื่อว่ำทรมำนตน,        แต่เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้วย่อมจัดว่ำ
ทรมำนโดยส่วนเดียว.   "
        ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย
มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                           เรื่องบัณฑิตสำมเณร จบ.
ประโยค๒       -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่   59
                                     ๖.       เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ
[   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
          พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระลกุณฏก-
ภัททิยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ               "   เสโล ยถำ       "       เป็นต้น.
                                          [   พระเถระถูกล้อเลียนเพรำะร่ำงเล็ก              ]
          ได้ยินว่ำ สหธรรมิกมีสำมเณรเป็นต้น ซึงเป็นปุถุชน เห็น
                                              ่
พระเถระแล้ว จับต้องที่ศีรษะบ้ำง ที่หูบ้ำง ทีจมูกบ้ำง พลำงกล่ำวว่ำ
                                            ่
"   อำจ๊ะ อำจ๋ำ อำไม่กระสัน ยังยินดีแน่นแฟ้น ในพระศำสนำหรือ                           ?"
พระเถระไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำยในสหธรรมิกเหล่ำนั้นเลย.
          ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ                  "   ผู้มีอำยุทงหลำย พวก
                                                                           ั้
ท่ำนจงดูเถิด สหธรรมิกมีสำมเณรเป็นต้น เห็นพระลกุณฏกภัททิย-
เถระแล้ว ย่อมรังแกอย่ำงนั้นอย่ำงนี้,            ท่ำนไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำย
ในสหธรรมิกเหล่ำนั้นเลย.         "
                                                     [   พระขีณำสพเป็นดังศิลำ            ]
          พระศำสดำเสด็จมำแล้ว ตรัสถำมว่ำ                 "   ภิกษุทั้งหลำย พวก
เธอพูดอะไรกัน    ?"        เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น กรำบทูลว่ำ         "   เรื่องชื่อนี้
พระเจ้ำข้ำ   "   จึงตรัสว่ำ     "   อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำพระ
ขีณำสพ ย่อมไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำยเลย,                  เพรำะท่ำนเหล่ำนั้น
ไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน เช่นกับศิลำแท่งทึบ            "       ดังนี้แล้ว เมื่อจะ

*    พระมหำจับ ป.ธ. ๙           (พระธรรมปัญญำจำรย์)               วัดโสมนัสวิหำร แปล.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   60
ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ        :-
                 "   ภูเขำศิลำล้วน เป็นแท่งเดียว ย่อมไม่สะเทือน
                 ด้วยลมฉันใด,      บัณฑิตทั้งหลำย ย่อมไม่เอนเอียง
                 ในเพรำะนินทำและสรรเสริญฉันนั้น.     "
                                                     [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น ในบทว่ำ นินฺทำปสสำสุ นี้ พระผู้มีพระ-
ภำคตรัสโลกธรรมไว้ ๒ ก็จริง.         ถึงอย่ำงนั้น พึงทรำบเนื้อควำมด้วย
สำมำรถแห่งโลกธรรมแม้ทั้ง ๘.          อธิบำยว่ำ เหมือนอย่ำงว่ำภูเขำศิลำ
ล้วน เป็นแท่งเดียว คือ ไม่มีโพรง ย่อมไม่สะเทือน คือ ไม่เอน
เอียง ไม่หวั่นไหว ด้วยลม ต่ำงด้วยลมพัดมำแต่ทิศตะวันออกเป็นต้น
ฉันใด;    เมื่อโลกธรรมแม้ทง ๘ ครอบงำำอยู่ บัณฑิตทั้งหลำยย่อมไม่
                          ั้
เอนเอียง คือไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน ด้วยอำำนำจควำมยินร้ำยหรือ
ยินดี ฉันนั้น.   "
         ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุพระอริยผลทั้งหลำย
มีโดสำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                      เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ จบ.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   61
                                    ๗.   เรื่องมำรดำของนำงกำณำ
[   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
           พระศำสดำ เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภมำรดำ
ของนำงกำณำ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ             "   ยถำปิ รหโท คมฺภีโร              "
เป็นต้น.
           เรื่องมำแล้วในวินัย                                  [   นำงกำณำด่ำภิกษุ       ]
           ก็ครั้งนั้น ในกำลเมื่อมำรดำของนำงกำณำทอดขนม เพื่อ
ส่งธิดำให้เป็นผู้ไม่มมือเปล่ำ ไปสูตระกูลผัวแล้ว ถวำยแก่ภิกษุ ๔ รูป
                     ี            ่
เสีย ถึง ๔ ครัง เมื่อพระศำสดำทรงบัญญัติสิกขำบทในเพรำะเรื่องนั้น,
              ้
เมื่อสำมีของนำงกำณำ นำำภรรยำใหม่มำแล้ว.             นำงกำณำได้ฟังเรื่องนั้น
จึงด่ำบริภำษพวกภิกษุซึ่งตนได้เห็นแล้วและเห็นแล้วว่ำ        "   กำร
ครองเรือนของเรำ อันภิกษุเหล่ำนี้ ให้ฉิบหำยแล้ว.        "       ภิกษุทั้งหลำย
ไม่อำจเดินไปสู่ถนนนั้นได้.
                                         [   นำงกำณำบรรลุโสดำปัตติผล               ]
           พระศำสดำทรงทรำบเรื่องนั้นแล้ว จึงได้เสด็จไปในที่นั้น.                  มำรดำ
ของนำงกำณำ ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว นิมนต์ให้ประทับนั่งบน
อำสนะที่ตกแต่งไว้ ได้ถวำยข้ำวยำคูและของควรเคี้ยวแล้ว;

*พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ วัตปทุมวนำรำม แปล.
๑. มหำวิภงฺค ๒/๓๒๒. แต่ในคัมภีร์นั้น กล่ำวถึงจำำนวนภิกษุมำรับขนมเพียง ๓ องค์
และมำรดำนำงกำณำก็ทอดขนมถวำยภิกษุเพียง ๓ ครั้งเท่ำนั้น.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   62
               พระศำสดำเสวยพระกระยำหำรเช้ำแล้ว ตรัสถำมว่ำ              "   กำณำ
ไปไหน      ?"
               กำณมำรดำ.      พระเจ้ำข้ำ นำงเห็นพระองค์แล้ว เป็นผู้เก้อ
ยืนร้องไห้อยู่.
               พระศำสดำ.      เพรำะเหตุอะไรเล่ำ   ?
               กำณมำรดำ.      นำงด่ำบริภำษพวกภิกษุ;        เพรำะฉะนั้น นำงเห็น
พระองค์แล้ว จึงเป็นผู้เก้อ ยืนร้องไห้อยู่ พระเจ้ำข้ำ.
               ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงรับสังให้เรียกนำงกำณำมำแล้ว ตรัส
                                          ่
ถำมว่ำ     "    กำณำ เจ้ำเห็นเรำแล้ว จึงเก้อเขิน แอบร้องไห้ทำำไม?          "
ครั้งนั้น มำรดำของนำงกรำบทูลกิริยำที่นำงกระทำำแล้ว    (ให้ทรง
ทรำบ).          ทีนั้น   พระศำสดำตรัสกะมำรดำของนำงกำณำว่ำ " กำณ-
มำรดำ ก็สำวกทั้งหลำยของเรำ ถือเอำสิงที่เธอให้แล้วหรือว่ำทียัง
                                   ่                      ่
มิได้ให้เล่ำ    ?"
               กำณมำรดำ.      ถือเอำสิงที่หม่อมฉันถวำยแล้ว พระเจ้ำข้ำ.
                                      ่
               พระศำสดำ.      ถ้ำสำวกของเรำเที่ยวบิณฑบำต ถึงประตูเรือน
ของเธอแล้ว ถือเอำสิงของที่เธอให้แล้ว, จะมีโทษอะไรแก่สำวกเหล่ำ
                   ่
นั้นเล่ำ   ?
               กำณมำรดำ.      โทษของพระผู้เป็นเจ้ำไม่มี พระเจ้ำข้ำ,            โทษ
ของนำงนี่เท่ำนั้น มีอยู่.
               พระศำสดำ ตรัสถำมกะนำงกำณำว่ำ          "   กำณำ ได้ยินว่ำ สำวก
ของเรำ เที่ยวบิณฑบำต          มำถึงประตูเรือนนี้แล้ว,     เมื่อเป็นเช่นนี้ มำรดำ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -    หน้ำที่   63
ของเจ้ำ ได้ถวำยขนมแก่สำวกเหล่ำนั้น,                 ในเรื่องนี้ ชื่อว่ำโทษอะไร
จักมีแก่พวกสำวกทั้งหลำยของเรำเล่ำ            ?"
            นำงกำณำ.          โทษของพระผู้เป็นเจ้ำ ไม่มี พระเจ้ำข้ำ,            หม่อมฉัน
ฉันเท่ำนั้น มีโทษ.
            นำงถวำยบังคมพระศำสดำ ให้ทรงอดโทษแล้ว.                    ครั้งนั้น พระ
ศำสดำได้ตรัสอนุปุพพีกถำแก่นำง,               นำงบรรลุโสดำปัตติผลแล้ว.
                    [   พระรำชำทรงตังนำงกำณำในตำำแหน่งเชษฐธิดำ
                                    ้                                      ]
            พระศำสดำเสด็จลุกจำกอำสนะแล้ว เมื่อจะเสด็จไปสู่วิหำร ได้
เสด็จไปทำงพระลำนหลวง.                  พระรำชำทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัส
ถำมว่ำ      "   พนำย นั่นดูเหมือนพระศำสดำ.          "    เมื่อรำชบุรุษกรำบทูล
ว่ำ    "   ถูกแล้ว พระเจ้ำข้ำ     "      ดังนี้แล้ว จึงส่งไปด้วยพระดำำรัสว่ำ
"     จงไป จงกรำบทูลควำมที่เรำจะมำถวำยบังคม             "   แล้ว ได้เข้ำไป
เฝ้ำพระศำสดำ ซึงประทับยืนอยู่ ณ พระลำนหลวง ถวำยบังคมด้วย
               ่
เบญจำงคประดิษฐ์แล้ว ทูลถำมว่ำ               "   พระองค์เสด็จไปไหน    ?
พระเจ้ำข้ำ.     "
            พระศำสดำ.         มหำบพิตร อำตมภำพจะไปสู่เรือนมำรดำของ
นำงกำณำ.
            พระรำชำ.         เพรำะเหตุอะไร      ?   พระองค์จงเสด็จไป พระเจ้ำข้ำ.
                                                            ึ
            พระศำสดำ.         ได้ขำวว่ำ นำงกำณำด่ำบริภำษภิกษุ,
                                  ่                                            อำตมภำพ
ไปเพรำะเหตุนั้น.
            พระรำชำ.           ก็พระองค์ทรงทำำควำมที่นำงไม่ดำแล้วหรือ
                                                            ่                      ?
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   64
พระเจ้ำข้ำ.
             พระศำสดำ.          ถวำยพระพร มหำบพิตร อำตมภำพทำำนำงมิให้
เป็นผู้ด่ำภิกษุแล้ว และให้เป็นเจ้ำของทรัพย์อันเป็นโลกุตระแล้ว.
             พระรำชำ.       "   พระองค์ทรงทำำนำงให้เป็นเจ้ำของทรัพย์ที่เป็น
โลกุตระแล้วก็ช่ำงเถิด พระเจ้ำข้ำ,              ส่วนหม่อมฉัน จักทำำให้นำงเป็น
เจ้ำของทรัพย์ที่เป็นโลกีย์      "       ดังนีแล้ว ถวำยบังคมพระศำสดำเสด็จ
                                             ้
กลับแล้ว ทรงส่งยำนใหญ่ที่ปกปิดไป รับสั่งให้เรียกนำงกำณำมำแล้ว
ประดับด้วยเครื่องอำภรณ์ทุกอย่ำง ทรงตั้งไว้ในตำำแหน่งพระธิดำผู้ใหญ่
แล้ว ตรัสว่ำ      "   ผูใดสำมำรถเลี้ยงดูธิดำของเรำได้; ผู้นั้นจงรับเอำ
                        ้
นำงไป.   "
                                    [   มหำอำำมำตย์รับเลี้ยงนำงกำณำ   ]
             ครังนั้น มหำอำำมำตย์ผสำำเร็จรำชกิจทุกอย่ำงคนหนึ่ง กรำบ
                ้                 ู้
ทูลว่ำ   "   ข้ำพระองค์จักเลี้ยงดูพระธิดำของฝ่ำพระบำท          "   ดังนี้แล้ว
นำำนำงไปยังเรือนของตน มอบควำมเป็นใหญ่ทุกอย่ำงให้แล้ว กล่ำวว่ำ
"   เจ้ำจงทำำบุญตำมชอบใจเถิด.             "
             จำำเดิมแต่วันนั้นมำ นำงกำษำตังบุรุษไว้ที่ประตูทั้ง ๔ ก็ยงไม่ได้
                                          ้                          ั
ภิกษุและภิกษุณีที่ตนพึงบำำรุง.             ของควรเคี้ยวและของควรบริโภคที่นำง
กำณำตระเตรียมตั้งไว้ที่ประตูเรือน ย่อมเป็นเหมือนห้วงนำ้ำใหญ่.
             พวกภิกษุสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ             "   ผู้มีอำยุ ในกำลก่อน
พระเถระแก่ ๔ รูป ทำำควำมเดือดร้อนให้แก่นำงกำณษ,                    นำงแม้เป็น
ผู้เดือดร้อนอย่ำงนั้น อำศัยพระศำสดำ ได้ควำมถึงพร้อมด้วยศรัทธำ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   65
แล้ว,    พระศำสดำได้ทรงทำำประตูเรือนของนำง ให้เป็นสถำนที่ควร
เข้ำไปของภิกษุอีก, บัดนี้ นำงแม้แสวงหำภิกษุหรือภิกษุณีทั้งหลำย
ที่ตนจะพึงบำำรุง ก็ยังไม่ได้,     โอ ธรรมดำพระพุทธเจ้ำทังหลำย มีคุณ
                                                        ้
น่ำอัศจรรย์จริง.   "
         พระศำสดำเสด็จมำแล้ว ตรัสถำมว่ำ        "   ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้
พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถำอะไรหนอ          ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น กรำบ
ทูลว่ำ " ด้วยกถำชื่อนี้. " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ภิกษุแก่เหล่ำ
นั้น ทำำควำมเดือดร้อนแก่นำงกำณำ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่ำนั้น, แม้ใน
กำลก่อน พวกเธอก็ทำำแล้วเหมือนกัน; อนึ่ง เรำได้ทำำให้นำงกำณำ
ทำำตำมถ้อยคำำของเรำ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่ำนั้น, ถึงในกำลก่อน เรำก็
ทำำแล้วเหมือนกัน " อันพวกภิกษุผู้ใคร่จะฟังเนื้อควำมนั้น ทูลวิงวอน
แล้วจึงตรัสพัพพุชำดก              "แมวตัวที่หนึ่ง ได้ หนูและเนื้อ ในทีใด,
                                                                        ่
                แมวตัวที่ ๒ ก็ย่อมเกิดในที่นั้น, ตัวที่ ๓ และตัว
                ที่ ๔ ก็ย่อมเกิดในที่นั้น, แมวเหล่ำนั้น ทำำลำย
                ปล่องนี้แล้ว (ถึงแก่ควำมตำย). "
แล้ว ทรงประชุมชำดกว่ำ " ภิกษุแก่ ๔ รูป (ในบัดนี้) ได้เป็นแมว
๔ ตัวในครั้งนั้น, หนูได้เป็นนำงกำณำ, นำยช่ำงแก้ว คือเรำนั่นเอง "
ดังนีแล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย แม้ในอดีตกำล นำงกำณำได้
     ้
เป็นผู้มีใจหม่นหมอง มีจิตขุ่นมัวอย่ำงนี้ (แต่) ได้เป็นผู้มีจตผ่อง
                                                            ิ

๑. ขุ. ชำ. เอก. ๒๗/๔๔. ตทฏฺกถำ. ๒/๓๖๔.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   66
ใส เหมือนห้วงนำ้ำมีนำ้ำใส เพรำะคำำของเรำ         "     เมื่อทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ           :-
                "     บัณฑิตทั้งหลำย ฟังธรรมแล้ว ย่อมผ่องใส
                    เหมือนห้วงนำ้ำลึก ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว ฉะนั้น.    "
                                                 [   แก้อรรถ   ]
          ห้วงนำ้ำใด แม้เมื่อเสนำทั้ง ๔ เหล่ำห้วงนำ้ำเห็นปำนนี้ ชื่อว่ำ รหโท ในพระคำถำ
นั้น.
          ก็นีลมหำสมุทรซึงลึกถึง ๘ หมื่น ๔ พันโยชน์ โดยอำกำรทั้ง
                         ่
ปวง ชื่อว่ำ ห้วงนำ้ำ, แท้จริง นำ้ำในที่มีประมำณ ๔ หมื่นโยชน์ ภำยใต้
นีลมหำสมุทรนั้น ย่อมหวั่นไหวเพรำะฝูงปลำ, นำ้ำในที่มีประมำณ
เท่ำนั้นเหมือนกัน ในเบื้องบน ย่อมหวั่นไหวเพรำะลม,            (ส่วน) นำ้ำ
ในที่มีประมำณ ๔ พันโยชน์ในท่ำมกลำง              (นีลมหำสมุทรนั้น) ไม่
หวั่นไหวตั้งอยู่;      นี้ชื่อว่ำห้วงนำ้ำลึก.
          บทว่ำ ธมฺมำนิ ได้แก่ เทศนำธรรมทั้งหลำย.                  พระผู้มีพระภำค
ตรัสคำำอธิบำยนี้ไว้ว่ำ    "   ห้วงนำ้ำนั้น ชือว่ำ ใสแจ๋ว เพรำะเป็นนำ้ำไม่
                                             ่
อำกูล ชื่อว่ำ ไม่ขุ่นมัว เพรำะเป็นนำ้ำไม่หวั่นไหว ฉันใด; บัณฑิต
ทั้งหลำย ฟังเทศนำธรรมของเรำแล้ว ถึงควำมเป็นผู้มจิตปรำศจำก
                                               ี
อุปกิเลส ด้วยสำมำรถแห่งมรรคมีโสดำปัตติมรรคเป็นต้น ชื่อว่ำ
ย่อมผ่องใส ฉันนั้น,           ส่วนท่ำนผู้บรรลุพระอรหัตแล้วย่อมเป็นผู้ผ่องใส

๑. ได้แก่ จตุรงคเสนำ คือ พลช้ำง พลม้ำ พลรถ และพลเดินเท้ำ บำลีว่ำ หตฺถิ อสฺส
รถ ปตฺติก.
ประโยค๒   -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   67
โดยส่วนเดียวแล.   "
        ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
สดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                              เรื่องมำรดำของนำงกำณำ จบ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   68
                            ๘.       เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป                            [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
             พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภภิกษุ ๕๐๐
รูปตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ        "   สพฺพตฺถ เว สปฺปุริสำ วชนฺติ      "
เป็นต้น.
             พระธรรมเทศนำตั้งขึ้นที่เมืองเวรัญชำ.
                                 [   พระศำสดำเสด็จเมืองเวรัญชำ    ]
             ควำมพิสดำรว่ำ ครังปฐมโพธิกำล พระผู้มีพระภำคเสด็จไป
                              ้
เมืองเวรัญชำ อันพรำหมณ์ชื่อเวรัญชะทูลนิมนต์แล้ว จึงเสด็จจำำพรรษำ
พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป.           เวรัญชพรำหมณ์ถูกมำรดลใจปรำรภถึงพระศำสดำแม้สักวัน
หนึ่ง.      แม้เมืองเวรัญชำได้เป็นเมืองข้ำว
แพงแล้ว.        พวกภิกษุเที่ยวไปบิณฑบำตตลอดเมืองเวรัญชำ ทั้งภำยใน
ภำยนอก เมื่อไม่ได้บิณฑบำต จึงลำำบำกมำก.
             พวกพ่อค้ำม้ำจัดแจงภิกษำมีข้ำวแดงรำวแล่งหนึ่ง ๆ เพื่อภิกษุ
เหล่ำนั้น.      พระมหำโมคคัลลำนเถระเห็นภิกษุเหล่ำนั้นลำำบำก ได้มควำม
                                                                ี
ประสงค์จะให้ภิกษุฉันง้วนดิน          และประสงค์จะให้พวกภิกษุเข้ำไป
สู่อุตตรกุรุทวีป เพื่อบิณฑบำต.         พระศำสดำได้ทรงห้ำมท่ำนเสีย.            แม้
ในวันหนึ่ง พวกภิกษุมิได้มีควำมสะดุงเพรำะปรำรภบิณฑบำต.
                                  ้                                   ภิกษุ
ทั้งหลำยเว้นควำมประพฤติด้วยอำำนำจควำมอยำกแลอยู่แล้ว.

*   พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ วัดปทุมวนำรำม แปล.
๑. มำรำวฏฺฏฺเนน อำวฏฺโฏ อันเครื่องหมุนไปทั่วแห่งมำรให้หมุนทั่วแล้ว.
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   69
                                    [   พระศำสดำเสด็จไปกรุงสำวัตถี         ]
         พระศำสดำประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชำนั้น สินไตรมำสแล้ว ทรง
                                                 ้
อำำลำเวรัญชพรำหมณ์            มีสักกำระสัมมำนะอันพรำหมณ์นั้นกระทำำแล้ว
ทรงให้เขำตั้งอยู่ในสรณะแล้ว เสด็จออกจำกเมืองเวรัญชำนั้นเสด็จจำริก
ไปโดยลำำดับ สมัยหนึ่ง เสด็จถึงกรุงสำวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวัน
ชำวกรุงสำวัตถี กระทำำอำคันตุกภัตรแด่พระศำสดำแล้ว.
         ก็ในกำลนั้น พวกกินเดนประมำณ ๕๐๐ คน อำศัยพวกภิกษุ
อยู่ภำยในวิหำรนั่นเอง.         พวกเขำกินโภชนะอันประณีต ที่เหลือจำก
ภิกษุทั้งหลำยฉันแล้ว ก็นอนหลับ ลุกขึ้นแล้ว ไปสูฝั่งแม่นำ้ำ แผด
                                               ่
เสียงโห่ร้อง กระโดดโลดเต้น ซ้อมมวยปลำ้ำ เล่นกันอยู่ ประพฤติ
แต่อนำจำรเท่ำนั้น ทังภำยในวิหำร ทั้งภำยนอกวิหำร.
                    ้
         พวกภิกษุสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ              "   ดูเถิด ผู้มีอำยุทงหลำย,
                                                                        ั้
ในเวลำเกิดทุพภิกขภัย พวกกินเดนเหล่ำนี้ มิได้แสดงวิกำรอะไร ๆ
ในเมืองเวรัญชำ,         แต่บัดนี้ กินโภชนะอันประณีตเห็นปำนนี้แล้ว เที่ยว
แสดงอำกำรแปลก ๆ เป็นอเนกประกำร;                 ส่วนภิกษุ สงบอยู่ แม้
ในเมืองเวรัญชำ ถึงในบัดนี้ ก็พำกันอยู่อย่ำงสงบเสงียมเหมือนกัน.
                                                  ่
                          [    พระศำสดำทรงตรัสวำโลทกชำดก              ]
         พระศำสดำเสด็จไปสู่โรงธรรมแล้ว ตรัสถำมว่ำ                 "   ภิกษุทั้งหลำย
พวกเธอพูดอะไรกัน        ?"         เมื่อพวกภิกษุกรำบทูลว่ำ   "    เรื่องชื่อนี้    "
ดังนีแล้ว ตรัสว่ำ
     ้              "   แม้ในกำลก่อน คนกินเดนเหล่ำนี้ เกิดในกำำเนิดฬำ
เป็นฬำ ๕๐๐ ได้ดื่มนำ้ำมีรสน้อยอันเลว ซึ่งถึงกำรนับว่ำ         '    นำ้ำหำง     '
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   70
เพรำะควำมที่เขำเอำนำ้ำขยำำกำกอันเป็นเดนซึงเหลือจำกนำ้ำลูกจันทน์มีรส
                                         ่
ชุ่ม ทีม้ำสินธพชำติอำชำไนย ๕๐๐ ดืมแล้ว จึงกรองด้วยผ้ำเปลือก
       ่                         ่
ปอเก่ำ ๆ เป็นเหมือนเมำนำ้ำหวำน เทียวร้องเอ็ดอึงอยู่
                                  ่                     "        เมื่อจะทรง
แสดงกิริยำของฬำเหล่ำนั้น อันพระโพธิสัตว์ผู้อันพระรำชำทรงสดับ
เสียงของฬำเหล่ำนั้นตรัสถำมแล้ว ได้กรำบทูลแด่พระรำชำ ตรัส
วำโลทกชำดก               "   ควำมเมำย่อมบังเกิดแก่พวกฬำ เพรำะดืม
                                                               ่
               กินนำ้ำหำงมีรสน้อยอันเลว,       แต่ควำมเมำย่อม
               ไม่เกิดแก้ม้ำสินธพ เพรำะดืมรสที่ประณีตนี้.
                                         ่
                      ข้ำแต่พระรำชำผู้เป็นจอมนรชน           ฬำนั้น
               เป็นสัตว์มชำติเลว ดื่มนำ้ำมีรสน้อย อันรสนั้น
                         ี
               ถูกต้องแล้ว ย่อมเมำ,       ส่วนม้ำอำชำไนย ผู้เอำ
               ธุระเสมอ เกิดในตระกูล      (ที่ดี)   ดืมรสที่เลิศ
                                                      ่
               แล้วหำเมำไม่      "
แล้ว ตรัสว่ำ   "   ภิกษุทั้งหลำย สัตบุรุษเว้นธรรมคือควำมโลภแล้ว
ย่อมเป็นผูไม่มีวิกำรเลย ทั้งในเวลำถึงสุข ทังในเวลำถึงทุกข์ อย่ำงนี้
          ้                                ้                                     "
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ           :-
               "    สัตบุรุษทังหลำยย่อมเว้นในธรรมทั้งปวงแล,
                              ้
               สัตบุรุษทั้งหลำย หำใช่ผู้ปรำรถนำกำมบ่นไม่
๑. ขุ. ชำ. ๒๗/๖๕. ตทฏฺกถำ. ๓/๑๒๖.
๒. อีกนัยหนึ่ง แปลว่ำ สัตบุรุษทั้งหลำย ย่อมไม่พรำ่ำเพ้อ เพรำะควำมใคร่ในกำม.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   71
               บัณฑิตทั้งหลำย อันสุขหรือทุกข์ถูกต้องแล้ว
               ย่อมไม่แสดงอำกำรขึ้นลง.        "
                                                  [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สพฺพตฺถ ได้แก่ ในธรรมทั้งหมด
ต่ำงโดยธรรมมีขันธ์         บทว่ำ วชนฺติ ควำมว่ำ สัตบุรุษเมื่อคร่ำฉันทรำคะออกด้วย
อรหัตมรรคญำณ ชื่อว่ำย่อมเว้นฉันทรำคะ.
         บทว่ำ น กำมกำมำ ได้แก่ผู้ใคร่กำม,            (อีกอย่ำงหนึ่ง)        ได้แก่
เพรำะเหตุแห่งกำม คือเพรำะกำมเป็นเหตุ.
         สองบทว่ำ ลปยนฺติ สนฺโต ควำมว่ำ สัตบุรุษทั้งหลำยมีพระ
พุทธเจ้ำเป็นต้น ย่อมไม่บ่นเพ้อด้วยตนเองเลย        (ทัง)
                                                     ้    ไม่ยังผู้อื่นให้
บ่นเพ้อ เพรำะเหตุแห่งกำม.         จริงอยู่ ภิกษุเหล่ำใดเข้ำไปเพื่อภิกษำ
ตังอยู่ในอิจฉำจำร กล่ำวคำำเป็นต้นว่ำ
  ้                                       "   อุบำสก บุตรภรรยำของ
ท่ำนยังสุขสบำยดีหรือ   ?   อุปัทวะไร ๆ ด้วยสำมำรถแห่งรำชภัยและ
โจรภัยเป็นต้น มิได้มีในสัตว์ ๒ เท้ำและสัตว์ ๔ เท้ำดอกหรือ    ?, " ภิกษุ
เหล่ำนั้นชื่อว่ำ ย่อมบ่นเพ้อเอง. ก็ครั้นกล่ำวอย่ำงนั้นแล้ว (พูด)
ให้เขำนิมนต์ตนว่ำ " อย่ำงนั้น ขอรับ พวกผมทุกคนมีควำมสุขดี,
อุปัทวะไร ๆ มิได้มี, บัดนี้ เรือนของพวกผมมีขำวนำ้ำเหลือเฟือ,
                                                ้
นิมนต์ท่ำนอยู่ในที่นี้แหละ " ดังนี้ ชือว่ำให้บุคคลอื่นบ่นเพ้อ. ส่วน
                                      ่
สัตบุรุษทังหลำย ย่อมไม่ทำำกำรบ่นเพ้อแม้ทง ๒ อย่ำงนี้ .
          ้                                 ั้

๑. ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนำขันธ์ สัญญำขันธ์ สังขำรขันธ์ วิญญำณขันธ์.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   72
         คำำว่ำ สุเขน ผุฏฺำ อถวำ ทุกฺเขน นี้ สักว่ำเป็นเทศนำ.
อธิบำยว่ำ   "   บัณฑิตทั้งหลำยผู้อันโลกธรรมแสดงอำกำรขึ้นลง ด้วยสำมำรถแห่งควำมเป็น
ผูยินดีและควำมเป็นผู้
  ้
เก้อเขิน หรือด้วยสำมำรถแห่งกำรกล่ำวคุณและกล่ำวโทษ.        "
         ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป จบ.

๑. ลำภ เสื่อมลำภ ยศ เสื่อมยศ นินทำ สรรเสริญ สุข ทุกข์.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -    หน้ำที่   73
                       ๙.        เรื่องพระเถระผู้ตงอยูในธรรม
                                                  ั้  ่                                      [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระธรรมิก-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                  "   น อตฺตเหตุ   "    เป็นต้น.
                            [   อุบำสกหนีไปบวชได้บรรลุพระอรหัต           ]
            ได้ยินว่ำ อุบำสกคนหนึ่งในกรุงสำวัตถี อยู่ครองเรือนโดยชอบ
ธรรม.           อุบำสกนั้นเป็นผู้ใคร่จะบวช วันหนึ่งเมื่อนั่งสนทนำถึงถ้อยคำำ
ปรำรภควำมสุขกับภรรยำ จึงพูดว่ำ                    "   นำงผู้เจริญ ฉันปรำรถนำจะ
บวช.    "        ภรรยำอ้อนวอนว่ำ         "   นำย ถ้ำกระนั้น ขอท่ำนจงคอย จน
กว่ำดิฉันจะคลอดบุตรซึงอยู่ในท้องก่อนเถิด.
                     ่                                   "    เขำคอยแล้ว ในเวลำ
ที่เด็กเดินได้ จึงอำำลำนำงอีก เมื่อนำงวิงวอนว่ำ                "   นำย ขอท่ำนจงคอย
จนกว่ำเด็กนี้เจริญวัยเถิด.         "     จึงมำคิดว่ำ     "   ประโยชน์อะไรของเรำ
ด้วยหญิงนี้ ที่เรำลำแล้วหรือไม่ลำ,                เรำจักทำำกำรสลัดออกจำกทุกข์แก่
ตนละ   "         ดังนี้แล้ว ออกไปบวชแล้ว.              ท่ำนเรียนกัมมัฏฐำน พำก-
เพียรพยำยำมอยู่ ยังกิจแห่งบรรพชิตของตนให้สำำเร็จแล้วจึง (กลับ)
ไปเมืองสำวัตถีอีก เพื่อประโยชน์แก่กำรเยี่ยมบุตรและภรรยำเหล่ำนั้น
แล้วได้แสดงธรรมกถำแก่บุตร.
                         [      บุตรและภรรยำออกบวชได้บรรลุพระอรหัต               ]
            แม้บุตรนั้นออกบวชแล้ว.               ก็แลครั้นบวชแล้ว ไม่นำนนักก็ได้
บรรลุพระอรหัต.           ฝ่ำยภรรยำเก่ำของภิกษุ           (ผู้เป็นบิดำ)   นั้นคิดว่ำ

*   พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ วัดปทุมวนำรำม แปล.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -     หน้ำที่   74
"   เรำอยู่ครองเรือนเพื่อประโยชน์แก่ชนเหล่ำใด, ชนเหล่ำนั้นแม้ทั้งสอง
ก็บวชแล้ว;     บัดนี้ ประโยชน์อะไรของเรำด้วยกำรครองเรือนเล่ำ           ?
เรำจักบวชละ   "    แล้วจึงออกบวชในสำำนักนำงภิกษุณี,     ก็แลครั้น
บวชแล้วไม่นำนเลยก็ได้บรรลุพระอรหัต.
                            [   พวกภิกษุสรรเสริญพระธรรมิกะ   ]
          ภำยหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุนั่งสนทนำกันขึ้นในธรรมสภำว่ำ             "   ผู้
มีอำยุทั้งหลำย ธรรมิกอุบำสก ออกบวช บรรลุพระอรหัตแล้ว ทั้ง
ได้เป็นที่พึ่งแก่บุตรและภรรยำ ก็เพรำะควำมทีตนตั้งอยู่ในธรรม.
                                           ่                       "
          พระศำสดำเสด็จมำแล้ว ตรัสถำมว่ำ         " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้
พวกเธอ นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? ", เมื่อพวกภิกษุกรำบทูลว่ำ
" ด้วยกถำชื่อนี้ " แล้ว จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำว่ำบัณฑิต
ไม่พึงปรำรถนำควำมสำำเร็จเพรำะเหตุแห่งตน ( และ) ไม่พึงปรำรถนำ
ควำมสำำเร็จเพรำะเหตุแห่งคนอื่น.        แต่พึงเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม มี
ธรรมเป็นที่พึงโดยแท้ " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระ-
คำถำนี้ว่ำ :-
               " บัณฑิตย่อมไม่ทำำบำป เพรำะเหตุแห่งตน,
               ย่อมไม่ทำำบำป เพรำะเหตุแห่งบุคคลอื่น, บัณฑิต
               ไม่พึงปรำรถนำบุตร,        ไม่พึงปรำรถนำทรัพย์
               ไม่พึงปรำรถนำแว่นแคว้น, (และ) ไม่พึง
               ปรำรถนำควำมสำำเร็จเพื่อตน โดยไม่เป็นธรรม,
               บัณฑิตนั้นพึงเป็นผู้มีศีล มีปัญญำ ตังอยู่ในธรรม. "
                                                        ้
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   75
                                             [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ น อตฺตเหตุ ควำมว่ำ ธรรมดำ
บัณพิต ย่อมไม่ทำำบำป เพรำะเหตุแห่งตนหรือเพรำะเหตุแห่ง
บุคคลอื่น.
         บทว่ำ น ปุตฺตมิจฺเฉ ควำมว่ำ บัณฑิตไม่พึงปรำรถนำบุตร
หรือทรัพย์ หรือแว่นแคว้น ด้วยกรรมอันลำมก,        บัณฑิตเมื่อปรำรถนำ
แม้สิ่งเหล่ำนั้น ย่อมไม่กระทำำกรรมลำมกเลย.
         บทว่ำ สมิทฺธิมตฺตโน ควำมว่ำ บัณฑิตไม่พึงปรำรถนำ แม้
ควำมสำำเร็จเพื่อตน โดยไม่เป็นธรรม.    อธิบำยว่ำ บัณฑิตย่อมไม่ทำำบำป
แม้เพรำะเหตุแห่งควำมสำำเร็จ.
         บทว่ำ ส สีลวำ ควำมว่ำ บุคคลผู้เห็นปำนนี้นั่นแล พึงเป็น
ผู้มีศีล มีปญญำ และตั้งอยูในธรรม.
            ั             ่          อธิบำยว่ำ ไม่พึงเป็นอย่ำงอื่น.
         ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                  เรื่องพระเถระผู้ตงอยูในธรรม จบ.
                                                   ั้  ่
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   76
                          ๑๐.      เรื่องกำรฟังธรรม                         [   ข้อควำมเบื้อง
ต้น   ]
          พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภกำรฟังธรรม
ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ     " อปฺปกำ เต มนุสฺเสสุ " เป็นต้น.
                          [ คนอำศัยภพแล้วติดภพมีมำก ]
          ดังได้สดับมำ พวกมนุษย์ผู้อยู่ถนนสำยเดียวกัน ในกรุงสำวัตถี
เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ถวำยทำนโดยรวมกันเป็นคณะแล้ว ก็ให้ทำำกำร
ฟังธรรมตลอดคืนยันรุ่ง,     แต่ไม่อำจฟังธรรมตลอดคืนยันรุ่งได้;         บำง
พวกเป็นผู้อำศัยควำมยินดีในกำมก็กลับไปเรือนเสียก่อน,         บำงพวก
เป็นผู้อำศัยโทสะไปแล้ว,        แต่บำงพวกง่วงงุนเต็มที นั่งสับปะหงกอยู่
ในที่นั้นนั่นเอง ไม่อำจจะฟังได้.      ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุยังถ้อยคำำ
ให้ตั้งขึ้นในโรงธรรมเจำะจงถึงเรื่องนั้น.      พระศำสดำเสด็จมำ ตรัส
ถำมว่ำ  " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนำกันด้วยเรื่องอะไร
หนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลว่ำ " ด้วยเรื่องชื่อนี้ " จึงตรัสว่ำ
" ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำสัตว์เหล่ำนี้ อำศัยภพแล้วเลยข้องอยู่ในภพ
นั่นเอง โดยดำดดื่น, ชนิดผู้ถึงฝั่งมีจำำนวนน้อย, " เมื่อจะทรงสืบ
อนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ :-
               " บรรดำมนุษย์ ชนผู้ถึงฝั่งมีจำำนวนน้อย, ฝ่ำย
               ประชำชนนอกนี้เลำะไปตำมตลิ่งอย่ำงเดียว, ก็ชน
               เหล่ำใดแล ประพฤติสมควรแก่ธรรมในธรรม

*     พระมหำทองสำ ป. ธ. ๖ วัดปทุมวนำรำม แปล.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   77
               ที่เรำกล่ำวชอบแล้ว,     ชนเหล่ำนั้นล่วงบ่วงมำร
               ที่ขำมได้ยำกอย่ำงเอกแล้ว จักถึงฝัง.
                   ้                            ่  "
                                         [ แก้อรรถ ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อปฺปกำ คือ นิดหน่อย ได้แก่
ไม่มำก.    บทว่ำ ปำรคำมิโน คือบรรลุพระนิพพำน.          บำทพระคำถำว่ำ
อถำย อิตรำ ปชำ ควำมว่ำ ฝ่ำยประชำที่เหลือนี้ใด ย่อมเลำะไป
ตำมริมตลิง คือ สักกำยทิฏฐิ, นี้แล มำกนัก.
         ่
          บทว่ำ สมฺมทกฺขำเต คือตรัสโดยชอบ ได้แก่ตรัสถูกต้อง.
บทว่ำ ธมฺเม คือในเทศนำธรรม.          บทว่ำ ธมฺมำนุวตฺติโน ควำม
ว่ำ ประพฤติสมควรแก่ธรรม ด้วยสำมำรถแห่งกำรฟังธรรมนั้นแล้ว
บำำเพ็ญปฏิปทำเหมำะแก่ธรรมนั้นแล้ว กระทำำมรรคผลให้แจ้ง.
          บทว่ำ ปำรเมสฺสนฺติ ควำมว่ำ ชนเหล่ำนั้น คือเห็นปำนนั้น
จักถึงฝั่งคือนิพพำน.   บทว่ำ มจฺจุเธยฺย ได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไป
ใน ๓ ภูมิ อันเป็นสถำนที่อยูอำศัยของมัจจุ กล่ำวคือกิเลสมำร.
                           ่
          บทว่ำ สุทุตตร ควำมว่ำ ชนเหล่ำใดประพฤติสมควรแก่ธรรม.
                     ฺ
ชนเหล่ำนั้นล่วงคือเลยบ่วงมำร ที่ขำมได้ยำกอย่ำงเอก คือก้ำวล่วงได้
                                 ้
ยำกนักแล้วนั้น จักถึงฝังคือพระนิพพำน.
                       ่
          ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                          เรื่องกำรฟังธรรม จบ.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่    78
                         ๑๐.     เรื่องภิกษุอำคันตุกะ*     [ ๗๐ ]
                                        [ ข้อควำมเบื้องต้น ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพวกภิกษุ
อำคันตุกะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ          "   กณฺห ธมฺม วิปฺปหำย            "
เป็นต้น.
                    [   พระศำสดำตรัสเหมำะแก่ควำมประพฤติ                ]
           ดังได้ทรำบมำว่ำ ภิกษุประมำณ ๕๐๐ รูป จำำพรรษำอยู่ใน
แคว้นโกศล ออกพรรษำแล้ว ปรึกษำกันว่ำ               "   จักเฝ้ำพระศำสดำ             "
จึงไปยังพระเชตวัน ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว นังอยู่ ณ ที่สุดแห่ง
                                          ่
หนึ่ง.     พระศำสดำทรงพิจำรณำธรรมอันเป็นปฏิปักษ์แก่จริยำของพวกเธอ
เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ          :-
                "   บัณฑิตละธรรมดำำแล้ว ออกจำกอำลัย อำศัย
                ธรรมอันหำอำลัยมิได้แล้ว ควรเจริญธรรมขำว,
                ละกำมทั้งหลำยแล้ว        หมดควำมกังวล พึง
                ปรำรถนำควำมยินดียิ่งในวิเวก           อันเป็นที่ซึ่ง
                ประชำชนยินดีได้ยำก,           บัณฑิตควรทำำตนให้ผ่อง
                แผ้ว จำกเครื่องเศร้ำหมอง.         ชนเหล่ำใด
                อบรมจิตดีแล้วโดยชอบ           ในองค์ธรรมแห่ง
                ควำมตรัสรู้,    (และ)     ชนเหล่ำใด ไม่ถือมั่น

*   พระมหำเพียร ป.ธ. ๙ วัดกันมำตุยำรำม แปล.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   79
               ยินดีในกำรละเลิกควำมถือมั่น,      ชนเหล่ำนั้น ๆ
               เป็นพระขีณำสพ รุ่งเรือง ดับสนิทแล้วในโลก.          "
                                            [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ กณฺห ธมฺม            ควำมว่ำ ละ
คือสละอกุศลธรรม ต่ำงโดยเป็นกำยทุจริตเป็นต้น.
         สองบทว่ำ สุกฺก ภำเวถ ควำมว่ำ ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ควร
เจริญธรรมขำว ต่ำงโดยเป็นกำยสุจริตเป็นต้น         ตั้งแต่ออกบวช จน
ถึงอรหัตตมรรค.      เจริญอย่ำงไร   ?   คือออกจำกอำลัย ปรำรภธรรม
อันหำอำลัยมิได้.
         อธิบำยว่ำ ธรรมเป็นเหตุให้อำลัย ตรัสเรียกว่ำโอกะ ธรรม
เป็นเหตุให้ไม่มอำลัย ตรัสเรียกว่ำ อโนกะ.
               ี                                บัณฑิตออกจำกธรรม
เป็นเหตุให้อำลัยแล้ว เจำะจง คือปรำรภพระนิพพำน กล่ำวคือธรรม
เป็นเหตุไม่มีอำลัย เมือปรำรถนำพระนิพพำนนั้น ควรเจริญธรรมขำว.
                      ่
         บำทพระคำถำว่ำ ตตฺรำภิรติมิจฺเฉยฺย ควำมว่ำ พึงปรำรถนำ
ควำมยินดียงในวิเวก ที่นับว่ำเป็นธรรมอันไม่มีอำลัย คือพระนิพพำน
          ิ่
ซึ่งสัตว์เหล่ำนั้นอภิรมย์ได้โดยยำก.
         สองบทว่ำ หิตฺวำ กำเม ควำมว่ำ ละวัตถุกำมและกิเลสกำม
แล้วเป็นผู้หมดควำมกังวล พึงปรำรถนำควำมยินดียิ่งในวิเวก.
         บทว่ำ จิตตเกลฺเสหิ ควำมว่ำ พึงทำำตนให้ขำวผ่อง คือให้
                  ฺ
บริสุทธิ์ จำกนิวรณ์ ๕.
         บทว่ำ สมฺโพธิยงฺเคสุ ได้แก่ในธรรมเป็นองค์เครื่องตรัสรู.
                                                               ้
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   80
         บำทพระคำถำว่ำ สมฺมำ จิตต สุภำวิต ควำมว่ำ
                                ฺ                           (ชน
เหล่ำใด) อบรม คือเจริญจิตด้วยดีแล้ว ตำมเหตุ        คือตำมนัย.
         บำทพระคำถำว่ำ อำทำนปฏินิสฺสคฺเค ควำมว่ำ ควำมยึดถือ
ตรัสเรียกว่ำ ควำมถือมั่น, ชนเหล่ำใด ไม่ถืออะไร ๆ ด้วยอุปำทำน ๔
ยินดีแล้วในกำรไม่ถือมั่น กล่ำวคือกำรเลิกละควำมยึดถือนั้น.
         บทว่ำ ชุตมนฺโต ควำมว่ำ ผู้มีอำนุภำพ
                  ิ                                   คือผู้ยังธรรมต่ำง
ขันธ์เป็นต้นให้รุ่งเรือง แล้วดำำรงมั่นอยู่ ด้วยควำมรุงเรืองคือ
                                                     ่
ญำณอันกำำกับด้วยอรหัตมรรค.
         สองบทว่ำ เต โลเก เป็นต้น ควำมว่ำ ชนเหล่ำชั้นชื่อว่ำ
ดับสนิทแล้ว ในขันธำทิโลกนี้ คือปรินิพพำนแล้ว ด้วยปรินิพพำน
๒ อย่ำง คือด้วยปรินิพพำนที่ชื่อว่ำสอุปำทิเสส เพรำะกิเลสวัฏอันตน
ให้สิ้นไปแล้ว   ตั้งแต่เวลำที่บรรลุพระอรหัต และด้วยปรินิพพำน
ที่ชื่อว่ำอนุปำทิเสส เพรำะขันธวัฏอันตนให้สิ้นไปแล้ว ด้วยดับจริมจิต
คือถึงควำมบัญญัติไม่ได้ ดังประทีปหำเชื้อมิได้ ฉะนั้น .
         ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย
มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                    เรื่องภิกษุอำคันตุกะ จบ.
                                    บัณฑิตวรรค วรรณำ จบ.
                                              วรรคที่ ๖ จบ.
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   81
                                               ๗. อรหันตวรรค วรรณนำ
                                                ๑. เรื่องหมอชีวก                       [
ข้อควำมเบื้องต้น   ]
         พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในสวนมะม่วงของหมอชีวก ทรง
ปรำรภปัญหำอันหมอชีวกทูลถำมแล้ว                   ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ
"   คตทฺธิโน   "   เป็นต้น.
                                          [   พระเทวทัตทำำโลหิตุปบำทกรรม     ]
         เรื่องหมอชีวก ท่ำนให้พิสดำรในขันธกะแล้วแล.
         ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่ง พระเทวทัตเป็นผู้ร่วมคิดกับ
พระเจ้ำอชำตศัตรูขึ้นสู่เขำคิชฌกูฏ มีจิตคิดร้ำย คิดว่ำ          "   เรำจักปลง-
พระชนม์พระศำสดำ        "       จึงกลิ้งหินลง.      ยอดเขำ ๒ ยอดรับหินนั้นไว้.
สะเก็ดซึงแตกออกจำกหินนั้น กระเด็นไป กระทบพระบำทของพระผู้มี
        ่
พระภำค ยังพระโลหิตให้ห้อแล้ว. เวทนำกล้ำเป็นไปแล้ว.
                                     [   หมอชีวกทำำกำรพยำบำลแผล     ]
         ภิกษุทั้งหลำยนำำพระศำสดำไปยังสวนมัททกุจฉิ.                     พระศำสดำ
มีพระประสงค์จะเสด็จ        แม้จำกสวนมัททกุจฉินั้นไปยังสวนมะม่วงของ
หมอชีวก จึงตรัสว่ำ         "    เธอทั้งหลำย จงนำำเรำไปในสวนมะม่วง

*   พระมหำอู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -    หน้ำที่   82
ของหมอชีวกนั้น.   "     พวกภิกษุได้พำพระผู้มีพระภำคเจ้ำไปยังสวน
มะม่วงของหมอชีวกแล้ว.         หมอชีวกทรำบเรื่องนั้น ไปสู่สำำนัก
พระศำสดำ ถวำยเภสัชขนำนที่ชะงัด เพื่อประโยชน์กำำชับแผล
พันแผลเสร็จแล้ว ได้กรำบทูลคำำนี้กะพระศำสดำว่ำ        "   พระเจ้ำข้ำ
ข้ำพระองค์ประกอบเภสัชแก่มนุษย์ผู้หนึ่งภำยในพระนคร,           ข้ำพระองค์
จักไปยังสำำนักของมนุษย์นั้นแล้ว จัก (กลับ) มำเฝ้ำ,       เภสัชนี้จงตัง
                                                                     ้
อยู่โดยนิยำมทีข้ำพระองค์พันไว้นั่นแหละ
              ่                            จนกว่ำข้ำพระองค์กลับ
มำเฝ้ำ.   "
          เขำไปทำำกิจที่ควรทำำแก่บุรุษนั้นแล้ว กลับมำในเวลำปิดประตู
จึงไม่ทันประตู. ทีนั้น เขำได้มีควำมวิตกอย่ำงนี้ว่ำ   "   แย่จริง เรำ
ทำำกรรมหนักเสียแล้ว, ที่เรำถวำยเภสัชอย่ำงชะงัด พันแผลที่พระบำท
ของพระตถำคตเจ้ำ ดุจคนสำมัญเมือแผลนั้นอันเรำยังไม่แก้,
                             ่                                      ควำมเร่ำร้อนในพระสรีระ
ของพระผู้มี
พระภำคเจ้ำจักเกิดตลอดคืนยังรุง.
                             ่    "
                                  [ แผลของพระศำสดำหำยสนิท ]
          ขณะนั้น พระศำสดำตรัสเรียกพระอำนนทเถระมำเฝ้ำ รับสั่งว่ำ
"   อำนนท์ หมอชีวกมำในวลำเย็นไม่ทันประตู, ก็เขำคิดว่ำ         '   เวลำนี้
เป็นเวลำแก้แผล,   '    เธอจงแก้แผลนั้น.   "     พระเถระแก้แล้ว.             แผล
หำยสนิท ดุจสะเก็ดไม้หลุดออกจำกต้นไม้.

๑. อญฺญตรสฺส แปลว่ำ คนใดคนหนึ่ง.
ประโยค๒   -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   83
                            [   พระอรหันต์ไม่มีควำมเร่ำร้อนใจ             ]
         หมอชีวกมำยังสำำนักพระศำสดำโดยเร็ว ภำยในอรุณนั่นแล
ทูลถำมว่ำ  "   พระเจ้ำข้ำ ควำมเร่ำร้อนเกิดขึ้นในพระสรีระของพระองค์
หรือไม่ ? "     พระศำสดำตรัสว่ำ       "   ชีวก ควำมเร่ำร้อนทั้งปวงของ
ตถำคตสงบรำบคำบแล้ว ทีควงไม้โพธิพฤกษ์นั่นแล
                     ่                             "        ดังนีแล้ว เมื่อจะ
                                                                 ้
ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม       จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
                "   ควำมเร่ำร้อน ย่อมไม่มีแก่ท่ำนผูมีทำงไกล
                                                   ้
                อันถึงแล้ว หำควำมเศร้ำโศกมิได้ หลุดพ้น
                แล้วในธรรมทังปวง
                            ้             ผู้ละกิเลสเครื่องร้อยรัด
                ทังปวงได้แล้ว.
                  ้               "
                                                    [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ คตทฺธิโน ได้แก่ ผู้มีทำงไกลอันถึง
แล้ว.    ชื่อว่ำทำงไกลมี ๒ อย่ำง คือทำงไกลคือกันดำร ทำงไกล
คือวัฏฏะ, บรรดำทำงไกล ๒ อย่ำงนั้น ผูเดินทำงกันดำร, ยังไม่ถึงที่ ๆ
                                    ้
ตนปรำรถนำเพียงใด      ;    ก็ชื่อว่ำผู้เดินทำงไกลเรื่อยไปเพียงนั้น,               แต่
เมื่อทำงไกลนั้นอันเขำถึงแล้ว      ย่อมเป็นผู้ชื่อว่ำมีทำงไกลอันถึงแล้ว.
ฝ่ำยสัตว์ทั้งหลำยแม้ผู้อำศัยวัฏฏะ,        ตนยังอยู่ในวัฏฏะเพียงใด             ;   ก็ชื่อว่ำ
ผู้เดินทำงไกลเรื่อยไปเพียงนั้น.       มีคำำถำมสอดเข้ำมำว่ำ เพรำะเหตุ
ไร   ?   แก้วำ เพรำะควำมที่วัฏฏะอันตนยังให้สิ้นไปไม่ได้.
             ่                                                            แม้พระ
อริยบุคคลทังหลำยมีพระโสดำบันเป็นต้น ก็ชื่อว่ำผู้เดินทำงไกล
           ้
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   84
เหมือนกัน,         ส่วนพระขีณำสพยังวัฏฏะให้สิ้นไปได้แล้วดำำรงอยู่ ย่อม
เป็นผู้ชื่อว่ำมีทำงไกลอันถึงแล้ว.        แก่พระขีณำสพนั้นผูมีทำงไกลอัน
                                                           ้
ถึงแล้ว.
             บทว่ำ วิโสกสฺส คือชื่อว่ำผู้หำควำมเศร้ำโศกมิได้ เพรำะควำม
ที่ควำมเศร้ำโศกมีวัฏฏะเป็นมูลปรำศจำกไปแล้ว.
             บำทพระคำถำว่ำ วิปฺปมุตตสฺส สพฺพธิ คือผู้หลุดพ้นแล้วใน
                                   ฺ
ธรรมมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง.
             บำทพระคำถำว่ำ สพฺพคนฺถปฺปหีนสฺส คือ ชื่อว่ำผู้ละกิเลสเครื่อง
ร้อยรัดทังปวงได้
         ้             เพรำะควำมที่กิเลสเครื่องร้อยรัด ๔ อย่ำงอันตน
ละได้แล้ว.
             บำทพระคำถำว่ำ ปริฬำโห น วิชฺชติ ควำมว่ำ ควำมเร่ำร้อน
มี ๒ อย่ำง คือ ควำมเร่ำร้อนเป็นไปทำงกำยอย่ำง ๑ ควำมเร่ำร้อนเป็น
ไปทำงจิตอย่ำง ๑. บรรดำควำมเร่ำร้อน ๒ อย่ำงนั้น ควำมเร่ำร้อน
เป็นไปทำงกำย ซึงเกิดขึ้นแก่พระขีณำสพ ด้วยสำมำรถแห่งผัสสะ
               ่
มีหนำวและร้อนเป็นต้น ยังไม่ดับเลย, หมอชีวกทูลถำมหมำยถึงควำม
เร่ำร้อนอันเป็นไปทำงกำยนั้น.           แต่พระศำสดำทรงพลิกแพลงพระเทศนำ
ด้วยสำมำรถแห่งควำมเร่ำร้อนอันเป็นไปทำงจิต เพรำะควำมที่พระองค์
เป็นผู้ฉลำดในเทศนำวิธี เพรำะควำมที่พระองค์เป็นพระธรรมรำชำ
จึงตรัสว่ำ    "   ชีวก ผูมีอำยุ ก็โดยปรมัตถ์ ควำมเร่ำร้อน ย่อมไม่มี
                         ้
แก่พระขีณำสพผู้เห็นปำนนั้น.        "
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   85
        ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำปัตติ
ผลเป็นต้น ดังนีแล.
               ้
                                     เรื่องหมอชีวก จบ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   86
                        ๒. เรื่องพระมหำกัสสปเถระ                                        [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพระ
มหำกัสสปเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ          "           "
                                                  อุยยุญฺชนฺติ
                                                     ฺ                   เป็นต้น.
                [ ธรรมเนียมของพระพุทธเจ้ำผู้จะเสด็จจำริก ]
            ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่งพระศำสดำทรงจำำพรรษำอยู่ใน
กรุงรำชคฤห์ รับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลำยว่ำ       "   โดยกำลล่วงไป
กึ่งเดือน เรำจักหลีกไปสู่ที่จำริก.   "
            ได้ยินว่ำ กำรรับสังให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลำยว่ำ
                              ่                                  "   บัดนี้เรำจัก
หลีกไปสู่ที่จำริกโดยกำลล่วงไปกึ่งเดือน   "   ดังนี้ ด้วยประสงค์วำ
                                                                ่
"   ภิกษุทั้งหลำยจักทำำ กิจต่ำง ๆ มีระบมบำตรและย้อมจีวรเป็นต้นของ
ตนแล้ว จักไปตำมสบำย ด้วยอำกำรอย่ำงนี้         "     นี้เป็นธรรมเนียมของ
พระพุทธเจ้ำทังหลำย ผู้มีพระประสงค์จะเสด็จจำริกไปกับพวกภิกษุ.
             ้
ก็เมื่อภิกษุทั้งหลำยกำำลังทำำ กิจต่ำง ๆ มีระบมบำตรเป็นต้นของตนอยู่,
แม้พระมหำกัสสปเถระ ก็ซักจีวรทั้งหลำยแล้ว.
            [พวกภิกษุว่ำพระเถระละญำติและอุปัฏฐำกไปไม่ได้ ]
       พวกภิกษุยกโทษว่ำ " เพรำะเหตุไร พระเถระจึงซักจีวร ? "
ในพระนครนี้ ทังภำยใน และภำยนอก มีมนุษย์อำศัยอยู่ ๑๘ โกฏิ :
              ้

*    พระมหำอู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   87
บรรดำมนุษย์เหล่ำนั้น พวกใดไม่เป็นญำติของพระเถระ, พวกนั้นเป็น
อุปัฏฐำก, พวกใดไม่เป็นอุปัฏฐำก, พวกนั้นเป็นญำติ                  ;     ชนเหล่ำนั้น
ย่อมทำำควำมนับถือ (และ) สักกำระแก่พระเถระด้วยปัจจัย ๔; พระ-
เถระนั้น จักละอุปกำระมีประมำณเท่ำนั้น ไป ณ ที่ไหนได้;                      แม้หำก
พึงไปได้, ก็จักไม่ไป เลยจำกซอกชื่อมำปมำทะ.
         ดังได้สดับมำ พระศำสดำเสด็จถึงซอกใดแล้ว ย่อมตรัสบอก
ภิกษุทั้งหลำย ผูควรที่พระองค์ให้พึงกลับอีกว่ำ
                ้                                         "   เธอทั้งหลำยจง
กลับเสียแต่ที่นี้, อย่ำประมำท.          "     ซอกนั้นชำวโลกเรียกว่ำ        "   ซอก
มำปมำทะ,       "   คำำนั้น ภิกษุทั้งหลำยกล่ำวหมำยเอำซอกมำปมำทะนั้น.
                                    [   รับสังให้พระมหำกัสสปกลับ
                                             ่                        ]
         แม้พระศำสดำเสด็จหลีกไปสู่ที่จำริกพลำงทรงดำำริว่ำ                  "   ในนครนี้
ทั้งภำยใน ทั้งภำยนอก มีมนุษย์อยู่ ๑๘ โกฏิ,                 อันภิกษุจะต้องไปใน
ที่ทำำกำรมงคลและอวมงคลของมนุษย์ทงหลำยมีอยู่, เรำไม่อำจทำำวิหำร
                                ั้
ให้เปล่ำได้,       เรำจักให้ใครหนอแลกลับ.         "
         ลำำดับนั้น พระองค์ได้ทรงมีพระปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ               "   ก็พวก
มนุษย์เหล่ำนั้น เป็นทั้งญำติเป็นทั้งอุปัฏฐำกของกัสสป,                เรำควรให้
กัสสปกลับ.     "    พระองค์ตรัสกะพระเถระว่ำ           "   กัสสป เรำไม่อำจทำำ
วิหำรให้เปล่ำได้,        ควำมต้องกำรด้วยภิกษุ ในที่ทำำมงคลและอวมงคล
ทั้งหลำย ของพวกมนุษย์มีอยู่,                เธอกับบริษัทของตน จงกลับเถิด.            "
พระเถระทูลรับว่ำ     "   ดีละ พระเจ้ำข้ำ      "   แล้วพำบริษัทกลับ.         ภิกษุ
ทังหลำยโพนทนว่ำ          "   ผูมีอำยุทั้งหลำย พวกท่ำนเห็นไหมละ,
                               ้                                               พวก
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   88
เรำพูดประเดี๋ยวนี้เองมิใช่หรือ     ?    คำำที่พวกเรำพูดว่ำ   '   เพรำะเหตุไร
พระมหำกัสสปจึงซักจีวร   ? ท่ำนจักไม่ไปกับพระศำสดำ. ดังนี้นั่นแล
เกิด   (เป็นจริง) แล้ว. "
                        [ ทรงชี้แจงเหตุที่พระมหำกัสสปกลับ ]
          พระศำสดำทรงสดับถ้อยคำำของภิกษุทั้งหลำยแล้วเสด็จกลับ
ประทับยืน ตรัสว่ำ   "   ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอกล่ำวชื่ออะไรกันนั่น  ?"
ภิกษุเหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ     "    พวกข้ำพระองค์    กล่ำวปรำรภพระมหำ-
กัสสปเถระ พระเจ้ำข้ำ    "         ดังนี้แล้ว กรำบทูลเรื่องรำวทั้งหมด
ตำมแนวควำมทีตนกล่ำวแล้วนั่นแล.
            ่
          พระศำสดำทรงสดับคำำนั้นแล้ว ตรัสว่ำ           "   ภิกษุทั้งหลำยพวกเธอ
กล่ำว (หำ) กัสสปว่ำ     '    ข้องในตระกูลและในปัจจัยทังหลำย,
                                                      ้                 '
(แต่ควำมจริง) เธอกลับแล้ว ด้วยทำำในใจว่ำ ' เรำจักทำำตำมคำำ
ของเรำ (ตถำคต). " ก็กัสสปนั่น แม้ในกำลก่อน เมื่อจะทำำควำม
ปรำรถนำนั่นแล ก็ได้ทำำควำมปรำรถนำว่ำ ' เรำพึงเป็นผูไม่ข้องใน
                                                     ้
ปัจจัย ๔ มีอุปมำดังพระจันทร์ สำมำรถเข้ำสูตระกูลทั้งหลำยได้, '
                  ่                      ่
กัสสปนั่น ไม่มีควำมข้องในตระกูลหรือในปัจจัยทั้งหลำย; เรำเมื่อจะ
กล่ำวข้อปฏิบัติอันเปรียบด้วยพระจันทร์ และข้อปฏิบัติแห่งวงศ์ของ
พระอริยะ ก็กล่ำวอ้ำงกัสสปให้เป็นต้น.         "
                         [   พระศำสดำตรัสบุรพจริตของพระเถระ              ]
          ภิกษุทั้งหลำยทูลถำมพระศำสดำว่ำ          "   ก็พระเถระตั้งควำมปรำรถนำ
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   89
ไว้เมื่อไร   ?    พระเจ้ำข้ำ   "
             พระศำสดำ.          พวกเธอประสงค์จะฟังหรือ      ?    ภิกษุทั้งหลำย.
             พวกภิกษุ.      ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้ำข้ำ.
             พระศำสดำ ตรัสกะภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ         "   ภิกษุทั้งหลำย ในที่สด
                                                                              ุ
แห่งแสนกัปแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้ำ ทรงพระนำมว่ำปทุมุตตระ
ทรงอุบติขึ้นแล้วในโลก
      ั                     "      ดังนีแล้ว ตรัสควำมประพฤติในกำลก่อน
                                        ้
ของพระเถระทั้งหมด ตังต้นแต่ทำนตั้งควำมปรำรถนำไว้ในกำลแห่ง
                    ้       ่
พระพุทธเจ้ำทรงพระนำมว่ำปทุมุตตระ.                 บุรพจิตนั้น พระธรรม
สังคำหกำจำรย์ให้พิสดำรแล้ว ในพระบำลีอันแสดงประวัติของพระ
เถระนั้นแล.
                                   [   ตรัสเปรียบพระเถระด้วยพญำหงษ์       ]
             ก็พระศำสดำครั้นตรัสบุรพจิตของพระเถระนี้ให้พิสดำรแล้วจึง
ตรัสว่ำ      "   ภิกษุทั้งหลำย เพรำะอย่ำงนี้แล เรำจึงกล่ำวข้อปฏิบัติ
อันเปรียบด้วยพระจันทร์ และข้อปฏิบัติแห่งวงศ์ของพระอริยะ อ้ำง
เอำกัสสปบุตรของเรำให้เป็นต้น,               ชื่อว่ำควำมข้องในปัจจัยก็ดี ตระกูล
ก็ดี วิหำรก็ดี บริเวณก็ดี ย่อมไม่มแก่บุตรของเรำ,
                                  ี                             บุตรของเรำไม่
ข้องในอะไร ๆ เลย เหมือนพญำหงษ์ ร่อนลงในเปือกตม เที่ยวไป
ในเปือกตมนั้นแล้ว ก็บินไปฉะนั้น       "       ดังนีแล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
                                                   ้
แสดงธรรม         จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   90
                     "    ท่ำนผูมีสติ ย่อมออก
                                ้                            ที่อยู่; ท่ำนละควำมห่วงใยเสีย
ละเปือกตมไปฉะนี้          "
                                                         [   แก้อรรถ   ]
               บรรดำบทเหล่ำนั้น บำทพระคำถำว่ำ อุยยุญฺชนฺติ สตีมนฺโต
                                                 ฺ
ควำมว่ำ ท่ำนผู้ถึงควำมไพบูลย์แห่งสติ คือว่ำท่ำนผู้มีอำสวะสิ้นแล้ว
ย่อมขวนขวำยวิปัสสนำเป็นต้น ด้วยนึกถึง ด้วยเข้ำสมำบัติ ด้วยออกจำกสมำบัติ
ด้วยตั้งใจอยู่ในสมำบัตและด้วยพิจำรณำถึง.
                      ิ
               บำทพระคำถำว่ำ น นิเกเต รมนฺติ เต คือชื่อว่ำควำมยินดี
ในที่ห่วงของท่ำน ย่อมไม่มี.

*   สมเด็จพระมหำสมณเจ้ำ กรมพระยำวชิรญำณวโรรส ทรงแปลเป็นตัวอย่ำง พ.ศ. ๒๔๕๕
๑. ยุชธำตุ มีอุเป็นบทหน้ำ แปลว่ำออก คือไม่ได้อยู่กับที่ เช่นคำำว่ำ                       "   อุยฺยตฺต เสน
                                                                                                  ุ
ทสฺสนำย คจฺเฉยฺย พึงเป็นไปเพื่อดูกองทัพอันยกไปแล้ว และคำำว่ำ อุยฺโยคมุเข
ปติฏฺสิ   "     ท่ำนตังอยู่ในทำงแห่งกำรออก
                       ้                             (จำกโลก)          หรือ ในปำกแห่งมรณะ
"   อุยฺยุญชนฺติ
           ฺ         "   ในคำถำนี้ หมำยควำมอย่ำงนี้เหมือนกัน ในบทต่อ ๆ ไป จึงกล่ำวว่ำ
ไม่ยินดีในที่อยู่ ละควำมห่วงใยในที่อยู่เสียได้ อธิบำยว่ำ พวกพระก่อน ๆ ไม่ได้อยู่
เป็นที่ ไม่ใช่ผู้ติดถิ่น เป็นผู้เที่ยวจำริกโดยปกติ.            แต่พระอรรถกถำจำรย์เข้ำใจบท
อุยยุตโต ทีแปลว่ำออก กับบท อุยฺยตโต ที่แปลว่ำเพียรหรือขวนขวำยเป็น
   ฺ       ่                    ุ
อย่ำงเดียวกัน จึงแก้อรรถแห่งบทนี้ไปข้ำงเพียร.                  บทหลังที่แปลว่ำเพียรนั้น ยมธำตุ
มีอุเป็นบทหน้ำ ลบที่สุดธำตุแล้วไม่ซ้อน           "   ต   "   เช่น นิยโต ทีแปลว่ำแน่หรือ
                                                                          ่
เที่ยง กล่ำวคือกำำหนดได้ ส่วน ยุชธำตุลบที่สดแล้วซ้อน
                                           ุ                           "   ต   "   เช่น      "   ภุตต
                                                                                                    ฺ    "
ที่แปลว่ำกินแล้ว.
๒. บทว่ำ         "   โอกโมก   "   ทีแปลว่ำ อำลัยดังนำ้ำนั้น ไม่ได้แก่ภำษำ ใช้ ๒ คำำซำ้ำนั้น เพื่อ
                                     ่
ให้ควำมแรง เช่นในภำษำไทยว่ำ ห่วงใย พัวพัน เสียดมเสียดำย เสียดำยตำยอยำก .
๓. แปลผิด ตำมควำมเข้ำใจของพระอรรถกถำจำรย์ ไม่เช่นนั้น บทไขจะเถียงกัน .
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   91
                บทว่ำ หสำว นี้ เป็นแง่แห่งเทศนำ.            ก็นี้ควำมอธิบำยใน
คำำนี้ว่ำ   :     ฝูงนกถือเอำเหยื่อของตน ในเปือกตมอันบริบูรณ์ด้วยเหยื่อ
แล้ว ในเวลำไป ไม่ทำำควำมห่วงสักหน่อยในที่นั้นว่ำ               "   นำ้ำของเรำ,
ดอกประทุมของเรำ, ดอกอุบลของเรำ, ดอกบุณฑริกของเรำ, หญ้ำ
ของเรำ      "    หำควำมเสียดำยมิได้เทียว ละประเทศนั้น บินเล่นไปใน
อำกำศ ฉันใด         :     พระขีณำสพทั้งหลำยนั่น ก็ฉันนั้นแล แม้อยู่ใน
ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ข้องแล้วในสกุลเป็นต้นเทียวอยู่แล้ว แม้ในครำวไป
ละที่นั้นไปอยู่ หำควำมห่วงหำควำมเสียดำยว่ำ              "   วิหำรของเรำ,
บริเวณของเรำ, อุปัฏฐำกของเรำ              "   มิได้เทียว ไปอยู่.
                บทว่ำ โอกโมก คือ อำลัย,           ควำมว่ำ ละควำมห่วง
ทั้งปวงเสีย.
                ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                       เรื่องพระมหำกัสสปเถระ จบ.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   92
                               ๓. เรื่องพระเพฬัฏฐสีสเถระ*         [ ๗๓ ]
                                                [ ข้อควำมเบื้องต้น ]
          พระศำสดำประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภท่ำนตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ             "
เยส สนฺนีจโย นตฺถิ      "      เป็นต้น.
                                    [   ทรงบัญญัติสันนิธิกำรสิกขำบท    ]
          ดังได้สดับมำ ท่ำนทำำภัตกิจแล้ว เที่ยวถนนอื่นอีก ถือเอำข้ำวตำกนำำไปวิหำรเก็บ
ไว้
คิดเห็นว่ำ   "   ขึ้นชื่อว่ำกำรเที่ยวแสวงหำบิณฑบำตรำ่ำไป เป็นทุกข์ยงวันเล็กน้อยให้ล่วงไป
                                                                   ั
ด้วยสุขในฌำณแล้ว,            เมื่อต้องกำรด้วย
อำหำรมีขึ้น, ย่อมฉันข้ำวตำกนั้น.             พวกภิกษุรู้เข้ำติเตียนแล้วทูลควำม
นั้นแด่พระผู้มีพระภำคเจ้ำ.          พระศำสดำแม้ทรงบัญญัติสิกขำบทแก่
ภิกษุทั้งหลำย เพื่อประโยชน์เว้นกำรสังสมต่อไปในเพรำะเหตุนั้นแล้ว
                                    ่
ก็ต่อเมื่อจะทรงประกำศควำมหำโทษมิได้แห่งพระเถระ เพรำะกำรเก็บ
อำหำรนั้น อันพระเถระอำศัยควำมมักน้อย ทำำเมื่อยังมิได้ทรงบัญญัติ
สิกขำบท เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ              :-
*     สมเด็จพระมหำสมณเจ้ำ กรมพระยำวชิรญำณวโรรส ทรงแปลเป็นตัวอย่ำง.
๑. บทว่ำ อำยสฺมำ แปลตำมพยัญชนะว่ำ ผู้มีอำยุ แต่ตำมอรรถไม่ได้หมำยว่ำ สูง
อำยุ เป็นที่พวกภิกษุใช้เรียกกันเองโดยโวหำรเคำรพ จึงแปลว่ำ              "   ท่ำน   "
๒. บทว่ำเป็นทุกข์นี้ ในภำษำไทยใช้เหมือนภำษำมคธ คือกล่ำวเหตุอย่ำงหนึ่ง กล่ำว
ผลอย่ำงหนึ่ง. ในที่นี้กล่ำวเหตุ เคยแปลว่ำ นำำมำซึงทุกข์ หรือยังทุกข์ให้เกิด
                                                 ่
แปลไว้เท่ำศัพท์เพื่อจะให้ได้แก่ภำษำ.
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   93
                 "   คติของชนทั้งหลำยผู้หำสังสมมิได้,
                                            ่                    ผู้กำำหนด
                 รู้โภชนะ,          มีสุญญตวิโมกข์ และอนิมิตต-
                 วิโมกข์เป็นอำรมณ์,            ไปตำมยำก เหมือนทำง
                 ไปของฝูงนกในอำกำศฉะนั้น.              "
                                                             [   แก้อรรถ   ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น ในบทว่ำ สนฺนิจโยสังสมกรรม ๑ สั่งสมปัจจัย ๑; ในกำร
                                             ่
สั่งสม ๒ อย่ำงนั้น กรรมที่
เป็นกุศลและอกุศล ชื่อว่ำสั่งสมกรรม,           ปัจจัย ๔ ชือว่ำสังสม
                                                         ่     ่
ปัจจัย.    ในกำรสั่งสม ๒ อย่ำงนั้น สั่งสมปัจจัยย่อมไม่มแก่ภิกษุผู้อยู่
                                                       ี
ในวิหำร เก็บนำ้ำอ้อยก้อนหนึ่ง เนยใสสักเท่ำเสี้ยวที่ ๔ และข้ำวสำร
ทะนำนของชนเหล่ำใดไม่มี.
          บทว่ำ ปริญฺญำตโภชนำ คือกำำหนดรู้โภชนะด้วยปริญญำ ๓.
ก็กำรรู้โภชนะมีข้ำวต้มเป็นต้น โดยควำมเป็นข้ำวต้มเป็นต้น ชื่อว่ำ
ญำตปริญญำ       (กำำหนดรู้ด้วยอันรู้อยู่แล้ว),         ส่วนกำรกำำหนดรู้โภชนะ

๑. บทว่ำ    "   สนฺนิจโย   "   ในคำถำ ควรเป็นภำววำจก ที่แปลว่ำ กิริยำสั่งสม กำรสังสม
                                                                                 ่
พระอรรถกถำจำรย์แก้สันนิจยะ ๒ เอำตัวกรรมและปัจจัย คือ อำมิสเองเป็นสันนิจยะ
เช่นนี้ สันนิจยะเป็นกรรมวำจกไป ที่แปลว่ำ สิงอันจะพึงสั่งสม. ในที่นี้ แปลตำม
                                           ่
ควำม ถึงครำวแก้ ก็ปล่อยไปตำมอรรถกถำ.
๒. บทว่ำ    "   เอกญฺจ ตณฺฑุลนำฬึ       "   แปลว่ำทะนำนแห่งข้ำวสำรอันหนึ่งนั้น ไม่ได้หมำย
เอำทะนำนสำำหรับตวงข้ำว         ศัพท์ว่ำ "   นำฬี   "    บอกประมำณแห่งข้ำวสำร จึงแปลว่ำ
ข้ำวสำรทะนำนหนึ่ง เพื่อให้ถูกแห่งภำษำไทย.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   94
ด้วยอำำนำจสำำคัญเห็นในอำหำรปฏิกูล ชื่อว่ำตีรณปริญญำ         (กำำหนด
รู้ด้วยอันไตร่ตรอง).    ญำณเป็นเหตุถอนควำมกำำหนัดด้วยอำำนำจ
ควำมพอใจในโภชนำหำรด้วยอันละเสีย);            ชนเหล่ำใด กำำหนดรู้โภชนะด้วยปริญญำ
๓ นี้.
         ในบำทพระคำถำว่ำ สุญฺญโต อนิมตฺโต จ นี้ แม้อัปปณิหิต-
                                     ิ
วิโมกข์ ก็ทรงถือเอำด้วยแท้.     เหตุว่ำ บทเหล่ำนั้นทั้ง ๓ เป็นชื่อ
แห่งพระนิพพำนนั่นแล.      จริงอยู่ พระนิพพำนท่ำนกล่ำวว่ำสุญญต-
วิโมกข์ เหตุว่ำ ว่ำง เพรำะไม่มแห่งรำคะโทสะโมหะ และพ้นจำก
                              ี
รำคะโทสะโมหะนั้น,      พระนิพพำนนั้น ท่ำนกล่ำวว่ำอนิมตตวิโมกข์
                                                     ิ
เหตุว่ำ หำนิมิตมิได้ เพรำะไม่มแห่งนิมิตมีรำคะเป็นต้น และพ้นแล้ว
                              ี
จำกนิมิตเหล่ำนั้น, อนึ่งท่ำนกล่ำวว่ำ อัปปณิหิตวิโมกข์ เหตุว่ำ มิได้
ตังอยู่ เพรำะไม่มี แห่งปณิธิคือกิเลสเป็นเหตุตงอยูมีรำคะเป็นต้น
  ้                                          ั้  ่
และพ้นแล้วจำกปณิธิเหล่ำนั้น.     วิโมกข์ ๓ อย่ำงนี้ เป็นอำรมณ์ของ
ชนเหล่ำใด ผูทำำพระนิพพำนนั้นให้เป็นอำรมณ์ ด้วยอำำนำจเข้ำ
            ้
สมำบัติสัมปยุตตด้วยผลจิตอยู่.
         บำทพระคำถำว่ำ คติ เตส ทุรนฺวยำ ควำมว่ำ เหมือนอย่ำง
ว่ำ ทำงไปของฝูงนกผู้ไปแล้วโดยอำกำศไปตำมยำก คือไม่อำจจะรู้

๑. อย่ำงอื่นนอกจำกของกิน ก็จัดเป็นอำหำรมีอยู่ ในที่นี้จะให้รู้ชัดว่ำ อำหำรนั้น
ของกิน พระอรรถกถำจำรย์จึงใช้ศัพท์ว่ำ กวฬิงกำรำหำร ถ้ำจะใช้โภชนะก็เท่ำกัน
ศัพท์นี้แปลตำมพยัญชนะว่ำ อำหำรทีทำำให้เป็นคำำได้ เป็นปฏิปักษ์ต่ออำหำรอย่ำงอื่น
                                ่
มีผัสสะเป็นต้น ทีทำำให้เป็นคำำไม่ได้ ตำมอรรถหมำยประเภทของอำหำรเท่ำนั้น จึง
                 ่
แปลไว้ว่ำโภชนำหำร ตำมนิยมในภำษำไทย.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   95
เพรำะไม่เห็นรอยเท้ำ ฉันใด; คติของชนทั้งหลำยผู้หำสั่งสม ๒ อย่ำง
นี้มิได้ ผูกำำหนดรู้โภชนะด้วยปริญญำ ๓ นี้ และผู้มีวิโมกขมีประกำร
           ้
อันกล่ำวแล้วนี้เป็นอำรมณ์ ก็ไปตำมยำก คือไม่อำจบัญญัติ เพรำะ
ไม่ปรำกฏแห่งกำรไปว่ำ   "   ไปแล้ว ในส่วน ๕ นี้คือ      '   ภพ ๓ กำำเนิด ๔
คติ ๕ วิญญำณฐิติ ๗ สัตตำวำส ๙       '   โดยส่วนชื่อนี้ ๆ   "   ฉันนั้นแล.
         ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย
มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                  เรื่องพระเพฬัฏฐสีสเถระ จบ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   96
                             ๔. เรื่องพระอนุรุทธเถระ                                   [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
            พระศำสดำ เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพระ
อนุรุทธเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ            "   ยสฺสำสวำ ปิกฺขีณำ.         "
เป็นต้น.
                            [   เทพธิดำถวำยผ้ำแก่พระอนุรุทธเถระ          ]
            ควำมพิสดำรว่ำ ในวันหนึ่ง พระเถระมีจีวรเก่ำแล้ว แสวงหำ
จีวรในที่ทั้งหลำยมีกองหยำกเยื่อเป็นต้น.           หญิงภรรยำเก่ำของพระเถระ
นั้น ในอัตภำพที่ ๓ แต่อตภำพนี้ ได้เกิดเป็นเทพธิดำชื่อชำลินี ใน
                       ั
ดำวดึงสภพ.         นำงชำลินีเทพธิดำนั้น เห็นพระเถระเที่ยวแสวงหำท่อน
ผ้ำอยู่ ถือผ้ำทิพย์ ๓ ผืน ยำว ๑๓ ศอก กว้ำง ๔ ศอก แล้วคิดว่ำ
"   ถ้ำเรำจักถวำยโดยทำำนองนี้,          พระเถระจักไม่รับ   "       จึงวำงผ้ำไว้บน
กองหยำกเยื่อแห่งหนึ่ง ข้ำงหน้ำของพระเถระนั้น ผูแสวงหำท่อนผ้ำ
                                               ้
ทั้งหลำยอยู่ โดยอำกำรที่เพียงชำยผ้ำเท่ำนั้นจะปรำกฏได้.                  พระเถระ
เที่ยวแสวงหำท่อนผ้ำอยู่โดยทำงนั้น เห็นชำยผ้ำของท่อนผ้ำเหล่ำนั้นแล้ว
จึงจับที่ชำยผ้ำนั้นนั่นแลฉุดมำอยู่ เห็นผ้ำทิพย์มีประมำณดังกล่ำวแล้ว
ถือเอำด้วยคิดว่ำ    "   ผ้ำนี้เป็นผ้ำบังสุกุลอย่ำงอุกฤษฏ์หนอ   "    ดังนี้แล้ว
หลีกไป.

*พระมหำเยือน ป.ธ.
          ้                ๖ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   97
                                  [   พระศำสดำทรงช่วยทำำจีวร      ]
            ครั้นในวันทำำจีวรของพระเถระนั้น พระศำสดำมีภิกษุ ๕๐๐ รูป
เป็นบริวำร เสด็จไปวิหำรประทับนั่งแล้ว.           แม้พระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป
ก็นั่งแล้วอย่ำงนั้นเหมือนกัน.         พระมหำกัสสปนั่งแล้วตอนต้น เพื่อ
เย็บจีวร,     พระสำรีบุตรเถระนั่งในท่ำมกลำง,            พระอำนนทเถระนั่งในที่
สุด.   ภิกษุสงฆ์กรอด้ำย.          พระศำสดำทรงร้อยด้ำยนั้นในบ่วงเข็ม.                 พระ
มหำโมคคัลลำนเถระ,          ควำมต้องกำรด้วยวัตถุใด ๆ มีอยู่, เที่ยวน้อมนำำ
วัตถุนั้น ๆ มำแล้ว.     แม้เทพธิดำเข้ำไปสู่ภำยในบ้ำนแล้ว ชักชวน
ให้รับภิกษำว่ำ    "   ท่ำนผู้เจริญทั้งหลำย พระศำสดำทรงทำำจีวรแก่
พระอนุรุทธเถระ ผู้เป็นเจ้ำของเรำทังหลำยวันนี้ อันพระอสีติมหำสำวก
                                  ้
แวดล้อม ประทับนั่งอยู่ในวิหำร กับภิกษุ ๕๐๐ รูป.              พวกท่ำนจง
ถือข้ำวยำคูเป็นต้นไปวิหำร.       "     แม้พระมหำโมคคัลลำนเถระ นำำชิ้นชมพู่
ใหญ่มำแล้วในระหว่ำงภัตร. ภิกษุ ๕๐๐ รูปไม่อำจเพื่อขบฉันให้หมดได้.
ท้ำวสักกะได้ทรงทำำกำรประพรมในที่เป็นที่กระทำำจีวร.               พื้นแผ่นดิน
ได้เป็นรำวกะว่ำย้อมด้วยนำ้ำครั่ง.        กองใหญ่แห่งข้ำวยำคูของควรเคี้ยว
และภัตร อันภิกษุทั้งหลำยฉันเหลือ ได้มีแล้ว.
                            [    พระขีณำสพไม่พูดเกี่ยวกับปัจจัย       ]
            ภิกษุทั้งหลำยโพนทนำว่ำ        "   ประโยชน์อะไร   ?   ของภิกษุมีประมำณ
เท่ำนี้ ด้วยข้ำวยำคูเป็นต้นอันมำกอย่ำงนี้,         ญำติและอุปัฏฐำก อัน
ภิกษุทั้งหลำยกำำหนดประมำณแล้ว พึงพูดว่ำ            '   พวกท่ำน จงนำำวัตถุ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   98
ชื่อมีประมำณเท่ำนี้มำมิใช่หรือ   ?       พระอนุรุทธเถระเห็นประสงค์จะให้
เขำรู้ควำมที่แห่งญำติและอุปัฏฐำกของตนมีมำก.            "      ลำำดับนั้น พระ
ศำสดำตรัสถำมภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ        "   ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอพูดอะไร
กัน   ?"   เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ     "   พูดเรื่องชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ   "   จึง
ตรัสถำมว่ำ   "   ภิกษุทั้งหลำย ก็พวกเธอสำำคัญว่ำ           " ของนี้อันอนุรุทธะ
ให้นำำมำแล้วหรือ  ? " ภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลว่ำ              " อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ "
พระศำสดำตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย อนุรุทธะผูบุตรของเรำ ไม่กล่ำว
                                           ้
ถ้อยคำำเห็นปำนนั้น, แท้จริง พระขีณำสพทั้งหลำย ย่อมไม่กล่ำวกถำ-
ปฏิสังยุตด้วยปัจจัย, ก็บิณฑบำตนี้ เกิดแล้วด้วยอำนุภำพของเทวดำ "
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
                " อำสวะทั้งหลำย ของบุคคลใด สิ้นแล้ว, บุคคล
                ใด ไม่อำศัยแล้ว ในอำหำร, และสุญญตวิโมกข์
                อนิมตตวิโมกข์ เป็นโคจรของบุคคลใด, ร่องรอย
                    ิ
                 ของบุคคลนั้น ๆ รู้ได้ยำก เหมือนรอยของนก
                 ทังหลำยในอำกำศ ฉะนั้น.
                   ้                             "
                                                 [ แก้อรรถ ]
           บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ยสฺสำสวำ ควำมว่ำ อำสวะ ๔
ของบุคคลใด สิ้นแล้ว.            บำทพระคำถำว่ำ อำหำเร จ อนิสฺสิโต
ควำมว่ำ อันตัณหำนิสยและทิฏฐินิสัย ไม่อำศัยแล้ว ในอำหำร .
                   ั
           บำทพระคำถำว่ำ ปทนฺตสฺส ทุรสฺวย ควำมว่ำ อันบุคคล
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   99
ไม่อำจเพื่อจะรู้รอยของนกทั้งหลำยซึ่งไปในอำกำศว่ำ       "   นกทั้งหลำย
เหยียบด้วยเท้ำในที่นี้บินไปแล้ว, กระแทกที่นี้ด้วยออกบินไปแล้ว, ที่นี้
ด้วยศีรษะ, ที่นี้ด้วยปีกทั้ง ๒ ฉันใด, อันใคร ๆ ก็ไม่อำจเพื่อบัญญัติ
ซึ่งรอยของภิกษุผู้เห็นปำนนี้ โดยนัยเป็นต้นว่ำ   "   ภิกษุนี้ ไปแล้วโดย
ทำงนรก หรือไปแล้วโดยทำงดิรัจฉำนกำำเนิด      "   ฉันนั้นเหมือนกัน.
         ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                  เรื่องพระอนุรุทธเถระ จบ.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   100
                           ๕. เรื่องพระมหำกัจจำยนเถระ                                   [
ข้อควำมเบื้องต้น   ]
         พระศำสดำ เมื่อประทับอยู่ในบุพพำรำม ทรงปรำรภพระมหำ-
กัจจำยนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ           "   ยสฺสินฺทฺริยำนิ   "    เป็นต้น.
                                         [   พระเถระยกย่องกำรฟังธรรม             ]
         ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่ง พระศำสดำอันพระสำวกหมู่ใหญ่
แวดล้อมแล้ว ประทับนั่ง ณ ภำยใต้ปรำสำทของมิคำรมำรดำ ในวัน
มหำปวำรณำ.         ในสมัยนั้น พระมหำกัจจำยนเถระอยู่ในอวันตีชนบท
ก็ท่ำนนั้นมำแล้วแม้แต่ทไกล ย่อมยกย่องกำรฟังธรรมนั่นเทียว,
                       ี่                                                   เพรำะ
ฉะนั้น พระเถระผูใหญ่ทั้งหลำยเมื่อจะนั่ง จึงนั่งเว้นอำสนะไว้เพื่อ
                ้
พระมหำกัจจำยนเถระ.             ท้ำวสักกเทวรำชเสด็จมำจำกเทวโลกทั้ง ๒
พร้อมด้วยเทพบริษัท ทรงบูชำพระศำสดำด้วยของหอมและระเบียบ
ดอกไม้อันเป็นทิพย์เป็นต้นแล้ว ประทับยืนอยู่ มิได้เห็นพระมหำ-
กัจจำยนเถระ จึงทรงรำำพึงว่ำ      "   เพรำะเหตุอะไรหนอแล        ?       พระผู้เป็นเจ้ำ
ของเรำจึงไม่ปรำกฏ, ก็ถ้ำพระผู้เป็นเจ้ำพึงมำ, กำรมำของท่ำนนั้น เป็น
กำรดีแล.   "   พระเถระมำแล้วในขณะนั้นนั่นเอง แสดงตนซึ่งนั่งแล้วบน
อำสนะของตนนั่นแล.         ท้ำวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้ว ทรง
จับข้อเท้ำทั้ง ๒ อย่ำงมั่นแล้ว ตรัสว่ำ   "   พระผู้เป็นเจ้ำของเรำมำแล้ว
หนอ, เรำหวังกำรมำของพระผู้เป็นเจ้ำอยู่ทีเดียว          "    ดังนี้แล้ว ก็ทรง

*   พระมหำเยือน ป.ธ. ๕ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
             ้
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   101
นวดเท้ำทั้ง ๒ ของพระเถระ ด้วยพระหัตถ์ทั้ง ๒ บูชำด้วยของหอม
และระเบียบดอกไม้เป็นต้น ไหว้แล้วได้ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง.
                          [   เทพธิดำรักใคร่ภิกษุผสำำรวมอินทรีย์
                                                  ู้                    ]
              ภิกษุทั้งหลำยโพนทนำว่ำ       "   ท้ำวสักกะทรงเห็นแก่หน้ำ จึง
ทำำสักกำระ, ไม่ทรงทำำสักกำระเห็นปำนนี้ แก่พระสำวกผู้ใหญ่ที่เหลือ
เห็นพระมหำกัจจำยนเถระแล้ว จับข้อเท้ำทั้ง ๒ โดยเร็ว ตรัสว่ำ
'   พระผู้เป็นเจ้ำของเรำมำ ดีหนอ, เรำหวังกำรมำของพระผู้เป็นเจ้ำอยู่
ทีเดียว   '    ดังนีแล้ว ทรงนวดเท้ำทัง ๒ ด้วยพระหัตถ์ทั้ง ๒ บูชำแล้ว
                    ้                ้
ไหว้แล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง.          "        พระศำสดำทรงสดับถ้อยคำำ
ของภิกษุทั้งหลำยนั้นแล้ว ตรัสว่ำ       "   ภิกษุทั้งหลำย ภิกษุผู้มีทวำรอัน
ตนคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลำย เช่นกับด้วยมหำกัจจำยนะผู้บุตร
ของเรำย่อมเป็นที่รักของเหล่ำเทพเจ้ำนั่นเทียว          "    เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ         :-
                   "   อินทรีย์ทั้งหลำยของภิกษุใด ถึงควำมสงบแล้ว
                   เหมือนม้ำอันนำยสำรถีฝึกดีแล้ว ฉะนั้น.            แม้เหล่ำ
                   เทพเจ้ำ ย่อมกระหยิ่มต่อภิกษุนั้น ผูมีมำนะอันละ
                                                      ้
                   แล้ว ผูหำอำสวะมิได้ ผู้คงที่.
                          ้                           "
                                                             [   แก้อรรถ    ]
              เนื้อควำมแห่งพระคำถำนั้น ดังนี้    :-
              อินทรีย์ ๖ ของภิกษุใดถึงควำมสงบ คือควำมเป็นอินทรีย์อัน
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   102
ตนทรมำนแล้ว ได้แก่ควำมเป็นอินทรีย์หมดพยศร้ำย เหมือนม้ำอัน
นำยสำรถีผู้ฉลำดฝึกดีแล้ว ฉะนั้น,      ต่อภิกษุนั้น ผูชื่อว่ำมีมำนะอันละ
                                                     ้
แล้ว เพรำะละมำนะมีอย่ำง ๙ ดำำรงอยู่ ผูชื่อว่ำหำอำสวะมิได้ เพรำะ
                                      ้
ไม่มีอำสวะ ๔.     บทว่ำ ตำทิโน ควำมว่ำ ทั้งเหล่ำเทพเจ้ำ ทั้งเหล่ำ
มนุษย์ ย่อมกระหยิ่มคือย่อมปรำรถนำกำรเห็น และกำรมำ ของภิกษุผู้
เห็นปำนนั้น ผูดำำรงอยู่โดยภำวะแห่งผูคงที่.
              ้                     ้
         ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                   เรื่องพระมหำกัจจำยนเถระ จบ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                   -   หน้ำที่   103
                                    ๖. เรื่องพระสำรีบุตรเถระ*             [    ๗๖    ]
                                                    [   ข้อควำมเบื้องต้น      ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระสำรีบุตร-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                 "   ปวีสโม   "   เป็นต้น.
                                    [   พระสำรีบุตรถูกภิกษุรูปหนึ่งฟ้อง              ]
            ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่ง ท่ำนพระสำรีบุตร ออกพรรษำ
แล้ว ใคร่จะหลีกไปสู่ที่จำริก จึงทูลลำพระผู้มีพระภำค ถวำยบังคมแล้ว
ออกไปกับด้วยบริวำรของตน.                    ภิกษุทั้งหลำยผู้ปรำกฏอยู่ ด้วยสำมำรถ
ชื่อและโคตร โดยสำมำรถชื่อและโคตร แล้วจึงบอกให้กลับ .                                     ภิกษุ
ผู้ไม่ปรำกฏด้วยสำมำรถชื่อและโคตรรูปใดรูปหนึ่ง คิดว่ำ                       "      โอหนอ
พระเถระยกย่องปรำศรัยกะเรำบ้ำง ด้วยสำมำรถชื่อและโคตรแล้วพึง
ให้กลับ.    "     พระเถระไม่ทันกำำหนดถึงท่ำน ในระหว่ำงแห่งภิกษุสงฆ์
เป็นอันมำก. แม้ภิกษุนั้นผูกอำฆำตในพระเถระว่ำ                       "    พระเถระไม่ยกย่อง
เรำ เหมือนภิกษุทั้งหลำยอื่น.            "       มุมสังฆำฏิแม้ของพระเถระถูกสรีระ
ของภิกษุนั้นแล้ว. แม้ด้วยเหตุนั้น ภิกษุนั้นก็ผูกอำฆำตแล้วเหมือนกัน.
ภิกษุนั้นรู้ว่ำ   "   บัดนี้พระเถระจักล่วงอุปจำรวิหำร          "       จึงเข้ำไปเฝ้ำพระ
ศำสดำกรำบทูลว่ำ          "   พระเจ้ำข้ำ ท่ำนพระสำรีบุตรประหำรข้ำพระองค์
เหมือนทำำลำยหมวกหู ไม่ยังข้ำพระองค์ให้อดโทษแล้ว หลีกไปสู่ที่

*   พระมหำเยื้อน ป.ธ. ๕ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   104
จำริก   "       ด้วยสำำคัญว่ำ    "    เป็นอัครสำวกของพระองค์.       "       พระศำสดำ
รับสั่งให้เรียกพระเถระมำแล้ว.
                            [   พระเถระเปรียบตนด้วยอุปมำ ๙ อย่ำง                ]
            ในขณะนั้น พระมหำโมคคัลลำนเถระและพระอำนนทเถระคิด
แล้วว่ำ     "   พระศำสดำไม่ทรงทรำบควำมทีแห่งภิกษุนี้ อันพี่ชำยของ
                                        ่
พวกเรำไม่ประหำรแล้วก็หำไม่,                  แต่พระองค์จักทรงประสงค์ให้ท่ำน
บันลือสีหนำท, เรำจักให้บริษัทประชุมกัน.               "       พระเถระทั้ง ๒ นั้นมี
ลูกดำลอยู่ในมือ เปิดประตูบริเวณแล้วกล่ำวว่ำ               "   ท่ำนผู้มีอำยุทงหลำย
                                                                            ั้
จงออก,           ท่ำนผู้มีอำยุทงหลำยจงออก, บัดนี้ท่ำนพระสำรีบตรจักบันลือ
                               ั้                            ุ
สีหนำท ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระผูมีพระภำค
                                 ้                        "    ให้ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ประชุมกันแล้ว.
            ฝ่ำยพระเถระมำถวำยบังคมพระศำสดำนั่งแล้ว.                         ลำำดับนั้น พระ
ศำสดำตรัสถำมเนื้อควำมนั้นกะพระเถระนั้นแล้ว.                    พระเถระไม่กรำบ
ทูลทันทีว่ำ       "   ภิกษุนี้อันข้ำพระองค์ไม่ประหำรแล้ว       "    เมื่อจะกล่ำว
คุณกถำของตนจึงกรำบทูลว่ำ                "   พระเจ้ำข้ำ สติเป็นไปในกำย อันภิกษุใด
ไม่พึงเข้ำไปตังไว้แล้วในกำย, ภิกษุนั้นกระทบกระทั่งสพรหมจำรีรูปใด
              ้
รูปหนึ่งในศำสนำนี้ ไม่ขอโทษแล้วพึงหลีกไปสู่ที่จำริกแน่                  "       ดังนี้แล้ว
ประกำศควำมทีแห่งตนมีจตเสมอด้วยแผ่นดิน เสมอด้วย นำ้ำ ไฟ ลม
            ่        ิ
ผ้ำเช็ดธุลี เด็กจัณฑำล โคอุสภะมีเขำขำด ควำมอึดอัดด้วยกำยของ
ตนเหมือนซำกงูเป็นต้น และกำรบริหำรกำยของตน ดุจภำชนะมันข้น
โดยนัยเป็นต้นว่ำ        "   พระเจ้ำข้ำ บุคคลย่อมทิงของสะอำดบ้ำง ย่อม
                                                  ้
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   105
ทิ้งของอันไม่สะอำดบ้ำง ลงในแผ่นดินแม้ฉันใด.           "     ก็แลเมื่อพระเถระ
กล่ำวคุณของตน ด้วยอุปมำ ๘ อย่ำงนี้อยู่, แผ่นดินใหญ่ไหวจนที่สุด
นำ้ำ ในวำระทั้ง ๙ แล้ว.        ก็ในเวลำนำำอุปมำด้วยผ้ำเช็ดธุลี เด็กจัณฑำล
และภำชนะมันข้นมำ ภิกษุผู้ปุถุชนไม่อำจเพื่ออดกลั้นนำ้ำตำไว้ได้,
ธรรมสังเวชเกิดแก่ภิกษุผขีณำสพทั้งหลำยแล้ว. เมื่อพระเถระกล่ำวคุณ
                       ู้
ของตนอยู่นั่นแล, ควำมเร่ำร้อนเกิดขึ้นในสรีระทั้งสิ้นของภิกษุผู้กล่ำวตู่
แล้ว. ทันใดนั้นแล ภิกษุนั้นหมอบลงใกล้พระบำททั้ง ๒ ของพระผู้มี
พระภำค ประกำศโทษในเพรำะควำมกล่ำวตู่ ด้วยคำำอันไม่จริงแสดง
โทษล่วงเกินแล้ว.
                               [   จิตของพระสำรีบตรเหมือนแผ่นดิน
                                                 ุ                          ]
            พรศำสดำตรัสเรียกพระเถระมำแล้ว ตรัสว่ำ           "   สำรีบตร เธอจง
                                                                     ุ
อดโทษต่อโมฆบุรุษนี้เสีย, ตลอเวลำที่ศีรษะของเขำ จักไม่แตกโดย
๗ เสี่ยง.   "   พระเถระนั่งกระโหย่งประคองอัญชลีกรำบทูลว่ำ               "   พระเจ้ำข้ำ
ข้ำพระองค์ยอมอดโทษต่อผู้มีอำยุนั้น, และขอผูมีอำยุนั้นจงอดโทษต่อ
                                           ้
ข้ำพระองค์, ถ้ำว่ำโทษของข้ำพระองค์มีอยู่.        "        ภิษุทั้งหลำยกล่ำวว่ำ
"   ผู้มีอำยุทงหลำย ท่ำนทั้งหลำยจงดูควำมที่พระเถระมีคุณไม่ตำ่ำทรำม ,
              ั้
พระเถระไม่กระทำำควำมโกรธหรือควำมประทุษร้ำย แม้มีประมำณน้อย
ในเบื้องบนของภิกษุผู้กล่ำวตู่ด้วยมุสำวำทชื่อเห็นปำนนี้ ตัวเองเทียว
นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีให้ภิกษุนั้นอดโทษ.        "
            พระศำสดำทรงสดับกถำนั้นแล้วตรัสถำมว่ำ            "   ภิกษุทั้งหลำย
พวกเธอพูดอะไรกัน     ?"    เมื่อภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลว่ำ         "   กถำชื่อนี้
ประโยค๒          -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   106
พระเจ้ำข้ำ   "   ตรัสว่ำ      "   ภิกษุทั้งหลำย ใคร ๆ ไม่อำจให้ควำมโกรธ
หรือควำมประทุษร้ำย เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เช่นสำรีบุตรได้, ภิกษุ
ทั้งหลำย จิตของพระสำรีบุตรเช่นกับด้วยแผ่นดินใหญ่ เช่นกับเสำเขื่อน
และเช่นกับห้วงนำ้ำใส      "       เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส
พระคำถำนี้ว่ำ    :-
                  "   ภิกษุใด เสมอด้วยแผ่นดิน เปรียบด้วยเสำเขือน
                                                              ่
                 คงที่ มีวัตรดี มีกิเลสดังเปือกตมไปปรำศแล้ว
                 เหมือนห้วงนำ้ำปรำศจำกเปือกตม ย่อมไม่ (ยินดี)
                 ยินร้ำย,             สงสำรทังหลำยย่อมไม่มแก่ภิกษุนั้น ผู้
                                             ้            ี
                 คงที่.    "
                                                      [ แก้อรรถ ]
         เนื้อควำมแห่งพระคำถำนั้น              ดังนี้ :-
         ภิกษุทั้งหลำย ชนทั้งหลำยย่อมทิงของสะอำดมีของหอมและ
                                       ้
ระเบียบดอกไม้เป็นต้นบ้ำง ย่อมทิ้งของไม่สะอำดมีมตรและกรีสเป็นต้น
                                               ู
บ้ำง ลงในแผ่นดิน. อนึ่งเด็กเป็นต้น ย่อมถ่ำยปัสสำวะบ้ำง ย่อมถ่ำย
อุจจำระบ้ำง รดเสำเขื่อน อันเขำฝังไว้ใกล้ประตูเมือง, แต่ชนทังหลำย
                                                           ้
พวกอื่น ย่อมสักกำระเสำเขื่อนนั้น ด้วยวัตถุมีของหอมและระเบียบ
ดอกไม้เป็นต้น, ในเพรำะกำรทำำนั้น ควำมยินดีหรือควำมยินร้ำย ย่อม
ไม่เกิดแก่แผ่นดิน หรือเสำเขื่อนนั่นแลฉันใด;               ภิกษุผู้ขีณำสพนี้ใด
ชื่อว่ำผู้คงที่ เพรำะควำมเป็นผูไม่หวั่นไหว ด้วยโลกธรรมทั้งหลำย ๘ ,
                               ้
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   107
ชื่อว่ำผู้มีวัตรดี เพรำะควำมทีแห่งวัตรทั้งหลำยงำม, ภิกษุนั้นก็ฉันนั้น
                              ่
เหมือนกัน เมือชนทั้งหลำยทำำสักกำระและอสักกำระอยู่ ย่อมไม่ยินดี
             ่
ย่อมไม่ยินร้ำยทีเดียวว่ำ   "   ชนเหล่ำนี้ย่อมสักกำระเรำด้วยปัจจัย ๔,
แต่ชนเหล่ำนี้ยอมไม่สักกำระ; โดยทีแท้ ภิกษุผู้ขีณำสพนั้นย่อมเป็น
              ่                  ่
ผู้เสมอด้วยแผ่นดินและเป็นผู้เปรียบด้วยเสำเขื่อนนั่นเอง.     ก็ห้วงนำ้ำทีมี
                                                                        ่
เปือกตมไปปรำศแล้ว เป็นห้วงนำ้ำใส ฉันใด;          ภิกษุผู้ขีณำสพนั้น
ชื่อว่ำมีเปือกตมไปปรำศแล้ว ด้วยเปือกตมทังหลำยมีเปือกตมคือรำคะ
                                        ้
เป็นต้น เพรำะควำมเป็นผู้มีกิเลสไปปรำศแล้ว ย่อมเป็นผูผ่องใสเทียว
                                                    ้
ฉันนั้น.
           บทว่ำ ตำทิโน ควำมว่ำ ก็ชื่อว่ำสงสำรทั้งหลำย ด้วยสำมำรถ
แห่งกำรท่องเที่ยวไปในสุคติและทุคติทั้งหลำย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น
คือผู้เห็นปำนนั้น.
           ในเวลำจบเทศนำ ภิกษุ ๙ พันรูปบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทำทั้งหลำย ดังนี้แล.
                                                 เรื่องพระสำรีบตรเถระ จบ.
                                                               ุ
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   108
                    ๗. เรื่องพระติสสเถระชำวกรุงโกสัมพี*                     [   ๗๗    ]
                                             [   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
             พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภสำมเณร
ของพระติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                   "   สนฺตนฺตสฺส มน
โหติ   "     เป็นต้น.
                         [   ศิษย์บรรลุพระอรหัตก่อนพระอำจำรย์               ]
             ดังได้สดับมำ กุลบุตรชำวกรุงโกสัมพีผู้หนึ่ง บวชในพระศำสนำ
ได้อุปสมบทแล้วปรำกฏว่ำ             "   พระโกสัมพีวำสิติสสเถระ.      "   เมื่อพระเถระ
นั้นจำำพรรษำอยู่ในกรุงโกสัมพี อุปัฏฐำกนำำไตรจีวร เนยใสและนำ้ำอ้อย
มำวำงไว้ใกล้เท้ำ. ครั้งนั้นพระเถระกล่ำวกะอุปัฏฐำกนั้นว่ำ                "       นี้อะไร   ?
อุบำสก.      "
             อุปัฏฐำก. กระผมนิมนต์ทำนให้อยู่จำำพรรษำมิใช่หรือ
                                   ่                                        ?         ขอรับ.
ก็พวกภิกษุผู้จำำพรรษำอยู่ในวิหำรของพวกกระผม                   ย่อมได้ลำภนี้,
นิมนต์เถิด ขอรับ.
             พระเถระ.        ช่ำงเถิด อุบำสก,         ควำมต้องกำรด้วยวัตถุนี้ ของ
เรำไม่มี.
             อุปัฏฐำก.       เพรำะเหตุอะไร       ?   ขอรับ.
             พระเถระ.        แม้สำมเณรผู้เป็นกัปปิยกำรกในสำำนักของเรำก็ไม่มี
ผู้มีอำยุ.

*   พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖                 (พระสุทธิสำรสุธี)    วัดบุปผำรำม แปล.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   109
            อุปัฏฐำก.     ท่ำนผู้เจริญ ถ้ำกัปปิยกำรกไม่มี.          บุตรของกระผม
จักเป็นสำมเณรในสำำนักของพระผู้เป็นเจ้ำ.
            พระเถระรับแล้ว.       อุบำสกนำำบุตรของตนผู้มีอำยุ ๗ ขวบไปสู่
สำำนักของพระเถระแล้ว ได้ถวำยว่ำ             "   ขอท่ำนจงให้เด็กนี้บวชเถิด.       "
ครั้งนั้น พระเถระชุบผมของเด็กนั้นให้ชุ่มแล้ว ให้ตจปัญจกกัมมัฏ-
ฐำน ให้บวชแล้ว.           ในเวลำปลงผมเสร็จนั่นเองพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ.              พระ
เถระครั้นให้กุมำรนั้นบวชแล้ว
อยู่ในที่นั้นสิ้นกึ่งเดือนแล้วคิดว่ำ   "   จักเฝ้ำพระศำสดำ    "   จึงให้สำมเณร
ถือห่อภัณฑะเดินไป เข้ำไปสู่วิหำรแห่งหนึ่งในระหว่ำงทำง.                  สำมเณร
ถือเสนำสนะจัดแจงเพื่อพระอุปัชฌำย์แล้ว.                เมื่อสำมเณรนั้นจัดแจง
เสนำสนะอยู่เทียว ก็หมดเวลำแล้ว.                 เพรำะเหตุนั้น สำมเณรจึงไม่อำจ
จัดแจงเสนำสนะเพื่อตนได้.
            ครังนั้น พระเถระถำมสำมเณรนั้นผู้มำในเวลำบำำรุงนั่งอยู่แล้ว
               ้
ว่ำ   "   สำมเณร เจ้ำจัดแจงที่อยูของตนแล้วหรือ.
                                 ่                       "
            สำมเณร.      กระผมไม่ได้โอกำสเพื่อจัดแจง ขอรับ.
                                 [ ตำสำมเณรแตกเพรำะอำจำรย์ ]
            พระเถระกล่ำวว่ำ      " ถ้ำกระนั้น จงอยู่ในที่อยู่ของฉันเถิด,             กำร
อยู่ในที่อำคันตุกะลำำบำก    "     พำสำมเณรนั้นแลเข้ำไปสู่เสนำสนะแล้ว.
ก็พระเถระนั้นเป็นปุถุชน พอนอนเท่ำนั้น ก็หยั่งลงสู่ควำมหลับ. สำมเณร

๑. ขุรคฺเค แปลโดยพยัญชนะว่ำ ในกำลเป็นที่สุดแห่งกรรมอันบุคคลกระทำำด้วยมีดโกน
ท่ำนแก้อรรถ ขุรคฺเค ว่ำ ขุรกมฺมปริโยสำเน.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   110
คิดว่ำ   "   วันนี้เป็นวันที่ ๓ ของเรำผู้อยู่ในเสนำสนะเดียวกันกับพระ-
อุปัชฌำย์; ถ้ำเรำจักนอนหลับ, พระเถระพึงต้องสหไสยำบัติ,                         เรำจะ
นั่งอย่ำงเดียว ยังกำลให้น้อมล่วงไป.      "       สำมเณรนั่งคูบัลลังก์ใกล้เตียง
                                                             ้
ของพระอุปัชฌำย์เทียว ยังรำตรีให้น้อมล่วงไปแล้ว. พระเถระลุกขึ้น
ในเวลำใกล้รุ่ง คิดว่ำ     "   ควรให้สำมเณรออก       "       จึงจับพัดที่วำงอยู่ข้ำง
เตียง เอำปลำยใบพัดตีเสื่อลำำแพนของสำมเณรแล้ว ยกพัดขึ้นเบื้องบน
กล่ำวว่ำ     "   สำมเณรจงออกไปข้ำงนอก        "   ใบพัดกระทบตำ. ตำแตก
แล้ว ทันใดนั้นนั่นเอง. สำมเณรนั้น กล่ำวว่ำ              "? ขอรับ "
                                                            อะไร
เมื่อพระเถระกล่ำวว่ำ " เจ้ำจงลุกขึ้น ออกไปข้ำงนอก. " ก็ไม่กล่ำวว่ำ
" ตำของผมแตกแล้ว ขอรับ " ปิด (ตำ) ด้วยมือข้ำงหนึ่งออกไปแล้ว.
ก็แลในกำรทำำวัตร สำมเณรไม่นั่งด้วยคิดว่ำ " ตำ ของเรำแตก
แล้ว. " กุมตำด้วยมือข้ำงหนึ่ง ถือกำำไม้กวำดด้วยมือข้ำงหนึ่ง กวำด
เว็จกุฎีและที่ล้ำงหน้ำและตั้งนำ้ำล้ำงหน้ำไว้แล้วกวำดบริเวณ. สำมเณร
นั้นเมื่อถวำยไม้ชำำระฟันแก่พระอุปัชฌำย์ ได้ถวำยด้วยมือเดียว.
                                   [ อำจำรย์ขอโทษศิษย์ ]
           ครังนั้น พระอุปัชฌำย์กล่ำวกะสำมเณรนั้นว่ำ " สำมเณรนี้
              ้
ไม่ได้สำำเหนียกหนอ, จึงได้เพื่อถวำยไม้ชำำระฟันแก่อำจำรย์และอุปัชฌำย์
ด้วยมือเดียว. "
           สำมเณร. ผมทรำบ ขอรับ ว่ำ ' นั่นไม่เป็นวัตร,' แต่มือข้ำง
หนึ่งของผม ไม่วำง. ่
           พระเถระ. อะไร ? สำมเณร.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่    111
             สำมเณรนั้นบอกควำมเป็นไปนั้นแล้วจำำเดิมแต่ต้น.                พระเถระ
พอฟังแล้วมีใจสลด กล่ำวว่ำ            "   โอ กรรมหนักอันเรำทำำแล้ว     "    กล่ำว
ว่ำ    "   จงอดโทษแก่ฉัน สัตบุรุษ, ฉันไม่รู้ข้อนั้น, ขอจงเป็นที่พึ่ง
                                                            "
ดังนีแล้ว ประคองอัญชลี นั่งกระโหย่งใกล้เท้ำของเด็กอำยุ ๗ ขวบ.
     ้
ลำำดับนั้นสำมเณรบอกกะพระเถระนั้นว่ำ " กระผมมิได้พูดเพื่อต้องกำร
เหตุนี้ ขอรับ, กระผมตำมรักษำจิตของท่ำน จึงได้พูดแล้วอย่ำงนี้,
ในข้อนี้ โทษของท่ำนไม่มี, โทษของผมก็ไม่มี, นั่นเป็นโทษของวัฏฏะ
เท่ำนั้น, ขอท่ำนอย่ำคิดแล้ว. อันผมรักษำควำมเดือดร้อนของท่ำน
อยู่นั่นเทียว จึงไม่บอกแล้ว. พระเถระแม้อันสำมเณรให้เบำใจอยู่ ไม่
เบำใจแล้ว มีควำมสลดใจเกิดขึ้นแล้ว ถือภัณฑะของสำมเณรไปสู่สำำนัก
ของพระศำสดำแล้ว.           แม้พระศำสดำประทับนั่งทอดพระเนตรกำรมำ
ของพระเถระนั้นเหมือนกัน.              พระเถรนั้นไปถวำยบังคมพระศำสดำ
ทำำควำมบันเทิงกับพระศำสดำแล้ว อันพระศำสดำตรัสถำมว่ำ                   "    เธอ
พออดทนหรือ   ? ภิกษุ ควำมไม่ผำสุกที่รุนแรงอะไร ๆ ไม่มีหรือ ? "
จึงกรำบทูลว่ำ " พออดพอทน พระเจ้ำข้ำ, ควำมไม่ผำสุกที่รุนแรงอะไร ๆ ไม่มีหรือ ? "
ของข้ำพระองค์ไม่มี, ก็อีกอย่ำงหนึ่งแล คนอื่นผูมีคุณอย่ำงล้นเหลือ
                                              ้
เหมื่อนสำมเณรเด็กนี้ อันข้ำพระองค์ไม่เคยเห็น " พระศำสดำตรัสถำม
ว่ำ " กรรมอะไร ? อันสำมเณรนี้ทำำแล้ว ภิกษุ. " พระเถระนั้นกรำบ
ทูลควำมเป็นไปนั้นทั้งหมดตังแต่ต้นแด่พระผู้มีพระภำคแล้ว กรำบทูลว่ำ
                          ้
"     พระเจ้ำข้ำ สำมเณรนี้ อันข้ำพระองค์ให้อดโทษอยู่อย่ำงนี้ กล่ำว
กะข้ำพระองค์อย่ำงนี้ว่ำ     '   ในข้อนี้ โทษของท่ำนไม่มีเลย   .       โทษของ
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   112
ผมก็ไม่มี, นั่นเป็นโทษของวัฏฏะเท่ำนั้น, ขอท่ำนอย่ำคิดแล้ว, สำมเณร
ยังข้ำพระองค์ให้เบำใจแล้วนั่นเทียวด้วยประกำรฉะนี้, ไม่ทำำควำมโกรธ
ไม่ทำำควำมประทุษร้ำย ในข้ำพระองค์เลย;                 ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณเห็นปำนนี้ อันข้ำพระองค์ไม่เคยเห็น.           "
                     [   พระขีณำสพไม่โกรธไม่ประทุษร้ำยใคร              ]
           ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสกะเธอว่ำ        "    ภิกษุ ธรรมดำพระ
ขีณำสพทั้งหลำย ไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำย ต่อใคร ๆ, เป็นผู้มีอินทรีย์
สงบแล้ว เป็นผูมีใจสงบแล้วเทียว
              ้                       "   ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ       :-
                "   ใจของท่ำนผู้พ้นวิเศษแล้ว เพรำะรู้ชอบ ผู้
                สงบระงับ คงที่ เป็นใจสงบแล้ว วำจำ ก็สงบ
                แล้ว กำรงำนก็สงบ.         "
                                                        [   แก้อรรถ    ]
           บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สนฺต ควำมว่ำ ใจของสมณะผู้
ขีณำสพนั้น ชือว่ำ สงบแล้วแท้ คือ ระงับ ได้แก่ ดับ เพรำะควำม
             ่
ไม่มีโทษแห่งวจีทจริตทั้งหลำยมีอภิชฌำเป็นต้น, อนึ่งวำจำ ชือว่ำ สงบแล้ว
                ุ                                        ่
เพรำะควำมไม่มแห่งวจีทุจริตทั้งหลำยมีมุสำวำทเป็นต้น ,
             ี                                                     และกำยกรรม
ชื่อว่ำ สงบแล้วนั่นเทียว เพรำะควำมไม่มแห่งกำยทุจริตมีปำณำติบำต
                                      ี
เป็นต้น.
           บำทพระคำถำว่ำ สมฺมทญฺญำ วิมุตตสฺสำ ควำมว่ำ ผู้พ้น
                                        ฺ
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   113
วิเศษแล้ว ด้วยวิมุติ ๕ เพรำะรู้โดยนัยเหตุ.
         บทว่ำ อุปสนฺตสฺส ควำมว่ำ ชื่อว่ำผู้สงบระงับแล้ว เพรำะ
ควำมระงับแห่งกิเลสมีรำคะเป็นต้น ณ ภำยใน.
         บทว่ำ ตำทิโน คือ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณเห็นปำนนั้น.
         ในเวลำจบเทศนำ พระติสสเถระชำวกรุงโกสัมพีบรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำย,      ธรรมเทศนำได้เป็นประโยชน์ แม้แก่
มหำชนที่เหลือ ดังนี้แล.
                          เรื่องพระติสสเถระชำวกรุงโกสัมพี จบ.
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   114
                                 ๘. เรื่องพระสำรีบตรเถระ
                                                  ุ                                           [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยูในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระสำรีบุตร
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ             "   อสฺสทธโธ   "    เป็นต้น.
                             [    สัทธินทรีย์เป็นต้นมีอมตะเป็นที่สุด      ]
            ควำมพิสดำรว่ำ ภิกษุผู้อยู่ปำเป็นวัตร ประมำณ ๓๐ รูป วัน
                                       ่
หนึ่งไปสู่สำำนักพระศำดำ ถวำยบังคมนั่งแล้ว.                  พระศำสดำทรงทรำบ
อุปนิสัยแห่งพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย ของภิกษุ
                                          ้
เหล่ำนั้นแล้ว ตรัสเรียกพระสำรีบุตรเถระมำ ตรัสถำมปัญหำปรำรภ
อินทรีย์ ๕ อย่ำงนี้ว่ำ   "   สำรีบุตร เธอเชื่อหรือ     ?,    อินทรีย์คอศรัทธำ
                                                                      ื
อันบุคคลเจริญแล้ว ทำำให้มำกแล้ว ย่อมหยั่งถึงอมตะ มีอมตะเป็นที่สุด .
พระเถระทูลแก้ปัญหำนั้นอย่ำงนี้ว่ำ           "   พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์ย่อมไม่ถึง
ด้วยควำมเชื่อต่อพระผู้มีพระภำคในอินทรีย์ ๕ นี้แล; (ว่ำ) อินทรีย์ คือ
ศรัทธำ ฯ ล ฯ มีอมตะเป็นที่สุด, ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ อินทรีย์ คือ
ศรัทธำนั่น อันชนเหล่ำใดไม่รู้แล้ว ไม่สดับแล้ว ไม่เห็นแล้ว ไม่
ทรำบแล้ว ไม่ทำำให้แจ้งแล้ว ไม่ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญำ,                          ชนเหล่ำนั้น
พึงถึงด้วยควำมเชื่อต่อชนเหล่ำอื่นในอินทรีย์ ๕ นั้น            (ว่ำ)       อินทรีย์
คือ ศรัทธำ ฯ ล ฯ มีอมตะเป็นที่สุด.
            ภิกษุทั้งหลำยฟังคำำนั้นแล้ว ยังกถำให้ตั้งขึ้นว่ำ          "   พระสำรีบุตรเถระ

*   พระมหำทอง       (พระสุทธสำรสุธี)            ป.ธ. ๖ วัดบุปผำรำม แปล.
ประโยค๒         -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   115
แก้แล้ว ด้วยกำรถือผิดทีเดียว,             แม้ในวันนี้ พระเถระไม่เชื่อแล้ว
ต่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำนั่นเทียว.          "
                       [    พระสำรีบุตรอันใคร ๆ ไม่ควรติเตียน           ]
          พระศำสดำทรงสดับคำำนั้นแล้ว ตรัสว่ำ                "   ภิกษุทั้งหลำยพวกเธอ
กล่ำวคำำชื่ออะไรนั่น    ?    เรำแล ถำมว่ำ      '   สำรีบุตร เธอเชื่อหรือว่ำ
'   ชื่อว่ำบุคคลผู้ไม่อบรมอินทรีย์ ๕ ไม่เจริญสมถะและวิปัสสนำ สำมำรถ
เพื่อทำำมรรคและผลให้แจ้งมีอยู่        '   สำรีบตรนั้น กล่ำวว่ำ
                                               ุ                    '   พระเจ้ำข้ำ
ข้ำพระองค์ไม่เชื่อว่ำ   '   ผูกระทำำให้แจ้งอย่ำงนั้น ชือว่ำมีอยู่
                              ้                        ่                '   สำรีบตร
                                                                                 ุ
ไม่เชื่อผลวิบำก แห่งทำนอันบุคคลถวำยแล้ว หรือแห่งกรรมอันบุคคล
กระทำำแล้วก็หำไม่, อนึ่ง สำรีบุตร ไม่เชื่อคุณของพระรัตนตรัย ๓ มีพระ
พุทธเจ้ำเป็นต้นก็หำไม่;         แต่สำรีบุตรนั้น ไม่เชื่อควำมเชื่อต่อบุคคลอื่น
ในธรรม คือ ฌำน วิปัสสนำ มรรค และผล อันตนได้เฉพำะแล้ว;
เพรำะฉะนั้น สำรีบุตรจึงเป็นผู้อันใคร ๆ ไม่ควรติเตียน, เมื่อจะทรงสืบ
อนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ             :-
                "   นระใด ไม่เชื่อง่ำย มีปกติรู้พระนิพพำนอัน
                ปัจจัยทำำไม่ได้ ตัดทีต่อ มีโอกำสอันกำำจัดแล้ว
                                     ่
                มีควำมหวังอันคำยแล้ว, นระนั้นแล เป็นบุรุษ
                สูงสุด.     "
                                                        [   แก้อรรถ     ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อสฺสทฺโธ เป็นต้น พึงทรำบวิเครำะห์
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   116
ดังนี้   :-
              นระ ชื่อว่ำ อสฺสทฺโธ เพรำะอรรถว่ำ ไม่เชื่อคุณอันตนแทง
ตลอดแล้ว ด้วยคำำของชนเหล่ำอื่น, ชือว่ำ อกตญฺญู เพรำะอรรถว่ำ
                                  ่
รู้พระนิพพำนอันปัจจัยทำำไม่ได้แล้ว, อธิบำยว่ำ มีพระนิพพำนอันตน
ทำำให้แจ้งแล้ว. ชือว่ำ สนฺธิจฺเฉโท เพรำะอรรถว่ำ ตัดทีต่อคือวัฏฏะ
                  ่                                  ่
ที่ต่อคือสงสำร ดำำรงอยู่. ชื่อว่ำ หตำวกำโส เพรำะอรรถว่ำ โอกำส
แห่งกำรบังเกิด ชือว่ำอันนระกำำจัดแล้ว เพรำะควำมที่พืชคือกุศลกรรม
                 ่
และอกุศลกรรมสิ้นแล้ว. ชื่อว่ำ วนฺตำโส เพรำะอรรถว่ำ ควำมหวัง
ทั้งปวง ชือว่ำอันนระนี้คำยแล้ว เพรำะควำมที่กิจอันตนควรทำำด้วย
          ่
มรรค ๔ ตนทำำแล้ว. ก็นระเห็นปำนนี้ใด, นระนั้นแล ชือว่ำผูสูงสุด
                                                 ่     ้
ในบุรุษ เพรำะอรรถว่ำ ถึงควำมเป็นผู้สงสุดในบุรุษทั้งหลำย ด้วย
                                    ู
ควำมทีแห่งโลกุตรธรรม อันตนแทงตลอดแล้ว.
      ่
              ในเวลำจบพระคำถำ ภิกษุประมำณ ๓๐ รูป ผู้อยู่ป่ำเหล่ำนั้น
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำยแล้ว. พระธรรมเทศนำ
ได้มีประโยชน์แม้แก่มหำชนที่เหลือดังนีแล.
                                     ้
                                      เรื่องพระสำรีบตรเถระ จบ.
                                                    ุ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   117
                         ๙. เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ                              [
ข้อควำมเบื้องต้น   ]
         พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภนำพระเรวต-
เถระ ผู้อยู่ป่ำไม้สะแกเป็นต้น.
                                  [   พระสำรีบุตรชวนพี่น้องบวช    ]
         ควำมพิสดำรว่ำ ท่ำนพระสำรีบตร ละทรัพย์ ๘๗ โกฏิบวชแล้ว
                                   ุ
(ชักชวน) น้องสำว ๓ คน คือนำงจำลำ,             นำงอุปจำลำ, นำงสีสุปจำลำ,
(และ) น้องชำย ๒ คนนี้ คือ นำยจุนทะ,          นำยอุปเสนะ, ให้บวชแล้ว.
เรวตกุมำรผู้เดียวเท่ำนั้นยังเหลืออยู่แล้วในบ้ำน. ลำำดับนั้นมำรดำของ
ท่ำนคิดว่ำ"    อุปติสสะบุตรของเรำ ละทรัพย์ประมำณเท่ำนี้บวชแล้ว
(ยังชักชวน)    น้องสำว ๓ คน น้องชำย ๒ คน ให้บวชด้วย,               เรวตะ
ผู้เดียวเท่ำนั้นยังเหลืออยู่; ถ้ำเธอจัก (ชักชวน) เรวตะแม้นี้ให้บวชไซร้,
ทรัพย์ของเรำประมำณเท่ำนี้จักฉิบหำย,         วงศ์สกุลจักขำดศูนย์; เรำจักผูก
เรวตะนั้นไว้ ด้วยกำรอยู่ครองเรือน แต่ในกำลที่เขำยังเป็นเด็กเถิด .
         ฝ่ำยพระสำรีบตรเถระสั่งภิกษุทั้งหลำยไว้ก่อนทีเดียวว่ำ
                     ุ                                             "   ผู้มีอำยุ
ถ้ำเรวตะประสงค์จะมำบวชไซร้,           พวกท่ำนพึงให้เขำผู้มำตรว่ำมำถึง
เท่ำนั้นบวช;   (เพรำะ)    มำรดำบิดำของผมเป็นมิจฉำทิฏฐิก์, ประโยชน์

*   พระมหำคู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
๑. ขทิร แปลว่ำไม้ตะเคียนก็มี.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่   118
อะไรด้วยท่ำนทั้ง ๒ นั้น อันเรวตะบอกลำเล่ำ               ?       ผมเองเป็นมำรดำ
และบิดำของเรวตะนั้น.
                              [   มำรดำบิดำให้เรวตะแต่งงำน           ]
         แม้มำรดำของพระสำรีบุตรเถระนั้น ประสงค์จะผูกเรวตกุมำรผู้มี
อำยุ ๗ ขวบเท่ำนั้น ด้วยเครื่องผูกคือเรือน จึงหมั้นเด็กหญิงในตระกูล
ที่มีชำติเสมอกัน กำำหนดวันแล้ว ประดับตกแต่งกุมำรแล้ว ได้พำไป
สู่เรือนของญำติเด็กหญิง พร้อมด้วยบริวำรเป็นอันมำก. ลำำดับนั้น เมื่อ
พวกญำติของเขำทั้ง ๒ ผูทำำกำรมงคลประชุมกันแล้ว.
                      ้                                              พวกญำติให้เขำ
ทั้ง ๒ จุ่มมือลงในถำดนำ้ำแล้ว กล่ำวมงคลทังหลำย หวังควำมเจริญ
                                         ้
แก้เด็กหญิง จึงกล่ำวว่ำ      "    ขอเจ้ำจงเห็นธรรมอันยำยของเจ้ำเห็นแล้ว,
เจ้ำจงเป็นอยู่สิ้นกำลนำน เหมือนยำย นะ แม่           "       เรวตกุมำร คิดว่ำ
"   อะไรหนอแล     ?   ชื่อว่ำธรรมอันยำยนี้เห็นแล้ว      "       จึงถำมว่ำ    "   คนไหน   ?
เป็นยำยของหญิงนี้.      "
         ลำำดับนั้น พวกญำติบอกกะเขำว่ำ             "    พ่อ คนนี้ มีอำยุ ๑๒๐ ปี
มีฟันหลุด ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ตัวตกกระ หลังโกงดุจกลอนเรือน
              ?
เจ้ำไม่เห็นหรือ       นั่นเป็นยำยของเด็กหญิงนั้น.           "
         เรวตะ.        ก็แม้หญิงนี้ จักเป็นอย่ำงนั้นหรือ         ?
         พวกญำติ.           ถ้ำเขำจักเป็นอยู่ไซร้, ก็จักเป็นอย่ำงนั้น พ่อ.
                                      [   เรวตะคิดหำอุบำยออกบวช          ]
         เรวตะนั้น คิดว่ำ         "   ชื่อว่ำสรีระ แม้เห็นปำนนี้ จักถึงประกำร
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   119
อันแปลกนี้ เพรำะชรำ, อุปปติสสะพี่ชำยของเรำ จักเห็นเหตุนี้แล้ว,
ควรที่เรำจะหนีไปบวชเสียในวันนี้แหละ.            "       ทีนั้น พวกญำติอุ้มเขำ
ขึ้นสู่ยำนอันเดียวกันกับเด็กหญิงพำหลีกไปแล้ว.                 เขำไปได้หน่อยหนึ่ง
อ้ำงกำรถ่ำยอุจจำระ พูดว่ำ          "   ท่ำนทั้งหลำย จงหยุดยำนก่อน, ฉันลง
ไปแล้วจักมำ     "    ดังนีแล้ว ลงจำกยำนทำำให้ชักช้ำหน่อยหนึ่ง ที่พุ่มไม้
                          ้
พุ่มหนึ่งแล้วจึงได้ไป. เขำไปได้หน่อยหนึ่งแล้วลงไปด้วยกำรอ้ำงนั้นนั่น
แลแม้อีก ขึนแล้วก็ได้ทำำอย่ำงนั้นเหมือนกันอีก.
           ้
            ลำำดับนั้น พวกญำติของเขำกำำหนดว่ำ             "   เรวตะนี้ หมั่นไป
แท้ ๆ   "   จึงมิได้ทำำกำรรักษำอย่ำงเข้มแข็ง. เขำไปได้หน่อยหนึ่งก็ลงไป
ด้วยกำรอ้ำงนั้นนั่นแลแม้อีกแล้ว พูดว่ำ         "    พวกท่ำนจงขับไปข้ำงหน้ำ,
ฉันจักค่อย ๆ เดินมำข้ำงหลัง        "    จึงลงไปแล้ว ได้บ่ำยหน้ำตรงไปยัง
พุ่มไม้.
                                           [   เรวตะได้บรรพชำ      ]
            แม้พวกญำติของเขำได้ขับยำนไปด้วยสำำคัญว่ำ               "   เรวตะจักมำ
ข้ำงหลัง.   "       ฝ่ำยเรวตะนั้นหนีไปจำกที่นั้นแล้ว,          ไปยังสำำนักของภิกษุ
ประมำณ ๓๐ รูป ซึงอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง ไหว้แล้วเรียนว่ำ
                ่                                                          "   ท่ำน
ขอรับ ขอท่ำนทั้งหลำยจงให้กระผมบวช.                  "
            พวกภิกษุ.      "   ผูมีอำยุ เธอประดับด้วยเครื่องอลังกำรพร้อมสรรพ,
                                 ้
พวกข้ำพเจ้ำ ไม่ทรำบว่ำเธอเป็นพระรำชโอรสหรือเป็นบุตรของอมำตย์,
จักให้เธอบวชอย่ำงไรได้.        "
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                -   หน้ำที่   120
            เรวตะ.       พวกท่ำนไม่รู้จักกระผมหรือ        ?       ขอรับ.
            พวกภิกษุ.       ไม่รู้ ผู้มีอำยุ.
            เรวตะ.       กระผมเป็นน้องชำยของอุปติสสะ.
            พวกภิกษุ.       ชือว่ำอุปติสสะนั่น คือใคร
                              ่                               ?
            เรวตะ.       ท่ำนผู้เจริญทังหลำย เรียกพี่ชำยของกระผมว่ำ
                                       ้                                                 '   สำรี-
บุตร   '   เพรำะฉะนั้น เมื่อกระผมเรียนว่ำ        '   อุปติสสะ     '   ท่ำนผู้เจริญ
ทั้งหลำยจึงไม่ทรำบ.
            พวกภิกษุ.       ก็เธอเป็นน้องชำยของพระสำรีบตรเถระหรือ
                                                       ุ                             ?
            เรวตะ.       อย่ำงนั้น ขอรับ.
            ภิกษุเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ      "   ถ้ำกระนั้น มำเถิด, พี่ชำยของเธอ
อนุญำตไว้แล้วเหมือนกัน        "    ดังนี้แล้ว ก็ให้เปลื้องเครื่องอำภรณ์ของ
เขำออก ให้วำงไว้ ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ให้เขำบวชแล้ว จึงส่งข่ำวไปแก่
พระเถระ.
            พระเถระ ฟังข่ำวนั้นแล้ว จึงกรำบทูลแด่พระผูมีพระภำคว่ำ
                                                      ้
  "    พระเจ้ำข้ำ ภิกษุทั้งหลำยส่งข่ำวมำว่ำ          '   ได้ยินว่ำ พวกภิกษุที่อยู่ปำ
                                                                                   ่
ให้เรวตะบวช     '    ข้ำพระองค์ไปเยียมเธอแล้วจึงจักกลับมำ.
                                    ่                            "
            พระศำสดำ มิได้ทรงยอมให้ไป            ด้วยพระดำำรัสว่ำ "             สำรีบุตร
จงยับยังอยู่ก่อน.
       ้             "     โดยกำลล่วงไป ๒-๓ วัน พระเถระก็ทูลลำพระ
ศำสดำอีก. พระศำสดำมิได้ทรงยอมให้ไป ด้วยพระดำำรัสว่ำ                            "   สำรีบตร
                                                                                        ุ
จงยับยังอยู่ก่อน, แม้เรำก็จักไป.
       ้                                 "
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                    -   หน้ำที่   121
                                 [   เรวตสำมเณรบรรลุพระอรหัต                 ]
           ฝ่ำยสำมเณรคิดว่ำ          "   ถ้ำเรำจักอยู่ในที่นี้ไซร้,          พวกญำติจักให้คน
ติดตำมเรียกเรำ    (กลับ) "           จึงเรียนกัมมัฏฐำนจนถึงพระอรหัตแต่
สำำนักของภิกษุเหล่ำนั้น ถือบำตรแลจีวรเที่ยวจำริกไปถึงป่ำไม้สะแก
ในที่ประมำณ ๓๐ โยชน์แต่ที่นั้น ในระหว่ำง ๓ เดือนภำยในพรรษำ
นั่นแล บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำย.
           แม้พระเถระปวำรณำแล้ว ทูลลำพระศำสดำเพื่อต้องกำรไปใน
ที่นั้นอีก. พระศำสดำตรัสว่ำ              "   สำรีบตร แม้เรำก็จักไป
                                                  ุ                      "       เสด็จออก
ไปพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป. ในเวลำเสด็จไปได้หน่อยหนึ่ง พระอำนนท
เถระยืนอยู่ที่ทำง ๒ แพร่งกรำบทูลพระศำสดำว่ำ                   "    พระเจ้ำข้ำ บรรดำ
ทำงที่ไปสู่สำำนักพระเรวตะ ทำงนี้ เป็นทำงอ้อมประมำณ ๖๐ โยชน์
เป็นที่อยู่อำศัยของพวกมนุษย์, ทำงนี้เป็นทำงตรงประมำณ ๓๐ โยชน์ อันอมนุษย์
คุ้มครอง, พวกเรำจะไปโดยทำงไหน                    ?"
           พระศำสดำ.         อำนนท์ ก็สีวลี มำกับพวกเรำ                  (มิใช่หรือ ?)
           อำนนท์.     อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ.
           พระศำสดำ.         ถ้ำสีวลีมำ, เธอจงถือเอำทำงตรงนั่นแหละ.
                         [   พวกภิกษุอำศัยบุญของพระสีวลีเถระ                      ]
           ได้ยินว่ำ พระศำสดำมิได้ตรัสว่ำ              "   เรำจักยังข้ำวต้มและข้ำวสวย
ให้เกิดขึ้นแก่พวกเธอ, พวกเธอจงถือเอำทำงตรง                     "    ทรงทรำบข่ำวว่ำ
"   ที่นั่นเป็นที่ให้ผลบุญแก่ชนเหล่ำนั้น ๆ         "   จึงตรัสว่ำ    "   ถ้ำสีวลีมำ,
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   122
เธอจงถือเอำทำงตรง.        "   ก็เมื่อพระศำสดำทรงดำำเนินไปทำงนั้น, พวก
เทวดำคิดว่ำ     "   พวกเรำจักทำำสักกำระแก่พระสีวลีเถระพระผู้เป็นเจ้ำ
ของเรำ   "    ให้สร้ำงวิหำรในที่โยชน์หนึ่ง ๆ ไม่ให้ไปเกินกว่ำโยชน์หนึ่ง
ลุกขึ้นแต่เช้ำเทียว ถือเอำวัตถุมีข้ำวต้มเป็นต้นอันเป็นทิพย์แล้วเที่ยวไป
ด้วยตั้งใจว่ำ   "   พระสีวลีเถระผู้เป็นเจ้ำของเรำ นั่งอยู่ที่ไหน   ?"
          พระเถระให้เทวดำถวำยภัตรที่นำำมำเพื่อตน แก่ภิกษุสงฆ์มีพระ
พุทธเจ้ำเป็นประมุข.        พระศำสดำพร้อมทังบริวำรเสวยบุญของพระสีวลี
                                          ้
เถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทำงกันดำรประมำณ ๓๐ โยชน์ .
          ฝ่ำยพระเรวตะเถระพระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภำค นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่
จงกรม ๕๐๐
และที่พักกลำงคืนและที่พักกลำงวัน ๕๐๐.              พระศำสดำประทับอยู่ใน
สำำนักของพระเรวตะนั้นสิ้นกำลประมำณเดือนหนึ่งแล.               แม้ประทับ
อยู่ในที่นั้น ก็ทรงเสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง.
          ก็บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น ภิกษุแก่ ๒ รูป ในเวลำพระศำสดำเสด็จ
เข้ำไปสู่ป่ำไม้สะแก คิดแล้วอย่ำงนี้ว่ำ     "          (กำรก่อ
                                               ภิกษุนี้ทำำนวกรรม
สร้ำง) ประมำณอยู่เท่ำนี้อยู่ จักอำจทำำสมณธรรมได้อย่ำงไร ? " พระ
ศำสดำทรงทำำกิจคือกำรเห็นแก่หน้ำ ด้วยทรงดำำริวำ ' เป็นน้องชำยของ
                                               ่
พระสำรีบุตร ' จึงเสด็จมำสู่สำำนักของเธอผู้ประกอบนวกรรมเห็นปำนนี้ . '
                  [ พระศำสดำทรงอธิษฐำนให้ภิกษุลืมบริขำร ]
          ในวันนั้น แม้พระศำสดำทรงตรวจดูสตวโลก ในเวลำใกล้รุ่ง
                                         ั

๑. เรวตะ เป็นสำมเณร แต่เรียกว่ำพระเถระ เป็นเพรำะท่ำนบรรลุพระอรหัตผลแล้ว .
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   123
ทรงเห็นภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว ได้ทรงทรำบวำรจิตของภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว;
เพรำะเหตุนั้น ประทับอยู่ในที่นั้นสิ้นกำลนำนประมำณเดือนหนึ่งแล้ว ใน
วันเสด็จออกไป ทรงอธิษฐำนโดยประกำรที่ภิกษุเหล่ำนั้นลืมหลอด
นำ้ำมัน ลักกะจั่นนำ้ำ และรองเท้ำของตนไว้ เสด็จออกไปอยู่ ในเวลำ
เสด็จออกไปภำยนอกแต่อุปจำรวิหำรจึงทรงคลำยพระฤทธิ์.
          ครังนั้น ภิกษุเหล่ำนั้นกล่ำวกันว่ำ
             ้                                 "   ผมลืมสิ่งนีและสิ่งนี้, แม้
                                                              ้
ผมก็ลืม   "   ดังนีแล้ว ทัง ๒ รูปจึงกลับไป ไม่กำำหนดถึงที่นั้น ถูกหนำม
                   ้      ้
ไม้สะแกแทง เที่ยวไป พบห่อสิ่งของ ๆ ตนซึงห้อยอยู่ทต้นสะแก
                                       ่         ี่
ต้นหนึ่ง ถือเอำแล้วก็หลีกไป.
          แม้พระศำสดำทรงพำภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของสีวลีเถระ
ตลอดกำลประมำณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้ำไปสู่ปุพพำรำม. ลำำดับ
นั้น ภิกษุแก่เหล่ำนั้นล้ำงหน้ำแต่เช้ำตรู่ เดินไปด้วยตั้งใจว่ำ    "      พวก
เรำจักดื่มข้ำวต้มในเรือนของนำงวิสำขำ ผูถวำยอำคันตุกภัตร
                                       ้                                "   ดืม
                                                                              ่
ข้ำวต้มแล้วฉันของเคี้ยวแล้วนั่งอยู่.
                          [    นำงวิสำขำถำมถึงที่อยู่ของเรวตะ       ]
          ลำำดับนั้น นำงวิสำขำถำมภิกษุแก่เหล่ำนั้นว่ำ" ท่ำนผู้เจริญ
ก็ท่ำนทั้งหลำยได้ไปที่อยูของเรวตะกับพระศำสดำหรือ ? "
                         ่
          ภิกษุแก่. อย่ำงนั้น อุบำสิกำ.
          วิสำขำ. ท่ำนผู้เจริญ ที่อยูของเถระน่ำรื่นรมย์หรือ ?
                                     ่
          ภิกษุแก่. ที่อยู่ของพระเถระนั้นเป็นสถำนที่น่ำรื่นรมย์ จักมีแต่
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่       124
ที่ไหน   ?    อุบำสิกำ ที่นั้นรกด้วยไม้สะแกมีหนำมขำว เป็นเช่นกับสถำน
ที่อยู่ของพวกเปรต.
             ครังนั้น ภิกษุหนุ่ม ๒ รูปพวกอื่นมำแล้ว. อุบำสิกำถวำยข้ำวต้ม
                ้
และของควรเคี้ยวทังหลำยแม้แก่ภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว ถำมอย่ำงนั้น
                 ้
เหมือนกัน.       ภิกษุเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ   "   อุบำสิกำ พวกฉันไม่อำจ
พรรณนำได้, ที่อยู่ของพระเถระ เป็นเช่นกับเทวสภำชื่อสุธรรมำ
ดุจตกแต่งขึ้นด้วยฤทธิ์.  "
         อุบำสิกำคิดว่ำ " ภิกษุพวกที่มำครั้งแรกกล่ำวอย่ำงอื่น, ภิกษุ
พวกนี้กล่ำวอย่ำงอื่น, ภิกษุพวกที่มำครั้งแรก ลืมอะไรไว้เป็นแน่ จัก
กลับไปในเวลำที่คลำยฤทธิ์แล้ว, ส่วนภิกษุพวกนี้จักไปในเวลำที่พระเถระ
ตกแต่งนิรมิตสถำนที่ด้วยฤทธิ์ " เพรำะควำมทีตนเป็นบัณฑิตจึงทรำบ
                                              ่
เนื้อควำมนั้น ได้ยืนอยูแล้วด้วยหวังว่ำ " จักทูลถำมในกำลที่พระศำสดำ
                       ่
เสด็จมำ. " ต่อกำลเพียงครู่เดียวแต่กำลนั้นพระศำสดำอันภิกษุสงฆ์แวด
ล้อม เสด็จไปสู่เรือนของนำงวิสำขำ ประทับนั่งเหนืออำสนะอันเขำ
ตกแต่งไว้แล้ว. นำงอังคำสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุขโดยเคำรพ
ในเวลำเสร็จภัตกิจ ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว ทูลถำมเฉพำะว่ำ
"   พระเจ้ำข้ำ บรรดำภิกษุที่ไปกับพระองค์ บำงพวกกล่ำวว่ำ             '   ที่อยู่
ของพระเรวตะ เป็นป่ำรกด้วยไม้สะแก           '            ' เป็น
                                               บำงพวกกล่ำวว่ำ
สถำนที่รื่นรมย์; ที่อยู่ของพระเถระนั่นเป็นอย่ำงไรหนอแล ? "
           พระศำสดำทรงสดับคำำนั้นแล้วตรัสว่ำ " อุบำสิกำ จะเป็นบ้ำน
หรือเป็นป่ำก็ตำม, พระอรหันต์ทงหลำยย่อมอยู่ในที่ใด, ที่นั้นน่ำรื่นรมย์
                                ั้
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   125
แท้   " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำ
นี้ว่ำ :-
                  " พระอรหันต์ทั้งหลำย อยู่ในที่ใด เป็นบ้ำนก็ตำม
                  เป็นป่ำก็ตำม ที่ลุ่มก็ตำม ที่ดอนก็ตำม, ที่นั้น
                  เป็นภูมิสถำนน่ำรื่นรมย์. "
                                                     [ แก้อรรถ ]
          ในพระคำถำนั้น มีควำมว่ำ " พระอรหันต์ทั้งหลำย ย่อมไม่ได้
กำยวิเวกภำยในบ้ำนก็จริง, ถึงดังนั้น ย่อมได้จตวิเวกอย่ำงแน่นอน,
                                                   ิ
เพรำะอำรมณ์ทั้งหลำยแม้เปรียบดังของทิพย์ ย่อมไม่อำจทำำจิตของ
พระอรหันต์เหล่ำนั้นให้หวั่นไหวได้, เพรำะเหตุนั้น จะเป็นบ้ำนหรือ
จะเป็นที่ใดที่หนึ่งมีป่ำเป็นต้น, พระอรหันต์ทงหลำยย่อมอยู่ในที่ใด.
                                            ั้
บำทพระคำถำว่ำ ต ภูมิรำมเณยฺยก ควำมว่ำ ภูมิประเทศนั้น เป็น
ที่น่ำรื่นรมย์แท้.   "
          ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มี
โสดำปัตติผลเป็นต้นแล้ว.
                 [   พวกภิกษุปรำรภถึงควำมเป็นไปของพระสีวลี     ]
          โดยสมัยอื่น ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันว่ำ    "   ผู้มีอำยุทงหลำย
                                                                ั้
เพรำะเหตุอะไรหนอแล ท่ำนพระสีวลีเถระ จึงอยู่ในท้องของมำรดำ
ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน         ?   เพรำะกรรมอะไร จึงไหม้แล้วในนรก        ?
เพรำะกรรมอะไร จึงถึงควำมเป็นผู้มีลำภเลิศ และมียศเลิศอย่ำงนั้น       ?"
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่    126
           พระศำสดำทรงสดับถ้อยคำำนั้นแล้ว ตรัสถำมว่ำ    " ภิกษุทั้งหลำย
พวกเธอกล่ำวอะไรกัน ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " กถำชื่อนี้
พระเจ้ำข้ำ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสบุรพกรรมของท่ำนพระสีวลีเถระนั้น
จึงตรัสว่ำ :-
                                      [ บุรพกรรมของพระสีวลี ]
          " ภิกษุทั้งหลำย ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ พระผู้มีพระภำค
ทรงพระนำมว่ำวิปัสสี ทรงอุบัติในโลกแล้ว สมัยหนึ่งเสด็จเที่ยวจำริก
ไปในชนบท กลับมำสู่นครของพระบิดำ.                  พระรำชำทรงตระเตรียม
อำคันตุกทำน เพื่อภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุข ทรงส่งข่ำว
แก่ชำวเมืองว่ำ      "   ชนทังหลำยจงมำเป็นสหำยในทำนของเรำ.
                            ้                                            "     ชน
เหล่ำนั้นทำำอย่ำงนั้นแล้วคิดว่ำ     "   พวกเรำจักถวำยทำนให้ยงกว่ำทำน
                                                            ิ่
ที่พระรำชำทรงถวำยแล้ว        "     ก็ทูลนิมนต์พระศำสดำ ในวันรุ่งขึ้นตก
แต่งทำนแล้ว ก็ส่งข่ำวไปทูลแด่พระรำชำ.              พระรำชำเสด็จมำทอด
พระเนตรเห็นทำนของชนเหล่ำนั้นแล้วทรงดำำริว่ำ               "   เรำจักถวำยทำน
ให้ยิ่งกว่ำทำนนี้   "    ในวันรุ่งขึ้นทรงนิมนต์พระศำสดำแล้ว.            พระรำชำ
ไม่ทรงสำมำรถจะให้ชำวเมืองแพ้ได้เลย.               (ถึง)       ชำวเมืองก็ไม่
สำมำรถจะให้พระรำชำแพ้ได้.               ในครังที่ ๖ ชำวเมืองคิดว่ำ
                                             ้                          "    บัดนี้พวก
เรำจักถวำยทำนในวันพรุ่งนี้ โดยประกำรทีใคร ๆ ไม่อำจพูดได้วำ
                                      ่                  ่
"   วัตถุชื่อนี้ไม่มี ในทำนของชนเหล่ำนี้     "   ดังนีแล้ว ในวันรุ่งขึ้นจัดแจง
                                                      ้
ของถวำยเสร็จแล้วตรวจดูวำ
                       ่           "   อะไรหนอแล    ?     ยังไม่มีในทำนนี้     "
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   127
ไม่ได้เห็นนำ้ำผึงดิบทรัพย์ ๔ พันแล้ว ส่งไปในประตูแห่งพระนครทั้ง ๔ เพื่อต้องกำร
                ้
นำ้ำผึงดิบ.
      ้
            ครังนั้น คนบ้ำนนอกคนหนึ่งมำเพื่อจะเยี่ยมนำยบ้ำน เห็น
               ้
รวงผึงในระหว่ำงทำง ไล่ตัวผึ้งให้หนีไปแล้ว ตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้ง
     ้
พร้อมทั้งคอนนั่นแลเข้ำไปสู่พระนครด้วยตังใจว่ำ
                                       ้           "   เรำจักให้แก่นำย
บ้ำน    "   บุรุษผู้ไปเพื่อต้องกำรนำ้ำผึ้งพบคนบ้ำนนอกนั้นแล้ว จึงถำมว่ำ
"   ท่ำนผู้เจริญ นำ้ำผึ้งท่ำนขำยไหม     ?"
            คนบ้ำนนอก.         ไม่ขำย   นำย.
            บุรุษ.     เชิญท่ำนรับเอำกหำปณะนี้แล้ว จงให้    (รวงผึงแก่ฉัน)
                                                                  ้
เถิด.
            คนบ้ำนนอกนั้นคิดว่ำ" รวงผึงนี้ย่อมไม่ถึงค่ำแม่สักว่ำบำทหนึ่ง;
                                       ้
แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหำปณะหนึ่ง, เห็นจะเป็นผู้มีกหำปณะมำก, เรำ
ควรขึ้นรำคำ. " ลำำดับนั้น เขำจึงตอบกับบุรุษนั้นว่ำ " ฉันให้
ไม่ได้. "
           บุรุษ. ถ้ำกระนั้น ท่ำนจงรับเอำทรัพย์ ๒ กหำปณะ.
           คนบ้ำนนอก. แม้ด้วยทรัพย์ ๒ กหำปณะฉันก็ให้ไม่ได้.
           เขำขึ้นรำคำด้วยอำกำรอย่ำงนั้น จนถึงบุรุษนั้นกล่ำวว่ำ " ถ้ำ
กระนั้น ขอท่ำนจงรับเอำทรัพย์พันกหำปณะนี้ " ดังนี้แล้ว น้อมห่ม

๑. อลฺลมธุ ตำมศัพท์แปลว่ำ นำ้ำผึ้งสด. ได้แก่นำ้ำผึงที่ได้จำกรังใหม่ ๆ ยังไม่ได้ตม
                                                  ้                             ้
หรือเคี่ยว, เพื่อให้ควำมเข้ำกันกับนำ้ำผึงสุก ศัพท์นี้จึงควรแปลว่ำ นำ้ำผึงดิบ.
                                        ้                               ้
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   128
ภัณฑะเข้ำไป. ทีนั้นคนบ้ำนนอกกล่ำวกะบุรุษนั้นว่ำ                "   ท่ำนบ้ำหรือหนอ
แล   ?   หรือไม่ได้โอกำสเป็นที่เก็บกหำปณะ         ;     นำ้ำผึงไม่ถึงค่ำแม้บำทหนึ่ง
                                                              ้
ท่ำนยังกล่ำวว่ำ      '   ท่ำนรับเอำกหำปณะพันหนึ่งแล้ว จงให้          (รวงผึ้งแก่
ฉัน), ชื่อว่ำเหตุอะไรกันนี่         ?"
            บรุษ.        ผูเจริญ ข้ำพเจ้ำรู้, ก็กรรมของข้ำพเจ้ำด้วยนำ้ำผึงนี้มี
                           ้                                             ้
อยู่, เพรำะเหตุนั้น ข้ำพเจ้ำจึงพูดอย่ำงนั้น.
            คนบ้ำนนอก.          กรรมอะไร    ?   นำย.
            บุรุษ.       พวกข้ำพเจ้ำตระเตรียมมหำทำน เพื่อพระวิปัสสีสัมมำ-
สัมพุทธเจ้ำ ผูมีสมณะ ๖ ล้ำน ๘ แสนเป็นบริวำร,
              ้                                                ในมหำทำนนั้น
ยังไม่มีนำ้ำผึ้งดิบอย่ำงเดียวเท่ำนั้น,     เพรำะฉะนั้น ข้ำพเจ้ำจึงขอซื้อ
(รวงผึ้ง)    ด้วยอำกำรอย่ำงนั้น.
            คนบ้ำนนอก.          เมื่อเป็นอย่ำงนั้น ข้ำพเจ้ำจักไม่ให้ด้วยรำคำ,
ถ้ำแม้ข้ำพเจ้ำได้ส่วนบุญในทำนบ้ำงไซร้, ข้พเจ้ำจักให้.
            บุรุษนั้นไปบอกเนื้อควำมนั้นแก่ชำวเมืองแล้ว. ชำวเมืองทรำบ
ควำมที่ศรัทธำของเขำมีกำำลัง จึงรับสังว่ำ
                                    ่            "    สำธุ ขอเขำจงเป็นผู้ได้ส่วน
บุญ.     พวกชำวเมืองนั้นนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุขให้
นั่งแล้ว ถวำยข้ำวต้มและของเคี้ยว ให้คนนำำถำดทองคำำอย่ำงใหญ่มำ
ให้บีบรวงผึงแล้ว. แม้กระบอกนมส้ม อันมนุษย์นั้นแลนำำมำเพื่อต้อง
           ้
กำรเป็นของกำำนัลมีอยู่.          เขำเทนมส้มแม้นั้นลงในถำดแล้วเคล้ำกับ
นำ้ำผึงนั้น ได้ถวำยแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุขจำำเดิมแต่
      ้
ต้น.     นำ้ำผึงนั้นทั่วถึงแก่ภิกษุทุกรูป ผู้รับเอำจนพอควำมต้องกำร.
               ้
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   129
ได้เหลือเกินไปด้วยซำ้ำ.       ใคร ๆ ไม่ควรคิดว่ำ       "   นำ้ำผึงน้อยอย่ำงนั้น
                                                                 ้
ถึงแก่ภิกษุมำกอย่ำงนั้นได้อย่ำงไร     ?"        จริงอยู่ นำ้ำผึงนั้น ถึงได้ด้วย
                                                               ้
อำนุภำพแห่งพระพุทธเจ้ำ. พุทธวิสัยใคร ๆ ไม่ควรคิด. จริงอยู่ เหตุ๔ อย่ำง อันพระผู้มี
พระภำคตรัสว่ำ      "   เป็นเรื่องทีไม่ควรคิด.
                                   ่            "   ใคร ๆ
เมื่อไปคิดเหตุเหล่ำนั้นเข้ำ ย่อมเป็นผูมีส่วนแห่งคนบ้ำทีเดียว ด้วย
                                      ้
ประกำรฉะนี้.
         บุรุษนั้นทำำกรรมประมำณเท่ำนั้นแล้ว ในกำลเป็นที่สิ้นสุด
แห่งอำยุ บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกำลประมำณเท่ำนั้น
ในสมัยหนึ่งจุติจำกเทวโลกแล้ว บังเกิดในรำชตระกูลในกรุงพำรำณสี
โดยกำลที่พระชนกสวรรคต ถึงควำมเป็นพระรำชำแล้ว.                       ท้ำวเธอ
ทรงดำำริว่ำ   "   จักยึดเอำพระนครหนึ่ง    "          (นครนั้นไว้),
                                                จึงเสด็จไปล้อม
และทรงสำส์นไปแก่ชำวเมืองว่ำ " จงให้รำชสมบัติหรือกำรยุทธ์ "
ชำวเมืองเหล่ำนั้นตอบว่ำ " จักไม่ให้รำชสมบัตินั่นแหละ, จักไม่ให้
กำรยุทธ์ " ดังนี้แล้ว ก็ออกไปนำำฟืนและนำ้ำเป็นต้นมำทำงประตูเล็ก ๆ,
ทำำกิจทุกอย่ำง.
         ฝ่ำยพระรำชำนอกนี้รักษำประตูใหญ่ ๔ ประตู ล้อมพระนครไว้
สิ้น ๗ ปี ยิงด้วย ๗ เดือน ๗ วัน.
            ่                            ในกำลต่อมำ พระชนนีของพระ
รำชำนั้นตรัสถำมว่ำ      "               ? " ทรงสดับเรื่องนั้นว่ำ
                            บุตรของเรำทำำอะไร
" ทรงทำำกรรมชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ " ตรัสว่ำ " บุตรของเรำโง่, พวก
เธอจงไป จงทูลแก่บตรของเรำนั้นว่ำ ' จงปิดประตูเล็ก ๆ ล้อม
                    ุ

๑. อจินไตย ๔ อย่ำง คือ พุทธวิสัย ฌำนวิสัย กรรมวิสัย โลกจินตะ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   130
พระนคร.      "   ท้ำวเธอทรงสดับคำำสอนของพระชนนีแล้ว ก็ได้ทรงทำำ
อย่ำงนั้น.
         ฝ่ำยชำวเมืองเมื่อไม่ได้เพื่อออกไปภำยนอก ในวันที่ ๗ จึงปลง
พระชนม์พระรำชำของตนเสีย ได้ถวำยรำชสมบัตแด่พระรำชำนั้น. ท้ำว
                                       ิ
เธอทรงทำำกรรมนี้แล้ว ในกำลเป็นที่สิ้นสุดแห่งอำยุบังเกิดในอเวจี, ไหม้
แล้วในนรกตรำบเท่ำมหำปฐพีนี้หนำขึ้นได้ประมำณโยชน์หนึ่ง, จุติจำก
อัตภำพนั้นแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องมำรดำนั้นนั่นแหละอยู่ภำยใน
ท้องสิ้น ๗ ปียิ่งด้วย ๗ เดือน นอนขวำงอยู่ที่ปำกกำำเนิดสิ้น ๗ วัน
เพรำะควำมที่ตนปิดประตูเล็ก ๆ ทั้ง ๔.
         ภิกษุทั้งหลำย สีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกำลประมำณเท่ำนั้น
เพรำะกรรมที่เธอล้อมพระนครแล้วยึดเอำในกำลนั้น ถือปฏิสนธิใน
ท้องของมำรดำนั้นนั่นแหละ อยูในท้องสิ้นกำลประมำณเท่ำนั้น เพรำะ
                            ่
ควำมที่เธอปิดประตูเล็ก ๆ ทัง ๔,
                           ้          เป็นผู้ถึงควำมเป็นผูมีลำภเลิศมี
                                                          ้
ยศเลิศ เพรำะควำมที่เธอถวำยนำ้ำผึ้งใหม่ ด้วยประกำรอย่ำงนี้.
                               [   พวกภิกษุชมเชยบุญของเรวตะ         ]
         ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันว่ำ        "   แม้สำมเณร
ผู้เดียวทำำเรือนยอด ๕๐๐ หลัง เพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูป มีลำภ, มีบุญ,
น่ำชมจริง.   "      พระศำสดำเสด็จมำตรัสถำมว่ำ         "    ภิกษุทั้งหลำย
บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมด้วยถ้อยคำำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น
กรำบทูลว่ำ " ด้วยถ้อยคำำชื่อนี้, " ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บุตร
ของเรำไม่มีบุญ, ไม่มีบำป; (เพรำะ) บุญและบำปทั้ง ๒ เธอละเสีย
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   131
แล้ว   "   ได้ตรัสพระคำถำนี้ ในพรำหมณวรรค ว่ำ    :-
                "   บุคคลใดในโลกนี้ ล่วงเครื่องข้อง ๒ อย่ำง
                คือบุญและบำป, เรำเรียกบุคคลนั้น ผูไม่
                                                  ้
                โศก ปรำศจำกกิเลสเพียงดังธุลี ผูหมดจด
                                               ้
                ว่ำ เป็นพรำหมณ์.    "
                    เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ จบ.
ประโยค๒         -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -    หน้ำที่    132
                               ๑๐. เรื่องหญิงคนใดคนหนึ่ง                                       [
ข้อควำมเบื้องต้น     ]
             พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภหญิงคนใด
คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                "   รมณียำนิ   "      เป็นต้น.
                               [   หญิงนครโสภินียั่วจิตพระเถระให้หลง             ]
             ดังได้สดับมำ ภิกษุผู้ถือบิณฑบำตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เรียน
กัมมัฏฐำนในสำำนักของพระศำสดำแล้ว เข้ำไปสู่สวนร้ำงสวนหนึ่ง
ทำำสมณธรรมอยู่.               ครังนั้นหญิงนครโสภินีคนหนึ่ง ทำำกำรนัด
                                 ้
แนะกับบุรุษว่ำ      "    ฉันจักไปสู่ที่ชื่อโน้น, เธอพึงมำในที่นั้น       "       ได้ไป
แล้ว.        บรุษนั้นไม่มำแล้ว.          นำงแลดูทำงมำของบุรุษนั้นอยู่ไม่เห็น
เขำ กระสันขึ้นแล้ว จึงเที่ยวไปข้ำงโน้นข้ำงนี้ เข้ำไปสู่สวนนั้นพบ
พระเถระนั่งคู้บัลลังก์ แลไปข้ำงโน้นข้ำงนี้ไม่เห็นใคร ๆ อื่น คิด
ว่ำ    "   ผู้นี้เป็นชำยเหมือนกัน, เรำจักยังจิตของผู้นี้ให้ลุ่มหลง           "       ยืนอยู่
ข้ำงหน้ำของพระเถระนั้น เปลื้องผ้ำนุ่งแล้ว             (กลับ)       นุ่งบ่อย ๆ,
สยำยผมแล้วเกล้ำ, ปรบมือแล้วหัวเรำะ.
             ควำมสังเวชเกิดขึ้นแก่พระเถระ แผ่สร้ำนไปทั่วสรีระ.                       ท่ำนคิด
ว่ำ    "   นี้เป็นอย่ำงไรหนอแล         ?"
                          [   พระศำสดำทรงแสดงธรรมแก่พระเถระ                 ]
             ฝ่ำยพระศำสดำทรงใคร่ครวญว่ำ              "   ควำมเป็นไปของภิกษุผู้เรียน
กัมมัฏฐำนจำกสำำนักของเรำไปแล้วด้วยตั้งใจว่ำ                  '   จักทำำสมณธรรม         '
เป็นอย่ำงไรหนอแล          ?"       ทรงเห็นหญิงนั้นแล้ว ทรงทรำบกิริยำอนำจำร

*     พระมหำอู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒    -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   133
ของหญิงนั้น และควำมเกิดขึ้นแห่งควำมสังเวชของพระเถระ ประทับ
นั่งในพระคันธกุฎีนั่นแหละ ตรัสกับพระเถระนั้นว่ำ      "   ภิกษุ ที่ ๆ ไม่
รื่นรมย์ของพวกคนผู้แสวงหำกำมนั่นแหละ เป็นที่รื่นรมย์ของผู้มีรำคะ
ปรำศจำกแล้วทั้งหลำย.     "      ก็แลครั้นตรัสอย่ำงนั้นแล้ว ทรงแผ่พระ-
โอภำสไป เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุนั้น ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ               :-
               "   ป่ำทังหลำย เป็นที่น่ำรื่นรมย์,
                        ้                            ท่ำนผู้มีรำคะ
               ไปปรำศแล้วทั้งหลำย        จักยินดีในป่ำอันไม่เป็น
               ทียินดีของชน,
                 ่                (เพรำะ)    ท่ำนผู้มีรำคะไปปรำศ
               แล้วเหล่ำนั้น      เป็นผูมีปกติไม่แสวงหำกำม.
                                        ้                          "
                                             [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อรญฺญำนิ ควำมว่ำ ธรรมดำป่ำ
ทั้งหลำย อันประดับด้วยไพรสณฑ์มีต้นไม้รุ่น ๆ มีดอกบำนแล้ว
สมบูรณ์ด้วยนำ้ำใสสะอำด เป็นที่น่ำรื่นรมย์.       บทว่ำ ยตฺถ เป็นต้น
ควำมว่ำ ชนผูแสวงหำกำม ย่อมไม่ยินดีในป่ำทังหลำยใด เหมือน
            ้                            ้
แมลงวันบ้ำน ไม่ยินดีในป่ำบัวหลวง ซึงมีดอกอันแย้มแล้วฉะนั้น.
                                   ่
         บทว่ำ วีตรำคำ เป็นต้น ควำมว่ำ ก็ท่ำนผู้มีรำคะไปปรำศ
แล้วทั้งหลำย คือพระขีณำสพ จักยินดีในป่ำทังหลำยเห็นปำนนั้น
                                         ้
เหมือนแมลงภู่และแมลงผึ้ง ยินดีในป่ำบัวหลวง ฉะนั้น.
         ถำมว่ำ " เพรำะเหตุไร ? "
         แก้วำ
             ่ " เพรำะท่ำนผู้มีรำคะไปปรำศแล้วเหล่ำนั้น เป็นผู้มี
ปกติไม่แสวงหำกำม. " อธิบำยว่ำ เพรำะท่ำนเหล่ำนั้นย่อมไม่เป็น
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   134
ผู้มีปกติแสวงหำกำม   (จึงยินดีในป่ำทั้งหลำย).
           ในกำลจบเทศนำ พระเถระนั้นนั่งแล้วตำมปกตินั่นแล บรรลุ
พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย มำโดยอำกำศ ทำำควำม
                             ้
ชมเชย ถวำยบังคมพระบำททั้ง ๒ ของพระตถำคต ได้ไปแล้ว
ดังนีแล.
     ้
                                 เรื่องหญิงคนใดคนหนึ่ง จบ.
                                   อรหันตวรรค วรรณนำ จบ.
                                            วรรคที่ ๗ จบ.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่     135
                                    ๘. สหัสสวรรค วรรณนำ
                     ๑. เรื่องบุรุษผู้ฆำโจรมีเครำแดง
                                       ่                                                [   ข้อควำมเบื้อง
ต้น   ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภภิกษุผู้ฆ่ำ
โจรมีเครำแดง ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                 "   สหสฺสมปิ เจ วำจำ        "
เป็นต้น.
                                       [   เพ็ชฌฆำตเครำแดง        ]
            ดังได้สดับมำ โจร ๔๙๙ คน ทำำกรรมมีกำรปล้นชำวบ้ำนเป็นต้น
สำำเร็จควำมเป็นอยู่แล้ว.         ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งมีตำเหลือกเหลือง มี
เครำแดง ไปยังสำำนักของโจรเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ                "   แม้เรำจักเป็นอยู่
กับพวกท่ำน.      "    ทีนั้นพวกโจรแสดงบุรุษนั้นแก่หัวหน้ำโจร แล้วกล่ำว
ว่ำ    "   ชำยแม้นี้ ปรำรถนำจะอยู่ในสำำนักของพวกเรำ.              "       ครั้งนั้น
หัวหน้ำโจรแลดูบุรุษนั้นแล้วคิดว่ำ          "   บุรุษผู้นี้ กักขฬะนัก สำมำรถ
ในกำรที่จะตัดนมของแม่ หรือนำำเลือดในลำำคอของพ่อออกแล้ว กิน
ได้ " จึงห้ำมว่ำ " กิจคือกำรอยู่ ในสำำนักของพวกเรำสำำหรับบุรุษนี้
ไม่มี. " บุรุษนั้นแม้ถูกหัวหน้ำโจรห้ำมแล้วอย่ำงนั้นก็ไม่ไป บำำรุงศิษย์
คนหนึ่งของหัวหน้ำโจรนั้นนั่นแลให้พอใจแล้ว.      โจรนั้นพำบุรุษนั้น
เข้ำไปหำหัวหน้ำโจรแล้ว อ้อนวอนว่ำ " นำย ผู้นี้เป็นคนดี มีอุปกำระ

*     พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่    136
แก่พวกเรำ,          ขอท่ำนจงสงเครำะห์เขำเถิด             "    ให้หัวหน้ำโจร
รับไว้แล้ว.    ภำยหลังวันหนึ่ง พวกชำวเมืองร่วมกันกับพวกรำช-
บุรุษจับโจรเหล่ำนั้นได้     จึงได้นำำไปสู่สำำนักของพวกอมำตย์ผู้วินิจฉัย
ทั้งหลำย.      พวกอมำตย์สงบังคับกำรตัดศีรษะของโจรเหล่ำนั้นด้วย
                         ั่
ขวำน.       ลำำดับนั้น พวกชำวเมืองปรึกษำกันว่ำ               "   ใครหนอแล       ?
จักฆ่ำโจรเหล่ำนี้   "   แสวงหำอยู่ ไม่เห็นใคร ๆ ผู้ปรำรถนำเพื่อ
จะฆ่ำโจรเหล่ำนั้น จึงพูดกะหัวหน้ำโจรว่ำ              "   ท่ำนฆ่ำโจรเหล่ำนี้แล้ว
จักได้ทั้งชีวิต ทั้งควำมนับถือทีเดียว, ท่ำนจงฆ่ำโจรเหล่ำนั้น.               "       แม้
หัวหน้ำโจรนั้น ก็ไม่ปรำรถนำจะฆ่ำ เพรำะควำมที่พวกโจรนั้น
อำศัยตนอยูแล้ว.
          ่             พวกชำวเมืองถำมโจร ๔๙๙ คนโดยอุบำยนั้น.
แม้โจรทังหมดก็ไม่ปรำรถนำแล้ว.
        ้                                   พวกชำวเมือง ถำมนำยตัมพ-
ทำฐิกะ   (เครำแดง)       ผูมีตำเหลือกเหลืองนั้น ภำยหลังโจรทั้งหมด.
                           ้
นำยตัมพทำฐิกะนั้นรับคำำว่ำ       "   ดีละ   "   แล้ว ฆ่ำโจรทั้งหมดนั้น ได้ทง
                                                                           ั้
ชีวิตทังควำมนับถือแล้ว.
       ้
                           [    เพ็ชฌฆำตออกจำกตำำแหน่งเวลำแก่               ]
         พวกชำวเมืองนำำโจร ๕๐๐ คนมำแม้แต่ทิศทักษิณแห่งเมืองแล้ว
แสดงแก่พวกอมำตย์โดยอุบำยนั้น,                   เมื่อพวกอมำตย์นั้นสั่งบังคับ
ให้ตัดศีรษะโจรเหล่ำนั้น,        จึงถำมตังแต่หัวหน้ำโจรเป็นต้นไป ไม่
                                        ้
เห็นใครผู้ปรำรถนำจะฆ่ำ จึงถำมว่ำ                "   ในวันก่อน บุรุษหนึ่งฆ่ำ
โจร ๕๐๐ คนแล้ว. บุรุษนั่นอยู่ที่ไหนหนอแล     ?"                  เมื่อชนทั้งหลำย
ตอบว่ำ   " พวกข้ำพเจ้ำเห็นเขำแล้วในที่ชื่อโน้น "                 จึงเรียกเขำมำ
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   137
แล้วสั่งบังคับว่ำ    "   ท่ำนจงฆ่ำโจรเหล่ำนี้, ท่ำนจะได้ควำมนับถือ.              "
นำยตัมพทำฐิกะนั้นรับว่ำ        "   ดีละ   "   แล้วฆ่ำโจรเหล่ำนั้น ได้ควำม
นับถือแล้ว.
           ครังนั้นชำวเมืองเหล่ำนั้นปรึกษำกันว่ำ
              ้                                         "   บุรุษคนนี้ดี, พวกเรำ
จักทำำเขำให้เป็นคนฆ่ำโจรประจำำทีเดียว          "    ดังนีแล้วจึงให้ตำำแหน่ง
                                                         ้
นั้นแก่เขำ กระทำำควำมนับถือแล้ว.
           นำยตัมพทำฐิกะนั้นฆ่ำโจร   (ครำวละ) ๕๐๐ ๆ ซึ่งเขำนำำมำ
แต่ทิศปัศจิมบ้ำง     ทิศอุดรบ้ำง. เขำฆ่ำโจร (สิ้น) ๒ พันคน ซึ่งนำำ
มำแต่ทิศทัง ๔ ด้วยอุบำยอย่ำงนั้น จำำเดิมแต่นั้น เมื่อฆ่ำมนุษย์ที่เขำ
          ้
นำำมำ ๆ คือ   "     คนหนึ่งสองคน     "    ทุกวัน ๆ ได้กระทำำโจรฆำตก-
กรรมสิ้น ๕๕ ปี. ในเวลำเป็นคนแก่ เขำไม่อำจจะตัดศีรษะด้วยกำรฟัน
ทีเดียวได้, ต้องฟัน ๒-๓ ที ทำำให้มนุษย์ทั้งหลำยลำำบำก. พวกชำว
เมืองคิดกันว่ำ" คนฆ่ำโจรแม้อื่นจักเกิดขึ้น,            ผู้นี้ทำำมนุษย์ทั้งหลำยให้
ลำำบำกเหลือเกิน, จะต้องกำรอะไรด้วยผู้นี้ "              จึงถอนตำำแหน่งนั้น
ของเขำเสีย.
           นำยตัมพทำฐิกะนั้น กระทำำโจรฆำตกรรมอยูในกำลก่อน จึง
                                                ่
ไม่ได้กิจ ๔ อย่ำงนี้ คือ   "   กำรนุ่งผ้ำใหม่ กำรดื่มยำคูเจือนำ้ำนมที่ปรุงด้วย
เนยใสใหม่ กำรประดับดอกมะลิ กำรทำด้วยของหอม.                    "   ในวันที่ถูก
ออกจำกตำำแหน่ง เขำกล่ำวว่ำ            "   ท่ำนทั้งหลำย จงต้มยำคูเจือนำ้ำนมแก่
เรำ   "   แล้ว ให้คนถือผ้ำใหม่ระเบียบดอกมะลิและเครื่องทำ ไปยังแม่นำ้ำ
อำบแล้ว นุงผ้ำใหม่ ประดับดอกไม้ มีตัวทำด้วยของหอมมำสู่
          ่
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   138
เรือนนั่งแล้ว.     ทีนั้นชนทั้งหลำยวำงยำคูเจือนำ้ำนมทีปรุงด้วยเนยใสใหม่
                                                      ่
ข้ำงหน้ำเขำแล้ว นำำนำ้ำสำำหรับล้ำงมือมำ.
                      [   นำยตัมพทำฐิกะกระทำำบุญแก่พระสำรีบตร
                                                           ุ          ]
            ในขณะนั้น พระสำรีบุตรเถระออกจำกสมำบัติ พิจำรณำ
ทำงเที่ยวภิกษำของตนว่ำ             "                   ? " เห็น
                                       วันนี้ เรำควรไปที่ไหนหนอแล
ยำคูเจือนำ้ำนมในเรือนของนำยตัมพทำฐิกะนั้น จึงใคร่ครวญว่ำ " บุรุษ
นั้น จักทำำกำรสงเครำะห์เรำหรือหนอแล ? " รู้ว่ำ " เขำเห็นเรำแล้ว
จักทำำกำรสงเครำะห์แก่เรำ, ก็แล กุลบุตรนี้ ครั้นกระทำำแล้ว จักได้
สมบัติใหญ่ " จึงห่มจีวร ถือบำตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของ
นำยตัมพทำฐิกะนั้นนั่นแล.
            นำยตัมพทำฐิกะนั้น พอแลเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิด
ว่ำ   "   เรำกระทำำโจรฆำตกรรมมำนำน,              เรำฆ่ำมนุษย์เสียเป็นอันมำก;
บัดนี้ ในเรือนของเรำตกแต่งยำคูเจือนำ้ำนมไว้,            แลพระเถระก็มำ
ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรำ; เรำถวำยไทยธรรม แก่พระผู้เป็นเจ้ำเสีย
ในเวลำนี้ก็ควร    "       ดังนี้แล้ว จึงนำำยำคูที่วำงไว้ขำงหน้ำออกไปแล้ว
                                                         ้
เข้ำไปหำพระเถระ ไหว้แล้วนิมนต์ให้นั่งภำยในเรือน เกลี่ยยำคู
เจือนำ้ำนมลงในบำตร รำดเนยใสใหม่แล้ว ได้ยืนพัดพระเถระอยู่.
ทีนั้น อัธยำศัยเพื่อดื่มยำคูเจือนำ้ำนมได้มีกำำลัง เพรำะเขำไม่เคยได้
แล้วสิ้นเวลำนำน.          พระเถระรู้อัธยำศัยของนำยตัมพทำฐิกะนั้น จึงพูด
กะเขำว่ำ     "   อุบำสก ท่ำนจงดื่มยำคูของตนเถิด.        "    เขำให้พัดในมือ
แก่ผู้อื่นแล้วดื่มยำคูเอง.      พระเถระพูดกะบุรุษผู้พัดว่ำ   "   ท่ำนจงไป
ประโยค๒         -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่    139
จงพัดอุบำสกเถิด.       "       เขำอันบุรุษนั้นพัดอยู่ ดืมยำคูเต็มท้องแล้วมำ
                                                        ่
ยืนพัดพระเถระ ได้รับบำตรของพระเถระ ผูกระทำำภัตกิจให้เสร็จแล้ว.
                                     ้
พระเถระเริ่มอนุโมทนำแก่เขำแล้ว.                      เขำไม่อำจกระทำำจิตของตน
ให้ไปตำมธรรมเทศนำของพระเถระได้.                          พระเถระสังเกตได้จงถำมว่ำ
                                                                          ึ
"     อุบำสก เหตุไร ท่ำนจึงไม่อำจทำำจิตให้ไปตำมเทศนำได้                  ?"
             ตัมพทำฐิกะ.           "    ท่ำนผู้เจริญ ข้ำพเจ้ำทำำกรรมหยำบช้ำมำสิ้น
กำลนำน,           มนุษย์เป็นอันมำกถูกข้ำพเจ้ำฆ่ำตำย,                ข้ำพเจ้ำมัวระลึก
ถึงกรรมของตนนั้นอยู่ จึงไม่อำจทำำจิตให้ไปตำมเทศนำ ของพระ
ผู้เป็นเจ้ำได้.
             พระเถระคิดว่ำ          "    เรำจักลวงบุรุษนั้น   "   จึงพูดว่ำ   "    ก็ท่ำน
ได้กระทำำตำมชอบใจตน, หรือถูกคนอื่นให้กระทำำเล่ำ                      ?"
             ตัมพทำฐิกะ.           "    ท่ำนผู้เจริญ พระรำชำให้ข้ำพเจ้ำทำำ           "
             พระเถระ.         "    อุบำสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่ำนอย่ำงไร
หนอ     ?"
                           [      นำยตัมพทำฐิกะตำยไปเกิดในดุสิตบุรี            ]
             อุบำสกเป็นคนธำตุทึบ ถูกพระเถระกล่ำวอย่ำงนั้นมีควำมสำำคัญ
ว่ำ    "   อกุศลไม่มีแก่เรำ   "        จึงกล่ำวว่ำ   "   ท่ำนผู้เจริญ ถ้ำกระนั้น ขอท่ำน
จงกล่ำวธรรมเถิด.       "          อุบำสกนั้น เมื่อพระเถระทำำอนุโมทนำอยู่, มีจต
                                                                             ิ
มีอำรมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลม                    (แก่อริย-
สัจ) ภำยในแห่งโสดำปัตติมรรค ให้บังเกิดแล้ว. แม้พระเถระ กระทำำ
อนุโมทนำแล้วก็หลีกไป.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   140
         นำงยักษิณีตนหนึ่งมำแล้วด้วยเพศแห่งแม่โคนม ขวิดที่อก
อุบำสกผูตำมส่งพระเถระหน่อยหนึ่งแล้วกลับอยู่ให้ตำยแล้ว.
        ้                                                         อุบำสก
นั้นกระทำำกำละแล้วก็บังเกิดในดุสตบุรี.
                                ิ
                      [   กัลยำณมิตรเป็นเหตุให้เกิดในดุสิต   ]
         ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ       "   บุรุษฆ่ำโจร กระทำำ
กรรมหยำบช้ำสิ้น ๕๕ ปี พ้นจำกกรรมนั้นในวันนี้แล ถวำยภิกษำแก่
พระเถระก็ในวันนี้เหมือนกัน กระทำำกำละก็ในวันนี้นั่นแล, เขำบังเกิด
ในที่ไหนหนอแล    ?"
         พระศำสดำ เสด็จมำแล้วตรัสถำมว่ำ        " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนำกันด้วยถ้อยคำำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น
กรำบทูลว่ำ " ด้วยถ้อยคำำชื่อนี้ " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บุรุษนั้น
บังเกิดในดุสิตบุรี. " ภิกษุทั้งหลำยทูลถำมว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระองค์
ตรัสอะไร ? บุรุษนั้นฆ่ำมนุษย์เท่ำนี้สิ้นเวลำเท่ำนี้ แล้วบังเกิดใน
วิมำนดุสต. "
         ิ
           พระศำสดำตรัสว่ำ " อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย, บุรุษนั้นได้
กัลยำณมิตรผูใหญ่, เขำฟังธรรมเทศนำของสำรีบตร ยังอนุโลม-
              ้                                     ุ
ญำณให้บังเกิดแล้ว เคลื่อนจำกโลกนี้แล้ว บังเกิดในวิมำนดุสิต "
ดังนีแล้ว ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
     ้
                " บุรุษผู้ฆำโจรในเมือง ฟังคำำเป็นสุภำษิตแล้ว
                           ่
               ได้อนุโลมขันติ ไปสู่เทวโลกชั้นไตรทิพย์ ย่อม
               บันเทิงใจ.       "
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   141
            ภิกษุ.        "   พระเจ้ำข้ำ ธรรมดำอนุโมทนำกถำมีกำำลัง, บุรุษ
นั้นกระทำำอกุศลกรรมไว้มำก,               เขำยังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยเหตุเท่ำ
นั้นอย่ำงไรได้    ?"
            พระศำสดำตรัสว่ำ          "   ภิกษุทั้งหลำย เธอทั้งหลำยจงอย่ำ
ถือประมำณแห่งธรรมที่เรำแสดงแล้วว่ำ              '   น้อยหรือมำก   '   เพรำะว่ำ
แม้วำจำคำำเดียวที่อำศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้                "   เมื่อจะทรง
สืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ              :-
                     "   หำกวำจำแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็น
                     ประโยชน์ไซร้,        บทที่เป็นประโยชน์ บทเดียว
                     ซึงบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่ำ.
                       ่                                              "
                                                              [   แก้อรรถ       ]
            บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สหสฺสมปิ เป็นคำำสำำหรับกำำหนด.
อธิบำยว่ำ     "   แม้หำกว่ำวำจำที่เขำกำำหนดด้วยตั้งพันอย่ำงนี้ คือ ๑ พัน
๒ พันไซร้,        ก็วำจำเหล่ำนั้นไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ คือ
ประกอบด้วยบททั้งหลำยทีไม่เป็นประโยชน์ อันประกำศแต่เรื่อง
                      ่
พรรณนำอำกำส พรรณนำภูเขำ และพรรณนำป่ำเป็นต้น ไม่แสดง
นิพพำน มีมำกเพียงใด;                ก็เป็นวำจำชั่วนั่นแหละ เพียงนั้น.       "
            สองบทว่ำ เอก อตฺถปท ควำมว่ำ ส่วนบุคคลฟังบทใด ที่
เป็นประโยชน์แม้บทเดียวเห็นปำนนี้ว่ำ            "    นี้กำย,   นี้สติไปในกำย,
วิชำ ๓ เรำตำมบรรลุแล้ว, คำำสอนของพระพุทธเจ้ำทั้งหลำย เรำกระทำำ
แล้ว.   "     ย่อมสงบระงับ ด้วยกำรสงบระงับ กิเลสมีรำคะเป็นต้นได้,
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   142
บทนั้น   สำำเร็จประโยชน์ ประกอบด้วยนิพพำน คือแสดงขันธ์ ธำตุ
อำยตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสติปัฏฐำน แม้บทเดียว ยัง
ประเสริฐกว่ำโดยแท้.
         ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                               เรื่องบุรุษผู้ฆำโจรมีเครำแดง จบ.
                                              ่
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   143
                                ๒. เรื่องพระทำรุจีรยเถระ
                                                   ิ                                        [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
              พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน            ทรงปรำรภพระ
ทำรุจีรยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ
       ิ                                            "   สหสฺสมปิ เจ คำถำ       "
เป็นต้น.
                                    [   ทำรุจีริยะสำำคัญว่ำตนเป็นอรหันต์   ]
              ควำมพิสดำรว่ำ         ในกำลครังหนึ่ง มนุษย์เป็นอันมำกแล่นเรือไป
                                            ้
สู่มหำสมุทร เมื่อเรืออัปปำงในภำยในมหำสมุทร ได้เป็นภักษำของเต่ำ
และปลำแล้ว.           บรรดำมนุษย์เหล่ำนั้น บุรุษคนหนึ่งแลจับกระดำนไว้ได้
แผ่นหนึ่ง พยำยำมกระเสือกไป สู่ฝงแห่งท่ำเรือชื่อสุปปำรกะ. ผ้ำนุ่งห่ม
                               ั่
ของเขำไม่มี. บุรุษนั้นไม่เห็นอะไรอื่น จึงเอำปอพันท่อนไม้แห้งทำำเป็น
ผ้ำนุ่งห่ม ถือกระเบื้องจำกเทวสถำน ได้ไปสู่ทำเรือสุปปำรกะ.
                                           ่                                   มนุษย์
ทั้งหลำยเห็นเขำแล้วให้ยำคูและภัตรเป็นต้นแล้วยกย่องว่ำ               "    ผู้นี้เป็น
พระอรหันต์องค์หนึ่ง.        "       บุรุษนั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลำยนำำผ้ำเข้ำไปให้
คิดว่ำ    "     ถ้ำเรำจักนุ่งหรือจักห่ม,       ลำภสักกำระของเรำจักเสื่อม       "      จึง
ห้ำมผ้ำที่เขำนำำมำเสีย นุ่งห่มแต่เปลือกไม้เท่ำนั้น.
              ครังนั้น เมื่อเขำถูกมนุษย์เป็นอันมำกกล่ำวอยู่ว่ำ
                 ้                                                   "    เป็นพระ
อรหันต์     "                                   "
                  ควำมปริวิตกแห่งใจจึงเกิดขึ้นอย่ำงนี้ว่ำ         พระอรหันต์
หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรคเหล่ำใดเหล่ำหนึ่งแลในโลก,                   บรรดำ

*พระมหำโปร่ง ป.ธ.            ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -    หน้ำที่   144
พระอรหันต์เหล่ำนั้น เรำก็เป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง .          "        ทีนั้น
เทวดำผู้เป็นสำโลหิตกันในกำลก่อนแห่งบุรุษนั้น ก็คิดแล้ว อย่ำงนั้น.
                                        [   ประวัติเดิมของทำรุจีรยะ
                                                                 ิ    ]
            ข้อว่ำ ผู้เป็นสำโลหิตกันในกำลก่อน คือผู้กระทำำสมณธรรม
ร่วมกันในครั้งก่อน.           ได้ยินว่ำ ในกำลก่อนเมื่อศำสนำของพระทศพล
พระนำมว่ำกัสสปเสื่อมลงอยู่,            ภิกษุ ๗ รูปเห็นประกำรอันแปลกแห่ง
บรรพชิตทั้งหลำยมีสำมเณรเป็นต้นแล้ว ถึงควำมสลดใจคิดว่ำ                  "   ควำม
อันตรธำนแห่งพระศำสนำยังไม่มีเพียงใด;               พวกเรำจักกระทำำที่พึ่งแก่ตน
เพียงนั้น   "   ไหว้พระเจดีย์ทองคำำแล้ว เข้ำไปสู่ เห็นภูเขำลูกหนึ่ง
จึงกล่ำวว่ำ     "   ผูมีอำลัยในชีวิตจงกลับไป, ผูไม่มีอำลัยจงขึ้นภูเขำลูกนี้
                      ้                         ้                                   "
พำดบันไดแล้ว แม้ทั้งหมดขึ้นสู่ภูเขำลูกนั้น ผลักบันไดแล้วกระทำำสมณ-
ธรรม. บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไป
รำตรีเดียวเท่ำนั้น.          พระเถระนั้นเคี้ยวไม้ชำำระฟันชื่อนำคลดำในสระ
อโนดำด นำำบิณฑบำตมำแต่อุตตรกุรุทวีป แล้วกล่ำวกะภิกษุเหล่ำนั้น
ว่ำ   "   ผู้มีอำยุทงหลำย พวกท่ำนเคี้ยวไม้ชำำระฟันนี้ บ้วนปำกแล้ว
                    ั้
จงฉันบิณฑบำตนี้.         "
            ภิกษุ.      ท่ำนผู้เจริญ ก็พวกเรำทำำกติกำกันไว้อย่ำงนี้ว่ำ      "   ภิกษุ
ใดบรรลุพระอรหัตก่อน, ภิกษุทั้งหลำยที่เหลือ จักฉันบิณฑบำตที่ภิกษุ
นั้นนำำมำ หรือ  ?"
            พระเถระ.         ผูมีอำยุ ข้อนั้นไม่มีเลย.
                               ้
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   145
          ภิกษุทั้งหลำยกล่ำวว่ำ      "    ถ้ำเช่นนั้น แม้พวกเรำพึงยังคุณวิเศษ
ให้บังเกิดเหมือนท่ำน,         พวกเรำจักนำำมำบริโภคเอง      "    ดังนีแล้ว ก็ไม่
                                                                     ้
ปรำรถนำ.        ในวันที่ ๒ พระเถระองค์ที่ ๒ บรรลุอนำคำมิผลแล้ว. แม้
พระเถระนั้นนำำบิณฑบำตมำแล้ว ก็นิมนต์ภิกษุนอกนี้อย่ำงนั้นเหมือน
กัน.    ภิกษุเหล่ำนั้นกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ      "   ท่ำนผู้เจริญ ก็พวกเรำทำำกติกำ
กันไว้อย่ำงนี้ว่ำ   '   พวกเรำจักบริโภคบิณฑบำตที่พระมหำเถระนำำมำ
บริโภคบิณฑบำตที่พระอนุรุทธเถระนำำมำ, หรือ             ?"
          พระเถระองค์ที่ ๒.         ผูมีอำยุ ข้อนั้นไม่มีเลย.
                                      ้
          ภิกษุเหล่ำนั้นกล่ำวว่ำ     "   เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้พวกเรำยังคุณวิเศษ
ให้บังเกิดเหมือนท่ำนแล้ว อำจเพื่อบริโภคด้วยควำมเพียรแห่งบุรุษของ
ตนได้จึงจักบริโภค       "   ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรำรถนำ.
          บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตปรินิพพำนแล้ว,
ภิกษุผู้เป็นอนำคำมีบังเกิดในพรหมโลก,              ภิกษุ ๕ รูปนอกนี้ไม่อำจยัง
คุณวิเศษให้บังเกิดได้ ผ่ำยผอมแล้วกระทำำกำละในวันที่ ๗ บังเกิดใน
เทวโลก ในพุทธุปบำทกำลนี้ จุติจำกเทวโลกนั้นแล้ว บังเกิดในเรือน
แห่งตระกูลนั้น ๆ.
          บรรดำคนเหล่ำนั้น คนหนึ่งได้เป็นพระรำชำ พระนำมว่ำ ปุก-
กุสำติ, คนหนึ่งได้เป็นพระกุมำรกัสสป, คนหนึ่งได้เป็นพระทำรุจีริยะ,
คนหนึ่งได้เป็นพระทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งได้เป็นปริพำชกชื่อสภิยะแล.
คำำว่ำเทวดำผู้เป็นสำโลหิตกันในกำลก่อนนี้ ท่ำนกล่ำวหมำยเอำภิกษุ
ผู้ที่บงเกิดในพรหมโลกนั้น.
       ั
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   146
                              [   พรหมบอกควำมจริงแก่ทำรุจีรยะ
                                                           ิ                ]
             พรหมนั้น ได้มีควำมปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ           "   บุรุษนี้พำดบันไดแล้ว
ขึ้นสู่ภูเขำ ทำำสมณธรรมกับเรำ,            เดียวนี้เขำถือลัทธินี้เที่ยวไป
                                             ๋
พึงฉิบหำย, เรำจักยังเขำให้สลดใจ.            "       ทีนั้นพรหมนั้นเข้ำไปหำบุรุษนั้น
แล้วกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ   "   พำหิยะท่ำนไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ดอก, ท่ำนยัง
ไม่ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเลย:              ถึงปฏิปทำของท่ำนเป็นเหตุเป็นพระ
อรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุพระอรหัตมรรค ก็ยงไม่มี
                                        ั                    "    พำหิยะแลดู
มหำพรหมผู้ยืนพูดอยู่ในอำกำศจึงคิดว่ำ            "   โอ เรำทำำกรรมหนัก, เรำ
คิดว่ำ   '   เรำเป็นพระอรหันต์,    '    ก็มหำพรหมนี้พูดกะเรำว่ำ         '       ท่ำนไม่ใช่
พระอรหันต์, ท่ำนยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเลย,                     '   พระอรหันต์
อื่นมีอยู่ในโลกหรือหนอแล          ?"    ทีนั้นเขำถำมมหำพรหมนั้นว่ำ               "   ท่ำน
ผู้เป็นเทวดำ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรค มีอยู่
ในโลกหรือหนอแล         ?"
             ครังนั้น เทวดำบอกแก่พำหิยะนั้นว่ำ
                ้                                       "   พำหิยะ นครชื่อสำวัตถี
มีอยูในชนบทแถบอุดร, เดี๋ยวนี้ พระผูมีพระภำคผู้เป็นพระอรหันต-
     ่                             ้
สัมมำสัมพุทธะนั้น ประทับอยูในพระนครนั้น, พำหิยะ ก็พระผู้มีพระ
                           ่
ภำคนั้น เป็นพระอรหันต์ด้วย ทรงแสดงธรรมเพื่อควำมเป็นพระ
อรหันต์ด้วย     "
                                    [   ทำรุจีริยะไปเฝ้ำพระศำสดำ            ]
             พำหิยะฟังคำำของเทวดำในส่วนแห่งรำตรีแล้ว มีใจสลด ในทันใด
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   147
นั้นนั่นเอง ออกจำกท่ำเรือสุปปำรกะได้ไปถึงกรุงสำวัตถี ด้วยกำรพัก
โดยรำตรีเดียว.          เขำได้เดินทำงประมำณ ๑๒๐ โยชน์ ทังหมด
                                                        ้
โดยกำรพักรำตรีเดียวเท่ำนั้น; ก็แล เมื่อไป ไปแล้วด้วยอำนุภำพของ
เทวดำ. อำจำรย์บำงพวกกล่ำวว่ำ              "   ไปด้วยอำนุภำพของพระพุทธเจ้ำ
บ้ำง   "   ทีเดียว.
             ก็ในขณะนั้น พระศำสดำเสด็จเข้ำไปสู่กรุงสำวัตถีเพื่อบิณฑบำต.
พำหิยะนั้นถำมภิกษุทั้งหลำยผู้ฉันอำหำรเช้ำแล้ว เดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง
เพื่อต้องกำรเปลื้องควำมคร้ำนทำงกำยว่ำ           "   เดี๋ยวนี้ พระศำสดำประทับ
        ? " ภิกษุทั้งหลำยตอบว่ำ " เสด็จเข้ำไปกรุงสำวัตถีเพื่อ
อยู่ที่ไหน
บิณฑบำต " แล้วถำมบุรุษนั้นว่ำ " ก็ท่ำนแลมำแต่ที่ไหนเล่ำ ? "
        ทำรุจีริยะ. ข้ำพเจ้ำมำแต่ทำเรือสุปปำรกะ.
                                   ่
        ภิกษุ. ท่ำนออกในกำลไร ?
        ทำรุจีริยะ. ข้ำพเจ้ำออกในเวลำเย็นวำนนี้.
        ภิกษุ. ท่ำนมำแต่ที่ไกล, จงนังก่อน, ล้ำงเท้ำแล้วทำด้วยนำ้ำมัน
                                       ่
แล้ว จงพักเหนื่อยเสียหน่อย, ท่ำนจักเห็นพระศำสดำ ในเวลำที่เสด็จมำ.
        ทำรุจีริยะ. ท่ำนผู้เจริญ ข้ำพเจ้ำไม่รู้อันตรำยแห่งชีวตของ
                                                             ิ
พระศำสดำหรือของข้ำพเจ้ำ, ข้ำพเจ้ำไม่ได้หยุด ไม่ได้นั่งในที่ไหน
เดินทำงมำสิ้น ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่ำนั้น, ข้ำพเจ้ำพอเห็นพระ
ศำสดำแล้วจึงจักพักเหนื่อย.
             พำหิยะนั้น กล่ำวอย่ำงนั้นแล้ว มีทำทีเร่งร้อน
                                              ่
๑. ตรมำนรูโป=มีรูปแห่งบุคคลผูด่วน แปลตรงศัพท์ ไม่ได้ควำมแก่ภำษำ, เพื่อให้ได้
                             ้
ควำมแก่ภำษำและเหมำะแก่เรื่อง จึงได้แปลอย่ำงนั้น.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   148
สำวัตถี เห็นพระผู้มีพระภำคเสด็จไปเที่ยวบิณฑบำตด้วยพุทธสิริอันหำ
ที่เปรียบมิได้ คิดว่ำ     "   นำนหนอ เรำเห็นพระโคดมสัมมำสัมพุทธะ         "
ดังนีแล้ว ก็น้อมตัวเดินไปที่ ๆ ตนเห็น ถวำยบังคมด้วยเบญจำงค
     ้
ประดิษฐ์ในระหว่ำงถนน จับที่ข้อพระบำททัง ๒ แน่น แล้วกรำบทูล
                                      ้
อย่ำงนี้ว่ำ    "   พระเจ้ำข้ำ ขอพระผู้มีพระภำคจงทรงแสดงธรรมแก่ขำ
                                                               ้
พระองค์, ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรม อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์
สุข แก่ขำพระองค์สิ้นกำลนำนเถิด.
        ้                                  "
                      [   ทำรุจีรยะบรรลุพระอรหัตแต่ยังเป็นคฤหัสถ์
                                 ิ                                   ]
              ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสห้ำมกะเขำว่ำ      "   พำหิยะ ไม่ใช่กำล
ก่อน,     เรำเป็นผู้เข้ำไปสู่ระหว่ำงถนนเพื่อบิณฑบำต.        "   พำหิยะ ฟัง
พระพุทธดำำรัสนั้นแล้วกรำบทูลว่ำ        "   พระเจ้ำข้ำ ผูท่องเที่ยวไปใน
                                                        ้
สงสำร ไม่เคยได้อำหำรคือคำำข้ำวเลยหรือ       ? ข้ำพระองค์ไม่รู้อันตรำย
แห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้ำพระองค์, ขอพระองค์จงทรงแสดง
ธรรมแก่ขำพระองค์เถิด. " แม้ครั้งที่ ๒ พระศำสดำก็ตรัสห้ำมแล้ว
          ้
เหมือนกัน. ได้ยินว่ำ พระศำสดำนั้นได้ทรงปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " จำำเดิม
แต่กำลที่พำหิยะนี้เห็นเรำแล้ว สรีระทั้งสิ้น (ของเขำ) อันปีติ
ท่วมทับไม่มีระหว่ำง, ผูมีปีตมีกำำลัง แม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อำจแทง
                         ้   ิ
ตลอด (ของจริง) ได้, เขำจงตั้งอยู่ ในอุเบกขำคือควำมมัธยัสถ์ก่อน,
แม้ควำมกระวนกระวำยของเขำจะมีกำำลัง เพรำะเป็นผู้เดินมำสิ้นทำง
๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่ำนั้น,              แม้ควำมกระวนกระวำยนั้นจงระงับ
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   149
เสียก่อน,      "    เพรำะฉะนั้น พระศำสดำจึงตรัสห้ำม ๒ ครัง ถูกเขำอ้อน
                                                         ้
วอนแม้ครั้งที่ ๓ ประทับยืนในระหว่ำงถนนนั่นเอง ทรงแสดงธรรม
โดยนัยเป็นต้นว่ำ          "   พำหิยะ เพรำะเหตุนั้น เธอพึงศึกษำในศำสนำนี้
อย่ำงนี้ว่ำ     '   เมื่อรูปเรำได้เห็นแล้ว รูปจักเป็นเพียงเรำเห็น.          "      พำหิยะ
นั้นกำำลังฟังธรรมของพระศำสดำนั่นแล ยังอำสวะทั้งหมดให้สิ้นไป
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ ๔ แล้ว,                       ก็แลขณะนั้นนั่นเอง
เขำทูลขอบรรพชำกะพระผู้มีพระภำค, ถูกตรัสถำมว่ำ                         "   บำตรจีวร
ของเธอครบแล้วหรือ             ?"       ทูลตอบว่ำ   "   ยังไม่ครบ.
                                                           "           ทีนั้นพระศำสดำ
ตรัสกะเขำว่ำ        "   ถ้ำอย่ำงนั้น    เธอจงแสวงหำบำตรจีวร "             แล้วก็เสด็จ
หลีกไป.
              ได้ยินว่ำ พำหิยะนั้นกระทำำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี คิดว่ำ
"   ธรรมดำภิกษุได้ปัจจัยด้วยตนแล้ว ไม่เหลียวแลผู้อื่น บริโภคเอง
เท่ำนั้น จึงควร       "   ดังนีแล้ว ไม่ได้กระทำำกำรสงเครำะห์ด้วยบำตรหรือ
                               ้
จีวร แม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง.              เพรำะฉะนั้น พระศำสดำทรงทรำบว่ำ
"   บำตรและจีวรอันสำำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้น              "   จึงไม่ได้ประทำน
บรรพชำ ด้วยควำมเป็นเอหิภิกขุแก่เขำ.                     แม้พำหิยะนั้นแสวงหำบำตร
จีวรอยู่นั่นแล ยักษิณีตนหนึ่งมำด้วยรูปแม่โคนม ขวิดถูกตรงขำอ่อน
ข้ำงซ้ำย ให้ถึงควำมสิ้นชีวิต.
              พระศำสดำเสด็จเที่ยวบิณฑบำต ทรงกระทำำภัตกิจเสร็จแล้ว
เสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุเป็นอันมำก ทรงเห็นสรีระของพำหิยะถูกทิ้ง
ในที่กองขยะ จึงทรงบัญชำภิกษุทั้งหลำยว่ำ                    "   ภิกษุทั้งหลำย เธอ
ประโยค๒     -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   150
ทั้งหลำยจงยืนใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ให้นำำเตียงมำแล้ว นำำสรีระนี้
ออกจำกเมือง เผำแล้วทำำสตูปไว้.            "       ภิกษุทั้งหลำยกระทำำดังนั้นแล้ว;
ก็แลครั้นกระทำำแล้วไปยังวิหำรเข้ำเฝ้ำพระศำสดำ ทูลบอกกิจที่ตนกระ
ทำำแล้ว ทูลถำมอภิสัมปรำยภพของพำหิยะนั้น.
                             [   ทำรุจีริยะเลิศในทำงขิปปำภิญญำ             ]
          ลำำดับนั้น พระผู้มีพระภำคตรัสบอกควำมที่พำหิยะนั้นปรินิพพำน
แล้วแก่ภิกษุเหล่ำนั้น,      ทรงตังไว้ในเอตทัคคะพำหิยะ ทำรุจีรยะ
                                 ้                           ิ                  (ผู้นุ่งผ้ำเปลือกไม้)
เป็นเลิศกว่ำภิกษุ ผู้สำวก
ของเรำผู้ตรัสรู้เร็ว.   "    ลำำดับนั้น ภิกษุทั้งหลำยทูลถำมพระศำสดำว่ำ
"   พระเจ้ำข้ำ พระองค์ตรัสว่ำ        '   พำหิยะ ทำรุจีรยะ บรรลุพระอรหัต,
                                                       ิ
เขำบรรลุพระอรหัตเมื่อไร     ?"
          พระศำสดำ.         ในกำลที่เขำฟังธรรมของเรำ ภิกษุทั้งหลำย.
          ภิกษุ.    ก็พระองค์ตรัสธรรมแก่เขำเมื่อไรเล่ำ            ?
          พระศำสดำ.         เรำกำำลังเที่ยวบิณฑบำต ยืนในระหว่ำงถนนกล่ำว
ธรรมแก่เขำ.
          ภิกษุ.    พระเจ้ำข้ำ ก็ธรรมที่พระองค์ประทับยืนในระหว่ำงถนน
ตรัสแล้ว มีประมำณเล็กน้อย,               เขำยังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยธรรม
มีประมำณเพียงนั้นอย่ำงไร         ?
          ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสกะภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ              "   ภิกษุทั้งหลำย
เธอทั้งหลำยอย่ำนับธรรมของเรำว่ำ               '   น้อยหรือมำก,' ด้วยว่ำคำถำ

๑. องฺ. เอก. ๒๐/๓๒.
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   151
พันหนึ่งแม้เป็นอเนกที่ไม่อำศัยประโยชน์ ไม่ประเสริฐ,                 ส่วนบทแห่ง
คำถำแม้บทเดียวอำศัยประโยชน์ ประเสริฐกว่ำ         " ดังนีแล้ว
                                                        ้                เมื่อจะ
ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม       จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
              "   หำกว่ำ คำถำแม้พันหนึ่ง ไม่ประกอบด้วย
               บทเป็นประโยชน์           [   ไม่ประเสริฐ   ];       บทแห่ง
               คำถำบทเดียว ซึงบุคคลฟังแล้ว สงบระงับได้
                             ่
               ประเสริฐกว่ำ.        "
                                                               [   แก้อรรถ   ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ เอก คำถำปท ควำมว่ำ แม้
คำถำ ๆ เดียวเห็นปำนนี้ว่ำ       "   ควำมไม่ประมำท เป็นทำงอมตะ ฯ ล ฯ
เหมือนคนตำยแล้ว   "   ประเสริฐกว่ำ.             บทที่เหลือพึงทรำบตำมนัยก่อน
นั่นแล.
          ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย
มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                            เรื่องพระทำรุจีรยเถระ จบ.
                                                            ิ
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   152
                          ๓. เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี                                  [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภนำงกุณฑล-
เกสี ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ         " โย จ คำถำ สต ภำเส " เป็นต้น.
                                     [ ธิดำเศรษฐีได้โจรเป็นสำมี ]
            ดังได้สดับมำ ธิดำเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงรำชคฤห์ มีอำยุ ๑๖
ปียำง มีรูปสวย น่ำดู. ก็นำรีทั้งหลำยผู้ตงอยูในวัยนั้น ย่อมมีควำม
   ่                                    ั้  ่
ฝักใฝ่ในบุรุษ โลเลในบุรุษ.         ครั้งนั้น มำรดำบิดำ ให้ธิดำนั้น
อยู่ในห้องอันมีสิริ บนพื้นชั้นบนแห่งปรำสำท ๗ ชัน. ได้กระทำำทำสี
                                               ้
คนเดียวเท่ำนั้น ให้เป็นผูบำำรุงบำำเรอนำง.
                         ้
            ครังนั้น พวกรำชบุรุษจับกุลบุตรคนหนึ่ง ผูกระทำำโจรกรรม
               ้                                    ้
ได้มดมือไพล่หลัง โบยด้วยหวำบครั้งละ ๔ เส้น ๆ แล้วนำำไปสู่ทสำำหรับ
    ั                                                     ี่
ฆ่ำ. ธิดำเศรษฐีได้ยินเสียงของมหำชน คิดว่ำ          "   นี่อะไรกันหนอแล       ?
ยืนแลดูอยู่บนพื้นปรำสำท เห็นโจรนั้นแล้วก็มีจิตปฏิพัทธ์ปรำรถนำอยู่
ห้ำมอำหำรแล้วนอนบนเตียง.            ลำำดับนั้น มำรดำถำมนำงว่ำ      "   แม่
นี้อย่ำงไรกัน   ?"
            ธิดำเศรษฐี.                                          '
                            ถ้ำดิฉันจักได้บุรุษคนที่เขำถูกจับนำำไปว่ำ        เป็น
โจร ' นั่นไซร้, ดิฉันจักเป็นอยู่; ถ้ำไม่ได้, ชีวิตดิฉันก็จะไม่มี,            ดิฉัน
จักตำยในที่นี้นี่แหละ.

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                  -   หน้ำที่   153
            มำรดำ.           แม่ เจ้ำอย่ำกระทำำอย่ำงนี้เลย, เจ้ำจักได้สำมีอื่นซึงเสมอ
                                                                                ่
กันโดยชำติและโภคะของเรำ.
            ธิดำเศรษฐี. กิจด้วยบุรุษอื่นสำำหรับดิฉันไม่มี, ดิฉันเมื่อไม่ได้
บุรุษคนนี้จักตำย.
            มำรดำ เมื่อไม่อำจยังธิดำให้ยินยอมได้จึงบอกแก่บิดำ.                             ถึงบิดำ
นั้นก็ยงไม่อำจยังธิดำนั้นให้ยินยอมได้ คิดว่ำ
       ั                                                          "   เรำอำจจะกระทำำอย่ำงไร
ได้   ?"       ส่งห่อภัณฑะพันหนึ่งแก่รำชบุรุษ ผูให้จับโจรนั้นแล้วเดินไป
                                                ้
อยู่ ด้วยคำำว่ำ        "   ท่ำนจงรับภัณฑะนี้ไว้แล้ว ให้บุรุษคนนั้นแก่ฉัน.                  "
รำชบุรุษนั้นรับคำำว่ำ         "   ดีละ   "       แล้วรับกหำปณะ ปล่อยโจรนั้นไป
ฆ่ำบุรุษอื่นแล้ว กรำบทูลแด่พระรำชำว่ำ                   "     ขอเดชะ ข้ำพระองค์
ฆ่ำโจรแล้ว.        "
            แม้เศรษฐีได้ให้ธิดำแก่โจรนั้นแล้ว.                    นำงคิดว่ำ     "    จักยังสำมี
ให้ยินดี   "   จึงตกแต่งด้วยเครื่องประดับทังปวง จัดแจงยำคูเป็นต้น
                                           ้
แก่โจรนั้นเองทีเดียว.
                                             [   โจรคิดอุบำยพำภรรยำไปฆ่ำ             ]
            โดยกำลล่วงไป ๒               -   ๓ วัน โจรคิดว่ำ          "   ในกำลไรหนอแล         ?   เรำ
จักได้เพื่อฆ่ำหญิงนี้ ถือเอำเครื่องประดับของหญิงนี้ ขำยกินในโรงสุรำ
แห่งหนึ่ง.     "       โจรนั้นคิดว่ำ     "   อุบำยนี้มีอยู่   "   จึงห้ำมอำหำรเสียนอนบน
เตียง. ทีนั้น นำงเข้ำไปหำโจรนั้นแล้วถำมว่ำ                        "       นำย อะไรเสียดแทง
ท่ำน   ?"
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   154
         โจร.           อะไร ๆ ไม่ได้เสียดแทงดอก นำงผู้เจริญ.
         ธิดำเศรษฐี.          ก็มำรดำบิดำของฉัน โกรธท่ำนแลหรือ            ?
         โจร.           ไม่โกรธ นำงผู้เจริญ.
         ธิดำเศรษฐี.          เมื่อเป็นเช่นนั้น นี่ชื่ออะไร   ?
         โจร.           นำงผู้เจริญ ฉันถูกจับนำำไปวันนั้น บนบำนเทวดำผู้สถิตอยู่ที่ภูเขำทิงโจร
                                                                                         ้
ได้ชีวตแล้ว, แม้หล่อนก็ได้ฉันด้วยอำนุภำพ
      ิ
แห่งเทวดำนั้นเหมือนกัน, นำงผู้เจริญ ฉันคิดว่ำ             "   ฉันตั้งพลีกรรมนั้น
ไว้ต่อเทพดำ.    "
         ธิดำเศรษฐี.          นำย อย่ำคิดเลย, ดิฉันจักทำำพลีกรรม, ท่ำน
จงบอก, ต้องกำรอะไร            ?
         โจร.           ต้องกำรข้ำวมธุปำยำสชนิดมีนำ้ำน้อย และดอกไม้มีขำว
                                                                      ้
ตอกเป็นที่ ๕.
         ธิดำเศรษฐี.          ดีละ นำย. ดิฉันจักจัดแจง.
         ธิดำเศรษฐีนั้นจัดแจงพลีกรรมทุกอย่ำงแล้ว จึงกล่ำวว่ำ                "     มำ
เถิด นำย, เรำไปกัน.           "
         โจร.           นำงผู้เจริญ ถ้ำอย่ำงนั้น หล่อนให้พวกญำติของหล่อน
กลับเสีย ถือเอำผ้ำและเครื่องประดับที่มีค่ำมำกแล้วจงตกแต่งตัว, เรำ
จักหัวเรำะเล่นพลำงเดินไปอย่ำงสบำย.
         นำงได้กระทำำอย่ำงนั้นแล้ว, ทีนั้น ในเวลำถึงเชิงเขำ โจรนั้น
กล่ำวกะนำงว่ำ       "   นำงผู้เจริญ เบื้องหน้ำแต่นี้ เรำจักไปกัน ๒ คน,

๑. พลิกมฺม ปฏิสฺสุณิตฺวำ รับซึงพลีกรรม คือ กำรบวงสรวง.
                               ่
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                -   หน้ำที่   155
หล่อนจงให้คนที่เหลือกลับพร้อมกับยำน ยกภำชนะพลีกรรมถือไปเอง.                                  "
นำงได้กระทำำอย่ำงนั้น. โจรพำนำงขึ้นสู่ภูเขำทิ้งโจร.
             ก็มนุษย์ทงหลำยย่อมขึ้นไปโดยข้ำง ๆ หนึ่งแห่งภูเขำนั้น. ข้ำง ๆ
                      ั้
หนึ่งเป็นโกรกชัน, มนุษย์ทั้งหลำยยืนอยู่บนยอดเขำแล้ว ย่อมทิงโจร
                                                          ้
ทั้งหลำยโดยทำงข้ำงนั้น,                โจรเหล่ำนั้นเป็นท่อนเล็กท่อนน้อยตกลงไป
ที่พื้น;     เพรำะฉะนั้น เขำจึงเรียกว่ำ           "   เขำทิ้งโจร.    "       นำงยืนอยู่บนยอด
เขำนั้นกล่ำวว่ำ         "   นำย จงทำำพลีกรรมของท่ำน.             "   โจรนั้นได้นิ่ง
แล้ว. เมื่อนำงกล่ำวอีกว่ำ             "   นำย เหตุไรท่ำนจึงนิ่งเสียเล่ำ           ?"    จึงบอก
กะนำงว่ำ      "    ฉันไม่ต้องกำรพลีกรรมดอก, แต่ฉันล่อลวงพำหล่อนมำ.                            "
             ธิดำเศรษฐี.        เพรำะเหตุไร       ?   นำย.
             โจร.       เพื่อต้องกำรฆ่ำหล่อนเสีย แล้วถือเอำเครื่องประดับของ
หล่อนหนีไป.
             นำงถูกมรณภัยคุกคำมแล้วกล่ำวว่ำ                 "   นำยจ๋ำ ดิฉันและเครื่อง
ประดับของดิฉันก็เป็นของ ๆ ท่ำนทั้งนั้น, เหตุไร ท่ำนจึงพูดอย่ำงนี้                           ?. "
โจรนั้นแม้ถูกอ้อนวอนบ่อย ๆ ว่ำ              "   ท่ำนจงอย่ำกระทำำอย่ำงนี้          "    ก็กล่ำว
ว่ำ   "    ฉันจะฆ่ำให้ได้.    "       นำงกล่ำวว่ำ     "   เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่ำนจะต้อง
กำรอะไร       ?   ด้วยควำมตำยของดิฉัน, ท่ำนถือเอำเครื่องประดับเหล่ำนี้
แล้วให้ชีวิตแก่ดิฉันเถิด, จำำเดิมแต่นี้ท่ำนจงจำำดิฉันว่ำ                 '   ตำยแล้ว,'
หรือว่ำดิฉันเป็นทำสีของท่ำนกระทำำหัตถกรรม                   "    ดังนี้แล้ว กล่ำว
คำถำนี้ว่ำ    :-
                    "   สำยสร้อยทองคำำเหล่ำนี้ ล้วนสำำเร็จด้วยแก้ว
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   156
                    ไพฑูรย์,         ท่ำนผู้เจริญ ท่ำนจงถือเอำทั้งหมด
                    และจงประกำศว่ำดิฉันเป็นทำสี.          "
โจรฟังคำำนั้นแล้ว กล่ำวว่ำ          "   เมื่อดิฉันกระทำำอย่ำงนั้น,    หล่อนไปแล้ว
ก็จักบอกแก่มำรดำบิดำ, ฉันจักฆ่ำให้ได้, หล่อนอย่ำครำ่ำครวญไปนัก
เลย   "   ดังนีแล้ว กล่ำวคำถำนี้ว่ำ
               ้                             :-
                    "   หล่อนอย่ำครำ่ำครวญนักเลย,             จงรีบห่อสิ่งของ
                    เข้ำเถิด,       ชีวิตของหล่อนไม่มดอก,
                                                     ี             ฉันจะถือ
                    เอำสิ่งของทั้งหมด.        "
                                         [   ธิดำเศรษฐีผลักโจรตกเขำตำย       ]
           นำงคิดว่ำ       "    โอ กรรมนี้หนัก,           ชื่อว่ำปัญญำ ธรรมดำ
มิได้สร้ำงมำเพื่อประโยชน์แกงกิน, ทีแท้ สร้ำงมำเพื่อประโยชน์
                                   ่
พิจำรณำ, เรำจักรู้สิ่งที่ควรกระทำำแก่เขำ.             "
           ลำำดับนั้น นำงกล่ำวกะโจรนั้นว่ำ           " นำย     ท่ำนถูกจับนำำไปว่ำ
'   เป็นโจร   '   ในกำลใด; ในกำลนั้น ดิฉันบอกแก่มำรดำบิดำ, ท่ำน
ทั้ง ๒ นั้นสละทรัพย์พันหนึ่ง ให้นำำท่ำนมำกระทำำไว้ในเรือน, จำำเดิม
แต่นั้นดิฉันก็อุปกำระท่ำน, วันนี้ท่ำนจงให้ดิฉันกระทำำตัว              (ท่ำน)
ให้เห็นถนัดแล้วไหว้.
           โจรนั้นกล่ำวว่ำ     "     ดีละ นำงผู้เจริญ, หล่อนจงทำำตัว (ฉัน)
ให้เห็นถนัด       แล้วไหว้เถิด "        ดังนี้แล้ว ก็ได้ยืนอยู่บนยอดเขำ. ทีนั้น
นำงทำำปทักษิณ ๓ ครัง ไหว้โจรนั้นในที่ ๔ สถำนแล้ว กล่ำวว่ำ
                   ้
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   157
"   นำย นี้เป็นกำรเห็นครั้งสุดท้ำยของดิฉัน,            บัดนี้กำรที่ท่ำนเห็น
ดิฉัน หรือกำรที่ดิฉันเห็นท่ำนไม่มีละ         "   แล้วสวมกอดข้ำงหน้ำข้ำงหลัง
ยืนที่ขำงหลังเอำมือข้ำงหนึ่งจับโจรผู้ประมำท ยืนอยู่บนยอดเขำตรงคอ
       ้
เอำมือข้ำงหนึ่งจับตรงรักแร้ข้ำงหลัง ผลักลงไปในเหวแห่งภูเขำ.                         โจร
นั้นกระทบถูกที่ท้องแห่งเขำ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตกลงไปแล้วที่พื้น.
                                     [   หญิงผู้มปัญญำก็เป็นบัณฑิตได้
                                                 ี                              ]
           เทวดำผู้สถิตอยูบนยอดเขำที่ทิ้งโจร เห็นกิริยำแม้ของชนทั้ง ๒
                          ่
นั้น จึงให้สำธุกำรแก่หญิงนั้น แล้วกล่ำวคำถำนี้ว่ำ              :-
                 "   บุรุษนั้น เป็นบัณฑิตในที่ทุกสถำน ก็หำไม่,
                  แม้สตรีนั้น ผูมีปัญญำเห็นประจักษ์ ก็เป็นบัณฑิต
                                ้
                  ได้ ในที่นั้น ๆ.   "
           ธิดำเศรษฐีแม้นั้น ครั้นผลักโจรลงไปในเหวแล้ว                  (คิดว่ำ)
"   หำกว่ำ เรำจักไปบ้ำน, มำรดำบิดำจักถำมว่ำ                '    สำมีของเจ้ำไปไหน          ?'
หำกเรำถูกถำมอย่ำงนั้นจะตอบว่ำ            '   ดิฉันฆ่ำเสียแล้ว   '   ท่ำนจักทิ่มแทง
เรำด้วยหอกคือปำกว่ำ       '   นำงคนหัวดื้อ เจ้ำให้ทรัพย์พันหนึ่งให้นำำ
ผัวมำ บัดนี้ ก็ฆ่ำเขำเสียแล้ว; ' แม้เมือเรำบอกว่ำ ' เขำปรำรถนำจะฆ่ำ
                                       ่
ดิฉัน เพื่อต้องกำรเครื่องประดับ, ' ท่ำนก็จักไม่เชื่อ; อย่ำเลยด้วยบ้ำน
ของเรำ " ดังนีแล้ว ทิงเครื่องประดับไว้ในที่นั้นนั่นเอง เข้ำไปสู่ป่ำ
                ้       ้
เที่ยวไปโดยลำำดับ ถึงอำศรมของพวกปริพำชกแห่งหนึ่ง ไหว้แล้ว
กล่ำวว่ำ   "   ท่ำนผู้เจริญ ขอท่ำนทั้งหลำยจงให้กำรบรรพชำ ในสำำนัก
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   158
ของท่ำนแก่ดิฉันเถิด.     "    ลำำดับนั้น ปริพำชกทั้งหลำยให้นำงบรรพชำ
แล้ว.
                                   [   ธิดำเศรษฐีบวชเป็นปริพำชก           ]
           ธิดำเศรษฐีนั้นพอบวชแล้ว ถำมว่ำ             "   ท่ำนผู้เจริญ อะไรเป็น
สูงสุดแห่งบรรพชำของท่ำน.           "
           ปริพำชก.      นำงผู้เจริญ บุคคลกระทำำบริกรรมในกสิน ๑๐
แล้ว พึงยังฌำนให้บังเกิดบ้ำง, พึงเรียนวำทะพันหนึ่งบ้ำง, นี้เป็น
ประโยชน์สูงสุดแห่งบรรพชำของพวกเรำ.
           ธิดำเศรษฐี.       ดิฉันไม่อำจจะยังฌำนให้เกิดได้ก่อน, แต่จดเรียน
                                                                    ั
วำทะพันหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้ำ.
           ลำำดับนั้น ปริพำชกเหล่ำนั้น ยังนำงให้เรียนวำทะพันหนึ่งแล้ว
กล่ำวว่ำ   "   ศิลปะ ท่ำนก็เรียนแล้ว, บัดนี้ ท่ำนจงเที่ยวไปบนพื้นชมพู-
ทวีป ตรวจดูผู้สำมำรถจะกล่ำวปัญหำกะตน               "      แล้ว ให้กิ่งหว้ำในมือ
แก่นำง ส่งไปด้วยสั่งว่ำ      "    ไปเถิด นำงผู้เจริญ;         หำกใคร ๆ เป็น
คฤหัสถ์อำจกล่ำวปัญหำกับท่ำนได้,               ท่ำนจงเป็นบำทปริจำริกำ ของ
ผู้นั้นเทียว; หำกเป็นบรรพชิต, ท่ำนจงบรรพชำในสำำนักผู้นั้นเถิด.                      "
นำงมีชื่อว่ำ ชัมพุปริพำชิกำ ตำมนำม            (ไม้)       ออกจำกที่นั้นเที่ยวถำม
ปัญหำกะผู้ที่ตนเห็นแล้ว ๆ.          คนชื่อว่ำผู้สำมำรถจะกล่ำวกับนำงไม่ได้
มีแล้ว.    มนุษย์ทั้งหลำยพอฟังว่ำ         "   นำงชัมพุปริพำชิกำมำแต่ที่นี้      "
ย่อมหนีไป.       นำงเข้ำไปสู่บ้ำนหรือตำำบลเพื่อภิกษำ ก่อกองทรำยไว้
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   159
ใกล้ประตูบำน ปักกิ่งหว้ำบนกองทรำยนั้น กล่ำวว่ำ
          ้                                           " ผูสำมำรถจะ
                                                          ้
กล่ำวกับเรำ จงเหยียบกิ่งหว้ำ " แล้วก็เข้ำไปสู่บำน. ใคร ๆ ชื่อว่ำ
                                                   ้
สำมำรถจะเข้ำไปยังที่นั้น มิได้มี, แม้นำงย่อมถือกิ่งอื่น ในเมื่อ
กิ่งหว้ำ (เก่ำ) เหี่ยวแห้ง, เที่ยวไปโดยทำำนองนี้ ถึงกรุงสำวัตถี ปักกิ่ง
(หว้ำ) ใกล้ประตูบำน พูดโดยนัยที่กล่ำวมำแล้วนั่นแล เข้ำไปเพื่อ
                      ้
ภิกษำ.        เด็กเป็นอันมำกได้ยืนล้อมกิ่งไม้ไว้แล้ว.
                          [ ธิดำเศรษฐีมีชื่อว่ำกุณฑลเกสีเถรี ]
              ในกำลนั้น พระสำรีบตรเถระเที่ยวไปเพื่อบิณฑบำต กระทำำ
                                ุ
ภัตกิจแล้วออกไปจำกเมือง เห็นเด็กเหล่ำนั้นยืนล้อมกิ่งไม้ จึงถำมว่ำ
"   นี้อะไร   ?. " เด็กทั้งหลำยบอกเรื่องนั้นแก่พระเถระแล้ว. พระเถระ
กล่ำวว่ำ      " เด็กทั้งหลำย ถ้ำอย่ำงนั้น พวกเจ้ำจงเหยียบกิ่งไม้นี้. "
              พวกเด็ก. พวกกระผมกลัว ขอรับ.
              พระเถระ. เรำจักกล่ำวปัญหำ, พวกเจ้ำเหยียบเถิด.
              เด็กเหล่ำนั้น เกิดควำมอุตสำหะด้วยคำำของพระเถระ กระทำำ
อย่ำงนั้น โห่ร้องอยู่ โปรยธุลีขึ้นแล้ว.
              นำงปริพำชิกำมำแล้วดุเด็กเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ      "   กิจด้วยปัญหำ
ของเรำกับพวกเจ้ำไม่มี; เหตุไร พวกเจ้ำจึงพำกันเหยียบกิ่งไม้ของเรำ                 ?"
พวกเด็กกล่ำวว่ำ       "   พวกเรำ อันพระผู้เป็นเจ้ำใช้ให้เหยียบ.       "
              นำงปริพำชิกำ.        ท่ำนผู้เจริญ ท่ำนใช้ให้พวกเด็กเหยียบกิ่งไม้
ของดิฉันหรือ      ?
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   160
         พระเถระ.        เออ น้องหญิง.
         นำงปริพำชิกำ.         ถ้ำอย่ำงนั้น ท่ำนจงกล่ำวปัญหำกับดิฉัน.
         พระเถระ.        ดีละ, เรำจักกล่ำว.
         นำงปริพำชิกำนั้น ได้ไปสู่สำำนักของพระเถระเพื่อถำมปัญหำใน
เวลำเงำไม้เจริญ (คือเวลำบ่ำย). ทั่วทั้งเมือง ลือกระฉ่อนกันว่ำ         "   พวก
เรำจักฟังถ้อยคำำของ ๒ บัณฑิต.      "   พวกชำวเมืองไปกับนำงปริพำชิกำนั้น
เหมือนกัน ไหว้พระเถระแล้วนั่ง ณ ที่สุดข้ำงหนึ่ง.
         นำงปริพำชิกำ       กล่ำวกะพระเถระว่ำ      "   ท่ำนผู้เจริญ ดิฉันจัก
ถำมปัญหำกะท่ำน.      "
         พระเถระ.        ถำมเถิด น้องหญิง.
         นำงถำมวำทะพันหนึ่งแล้ว. พระเถระแก้ปัญหำที่นำงถำมแล้ว ๆ.
         ลำำดับนั้น พระเถระกล่ำวกะนำงว่ำ       "   ปัญหำของท่ำนมีเท่ำนี้,
ปัญหำแม้อื่นมีอยู่หรือ ?"
            นำงปริพำชิกำ. มีเท่ำนี้แหละ ท่ำนผู้เจริญ.
            พระเถระ. ท่ำนถำมปัญหำเป็นอันมำก, แม้เรำจักถำมสักปัญหำ
หนึ่ง, ท่ำนจักแก้ได้หรือไม่ ?
            นำงปริพำชิกำ. ดิฉันรู้ก็จักแก้, จงถำมเถิด ท่ำนผู้เจริญ.
            พระเถระ ถำมปัญหำว่ำ " อะไร ? ชื่อว่ำหนึ่ง. " นำงปริพำชิกำ
นั้น ไม่รู้ว่ำ " ปัญหำนี้ ควรแก้อย่ำงนี้ " จึงถำมว่ำ " นั่นชื่อว่ำอะไร ?
ท่ำนผู้เจริญ "
            พระเถระ. ชือพุทธมนต์ น้องหญิง.
                          ่
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   161
            นำงปริพำชิกำ.       ท่ำนจงให้พุทธมนต์นั้น แก่ดิฉันบ้ำง ท่ำน
ผู้เจริญ.
            พระเถระ.     หำกว่ำ ท่ำนจักเป็นเช่นเรำ, เรำจักให้.
            นำงปริพำชิกำ.       ถ้ำเช่นนั้น ขอท่ำนยังดิฉันให้บรรพชำเถิด.
            พระเถระ บอกแก่นำงภิกษุณีทั้งหลำยให้บรรพชำแล้ว.                      นำง
ครั้นได้บรรพชำอุปสมบทแล้ว มีชื่อว่ำกุณฑลเกสีเถรี บรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำยโดย ๒       -   ๓ วันเท่ำนั้น.
                                           [   ชนะกิเลสประเสริฐ   ]
            ภิกษุทั้งหลำย สนทนำกันในโรงธรรมว่ำ          "   กำรฟังธรรมของ
นำงกุณฑลเกสีเถรีไม่มมำก, กิจแห่งบรรพชิตของนำงถึงที่สุดแล้ว, ได้
                    ี
ยินว่ำ นำงทำำมหำสงครำมกับโจรคนหนึ่งชนะแล้วมำ.                "
            พระศำสดำเสด็จมำแล้วตรัสถำมว่ำ  " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนำกันด้วยถ้อยคำำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลำยนั้น
กรำบทูลว่ำ " ถ้อยคำำชื่อนี้. " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอ
อย่ำนับธรรมที่เรำแสดงแล้วว่ำ ' น้อยหรือมำก ' บทที่ไม่เป็นประโยชน์
แม้ ๑๐๐ บทไม่ประเสริฐ, ส่วนบทแห่งธรรมแม้บทเดียวประเสริฐกว่ำ
เทียว; อนึ่ง เมือบุคคลชนะโจรที่เหลือ หำชื่อว่ำชนะไม่. ส่วนบุคคล
                 ่
ชนะโจรคือกิเลส อันเป็นไปภำยในนั่นแหละ จึงชื่อว่ำชนะ เมื่อจะ
ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ             :-
                 "   ก็ผู้ใด พึงกล่ำวกถำตั้ง ๑๐๐ ซึงไม่ประกอบ
                                                   ่
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   162
              ด้วยบทเป็นประโยชน์; บทแห่งธรรมบทเดียว
              ที่บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่ำ
              (กำรกล่ำวกถำตั้ง ๑๐๐ ของผู้นั้น).     ผูใด พึง
                                                      ้
                ชนะมนุษย์พันหนึ่งคูณด้วยพันหนึ่ง    (คือ ๑
              ล้ำน) ในสงครำม ผูนั้น หำชื่อว่ำ เป็นยอด
                               ้
              แห่งชนผูชนะในสงครำมไม่, ส่วนผู้ใดชนะตน
                      ้
              คนเดียวได้,      ผู้นั้นแล เป็นยอดแห่งผู้ชนะ ใน
              สงครำม.    "
                                         [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ คำถำ สต ควำมว่ำ ก็บุคคลใด
พึงกล่ำวคำถำกำำหนดด้วย ๑๐๐ คือเป็นอันมำก.           บำทพระคำถำว่ำ
อนตฺถปทสญฺหิตำ ควำมว่ำ ประกอบด้วยบททั้งหลำยอันไม่มีประโยชน์
ด้วยอำำนำจพรรณนำอำกำศเป็นต้น.
         บทที่ปฏิสังยุตด้วยธรรมมีขันธ์เป็นต้น สำำเร็จประโยชน์ ชือว่ำ
                                                                ่
บทธรรม.     บรรดำธรรม ๔ ที่พระศำสดำตรัสไว้อย่ำงนี้ว่ำ      "   ปริพำชก
ทั้งหลำย บทธรรม ๔ เหล่ำนี้; ๔ คืออะไรบ้ำง     ?    ปริพำชกทั้งหลำย
คือบทธรรมคือควำมไม่เพ่งเล็ง, บทธรรมคือควำมไม่ปองร้ำย, บทธรรม
คือควำมระลึกชอบ, บทธรรมคือควำมตังใจไว้ชอบ, บทธรรมแม้บท
                                ้
เดียวประเสริฐกว่ำ.   "
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   163
         บำทพระคำถำว่ำ โย สหสฺส สหสฺเสน ควำมว่ำ ผู้ใดคือ
นักรบในสงครำม พึงชนะมนุษย์พันหนึ่งซึ่งคูณด้วยพัน ในสงครำม
ครั้งหนึ่ง ได้แก่ชนะมนุษย์ ๑๐ แสนแล้ว พึงนำำชัยมำ,       แม้ผู้นี้ ก็หำ
ชื่อว่ำ เป็นยอดแห่งชนทั้งหลำยผูชนะในสงครำมไม่.
                               ้
         บำทพระคำถำว่ำ เอกญฺจ เชยฺยมตฺตำน ควำมว่ำ ส่วนผู้ใด
พิจำรณำ กัมมัฏฐำนอันเป็นไปในภำยใน ในที่พักกลำงคืนและที่พัก
กลำงวัน พึงชนะตน ด้วยกำรชนะกิเลสมีโลภเป็นต้น ของตนได้.
         บำทพระคำถำว่ำ ส เว สงฺคำมชุตตโม ควำมว่ำ ผู้นั้นชื่อว่ำ
                                     ฺ
เป็นยอด คือประเสริฐ แห่งชนทั้งหลำยผูชนะในสงครำม ได้แก่
                                    ้
เป็นนักรบเยี่ยมในสงครำม.
         ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                   เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี จบ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   164
                          ๔. เรื่องอนัตถปุจฉกหรำหมณ์                                      [
ข้อควำมเบื้องต้น    ]
         พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภอนัตถ-
ปุจฉกพรำหมณ์ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                "   อตฺตำ หเว   "    เป็นต้น.
                    [   ควำมฉิบหำยย่อมมีแก่ผู้เสพกรรม ๖ อย่ำง            ]
         ได้ยินว่ำ พรำหมณ์นั้นคิดว่ำ       "   พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำทรงทรำบ
สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่ำงเดียวหรือหนอแล         ?   หรือทรงทรำบแม้สงมิใช่
                                                                  ิ่
ประโยชน์; เรำจักทูลถำมพระองค์          "   ดังนีแล้ว จึงเข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ
                                                ้
ทูลถำมว่ำ   "   พระเจ้ำข้ำ พระองค์เห็นจะทรงทรำบสิ่งที่เป็นประโยชน์
อย่ำงเดียว, ไม่ทรงทรำบสิ่งที่มิใช่ประโยชน์.            "
         พระศำสดำ.          พรำหมณ์ เรำรู้ทงสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทั้งสิ่งทีมิใช่
                                           ั้                             ่
ประโยชน์
         พรำหมณ์.          ถ้ำเช่นนั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งที่มิใช่ประโยชน์
แก่ขำพระองค์เถิด.
    ้
         ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสพระคำถำนี้ แก่พรำหมณ์นั้นว่ำ
                "   กำรนอนจนตะวันขึ้น      (นอนตื่นสำย)            ควำม
                เกียจคร้ำน ควำมดุรำย กำรผลัดวันประกันพรุ่ง
                                  ้                                                 กำรเดินทำงแห่ง
คนเดียว กำรเข้ำไปเสพภรรยำ
                ของผู้อื่น พรำหมณ์ ท่ำนจงเสพกรรม ๖ อย่ำง

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
๑. ทีฑโสตฺติย หมำยควำมว่ำ กำรผัดเพี้ยนกำลเวลำ, กำรผลัดวันประกันพรุ่ง.
ประโยค๒        -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   165
                 นี้เถิด, สิ่งมิใช่ประโยชน์        [   ควำมฉิบหำย    ]     จักมี
                  แก่ทำน.
                      ่         "
            พรำหมณ์ฟังพระพุทธดำำรัสนั้นแล้ว ได้ให้สำธุกำรว่ำ                "    ดีละ
ดีละ ท่ำนผู้เป็นอำจำรย์ของคณะ ท่ำนผู้เป็นใหญ่ในคณะ, พระองค์เทียว
ย่อมทรงทรำบทังสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทั้งสิงที่มิใช่ประโยชน์ .
             ้                          ่                              "
            พระศำสดำ.           อย่ำงนั้น พรำหมณ์, ขึ้นชื่อว่ำผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์
และสิ่งมิใช่ประโยชน์ เช่นกับด้วยเรำไม่มี.
            ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงตรวจดูอัธยำศัยของพรำหมณ์นั้นแล้ว
จึงตรัสถำมว่ำ     "   พรำหมณ์ ท่ำนเป็นอยู่         (เลี้ยงชีพ)    ด้วยกำรงำน
อะไร   ?"
            พรำหมณ์.           ด้วยกำรงำนคือกำรเล่นสะกำ          (กำรพนัน)         พระโคดม
ผู้เจริญ.
            พระศำสดำ.           ก็ท่ำนชนะหรือแพ้เล่ำ    ?
                                             [   ชนะตนเป็นกำรประเสริฐ        ]
            เมื่อพรำหมณ์นั้นทูลว่ำ       "   ชนะบ้ำง แพ้บำง
                                                         ้       "   ดังนี้แล้ว พระ
ศำสดำจึงตรัสว่ำ       "   พรำหมณ์ นั่นยังมีประมำณน้อย, ขึ้นชื่อว่ำควำม
ชนะของบุคคลผู้ชนะผู้อื่นไม่ประเสริฐ; ส่วนผู้ใดชนะตนได้ ด้วยชนะ
กิเลส, ควำมชนะของผู้นั้นประเสริฐ; เพรำะว่ำใคร ๆ ไม่อำจทำำควำม
ชนะนั้นให้กลับพ่ำยแพ้ได้         "    เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส
พระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ        :-
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   166
               "   ตนนั่นแล บุคคลชนะแล้ว ประเสริฐ, ส่วน
               หมู่สตว์นอกนี้ บุคคลชนะแล้ว ไม่ประเสริฐ
                    ั
               เลย,  (เพรำะ)      เมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ประพฤติ
               สำำรวมเป็นนิตย์,   เทวดำ คนธรรพ์ มำร พร้อม
               ทังพรหม พึงทำำควำมชนะของสัตว์เห็นปำน
                 ้
               นั้น ให้กลับแพ้ไม่ได้เลย.    "
                                                    [   แก้อรรถ   ]
         ในพระคำถำนั้น ศัพท์ว่ำ หเว        เป็นนิบำต.
         ศัพท์ว่ำ ชิต เป็นลิงควิปัลลำส.     ควำมว่ำ ตนอันบุคคลชนะ
แล้วด้วยควำมชนะกิเลสของตน ประเสริฐ.
         บำทพระคำถำว่ำ ยำ จำย อิตรำ ปชำ ควำมว่ำ ส่วนหมู่สัตว์
นี้ใด คือ ที่เหลือ พึงเป็นผู้อันเขำชนะ ด้วยกำรเล่นสะกำก็ดี ด้วย
กำรฉ้อทรัพย์ก็ดี ด้วยกำรครอบงำำพลในสงครำมก็ดี, ควำมชนะที่บุคคล
ผู้ชนะหมู่สัตว์นั้นชนะแล้ว ไม่ประเสริฐ.
         ถำมว่ำ   " ก็เหตุไร ? ควำมชนะนั้นเท่ำนั้นประเสริฐ, ควำม
ชนะนี้ไม่ประเสริฐ. "
         แก้วำ " เพรำะเมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ฯ ล ฯ ของสัตว์เห็นปำนนั้น
             ่
ให้กลับแพ้ไม่ได้. "
         พระศำสดำตรัสคำำนี้ไว้ว่ำ " เพรำะว่ำ เมือบุรุษผู้ชื่อว่ำฝึกตนแล้ว
                                                ่
เพรำะเป็นผู้ไร้กิเลส ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน มีปกติประพฤติสำำรวม
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   167
ทำงกำยเป็นต้นเป็นนิตย์,         เทวดำก็ดี คนธรรพ์ก็ดี ก็หรือมำรพร้อม
ทั้งพรหม    แม้พำกเพียรพยำยำมอยู่ว่ำ        '   เรำจักทำำควำมชนะของผู้นั้น
ให้กลับแพ้, จักทำำกิเลสทั้งหลำยที่เขำละได้ด้วยมรรคภำวนำให้เกิดอีก,
ก็ไม่พึงอำจเลย เพื่อจะทำำ       (ควำมชนะ)       ของสัตว์เห็นปำนนั้น คือ
ผูสำำรวมแล้ว ด้วยกำรสำำรวมทำงกำยเป็นต้นเหล่ำนี้ ให้กลับแพ้
  ้
เหมือนผู้แพ้ด้วยทรัพย์เป็นต้นแล้วเป็นปรปักษ์ ชนะผู้คนนอกนี้ชนะ
แล้ว พึงทำำให้กลับแพ้อีก ฉะนั้น.
           ในเวลำจบเทศนำ         ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                   เรื่องอนัตถปุจฉกพรำหมณ์ จบ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   168
             ๕. เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสำรีบุตรเถระ                    [
ข้อควำมเบื้องต้น   ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพรำหมณ์
ผู้เป็นลุงของพระสำรีบตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ
                     ุ                                   "   มำเส
มำเส   "   เป็นต้น.
                                [   พระเถระพำลุงไปเฝ้ำพระศำสดำ   ]
           ได้ยินว่ำ พระเถระ ไปสู่สำำนักของพรำหมณ์นั้นแล้ว ถำมว่ำ
"   พรำหมณ์ ท่ำนทำำกุศลอะไร ๆ บ้ำงหรือหนอแล       ?"
           พรำหมณ์.    ทำำ ขอรับ.
           พระเถระ.    ทำำกุศลอะไร    ?
           พรำหมณ์.    ผมให้ทำนด้วยบริจำคทรัพย์พันหนึ่ง ทุก ๆ เดือน.
           พระเถระ.    ให้แก่ใคร.
           พรำหมณ์.    ให้แก่พวกนิครนถ์ ขอรับ.
           พระเถระ.    ปรำรถนำอะไร        ?
           พรำหมณ์.    พรหมโลก ขอรับ.
           พระเถระ.    ก็นี้เป็นทำงแห่งพรหมโลกหรือ   ?
           พรำหมณ์.    อย่ำงนั้น ขอรับ.
           พระเถระ.    ใครกล่ำวอย่ำงนี้       ?
           พรำหมณ์.    พวกอำจำรย์ผมกล่ำว ขอรับ.

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   169
              พระเถระกล่ำวว่ำ     "    ท่ำนไม่รู้ทำงแห่งพรหมโลกทีเดียว, แม้
พวกอำจำรย์ของท่ำนก็ไม่รู้:             พระศำสดำพระองค์เดียวเท่ำนั้น ทรงรู้
มำเถิด พรำหมณ์,            ฉันจะทูลอำรำธนำให้พระองค์ตรัสบอกทำงแห่ง
พรหมโลกแก่ท่ำน         "   ดังนี้แล้ว พำพรำหมณ์นั้น นำำไปสูสำำนักของ
                                                           ่
พระศำสดำ กรำบทูลเรื่องนั้นว่ำ            "   พรำหมณ์ผู้นี้ กล่ำวอย่ำงนี้ พระ
เจ้ำข้ำ   "               " ดีละหนอ ขอพระองค์ตรัสบอกทำงแห่ง
               แล้วกรำบทูลว่ำ
พรหมโลกแก่พรำหมณ์นั้น. "
                    [ พระศำสดำทรงแสดงธรรมโปรดพรำหมณ์ ]
         พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำ อย่ำงนั้นหรือ ? พรำหมณ์ "
เมื่อพรำหมณ์นั้นทูลว่ำ " อย่ำงนั้น พระโคดมผู้เจริญ " จึงตรัสว่ำ
" พรำหมณ์ กำรแลดูสำวกของเรำด้วยจิตอันเลื่อมใสเพียงครู่เดียว
หรือกำรถวำยอำหำรวัตถุเพียงภิกษำทัพพีเดียว มีผลมำกแม้กว่ำทำน
ที่ท่ำนเมื่อให้อย่ำงนั้น ให้แล้วตั้ง ๑๐๐ ปี       "   เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดง
ธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ         :-
                   "   ผู้ใด พึงบูชำด้วยทรัพย์พันหนึ่งทุก ๆ เดือน
                   สิ้น ๑๐๐ ปี,        ส่วนกำรบูชำนั่นแล ของผู้
                   ที่พึงบูชำท่ำนผู้มีตนอบรมแล้วคนเดียว แม้ครู่
                   หนึ่ง ประเสริฐกว่ำกำรบูชำของผู้นั้น, กำรบูชำ
                   สิ้น ๑๐๐ ปี จะประเสริฐอะไรเล่ำ        ?"
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   170
                                                     [   แก้อรรถ    ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ        สหสฺเสน   ควำมว่ำ ด้วยกำรบริจำค
ทรัพย์พันหนึ่ง.
         บำทพระคำถำว่ำ          โย ยเช สต สม    ควำมว่ำ ผู้ใดเมื่อบริจำค
ทรัพย์พันหนึ่งทุก ๆ เดือน พึงให้ทำนแก่โลกิยมหำชน สิ้น ๑๐๐ ปี.
         บำทพระคำถำว่ำ เอกญฺจ ภำวิตตฺำน ควำมว่ำ ส่วนผู้ใดพึง
บูชำท่ำนผูมีตนบ่มแล้ว ด้วยอำำนำจแห่งคุณผู้เดียว โดยที่สุดเบื้องตำ่ำ
          ้
เป็นพระโสดำบัน โดยที่สดเบื้องสูงเป็นพระขีณำสพ ผูมำถึงแทบ
                      ุ                         ้
ประตูเรือน ด้วยอำำนำจถวำยภิกษำทัพพีหนึ่ง ด้วยอำำนำจกำรถวำยอำหำร
พอยังอัตภำพให้เป็นไปได้ หรือด้วยเพียงถวำยผ้ำเนื้อหยำบ, บูชำของ
ผู้นั้นนั่นแล ประเสริฐ คือลำ้ำเลิศ ได้แก่สูงสุด กว่ำควำมบูชำอันบุคคล
นอกนี้บูชำแล้วสิ้น ๑๐๐ ปี.
         ในเวลำจบเทศนำ พรำหมณ์นั้นบรรลุโสดำปัตติผลแล้ว, ชนแม้
เหล่ำอื่นเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทังหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                ้
                   เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสำรีบุตรเถระ จบ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   171
             ๖. เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นหลำนของพระสำรีบตรเถระ
                                                   ุ
[   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
          พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภหลำนของ
พระสำรีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ              "   โย จ วสฺสสต ชนฺตุ         "
                                  [   พระเถระพำหลำนไปเฝ้ำพระศำสดำ              ]
          ควำมพิสดำรว่ำ พระเถระเข้ำไปหำหลำนแม้นั้นแล้ว ถำมว่ำ
"   พรำหมณ์ เธอทำำกุศลหรือ        ?"
          พรำหมณ์.         อย่ำงนั้น ขอรับ.
          พระเถระ.         ทำำกุศลอะไร   ?
          พรำหมณ์.         ฆ่ำสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งแล้วบำำเรอไฟทุก ๆ เดือน.
          พระเถระ.         ทำำอย่ำงนั้น เพื่ออะไร   ?
          พรำหมณ์.         เขำว่ำ นั่นเป็นทำงแห่งพรหมโลก.
          พระเถระ.         ใคร ว่ำอย่ำงนั้น   ?
          พรำหมณ์.         พวกอำจำรย์ของกระผม ขอรับ.
          พระเถระ กล่ำวว่ำ        "   เธอไม่รู้ทำงแห่งพรหมโลกเลย, แม้พวก
อำจำรย์ของเธอก็ไม่รู้,       มำเถิด,     เรำจักไปสำำนักของพระศำสดำ             "
ดังนีแล้ว นำำหลำนนั้นไปสู่สำำนักของพระศำสดำ ทูลเรื่องนั้นแล้ว
     ้
กรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ          ขอพระองค์ตรัสบอกทำงแห่งพรหมโลก
แก่พรำหมณ์นี้. "

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   172
                    [   พระศำสดำทรงแสดงธรรมโปรดพรำหมณ์              ]
          พระศำสดำตรัสถำมว่ำ            " ได้ยินว่ำ อย่ำงนั้นหรือ ? "       เมื่อ
พรำหมณ์นั้นทูลว่ำ       "   อย่ำงนั้น   พระโคดมผู้เจริญ " จึงตรัสว่ำ
"   พรำหมณ์ กำรบำำเรอไฟของท่ำนผู้บำำเรอไฟอย่ำงนั้น ตั้ง ๑๐๐ ปี
ย่อมไม่ถึงแม้กำรบูชำสำวกของเรำ เพียงขณะเดียว               "     เมื่อจะทรง
สืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ           :-
               "   ก็สัตว์ใด พึงบำำเรอไฟในป่ำ ตั้ง ๑๐๐ ปี,
                ส่วนเขำ พึงบูชำท่ำนผู้มตนอบรมแล้วผู้เดียว
                                       ี
                แม้ครู่หนึ่ง,      กำรบูชำนั้นนั่นแลประเสริฐกว่ำ
               (กำรบูชำตั้ง        ๑๐๐ ปีของสัตว์นั้น) กำรบูชำ ๑๐๐
                ปี จะประเสริฐอะไรเล่ำ        ?"
                                                           [   แก้อรรถ ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ชนฺตุ นี้             เป็นชื่อของสัตว์.      บำทพระ
คำถำว่ำ อคฺคึ ปริจเร วเน ควำมว่ำ แม้เข้ำไปสู่ป่ำ ด้วยปรำรถนำ
ควำมเป็นผู้ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้ำ พึงบำำเรอไฟในป่ำนั้น.
          คำำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำำที่มในก่อนนั่นแล.
                                         ี
          ในเวลำจบเทศนำ พรำหมณ์บรรลุโสดำปัตติผล,                       แม้ชนเหล่ำ
อื่นเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนีแล .
                                                            ้
               เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นหลำนของพระสำรีบตรเถระ จบ.
                                                  ุ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   173
           ๗. เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นสหำยของพระสำรีบตรเถระ
                                                 ุ                            [
ข้อควำมเบื้องต้น   ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพรำหมณ์ผู้
เป็นสหำยของพระสำรีบตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ
                   ุ                                     "    ยงฺกิญฺจิ
ยิฏฺญฺจ   "   เป็นต้น.
                               [   พระเถระพำสหำยไปเฝ้ำพระศำสดำ    ]
           ควำมพิสดำรว่ำพระเถระเข้ำไปหำพรำหมณ์แม้นั้นแล้ว ถำมว่ำ
"   พรำหมณ์ ท่ำนทำำกุศลบำงอย่ำงหรือ ?"
           พรำหมณ์. อย่ำงนั้น ขอรับ.
           พระเถระ. ทำำกุศลอะไร ?
           พรำหมณ์. บูชำยัญอย่ำงที่เขำบูชำกัน.
           ทรำบว่ำ ครั้งนั้น ชนทั้งหลำยย่อมบูชำยัญนั้น ด้วยกำรบริจำค
อย่ำงมำก. ต่อแต่นี้ พระเถระถำมโดยนัยก่อนนั่นแล แล้วนำำพรำหมณ์
นั้นไปยังสำำนักของพระศำสดำ ทูลเรื่องนั้นแล้ว กรำบทูลว่ำ" พระ
เจ้ำข้ำ ขอพระองค์ตรัสบอกทำงแห่งพรหมโลก แก่พรำหมณ์นี้. "
                     [ พระศำสดำทรงแสดงธรรมโปรดพรำหมณ์ ]
         พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? พรำหมณ์ "
เมื่อพรำหมณ์ทูลรับรองว่ำ " อย่ำงนั้น " แล้ว จึงตรัสว่ำ " พรำหมณ์

*พระมหำโปร่ง ป.ธ.         ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   174
ทำนที่ท่ำนบูชำยัญอย่ำงที่เขำบูชำกัน ให้แก่โลกิยมหำชนตั้งปี ย่อม
ไม่ถึงแม้เพียงส่วน ๔ แห่งกุศลเจตนำที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งหลำย ผูไหว้
                                                             ้
สำวกของเรำด้วยจิตที่เลื่อมใส     "   เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึง
ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ   :-
               "    ผู้มงบุญ พึงบูชำยัญและทำำบำำบวงอย่ำงใด
                        ุ่
               อย่ำงหนึ่งในโลก ตลอดปี,          ทำนนั้นแม้ทงหมด
                                                           ั้
               ไม่ถึงส่วน ๔,         กำรอภิวำทในท่ำนผู้ดำำเนินตรง
               ประเสริฐสุด.      "
                                                  [   แก้อรรถ    ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ           ยงกิญฺจิ นี้ เป็นคำำรวบถือไม่มี
ส่วนเหลือ.    บทว่ำ ยิฏฺีิ ได้แก่ ทำนที่เขำให้ด้วยอำำนำจกำรทำำมงคล
เป็นต้น โดยมำก.          บทว่ำ หุต ได้แก่ ทำนเพื่อแขกที่เขำจัดแจงทำำ
และทำนที่เขำเชื่อกรรมและผลของกรรมทำำ.
         สองบทว่ำ        สวจฺฉร ยเชถ     ควำมว่ำ        พึงให้ทำนมีประกำร
ดังกล่ำวแล้ว แก่โลกิยมหำชน แม้ในจักรวำลทั้งสิ้น ตลอดปีหนึ่งไม่มี
ระหว่ำงเลย.    บทว่ำ ปุญฺญเปกฺโข ได้แก่ ผู้ปรำรถนำบุญ.                  บทว่ำ
อุชฺชคเตสุ ควำมว่ำ ในพระโสดำบัน โดยที่สุดอย่ำงตำ่ำ ในพระ
     ุ
ขีณำสพ โดยที่สุดอย่ำงสูง.
         คำำนี้ เป็นคำำที่พระศำสดำตรัสว่ำไว้ว่ำ       "   ทำนนั้นทั้งหมด ไม่ถึง
แม้ส่วนที่ ๔ จำกผลแห่งกุศลเจตนำ ของผู้น้อมสรีระไหว้ ด้วยจิต
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   175
ที่เลื่อมใส เห็นปำนนั้น;       เพรำะฉะนั้น กำรอภิวำทในท่ำนผูดำำเนิน
                                                            ้
ตรงเท่ำนั้น ประเสริฐสุด.   "
         ในเวลำจบเทศนำ พรำหมณ์บรรลุโสดำปัตติผลแล้ว, ชนแม้เหล่ำ
อื่นเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนีแล .
                                                            ้
              เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นสหำยของพระสำรีบตรเถระ จบ.
                                                 ุ
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่   176
                                      ๘. เรื่องอำยุวัฒนกุมำร*                [   ๘๘    ]
                                                       [   ข้อควำมเบื้องต้น      ]
             พระศำสดำเมื่อทรงอำศัยทีฆลัมพิกนคร ประทับอยู่ ณ กุฎีในป่ำทรงปรำรภกุมำร
ผู้มีอำยุยืน ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ             "   อภิวำทนสีลิสฺส   "
เป็นต้น.
                                            [   พรำหมณ์ ๒ สหำยออกบวช                   ]
             ได้ยินว่ำ พรำหมณ์ ๒ คนชำวทีฆลัมพิกนคร บวชในลัทธิภำย
นอก บำำเพ็ญตบะสิ้นกำลนำน ๔๘ ปี. บรรดำพรำหมณ์ ๒ คนนั้น คนหนึ่ง
คิดว่ำ   "   ประเพณีของเรำจักเสื่อมเสีย, เรำจักสึก            "   ดังนี้แล้ว จึงขำย
บริขำรตบะที่ตนทำำไว้แก่คนเหล่ำอื่น ได้ภรรยำพร้อมด้วยโค ๑๐๐ ตัว
และทรัพย์ ๑๐๐ กหำปณะ ให้ตงไว้เป็นกองทุน.
                         ั้                                    ครังนั้น ภรรยำ
                                                                  ้
ของเขำคลอดเด็ก.
             ส่วนสหำยของเขำนอกจำกนี้ไปสู่ต่ำงถิ่นแล้ว ก็กลับมำสู่นครนั้น
อีกนั่นแล.        เขำได้ยินควำมที่สหำยนั้นมำ จึงได้พำบุตรและภรรยำไป
เพื่อต้องกำรเยียมสหำย,
               ่                  ครั้นถึงแล้วให้บุตรในมือของมำรดำแล้ว
ก็ไหว้เองก่อน. แม้มำรดำให้บุตรในมือของบิดำแล้วก็ไหว้. สหำยนั้น
กล่ำวว่ำ     "   ขอท่ำนจงเป็นผู้มีอำยุยืน   "       แต่เมื่อมำรดำบิดำให้บุตรไหว้
แล้ว, สหำยนั้นได้นิ่งเสีย.

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
๑. กุฏิกศัพท์ แปลว่ำ กระท่อม ก็มี คำำว่ำ อรญฺญกุฏิกำย คงเป็นกระท่อมที่เขำ
สร้ำงไว้ในป่ำ ไม่ใช่สถำนที่ประทับยังยืน เป็นที่ประทับชั่วครำว .
                                   ่
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่    177
                      [   พรำหมณ์ถำมเหตุที่สหำยไม่ให้พรแก่บุตร               ]
          ลำำดับนั้น เขำกล่ำวกะสหำยนั้นว่ำ          "   ผูเจริญ ก็เพรำะเหตุไร
                                                          ้                           ?
เมื่อผมไหว้ ท่ำนจึงกล่ำวว่ำ      '   ขอท่ำนจงเป็นผู้มีอำยุยืน.    '       ในเวลำที่
เด็กนี้ไหว้ ไม่กล่ำวคำำอะไร ๆ        ?"
          สหำย.       พรำหมณ์ อันตรำยอย่ำงหนึ่งของเด็กนี้มีอยู่.
          พรำหมณ์.         เด็กจักเป็นอยูตลอดกำลเท่ำไร
                                         ่                   ?   ขอรับ.
          สหำย.       ๗ วัน พรำหมณ์.
          พรำหมณ์.         เหตุเป็นเครื่องป้องกัน มีไหม     ?    ขอรับ.
          สหำย.       เรำไม่รู้เหตุเป็นเครื่องป้องกัน.
          พรำหมณ์.         ก็ใครพึงรู้เล่ำ   ?   ขอรับ.
          สหำย.       พระสมณโคดม, ท่ำนจงไปสำำนักของพระสมณโคดมนั้น
แล้วถำมเถิด.
          พรำหมณ์.         ผมไปในที่นั้น กลัวแต่กำรเสื่อมแห่งตบะ.
          สหำย.       ถ้ำควำมรักในบุตรของท่ำนมีอยู่, ท่ำนอย่ำคิดถึงกำรเสื่อม
แห่งตบะ จงไปสำำนักของพระสมณโคดมนั้น ถำมเถิด.
                                          [   พรำหมณ์ไปเฝ้ำพระศำสดำ              ]
          พรำหมณ์นั้นไปสู่สำำนักของพระศำสดำไหว้เองก่อน. พระศำสดำ
ตรัสว่ำ   "   ท่ำนจงมีอำยุยืน.   "    แม้ในเวลำที่ปชำบดีไหว้ ก็ตรัสแก่นำง
อย่ำงนั้นเหมือนกัน ในเวลำที่เขำให้บุตรไหว้ได้ทรงนิ่งเสีย. เขำทูลถำม
พระศำสดำโดยนัยก่อนนั่นแล             แม้พระศำสดำก็ทรงพยำกรณ์แก่เขำ
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   178
อย่ำงนั้นเหมือนกัน.
            ได้ยินว่ำ พรำหมณ์นั้นไม่แทงตลอดพระสัพพัญญุตญำณ จึง
เทียบเคียงมนต์ของตนกับพระสัพพัญญุตญำณ,                       แต่ไม่รู้อุบำยเครื่อง
ป้องกัน.
                         [    พระศำสดำตรัสบอกอุบำยเครื่องป้องกัน            ]
            พรำหมณ์ทูลถำมพระศำสดำว่ำ             "   ก็อุบำยเครื่องป้องกันมีอยู่
หรือ   ?   พระเจ้ำข้ำ.
                     "
            พระศำสดำ.         พึงมี พรำหมณ์.
            พรำหมณ์.         พึงมีอย่ำงไร    ?
            พระศำสดำ.         ถ้ำท่ำนพึงอำจเพื่อทำำมณฑปใกล้ประตูเรือนของตน
ให้ทำำตังไว้ตรงกลำงมณฑปนั้น
        ่                               แล้วปูอำสนะไว้ ๘ หรือ ๑๖ ที่
ล้อมรอบตังนั้น ให้สำวกของเรำนั่งบนอำสนะเหล่ำนั้น ให้ทำำพระ
         ่
ปริตร ๗ วันไม่มีระหว่ำง,            อันตรำยของเด็กนั้นพึงเสื่อมไป ด้วย
อุบำยอย่ำงนี้.
            พรำหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ข้ำพระองค์อำจทำำมณฑปเป็นต้น
ได้, แต่จักได้สำวกของพระองค์อย่ำงไร              ?
            พระศำสดำ.         เมื่อท่ำนทำำกิจเท่ำนี้แล้ว เรำจักส่งสำวกของเรำไป.
            พรำหมณ์ทูลรับว่ำ        "   ดีละ พระโคดมผู้เจริญ     "        แล้วทำำกิจนั้น
ทั้งหมดใกล้ประตูเรือนของตนแล้ว ได้ไปยังสำำนักของพระศำสดำ.
                                         [   พวกภิกษุไปสวดพระปริตร         ]
            พระศำสดำทรงส่งภิกษุทั้งหลำยไป. ภิกษุเหล่ำนั้นไปนั่งในมณฑป
ประโยค๒    -     พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   179
นั้น.    พรำหมณ์สำมีภรรยำให้เด็กนอนบนตั่งแล้ว.               ภิกษุทั้งหลำยสวด
พระปริตร ๗ คืน ๗ วัน ไม่มีระหว่ำง.                ในวันที่ ๗ พระศำสดำเสด็จมำ
เอง.     เมื่อพระศำสดำนั้นเสด็จไปแล้ว.            พวกเทวดำในจักรวำลทั้งสิ้น
ประชุมกันแล้ว.
          ก็อวรุทธกยักษ์ตนหนึ่งบำำรุงท้ำวเวสสวัณ ๑๒ ปี เมื่อจะได้พร
จำกสำำนักท้ำวเวสสวัณนั้น ได้ว่ำ          "   ในวันที่ ๗ จำกวันนี้ ท่ำนพึงจับ
เอำเด็กนี้;   "   เพรำะฉะนั้น ยักษ์ตนนั้นจึงได้มำยืนอยู่. ก็เมื่อพระศำสดำ
เสด็จไปในมณฑปนั้น,           เมื่อพวกเทวดำผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน.              พวก
เทวดำผูมีศักดิ์น้อยลดถอยไป ไม่ได้โอกำสหลีกไปตลอด ๑๒ โยชน์
       ้
ถึงอวุทธกยักษ์ก็ได้หลีกไปยืนอย่ำงนั้นเหมือนกัน.
                                     [   เด็กพ้นอันตรำยกลับมีอำยุยืน    ]
          แม้พระศำสดำได้ทรงทำำพระปริตรตลอดคืนยังรุ่ง.                  เมื่อ ๗ วัน
ล่วงแล้ว, อวรุทธกยักษ์ไม่ได้เด็ก.             ก็ในวันที่ ๘ เมื่ออรุณพอขึ้นเท่ำนั้น,
สองสำมีภรรยำนำำเด็กมำให้ถวำยบังคมพระศำสดำ.                   พระศำสดำตรัสว่ำ
"   ขอเจ้ำจงมีอำยุยืนเถิด.     "
          พรำหมณ์.        ๑๒๐ ปี พรำหมณ์.
          ลำำดับนั้น ๒ สำมีภรรยำขนำนนำมเด็กนั้นว่ำ            "   อำยุวัฒนกุมำร.           "
อำยุวัฒนกุมำรนั้น เติบโตแล้ว อันอุบำสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเทียวไป.
                                                       ่
                           [     กำรกรำบไหว้ท่ำนผูมีคุณทำำให้อำยุยืน
                                                  ้                         ]
          ภำยหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ                     "   ผูมี
                                                                                      ้
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   180
อำยุทั้งหลำย ท่ำนทั้งหลำยจงดู,          ได้ยินว่ำ อำยุวัฒนกุมำรพึงตำยใน
วันที่ ๗, บัดนี้อำยุวัฒนกุมำรนั้น     (ดำำรงอยู่ ๑๒๐ ปี)   อันอุบำสก ๕๐๐
คนแวดล้อมเที่ยวไป; เหตุเครื่องเจริญอำยุของสัตว์เหล่ำนี้ เห็นจะมี.           "
         พระศำสดำเสด็จมำแล้วตรัสถำมว่ำ        " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้
พวกเธอนั่งประชุมกัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลำย
กรำบทูลว่ำ " ด้วยเรื่องชื่อนี้, " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย อำยุเจริญ
อย่ำงเดียวเท่ำนั้นก็หำไม่, ก็สัตว์เหล่ำนี้ไหว้ท่ำนผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญ
ด้วยเหตุ ๔ ประกำร พ้นจำกอันตรำย, ดำำรงอยูจนตลอดอำยุทีเดียว "
                                                  ่
ดังนีแล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
     ้
                " ธรรม ๔ ประกำร คือ อำยุ วรรณะ สุขะ พละ
               เจริญแก่บุคคลผู้กรำบไหว้เป็นปกติ         ผู้ออนน้อม
                                                            ่
               ท่ำนผู้เจริญเป็นนิตย์.   "
                                                   [    แก้อรรถ   ]
         บรรดำทบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อภิวำทนสีลิสฺส คือ ผู้ไหว้เป็นปกติ
ได้แก่ ผูขวนขวำยกิจคือกำรไหว้เนือง ๆ.
         ้                                     บทว่ำ วุฑฺฒำปจำยิโน
ควำมว่ำ แก่คฤหัสถ์ผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชำเป็นนิตย์ ด้วยกำรกรำบไหว้
แม้ในภิกษุหนุ่มและสำมเณรบวชในวันนั้น, ก็หรือแก่บรรพชิตผู้อ่อน
น้อมหรือผู้บูชำเป็นนิตย์ ด้วยกำรกรำบไหว้ในท่ำนผูแก่กว่ำโดยบรรพชำ
                                                ้
หรือโดยอุปสมบท    (หรือ)       ในท่ำนผู้เจริญด้วยคุณ.
         สองบทว่ำ จตฺตำโร ธมฺมำ ควำมว่ำ เมื่ออำยุเจริญอยู, อำยุนั้น
                                                         ่
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   181
ย่อมเจริญสิ้นกำลเท่ำใด,        ธรรมทั้งหลำยแม้นอกนี้ ก็เจริญสิ้นกำล
เท่ำนั้นเหมือนกัน,    ด้วยว่ำผู้ใดทำำกุศลที่ยังอำยุ ๕๐ ปี ให้เป็นไป,
อันตรำยแห่งชีวิตของผู้นั้นพึงบังเกิดขึ้นแม้ในกำลมีอำยุ ๒๕ ปี; อันตรำย
นั้นย่อมระงับเสียได้ ด้วยควำมเป็นผู้กรำบไหว้เป็นปกติ.      ผูนั้นย่อม
                                                             ้
ดำำรงอยู่ได้จนตลอดอำยุทีเดียว.       แม้วรรณะเป็นต้นของผู้นั้น ย่อม
เจริญพร้อมกับอำยุแล.
         นัยแม้ยิ่งกว่ำนี้ ก็อย่ำงนี้แล.
         ก็ชื่อว่ำกำรเจริญแห่งอำยุ ที่เป็นไปโดยไม่มีอันตรำย หำมีไม่.
         ในเวลำจบเทศนำ อำยุวัฒนกุมำร ตังอยู่ในโสดำปัตติผล
                                       ้
พร้อมกับอุบำสก ๕๐๐ แล้ว, แม้ชนเหล่ำอื่นเป็นอันมำก ก็บรรลุอริยผล
ทั้งหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                             เรื่องอำยุวัฒนกุมำร จบ.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   182
                                ๙. เรื่องสังกิจจสำมเณร*       [   ๘๙     ]
                                             [   ข้อควำมเบื้องต้น   ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภสังกิจจ-
สำมเณร ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ            "   โย จ สฺสสต ชีเว"           เป็นต้น.
                                  [   กุลบุตร    ๓๐ คนออกบวช ]
           ได้ยินว่ำ กุลบุตรประมำณ ๓๐ คนในกรุงสำวัตถี ฟังธรรมกถำ
แล้ว บวชถวำยชีวตในศำสนำของพระศำสดำ. ภิกษุเหล่ำนั้นอุปสมบทได้ ๕ พรรษำ
               ิ
เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ       สดับธุระ ๒ ประกำร            คือ
"   คันถธุระ วิปัสสนำธุระ   "    ไปทำำอุตสำหะในคันถธุระ เพรำะเป็นผู้
บวชในเวลำเป็นคนแก่ มีควำมประสงค์จะบำำเพ็ญวิปัสสนำธุระ ทูลให้
พระศำสดำตรัสบอกกัมมัฏฐำนจนถึงพระอรหัตแล้ว จึงทูลอำำลำพระ
ศำสดำว่ำ    "   ข้ำพระองค์จักไปสู่แดนป่ำแห่งหนึ่ง พระเจ้ำข้ำ. "
            พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " พวกเธอจักไปยังทีไหน ? " เมื่อภิกษุ
                                                     ่
เหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " สถำนที่ชื่อโน้น, " ได้ทรงทรำบว่ำ " ภัยจักเกิด
ขึ้นในที่นั้นแก่ภิกษุเหล่ำนั้น เพรำะอำศัยคนกินเดนคนหนึ่ง, ก็แต่ว่ำ
เมื่อสังกิจจสำมเณรไปแล้ว ภัยนั้นจักระงับ. เมื่อเป็นเช่นนั้นกิจบรรพชิต
ของภิกษุเหล่ำนั้น จักถึงควำมบริบูรณ์. "

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
๑. อุปสมฺปทำย ปญจวสฺสำ หุตฺวำ เป็นผูมีพรรษำ ๕ โดยกำรอุปสมบท.
                                    ้
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   183
                                         [   ประวัติของสังกิจจสำมเณร         ]
          สำมเณรของพระสำรีบุตรเถระชื่อสังกิจจสำมเณร มีอำยุ ๗ ปี
โดยกำำเนิด.       ได้ยินว่ำ มำรดำของสังกิจจสำมเณรนั้น เป็นธิดำของ
ตระกูลมั่งคั่งในกรุงสำวัตถี.          เมื่อสำมเณรนั้นยังอยู่ในท้อง มำรดำนั้น
ได้ทำำกำละในขณะนั้นนั่นเอง ด้วยควำมเจ็บไข้อย่ำงหนึ่ง.                       เมื่อมำรดำ
นั้นถูกเผำอยู่ เนื้อส่วนที่เหลือไหม้ไป เว้นแต่เนื้อท้อง.               ลำำดับนั้น
พวกสัปเหร่อยกเนื้อท้องของนำงลงจำกเชิงตะกอน แทงด้วยหลำวเหล็ก
ในที่ ๒   -   ๓ แห่ง.       ปลำยหลำวเหล็กกระทบหำงตำของทำรก.                       พวก
สัปเหร่อแทงเนื้อท้องอย่ำงนั้นแล้ว จึงโยนไปบนกองถ่ำน ปกปิดด้วย
ถ่ำนนั่นแลแล้วหลีกไป. ส่วนเนื้อท้องไหม้แล้ว. ส่วนทำรกได้เป็นเช่นกับรูป
ทองคำำบนกองถ่ำน เหมือนนอนอยู่ในกลีบแห่งดอกบัว.                          แท้จริง
สัตว์ผมีในภพเป็นที่สุด แม้ถูกภูเขำสิเนรุทับอยู่ ชื่อว่ำยังไม่บรรลุพระ
      ู้
อรหัตแล้วสิ้นชีวิตไม่มี.            ในวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมำด้วยคิดว่ำ
"   จักดับเชิงตะกอน     "   เห็นทำรกนอนอยู่อย่ำงนั้น เกิดอัศจรรย์และ
แปลกใจ คิดว่ำ      "    ชื่ออย่ำงไรกัน       ?   เมื่อสรีระทั้งสิ้นถูกเผำอยู่บนฟืน
เท่ำนี้ ทำรกไม่ไหม้แล้ว,            จักมีเหตุอะไรกันหนอ        ?"      จึงอุ้มเด็กนั้น
นำำไปภำยในบ้ำนแล้ว ถำมพวกหมอทำยนิมิต. พวกหมอทำยนิมิตพูดว่ำ
"   ถ้ำทำรกนี้ จักอยู่ครองเรือน,             พวกญำติตลอด ๗ เครือสกุล จักไม่
ยำกจน; ถ้ำจักบวช, จักเป็นผู้อันสมณะ ๕๐๐ รูปแวดล้อมเที่ยวไป.                           "
พวกญำติขนำนชื่อว่ำ          "   สังกิจจะ     "     เพรำะหำงตำของเขำแตกด้วยขอ
เหล็ก.
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่     184
           สมัยอื่น เด็กนั้นปรำกฏว่ำ             "    สังกิจจะ.   "    ครังนั้น พวกญำติ
                                                                          ้
เลี้ยงเขำไว้ ด้วยปรึกษำกันว่ำ           "   ช่ำงเถิด, ในเวลำที่เขำเติบโตแล้วพวก
เรำจะให้เขำบวชในสำำนักพระสำรีบุตรผู้เป็นเจ้ำของเรำ.                     "         ในเวลำทีตน
                                                                                          ่
มีอำยุได้ ๗ ขวบ สังกิจจะนั้นได้ยินคำำพูดของพวกเด็ก ๆ ว่ำ                         "   ในเวลำ
ที่เจ้ำอยู่ในท้อง มำรดำของเจ้ำได้กระทำำกำละแล้ว, เมื่อสรีระมำรดำของ
เจ้ำนั้นแม้ถูกเผำอยู่, เจ้ำก็ไม่ไหม้         "         จึงบอกแก่พวกญำติว่ำ               "   เขำว่ำ
ฉันพ้นภัยเห็นปำนนั้น, ประโยชน์อะไรของฉันด้วยเรือน. ฉันจักบวช.                                        "
ญำติเหล่ำนั้นรับรองว่ำ        "   ดีละพ่อ   "     แล้วนำำไปยังสำำนักพระสำรีบุตรเถระ
ได้ถวำยด้วยกล่ำวว่ำ       "   ท่ำนเจ้ำข้ำ ขอท่ำนจงให้เด็กนี้บวช. พระเถระ
ให้ตจปัญจกกัมมัฏฐำนแล้วก็ให้บวช.                       สำมเณรนั้นบรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ ในเวลำปลงผมเสร็จนั่นเอง, ชือว่ำสังกิจจสำมเณร
                                               ่
เพียงเท่ำนี้.
                                  [   ทรงรับสั่งให้ภิกษุไปลำพระสำรีบตร
                                                                    ุ                ]
           พระศำสดำทรงทรำบว่ำ                "    เมื่อสำมเณรนี้ไปแล้ว ภัยนั้นจัก
ระงับ, เมื่อเป็นเช่นนั้น กิจแห่งบรรพชิตของภิกษุเหล่ำนั้น จักถึงควำม
บริบูรณ์   "    ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่ำ       "    ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอจงอำำลำ
สำรีบตรพี่ชำยของพวกเธอแล้วจึงไป.
     ุ                                            "     ภิกษุเหล่ำนั้น รับว่ำ        "   ดีละ    "
แล้วไปยังสำำนักของพระเถระ เมื่อพระเถระถำมว่ำ                      "   อะไร   ?   ผูมีอำยุ
                                                                                   ้         "
จึงกล่ำวว่ำ     "   พวกกระผมเรียนกัมมัฏฐำนในสำำนักพระศำสดำแล้ว มี
ประสงค์จะเข้ำไปป่ำจึงทูลอำำลำ,                  เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศำสดำจึงตรัส
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   185
อย่ำงนี้แก่พวกกระผมว่ำ    '   พวกเธออำำลำพี่ชำยของพวกเธอแล้วจึงไป,        '
ด้วยเหตุนั้น พวกกระผมจึงมำในที่นี้.     "
         พระเถระ คิดว่ำ        " ภิกษุเหล่ำนี้ จักเป็นผู้ที่พระศำสดำทรงเห็น
เหตุอย่ำงหนึ่งแล้วส่งมำที่นี่, นี่อะไรกันหนอแล ? รู้เรื่องนั้นแล้ว จึง
กล่ำวว่ำ " ผู้มีอำยุ ก็สำมเณรของพวกท่ำนมีหรือ ? "
            พวภิกษุ. ไม่มี ท่ำนผู้มีอำยุ.
            พระเถระ. ถ้ำไม่มี, พวกท่ำนจงพำสังกิจจสำมเณรนี้ไป.
            พวกภิกษุ. อย่ำเลย ท่ำนผู้มีอำยุ, เพรำะอำศัยสำมเณร ควำม
กังวลจักมีแก่พวกกระผม, ประโยชน์อะไรด้วยสำมเณร สำำหรับพวก
ภิกษุผู้ที่อยู่ในป่ำ.
            พระเถระ. ท่ำนผู้มีอำยุ เพรำะอำศัยสำมเณรนี้ ควำมกังวล
จักไม่มแก่พวกท่ำน, ก็แต่ว่ำเพรำะอำศัยพวกท่ำน ควำมกังวลจักมีแก่
        ี
สำมเณรนี้, ถึงพระศำสดำเมื่อจะทรงส่งพวกท่ำนมำยังสำำนักเรำ ทรง
หวังจะส่งสำมเณรไปกับพวกท่ำนจึงทรงส่งมำ, พวกท่ำนจงพำสำมเณร
นี้ไปเถิด.
                                       [ ภิกษุ ๓๐ รูปไปทำำสมณธรรม ]
            ภิกษุเหล่ำนั้นรับว่ำ " ดีละ " รวมเป็น ๓๑ คนพร้อมทั้งสำมเณร
อำำลำพระเถระออกจำกวิหำรเที่ยวจำริกไป บรรลุถึงบ้ำนหนึ่ง ซึ่งมี
พันสกุลในที่สุด ๑๒๐ โยชน์. พวกมนุษย์เห็นภิกษุเหล่ำนั้นมีจิตเลื่อมใส
อังคำสโดยเคำรพแล้ว ถำมว่ำ        "   ท่ำนเจ้ำข้ำ พวกท่ำนจะไปไหน     ?"
ประโยค๒         -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   186
เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นตอบว่ำ       "   จะไปตำมสถำนที่ผำสุกผู้มีอำยุ   "       จึงหมอบลง
แทบเท้ำอ้อนวอนว่ำ     "     ท่ำนเจ้ำข้ำ เมื่อพวกพระผู้เป็นเจ้ำอำศัยบ้ำนนี้
อยูตลอดภำยในพรรษำ, พวกกระผมจะสมำทำนศีลห้ำทำำอุโบสถกรรม.
   ่                                                                                    "
พระเถระทั้งหลำยรับแล้ว.              ครั้งนั้น พวกมนุษย์จัดแจงที่พักกลำงคืน
ที่พักกลำงวัน ที่จงกรมและบรรณศำลำ ถึงควำมอุตสหะว่ำ        " วันนี้
พวกเรำ, พรุ่งนี้   พวกเรำ " ได้ทำำกำรบำำรุงภิกษุเหล่ำนั้น.
                        [ พวกภิกษุตั้งกติกำกันอยู่จำำพรรษำ ]
          ในวันเข้ำจำำพรรษำ พระเถระทั้งหลำยทำำกติกำวัตรกันว่ำ                    "   ผู้มี
อำยุ พวกเรำเรียนกัมมัฏฐำนในสำำนัก ของพระพุทธเจ้ำผู้ยงทรง
                                                    ั
พระชนม์อยู่, แต่เว้นควำมถึงพร้อมด้วยข้อปฏิบัติ พวกเรำไม่อำจยัง
พระพุทธเจ้ำทังหลำยให้ยินดีได้,
             ้                             อนึ่ง ประตูอบำยก็เปิดแล้วสำำหรับ
พวกเรำทีเดียว,      เพรำะฉะนั้น เว้นเวลำภิกษำจำรในตอนเช้ำ และ
เวลำบำำรุงพระเถระตอนเย็น ในกำลที่เหลือ พวกเรำจักไม่อยู่ในที่
แห่งเดียวกัน ๒ รูป;         ควำมไม่ผำสุกจักมีแก่ท่ำนผู้ใด,         เมื่อท่ำนผู้นั้น
ตีระฆัง, พวกเรำจักไปสำำนักท่ำนผู้นั้นทำำยำ; ในส่วนกลำงคืนหรือส่วน
กลำงวันอื่นจำกนี้ พวกเรำจักไม่ประมำทประกอบกัมมัฏฐำนเนือง ๆ.                      "
                            [   ทุคคตบุรุษมำอำศัยอยู่กับพวกภิกษุ       ]
          เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น ครั้นทำำกติกำอย่ำงนั้นอยู่, บุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง
อำศัยธิดำเป็นอยู่, เมื่อทุพภิกขภัยเกิดขึ้นในที่นั้น, มีประสงค์จะอำศัย
ธิดำคนอื่นเป็นอยู่ จึงเดินทำงไป,              แม้พระเถระทั้งหลำยเที่ยวไป
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   187
บิณฑบำตในบ้ำน มำถึงที่อยู่ อำบนำ้ำในแม่นำ้ำแห่งหนึ่งในระหว่ำงทำง
นั่งบนหำดทรำย ทำำภัตกิจ.                 ในขณะนั้น บุรุษนั้นถึงที่นั้นแล้วได้
ยืนอยู่ ณ ที่สุดส่วนข้ำงหนึ่ง.            ลำำดับนั้น พระเถระทั้งหลำยถำมเขำว่ำ
"     จะไปไหน    ?"     บุรุษนั้นบอกเนื้อควำมนั้นแล้ว.          พระเถระทั้งหลำย
เกิดควำมกรุณำในบุรุษนั้น จึงกล่ำวว่ำ             "   อุบำสก ท่ำนหิวจัด, จงไป
นำำใบไม้มำแล้ว,           พวกเรำจักให้ก้อนภัตรแก่ท่ำนรูปละก้อน            "   เมื่อเขำนำำ
ใบไม้มำแล้ว; จึงคลุกด้วยแกงและกับ โดยทำำนองที่จะฉันด้วยตน ๆ
ได้ให้ก้อนภัตรรูปละก้อน.             ทรำบว่ำ ธรรมเนียมมีดังนี้ ภิกษุผู้จะให้
ภัตรแก่ผู้มำถึงในเวลำฉัน ไม่ให้ภัตรตอนยอดโดยทำำนองที่จะฉันด้วยตนนั่นแล;                     เพรำะ
ฉะนั้น ภิกษุแม้เหล่ำนั้น
จึงได้ให้อย่ำงนั้น.        บุรุษนั้นทำำภัตกิจแล้วไหว้พระเถระทั้งหลำย ถำม
ว่ำ    "   ท่ำนขอรับ พวกพระผู้เป็นเจ้ำ ใคร ๆ นิมนต์ไว้หรือ           ?"
              พวกภิกษุ.      ไม่มีกำรนิมนต์ดอก อุบำสก, พวกมนุษย์ถวำยอำหำร
เช่นนี้แหละทุก ๆ วัน.
              ทุคคตบุรุษคิดว่ำ       "   เรำแม้ขยันขันแข็งทำำงำนตลอดกำลเป็นนิตย์
ก็ไม่อำจได้อำหำรเช่นนี้, ประโยชน์อะไรของเรำด้วยกำรไปที่อื่น, เรำ
จักเป็นอยู่ในสำำนักของภิกษุเหลำนี้นี่แหละ.            "   ลำำดับนั้น จึงกล่ำวกะภิกษุ
เหล่ำนี้ว่ำ  " กระผมปรำรถนำจะทำำวัตตปฏิบัติอยู่ในสำำนักของพวกพระ
ผู้เป็นเจ้ำ. "
            พวกภิกษุ. ดีละ อุบำสก.

๑. อนำมัฏฐบิณฑบำต ภิกษุละเมิดธรรมเนียมนี้ ท่ำนปรับอำบัติทุกกฏ .
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่        188
                         [   ทุคคตบุรุษหนีพวกภิกษุไปเยี่ยมธิดำ            ]
           เขำไปที่อยูของภิกษุเหล่ำนั้นกับภิกษุเหล่ำนั้น ทำำวัตตปฏิบัติ
                      ่
เป็นอันดี ยังพวกภิกษุให้รักใคร่อย่ำงยิง โดยล่วงไป ๒ เดือน
                                      ่
ปรำรถนำจะไปเยียมธิดำ คิดว่ำ
              ่                        "   ถ้ำเรำจักอำำลำพวกพระผู้เป็นเจ้ำ,
พระผู้เป็นเจ้ำทังหลำย จักไม่ปล่อยเรำ,
                ้                                เรำจักไม่อำำลำละ     "       ดังนี้
แล้ว ก็ไม่บอกแก่ภิกษุเหล่ำนั้นเลยออกไปแล้ว.               ทรำบว่ำ ข้อที่เขำ
ไม่บอกพวกภิกษุหลีกไปเท่ำนั้น ได้เป็นควำมพลำดพลั้งอย่ำงขนำดใหญ่ ,
ก็ในหนทำงไปของบุรุษนั้น มีดงอยูแห่งหนึ่ง.
                               ่                        ในวันที่ ๗ เป็นวันของ
โจร ๕๐๐ คน ผูทำำกำรบนบำนเทวดำว่ำ
             ้                                   "   ผู้ใดจักเข้ำสู่ดงนี้, พวก
เรำจักฆ่ำผู้นั้นแล้ว ทำำพลีกรรมแด่ท่ำน ด้วยเนื้อและเลือดของผู้นั้น
แหละ   "   แล้วอยู่ในดงนั้น.
                                   [   เขำถูกโจรจับในกลำงดง       ]
           เพรำะฉะนั้น ในวันที่ ๗ หัวหน้ำโจรขึ้นต้นไม้ตรวจดูพวกมนุษย์
เห็นบุรุษนั้นเดินมำ จึงได้ให้สัญญำแก่พวกโจร.               โจรเหล่ำนั้นรู้ควำม
ที่บุรุษนั้นเข้ำสุ่กลำงดง จึงล้อมจับเขำ ทำำกำรผูกอย่ำงมั่นคง สีไฟ
ด้วยไม้สีไฟ ขนฟืนมำก่อเป็นกองไฟใหญ่ เสียมหลำวไว้.
                                       ้                                บุรุษนั้น
เห็นกิริยำโจรเหล่ำนั้น จึงถำมว่ำ       "    นำย ในที่นี้ ข้ำพเจ้ำไม่เห็น
หมูและเนื้อเป็นต้นเลย, เหตุไร พวกท่ำนจึงทำำหลำวนี้              ?"
           พวกโจร.      พวกเรำจักฆ่ำเจ้ำ ทำำพลีกรรมแก่เทวดำ ด้วยเนื้อ
และเลือดของเจ้ำ.
           บรุษนั้นถูกมรณภัยคุกคำม มิได้คิดถึงอุปกำระนั้นของพวกภิกษุ
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   189
เมื่อจะรักษำชีวิตของตนอย่ำงเดียวเท่ำนั้น จึงกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ           "   นำย
ข้ำพเจ้ำเป็นคนกินเดน กินภัตรที่เป็นเดนเติบโต,             ขึ้นชื่อว่ำคนกินเดน
เป็นคนกำฬกัณณี; ก็พวกพระผู้เป็นเจ้ำ แม้ออกบวชจำกสกุลใดสกุลหนึ่ง
เป็นกษัตริย์ทีเดียว; ภิกษุ ๓๑ รูปอยู่ในที่โน้น พวกท่ำนจงฆ่ำภิกษุ
เหล่ำนั้นแล้วทำำกรรม, เทวดำของพวกท่ำนจักยินดี เป็นอย่ำงยิ่ง.                   "
                           [   พวกโจรไปจับภิกษุเพื่อทำำพลีกรรม         ]
          พวกโจรฟังคำำนั้นแล้วคิดว่ำ        "    คนนี้พูดดี, ประโยชน์อะไร
ด้วยคนกำฬกัณณีนี้,         พวกเรำจักฆ่ำพวกกษัตริยทำำพลีกรรม
                                                 ์             "             ดังนี้
แล้ว จึงกล่ำวว่ำ       " มำเถิด, จงแสดงที่อยู่ของภิกษุเหล่ำนั้น "
แล้วให้เขำนั่นแลเป็นผู้นำำทำง ถึงที่นั้นแล้ว ไม่เห็นภิกษุในท่ำม
กลำงวิหำร จึงถำมเขำว่ำ         "    พวกภิกษุไปไหน     ?. "      เขำรู้กติกวัตร
ของภิกษุเหล่ำนั้นเพรำะอยู่ถึง ๒ เดือน จึงกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ        "     พวก
ภิกษุจักประชุมกันด้วยเสียงระฆัง.         " หัวหน้ำโจรตีระฆังแล้ว,
พวกภิกษุได้ยินเสียงระฆังคิดว่ำ          " ใครตีระฆังผิดเวลำ, ควำมไม่
ผำสุกจักมีแก่ใคร   "     ดังนีแล้ว จึงมำนั่งบนแผ่นหินที่เขำแต่งตั้งไว้
                              ้
โดยลำำดับตรงกลำงวิหำร.               พระสังฆเถระแลดูพวกโจรแล้ว ถำมว่ำ
"   อุบำสก ใครตีระฆังนี้.      "      หัวหน้ำโจรตอบว่ำ    "   ข้ำพเจ้ำเอง
ขอรับ.   "
          พระสังฆเถระ.             เพรำะเหตุไร   ?
          หัวหน้ำโจร.          พวกข้ำพเจ้ำบนบำนเทพดำประจำำดงไว้, จัก
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   190
จับภิกษุรูป ๑ ไป เพื่อต้องกำรทำำพลีกรรมแก่เทวดำนั้น.
                                        [   พวกภิกษุยอมตัวให้โจรจับ   ]
                พระมหำเถระฟังคำำนั้นแล้ว จึงกล่ำวกะพวกภิกษุว่ำ            " ผู้มี
อำยุ ธรรมดำกิจเกิดแก่พวกน้อง ๆ                  ผู้เป็นพี่ชำยต้องช่วยเหลือ,
ผมจักสละชีวิตของตนเพื่อพวกท่ำน                  ไปกับโจรเหล่ำนี้, ขออันตรำย
จงอย่ำมีแก่ทุก ๆ ท่ำน,                 พวกท่ำนจงเป็นผู้ไม่ประมำททำำสมณธรรม
เถิด.      "     พระอนุเถระกล่ำวว่ำ         "   ท่ำนขอรับ ธรรมดำกิจของพี่ชำย
ย่อมเป็นภำระของน้องชำย, กระผมจักไป, ขอท่ำนทั้งหลำยจงเป็นผู้ไม่
ประมำทเถิด.          "       โดยอุบำยนี้ ชนแม้ทั้ง ๓๐ ลุกขึ้นพูดเป็นลำำดับว่ำ
"   ผมเอง ผมเอง. "               ด้วยประกำรฉะนี้ ภิกษุทั้งหมดไม่เป็นบุตรของ
มำรดำเดียวกันเลย,               ไม่เป็นบุตรของบิดำเดียวกัน,        ทังยังไม่สิ้นรำคะ,
                                                                     ้
แต่กระนั้นก็ยอมเสียสละชีวิตตำมลำำดับ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุที่เหลือ ;
บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่งชือว่ำสำมำรถกล่ำวว่ำ
                                      ่                                "   ท่ำนไป
เถิด   "       มิได้มีเลย.
                                  [    สังกิจจสำมเณรยอมมอบตัวให้แก่โจร       ]
                สังกิจจสำมเณรได้ฟังคำำของภิกษุเหล่ำนั้น จึงกล่ำวว่ำ          " หยุด
เถิด ท่ำนขอรับ, กระผมจักสละชีวิตเพื่อพวกท่ำนไปเอง.                    "
                พวกภิกษุ.       ผูมีอำยุ เรำทั้งหมดแม้จักถูกฆ่ำรวมกัน ก็จักไม่
                                  ้
ยอมสละเธอผู้เดียว.
                สำมเณร.         เพรำะเหตุไร     ?   ขอรับ.
                พวกภิกษุ.       ผูมีอำยุ เธอเป็นสำมเณรของพระธรรมเสนำบดี
                                  ้
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   191
สำรีบตรเถระ, ถ้ำเรำจักสละเธอ, พระเถระจักติว่ำ
     ุ                                                     '   พวกภิกษุพำ
สำมเณรของเรำไปมอบให้แก่พวกโจร,              '   เรำไม่อำจจะสลัดคำำติเตียนนั้น
ได้, ด้วยเหตุนั้น เรำจักไม่สละเธอ.
          สำมเณร.          ท่ำนขอรับ พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำทรงส่งพวกท่ำน
ไปยังสำำนักพระอุปัชฌำยะของกระผมก็ดี,             พระอุปัชฌำยะของกระผม
ส่งกระผมมำกับพวกท่ำนก็ดี,           ได้ทรงเห็นเหตุอันนี้แล้วทั้งนั้น จึงส่ง
มำ, หยุดเถิด ขอรับ, กระผมนี่แหละจักไปเอง.
          สำมเณรนั้นไหว้ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปแล้ว กล่ำวว่ำ          "   ท่ำนขอรับ
ถ้ำโทษของกระผมมีอยู่, ขอท่ำนจงอดโทษ              "   ดังนี้ แล้วก็เดินออกไป.
ควำมสลดใจอย่ำงใหญ่เกิดขึ้นแก่พวกภิกษุแล้ว,               ตำเต็มไปด้วยนำ้ำตำ,
เนื้อหัวใจสั่นแล้ว.       พระมหำเถระพูดกะโจรว่ำ      "   อุบำสก เด็กนี้เห็น
พวกท่ำนก่อไฟ เสียมหลำว ลำดใบไม้จักกลัว, ท่ำนทั้งหลำยพักสำมเณร
                ้
นี้ไว้ในที่ส่วนหนึ่ง พึงทำำกิจเหล่ำนั้น.   "    พวกโจรพำสำมเณรไปพักไว้
ในที่ส่วนหนึ่ง แล้วทำำกิจทังปวง.
                           ้
                                     [   นำยโจรลงมือฆ่ำสำมเณร          ]
          ในเวลำเสร็จกิจ         หัวหน้ำโจรชักดำบเดินเข้ำไปหำสำมเณร.
สำมเณรเมื่อนั่งเข้ำฌำนมั่น.         หัวหน้ำโจรแกว่งดำบฟันลงที่คอ
สำมเณร.        ดำบงอเอำคมกระทบคม.               หัวหน้ำโจรนั้นสำำคัญว่ำ
"   เรำประหำรไม่ดี    "    จึงดัดดำบนั้นให้ตรงแล้วประหำรอีก. ดำบเป็น
ดังใบตำลที่ม้วน ได้ร่นถึงโคนดำบ. แท้จริง บุคคลแม้จะเอำภูเขำ
สิเนรุทับสำมเณรในเวลำนั้น            ชือว่ำสำมำรถจะให้สำมเณรตำยไม่มี
                                       ่
ประโยค๒         -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔     -   หน้ำที่   192
เลย,     จะป่วยกล่ำวไปไยถึงว่ำจะเอำดำบฟันให้ตำย.                หัวหน้ำโจรเห็น
ปำฏิหำริย์นั้นแล้วคิดว่ำ      "   เมื่อก่อนดำบของเรำ ย่อมตัดเสำหินหรือตอไม้
ตะเคียนเหมือนหยวกกล้วย, บัดนี้ ดำบของเรำงอครำวหนึ่ง อีกครำว
หนึ่งเกิดเป็นดังใบตำลม้วน; ดำบชื่อนี้ แม้ไม่มีในเจตนำ ยังรู้คุณของ
สำมเณรนี้. เรำมีเจตนำยังไม่รู้.
                        [   นำยโจรเลื่อมใสในปำฏิหำริย์ของสำมเณร            ]
         นำยโจรทิ้งดำบลงที่พื้นดิน เอำอกหมอบแทบใกล้เท้ำของ
สำมเณร        เมื่อจะถำมว่ำ       "   ท่ำนเจ้ำข้ำ พวกผมเข้ำมำในดงนี้
เพรำะเหตุต้องกำรทรัพย์,               บุรุษแม้มีประมำณพันคน เห็นพวกเรำแต่
ที่ไกลเทียวยังสั่น, ไม่อำจพูด ๒           -   ๓ คำำได้, ส่วนสำำหรับท่ำนแม้เพียง
ควำมสะดุงแห่งจิตก็มิได้มี,
        ้                                หน้ำของท่ำนผ่องใสดังทองคำำ
ในเบ้ำปำก และดังดอกกัณณิกำร์ที่บำนดี; เหตุอะไรกันหนอ                   ?"        จึง
กล่ำวคำถำนี้ว่ำ   :-
                  " ควำมหวำดเสียวไม่มแก่ท่ำน,
                                     ี                    ควำมกลัวก็
                  ไม่มี, วรรณะผ่องใสยิ่งนัก,             เหตุไร ท่ำนจึง
                  ไม่ครำ่ำครวญ ในเพรำะภัยใหญ่หลวงเห็นปำน
                  นี้เล่ำ   ?"
         สำมเณรออกจำกฌำน เมื่อจะแสดงธรรมแก่หัวหน้ำโจรนั้น
จึงกล่ำวว่ำ   "   ท่ำนผู้เป็นนำยบ้ำน ขึนชื่อว่ำอัตภำพของพระขีณำสพ
                                       ้
ย่อมเป็นเหมือนภำระ          (ของหนัก)         ซึ่งวำงไว้บนศีรษะ, พระขีณำสพ
นั้น เมื่ออัตภำพนั้นแตกไป ย่อมยินดีทีเดียว ย่อมไม่กลัวเลย              "
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   193
ดังนีแล้ว ได้กล่ำวคำถำเหล่ำนี้ว่ำ
     ้                               :-
                "   ท่ำนผู้เป็นนำยบ้ำน ทุกข์ทำงใจย่อมไม่มี
                แก่ทำนผู้ไม่มีควำมห่วงใย,
                    ่                               ท่ำนผูแสวงหำ-
                                                          ้
                คุณ สิ้นสัญโญชน์แล้ว ก้ำวล่วงภัยทุกอย่ำง
                ได้, ตัณหำอันนำำไปสู่ภพของพระขีณำสพนั้น
                สิ้นแล้ว, ท่ำนเห็นธรรมแล้วตำมเป็นจริง หรือ
                โดยถ่องแท้,      ควำมตำย        [   ของท่ำน   ]   หมดภัย
                ดังปลงภำระลง ฉะนั้น.        "
                                     [   นำยโจรขอบรรพชำกะสำมเณร               ]
          หัวหน้ำโจรนั้นฟังคำำสำมเณรนั้นแล้ว แลดูโจร ๕๐๐ คนพูดว่ำ
"   พวกท่ำนจักทำำอย่ำงไร   ?"
          พวกโจร.      ก็ท่ำนเล่ำ    ?    นำย.
          นำยโจร.      กิจในท่ำมกลำงเรือนของฉันไม่มี เพรำะเห็น
ปำฏิหำริย์ เห็นปำนนี้ก่อน,       ฉันจักบวชในสำำนักพระผู้เป็นเจ้ำ.
          พวกโจร.      ดีละ พ่อ.
          ลำำดับนั้น   โจรทัง ๕๐๐ คนไหว้สำมเณรแล้วจึงขอบรรพชำ.
                            ้
สำมเณรนั้นตัดผมและชำยผ้ำด้วยคมดำบของโจรเหล่ำนั้นเอง ย้อมด้วย
ดินแดง ให้ครองผ้ำกำสำยะเหล่ำนั้น ให้ตงอยู่ในศีล ๑๐ เมื่อ
                                     ั้
พำสำมเณรเหล่ำนั้นไป คิดว่ำ       "   ถ้ำเรำจักไม่เยียมพระเถระทั้งหลำย
                                                    ่
ไปเสีย,      พระเถระเหล่ำนั้นจักไม่อำจทำำสมณธรรมได้,                จำำเดิม
แต่กำลที่พวกโจรจับเรำออกไป บรรดำพระเถระเหล่ำนั้น แม้รูปหนึ่ง
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่   194
ก็มิอำจอดกลั้นนำ้ำตำไว้ได้,          เมื่อพระเถระเหล่ำนั้น คิดอยู่ว่ำ
'   สำมเณรถูกโจรฆ่ำตำยแล้วหรือยังหนอ          '   กัมมัฏฐำน จักไม่มงหน้ำ
                                                                   ุ่
ได้;                             [    สำมเณรกลับไปเยี่ยมพวกภิกษุ         ]
          สำมเณรนั้นมีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวำรไปในที่นั้น,                เมื่อ
ภิกษุเหล่ำนั้นกลับได้ควำมเบำใจเพรำะเห็นตนแล้ว กล่ำวว่ำ              "   สังกิจจะ
ผู้สตบุรุษ เธอได้ชีวิตแล้วหรือ
    ั                            ?"         จึงตอบว่ำ   "   อย่ำงนั้นขอรับ,
โจรเหล่ำนี้ใคร่จะฆ่ำกระผมให้ตำย ก็ไม่อำจฆ่ำได้ เลื่อมใสในคุณธรรม
ของกระผม ฟังธรรมแล้วบวช: กระผมมำด้วยหวังว่ำ              ' เยี่ยมท่ำนแล้ว
จักไป. ' ขอท่ำนจงเป็นผู้ไม่ประมำททำำสมณธรรมเถิด, กระผมจักไป
สำำนักพระศำสดำ " แล้วไหว้ภิกษุเหล่ำนั้น พำสำมเณรนอกนี้ไปยังสำำนัก
พระอุปัชฌำยะ, เมื่อท่ำนถำมว่ำ " สังกิจจะ เธอได้อันเตวำสิกแล้ว
หรือ ? " จึงตอบว่ำ " ถูกแล้ว ขอรับ " ดังนีแล้วเล่ำเรื่องนั้น,
                                                  ้
ก็เมื่อพระเถระกล่ำวว่ำ ' สังกิจจะ เธอจงไป, เยียมพระศำสดำ. ' เธอ
                                                    ่
รับว่ำ " ดีละ " แล้วไหว้พระเถระพำสำมเณรเหล่ำนั้นไปยังสำำนัก
พระศำสดำ, แม้เมื่อพระศำสดำตรัสถำมว่ำ " สังกิจจะ เธอได้อันเตวำสิก
แล้วหรือ ? " จึงกรำบทูลเรื่องนั้น.
                                [ ผู้มีศีลประเสริฐกว่ำผู้ทุศีล ]
          พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? ภิกษุ
ทั้งหลำย, เมื่อพวกภิกษุทูลรับว่ำ " อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ " จึง

๑. ถือเอำควำมว่ำ ไม่เป็นอันตั้งหน้ำทำำกัมมัฏฐำนได้.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   195
ตรัสว่ำ   "   ควำมตังอยู่ในศีลแล้วเป็นอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ ประเสริฐ
                    ้
กว่ำกำรที่ท่ำนทำำโจรกรรมตังอยู่ในทุศีลเป็นอยู่ตง ๑๐๐ ปี
                          ้                    ั้                "        ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ           :-
                  "    ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตงมั่น พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี,
                                            ั้
                  ควำมเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีลมีฌำนประเสริฐกว่ำ
                  (ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น). "
                                             [    แก้อรรถ   ]
          บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ทุสฺสีโล คือ ไม่มีศีล.
          บทว่ำ สีลวนฺตสฺส ควำมว่ำ ควำมเป็นอยู่แม้วันเดียว คือ
แม้สักครู่เดียวของผูมีศีล มีฌำน ด้วยฌำน ๒ ประกำร ประเสริฐ คือ
                    ้
สูงสุดกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีของผู้ทุศีล.
          ในเวลำจบเทศนำ ภิกษุแม้ ๕๐๐ นั้นบรรลุพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย,
                ้                 ธรรมเทศนำได้มีประโยชน์แม้แก่มหำชน
ผู้ประชุมกัน.
                                    [   ประวัติอธิมุตตกสำมเณร    ]
          โดยสมัยอื่นอีก สังกิจจะได้อุปสมบทแล้วมีพรรษำ ๑๐ จึง
รับสำมเณรไว้.          ก็สำมเณรนั้นเป็นหลำนของท่ำนเอง ชืออธิมุตตก-
                                                        ่
สำมเณร.         ครั้งนั้น พระเถระเรียกสำมเณรนั้นมำในเวลำมีอำยุครบ
ส่งไปด้วยคำำว่ำ    "   เรำจักทำำกำรอุปสมบทเธอ, จงไป,             ถำมจำำนวนอำยุ
ในสำำนักพวกญำติแล้วจงมำ.           "     อธิมตตกสำมเณรนั้น เมื่อไปสำำนักของ
                                             ุ
มำรดำบิดำ ถูกพวกโจร ๕๐๐ คนจะฆ่ำให้ตำยเพื่อต้องกำรทำำพลีกรรม
ประโยค๒            -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   196
ในระหว่ำงทำง แสดงธรรมแก่โจรเหล่ำนั้นเป็นผู้อันพวกโจรมีจิตเลื่อมใส
ปล่อยไปด้วยคำำว่ำ           "   ท่ำนไม่พึงบอกควำมที่พวกผมมีอยู่ในที่นี้แก่ใคร ๆ        "
เห็นมำรดำบิดำเดินสวนทำงมำก็รักษำสัจจะไม่บอกแก่มำรดำบิดำเหล่ำนั้น
แม้เดินไปทำงนั้นนั่นแหละ.                เมื่อมำรดำบิดำนั้นถูกพวกโจรเบียดเบียน
ครำ่ำครวญพูดว่ำ       "     ชะรอยว่ำแม้ท่ำนก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกโจรจึง
ไม่บอกแก่เรำ     "     โจรเหล่ำนั้นได้ยินเสียงแล้ว รู้ควำมที่สำมเณรไม่บอก
แก่มำรดำบิดำ ก็มีจตเลื่อมใสขอบรรพชำ.
                  ิ                                      แม้อธิมตตกสำมเณรนั้นก็
                                                                ุ
ยังโจรเหล่ำนั้นทั้งหมดให้บวชแล้ว เหมือนสังกิจจสำมเณร นำำมำยังสำำนัก
พระอุปัชฌำย์ ผูอันพระอุปัชฌำย์นั้นส่งไปยังสำำนักพระศำสดำ พำภิกษุ
               ้
เหล่ำนั้นไปกรำบทูลเรื่องนั้นแด่พระศำสดำแล้ว. พระศำสดำตรัสถำมว่ำ
"   เขำว่ำอย่ำงนั้นหรือ         ?   ภิกษุทั้งหลำย   "   เมื่อพวกภิกษุทูลว่ำ   "   ถูกแล้ว
พระเจ้ำข้ำ   "   เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรมโดยนัยก่อนนั้นแล จึง
ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ       :-
                 "     ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตงมั่น พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี,
                                            ั้
                     ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของผู้มีศีล มีฌำน ประเสริฐ
                     กว่ำ   [   ควำมเป็นอยูของผู้นั้น].
                                           ่               "
       (ชื่อเรื่องอธิมุตตกสำมเณร)                แม้นี้ ข้ำพเจ้ำก็กล่ำวไว้แล้วด้วย
พระคำถำนี้เหมือนกัน.
                                            เรื่องสังกิจจสำมเณร จบ.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่   197
                         ๑๐. เรื่องพระขำนุโกณฑัญญะเถระ                                     [
ข้อควำมเบื้องต้น    ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระขำนุ-
โกณฑัญญะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ                   "   โย จ วสฺสสต ชีเว      "
เป็นต้น.
                   [    พระเถระนั่งเข้ำฌำน โจรเอำห่อของทับไม่รู้สึก              ]
           ได้ยินว่ำ พระเถระนั้นเรียนกัมมัฏฐำนในสำำนักพระศำสดำอยู่
ในป่ำ บรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่ำ               "   จักทูลพระศำสดำ   "     เมื่อมำ
จำกที่นั้นเหน็ดเหนื่อยในระหว่ำงทำง               แวะจำกทำงนังเข้ำฌำนบน
                                                            ่
ศิลำดำดผูกห่อสิ่งของตำมสมควรแก่กำำลังของตน เอำศีรษะเทินเดินไป ครั้น
เดินไปไกลก็เหน็ดเหนื่อย คิดว่ำ          '   เรำมำไกลแล้ว, จักพักเหนื่อยบน
ศิลำดำดนี้   '   แวะจำกทำงไปยังที่ใกล้ศิลำดำด แม้เห็นพระเถระแล้ว
ก็มีควำมสำำคัญว่ำ       "   นี่เป็นตอไม้.   "     ลำำดับนั้น โจรคนหนึ่งวำงห่อ
สิ่งของลงบนศีรษะพระเถระ.              โจรคนอื่น ๆ ก็วำงห่อสิ่งของพิงพระ
เถระนั้น. ด้วยประกำรฉะนี้ โจรแม้ทง ๕๐๐ คน เอำห่อสิงของ ๕๐๐
                                 ั้               ่
ห่อล้อมรอบพระเถระ แม้ตนเองก็นอนหลับ ตื่นในเวลำอรุณขึ้น
คว้ำห่อของตน ๆ ได้เห็นพระเถระก็เริ่มจะหนีไป ด้วยสำำคัญว่ำ
"   เป็นอมนุษย์.   "
           ทันใดนั้น        พระเถระกล่ำวกะพวกโจรนั้นว่ำ          "   อย่ำกลัวเลย

*   พระมหำโปร่ง     ).ธ.      ๙ วัดบวรนิเวศ ฯ แปล.             ๑. ปิฏฺฐิปำสำเณ บนแผ่นหินมี
หลัง.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   198
อุบำสก, ฉันเป็นบรรพชิต.        " โจรเหล่ำนั้นหมอบลงที่ใกล้เท้ำพระเถระ
ให้พระเถระอดโทษด้วยคำำว่ำ " โปรดอดโทษเถิด ขอรับ, พวก
กระผมได้สำำคัญว่ำตอไม้, " เมื่อหัวหน้ำโจรบอกว่ำ " เรำจักบวชใน
สำำนักพระผู้เป็นเจ้ำ, " พวกโจรที่เหลือก็กล่ำวว่ำ " แม้พวกเรำ
ก็จักบวช " มีฉันทะเป็นอันเดียวกันทั้งหมดเทียว ขอบรรพชำกะ
พระเถระ. พระเถระให้โจรเหล่ำนั้นทั้งหมดบวช ดุจสังกิจจสำมเณร.
จำำเดิมแต่นั้น พระเถระปรำกฏชื่อว่ำ " ขำนุโกณฑัญญะ. " ท่ำน
ไปสำำนักพระศำสดำพร้อมด้วยภิกษุเหล่นั้น,         เมื่อพระศำสดำตรัส
ถำมว่ำ โกณฑัญญะ เธอได้อันเตวำสิกแล้วหรือ ? จึงกรำบทูลเรื่องนั้น.
                        [ คนมีปัญญำดีกว่ำคนทรำมปัญญำ ]
           พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " เขำว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลำย "
เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นทูลรับว่ำ " ถูกแล้ว พระเจ้ำข้ำ, พวกข้ำพระองค์
ไม่เคยเห็นอำนุภำพเห็นปำนนั้นของผู้อื่นเลย,        ด้วยเหตุนั้น พวก
ข้ำพระองค์จึงบวช. " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ควำมเป็นอยูแม้วัน่
เดียวของพวกเธอ ผูประพฤติในปัญญำสัมปทำในบัดนี้ ประเสริฐ
                 ้
กว่ำควำมตั้งอยูในกรรมของผู้มปัญญำทรำมเห็นปำนนั้น เป็นอยู่ตง
               ่            ี                             ั้
๑๐๐ ปี   "   ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส
พระคำถำนี้ว่ำ   :-
                 "   ก็ผู้ใดมีปญญำทรำม มีใจไม่ตงมั่น พึงเป็นอยู่
                               ั               ั้
                ๑๐๐ ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีปัญญำมีฌำน
                ประเสริฐกว่ำ    [   ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น   ]. "
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   199
                                               [   แก้อรรถ    ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ทุปฺปญฺโญ ควำมว่ำ ผู้ไร้ปัญญำ.
         บทว่ำ ปญฺญวนฺตสฺส ควำมว่ำ ผู้เป็นไปกับด้วยปัญญำ.
คำำที่เหลือเช่นเดียวกับคำำมีในก่อนนั่นแล.
         ในกำลจบเทสนำ ภิกษุแม้ ๕๐๐ รูป บรรลุพระอรหัต พร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทำแล้ว,     พระธรรมเทศนำได้มีประโยชน์แม้แก่มหำชน
ผู้ประชุมกัน ดังนีแล.
                  ้
                          เรื่องพระขำนุโกณฑัญญะเถระ จบ.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   200
                      ๑๑. เรื่องพระสัปปทำสเถระ                                   [   ข้อควำมเบื้อง
ต้น   ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ
สัปปทำสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ           "   โย จ วสฺสสต ชีเว      "
เป็นต้น.
                                    [   พระเถระให้งูกัดตัว   ]
           ดังได้สดับมำ กุลบุตรผู้หนึ่งในกรุงสำวัตถี ฟังพระธรรม-
เทศนำของพระศำสดำแล้ว บรรพชำได้อุปสมบทแล้ว โดยสมัยอื่น
อีก กระสันขึ้น จึงคิดว่ำ   "   ชื่อว่ำภำวะแห่งคฤหัสถ์ ไม่ควรแก่
กุลบุตรเช่นเรำ.     แม้กำรดำำรงอยู่ในบรรพชำแล้วตำยไป เป็นควำม
ดีของเรำ   "   ดังนีแล้ว ก็เที่ยวคำำนึงหำอุบำยเพื่อมรณะของตนอยู่.
                    ้
           ภำยหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลำยสรงนำ้ำแต่เช้ำตรู่ ทำำภัตกิจ
เสร็จแล้ว ไปสู่วิหำร เห็นงูที่โรงไฟ จึงใส่งูนั้นไว้ในหม้อใบหนึ่ง
ปิดหม้อแล้วถือออกจำกวิหำร.           ฝ่ำยภิกษุผู้กระสัน ทำำภัตกิจแล้ว
เดินมำเห็นภิกษุเหล่ำนั้น จึงถำมว่ำ      "    ? ผู้มีอำยุ " เมื่อ
                                            นี่อะไร
พวกภิกษุตอบว่ำ " งู ผูมีอำยุ " จึงถำมว่ำ " จักทำำอะไรด้วยงูนี้ ? "
                         ้
ฟังคำำของภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ " เรำจักทิ้งมัน " คิดว่ำ " เรำจักให้งูนี้
กัดตัวตำยเสีย " จึงกล่ำวว่ำ " นำำมำเถิด, กระผมจักทิ้งมันเอง "
รับหม้อจำกมือของภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว นั่งอยู่ในที่แห่งหนึ่งแล้ว ก็

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔             -   หน้ำที่    201
ให้งูนั้นกัดตน.         งูไม่ปรำรถนำจะกัด.        ภิกษุนั้นเอำมือล้วงลงในหม้อ
แล้ว ก็คนข้ำงโน้นข้ำงนี้,          เปิดปำกงูแล้วสอดนิ้วมือเข้ำไป.               งูก็
ไม่กัดเธอเลย.       เธอคิดว่ำ      "   งูนี้มิใช่งูมีพิษ, เป็นงูเรือน   "    จึงทิงงู
                                                                                  ้
นั้นแล้วได้ไปยังวิหำร.
           ลำำดับนั้น ภิกษุทั้งหลำยกล่ำวกะเธอว่ำ           "    ผูมีอำยุ ท่ำนทิงงู
                                                                  ้            ้
แล้วหรือ   ?"
           ภิกษุกระสัน.        ผูมีอำยุ นั้นจะไม่ใช่งู
                                 ้                        (พิษ),     นั่นเป็นงูเรือน.
           ภิกษุ.       ผูมีอำยุ งู (พิษ) ทีเดียว แผ่แม่เบี้ยใหญ่ ขู่ฟู่ฟู่ พวก
                          ้
ผมจับได้โดยยำก, เพรำะเหตุไร ท่ำนจึงว่ำอย่ำงนี้                 ?
           ภิกษุกระสัน.        ผูมีอำยุ ผมให้มันกัดอวัยวะบ้ำง สอดนิ้วมือ
                                 ้
เข้ำไปในปำกบ้ำง ก็ไม่อำจให้มันกัดได้.
           พวกภิกษุฟังคำำนั้นแล้ว ได้นิ่งเสีย.
                    [   พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วมีชื่อว่ำสัปปทำสะ               ]
           ภำยหลังวันหนึ่ง ช่ำงกัลบกถือมีดโกน ๒             -   ๓ เล่ม ไปวิหำร
วำงมีดโกนเล่มหนึ่งไว้ที่พื้น เอำเล่มหนึ่งปลงผมของภิกษุทั้งหลำย.
ภิกษุกระสันนั้น จับมีดโกนเล่มที่เขำวำงไว้ที่พื้นแล้ว คิดว่ำ             "   จักตัด
คอด้วยมีดโกนนี้ตำย        "    จึงยืนพำดคอไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว จ่อคม
มีดโกนที่ก้ำนคอ ใคร่ครวญถึงศีลของตน จำำเดิมแต่กำลอุปสมบท ได้
เห็นศีลหมดมลทิน ดังดวงจันทร์ปรำศจำกมลทิน และดังดวงมณีที่
ขัดดี. เมื่อเธอตรวจดูศีลนั้นอยู่, ปีติเกิดแผ่ซ่ำนทั่วทั้งสรีระ.                เธอข่ม
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   202
ปีติได้แล้ว เจริญวิปัสสนำ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ
ทั้งหลำย จึงถือมีดโกนเข้ำไปท่ำมกลำงวิหำร.      ลำำดับนั้น ภิกษุ
ทั้งหลำย ถำมเธอว่ำ     " ผู้มีอำยุ ท่ำนไปไหน ? "
           ภิกษุกระสัน. ผูมีอำยุ ผมไปด้วยคิดว่ำ ' จักเอำมีดโกนนี้ตัด
                            ้
ก้ำนคอตำย. '
           ภิกษุ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพรำะเหตุไร ท่ำนจึงไม่ตำย ?
           ภิกษุกระสัน. บัดนี้ ผมเป็นผู้ไม่ ควรนำำศัสตรำผมคิดได้ว่ำ '' จักตัดก้ำนคอ
ด้วยมีดโกนนี้ ' แต่ตัดกิเลสเสียสิ้นด้วย
มีดโกนคือญำณ.
           พวกภิกษุกรำบทูลแด่พระผู้มีพระภำคว่ำ " ภิกษุนี้ พยำกรณ์
พระอรหัตด้วยคำำที่ไม่เป็นจริง. "         พระผูมีพระภำคทรงสดับคำำของ
                                              ้
ภิกษุเหล่ำนั้น จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำพระขีณำสพ
ย่อมไม่ปลงตนจำกชีวิตด้วยมือตนเอง.
           ภิกษุ. พระเจ้ำข้ำ พระองค์ตรัสภิกษุนี้ว่ำ ' เป็นพระขีณำสพ, '
ก็ภิกษุนี้ สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอย่ำงนี้ เหตุไรจึงกระสัน ?
อะไรเป็นเหตุแห่งอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของภิกษุนั้น; เหตุไรงูนั้นจึง
ไม่กัดภิกษุนั้น.
           พระศำสดำ.          ภิกษุทั้งหลำย งูนั้นได้เป็นทำสของภิกษุนี้ใน
อัตภำพที่ ๓ จำกอัตภำพนี้ก่อน, มันไม่อำจจะกัดสรีระของผู้เป็นนำย
ของตนได้. "
        พระศำสดำทรงบอกเหตุอย่ำงหนึ่งแก่ภิกษุเหล่ำนั้น ด้วยประกำร

๑. นี้เป็นสำำนวน หมำยควำมว่ำ ฆ่ำตัวตำย.
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   203
ฉะนี้ก่อน.       ก็ตงแต่นั้นมำ ภิกษุนั้นได้ชื่อว่ำสัปปทำสะ.
                    ั้
                              [   บุรพกรรมของพระสัปปทำสเถระ               ]
          ดังได้สดับมำ ในกำลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้ำ บุตรแห่ง
คฤหบดีผู้หนึ่ง ฟังธรรมของพระศำสดำแล้ว เกิดควำมสลดใจ
จึงบรรพชำ ได้อุปสมบทแล้ว, โดยสมัยอื่นอีก เมื่อควำมเบื่อหน่ำย
เกิดขึ้น, จึงบอกแก่ภิกษุผู้สหำยรูปหนึ่ง. สหำยนั้นกล่ำวโทษในภำวะ
แห่งคฤหัสถ์แก่เธอเนือง ๆ.             ภิกษุนอกนี้ฟังคำำนั้นแล้ว ก็ยินดียง
                                                                        ิ่
ในพระศำสนำ จึงนังขัดสมณบริขำรทั้งหลำยซึงมลทินจับในเวลำ
                ่                      ่
ที่หน่ำยก่อน ให้หมดมลทิน ใกล้ขอบสระแห่งหนึ่ง.                  ฝ่ำย
สหำยของภิกษุนั้นนั่งในที่ใกล้นั้นเอง.            ลำำดับนั้น ภิกษุนั้นกล่ำว
กะสหำยนั้นอย่ำงนี้ว่ำ  "      ผู้มีอำยุ ผมเมื่อสึก ได้ปรำรถนำจะถวำย
บริขำรเหล่ำนี้แก่ท่ำน. "          สหำยนั้นเกิดโลภขึ้นคิดว่ำ      "    เรำจะ
ต้องกำรอะไรด้วยภิกษุนี้ผยังบวชหรือสึกเสีย,
                        ู้                               บัดนี้ เรำจักยัง
บริขำรทังหลำยให้ฉิบหำย.
        ้                         "      ตังแต่นั้นมำ สหำยนั้นพูดเป็นต้นว่ำ
                                           ้
"   ผู้มีอำยุ บัดนี้จะประโยชน์อะไรด้วยชีวิตของพวกเรำ ผูซึ่งมีมือ
                                                       ้
ถือกระเบื้อง เที่ยวไปเพื่อก้อนข้ำวในสกุลผู้อื่น        ? (ทัง)
                                                            ้        ไม่ทำำ
กำรสนทนำปรำศรัยกะบุตรและภรรยำ                "    ดังนีแล้ว ก็กล่ำวคุณ
                                                       ้
แห่งภำวะของคฤหัสถ์.           ภิกษุนั้นฟังคำำของสหำยนั้นแล้ว ก็กระสัน
ขึ้นอีก คิดว่ำ    "   สหำยนี้เมื่อเรำกล่ำวว่ำ    '   ผมกระสัน, ก็กล่ำวโทษ
ในภำวะแห่งคฤหัสถ์ก่อน บัดนี้ กล่ำวถึงคุณเนือง ๆ, เหตุอะไร
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   204
หนอแล   ?   รู้ว่ำ   "   เพรำะควำมโลภในสมณบริขำรเหล่ำนี้           "       จึง
กลับจิตของตนเสียด้วยตนเองทีเดียว.                เพรำะควำมที่ภิกษุรูปหนึ่ง
ถูกตนทำำให้กระสันแล้ว ในกำลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้ำ บัดนี้ควำม
เบื่อหน่ำยจึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ด้วยประกำรฉะนี้.          ก็สมณธรรมใด
อันภิกษุนั้นบำำเพ็ญมำ ๒ หมื่นปีครั้งนั้น,           สมณธรรมนั้นเกิดเป็น
อุปนิสัยแห่งพระอรหัตของภิกษุนั้น ในกำลบัดนีแล.
                                           ้
             [   ชีวิตของผู้ปรำรภควำมเพียรวันเดียวประเสริฐ             ]
         ภิกษุเหล่ำนั้นฟังเนื้อควำมนี้จำกสำำนักพระผู้มีพระภำคแล้ว จึง
ทูลถำมยิงขึ้นว่ำ
        ่            "   พระเจ้ำข้ำ ได้ยินว่ำภิกษุนี้ยืนจดคมมีดโกนที่ก้ำน
คออยู่เทียวบรรลุพระอรหัต,               พระอรหัตมรรคเกิดขึ้นได้โดยขณะ
เพียงเท่ำนั้นหรือหนอแล      ?"
         พระศำสดำตรัสว่ำ            "   อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย,   เมื่อภิกษุ
ผู้ปรำรภควำมเพียร ยกเท้ำขึ้นวำงบนพื้น เมือเท้ำยังไม่ทันถึงพื้น
                                         ่
เลย พระอรหัตมรรคก็ได้เกิดขึ้น;              แท้จริง ควำมเป็นอยู่แม้เพียง
ชั่วขณะของท่ำนผู้ปรำรภควำมเพียร ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐
ปี ของบุคคลผู้เกียจคร้ำน       "    ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดง
ธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ          :-
                 "   ก็ผู้ใดเกียจคร้ำนมีควำมพยำยำมอันทรำม พึง
                 เป็นอยู่ ๑๐๐ ปี,           ควำมเป็นอยู่วันเดียวของ
                 ท่ำนผู้ปรำรภควำมเพียรมั่น ประเสริฐกว่ำชีวิต
                 ของผู้นั้น.   "
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔        -   หน้ำที่   205
                                                     [   แก้อรรถ   ]
        บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ กุสตีโต       ได้แก่บุคคลผู้ยังเวลำให้
ล่วงไปด้วยวิตก ๓ มีกำมวิตกเป็นต้น.
        บทว่ำ หีนวีริโย คือไร้ควำมเพียร.
        บำทพระคำถำว่ำ วิริย อำรภโต ทฬฺห ควำมว่ำ ผู้ปรำรภ
ควำมเพียรมั่นคง ซึงสำมำรถยังฌำน ๒ ประกำรให้เกิด.
                  ่
        คำำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำำมีในก่อนนั่นแล.
        ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี
โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                                 เรื่องพระสัปปทำสเถระ จบ.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   206
                             ๑๒. เรื่องนำงปฏำจำรำ                                         [   ข้อควำม
เบื้องต้น     ]
              พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ
ปฏำจำรำเถรี ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ             "   โย จ วสฺสสต ชีเว      "
เป็นต้น.
                                  [   ควำมรักไม่เลือกชั้นชั้นวรรณะ        ]
              ดังได้สดับมำ นำงปฏำจำรำนั้นได้เป็นธิดำของเศรษฐีผู้มีสมบัติ
๔๐ โกฏิในกรุงสำวัตถี มีรูปงำม.             ในเวลำนำงมีอำยุ ๑๖ ปี มำรดำ
บิดำเมื่อจะรักษำ จึงให้นำงอยู่บนชั้นปรำสำท ๗ ชัน.
                                               ้                   ถึงเมื่อเป็น
เช่นนั้น นำงก็ยังสมคบกับคนรับใช้คนหนึ่งของตน.                  ครังนั้นมำรดำ
                                                                  ้
บิดำของนำงยกให้แก่ชำยหนุ่มคนหนึ่ง ในสกุลที่มีชำติเสมอกันแล้ว
กำำหนดวันวิวำหะ.          เมื่อวันวิวำหะนั้นใกล้เข้ำมำ,        นำงจึงพูดกะคน
รับใช้ผู้นั้นว่ำ   "   ได้ยินว่ำ มำรดำบิดำจักยกฉันให้แก่สกุลโน้น,                 ใน
กำลที่ฉันไปสู่สกุลผัว ท่ำนแม้ถือบรรณกำรเพื่อฉันมำแล้ว ก็จัก
ไม่ได้เข้ำไปในที่นั้น, ถ้ำท่ำนมีควำมรักในฉัน,              ก็จงพำฉันหนีไปโดย
ทำงใดทำงหนึ่งในบัดนี้นี่แล.           "   คนรับใช้นั้นรับว่ำ   "   ดีละ นำงผู้
เจริญแล้วกล่ำวว่ำ ถ้ำอย่ำงนั้นฉันจักยืนอยู่ในที่ชื่อโน้นแห่งประตูเมือง
แต่เวลำเช้ำตรู่พรุ่งนี้, หล่อนพึงออกไปด้วยอุบำยอย่ำงหนึ่งแล้ว มำใน
ที่นั้น   "   ในวันที่ ๒ ก็ได้ยืนอยู่ในที่นัดหมำยกันไว้.

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่     207
                               [   นำงปฏำจำรำหนีไปกับคนรับใช้             ]
            ฝ่ำยธิดำเศรษฐีนั้นนุ่งผ้ำปอน ๆ สยำยผม เอำรำำทำสรีระ
ถือหม้อนำ้ำ ออกจำกเรือนเหมือนเดินไปกับพวกทำสี ได้ไปยังที่นั้น
แต่เช้ำตรู่.        ชำยคนรับใช้นั้นพำนำงไปไกลแล้ว สำำเร็จกำรอำศัยอยู่ใน
บ้ำนแห่งหนึ่ง ไถนำในป่ำแล้ว ได้นำำฟืนและผักเป็นต้นมำ,                         ธิดำ
เศรษฐีนอกนี้เอำหม้อนำ้ำมำแล้ว ทำำกิจมีกำรตำำข้ำวและหุงต้มเป็นต้น
ด้วยมือตนเอง เสวยผลแห่งควำมชั่วของตน.                       ครั้งนั้น สัตว์เกิด
ในครรภ์ตั้งขึ้นในท้องของนำงแล้ว.                นำงมีครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอน
สำมีว่ำ     "   ใคร ๆ ผูอุปกำระของเรำไม่มีในที่นี้,
                        ้                                     ธรรมดำมำรดำ
บิดำ เป็นผู้มีใจอ่อนโยนในบุตรทังหลำย,
                               ้                      ท่ำนจงนำำฉันไปยังสำำนักของ
ท่ำนเถิด,        ฉันจักคลอดบุตรในที่นั้น.       "    สำมีนั้นคัดค้ำนว่ำ       "   นำงผู้เจริญ
เจ้ำพูดอะไร     ?     มำรดำบิดำเจ้ำเห็นฉันแล้ว พึงทำำกรรมกรณ์มีอย่ำง
ต่ำง ๆ ฉันไม่อำจไปในที่นั้นได้.        "       นำงแม้อ้อนวอน แล้ว ๆ เล่ำ ๆ
เมื่อไม่ได้ควำมยินยอม ในเวลำที่สำมีไปป่ำ จึงเรียกคนผู้คุ้นเคย
มำสั่งว่ำ   "    ถ้ำเขำมำไม่เห็นจักถำมว่ำ        "   ฉันไปไหน    ?   พวกท่ำน
พึงบอกควำมที่ฉันไปสู่เรือนแห่งตระกูลของตน               "   ดังนี้แล้ว ก็ปิดประตู
เรือนหลีกไป.
            ฝ่ำยสำมีนั้นมำแล้ว ไม่เห็นภรรยำนั้นจึงถำมคนคุ้นเคย ฟัง
เรื่องนั้นแล้ว ก็ตดตำมไปด้วยคิดว่ำ
                  ิ                        "   จักให้นำงกลับ    "    พบนำงแล้ว
แม้จะอ้อนวอนมีประกำรต่ำง ๆ ก็มิอำจให้นำงกลับได้.
            ทีนั้น ลมกัมมัชวำตของนำงปั่นป่วนแล้วในที่แห่งหนึ่ง.                      นำง
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -   หน้ำที่   208
เข้ำไปในระหว่ำงพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง พูดว่ำ          "   นำย ลมกัมมัชวำตของฉัน
ปั่นป่วนแล้ว      "    นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน คลอดเด็กโดยยำกแล้ว
คิดว่ำ   "    เรำพึงไปสู่เรือนแห่งตระกูลเพื่อประโยชน์ใด,          ประโยชน์นั้น
สำำเร็จแล้ว   "       จึงมำสู่เรือนกับด้วยสำมี สำำเร็จกำรอยู่กันอีกเทียว.
             สมัยอื่น ครรภ์ของนำงตังขึ้นอีก.
                                   ้                   นำงเป็นผู้มีครรภ์แก่แล้ว
จึงอ้อนวอนสำมีโดยนัยก่อนนั่นแล เมื่อไม่ได้ควำมยินยอม จึงอุ้ม
บุตรด้วยสะเอวหลีกไปอย่ำงนั้นนั่นแล แม้ถูกสำมีนั้นติดตำมพบแล้ว ก็
ไม่ปรำรถนำจะกลับ.
             ครังนั้น เมื่อชนเหล่ำนั้นเดินไปอยู่,
                ้                                       มหำเมฆอันมิใช่ฤดูกำลเกิด
ขึ้น.    ท้องฟ้ำได้มีท่อธำรตกลงไม่มีระหว่ำง ดังสำยฟ้ำฟำดแผดเผำอยู่
โดยรอบ ดังจะทำำลำยลงด้วยเสียงแผดแห่งเมฆ.                   ในขณะนั้น ลม
กัมมัชวำตของนำงปั่นป่วนแล้ว.              นำงเรียกสำมีมำกล่ำวว่ำ       "   นำย
ลมกัมมัชวำตของฉันปั่นป่วนแล้ว,              ฉันไม่อำจจะทนได้,       ท่ำนจงรู้
สถำนที่ฝนไม่รดฉันเถิด.          "     สำมีนั้นมีมีดอยู่ในมือ ตรวจดูข้ำง
โน้นข้ำงนี้ เห็นพุ่มไม้ซงเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่ง เริ่มจะตัด.
                        ึ่
ลำำดับนั้น อสรพิษมีพิษร้ำยกำจเลื้อยออกจำกจอมปลวก กัดเขำ.
ในขณะนั้นนั่นแล สรีระของเขำมีสีเขียวดังถูกเปลวไฟอันตั้งขึ้นใน
ภำยในไหม้อยู่ ล้มลงในที่นั้นนั่นเอง.            ฝ่ำยภรรยำนอกนี้เสวยทุกข์
อย่ำงมหันต์ แม้มองดูทำงมำของเขำอยู่ ก็มิได้เห็นเขำเลย จึงคลอด
บุตรคนอื่นอีก.           ทำรกทั้ง ๒ ทนกำำลังแห่งลมและฝนไม่ได้ ก็ร้องไห้
ลั่น. นำงเอำทำรกแม้ทั้ง ๒ คนนั้นไว้ที่ระหว่ำงอุทร ยืนท้ำวแผ่นดิน
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔              -   หน้ำที่   209
ด้วยเข่ำและมือทั้ง ๒ ให้รำตรีล่วงไปแล้ว. สรีระทั้งสิ้นได้เป็นดังสีใบ
ไม้เหลือง เหมือนไม่มีโลหิต.                เมื่ออรุณขึ้นนำงอุ้มบุตรคนหนึ่งซึ่ง
มีสีดงชิ้นเนื้อด้วยสะเอว จูงบุตรนอกนี้ด้วยนิ้วมือกล่ำวว่ำ
     ั                                                               "   มำเถิด พ่อ,
บิดำเจ้ำไปโดยทำงนี้      "    ดังนี้แล้ว ก็เดินไปตำมทำงที่สำมีไป เห็นสำมี
นั้นล้มตำยบนจอมปลวกมีสีเขียวตัวกระด้ำง ร้องไห้รำำพันว่ำ                      "   เพรำะ
อำศัยเรำ สำมีของเรำจึงตำยที่หนทำงเปลี่ยว                "     ดังนีแล้วก็เดินไป.
                                                                   ้
           นำงเห็นแม่นำ้ำอจิรวดี เต็มเปี่ยมด้วยนำ้ำมีประมำณเพียงหัวเข่ำมีประมำณเพียงนม
เพรำะฝนตกตลอดคืนยันรุ่ง ไม่อำจลงนำ้ำพร้อม
ด้วยทำรก ๒ คนได้ เพรำะตนมีควำมรู้อ่อน จึงพักบุตรคนใหญ่ไว้
ที่ฝงนี้ อุมบุตรคนเล็กนอกนี้ไปฝั่งโน้น ลำดกิ่งไม้ไว้ให้บุตรนอน
    ั่     ้
แล้ว คิดว่ำ     "    จักไปที่อยู่ของบุตรนอกนี้      "       ไม่อำจละบุตรอ่อนได้
กลับแลดูแล้ว ๆ เล่ำ ๆ เดินไป.               ครั้นในเวลำที่นำงถึงกลำงแม่นำ้ำ
เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กนั้น จึงโฉบลงมำจำกอำกำศ ด้วยสำำคัญว่ำ
"   เป็นชิ้นเนื้อ.   "   นำงเห็นมันโฉบลงเพื่อต้องกำรบุตร จึงยกมือทั้ง ๒
ขึ้นร้องเสียงดัง ๓ ครั้งว่ำ    "   สู สู   "    เหยี่ยวไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย
เพรำะไกลกัน จึงเฉี่ยวเด็กบินขึ้นสู่เวหำสไปแล้ว.                   แม้บุตรผูยืน
                                                                           ้
อยู่ทฝั่งนี้ เห็นมำรดำยกมือทั้ง ๒ ขึน ร้องเสียงดังที่ทำมกลำงแม่นำ้ำ
     ี่                             ้                 ่
จึงกระโดดลงในแม่นำ้ำโดยเร็วด้วยสำำคัญว่ำ                "   มำรดำเรียกเรำ.       "     เหยี่ยว
เฉี่ยวบุตรอ่อนของนำงไป บุตรคนโตถูกนำ้ำพัดไป ด้วยประกำรฉะนี้.

๑. ฉบับสีหล ชำนุปฺปมำณ ไม่มี.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -    หน้ำที่   210
                       [   นำงทรำบข่ำวว่ำมำรดำบิดำตำยอีก            ]
         นำงเดินร้องไห้รำำพันว่ำ        "   บุตรของเรำคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยว
ไป, ตนหนึ่งถูกนำ้ำพัดไป, สำมีก็ตำยในเสียในที่เปลี่ยว,              "       พบบุรุษ
ผู้หนึ่งเดินมำแต่กรุงสำวัตถี จึงถำมว่ำ        "   พ่อ ท่ำนอยู่ที่ไหน   ?"
         บุรุษ.     ฉันอยู่ในกรุงสำวัตถี แม่.
         ธิดำเศรษฐี.       ตระกูลชื่อโน้นเห็นปำนนี้ใกล้ถนนโน้นในกรุง
สำวัตถีมีอยู่, ทรำบไหม      ?    พ่อ.
         บุรุษ.     ฉันทรำบ แม่, แต่อย่ำถำมถึงตระกูลนั้นเลย; ถ้ำท่ำน
รู้จักตระกูลอื่น, ก็จงถำมเถิด.
         ธิดำเศรษฐี.       กรรมด้วยตระกูลอื่นของฉันไม่มี,              ฉันถำมถึง
ตระกูลนั้นเท่ำนั้นแหละ พ่อ.
         บุรุษ.     แม่ ฉันบอกก็ไม่ควร.
         ธิดำเศรษฐี.       บอกฉันเถิด พ่อ.
         บุรุษ.     วันนี้ แม่เห็นฝนตกคืนยันรุ่งไหม        ?
         ธิดำเศรษฐี.       ฉันเห็น พ่อ,           ฝนนั้นตกคืนยังรุ่งเพื่อฉันเท่ำนั้น
ไม่ตกเพื่อคนอื่น,    แต่ฉันจักบอกเหตุที่ฝนตกเพื่อฉันแก่ท่ำนภำยหลัง,
โปรดบอกควำมเป็นไปในเรือนเศรษฐีนั้นแก่ฉันก่อน.
         บุรุษ.     แม่ วันนี้ ในกลำงคืนเรือนล้มทับคนแม้ทง ๓ คือ
                                                         ั้
เศรษฐี ๑ ภรรยำเศรษฐี ๑ บุตรเศรษฐี ๑, คนทั้ง ๓ นั้นถูกเผำ
บนเชิงตะกอนอันเดียวกัน,          แม่เอ๋ย ควันนั่นยังปรำกฏอยู่.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   211
            ในขณะนั้น นำงไม่รู้สึกถึงผ้ำที่นุ่งซึงได้หลุดลง ถึงควำมเป็น
                                                 ่
คนวิกลจริตยืนตะลึงอยู่ ร้องไห้รำำพันบ่นเพ้อเซซวนไปว่ำ        :-
                  "   บุตร ๒ คน ตำยเสียแล้ว, สำมีของเรำ ก็
                 ตำยเสียที่ทำงเปลี่ยว, มำรดำบิดำและพี่ชำย
                 ก็ถูกเผำบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน.       "
            คนทั้งหลำยเห็นนำงแล้ว เข้ำใจว่ำ      "   หญิงบ้ำ ๆ   "   จึงถือเอำ
หยำกเยื่อ กอบฝุ่น โปรยลงบนศีรษะ ขว้ำงด้วยก้อนดิน.
            พระศำสดำประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ำมกลำงบริษัท ๔ ใน
พระเชตวันมหำวิหำร ได้ทอดพระเนตรเห็นนำงผูบำำเพ็ญบำรมีมำ
                                        ้
แสนกัลป์ สมบูรณ์ด้วยอภินิหำรเดินมำอยู่.
                          [   นำงได้ตงควำมปรำรถนำไว้ในชำติก่อน
                                     ั้                                   ]
            ได้ยินว่ำ ในกำลแห่งพระพุทธเจ้ำทรงพระนำมว่ำปทุมตตระ
                                                          ุ
นำงปฏำจำรำนั้น เห็นพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่ง อันพระปทุมุตตร-
ศำสดำทรงตั้งไว้ในตำำแหน่งเอตทัคคะ ดังท้ำวสักกะจับที่แขน ตัง
                                                          ้
ไว้ในสวนนันทวัน จึงทำำคุณควำมดีแล้ว ตังควำมปรำรถนำไว้ว่ำ
                                      ้
"   แม้หม่อมฉัน พึงได้ตำำแหน่งเลิศกว่ำพระเถรีผู้ทรงวินัยทังหลำย
                                                          ้
ในสำำนักพระพุทธเจ้ำเช่นกับด้วยพระองค์,       "       พระปทุมตตรพุทธเจ้ำ
                                                            ุ
ทรงเล็งเห็นอนำคตังสญำณไป ก็ทรงทรำบว่ำควำมปรำรถนำจะสำำเร็จ
จึงทรงพยำกรณ์ว่ำ      "   ในอนำคตกำล หญิงผู้นี้จักเป็นผู้เลิศกว่ำพระเถรี
ผู้ทรงวินัยทังหลำย โดยนำมปฏำจำรำ ในศำสนำของพระโคดม
             ้
พุทธเจ้ำ.   "
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -   หน้ำที่   212
          พระศำสดำ ทรงเห็นนำงผูมีควำมปรำรถนำตั้งไว้แล้ว อย่ำงนั้น
                               ้
ผู้สมบูรณ์ด้วยอภินิหำร กำำลังเดินมำแต่ทไกลเทียว ทรงดำำริว่ำ
                                       ี่                              "   เว้น
เรำเสีย ผูอื่นชื่อว่ำสำมำรถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี
          ้                                                      "    จึงได้
ทรงทำำนำงโดยประกำรที่นำงจะบ่ำยหน้ำมำสู่วิหำรเดินมำ.
          บริษัทเห็นนำงแล้วจึงกล่ำวว่ำ      "   ท่ำนทั้งหลำย อย่ำให้หญิงบ้ำนี้
มำที่นี้เลย.   "
          พระศำสดำตรัสว่ำ " พวกท่ำนจงหลีกไป, อย่ำห้ำมเธอ "
ในเวลำนำงมำใกล้ จึงตรัสว่ำ " จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง. "
นำงกลับได้สติด้วยพุทธำนุภำพในขณะนั้นเอง. ในเวลำนั้น นำง
กำำหนดควำมที่ผำนุ่งหลุดได้แล้ว ให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้น จึงนั่ง
              ้
กระโหย่ง.
          ลำำดับนั้น บุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้ำห่มไปให้นำง.        นำงนุ่งผ้ำนั้นแล้ว
เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ถวำยบังคมด้วยเบญจำงคประดิษฐ์ แทบพระ
บำททัง ๒ ซึงมีพรรณะดังทองคำำแล้ว ทูลว่ำ
     ้     ่                                      "   ขอพระองค์จงทรงเป็น
ที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้ำข้ำ,       เพรำะว่ำเหยียวเฉี่ยวบุตรคน
                                                     ่
หนึ่งของหม่อมฉัน, คนหนึ่งถูกนำ้ำพัดไป, สำมีตำยที่ทำงเปลี่ยว,
มำรดำบิดำและพี่ชำยถูกเรือนทับ เขำเผำบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน.                    "
          พระศำสดำทรงสดับคำำของนำง จึงตรัสว่ำ             "   อย่ำคิดเลย
ปฏำจำรำ,           เธอมำสู่สำำนักของผู้สำมำรถจะเป็นที่พึ่งพำำนักอำศัยของ
เธอได้แล้ว; เหมือนอย่ำงว่ำ บัดนี้ บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยว
เฉี่ยวไป, คนหนึ่งถูกนำ้ำพัดไป, สำมีตำยแล้วที่ทำงเปลี่ยว, มำรดำ
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔               -   หน้ำที่   213
บิดำและพี่ชำยถูกเรือนทับ ฉันใด:                      นำ้ำตำที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้
อยู่ในสงสำรนี้ ในเวลำที่ปิยชนมีบตรเป็นต้นตำย ยังมำกกว่ำนำ้ำแห่ง
                                ุ
มหำสมุทรทัง ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
          ้                                     "     ดังนี้แล้ว ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ   :-
                "   นำ้ำในมหำสมุทรทั้ง ๔ มีประมำณน้อย, นำ้ำตำ
                คนผูอันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศร้ำโศก ไม่ใช่น้อย
                    ้
                มำกกว่ำนำ้ำในมหำสมุทรนั้น;                    เหตุไร เธอจึง
                ประมำทอยู่เล่ำ          ?       แม่   "
          เมื่อพระศำสดำตรัสอนมตัคคปริยำยอยู่อย่ำงนั้น, ควำมโศกใน
สรีระของนำง ได้ถึงควำมเบำบำงแล้ว.
          ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงทรำบนำมผู้มีควำมโศกเบำบำงแล้ว
ทรงเตือนอีก แล้วตรัสว่ำ            "   ปฏำจำรำ ขึ้นชื่อว่ำปิยชนมีบตร
                                                                  ุ
เป็นต้น ไม่อำจเพื่อเป็นที่ตำนทำน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของ
                           ้
ผู้ไปสูปรโลกได้;
       ่               เพรำะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่ำนั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อ
ว่ำย่อมไม่มีทีเดียว,        ส่วนบัณฑิตชำำระศีลแล้ว ควรชำำระทำงทียัง
                                                                ่
สัตว์ให้ถึงนิพพำนของตนเท่ำนั้น              "       เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัส
พระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ     :-
                "   บุตรทังหลำย ไม่มีเพื่อต้ำนทำน, บิดำก็ไม่มี
                          ้
                ถึงพวกพ้องก็ไม่มี,                    เมื่อบุคคลถูกควำมตำย
                ครอบงำำแล้ว ควำมต้ำนทำนในญำติทั้งหลำย
                ย่อมไม่มี;             บัณฑิตทรำบอำำนำจประโยชน์นั้น
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -   หน้ำที่   214
                     แล้ว สำำรวมในศีล พึงชำำระทำงไปพระนิพพำน
                     โดยเร็วทีเดียว.   "
            ในกำลจบเทศนำ นำงปฏำจำรำเผำกิเลสมีประมำณเท่ำฝุ่น
ในแผ่นดินใหญ่แล้ว ตังอยูในโสดำปัตติผล,
                    ้   ่                               ชนแม้เหล่ำอื่นเป็น
อันมำก บรรลุอริยผลทังหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
                    ้
                                       [   นำงปฏำจำรำทูลขอบวช      ]
            ฝ่ำยนำงปฏำจำรำนั้นเป็นพระโสดำบันแล้ว ทูลขอบรรพชำ
กะพระศำสดำ.            พระศำสดำทรงส่งนำงไปยังสำำนักของพวกภิกษุณี
ให้บรรพชำแล้ว.           นำงได้อุปสมบทแล้วปรำกฏชื่อว่ำ         "   ปฏำจำรำ       "
เพรำะนำงกลับควำมประพฤติได้.ล้ำงเท้ำ เทนำ้ำลง. นำ้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ขำด.
ครั้งที่ ๒ นำ้ำที่
นำงเทลง ได้ไหลไปกว่ำนั้น. ครั้งที่ ๓ นำ้ำที่เทลง ได้ไหลไป
ไกลแม้กว่ำนั้น ด้วยประกำรฉะนี้.              นำงถือเอำนำ้ำนั้นนั่นแลเป็น
อำรมณ์ กำำหนดวัยทั้ง ๓ แล้ว คิดว่ำ       " สัตว์เหล่ำนี้ ตำยเสียใน
ปฐมวัยก็มี เหมือนนำ้ำที่เรำเทลงครั้งแรก, ตำยเสียในมัชฌิมวัยก็มี
เหมือนนำ้ำที่เรำเทลงครั้งที่ ๒ ไหลไปกว่ำนั้น, ตำยเสียในปัจฉิม-
วัยก็มี เหมือนนำ้ำที่เรำเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่ำนั้น. "
            พระศำสดำประทับในพระคันธกุฎีทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดัง
ประทับยืนตรัสอยู่เฉพำะหน้ำของนำง ตรัสว่ำ               "   ปฏำจำรำ ข้อนั่น
อย่ำงนั้น, ด้วยว่ำควำมเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็น

๑. บำลีว่ำ เพรำะมีควำมประพฤติเว้นจำกผืนผ้ำ ดังนี้ก็มี.
ประโยค๒    -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔      -    หน้ำที่   215
ควำมเกิดและควำมเสื่อมแห่งปัญจขันธ์เหล่ำนั้น ประเสริฐกว่ำ
ควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมแห่ง
ปัญจขันธ์   "   ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส
พระคำถำนี้ว่ำ   :-
                 "   ก็ผู้ใด ไม่เห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมอยู่
                 พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี,       ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของ
                 ผูเห็นควำมเกิดและควำมเสื่อม ประเสริฐกว่ำ
                   ้
                 ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น.   "
                                                     [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บำทพระคำถำว่ำ อปสฺส อุทยพฺพย ควำม
ว่ำ ไม่เห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมอยู่ ด้วยลักษณะ ๒๕ แห่ง
ปัญจขันธ์.      บำทพระคำถำว่ำ ปสฺสโต อุทยพฺพย ควำมว่ำ ควำมเป็น
อยูแม้วันเดียว ของผู้เห็น ควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมแห่งปัญจขันธ์
   ่
เหล่ำนั้น ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ของบุคคลนอกนี้.
         ในกำลจบเทศนำ           นำงปฏำจำรำบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทำทั้งหลำย ดังนี้แล.
                                           เรื่องนำงปฏำจำรำ จบ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   216
                                 ๑๓. เรื่องนำงกิสำโคตมี                            [
ข้อควำมเบื้องต้น   ]
           พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภนำง
กิสำโคตมี ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ        "    โย จ วสฺสสต ชีเว     "
เป็นต้น.
                                  [   ทรัพย์ของเศรษฐีกลำยเป็นถ่ำน        ]
           ได้ยินว่ำทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ในเรือนของเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุง
สำวัตถี ได้กลำยเป็นถ่ำนหมดตั้งอยู่.         เศรษฐีเห็นเหตุนั้นเกิดควำม
เศร้ำโศก จึงห้ำมอำหำรเสีย นอนอยู่บนเตียงน้อย.              สหำยผู้หนึ่งของ
เศรษฐีนั้นไปเรือนถำมว่ำ   "   เหตุไร จึงเศร้ำโศกเล่ำ   ?    เพื่อน   "
ฟังควำมเป็นไปนั้นแล้ว กล่ำวว่ำ    "   อย่ำเศร้ำโศกเลย เพื่อน, ฉัน
ทรำบอุบำยอย่ำงหนึ่ง, จงทำำอุบำยนั้นเถิด.        "
           เศรษฐี. ทำำอย่ำงไรเล่ำ ? เพื่อน.
           สหำย. เพื่อนท่ำนจงปูเสื่อลำำแพนที่ตลำดของตน ทำำถ่ำนให้เป็น
กองไว้ จงนังเหมือนจะขำย, บรรดำมนุษย์ที่มำแล้ว ๆ คนเหล่ำใดพูด
              ่
อย่ำงนี้ว่ำ ' ชนที่เหลือ ขำยผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึง และนำ้ำอ้อยเป็นต้น ส่วน
                                              ้
ท่ำนนั่งขำยถ่ำน, ' ส่วนผู้ใดพูดกับท่ำนอย่ำงนี้ว่ำ ' ชนที่เหลือ ขำย
ผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึ้ง และนำ้ำอ้อยเป็นต้น, ส่วนท่ำนนั่งขำยเงินและทอง, '
ท่ำนพึงพูดกะผู้นั้นว่ำ ' เงินและทองที่ไหน ? ' ก็เมื่อเขำพูดว่ำ ' นี้, '

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒      -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔            -    หน้ำที่   217
ท่ำนพึงพูดว่ำ       '    จงนำำเงินทองนั้นมำก่อน      '     แล้วรับด้วยมือทั้ง ๒, ของ
ที่เขำให้ในมือของท่ำนอย่ำงนั้น จักกลำยเป็นเงินและทอง; ก็ผู้นั้น
ถ้ำเป็นหญิงรุ่นสำว, ท่ำนจงนำำนำงมำเพื่อบุตรในเรือนของท่ำน มอบ
ทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้นำง พึงใช้สอยเงินทองที่นำงให้, ถ้ำเป็นเด็ก
ชำย, ท่ำนพึงให้ธิดำผู้เจริญวัยแล้วในเรือนของท่ำนแก่เขำ แล้วมอบ
ทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่เขำ ใช้สอยทรัพย์ที่เขำให้.
              เศรษฐีนั้นกล่ำวว่ำ      "       "
                                          อุบำยดี          จึงทำำถ่ำนให้เป็นกองไว้ใน
ร้ำนค้ำตลำดของตน             นั่งทำำเหมือนจะขำย.             คนเหล่ำใดพูดกะเศรษฐีนั้น
อย่ำงนี้ว่ำ    "   ชนที่เหลือทั้งหลำย ขำยผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึง และนำ้ำอ้อย
                                                           ้
เป็นต้น,        ท่ำนนั่งขำยถ่ำน      "    ก็ให้คำำตอบแก่คนเหล่ำนั้นว่ำ         "   ฉันไม่
ขำยของ ๆ ตน จักทำำอย่ำงไร             ?"
                                     [ ถ่ำนกลำยเป็นทรัพย์อย่ำงเดิม ]
              ครังนั้น
                 ้        หญิงรุ่นสำวคนหนึ่งชื่อโคตมี ปรำกฏชื่อว่ำ "               กิสำ-
โคตมี   "     เพรำะนำงมีสรีระแบบบำง เป็นธิดำของตระกูลเก่ำแก่ ไป
ยังประตูตลำดด้วยกิจอย่ำงหนึ่งของตน เห็นเศรษฐีนั้น จึงกล่ำว
อย่ำงนี้ว่ำ    "   พ่อ ชนที่เหลือ ขำยผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึง และนำ้ำอ้อย
                                                       ้
เป็นต้น,        ทำำไมท่ำนจึงนั่งขำยเงินและทอง              ?"
              เศรษฐี.       เงินทองที่ไหน    ?      แม่.
              นำงโคตมี.        ท่ำนนั่งจับเงินทองนั้นเอง มิใช่หรือ        ?
              เศรษฐี.       จงนำำเงินทองนั้นมำก่อน แม่.
              นำงกอบเต็มมือแล้ว วำงไว้ในมือของเศรษฐีนั้น.                    ถ่ำนนั้นได้
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔                  -   หน้ำที่   218
กลำยเป็นเงินและทองทั้งนั้น.
           ลำำดับนั้น เศรษฐีถำมนำงว่ำ                   "   แม่ เรือนเจ้ำอยูไหน.
                                                                            ่             "    เมื่อ
นำงตอบว่ำ      "    ชือโน้นจ้ะ.
                      ่                "       รู้ควำมที่นำงยังไม่มีสำมีแล้ว จึงเก็บ
ทรัพย์นำำนำงมำเพื่อบุตรของตน ให้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้.                                ทรัพย์
ทั้งหมดได้กลำยเป็นเงินและทองดังเดิม.
           สมัยอื่นอีกนำงตั้งครรภ์. โดยกำลล่วงไป ๑๐ เดือน นำงคลอดบุตร
แล้ว. บุตรนั้นได้ทำำกำละแล้วในเวลำเดินได้. นำงห้ำมพวกชนที่จะนำำ
บุตรนั้นไปเผำ เพรำะนำงไม่เคนเห็นควำมตำย อุ้มร่ำงบุตรผู้ตำยแล้ว
ด้วยสะเอว ด้วยหวังว่ำ          "   จักถำมถึงยำ เพื่อบุตรเรำ             "    เที่ยวถำมไป
ตำมลำำดับเรือนว่ำ        "   ท่ำนทั้งหลำยรู้จักยำเพื่อบุตรของฉันบ้ำงไหม
หนอ   ?. "          ทีนั้น คนทั้งหลำยพูดกับนำงว่ำ                 "   แม่ เจ้ำเป็นบ้ำแล้วหรือ          ?
เจ้ำเที่ยวถำมถึงยำเพื่อบุตรทีตำยแล้ว.
                             ่                         "      นำงสำำคัญว่ำ    "      จักได้คน
ผู้รู้จักยำเพื่อบุตรของเรำแน่แท้           "      จึงเที่ยวไป.
           ทีนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนำงแล้วคิดว่ำ                         "   ธิดำ
ของเรำนี้จักคลอดบุตรคนแรก ไม่เคยเห็นควำมตำย,                                 เรำเป็นที่พึ่ง
ของหญิงนี้ย่อมควร        "     จึงกล่ำวว่ำ          "      แม่ ฉันไม่รู้จักยำ,        แต่ฉัน
รู้จักคนผู้รู้ยำ.   "
           นำงโคตมี.          ใครรู้       ?    พ่อ.
           บัณฑิต.           แม่ พระศำสดำทรงทรำบ, จงไปทูลถำมพระองค์เถิด.
           นำงกล่ำวว่ำ        "    พ่อ ฉันจักไป,               จักทูลถำม พ่อ      "       ดังนั้นแล้ว
เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ถวำยบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้ำงหนึ่ง ทูล
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   219
ถำมว่ำ   "   ทรำบว่ำ พระองค์ทรงทรำบยำเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ              ?
พระเจ้ำข้ำ.   "
         พระศำสดำ. เออ เรำรู้.
         นำงโคตมี.        ได้อะไร    ?   จึงควร.
         พระำสดำ.        ได้เมล็ดพรรณผักกำดสักหยิบมือหนึ่ง ควร.
         นำงโคตมี.        จักได้ พระเจ้ำข้ำ, แต่ในเรือนใคร       ?   จึงควร.
         พระศำสดำ.          บุตรหรือธิดำไร ๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตำย,
ได้ในเรือนของผู้นั้น จึงควร.
         นำงทูลรับว่ำ     "   ดีละ พระเจ้ำข้ำ   "   แล้วถวำยบังคมพระศำสดำ
อุ้มบุตรผู้ตำยแล้วด้วยสะเอวเข้ำไปภำยในบ้ำน ยืนอยู่ที่ประตูเรือน
หลังแรก กล่ำวว่ำ     "   เมล็ดพรรณผักกำดในเรือนนี้ มีบ้ำงไหม    ?
ทรำบว่ำนั่นเป็นยำเพื่อบุตรของฉัน.  " เมื่อเขำตอบว่ำ        " มี, "จึง
กล่ำวว่ำ " ถ้ำอย่ำงนั้น จงให้เถิด, " เมื่อคนเหล่ำนั้นนำำเมล็ดพรรณ-
ผักกำดมำให้, จึงถำมว่ำ " ในเรือนนี้ บุตรหรือธิดำเคยตำยไม่มี
บ้ำงหรือ ? แม่ " เมื่อเขำตอบว่ำ " พูดอะไร ? แม่, เพรำะคนเป็น
มีเล็กน้อย, คนตำยนั้นแหละมีมำก. " จึงกล่ำวว่ำ " ถ้ำอย่ำง
นั้น จงรับเมล็ดพรรณผักกำดของท่ำนไปเถิด, นั่นไม่เป็นยำ เพื่อ
บุตรของฉัน " แล้วได้ให้คืนไป; เที่ยวถำมโดยทำำนองนี้ ตังแต่เรือน
                                                           ้
หลังต้น. นำงไม่รับเมล็ดพรรณผักกำดแม้ในเรือนหลังหนึ่ง ในเวลำ
เย็นคิดว่ำ " โอ กรรมหนัก, เรำได้ทำำควำมสำำคัญว่ำ ' บุตรของ
เรำเท่ำนั้นตำย, ' ก็ในบ้ำนทั้งสิ้น คนที่ตำยเท่ำนั้นมำกกว่ำคนเป็น. "
ประโยค๒       -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔           -   หน้ำที่    220
เมื่อนำงคิดอยู่อย่ำงนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยควำมรักบุตร ได้ถึงควำมแข็ง
แล้ว.      นำงทิงบุตรไว้ในป่ำ ไปยังสำำนักพระศำสดำ ถวำยบังคมแล้ว
                ้
ได้ยืน ณ ที่สุดข้ำงหนึ่ง.
           ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงตรัสกะนำงว่ำ               "   เธอได้เมล็ดพรรณ
ผักกำดประมำณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ          ?"
           นำงโคตมี.        ไม่ได้   พระเจ้ำข้ำ,       เพรำะในบ้ำนทั้งสิ้น คนตำย
นั้นแหละมำกกว่ำคนเป็น.
           ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสกะนำงว่ำ             "   เธอเข้ำใจว่ำ       '   บุตร
ของเรำเท่ำนั้นตำย,     '     ควำมตำยนั่นเป็นธรรมยังยืนสำำหรับสัตว์ทั้งหลำย,
                                                  ่
ด้วยว่ำ มัจจุรำชฉุดคร่ำสัตว์ทั้งหมด ผูมีอัธยำศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแล
                                      ้
ลงในสมุทรคืออบำย ดุจห้วงนำ้ำใหญ่ฉะนั้น             "    เมื่อจะทรงแสดงธรรม
จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ   :-
                "   มฤตยู ย่อมพำชนผู้มัวเมำในบุตรและสัตว์
                ของเลี้ยง ผูมีใจซ่ำนไปในอำรมณ์ต่ำง ๆ ไป ดุจ
                            ้
                 ห้วงนำ้ำใหญ่ พัดชำวบ้ำนผู้หลับไหลไปฉะนั้น.     "
           ในกำลจบคำถำ        นำงกิสำโคตมีดำำรงอยู่ในโสดำปัตติผล ,                  แม้
ชนเหล่ำอื่นเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทังหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น
                                   ้
ดังนีแล.
     ้
                                         [   นำงบวชในพุทธศำสนำ            ]
           ฝ่ำยนำงกิสำโคตมีนั้นทูลขอบรรพชำกะพระศำสดำแล้ว.                           พระ
ศำสดำทรงส่งไปยังสำำนักของนำงภิกษุณีให้บรรพชำแล้ว.                        นำงได้
ประโยค๒     -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔       -    หน้ำที่   221
อุปสมบทแล้วปรำกฏชื่อว่ำ       "   กิสำโคตมีเถรี.   "
         วันหนึ่ง นำงถึงวำระในโรงอุโบสถ นังตำมประทีปเห็นเปลว
                                          ่
ประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลงก็อย่ำงนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป ,    ผู้
ถึงพระ
นิพพำน ไม่ปรำกฏอย่ำงนั้น.         "
         พระศำสดำประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นแล ทรงแผ่พระรัศมี
ไป ดังนั่งตรัสตรงหน้ำนำง ตรัสว่ำ        "   อย่ำงนั่นแหละ โคตมี
สัตว์เหล่ำนั้น ย่อมเกิดและดับไปเหมือนเปลวประทีป,          ถึงพระนิพพำน
แล้ว ย่อมไม่ปรำกฏอย่ำงนั้น; ควำมเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของ
ผู้เห็นพระนิพพำน ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็น
พระนิพพำนอย่ำงนั้น   " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
             " ก็ผู้ใด ไม่เห็นบทอันไม่ตำย พึงเป็นอยู่ ๑๐๐
             ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของผู้เห็นบท อันไม่
             ตำย ประเสริฐกว่ำ ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น. "
                                                   [ แก้อรรถ ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ อมต ปท ควำมว่ำ อมตมหำ-
นิพพำน อันเป็นส่วนที่เว้นจำกมรณะ.
         คำำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำำมีในก่อนนั้นแล.

๑. ภิชฺชนฺติโย
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔   -   หน้ำที่   222
        ในกำลจบเทศนำ นำงกิสำโคตมีนั่งอยูตำมเดิมนั่นแล ดำำรง
                                        ่
อยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำย ดังนี้แล.
                                 เรื่องนำงกิสำโคตมี จบ.
ประโยค๒   -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔          -   หน้ำที่   223
                        ๑๔. เรื่องพระพหุปุตติกำเถรี                                  [   ข้อควำม
เบื้องต้น   ]
            พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ
พหุปุตติกำเถรี ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ       "     โย จ วสฺสสต ชีเว      "
เป็นต้น.
                                              [    นำงมีลูกมำก   ]
            ได้ยินว่ำ ในตระกูลหนึ่ง ณ กรุงสำวัตถี ได้มีบุตร ๗ คนและ
ธิดำ ๗ คน. บุตรและธิดำแม้ทั้งหมดนั้นเจริญวัยแล้ว ดำำรงอยูใน
                                                         ่
เรือน ได้ถึงควำมสุขตำมธรรมดำของตน.                สมัยอื่น บิดำของชน
เหล่ำนั้นได้ทำำกำละแล้ว.
            มหำอุบำสิกำ ถึงเมื่อสำมีล่วงลับไปแล้ว ก็ยงไม่แบ่งกองทรัพย์
                                                     ั
ให้แก่บุตรทั้งหลำยก่อน.        ครังนั้น บุตรทั้งหลำยกล่ำวกะมำรดำนั้นว่ำ
                                  ้
"   เมื่อบิดำของฉันล่วงลับไปแล้ว, ประโยชน์อะไรของแม่ด้วยกองทรัพย์,
พวกฉันไม่อำจบำำรุงแม่ได้หรือ     ?. "    นำงฟังคำำของบุตรเหล่ำนั้นแล้วก็
                                           " พวกลูก ๆ จักบำำรุงเรำ,
นิ่งเสีย ถูกบุตรเหล่ำนั้นพูดถึงบ่อย ๆ จึงคิดว่ำ
ประโยชน์อะไรของเรำด้วยกองทรัพย์ส่วนหนึ่ง " ได้แบ่งสมบัติทงหมด
                                                            ั้
ครึ่งหนึ่งให้ไป.
           ครังนั้น โดยกำลล่วงไป ๒ - ๓ วัน ภรรยำของบุตรคนใหญ่
              ้
กล่ำวกะแม่ผัวนั้นว่ำ " โอ คุณแม่ของพวกเรำมำเรือนนี้เท่ำนั้น
เหมือนกะให้ไว้ ๒ ส่วนว่ำ ' บุตรชำยคนใหญ่ของเรำ. ' แม้ภรรยำ

*   พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
ประโยค๒      -    พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔         -   หน้ำที่   224
ของบุตรที่เหลือ ก็กล่ำวอย่ำงนั้นเหมือนกัน.
               ตังแต่ต้นธิดำคนใหญ่ก็กล่ำวกะนำงดุจเดียวกัน แม้ในเวลำที่
                 ้
นำงไปเรือนของธิดำเหล่ำนั้น.                นำงถูกดูหมิ่น คิดว่ำ    "   ประโยชน์
อะไร ด้วยกำรอยู่ในสำำนักของคนเหล่ำนี้,                    เรำจักเป็นนำงภิกษุณี
เป็นอยู่   "     แล้วไปสูสำำนักของนำงภิกษุณีขอบรรพชำแล้ว.
                         ่                                                  นำง
ภิกษุณีเหล่ำนั้นให้นำงบรรพชำแล้ว.                   นำงได้อุปสมบทแล้วปรำกฏ
ชื่อว่ำ    "   พหุปุตติกำเถรี.    "       นำงคิดว่ำ   "   เรำบวชในเวลำแก่, เรำไม่
ควรเป็นคนประมำท          "       จึงทำำวัตตปฏิบัตแก่นำงภิกษุณีทั้งหลำย, คิด
                                                 ิ
ว่ำ   "   จักทำำสมณธรรมตลอดคืนยันรุ่ง           "     จึงเอำมือจับเสำต้นหนึ่งที่
ภำยใต้ปรำสำท เดินวนเวียนเสำนั้นทำำสมณธรรม, แม้เมื่อเดินจงกรม
ก็เอำมือจับต้นไม้ด้วยคิดว่ำ           "   ศีรษะของเรำพึงกระทบต้นไม้หรือที่
ไหน ๆ ในที่มืด      "     ดังนีแล้ว เดินวนเวียนต้นไม้นั้น ทำำสมณธรรม,
                               ้
นึกถึงธรรมด้วยคิดว่ำ         "   จักทำำตำมธรรมที่พระศำสดำทรงแสดง               "
ตำมระลึกถึงธรรมอยู่เทียวทำำสมณธรรม.
               ลำำดับนั้น พระศำสดำประทับนั่งในพระคันธกุฎีเทียว ทรง
แผ่พระรัศมีไปดังประทับนั่งตรงหน้ำ เมื่อตรัสกับนำง ตรัสว่ำ                  "   พหุ-
ปุตติกำ ควำมเป็นอยูแม้ครู่เดียว ของผู้เห็นธรรมที่เรำแสดงประเสริฐ
                   ่
กว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่นึกถึง ไม่เห็นธรรมที่เรำแสดง                  "
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ                 :-
                    "   ก็ผู้ใด ไม่เห็นธรรมอันยอดเยี่ยม พึงเป็นอยู่
                    ๑๐๐ ปี,       ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของผู้เห็นธรรม
ประโยค๒        -   พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔    -   หน้ำที่   225
              อันยอดเยียม ประเสริฐกว่ำ ควำมเป็นอยู่
                       ่
               ของผู้นั้น.   "
                                                     [   แก้อรรถ   ]
         บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ธมฺมมุตตม ได้แก่ โลกุตรธรรม
                                       ฺ
๙ อย่ำง.     ก็โลกุตตรธรรมนั้น ชื่อว่ำ ธรรมอันยอดเยียม.
                                                    ่              ก็ผู้ใด
ไม่เห็นธรรมอันยอดเยียมนั้น.
                    ่               ควำมเป็นอยู่แม้วันเดียว คือแม้ขณะ
เดียว ของผู้เห็น คือแทงตลอดธรรมนั้น ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่
๑๐๐ ปี ของผู้นั้น.
         ในกำลจบคำถำ พระพหุปุตติกำเถรีดำำรงอยู่ในพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย ดังนี้แล.
                ้
                                      เรื่องพระพหุปุตติกำเถรี จบ.
                                          สหัสวรรค วรรณนำ จบ.
                                                  วรรคที่ ๘ จบ

More Related Content

RTF
-------------- --- 3
PDF
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
RTF
-------------- --- 1
PDF
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
PDF
2 20+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๒
PDF
บาลี 23 80
PDF
Tri91 07+มหาวรรค+เล่ม+๕+ภาค+๒
PDF
Tri91 20+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๑
-------------- --- 3
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
-------------- --- 1
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
2 20+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๒
บาลี 23 80
Tri91 07+มหาวรรค+เล่ม+๕+ภาค+๒
Tri91 20+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๑

What's hot (12)

PDF
บาลี 31 80
DOC
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๕
PDF
บาลี 53 80
PDF
บาลี 42 80
PDF
บาลี 60 80
PDF
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
PDF
สมุดประจำตัวกิจกรรมเยาวชนภาคฤดูร้อน
PDF
บาลี 61 80
PDF
บาลี 41 80
PDF
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
PDF
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
บาลี 31 80
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๕
บาลี 53 80
บาลี 42 80
บาลี 60 80
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
สมุดประจำตัวกิจกรรมเยาวชนภาคฤดูร้อน
บาลี 61 80
บาลี 41 80
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
Ad

Viewers also liked (20)

PDF
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ธรรมนูญชีวิต
PDF
วิปัสสนานัย เล่ม2
PDF
ตัวอย่างแบบฟอร์ม หนังสือขอพระธรรมทูต
PDF
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) การศึกษาของคณะสงฆ์ ปัญหาที่รอทางออก
PDF
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
PDF
ภาค8
PDF
สุภีร์ ทุมทอง อินทรีย์ ๕
PDF
สุภีร์ ทุมทอง อริยสัจ
PDF
วิธีจองตั๋วเครื่องบิน โดยพระมหาทองสมุทร ธมฺมาทโร
PDF
การใช้หลักพุทธธรรมในการทำธุรกิจ
PDF
3 34+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๘
DOC
เบญจศีล
PDF
ภาค5
PDF
อุบาสิกาแก้ว เสียงล้ำ อริยสาวิกา
PDF
สุภีร์ ทุมทอง มรรค
PDF
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน ตอน ว่าด้วยพระสูตร
PDF
ปทวิจาร
PDF
1 13+อธิบายวากยสัมพันธ์+เล่ม+2
PDF
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
PDF
สุภีร์ ทุมทอง สัลเลขธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ธรรมนูญชีวิต
วิปัสสนานัย เล่ม2
ตัวอย่างแบบฟอร์ม หนังสือขอพระธรรมทูต
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) การศึกษาของคณะสงฆ์ ปัญหาที่รอทางออก
1 07+อธิบายบาลีไวยากรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
ภาค8
สุภีร์ ทุมทอง อินทรีย์ ๕
สุภีร์ ทุมทอง อริยสัจ
วิธีจองตั๋วเครื่องบิน โดยพระมหาทองสมุทร ธมฺมาทโร
การใช้หลักพุทธธรรมในการทำธุรกิจ
3 34+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๘
เบญจศีล
ภาค5
อุบาสิกาแก้ว เสียงล้ำ อริยสาวิกา
สุภีร์ ทุมทอง มรรค
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน ตอน ว่าด้วยพระสูตร
ปทวิจาร
1 13+อธิบายวากยสัมพันธ์+เล่ม+2
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
สุภีร์ ทุมทอง สัลเลขธรรม
Ad

Similar to -------------- --- 4 (20)

DOC
6. ----------------- ---6
PDF
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
PDF
3 31+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๕
PDF
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
PDF
บาลี 21 80
PDF
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
PDF
3 ตามรอยธรรม dhamatrail
PDF
3 ตามรอยธรรม dhamatrail
PDF
บาลี 22 80
PDF
3 31+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๕
PDF
Buddha
DOCX
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
PDF
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
DOCX
09. ยัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
PPT
ลอยกระทง
PDF
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
PDF
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
PDF
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
6. ----------------- ---6
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
3 31+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๕
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
บาลี 21 80
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
3 ตามรอยธรรม dhamatrail
3 ตามรอยธรรม dhamatrail
บาลี 22 80
3 31+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๕
Buddha
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
09. ยัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
ลอยกระทง
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔

More from Tongsamut vorasan (20)

PDF
หนังสืออนุสรณ์"งานพระราชทานเพลิงศพ" หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒
PDF
Food reflectionบทพิจารณาอาหารภาษาอังกฤษ
PDF
ระเบียบ รายนามวัด พระธรรมทูตจำพรรษาสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
PDF
คติธรรมแห่งชีวิต . โดย..พระพรหมคุณาภรณ์
PDF
เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม โดย.พระพรหมคุณาภรณ์
PDF
เจอวิกฤตจะเลือกเอาวิวัฒน์ รหือจะเอาวิบัติ
PDF
เจอวิกฤต จิตไม่วิบัติ โดย..พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตโต
PDF
เพื่อความเจริญงอกงามแห่งธรรม
PDF
พุทธศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ ๔๔
PDF
ทำเนียบวัดไทยในสังกัดสมัชชาสหรัฐอเมริกา 2018 2561 (4)
PDF
ระเบียบการขอพระไปปฏิบัติศาสนกิจชั่วคราวของสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
PDF
ระเบียบวาระการประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐฯ
PDF
ใบตอบรับเข้าร่วมประชุมครั้ง42 2018
PDF
ทะเบียนประวัติพระมาร่วมประชุมสมัชชาฯ๒๕๖
PDF
กำหนดการการประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในนสหรัฐอเมริกา
DOCX
154517 บทพิธีกรงานฌาปนกิจ
PDF
หลักสูตรผู้บวชระยะสั้น
PDF
หนังสือสอนพระบวชใหม่ นวโกวาท
PDF
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
PDF
ภพภูมิทั้ง 31ภูมิ ภาษาอังกฤษ
หนังสืออนุสรณ์"งานพระราชทานเพลิงศพ" หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒
Food reflectionบทพิจารณาอาหารภาษาอังกฤษ
ระเบียบ รายนามวัด พระธรรมทูตจำพรรษาสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
คติธรรมแห่งชีวิต . โดย..พระพรหมคุณาภรณ์
เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม โดย.พระพรหมคุณาภรณ์
เจอวิกฤตจะเลือกเอาวิวัฒน์ รหือจะเอาวิบัติ
เจอวิกฤต จิตไม่วิบัติ โดย..พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตโต
เพื่อความเจริญงอกงามแห่งธรรม
พุทธศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ ๔๔
ทำเนียบวัดไทยในสังกัดสมัชชาสหรัฐอเมริกา 2018 2561 (4)
ระเบียบการขอพระไปปฏิบัติศาสนกิจชั่วคราวของสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
ระเบียบวาระการประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐฯ
ใบตอบรับเข้าร่วมประชุมครั้ง42 2018
ทะเบียนประวัติพระมาร่วมประชุมสมัชชาฯ๒๕๖
กำหนดการการประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในนสหรัฐอเมริกา
154517 บทพิธีกรงานฌาปนกิจ
หลักสูตรผู้บวชระยะสั้น
หนังสือสอนพระบวชใหม่ นวโกวาท
เพลงชาติไทย แปลภาษาอังกฤษ2
ภพภูมิทั้ง 31ภูมิ ภาษาอังกฤษ

-------------- --- 4

  • 1. คำำนำำ กำรศึกษำพระปริยัติธรรม ทีจะอำำนวยประโยชน์แก่ผู้ศึกษำ ่ เต็มที่ จำำต้องมีหนังสือเครื่องประกอบหลักสูตรครบบริบูรณ์ เพรำะ หนังสือเครื่องประกอบเท่ำกับดวงประทีปสำำหรับส่องมรรคำ ให้ผู้ศึกษำ มองเห็นแนวทำงได้สะดวกชัดเจน เพรำะฉะนั้น กองตำำรำแห่งมหำ- มกุฏรำชวิทยำลัย ในพระบรมรำชูปถัมภ์ ซึงมีหน้ำที่จดพิมพ์หนังสือ ่ ั ที่เกี่ยวแก่กำรศึกษำพระปริยัติธรรมทุกประเภท จึงได้คดจัดพิมพ์ ิ หนังสือเครื่องอุปกรณ์ทั้งฝ่ำยนักธรรมทั้งฝ่ำยบำลีขึ้น เพื่อให้ผู้ศึกษำ ได้รับควำมสะดวกในกำรศึกษำ และได้จัดพิมพ์เสร็จไปแล้วหลำย เรื่อง เฉพำะหนังสือธัมมปทัฏฐกถำ ก็นับว่ำเป็นหนังสือสำำคัญเรื่อง หนึ่ง เพรำะใช้เป็นหลักสูตรเปรียญธรรมประโยค ๓ ผู้ศึกษำบำล ีีเมื่อเรียนบำลีไวยำกรณ์จบแล้ว ก็เริ่มเรียนธัมมปทัฏฐกถำเป็นลำำดับ ไป เห็นควรแปลเป็นภำษำไทยให้ตลอดเรื่อง จึงได้มอบให้ พระมหำอู นิสฺสโภ ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร เป็นผู้รับไปดำำเนินกำร. ท่ำนได้ค้นคว้ำรวบรวมจำกหนังสือต่ำง ๆ ซึงพระเถรำนุเถระได้แปล ่ ไว้บ้ำง ขอให้ท่ำนที่เป็นกรรมกำรกองตำำรำช่วยแปลบ้ำง ขอให้ ท่ำนที่เป็นเปรียญในสำำนักเดียวและต่ำงสำำนักช่วยแปลบ้ำง. แต่กำรแปลนั้น ได้ขอให้แปลตำมวิธีกำรที่กองตำำรำได้วำงไว้ เพื่อให้หนังสือเป็นระเบียบเดียวกัน ไม่ลักลั่น โดยถือหลักว่ำ แปลให้ได้ ควำมชัด สำำนวนเรียบร้อย ไม่โลดโผนจนเสียหลักของภำษำ และแปล เท่ำศัพท์อย่ำงพระกรรมกำรแปลเป็นตัวอย่ำงในสนำมหลวง ถ้ำทีไหน ่ ถ้ำที่ไหนไม่มีศัพท์ เพิ่มเข้ำใหม่ ก็ทำำเครื่องหมำยวงเล็บ [] ไว้ ถ้ำที่ไหน บ่งถึงข้อธรรมก็ดี เกี่ยวกับลัทธิธรรมเนียมก็ดี ท่ำนชักควำมมำ จำกบำลีหรือคัมภีร์อื่น ๆ ก็ดี ก็ได้ทำำเชิงอรรถบอกไว้ให้ทรำบ เพื่อ สะดวกแก่ผู้ศึกษำซึ่งสนใจในกำรค้นคว้ำ. กองตำำรำ ฯ ขอแสดงควำมขอบใจท่ำนผูช่วยแปลและผู้มีส่วน ้ ช่วยให้หนังสือนี้สำำเร็จทุก ๆ ท่ำน และขออุทิศส่วนกุศลซึ่งเกิดจำก หนังสือนี้ แต่ทำนบุรพูปัธยำจำรย์ผู้บริหำรพระศำสนำสืบ ๆ กันมำ. ่
  • 3. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 1 ๖. บัณฑิตวรรค วรรณนำ ๑. เรื่องพระรำธเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภท่ำนพระ รำธะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " นิธีนว ปวตฺตำร " เป็นต้น. [ รำธพรำหมณ์ซูบผอมเพรำะไม่ได้บวช ] ได้ยินว่ำ พระรำธะนั้น ในเวลำเป็นคฤหัสถ์ ได้เป็นพรำหมณ์ ตกยำกอยู่ในกรุงสำวัตถี. เขำคิดว่ำ " เรำจักเลี้ยงชีพอยูในสำำนักของ ่ ภิกษุทั้งหลำย " ดังนี้แล้ว ไปสู่วิหำร ดำยหญ้ำ กวำดบริเวณ ถวำย วัตถุมีนำ้ำล้ำงหน้ำเป็นต้น อยู่ในวิหำรแล้ว. ภิกษุทั้งหลำยได้สงเครำะห์ เธอแล้วก็ตำม, แต่ก็ไม่ปรำรถนำจะให้บวช. เขำเมื่อไม่ได้บวช จึง ซูบผอมแล้ว. [ รำธพรำหมณ์มีอุปนิสัยพระอรหัต ] ภำยหลังวันหนึ่ง พระศำสดำทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลำใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นพรำหมณ์นั้นแล้ว ทรงใคร่ครวญอยู่ว่ำ " เหตุอะไร หนอ ?" ดังนีแล้ว ทรงทรำบว่ำ ้ " รำธพรำหมณ์จักเป็นพระอรหันต์ " ในเวลำเย็น เป็นเหมือนเสด็จเที่ยวจำริกไปในวิหำร เสด็จไปสู่ * พระมหำเปลี่ยน ป. ธ. ๗ วัดสัมพันธวงศ์ แปล. ปัจจุบันเป็นพระรำชวรญำณมุนี ป. ธ. ๙ วัดบูรณศิริมำตยำรำม.
  • 4. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 2 สำำนักของพรำหมณ์แล้วตรัสถำมว่ำ " พรำหมณ์ เธอเที่ยวทำำอะไร อยู่ ?" เขำกรำบทูลว่ำ " ข้ำพระองค์ทำำวัตตปฏิวัตรแก่ภิกษุทั้งหลำยอยู่ พระเจ้ำข้ำ. " พระศำสดำ. เธอได้กำรสงเครำะห์จำกสำำนักของภิกษุเหล่ำนั้น หรือ ? พรำหมณ์. ได้พระเจ้ำข้ำ, ข้ำพระองค์ได้แต่เพียงอำหำร, แต่ ท่ำนไม่ให้ข้ำพระองค์บวช. [ พระสำรีบุตรเป็นผู้กตัญญูกตเวที ] พระศำสดำรับสังให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพรำะเรื่องนั้นแล้ว ตรัส ่ ถำมควำมนั้นแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ใคร ๆ ระลึกถึง คุณของพรำหมณ์นี้ได้ มีอยู่บำงหรือ ้ ?" พระสำรีบุตรเถระกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์ระลึกได้, เมื่อข้ำพระองค์เที่ยวบิณฑบำต อยู่ในกรุงรำชคฤห์ พรำหมณ์นี้ให้คนถวำยภิกษำทัพพีหนึ่ง ที่เขำ นำำมำเพื่อตน, ข้ำพระองค์ระลึกถึงคุณของพรำหมณ์นี้ได้. " เมื่อพระ ศำสดำตรัสว่ำ " สำรีบตร ก็กำรที่เธอเปลื้องพรำหมณ์ผู้มีอุปกำระ ุ ? " ท่ำนกรำบทูลว่ำ อันกระทำำแล้วอย่ำงนี้ จำกทุกข์ ไม่ควรหรือ " ดีละ พระเข้ำข้ำ, ข้ำพระองค์จักให้เขำบวช " จึงให้พรำหมณ์นั้น บวชแล้ว. [ พรำหมณ์บวชแล้วเป็นคนว่ำง่ำย ] อำสนะที่สุดแห่งอำสนะในโรงฉันย่อมถึงแก่ท่ำน, ท่ำนลำำบำก
  • 5. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 3 อยู่ ด้วยอำหำรวัตถุมีขำวยำคูและภัตรเป็นต้น. ้ พระเถระพำท่ำนหลีก ไปสู่ที่จำริกแล้ว. กล่ำวสอน พรำ่ำสอนท่ำนเนือง ๆ ว่ำ " สิ่งนี้ คุณ ควรทำำ, สิ่งนี้ คุณไม่ควรทำำ " เป็นต้น. ท่ำนได้เป็นผู้วำง่ำย มี ่ ปกติรับเอำโอวำทโดยเบื้องขวำแล้ว, เพรำะฉะนั้น เมื่อท่ำนปฏิบัตตำม ิ คำำที่พระเถระพรำ่ำสอนอยู่ โดย ๒-๓ วันเท่ำนั้น ก็ได้บรรลุพระอรหัต แล้ว. พระเถระพำท่ำนไปสู่สำำนักพระศำสดำ ถวำยบังคมนั่งแล้ว. ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงทำำปฏิสันถำรกะท่ำนแล้ว ตรัสว่ำ " สำรีบตร อันเตวำสิกของเธอเป็นผู้ว่ำง่ำยแลหรือ ุ ?" พระเถระ. อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ, เธอเป็นผู้ว่ำง่ำยเหลือเกิน, เมื่อโทษไร ๆ ที่ขำพระองค์แม้กล่ำวสอนอยู่, ไม่เคยโกรธเลย. ้ พระศำสดำ. สำรีบุตร เธอเมื่อได้สัทธิวิหำริกเห็นปำนนี้ จะพึง รับได้ประมำณเท่ำไร ? พระเถระ. ข้ำพระองค์พึงได้รับแม้มำกทีเดียว พระเจ้ำข้ำ. [ พวกภิกษุสรรเสริญพระสำรีบตรและพระรำธะ ] ุ ภำยหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " ได้ยิน ว่ำ พระสำรีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูกตเวที ระลึกถึงอุปกำระสักว่ำภิกษำ ทัพพีหนึ่ง ให้พรำหมณ์ตกยำกบวชแล้ว; แม้พระรำธเถระก็เป็นผู้อดทน ต่อโอวำท ได้ท่ำนผู้ควรแก่กำรสังสอนเหมือนกันแล้ว. ่ " [ พระศำสดำทรงแสดงอลีนจิตตชำดก ] พระศำสดำทรงสดับกถำของภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุ
  • 6. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 4 ทั้งหลำย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่ำนั้น, ถึงในกำลก่อน สำรีบตรเป็นผู้ ุ กตัญญูกตเวทีเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว เพื่อจะประกำศควำมนั้น จึงตรัส อลีนจิตตชำดก " เสนำหมู่ใหญ่อำศัยเจ้ำอลีนจิตตกุมำร ร่ำเริง ทั่วกันแล้ว ได้ให้ชำงจับพระเจ้ำโกศลทั้งเป็น ้ ผู้ไม่พอพระทัยด้วยรำชสมบัติ, ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วย นิสัยอย่ำงนี้ เป็นผู้มีควำมเพียรอันปรำรภแล้ว เจริญกุศลธรรมอยู่, เพื่อบรรลุธรรมเป็นแดนเกษม จำกโยคะ พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ ทั้งปวงโดยลำำดับ. " ได้ยินว่ำ ช้ำงตัวหนึ่งเที่ยวไปตัวเดียว รู้อุปกำระที่พวกช่ำงไม้ ทำำแล้วแก่ตน โดยภำวะคือทำำเท้ำให้หำยโรค แล้วให้ลูกช้ำงตัวขำว ปลอด ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสำรีบุตรเถระแล้ว. [ ภิกษุควรเป็นผู้ว่ำง่ำยอย่ำงพระรำธเถระ ] พระศำสดำครั้นตรัสชำดกปรำรภพระเถระอย่ำงนั้นแล้ว ทรง ปรำรภพระรำธเถระ ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำภิกษุควรเป็น ผู้ว่ำง่ำยเหมือนรำธะ, แม้อำจำรย์ชี้โทษกล่ำวสอนอยู่ ก็ไม่ควรโกรธ, อนึ่ง ควรเห็นบุคคลผู้ให้โอวำท เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ให้ฉะนั้น " ดังนีแล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ ้ :- ๑. ขุ. ชำ. ๒๗/๕๒. ตทฏฺกถำ. ๓/๒๓.
  • 7. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 5 " บุคคล นิคคหะ ชี้โทษ ว่ำเป็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้ , พึงคบผูมีปัญญำเช่นนั้น ซึ่งเป็นบัณฑิต, ้ (เพรำะว่ำ) เมื่อคบท่ำนผู้เช่นนั้น มีแต่คุณอย่ำงประเสริฐ ไม่มีโทษที่ลำมก. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ นิธีน ได้แก่ หม้อแห่งขุมทรัพย์อัน เต็มด้วยเงินทองเป็นต้น ซึ่งเขำฝังเก็บไว้ในที่นั้น ๆ. บทว่ำ ปวตฺตำร คือ เหมือนอย่ำงผู้ทำำควำมอนุเครำะห์คน เข็ญใจ ซึงเป็นอยู่โดยฝืดเคือง แล้วชักชวนว่ำ ่ " ท่ำนจงมำ, เรำจักชี้ อุบำยเลี้ยงชีพโดยสะดวกแก่ท่ำน " ดังนี้แล้ว นำำไปยังที่ขุมทรัพย์แล้ว เหยียดออกบอกว่ำ " ท่ำนจงถือเอำทรัพย์นี้เลี้ยงชีพตำมสบำยเถิด." วินิจฉัยในบทว่ำ วชฺชทสฺสิน : ภิกษุผู้ชี้โทษมี ๒ จำำพวก คือ ภิกษุคอยแส่หำโทษ ด้วยคิดว่ำ " เรำจักข่มภิกษุนั้นด้วยมำรยำทอัน ไม่สมควร หรือด้วยควำมพลั้งพลำดอันนี้ในท่ำมกลำงสงฆ์ " ดังนี้ จำำพวก ๑. ภิกษุผดำำรงอยู่แล้วตำมสภำพ ด้วยสำมำรถแห่งกำร ู้ อุ้มชูด้วยกำรแลดูโทษนั้น ๆ เพื่อประโยชน์จะให้รู้สิ่งทียังไม่รู้ เพื่อ ่ ต้องกำรจะได้ถือตำมเอำสิงที่รู้แล้ว เพรำะควำมเป็นผู้ปรำรถนำควำม ่ เจริญแห่งคุณมีศีลเป็นต้นแก่ผู้นั้น จำำพวก ๑; ภิกษุจำำพวกหลังนี้ ๑. พระรำชกวี (อำบ) วัดบวรนิเวศวิหำร แปลออกสอบเปรียญ ๖ ประโยค ใน สนำมหลวง พ. ศ. ๒๔๖๔.
  • 8. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 6 พระผูมีพระภำคทรงประสงค์ ในบทว่ำ วชฺชทสฺสน นี้. ้ คนเข็ญใจถูก ผู้อื่นคุกคำมก็ดี ตีก็ดี ชี้ขุมทรัพย์ให้ว่ำ " แกจงถือเอำทรัพย์นี้ " ย่อม ไม่ทำำควำมโกรธ, มีแต่ปรำโมทย์อย่ำงเดียว ฉันใด; เมื่อบุคคลเห็น ปำนดังนั้น เห็นมำรยำทมิบงควรก็ดี ควำมพลำดพลั้งก็ดี แล้วบอก ั อยู่, ผูรบบอกไม่ควรทำำควำมโกรธ ควรเป็นผู้ยินดีอย่ำงเดียว ฉันนั้น. ้ ควรปรำรถนำทีเดียวว่ำ " ท่ำนเจ้ำข้ำ กรรมอันใหญ่ อันใต้เท้ำผูตั้ง ้ อยู่ในฐำนเป็นอำจำรย์ เป็นอุปัชฌำย์ ของกระผมแล้ว สังสอนอยู่ ่ กระทำำแล้ว, แม้ต่อไป ใต้เท้ำพึงโอวำทกระผม " ดังนี้. บทว่ำ นิคฺคยฺหวำทึ ควำมว่ำ ก็อำจำรย์บำงท่ำนเห็นมำรยำท อันมิบังควรก็ดี ควำมพลั้งพลำดก็ดี ของพวกศิษย์มีสัทธิวิหำริกเป็น อำทิแล้ว ไม่อำจเพื่อจะพูด ด้วยเกรงว่ำ " ศิษย์ผู้นี้อุปัฏฐำกเรำอยู่ ด้วยกิจวัตรมีให้นำ้ำบ้วนปำกเป็นต้น แก่เรำ โดยเคำรพ; ถ้ำเรำจักว่ำ เธอไซร้, เธอจักไม่อุปัฏฐำกเรำ, ควำมเสื่อมจักมีแก่เรำ ด้วยอำกำร อย่ำงนี้ " ดังนี้ ย่อมหำชื่อว่ำเป็นผู้กล่ำวนิคคหะไม่, เธอผู้นั้น ชื่อว่ำ เรี่ยรำยหยำกเยื่อลงในศำสนำนี้. ส่วนอำจำรย์ใด เมื่อเห็นโทษปำนนั้น แล้ว คุกคำม ประณำม ลงทัณฑกรรม ไล่ออกจำกวิหำร ตำม สมควรแก่โทษ ให้ศึกษำอยู่. อำจำรย์นี้ ชื่อว่ำผู้กล่ำวนิคคหะ; แม้เหมือนอย่ำงพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ. สมจริงอย่ำงนั้น พระผู้มีพระ- ภำคตรัสคำำนี้ไว้ว่ำ " ดูก่อนอำนนท์ เรำจักกล่ำวข่ม ๆ, ดูก่อน อำนนท์ เรำจักกล่ำวยกย่อง ๆ, ผู้ใดเป็นสำระ, ผูนั้นจักดำำรงอยู่ได้. ้ " บทว่ำ เมธำวึ คือ ผู้ประกอบด้วยปัญญำมีโอชะเกิดแต่ธรรม.
  • 9. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 7 บทว่ำ ตำทิส เป็นต้น ควำมว่ำ บุคคลพึงคบ คือพึงเข้ำไป นั่งใกล้ บัณฑิตเห็นปำนนั้น, เพรำะเมื่ออันเตวำสิกคบอำจำรย์เช่นนั้น อยู่, คุณอย่ำงประเสริฐย่อมมี โทษที่ลำมกย่อมไม่มี คือมีแต่ควำม เจริญอย่ำงเดียว ไม่มีควำมเสื่อมเสีย. ในที่สุดเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ- ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระรำธเถระ จบ.
  • 10. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 8 ๒. เรื่องภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภภิกษุอัสสชิ และปุนัพพสุกะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โอวเทยฺยำนุสำเสยฺย " เป็นต้น. ก็เทศนำตังขึ้นแล้วที่กิฏำคีรี. ้ [ ภิกษุลำมกต้องถูกปัพพำชนียกรรม ] ดังได้สดับมำ ภิกษุ ๒ รูปนั้น แม้เป็นสัทธิวิหำริกของพระ อัครสำวกก็จริง, ถึงอย่ำงนั้น เธอก็กลำยเป็นอลัชชี เป็นภิกษุชั่ว. ภิกษุ ๒ รูปนั้น เมื่ออยู่ที่กิฏำคีรี กับภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึงเป็นบริวำร- ่ ของตน (ล้วน) เป็นผู้ชั่วช้ำ ทำำอนำจำรหลำยอย่ำงหลำยประกำร เป็นต้นว่ำ ปลูกต้นไม้กระถำงเองบ้ำง ใช้ให้เขำปลูกบ้ำง ทำำกรรมแห่ง ภิกษุผู้ประทุษร้ำยตระกูล เลี้ยงชีพด้วยปัจจัยอันเกิดแต่กรรมนั้น ได้ ทำำอำวำสนั้นมิให้เป็นที่อยู่แห่งพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก. พระศำสดำ ทรงสดับข่ำวนั้นแล้ว ตรัสเรียกพระอัครสำวกทั้ง ๒ พร้อมด้วยบริวำร มำ เพื่อทรงประสงค์ทำำปัพพำชนียกรรมแก่พวกภิกษุพวกนั้นแล้ว ตรัสว่ำ " สำรีบตรและโมคคัลลำนะ ุ เธอพำกันไปเถิด, ในภิกษุเหล่ำนั้น เหล่ำใดไม่เชื่อฟังคำำของเธอ, จงทำำปัพพำชนียกรรมแก่ภิกษุเหล่ำนั้น; ส่วนเหล่ำใดเชื่อฟังคำำ, จงว่ำกล่ำวพรำ่ำสอนเหล่ำนั้น, ธรรมดำผู้ว่ำ กล่ำวสั่งสอน ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ที่มใช่บัณฑิตเท่ำนั้น , ิ แต่เป็นที่ *แปลออกสอบเปรียญ ๖ ประโยค ในสนำมหลวง พ.ศ. ๒๔๖๙.
  • 11. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 9 รักที่ชอบใจของบัณฑิตทั้งหลำย " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ แสดงธรรม จึงได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ผู้ใดพึงว่ำกล่ำว พึงสอน และพึงห้ำมจำก ธรรมของอสัตบุรุษ, ผูนั้นแล ย่อมเป็นที่รักของ ้ สัตบุรุษทังหลำย, ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ. ้ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ โอวเทยฺย ควำมว่ำ เมื่อเกิดเรื่อง ขึ้นแล้ว จึงกล่ำว ชื่อว่ำย่อมโอวำท, เมื่อยังไม่เกิดเรื่อง ชีโทษอัน ้ ยังไม่มำถึง ด้วยสำมำรถเป็นต้นว่ำ " แม้โทษจะพึงมีแก่ท่ำน " ดังนี้ ชื่อว่ำย่อมอนุศำสน์; กล่ำวต่อหน้ำ ชื่อว่ำย่อมโอวำท, ส่งฑูตหรือ ศำสน์ไปในที่ลับหลัง ชื่อว่ำย่อมอนุศำสน์. แม้กล่ำวครำวเดียว ชือ ่ ว่ำย่อมโอวำท, กล่ำวบ่อย ๆ ชื่อว่ำย่อมอนุศำสน์. อีกอย่ำงหนึ่ง กำำลังโอวำทนั่นแล ชื่อว่ำอนุศำสน์ พึงกล่ำวสังสอนอย่ำงนี้ ด้วย ่ ประกำรฉะนี้. บทว่ำ อสฺพภำ ควำมว่ำ พึงห้ำมจำกอกุศลธรรม พึงให้ตั้ง อยู่ในกุศลธรรม. บทว่ำ สต ควำมว่ำ บุคคลเห็นปำนนี้นั้น ย่อม เป็นที่รักแห่งสัตบุรุษทั้งหลำย มีพระพุทธเจ้ำเป็นต้น; แต่ผู้ว่ำกล่ำว ผู้สงสอนนั้น ย่อมไม่เป็นที่รักแห่งพวกที่ไม่เห็นธรรม มีปรโลกอัน ั่ ข้ำมล่วงแล้ว ผู้เห็นแก่อำมิส บวชเพื่อประโยชน์แก่กำรเลี้ยงชีพ เหล่ำนั้น ชื่อว่ำอสัตบุรุษ ผู้ทมแทงด้วยหอกคือปำกอย่ำงนี้ว่ำ ิ่ " ท่ำน
  • 12. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 10 ไม่ใช่พวกอุปัชฌำย์อำจำรย์ของพวกเรำ, ว่ำกล่ำวพวกเรำทำำไม ?" ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มี โสดำปัตติผลเป็นต้นแล้ว. ฝ่ำยพระสำรีบุตรและพระโมคคัลลำนะ ไปที่กิฏำคีรีนั้น ว่ำกล่ำว สั่งสอนภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว. ในภิกษุเหล่ำนั้น บำงพวกก็รับโอวำท ตังใจประพฤติปฏิบัติ, ้ บำงพวกก็สึกไป, บำงพวกต้องปัพพำชนียกรรม ดังนีแล. ้ เรื่องภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ จบ.
  • 13. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 11 ๓. เรื่องพระฉันนเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระฉันน- เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " น ภเช ปำปเก มิตฺเต " เป็นต้น. [ พระฉันนเถระด่ำพระอัครสำวก ] ดังได้สดับมำ ท่ำนพระฉันนะนั้นด่ำพระอัครสำวกทั้ง ว่ำ " เรำเมื่อตำมเสด็จออกมหำภิเนษกรมน์ กับพระลูกเจ้ำของเรำทั้งหลำย ในเวลำนั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว, แต่บัดนี้ ท่ำนพวกนี้เที่ยว กล่ำวว่ำ ' เรำชื่อสำรีบุตร, เรำชื่อโมคคัลลำนะ, พวกเรำเป็นอัคร- สำวก. " พระศำสดำทรงสดับข่ำวนั้นแต่สำำนักภิกษุทั้งหลำยแล้ว รับสั่ง ให้หำพระฉันนเถระมำ ตรัสสอนแล้ว. ท่ำนนิ่งในชั่วขณะนั้นเท่ำนั้น ยังกลับไปด่ำพระเถระทั้งหลำยเหมือนอย่ำงนั้นอีก. พระศำสดำรับสั่ง ให้หำท่ำนซึ่งกำำลังด่ำมำแล้ว ตรัสสอนอย่ำงนั้นถึง ๓ ครั้งแล้ว ตรัส เตือนว่ำ " ฉันนะ ชื่อว่ำอัครสำวกทั้ง ๒ เป็นกัลยำณมิตร เป็นบุรุษ ชั้นสูง ของเธอ, เธอจงเสพ จงคบกัลยำณมิตรเห็นปำนนี้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " บุคคลไม่ควรคบปำปมิตร, ไม่ควรคบบุรุษตำ่ำช้ำ, ควรคบกัลยำณมิตร, ควรคบบุรุษสูงสุด. " *แปลออกสอบเปรียญ ๖ ประโยค ในสนำมหลวง พ.ศ. ๒๔๖๙.
  • 14. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 12 [ แก้อรรถ ] เนื้อควำมแห่งพระคำถำนั้นว่ำ " คนผูยินดีในอกุศลกรรม มี ้ กำยทุจริตเป็นต้น ชื่อว่ำปำปมิตร, คนผูชักนำำในเหตุอันไม่สมควร มี ้ กำรตัดช่องเป็นต้นก็ดี อันต่ำงโดยกำรแสวงหำไม่ควร ๒๑ อย่ำงชื่อว่ำบุรุษตำ่ำช้ำ . อนึ่ง ชน ๒ จำำพวกนั้น ชือว่ำเป็นทั้งปำปมิตร ่ ทั้งบุรุษตำ่ำช้ำ; บุคคลไม่ควรคบ คือไม่ควรนั่งใกล้เขำเหล่ำนั้น; ฝ่ำย ชนผูผิดตรงกันข้ำม ชื่อว่ำเป็นกัลยำณมิตร ทั้งสัตบุรุษ , ้ บุคคลควร คบ คือควรนั่งใกล้ท่ำนเหล่ำนั้น. ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มี โสดำปัตติผลเป็นต้นแล้ว. [ พระศำสดำตรัสสั่งให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ ] ฝ่ำยพระฉันนเถระ แม้ได้ฟังพระโอวำทแล้ว ก็ยังด่ำขู่พวกภิกษุ อยู่อีกเหมือนนัยก่อนนั่นเอง. แม้พวกภิกษุก็กรำบทูลแด่พระศำสดำ อีก. พระศำสดำตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย เมื่อเรำยังมีชีวิตอยู่ พวก เธอจักไม่อำจ เพื่อให้ฉันนะสำำเหนียกได้. แต่เมื่อเรำปรินิพพำนแล้ว จึงจักอำจ " ดังนี้แล้ว, เมื่อพระอำนนท์ทูลถำม ในเวลำจวนจะ เสด็จปรินิพพำนว่ำ " พระเจ้ำข้ำ อันพวกข้ำพระองค์จะพึงปฏิบัติใน พระฉันนเถระอย่ำงไร ? จึงตรัสบังคับว่ำ " อำนนท์ พวกเธอพึงลง พรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุเถิด. " ๑. ปรมัตถโชติก หน้ำ ๒๖๕.
  • 15. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 13 พระฉันนะนั้น เมือพระศำสดำเสด็จปรินิพพำนแล้ว ได้ฟัง ่ พรหมทัณฑ์ ที่พระอำนนทเถระยกขึ้นแล้ว มีทุกข์ เสียใจ ล้มสลบ ถึง ๓ ครั้ง แล้ววิงวอนว่ำ " ข้ำแต่ท่ำนผู้เจริญ ขอท่ำนอย่ำให้กระผม ฉิบหำยเลย " ดังนีแล้ว บำำเพ็ญวัตรอยู่โดยชอบ ้ ต่อกำลไม่นำนนัก ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำยแล้ว ดังนี้แล. เรื่องพระฉันนเถระ จบ.
  • 16. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 14 ๔. เรื่องพระมหำกัปปินเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระมหำ กัปปินเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " ธมฺมปีติ สุข เสติ " เป็นต้น. ในเรื่องนั้น มีอนุบุพพีกถำ ดังต่อไปนี้ :- [ พระปัจเจกพุทธะทูลขอหัตถกรรมทำำเสนำสนะ ] ได้ยินว่ำ ในอดีตกำล ท่ำนพระมหำกัปปินะ มีอภินิหำรได้ทำำไว้ แทบบำทมูลของพระพุทธเจ้ำทรงพระนำมว่ำปทุมุตตระ ท่องเที่ยว อยู่ในสงสำร เกิดเป็นนำยช่ำงหูกผู้เป็นหัวหน้ำ ในบ้ำนช่ำงหูกแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลแต่กรุงพำรำณสี. ครังนั้น ้ พระปัจเจกพุทธะประมำณพัน องค์ อยู่ในหิมวันตประเทศ ๘ เดือน อยู่ในชนบท ๔ เดือนอันเป็น ฤดูฝน. ครำวหนึ่ง พระปัจเจกพุทธะเหล่ำนั้น พักอยู่ในที่ไม่ไกลแต่ กรุงพำรำณสี แล้วส่งพระปัจเจกพุทธะ ๒ รูปไปยังสำำนักพระรำชำด้วย " คำำว่ำ ท่ำนทั้งหลำยจงทูลขอหัตถกรรมเพื่อประโยชน์แก่กำรทำำเสนำ- สนะ. " ก็ในกำลนั้น เป็นครำววัปปมงคลแรกนำขวัญของพระรำชำ. ท้ำวเธอทรงสดับว่ำ " ได้ยินว่ำ พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยมำ " จึง เสด็จออกไป ตรัสถำมถึงเหตุที่มำ แล้วตรัสว่ำ " ข้ำแต่ทำนผู้เจริญ ่ วันนี้ยงไม่มีโอกำส. ั (เพรำะ) พรุ่งนี้ ข้ำพเจ้ำทังหลำยจะมีกำรมงคล ้ แรกนำขวัญ, ข้ำพเจ้ำจักทำำในวันที่ ๓ " ไม่ทรงอำรำธนำพระปัจเจก- *พระมหำเฉย (พระรำชปัญญำกวี) ป.ธ. ๗ วัดสัมพันธวงศ์ แปล.
  • 17. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 15 พุทธะทั้งหลำยไว้เลย เสด็จเข้ำไปแล้ว. พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำย คิดว่ำ " เรำทังหลำยจักเข้ำไปสู่บ้ำนอื่น ้ " หลีกไปแล้ว. [ พวกบ้ำนช่ำงหูกทำำบุญ ] ในขณะนั้น ภรรยำของนำยช่ำงหูกผู้หัวหน้ำ ไปสู่กรุงพำรำณสี ด้วยกิจบำงอย่ำง เห็นพระปัจเจกพุทธะเหล่ำนั้น นมัสกำรแล้วถำมว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ำมำในกำลมิใช่เวลำ เพรำะเหตุไร ?" ได้ทรำบควำมเป็นไปนั้นตั้งแต่ต้น เป็นหญิงมีศรัทธำ ถึงพร้อมด้วย ปัญญำ นิมนต์ว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ ขอท่ำนทั้งหลำยจงรับภิกษำของดิฉัน ทั้งหลำยในวันพรุ่งนี้. " พระปัจเจก. น้องหญิง พวกเรำมีมำก. หญิง. มีประมำณเท่ำไร ? เจ้ำข้ำ. พระปัจเจก. มีประมำณพันรูป น้องหญิง. หญิงนั้นกล่ำวว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ พวกดิฉันมีประมำณพันคน อยู่ในบ้ำนนี้, คนหนึ่ง ๆ จักถวำยภิกษำแด่พระผู้เป็นเจ้ำรูปหนึ่ง ๆ ขอท่ำนทั้งหลำย จงรับภิกษำเถิด, ดิฉันคนเดียวจักให้ทำำแม้ที่อยู่แก่ ท่ำนทั้งหลำย. " พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยรับ (อำรำธนำ) แล้ว. นำงเข้ำไปสู่ บ้ำน ป่ำวร้องว่ำ " เรำเห็นพระปัจเจกพุทธะประมำณพันองค์ นิมนต์ ไว้แล้ว, ท่ำนทั้งหลำยจงจัดแจงที่เป็นที่นั่งแด่พระผู้เป็นเจ้ำทั้งหลำย, จงจัดอำหำรวัตถุทั้งหลำยมีขำวต้มและข้ำวสวยเป็นต้น แด่พระผู้เป็น ้
  • 18. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 16 เจ้ำทังหลำยเถิด ้ " แล้วให้สร้ำงปรำำในท่ำมกลำงบ้ำน ลำดอำสนะไว้ ในวันรุ่งขึ้น จึงให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยนั่ง อังคำสด้วย โภชนะอันประณีต ในเวลำเสร็จภัตกิจ จึงพำหญิงทั้งหมดในบ้ำนนั้น พร้อมกับหญิงเหล่ำนั้น นมัสกำรพระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยแล้ว รับ เอำปฏิญญำเพื่อประโยชน์แก่กำรอยูตลอดไตรมำส แล้วป่ำวร้องชำวบ้ำน ่ อีกว่ำ " แม่และพ่อทั้งหลำย บุรุษคนหนึ่ง ๆ แต่ตระกูลหนึ่ง ๆ จงถือเอำเครื่องมือมีมดเป็นต้นเข้ำไปสู่ปำ นำำเอำทัพพสัมภำระมำสร้ำง ี ่ ที่เป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้ำทังหลำย. ้ " พวกชำวบ้ำนตั้งอยู่ในถ้อยคำำของนำงแล้ว คนหนึ่ง ๆ ทำำทีแห่ง ่ หนึ่ง ๆ แล้วให้สร้ำงศำลำมุงด้วยใบไม้พันหลัง พร้อมกับที่พักกลำง คืนและกลำงวัน แล้วอุปัฏฐำกพระปัจเจกพุทธะผู้เข้ำจำำนำำพรรษำใน บรรณศำลำของตน ๆ ด้วยตั้งใจว่ำ " เรำจักอุปัฏฐำกโดยเคำรพ, เรำ จักอุปัฏฐำกโดยเคำรพ. " ในเวลำออกพรรษำแล้ว นำงชักชวนว่ำ " ท่ำนทั้งหลำยจง ตระเตรียมผ้ำเพื่อจีวร (ถวำย) แด่พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยผู้อยู่จำำ พรรษำในบรรณศำลำของตน ๆ เถิด. " แล้วให้ถวำยจีวรมีคำพันหนึ่ง ่ แด่พระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่ง ๆ. พระปัจเจกพุทธะทั้งหลำยออกพรรษำ แล้ว ทำำอนุโมทนำแล้วก็หลีกไป. [ อำนิสงส์ทำนนำำให้เกิดในดำวดึงส์ ] แม้พวกชำวบ้ำน ครั้นทำำบุญนี้แล้ว จุติจำกอัตภำพนั้นแล้วเกิด
  • 19. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 17 ในภพดำวดึงส์ ได้มีนำมว่ำคณะเทวบุตรแล้ว. เทวบุตรเหล่ำนั้น เสวยทิพยสมบัติในภพดำวดึงส์นั้น ในกำลแห่งพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ ทรงพระนำมว่ำกัสสปะ (มำ) เกิดในเรือนของกุฎุมพี ในกรุง พำรำณสี. หัวหน้ำช่ำงหูกได้เป็นบุตรของกุฎุมพีผู้ใหญ่. ฝ่ำยภรรยำ ของเขำ ก็ได้เป็นธิดำของกุฎุมพีผู้ใหญ่เหมือนกัน. หญิงเหล่ำนั้น แม้ทงหมด ถึงควำมเจริญวัยแล้ว เมื่อจะไปสูตระกูลผัว ก็ได้ไป ั้ ่ สู่เรือนของบุรุษเหล่ำนั้นนั่นแล. [ กุฎุมพีถวำยมหำทำน ] ต่อมำวันหนึ่ง เขำป่ำวร้องกำรฟังธรรมในวิหำร. กุฎุมพี เหล่ำนั้นแม้ทั้งหมด ได้ยินว่ำ " พระศำสดำจะทรงแสดงธรรม " ปรึกษำ กันว่ำ " เรำทังหลำยจักฟังธรรม ้ " แล้วได้ไปสู่วิหำรกับภรรยำ. ใน ขณะที่ชนเหล่ำนั้น เข้ำไปสู่ทำมกลำงวิหำร ฝนได้ตั้งเค้ำแล้ว, ่ บรรพ- ชิตทังหลำยมีสำมเณรเป็นต้น ้ ผูเป็นกุลุปกะหรือเป็นญำติของชนเหล่ำ ้ ใดมีอยู่; ชนเหล่ำนั้นก็เข้ำไปสู่บริเวณของบรรพชิตเหล่ำนั้น. แต่ กุฎุมพีเหล่ำนั้นไม่อำจจะเข้ำไปในที่ไหน ๆ ได้ เพรำะควำมที่กุลุปกะ หรือญำติเห็นปำนนั้นไม่มี ได้ยืนอยู่ท่ำมกลำงวิหำรนั่นเอง. ลำำดับนั้น กุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ จึงกล่ำวกะกุฎุมพีผู้บริวำรเหล่ำ นั้นว่ำ " ท่ำนทั้งหลำย จงดูอำกำรอันน่ำเกลียดของพวกเรำ, ธรรมดำ กุลบุตรทั้งหลำย ละอำยด้วยเหตุมีประมำณเท่ำนี้ สมควรแล้ว. " บริวำร. นำย พวกเรำจะทำำอย่ำงไรเล่ำ ? กุฎุมพี. พวกเรำถึงอำกำรน่ำเกลียดนี้ เพรำะไม่มีสถำนที่ซงมี ึ่
  • 20. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 18 คนคุ้นเคยกัน, เรำทั้งหมดรวมทรัพย์กัน สร้ำงบริเวณเถอะ. บริวำร. ดีละ นำย. คนผู้หัวหน้ำ ได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง, ชนที่เหลือให้คนละ ๕๐๐, พวกหญิงให้คนละ ๒๕๐. ชนเหล่ำนั้นรวบรวมทรัพย์นั้นแล้วเริ่ม (สร้ำง) ชื่อบริเวณใหญ่ เพื่อประโยชน์เป็นที่ประทับของพระศำสดำ ซึ่งมีเรือนยอดพันหลังเป็นบริวำร. เมื่อทรัพย์ไม่เพียงพอ เพรำะ ควำมที่นวกรรมเป็นงำนใหญ่, จึงได้ออกอีกคนละกึ่ง จำกทรัพย์ที่ ตนให้แล้วในก่อน. เมื่อบริเวณเสร็จแล้ว, ชนเหล่ำนั้นเมื่อจะทำำกำร ฉลองวิหำร จึงถวำยมหำทำนแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุข ตลอด ๗ วัน แล้วจัดจีวรเพื่อภิกษุสองหมื่นรูป. [ ภรรยำของกุฎุมพีถวำยดอกอังกำบ ] ฝ่ำยภรรยำของกุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ ไม่ทำำให้มีส่วนเสมอด้วยชน ทั้งหมด ตังอยู่ด้วยปัญญำของตน คิดว่ำ ้ " เรำจักบูชำพระศำสดำ ทำำให้ยง ิ่ (กว่ำเขำ) " จึงถือเอำผอบดอกอังกำบ กับผ้ำสำฎกมีสีดัง ดอกอังกำบรำคำพันหนึ่ง ในเวลำอนุโมทนำ บูชำพระศำสดำด้วย ดอกอังกำบแล้ว วำงผ้ำสำฎกนั้นไว้ แทบบำทมูลของพระศำสดำ ตังควำมปรำรถนำไว้ว่ำ ้ " ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอสรีระของหม่อมฉัน จงมีสีดุจดอกอังกำบนี่แหละ ในที่หม่อมฉันเกิดแล้ว ๆ, และขอหม่อม ฉันจงมีนำมว่ำ อโนชำนั่นแล. " พระศำสดำได้ทรงทำำอนุโมทนำว่ำ " จงสำำเร็จอย่ำงนั้นเถิด. "
  • 21. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 19 [ กุฎุมพีภรรยำและบริวำรเกิดในรำชตระกูล ] ชนเหล่ำนั้นแม้ทงหมด ดำำรงอยู่จนตลอดอำยุแล้ว จุตจำก ั้ ิ อัตภำพนั้นแล้วก็เกิดในเทวโลก ในพุทธุปบำทกำลนี้ จุตจำก ิ เทวโลกแล้ว. กุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ เกิดในรำชตระกูล ในกุกกุฏวดีนคร ถึงควำมเจริญวัยแล้ว ได้เป็นพระรำชำพระนำมว่ำ พระเจ้ำมหำกัปปินะ . ชนที่เหลือได้เกิดในตระกูลมหำอำำมำตย์; ภรรยำของกุฎุมพีผู้เป็นหัวหน้ำ เกิดในรำชตระกูล ในสำคลนคร ในมัททรัฐ. พระนำงได้มีพระสรีระ เช่นกับสีดอกอังกำบนั่นเทียว. พระญำติขนำนพระนำมแก่พระนำงว่ำ " อโนชำ " นั่นแล. พระนำงทรงถึงควำมเจริญวัยแล้ว ก็ไปสู่พระ รำชมณเฑียรของพระเจ้ำกัปปินะ ได้เป็นพระเทวีมีพระนำมว่ำ อโนชำแล้ว. แม้หญิงทั้งหลำยที่เหลือ เกิดในตระกูลอำำมำตย์ทั้งหลำย ถึงควำมเจริญวัยแล้ว ก็ได้ไปสู่เรือนแห่งบุตรอำำมำตย์เหล่ำนั้นเหมือน กัน. ชนเหล่ำนั้นแม้ทุกคน ได้เสวยสมบัติเช่นกับสมบัติของพระรำชำ. ในกำลใด พระรำชำทรงประดับเครื่องอลังกำรทังปวง ทรงช้ำงเที่ยวไป; ้ ในกำลนั้น แม้ชนเหล่ำนั้นก็เที่ยวไปเหมือนอย่ำงนั้น. เมื่อพระรำชำ เสด็จเที่ยวไปด้วยม้ำหรือด้วยรถ, แม้ชนเหล่ำนั้น ก็เที่ยวไปเหมือน อย่ำงนั้น. ชนเหล่ำนั้นเสวยสมบัติร่วมกัน ด้วยอำนุภำพแห่งบุญที่ทำำ ร่วมกัน ด้วยประกำรฉะนี้. ก็มำของพระรำชำมีอยู่ ๕ ม้ำ คือ ม้ำชื่อพละ ๑ พลวำหนะ ๑ ้ ปุปผะ ๑ ปุปผวำหนะ ๑ สุปตตะ ๑. ั บรรดำม้ำเหล่ำนั้น ม้ำชื่อ สุปัตตะ พระรำชำทรงเอง. ๔ ม้ำนอกนี้ ได้พระรำชำแก่พวกม้ำ
  • 22. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 20 ใช้ เพื่อประโยชน์นำำข่ำวสำสน์มำ. [ พระรำชำให้สืบข่ำวพระรัตนตรัย ] พระรำชำให้ม้ำใช้เหล่ำนั้น บริโภคแต่เช้ำตรู่แล้ว ทรงส่งไป ด้วยพระดำำรัสว่ำ " พวกท่ำนไปเถิด, เที่ยวไป ๒ หรือ ๓ โยชน์แล้ว ทรำบว่ำพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์อุบติแล้ว จงนำำข่ำวที่ ั ให้เกิดสุขมำแก่เรำ. " ม้ำใช้เหล่ำนั้น ออกโดยประตูทั้ง ๔ เทียวไป ่ ได้ ๒-๓ โยชน์ ไม่ได้ข่ำวแล้วก็กลับ. [ พระรำชำได้ขำวพระรัตนตรัยจำกพ่อค้ำม้ำ ่ ] ต่อมำวันหนึ่ง พระรำชำทรงม้ำชื่อสุปัตตะ อันอำำมำตย์พันหนึ่ง แวดล้อม เสด็จไปพระรำชอุทยำน ทอดพระเนตรเห็นพวกพ่อค้ำ ประมำณ ๕๐๐ ผูมีร่ำงอ่อนเพลียกำำลังเข้ำสู่พระนคร แล้วทรงดำำริว่ำ ้ " ชนเหล่ำนี้ลำำบำกในกำรเดินทำงไกล, เรำจักฟังข่ำวดีอย่ำงหนึ่ง จำกสำำนักแห่งชนเหล่ำนี้เป็นแน่ " จึงรับสังให้เรียกพ่อค้ำเหล่ำนั้นมำ ่ แล้วตรัสถำมว่ำ " ท่ำนทั้งหลำยมำจำกเมืองไหน ?" พ่อค้ำ. พระเจ้ำข้ำ พวกข้ำพระองค์มำจำกนครชื่อสำวัตถี ซึ่งมีอยู่ในที่สุดประมำณ ๑๒๐ โยชน์ แต่พระนครนี้. พระรำชำ. ก็ข่ำวอะไร ๆ อุบติขึ้นในประเทศของพวกท่ำน ั มีอยู่หรือ ? พ่อค้ำ. พระเจ้ำข้ำ ข่ำวอะไร ๆ อย่ำงอื่นไม่มี, แต่พระสัมมำ สัมพุทธเจ้ำทรงอุบัติขึ้นแล้ว. พระรำชำทรงมีสรีระอันปีตมีวรรณ ๕ ถูกต้องแล้ว ในทันใด ิ
  • 23. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 21 นั้นนั่นเอง ไม่อำจเพื่อกำำหนดอะไร ๆ ได้ ทรงยับยังอยู่ ้ ครู่หนึ่ง แล้วตรัสถำมว่ำ " พวกท่ำนกล่ำวอะไร ? พ่อ. " พวกพ่อค้ำ กรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระพุทธเจ้ำทรงอุบติขึ้นแล้ว. " แม้ครั้ง ั ที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ พระรำชำก็ทรงยับยั้งอยู่เหมือนอย่ำงนั้น. ในวำระ ที่ ๔ ตรัสถำมว่ำ " พวกท่ำนกล่ำวอะไร ? พ่อ " เมื่อพ่อค้ำเหล่ำนั้น กรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระพุทธเจ้ำทรงอุบติขึ้นแล้ว. " จึงตรัสว่ำ ั " พ่อทั้งหลำย เรำให้ทรัพย์แก่พวกท่ำนแสนหนึ่ง " แล้วตรัสถำมว่ำ " ข่ำวอะไร ๆ แม้อื่นอีก มีอยู่หรือ ? พ่อ. " พวกพ่อค้ำกรำบทูลว่ำ " มีอยู่ พระเจ้ำข้ำ, พระธรรมอุบติขึ้นแล้ว. " พระรำชำทรงสดับแม้ ั คำำนั้นแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๓ วำระโดยนัยก่อนนั่นแล, ในวำระ ที่ ๔ เมื่อพวกพ่อค้ำกรำบทูลบทว่ำ " ธมฺโม " จึงตรัสว่ำ " แม้ใน เพรำะบทนี้ เรำให้ทรัพย์พวกท่ำนแสนหนึ่ง " แล้วตรัสถำมว่ำ " ข่ำวแม้อื่นอีก มีอยู่หรือ ? พ่อ. " พวกพ่อค้ำกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ มีอยู่, พระสังฆรัตนะอุบติขึ้นแล้ว. " พระรำชำทรงสดับแม้คำำนั้นแล้ว ั ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๓ วำระอย่ำงนั้นเหมือนกัน, ในวำระที่ ๔ เมื่อ พวกพ่อค้ำกรำบทูลบทว่ำ " สงฺโฆ " จึงตรัสว่ำ " แม้ในเพรำะบทนี้ เรำให้ทรัพย์แก่พวกท่ำนแสนหนึ่ง " แล้วทรงแลดูอำำมำตย์พันหนึ่ง ตรัสถำมว่ำ " พ่อทั้งหลำย พวกท่ำนจักทำำอย่ำงไร ? " อำำมำตย์. พระเจ้ำข้ำ พระองค์จักทรงทำำอย่ำงไรเล่ำ ? พระรำชำ. พ่อทั้งหลำย เรำได้สดับว่ำ ' พระพุทธเจ้ำทรง อุบัตขึ้นแล้ว, พระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว, พระสงฆ์อุบติขึ้นแล้ว ' จักทรง ิ ั
  • 24. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 22 ไม่กลับมำอีก, เรำจักอุทิศต่อพระศำสดำไปบวชในสำำนักของพระองค์. อำำมำตย์. แม้ข้ำพระองค์ทั้งหลำย ก็จักบวชพร้อมด้วยพระองค์ พระเจ้ำข้ำ. [ พระรำชำออกผนวชพร้อมกับอำำมำตย์ ] พระรำชำรับสั่งให้เจ้ำพนักงำนอำลักษณ์จำรึกอักษรลงในแผ่นทอง แล้ว ตรัสกะพวกพ่อค้ำม้ำว่ำ" พระเทวีพระนำมว่ำอโนชำ จักพระรำช- ทำนทรัพย์ ๓ แสนแก่พวกท่ำน ; ก็แลพวกท่ำนพึงทูลอย่ำงนี้ว่ำ ' ได้ ยินว่ำ พระรำชทรงสละควำมเป็นใหญ่ถวำยพระองค์แล้ว, พระองค์ จงเสวยสมบัตตำมสบำยเถิด ; ิ ก็ถ้ำพระเทวีจักตรัสถำมพวกท่ำนว่ำ ' พระรำชำเสด็จไปที่ไหน ? ' พวกท่ำนพึงทูลว่ำ ' พระรำชำตรัสว่ำ จักบวชอุทิศพระศำสดำ ' แล้วก็เสด็จไป. " แม้อำำมำตย์ทงหลำยก็ส่งข่ำวไปแก่ภรรยำของตน ๆ อย่ำงนั้น ั้ เหมือนกัน. พระรำชำทรงส่งพวกพ่อค้ำไปแล้ว อันอำำมำตย์พันหนึ่ง แวดล้อม เสด็จออกไปในขณะนั้นนั่นแล. ในวันนั้น แม้พระศำสดำเมือทรงตรวจดูสัตว์โลกในกำลใกล้รุ่ง ่ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ำมหำกัปปินะพร้อมบริวำร ทรงดำำริ ว่ำ " พระเจ้ำมหำกัปปินะนี้ ได้ทรงสดับควำมที่รัตนะ ๓ อุบัติขึ้น แต่สำำนักของพวกพ่อค้ำแล้ว ทรงบูชำคำำของพ่อค้ำเหล่ำนั้นด้วยทรัพย์ ๓ แสน ทรงสละรำชสมบัติ อันอำำมำตย์พันหนึ่งแวดล้อม ทรงประ - สงค์เพื่อจะผนวช อุทิศเรำ จักเสด็จออกไปในวันพรุ่งนี้, ท้ำวเธอ พร้อมทั้งบริวำรจักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย, ้ เรำ
  • 25. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 23 จักทำำกำรต้อนรับท้ำวเธอ " ดังนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น ทรงบำตรและ จีวรด้วยพระองค์เองทีเดียว เสด็จต้อนรับสิ้นทำง ๑๒๐ โยชน์ ดุจพระ เจ้ำจักรพรรดิ์ทรงต้อนรับกำำนันฉะนั้น ประทับนั่งเปล่งพระรัศมี มี พรรณ ๖ ณ ภำยใต้โคนต้นนิโครธ ริมฝั่งแม่นำ้ำจันทภำคำนที. ฝ่ำยพระรำชำเสด็จมำถึงแม่นำ้ำแห่งหนึ่งแล้ว ตรัสถำมว่ำ " นี่ชื่อ แม่นำ้ำอะไร ?" อำำมำตย์. ชืออำรวปัจฉำนที พระเจ้ำข้ำ. ่ พระรำชำ. พ่อทั้งหลำย แม่นำ้ำนี้มีประมำณเท่ำไร ? อำำมำตย์. โดยลึก คำวุตหนึ่ง, โดยกว้ำง ๒ คำวุต พระเจ้ำข้ำ. พระรำช. ก็ในแม่นำ้ำนี้ เรือหรือแพมีไหม ? อำำมำตย์. ไม่มี พระเจ้ำข้ำ. พระรำชำตรัสว่ำ " เมื่อเรำทังหลำยมัวหำยำนมีเรือเป็นต้น, ้ ชำติย่อมนำำไปสูชรำ, ชรำย่อมไปสู่มรณะ, เรำไม่มีควำมสงสัย ออก ่ บวชอุทิศพระรัตนตรัย, ด้วยอำนุภำพแห่งพระรัตนตรัยนั้น นำ้ำนี้ อย่ำ ได้เป็นเหมือนนำ้ำเลย " ดังนี้แล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ระลึก ถึงพุทธำนุสติว่ำ " แม้เพรำะเหตุนี้ พระผู้มีพระภำคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมำสัมพุทธเจ้ำ " เป็นต้น พร้อมทังบริวำรเสด็จไป ้ บนหลังนำ้ำด้วยม้ำพันหนึ่ง. ม้ำสินธพทั้งหลำยก็วิ่งไป ดุจวิ่งไปบน หลังแผ่นหิน. ปลำยกีบก็ไม่เปียก ๑. ถ้ำบำลีเป็น อคฺคำเนว เตมึสุ ก็แปลว่ำ ปลำยกีบเท่ำนั้น เปียกนำ้ำ.
  • 26. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 24 พระรำชำเสด็จข้ำมแม่นำ้ำนั้นแล้ว เสด็จไปข้ำงหน้ำ ทอดพระ เนตรเห็นแม่นำ้ำอื่นอีก จึงตรัสถำมว่ำ " แม่นำ้ำนี้ชื่ออะไร ?" อำำมำตย์. ชือนีลวำหนำนที พระเจ้ำข้ำ. ่ พระรำชำ. แม่นำ้ำนี้ประมำณเท่ำไร ? อำำมำตย์. ทังส่วนลึก ทั้งส่วนกว้ำง ประมำณกึ่งโยชน์พระเจ้ำข้ำ. ้ คำำที่เหลือก็เช่นกับคำำก่อนนั่นแหละ. ก็พระรำชำ ทอดพระเนตรเห็นแม่นำ้ำนั้นแล้ว ทรงระลึกถึง ธรรมนำนุสติวำ ่ " พระธรรมอันพระผู้มีพระภำคตรัสดีแล้ว " เป็นต้น เสด็จไปแล้ว. ครั้นเสด็จข้ำมแม่นำ้ำแม้นั้นไปได้แล้ว ทอดพระเนตร เห็นแม่นำ้ำอื่นอีก จึงตรัสถำมว่ำ " แม่นำ้ำนี้ชื่ออะไร ?" อำำมำตย์. แม่นำ้ำนี้ชื่อว่ำจันทภำคำนที พระเจ้ำข้ำ. พระรำชำ. แม่นำ้ำนี้ประมำณเท่ำไร ? อำำมำตย์. ทังส่วนลึก ทั้งส่วนกว้ำง ประมำณโยชน์หนึ่ง พระ ้ เจ้ำข้ำ. คำำที่เหลือก็เหมือนกับคำำก่อนนั่นแล. ส่วนพระรำชำทอดพระเนตรเห็นแม่นำ้ำนี้แล้ว ทรงระลึกถึง สังฆำนุสติว่ำ " พระสงฆ์สำวกของพระผู้มีพระภำค เป็นผู้ปฏิบัติ ดีแล้ว " เป็นต้น เสด็จไปแล้ว. ก็เม่อเสด็จข้ำมแม่นำ้ำนั้นไป ได้ทอด พระเนตรเห็นพระรัศมีมีพรรณ ๖ แต่พระสรีระของพระศำสดำ. กิ่ง ค่ำคบ และใบ แห่งต้นนิโครธ ได้เป็นรำวกะว่ำสำำเร็จด้วยทองคำำ.
  • 27. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 25 [ พระรำชำและอำำมำตย์ได้บรรลุคุณวิเศษ ] พระรำชำทรงดำำริว่ำ " แสงสว่ำงนี้ ไม่ใช่แสงจันทร์, ไม่ใช่แสง อำทิตย์, ไม่ใช่แสงสว่ำงแห่งเทวดำ มำร พรหม นำค ครุฑเป็นต้น ผู้ใดผู้หนึ่ง, เรำอุทิศพระศำสดำมำอยู่ จักเป็นผู้อันพระมหำโคดม- พุทธเจ้ำทรงเห็นแล้วโดยแน่แท้. " ในทันใดนั้นนั่นแล ท้ำวเธอเสด็จ ลงจำกหลังม้ำทรงน้อมพระสรีระ เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ตำมสำยพระ รัศมี เสด็จเข้ำไปภำยในแห่งพระพุทธรัศมี รำวกะว่ำดำำลงไปใน มโนสิลำรส ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง พร้อมกับอำำมำตย์พันหนึ่ง พระศำสดำทรงแสดงอนุปุพพีกถำแล้ว. ในเวลำจบเทศนำ พระรำชำพร้อมด้วยบริวำร ตั้งอยู่แล้วในโสดำปัตติผล. ลำำดับนั้น ชนเหล่ำนั้นทั้งหมด ลุกขึ้นทูลขอบรรพชำแล้ว. พระศำสดำทรงใคร่ครวญว่ำ " บำตรจีวรสำำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ ของกุลบุตรเหล่ำนี้ จักมำหรือหนอแล ? " ทรงทรำบว่ำ " กุลบุตร เหล่ำนี้ ได้ถวำยจีวรพันผืน แด่พระปัจเจกพุทธะพันองค์. ในกำล แห่งพระพุทธเจ้ำพระนำมว่ำกัสสป ได้ถวำยจีวรสองหมื่น แม้แก่ ภิกษุสองหมื่นรูป. ควำมมำแห่งบำตรและจีวรอันสำำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ ของกุลบุตรเหล่ำนี้ ไม่น่ำอัศจรรย์ " ดังนีแล้ว ทรงเหยียดพระหัตถ์ ้ ขวำ ตรัสว่ำ " ท่ำนทั้งหลำยจงเป็นภิกษุมำเถิด, ท่ำนทั้งหลำยจงประ พฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด. " ทันใดนั้นนั่นเอง
  • 28. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 26 กุลบุตรเหล่ำนั้นเป็นรำวกะพระเถระมีพรรษำตัง ๑๐๐ ้ ทรงบริขำร ๘ เหำะขึ้นสู่เวหำส กลับลงมำถวำยบังคมพระศำสดำนั่งอยู่แล้ว. [ พระนำงอโนชำเทวีเสด็จออกผนวช ] ฝ่ำยพ่อค้ำเหล่ำนั้นไปสู่รำชตระกูลแล้ว ให้เจ้ำหน้ำที่กรำบทูล ข่ำวที่พระรำชำทรงส่งไป, เมื่อพระเทวีรับสั่งว่ำ " จงมำเถิด " เข้ำ ไปถวำยบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง, ลำำดับนั้น พระเทวี ตรัสถำมพ่อค้ำเหล่ำนั้นว่ำ " พ่อทั้งหลำย พวกท่ำนมำเพรำะเหตุอะไร ?" พ่อค้ำ. พระรำชำทรงส่งพวกข้ำพระองค์มำยังสำำนักของพระ องค์. นัยว่ำ ขอพระองค์จงพระรำชทำนทรัพย์ ๓ แสนแก่พวก ข้ำพระองค์. พระเทวี. พ่อทั้งหลำย พวกท่ำนพูดมำกเกินไป. พวกท่ำน ทำำอะไร แก่พระรำชำ, พระรำชำทรงเลื่อมใสในอะไรของพวกท่ำน จึงรับสังให้พระรำชทำนทรัพย์มีประมำณเท่ำนี้ ่ ? พ่อค้ำ. พระเจ้ำข้ำ อะไร ๆ อย่ำงอื่น พวกข้ำพระองค์มิได้ทำำ, แต่พวกข้ำพระองค์ได้กรำบทูลข่ำวแด่พระรำชำ. พระเทวี. พ่อค้ำทังหลำย ก็พวกท่ำนสำมำรถบอกแก่เรำบ้ำง ้ ได้ไหม ? พ่อค้ำ. ได้ พระเจ้ำข้ำ. พระเทวี. พ่อทั้งหลำย ถ้ำกระนั้น พวกท่ำนจงบอก. พ่อค้ำ. พระเจ้ำข้ำ พระพุทธเจ้ำทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก. แม้พระเทวีทรงสดับคำำนั้นแล้ว มีพระสรีระอันปีติถูกต้อง
  • 29. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 27 แล้ว โดยนัยก่อนนั่นแล ทรงกำำหนดอะไร ๆ ไม่ได้ถึง ๓ ครั้ง, ใน วำระที่ ๔ ทรงสดับบทว่ำ " พุทฺโธ " แล้วจึงตรัสว่ำ " พ่อทั้งหลำย ในเพรำะบทนี้ พระรำชำพระรำชทำนอะไร ?" พ่อค้ำ. ทรัพย์แสนหนึ่ง พระเจ้ำข้ำ. พระเทวี. พ่อทั้งหลำย พระรำชำทรงสดับข่ำวเห็นปำนนี้แล้ว พระรำชทำนทรัพย์แสนหนึ่งแก่ทำนทั้งหลำย ่ (ชือว่ำ) ่ ทรงกระทำำไม่ สมกันเลย. แต่เรำจะให้แก่พวกท่ำน ๓ แสน ในเพรำะของกำำนัล อันขัดสนของเรำ, ข่ำวอะไรอีก ? ที่ทำนทั้งหลำยกรำบทูลแล้ว. ่ พ่อค้ำเหล่ำนั้นกรำบทูลข่ำว ๒ อย่ำง แม้อื่นอีกว่ำ " ข่ำวอย่ำง นี้ แลอย่ำงนี้. " พระเทวีมีพระสรีระอันถูกต้องแล้ว โดยนัยก่อนนั่นแล ทรงกำำหนดอะไร ๆ ไม่ได้ถึง ๓ ครั้ง, ในครั้งที่ ๔ ทรงสดับอย่ำง นั้นเหมือนกันแล้ว รับสั่งให้พระรำชทำนทรัพย์ครังละ ๓ แสน. ้ พ่อค้ำ เหล่ำนั้น ได้ทรัพย์ทงหมดเป็น ๑๒ แสน ด้วยประกำรฉะนี้. ั้ ลำำดับนั้น พระเทวีตรัสถำมพ่อค้ำเหล่ำนั้นว่ำ " พ่อทั้งหลำย พระรำชำเสด็จไปไหน ?" พ่อค้ำ. พระเจ้ำข้ำ พระรำชำรับสังว่ำ ่ " เรำจักบวชอุทิศพระ- ศำสดำ " แล้วก็เสด็จไป. พระเทวี. ข่ำวอะไร ? ที่พระองค์พระรำชทำนแก่เรำ. พ่อค้ำ. นัยว่ำ พระองค์ทรงสละควำมเป็นใหญ่ทั้งหมด ถวำย พระองค์. นัยว่ำ พระองค์จงเสวยสมบัตตำมพระประสงค์เถิด. ิ
  • 30. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 28 พระเทวี. ก็พวกอำำมำตย์ไปไหน ? พ่อ. พ่อค้ำ. แม้อำำมำตย์เหล่ำนั้นกล่ำวว่ำ ' เรำจักบวชกับพระรำชำ เหมือนกัน ' แล้วก็ไป พระเจ้ำข้ำ. พระนำง รับสังให้เรียกภรรยำ ของอำำมำตย์เหล่ำนั้นมำแล้ว ่ ตรัสว่ำ " แม่ทั้งหลำย สำมีของพวกเจ้ำ กล่ำวว่ำ ' เรำจักบวชกับ พระรำชำ ' แล้วก็ไป, พวกเจ้ำจักทำำอย่ำงไร ? " หญิง. พระเจ้ำข้ำ ก็ข่ำวอะไร ? ที่พวกเขำส่งมำเพื่อพวก หม่อมฉัน. พระเทวี. ได้ยินว่ำ อำำมำตย์เหล่ำนั้น สละสมบัติของตน ๆ แก่ พวกเจ้ำแล้ว, ได้ยินว่ำ พวกเจ้ำจงบริโภคสมบัตินั้นตำมชอบใจเถิด. หญิง. ก็พระองค์จักทรงทำำอย่ำงไรเล่ำ ? พระเจ้ำข้ำ. พระเทวี. แม่ทงหลำย ทีแรก พระรำชำนั้นทรงสดับข่ำวแล้ว ั้ ประทับยืนในหนทำงเทียว ทรงบูชำพระรัตนตรัยด้วยทรัพย์ ๓ แสน ทรงสละสมบัตดุจก้อนนำ้ำลำย ตรัสว่ำ เรำจักบวช แล้วเสด็จออก ิ ไป ; ส่วนเรำได้ฟังข่ำวพระรัตนตรัยแล้ว บูชำพระรัตนตรัยด้วย ทัพย์ ๙ แสน ; ก็แล ชื่อว่ำสมบัตินี้ มิได้นำำทุกข์มำแด่พระรำชำ เท่ำนั้น, ย่อมเป็นเหตุนำำทุกข์มำ แม้แก่เรำเหมือนกัน, ใครจักคุกเข่ำ รับเอำก้อนนำ้ำลำยที่พระรำชำทรงบ้วนทิ้งด้วยปำกเล่ำ ? เรำไม่ ต้องกำรด้วยสมบัติ, แม้เรำก็จักไปบวชอุทิศพระศำสดำ. หญิง. พระเข้ำข้ำ แม้พวกหม่อมฉันก็จักบวชกับพระองค์ เหมือนกัน.
  • 31. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 29 พระเทวี. ถ้ำพวกเจ้ำอำจ, ก็ดีละแม่. หญิง. อำจ พระเจ้ำข้ำ. พระเทวี ตรัสว่ำ " ถ้ำกระนั้น พวกเจ้ำจงมำ " ดังนี้แล้ว รับสั่ง ให้เทียมรถพันคัน เสด็จออกไปกับหญิงเหล่ำนั้น ทอดพระ เนตรเห็นแม่นำ้ำสำยที่หนึ่งในระหว่ำงทำง ตรัสถำมเหมือนพระรำชำ ตรัสถำมแล้วเหมือนกัน ทรงสดับควำมเป็นไปทั้งหมดแล้ว ตรัส ว่ำ " พวกเจ้ำจงตรวจดูทำงเสด็จไปของพระรำชำ " เมื่อหญิง เหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " พวกหม่อมฉันไม่เห็นรอยเท้ำม้ำสินธพ พระ- เจ้ำข้ำ " ทรงดำำริว่ำ " พระรำชำจักทรงทำำสัจจกิริยำว่ำ ' เรำออกบวช อุทิศพระรัตนตรัย ' แล้วเสด็จไป, ถึงเรำก็ออกบวชอุทิศพระรัตนตรัย, ด้วยอำนุภำพแห่งพระรัตนะเหล่ำนั้นนั่นแล ขอนำ้ำนี้อย่ำได้เป็นเหมือนนำ้ำ เลย " ดังนีแล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทรงส่งรถพันคันไป. ้ นำ้ำได้เป็นเช่นกับหลังแผ่นหิน. ปลำยเพลำและเกลียวกงแห่งล้อก็ไม่เปียก เลย. พระเทวีเสด็จข้ำมแม่นำ้ำทั้ง ๒ แม้นอกนี้ไปได้ โดยอุบำยนั้น เหมือนกัน. พระศำสดำทรงทรำบควำมเสด็จมำของพระเทวี ได้ทรงทำำโดย ประกำรที่ภิกษุทั้งหลำย ผูนั่งอยู่ในสำำนักของพระองค์ ไม่ปรำกฏ ้ ได้. แม้พระเทวีเสด็จไปอยู่ ๆ ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีพุ่งออก จำกพระสรีระของพระศำสดำ ทรงดำำริอย่ำงนั้นเหมือนกัน แล้ว เสด็จไปเฝ้ำพระศำสดำ ถวำยบังคมแล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วน ข้ำงหนึ่ง ทูลถำมว่ำ " ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้ำมหำ-
  • 32. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 30 กัปปินะ เสด็จออกผนวชอุทิศพระองค์, ท้ำวเธอชะรอยจะเสด็จมำในที่ นี้แล้ว. ท้ำวเธอประทับอยู่ไหน ? พระองค์ไม่แสดงแม้แก่พวก หม่อมฉันบ้ำง. " พระศำสดำตรัสว่ำ " ท่ำนทั้งหลำยจงนั่งก่อน, จักเห็นพระ รำชำในที่นี้เอง. " หญิงเหล่ำนั้นแม้ทุกคน มีจิตยินดี นังแล้ว ด้วย ่ คิดว่ำ " นัยว่ำ พวกเรำนั่งในที่นี้แหละ จักเห็นพวกสำมี. " พระศำสดำตรัสอนุปุพพีกถำแล้ว. ในเวลำจบเทศนำ พระนำง อโนชำเทวี พร้อมทั้งบริวำร บรรลุโสดำปัตติผลแล้ว. พระมหำกัปปินะพร้อมทั้งบริวำร สดับพระธรรมเทศนำ ที่พระศำสดำทรงขยำยแก่หญิงเหล่ำนั้นแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อม ด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย. ้ ในขณะนั้น พระศำสดำ ทรงแสดงภิกษุ เหล่ำนั้น ผู้บรรลุพระอรหัตแล้ว แก่หญิงเหล่ำนั้น. ได้ยินว่ำ ในขณะที่หญิงเหล่ำนั้นมำนั่นเทียว จิต (ของเขำ) ไม่พึงมีอำรมณ์เป็นหนึ่ง เพรำะเห็นสำมีของตน ๆ ทรงผ้ำย้อมนำ้ำ ฝำด, มีศีรษะโล้น เพรำะเหตุนั้น หญิงเหล่ำนั้น จึงไม่พึงอำจเพื่อ บรรลุมรรคผลได้; เพรำะฉะนั้น ในเวลำหญิงเหล่ำนั้น ตั้งมั่นอยู่ใน ศรัทธำอันไม่หวั่นไหวแล้ว พระศำสดำจึงทรงแสดงภิกษุเหล่ำนั้น ผู้ บรรลุพระอรหัตแล้ว แก่หญิงเหล่ำนั้น. แม่หญิงเหล่ำนั้น เห็นภิกษุ เหล่ำนั้นแล้ว นมัสกำรด้วยเบญจำงคประดิษฐ์แล้ว กล่ำวว่ำ " ท่ำน ผู้เจริญ กิจบรรพชิตของท่ำนทังหลำย ถึงที่สุดก่อน ้ " ดังนีแล้ว ้ ถวำยบังคมพระศำสดำ ยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง แล้วทูลขอบรรพชำ.
  • 33. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 31 อำจำรย์บำงพวก กล่ำวว่ำ " ได้ยินว่ำ เมื่อหญิงเหล่ำนั้นกรำบ ทูลอย่ำงนั้นแล้ว, พระศำสดำทรงดำำริกำรมำของพระอุบลวรรณำเถรี. " แต่พระศำสดำตรัสกะอุบำสิกำเหล่ำนั้นว่ำ " ท่ำนทั้งหลำยพึง ไปสู่กรุงสำวัตถี บรรพชำในสำำนักแห่งภิกษุณีเถิด. " อุบำสิกำเหล่ำ นั้น เที่ยวจำริกไปโดยลำำดับ มีสักกำระและสัมมำนะอันมหำชนนำำ มำในระหว่ำงทำง เดินทำงไปด้วยเท้ำสิ้นหนทำง ๑๒๐ โยชน์ บวชใน สำำนักแห่งนำงภิกษุณี ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. แม้พระศำสดำก็ได้ทรง พำภิกษุพันรูป เสด็จไปสู่พระเชตวัน ทำงอำกำศนั่นแล. ได้ยินว่ำ ในภิกษุเหล่ำนั้น ท่ำนพระมหำกัปปินะเที่ยวเปล่ง อุทำนในที่ทั้งหลำยมีที่พักกลำงคืนและที่พักกลำงวันว่ำ " สุขหนอ สุขปนอ. " ภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลแด่พระผู้มีพระภำคว่ำ " ข้ำแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระมหำกัปปินะ เที่ยวเปล่งอุทำนว่ำ ' สุขหนอ สุขหนอ, ' ท่ำนเห็นจะกล่ำวปรำรภควำมสุขในรำชสมบัติของตน. " พระศำสดำรับสั่งให้เรียกพระมหำกัปปินะนั้นมำแล้ว ตรัสถำม ว่ำ " กัปปินะ ได้ยินว่ำเธอเปล่งอุทำนปรำรภ สุขในกำม สุขใน รำชสมบัติ จริงหรือ ?" พระมหำกัปปินะทูลว่ำ " ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระ ภำค ย่อมทรงทรำบ กำรเปล่งหรือไม่เปล่งปรำรภกำมสุขและรัชสุข นั้นของข้ำพระองค์. " พระศำสดำตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บุตรของเรำย่อมเปล่ง อุทำนปรำรภสุขในกำม สุขในรำชสมบัติ หำมิได้, ก็แต่ว่ำ ควำม
  • 34. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 32 เอิบอิ่มในธรรม ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรของเรำ, บุตรของเรำนั้นย่อม เปล่งอุทำนอย่ำงนั้น เพรำะปรำรภอมตมหำนิพพำน " ดังนีแล้ว ้ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " บุคคลผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อม อยู่เป็นสุข, บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้ำ ประกำศแล้วทุกเมื่อ. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ธมฺมปีติ ควำมว่ำ ผู้เอิบอิ่มใน ธรรม อธิบำยว่ำ ผูดื่มธรรม. ้ ก็ชื่อพระธรรมนี่ อันใคร ๆ ไม่ อำจเพื่อจะดื่มได้ เหมือนดื่มข้ำวยำคูเป็นต้น ด้วยภำชนะฉะนั้น . ก็ บุคคลถูกต้องโลกุตรธรรม ๙ อย่ำง ด้วยนำมกำย ทำำให้แจ้งโดย ควำมเป็นอำรมณ์ แทงตลอดอริยสัจมีทุกข์เป็นต้น ด้วยกิจมีกำร บรรลุธรรมด้วยควำมกำำหนดรู้เป็นต้น ชื่อว่ำย่อมดื่มธรรม. คำำว่ำ สุข เสติ นี้ สักว่ำเป็นหัวข้อเทศนำ. อธิบำยว่ำ ย่อมอยู่เป็นสุข แม้ด้วยอิริยำบถ ๔. บทว่ำ วิปฺปสนฺเนน คือ ไม่ขุ่นมัว ได้แก่ ไม่มีอุปกิเลส. บทว่ำ อริยปฺปเวทิเต ควำมว่ำ ในโพธิปักขิยธรรม อัน ต่ำงด้วยสติปัฏฐำนเป็นต้น อันพระอริยเจ้ำทั้งหลำย มีพระพุทธเจ้ำ เป็นต้น ประกำศแล้ว. สองบทว่ำ สทำ รมติ ควำมว่ำ บัณฑิตผู้เอิบอิ่มในธรรมเห็น ปำนนั้น มีใจผ่องใสอยู่ มำตำมพร้อมแล้วด้วยควำมเป็นบัณฑิต
  • 35. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 33 ย่อมยินดี คือย่อมชื่นชมทุกเมื่อ. ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก ได้เป็นพระอริยบุคคลมีพระ โสดำบันเป็นต้นแล้ว ดังนีแล. ้ เรื่องพระมหำกัปปินะเถระ จบ.
  • 36. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 34 ๕. เรื่องบัณฑิตสำมเณร [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภบัณฑิต สำมเณร ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " อุทก หิ นยนฺติ " เป็นต้น. [ พระศำสดำตรัสอนุโมทนำกถำ ] ดังได้สดับมำ ในอดีตกำล พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำพระนำมว่ำกัสสป มีพระขีณำสพ ๒ หมื่นรูปเป็นบริวำร ได้เสด็จไปสู่กรุงพำรำณสี. มนุษย์ทั้งหลำยกำำหนดกำำลังของตน ๆ แล้ว รวมกัน ๘ คนบ้ำง ๑๐ คนบ้ำง ได้ถวำยอำคันตุกทำนแล้ว. ต่อมำวันหนึ่ง ในกำลเป็นที่เสร็จภัตกิจ พระศำสดำได้ทรง ทำำอนุโมทนำกถำอย่ำงนี้ว่ำ " เรำอุบำสกอุบำสิกำทั้งหลำย คนบำงคนใน โลกนี้ คิดว่ำ ' เรำให้ของ ๆ ตนเท่ำนั้นควร, ประโยชน์อะไรด้วย กำรชักชวนคนอื่น ' ดังนี้แล้ว จึงให้ทำนด้วยตนเท่ำนั้น ไม่ชักชวน ผู้อื่น, เขำย่อมได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวำรสมบัติ ในที่ ๆ ตนเกิด แล้ว, บำงคนชักชวนผู้อื่น ไม่ให้ด้วยตน, เขำย่อมได้บริวำรสมบัติ ไม่ได้โภคสมบัติ ในที่ ๆ ตนเกิดแล้ว, บำงคนทั้งไม่ให้ด้วยตน ทั้ง ไม่ชักชวนผู้อื่น, เขำย่อมไม่ได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวำรสมบัติ เป็น คนกินเดนเป็นอยู่ ในที่ ๆ ตนเกิดแล้ว; บำงคนทั้งให้ด้วยตน ทั้ง ชักชวนผู้อื่น, เขำน่อมได้ทั้งโภคสมบัติทงบริวำรสมบัติ ในที่ ๆ ตน ั้ เกิดแล้ว. " * พระมหำจับ ป.ธ. ๗ (พระธรรมปัญญำจำรย์ ป.ธ. ๙) วัดโสมนัสวิหำร แปล.
  • 37. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 35 [ ผู้เลื่อมใสในอนุโมทนำกถำ ] ชำยบัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ ได้ฟังอนุโมทนำกถำนั้นแล้ว คิดว่ำ " บัดนี้ เรำจักทำำอย่ำงที่สมบัติทั้ง ๒ จักมีแก่เรำ. " เขำ ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว กรำบทูลว่ำ " พรุ่งนี้ ขอพระองค์จง ทรงรับภิกษำของข้ำพระองค์ พระเจ้ำข้ำ " พระศำสดำ. ต้องกำรภิกษุเท่ำไร ? บัณฑิต. ก็บริวำรของพระองค์ มีเท่ำไร ? พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ. มีภิกษุ ๒ หมื่นรูป. บัณฑิต. พระเจ้ำข้ำ พรุ่งนี้ ขอพระองค์กับภิกษุทั้งหมด จง ทรงรับภิกษำของข้ำพระองค์. พระศำสดำทรงรับนิมนต์แล้ว. เขำเข้ำไปบ้ำนแล้ว เดินบอก บุญว่ำ " แม่และพ่อทั้งหลำย พรุ่งนี้ ข้ำพเจ้ำนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระ พุทธเจ้ำเป็นประมุขไว้ (เพื่อรับภิกษำ), ท่ำนทั้งหลำยจงถวำยแก่ ภิกษุเท่ำจำำนวนที่สำมำรถ (ถวำยได้). " เมื่อชนทั้งหลำยกำำหนด กำำลังของตน ๆ แล้วกล่ำวว่ำ " พวกเรำ จักถวำย ๑๐ รูป, พวก เรำจักถวำย ๒๐ รูป, พวกเรำ ๑๐๐ รูป, พวกเรำ ๕๐๐ รูป " ดังนี้ แล้ว จึงจดคำำของคนทั้งหมดลงไว้ในบัญชีตงแต่ต้นมำ. ั้ [ ชำยเข็ญใจยินดีรับเลี้ยงภิกษุ ] ก็ในสมัยนั้น ในกรุงมีชำยคนหนึ่งปรำกฏชื่อว่ำ " มหำ- ทุคคตะ " เพรำะควำมเป็นผูยำกจนยิงนัก. ้ ่ ชำยบัณฑิตเห็นชำย เข็ญใจแม้นั้นมำเฉพำะหน้ำ จึงบอกว่ำ " เพื่อนมหำทุคคตะ ข้ำพเจ้ำ
  • 38. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 36 ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ำเป็นประธำนไว้ เพื่อฉันในวันพรุ่ง นี้. พรุ่งนี้ ชำวเมืองจักถวำยทำนกัน, แกจักเลี้ยงภิกษุสักกี่รูป ?" มหำทุคคตะ. คุณ ผมจะต้องกำรอะไรด้วยภิกษุเล่ำ ? ชื่อว่ำ ควำมต้องกำรภิกษุ เป็นของคนมีทรัพย์, ส่วนผมแม้สักว่ำข้ำวสำร ทะนำนหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่ข้ำวต้มพรุ่งนี้ ก็ไม่มี, ผมทำำงำนรับจ้ำง เลี้ยงชีพ, ผมจะต้องกำรอะไรด้วยภิกษุ ? ธรรมดำผู้ชักชวนพึงเป็นผู้ฉลำด, เพรำะฉะนั้น ชำยบัณฑิต นั้น แม้เมื่อมหำทุคคตะพูดว่ำ " ไม่มี " ก็ไม่นิ่งเฉย ยังกล่ำวอย่ำง นี้ว่ำ " เพื่อนมหำทุคคตะ คนเป็นอันมำก ในเมืองนี้ บริโภคโภชนะ อย่ำงดี นุงผ้ำเนื้อละเอียด แต่งตัวด้วยเครื่องอำภรณ์ตำง ๆ นอน ่ ่ บนที่นอนอันสง่ำงำม ย่อมเสวยสมบัติกัน, ส่วนแกทำำงำนรับจ้ำง ตลอดวัน ยังไม่ได้อำหำรแม้พอเต็มท้อง; เมื่อเป็นเช่นนี้ แกยัง ' เรำไม่ได้อะไร ๆ เพรำะไม่ได้ทำำบุญอะไร ๆ ไว้แม้ใน ไม่รู้สึกว่ำ กำลก่อน. " มหำทุคคตะ. ผมทรำบ คุณ. บัณฑิต. เมื่อเช่นนั้น ทำำไมบัดนีแกจึงไม่ทำำบุญเล่ำ ? ้ แกยัง เป็นหนุ่ม มีเรี่ยวแรงสมบูรณ์ แกแม้ทำำงำนจ้ำงแล้ว ให้ทำนตำม กำำลัง จะไม่ควรหรือ ? มหำทุคคตะนั้น เมื่อชำยบัณฑิตกล่ำวอยู่ ถึงควำมสลดใจ จึงพูดว่ำ " คุณจงลงบัญชีภิกษุให้ผมบ้ำงสักรูปหนึ่ง, ผมจักทำำงำน จ้ำงอะไรสักอย่ำงแล้ว จักถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, ชำยบัณฑิต
  • 39. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 37 นอกนี้ คิดว่ำ " ภิกษุรูปเดียว จะจดลงในบัญชีทำำไม ?" ดังนีแล้ว ้ จึงไม่จดไว้. ฝ่ำยมหำทุคคตะ ไปเรือนแล้ว พูดกะภรรยำว่ำ " หล่อน พรุ่งนี้ ชำวเมืองเขำจัดภัตรเพื่อพระสงฆ์, แม้ฉันก็ถูกผู้ชักชวนบอก ว่ำ ' จงถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง. พวกเรำจักถวำยภิกษำแก่ภิกษุ รูปหนึ่ง พรุ่งนี้. " ลำำดับนั้น ภรรยำของเขำไม่พูดเลยว่ำ " พวกเรำ เป็นคนจน, แกรับคำำเขำทำำไม ?" กล่ำวว่ำ " นำย แกทำำดีแล้ว, เมื่อก่อนเรำไม่ให้อะไร ๆ ชำตินี้จึงเกิดเป็นคนยำกจน, เรำทั้ง ๒ คน ทำำงำนจ้ำงแล้ว จักถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง " แม้ทั้ง ๒ คน ได้ออกไปสู่ททำำงำนจ้ำง. ี่ มหำเศรษฐี เห็นมหำทุคคตะ จึงถำมว่ำ " เพื่อนมหำทุคคตะ เธอจักทำำงำนจ้ำงหรือ ?" มหำทุคคตะ. ขอรับ กระผม. มหำเศรษฐี. จักทำำอะไร ? มหำทุคคตะ. แล้วแต่ท่ำนจักให้ทำำ. มหำเศรษฐีกล่ำวว่ำ " ถ้ำอย่ำงนั้น พรุ่งนี้ เรำจักเลี้ยงภิกษุ ๒-๓ ร้อย, จงผ่ำฟืนเถิด " แล้วก็ให้หยิบมีดและขวำนมำให้. มหำ ทุคคตะถกเขมนอย่ำงแข็งแรง ถึงควำมอุตสำหะ วำงมีด คว้ำขวำน ทิ้งขวำน ฉวยมีด ผ่ำฟืนไป. ลำำดับนั้น เศรษฐีพูดกะเขำว่ำ " เพื่อน วันนี้ เธอขยันทำำงำน เหลือเกิน, มีเหตุอะไรหรือ ? มหำทุคคตะ. นำย ผมจักเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง.
  • 40. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 38 เศรษฐีฟังคำำนั้นแล้ว มีใจเลื่อมใส คิดว่ำ " น่ำเลื่อมใสจริง มหำทุคคตะนี้ ทำำกรรมที่ทำำได้ยำก, เขำไม่ถึงควำมเฉยเมยด้วยคิด ว่ำ ' เรำจน ' พูดว่ำ ' จักทำำงำนจ้ำงแล้วเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง. " ฝ่ำยภรรยำของเศรษฐี เห็นภรรยำของมหำทุคคตะนั้นแล้ว ก็ ถำมว่ำ " แม่ เจ้ำจักทำำงำนอะไร ?" เมื่อนำงตอบว่ำ " แล้วแต่ จะใช้ดิฉันให้ทำำ " จึงให้เข้ำไปสู่โรงกระเดื่องแล้ว ให้มอบเครื่องมือมี กะด้งและสำกเป็นต้นให้แล้ว. นำงยินดีรำเริง ทั้งตำำข้ำวและฝัดข้ำวเหมือน ่ จะรำำละคร. ลำำดับนั้น ภรรยำเศรษฐีถำมนำงว่ำ " แม่ เจ้ำยินดีรำเริง ่ ทำำงำนเหลือเกิน, มีเหตุอะไรหรือ ?" นำง. คุณนำย พวกดิฉันทำำงำนจ้ำงนี้แล้ว จักเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง. ฝ่ำยภรรยำเศรษฐี ฟังคำำนั้นแล้ว เลื่อมใสในนำงว่ำ " น่ำ เลื่อมใส ! นำงนีทำำกรรมที่ทำำได้ยำก. ้ " ในเวลำที่มหำทุคคตะผ่ำฟืนเสร็จ เศรษฐีสั่งให้ ๆ ข้ำวสำลี ๔ ทะนำน ด้วยพูดว่ำ " นี้ค่ำจ้ำงของเธอ " แล้วสั่งให้ ๆ แม้อีก ๔ ทะนำน ด้วยพูดว่ำ " นี้เป็นส่วนที่เพิ่มให้เพรำะควำมยินดีแก่เธอ. " เขำไปสู่เรือน บอกกะภรรยำว่ำ " ฉันรับจ้ำงได้ข้ำวสำลีมำ, ส่วนนี้ จักเป็นกับ, เจ้ำจงถือเอำของ คือ นมส้ม นำ้ำมัน และเครื่อง เทศ ด้วยค่ำจ้ำง (แรงงำน) ที่เจ้ำได้แล้ว. " ฝ่ำยภรรยำเศรษฐี สั่งให้จำยเนยใสขวดหนึ่ง ๑ นมส้มกระปุก ๑ ่ เครื่องเทศ ๑ และข้ำวสำลีอย่ำงเป็นตัวทะนำนหนึ่งแก่นำง, เรำ
  • 41. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 39 ทั้ง ๒ ได้มีขำวสำรรวม ๕ ทะนำน ด้วยประกำรฉะนี้. ้ ทัง ๒ ผัวเมียนั้น ยินดีร่ำเริงว่ำ ้ " เรำได้ไทยธรรมแล้ว " ลุก ขึ้นแต่เช้ำตรู่. ภรรยำพูดกะมหำทุคคตะว่ำ " ไปหำผักมำซิ นำย " เขำไม่เห็นผักในร้ำนตลำด จึงไปฝั่งแม่นำ้ำ มีใจร่ำเริงว่ำ " จักได้ ถวำยโภชนะแก่พระผู้เป็นเจ้ำ " ร้องเพลงพลำง เลือกเก็บผักพลำง. ชำวประมงยืนทอดแหใหญ่อยู่ รู้ว่ำ " เป็นเสียงของมหำทุคคตะ " จึงเรียกเขำมำถำมว่ำ " แกมีจตยินดีเหลือเกิน ร้องเพลงอยู่, ิ มี เหตุอะไรหรือ ?" มหำทุคคตะ. เก็บผัก เพื่อน. ชำวประมง. จักทำำอะไรกัน ? มหำทุคคตะ. จักเลี้ยงภิกษุสักรูปหนึ่ง. ชำวประมง. โอ ! อิ่มละ ภิกษุที่ฉันผักของแก. มหำทุคคตะ. จะทำำอย่ำงไรได้ ? เพื่อน, กันต้องเลี้ยงภิกษุด้วย ผักที่กันได้. ชำวประมง. ถ้ำอย่ำงนั้น มำนี่เถิด. มหำทุคคตะ. จะทำำอย่ำงไร ? เพื่อน. ชำวประมง. จงถือเอำปลำเหล่ำนี้ ร้อยให้เป็นพวง มีรำคำ บำทหนึ่งบ้ำง กึ่งบำทบ้ำง กหำปณะหนึ่งบ้ำง. เขำได้กระทำำอย่ำงนั้น. ชำวเมืองซื้อปลำที่มหำทุคคตะร้อยไว้ ๆ ไป เพื่อประโยชน์แก่ ภิกษุที่ตนนิมนต์แล้ว ๆ. เมื่อเขำกำำลังร้อยปลำอยู่นั้นแล, ก็ถึงเวลำ ภิกขำจำรแล้ว. เขำกำำหนดเวลำแล้ว กล่ำวว่ำ " จักต้องไป เพื่อน,
  • 42. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 40 นี้ เป็นเวลำที่ภิกษุมำ. " ชำวประมง. ก็พวงปลำยังมีอยูไหม ่ ? มหำทุคคตะ. ไม่มี เพื่อน, หมดสิ้นแล้ว. ชำวประมง. ถ้ำอย่ำงนั้น ปลำตะเพียน ๔ ตัว ข้ำหมกทรำย ไว้เพื่อประโยชน์แก่ตน, แม้ถ้ำแกต้องกำรจะเลี้ยงภิกษุ, จงเอำปลำ เหล่ำนี้ไปเถิด " ดังนีแล้ว ก็ได้ให้ปลำตะเพียนเหล่ำนั้นแก่เขำไป. ้ [ มหำทุคคตะได้ถวำยทำนแด่พระพุทธเจ้ำ ] ก็วันนั้น พระศำสดำทรงตรวจดูสตว์โลก ในเวลำใกล้รุ่ง ทรง ั เห็นมหำทุคคตะ เข้ำไปในข่ำยคือพระญำณของพระองค์ ทรง รำำพึงว่ำ " จักมีเหตุอะไรหนอ ?" ทรงดำำริว่ำ " มหำทุคคตะ คิดว่ำ ' จักเลี้ยงภิกษุรูปหนึ่ง, จึงได้ทำำงำนจ้ำงกับภรรยำแล้วในวันวำน, เขำ จักได้ภิกษุรูปไหนหนอ ?" จึงทรงใคร่ครวญว่ำ " คนทั้งหลำย จัก พำภิกษุไปตำมชื่อที่จดไว้ในบัญชีแล้ว ให้นั่งในเรือนของตน ๆ. มหำ- ทุคคตะเว้นเรำเสียแล้ว จักไม่ได้ภิกษุอื่น. " ได้ยินว่ำ พระพุทธเจ้ำทังหลำย ย่อมทรงทำำควำมอนุเครำะห์ ้ ในพวกเข็ญใจ. เพรำะฉะนั้น พระศำสดำทรงทำำสรีรกิจแต่เช้ำตรู่ แล้ว เสด็จเข้ำสู่พระคันธกุฎี ประทับนั่ง ด้วยทรงดำำริวำ ่ " จัก สงเครำะห์มหำทุคคตะ. " แม้เมื่อมหำทุคคตะ กำำลังถือปลำเข้ำไป สู่เรือน, บัณฑุกัมพลสิลำอำสน์ของท้ำวสักกะ แสดงอำกำรร้อน. ท้ำวเธอทรงพิจำรณำว่ำ " เหตุอะไรกันหนอ ?" ทรงดำำริว่ำ " วำนนี้ มหำทุคคตะได้ทำำงำนจ้ำงกับภรรยำของตน ด้วยตั้งใจว่ำ ' จักถวำย
  • 43. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 41 ภิกษำแก่ภิกษุสัก ๑ รูป ' เขำจักได้ภิกษุรูปไหนหนอ ?" ทรงทรำบว่ำ " ภิกษุอื่นไม่มสำำหรับเขำ, ี แต่พระศำสดำ ประทับนั่งในพระคันธกุฎี นั่นเอง ด้วยตังพระทัยว่ำ ้ ' จักสงเครำะห์มหำทุคคตะ, ' มหำทุคคตะ พึงถวำยข้ำวต้มข้ำวสวย แม้มีผักเป็นกับ อย่ำงที่ตัวบริโภคเอง แด่พระตถำคต, ถ้ำกระไร เรำควรไปยังเรือนของมหำทุคคตะ ทำำ หน้ำที่เป็นพ่อครัว " ดังนีแล้ว จึงทรงจำำแลงเพศมิให้ใครรู้จัก เสด็จ ้ ไปใกล้เรือนของมหำทุคคตะนั้นแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ใคร ๆ มีงำน จ้ำงอะไรบ้ำงหรือ ? " มหำทุคคตะเห็นท้ำวสักกะแล้ว จึงกล่ำวว่ำ " จักทำำงำนอะไร ? เพื่อน. " ชำยแปลง. ข้ำพเจ้ำรู้วิชำกำรทุกอย่ำง นำย, ชื่อว่ำวิชำกำร สิ่งไร ทีข้ำพเจ้ำไม่เข้ำใจ ไม่มีเลย, ่ รู้จนกำรปรุง ข้ำวต้มข้ำวสวย เป็นต้น. มหำทุคคตะ. เพื่อน พวกข้ำพเจ้ำมีควำมต้องกำรด้วยกำรงำน ของท่ำน, แต่ยังไม่เห็นค่ำจ้ำงที่ควรจะให้แก่ท่ำน. ชำยแปลง. ก็ท่ำนต้องกำรทำำอะไร ? มหำทุคคตะ. ข้ำพเจ้ำประสงค์จะถวำยภิกษำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, ประสงค์จดแจงข้ำวต้มข้ำวสวยถวำยภิกษุนั้น. ั ชำยแปลง. ถ้ำท่ำนจะถวำยภิกษำแก่ภิกษุ, ข้ำพเจ้ำไม่ต้อง กำรค่ำจ้ำง. ท่ำนให้บุญแก่ข้ำพเจ้ำ ไม่ควรหรือ ? มหำทุคคตะ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นกำรดีละ เพื่อน, เชิญ เข้ำไปเถิด.
  • 44. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 42 ท้ำวสักกะนั้น เสด็จเข้ำไปในเรือนของมหำทุคคตะนั้นแล้ว ให้ นำำข้ำวสำรเป็นต้นมำแล้ว ทรงส่งมหำทุคคตะนั้นไปด้วยคำำว่ำ " ไป เถิดท่ำน, จงนำำภิกษุที่ถึงแก่ตนมำ. " ฝ่ำยผู้จัดกำรทำน ได้จำยภิกษุไปสู่เรือนของพวกชนเหล่ำนั้น ๆ ่ ตำมรำยกำรที่จดไว้ในบัญชีนั่นแล. มหำทุคคตะไปยังสำำนักของเขำ แล้ว พูดว่ำ " " จงให้ภิกษุที่ถึงแก่ผมเถิด เขำได้สติขึ้นในขณะนั้น จึงพูดว่ำ " ฉันลืมภิกษุสำำหรับแกเสียแล้ว " มหำทุคคตะเป็นเหมือน ถูกประหำรที่ท้องด้วยหอกอันคม ประคองแขนรำ่ำไรว่ำ " เหตุไรจึง ให้ผมฉิบหำยเสียเล่ำ ? คุณ, แม้ผมอันท่ำนชวนแล้วเมื่อวำน ก็ พร้อมด้วยภรรยำ ทำำงำนจ้ำงตลอดวัน วันนี้ แต่เช้ำตรู่ เที่ยวไปที่ ฝังแม่นำ้ำ เพื่อต้องกำรผักแล้วจึงมำ, ่ ขอท่ำนจงให้ภิกษุแก่ผมสักรูป หนึ่งเถิด. " [ มหำทุคคตะไปนิมนต์พระศำสดำ ] คนทั้งหลำยประชุมกันแล้ว ถำมว่ำ " มหำทุคคตะ นั่นอะไร กัน ? " เขำบอกเนื้อควำมนั้น. คนเหล่ำนั้น ถำมผูจัดกำรว่ำ " จริง ้ ไหม ? เพื่อน, ได้ยินว่ำ มหำทุคคตะนี้ ท่ำนชักชวนว่ำ ' จงทำำงำน จ้ำงแล้วถวำยภิกษำแก่ภิกษุสักรูปหนึ่ง. " ผูจัดกำร. ขอรับ นำย. ้ คนเหล่ำนั้น. ท่ำนจัดกำรภิกษุมีประมำณถึงเท่ำนี้ ไม่ได้ให้ ภิกษุแก่มหำทุคคตะนี้สักรูปหนึ่ง ทำำกรรมหนักเสียแล้ว. เขำละอำยใจ ด้วยคำำพูดของคนเหล่ำนั้น จึงพูดกะมหำทุคคตะ
  • 45. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 43 นั้นว่ำ " เพื่อนมหำทุคคตะ อย่ำให้ฉันฉิบหำยเลย, ฉันถึงควำม ลำำบำกใหญ่ เพรำะเหตุแห่งท่ำน, คนทั้งหลำย นำำภิกษุที่ถึงแก่ตน ๆ ไปตำมรำยกำรที่จดไว้ในบัญชี, ชื่อว่ำคนผู้ซึ่งจะถอนภิกษุผู้ซงนั่งใน ึ่ เรือนของตนให้ ไม่มี, ส่วนพระศำสดำ สรงพระพักตร์แล้ว ประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎีนั่นเอง, พระเจ้ำแผ่นดิน ยุพรำช และ คนโต ๆ มีเสนำบดีเป็นต้น นังแลดูกำรเสด็จออกจำกพระคันธกุฎี ่ แห่งพระศำสดำ คิดว่ำ ' จักรับบำตรของพระศำสดำไป, ' ธรรมดำ พระพุทธเจ้ำทังหลำย ย่อมทรงทำำอนุเครำะห์ในคนยำกจน, ท่ำนจง ้ ไปวิหำร กรำบทูลพระศำสดำว่ำ ' ข้ำพระองค์เป็นคนยำกจน พระ เจ้ำข้ำ, ขอพระองค์ จงทรงทำำควำมสงเครำะห์แก่ข้ำพระองค์เถิด ; ถ้ำท่ำนมีบุญ, ท่ำนจักได้แน่ " เขำได้ไปสู่วิหำรแล้ว. [ พระศำสดำประทำนบำตรแก่มหำทุคคตะ ] ลำำดับนั้น พระเจ้ำแผ่นดินและยุพรำชเป็นต้น ตรัสกะเขำว่ำ " มหำทุคคตะ ไม่ใช่เวลำภัตรก่อน, เจ้ำมำทำำไม ?" เพรำะเคย เห็นเขำโดยควำมเป็นวิฆำสำทในวิหำร ในวันอื่น ๆ. มหำทุคคตะ กรำบทูลว่ำ " ข้ำพระองค์ทรำบอยู่วำ ่ ' ไม่ใช่เวลำภัตรก่อน ' แต่ ข้ำพระองค์มำก็เพื่อถวำยบังคมพระศำสดำ " ดังนีแล้ว จึงซบศีรษะ ้ ลงที่พระคันธกุฎี ถวำยบังคมด้วยเบญจำงคประดิษฐ์ กรำบทูล ว่ำ " ผู้ทยำกจนกว่ำข้ำพระองค์ในพระนครนี้ไม่มี พระเจ้ำข้ำ, ขอ ี่ ทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้ำพระองค์เถิด, ขอทรงทำำควำมสงเครำะห์แก่ข้ำพระ-
  • 46. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 44 องค์เถิด. " พระศำสดำทรงเปิดพระทวำรพระคันธกุฎี ทรงนำำบำตรมำ ประทำนในมือของเขำ. เขำได้เป็นเหมือนบรรลุจักรพรรดิสิริ. พระ เจ้ำแผ่นดินและยุพรำชเป็นต้น ต่ำงทรงแลดูพระพักตร์กันและกัน. แท้จริง ใคร ๆ ชื่อว่ำสำมำรถเพื่อจะรับบำตรที่พระศำสดำ ประทำนแก่มหำทุคคตะ ด้วยอำำนำจควำมเป็นใหญ่ หำมีไม่, เป็นแต่ กล่ำวอย่ำงนี้ " เพื่อนมหำทุคคตะ ท่ำนจงให้บำตรของพระศำสดำ แก่พวกเรำ, พวกเรำจักให้ทรัพย์มีประมำณเท่ำนี้ คือ พันหนึ่งหรือ แสนหนึ่ง แก่ท่ำน, ท่ำนเป็นคนเข็ญใจ จงเอำทรัพย์เถิด, ประโยชน์ อะไรของท่ำนด้วยบำตรเล่ำ ?" มหำทุคคตะ ตอบว่ำ " ข้ำพเจ้ำจัก ไม่ให้ใคร, ข้ำพเจ้ำไม่มีควำมต้องกำรด้วยทรัพย์, จักให้พระศำสดำ เท่ำนั้นเสวย. " ชนทังหลำยที่เหลือ อ้อนวอนเขำ ไม่ได้บำตรแล้ว ้ จึงกลับไป. ฝ่ำยพระเจ้ำแผ่นดิน ทรงดำำริว่ำ " มหำทุคคตะ แม้ถูกเขำเล้ำ โลมล่อด้วยทรัพย์ ก็ไม่ให้บำตรของพระศำสดำ, ก็ใคร ๆ ไม่อำจ จะรับบำตรที่พระศำสดำประทำนแล้วด้วยพระองค์เองได้, อันไทยธรรม ของมหำทุคคตะนี้ จักมีประมำณเท่ำไร ? ในเวลำมหำทุคคตะนี้ถวำย ไทยธรรมเสร็จแล้ว เรำจักนำำพระศำสดำไปยังเรือน ถวำยอำหำร ที่เขำจัดไว้สำำหรับเรำ " ดังนีแล้ว จึงได้ตำมเสด็จไปพร้อมด้วยพระ ้ ศำสดำทีเดียว. [ พระศำสดำเสด็จไปเรือนของมกำทุคคตะ ] ฝ่ำยท้ำวสักกเทวรำช จัดอำหำรภัตรมีข้ำวต้มข้ำวสวยและผัก
  • 47. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 45 เป็นต้น พร้อมมูลแล้ว ปูอำสนะที่สมควรเป็นที่ประทับแห่งพระศำสดำ แล้วประทับนั่ง. มหำทุคคตะนำำพระศำสดำออกไปแล้ว กรำบทูลว่ำ " จง เสด็จเข้ำไปเถิด พระเจ้ำข้ำ. " ก็เรือนที่อยูของเขำตำ่ำ, ผูที่ไม่ก้ม ไม่ ่ ้ อำจเขำไปได้, ก็แต่ธรรมดำพระพุทธเจ้ำทั้งหลำย เมื่อเสด็จเข้ำ สู่เรือน ไม่ต้องก้มเสด็จไป. เพรำะว่ำ ในเวลำเสด็จเข้ำสู่เรือน แผ่นดินใหญ่ ย่อมยุบลงภำยใต้. หรือเรือนสูงขึ้น. นี่เป็นผลแห่งทำน ที่พระพุทธเจ้ำทังหลำยนั้นถวำยไว้ดีแล้ว. ้ ในเวลำที่พระองค์เสด็จออกไป แล้ว ทุกสิ่งเป็นปกติเหมือนเดิมอีก; เพรำะฉะนั้น พระศำสดำ ทั้งประทับ ยืนอยู่นั่นเอง เสด็จเข้ำสู่เรือนแล้ว ประทับนั่งบนอำสนะที่ท้ำวสักกะปู ไว้แล้ว. เมื่อพระศำสดำประทับนั่งแล้ว, พระรำชำรับสั่งว่ำ " เพื่อน มหำทุคคตะ ท่ำนไม่ให้บำตรของพระศำสดำ แก่พวกเรำ แม้ผู้ อ้อนวอนอยู่, พวกเรำจะดูก่อน, สักกำระที่ท่ำนจัดถวำยพระศำสดำ เป็นเช่นไร ?" ลำำดับนั้น ท้ำวสักกะเปิดข้ำวยำคูและภัตรออกอวด, กลิ่นเครื่องอบอำหำรภัตรเหล่ำนั้น ได้กลบทั่วพระนครตั้งอยู่. พระ รำชำทรงตรวจดูขำวยำคูเป็นต้นแล้ว กรำบทูลพระผู้มีพระภำคว่ำ ้ " ข้ำ แต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน คิดว่ำ ' ไทยธรรมของมหำทุคคตะ จักมีสักเท่ำไร ? เมื่อมหำทุคคตะนี้ถวำยไทยธรรมแล้ว จักนำำเสด็จ พระศำสดำไปยังเรือน ถวำยอำหำรที่เขำจัดไว้สำำหรับตน ' ดังนี้ จึง มำแล้ว, อำหำรเห็นปำนนี้ หม่อมฉันไม่เคยเห็นเลย, เมื่อหม่อมฉัน อยู่ในที่นี้ มหำทุคคตะต้องลำำบำกเหลือเกิน หม่อมฉันจะกลับ " ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว เสด็จหลีกไป.
  • 48. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 46 [ บ้ำนของมหำทุคคตะเต็มด้วยแก้ว ๗ อย่ำง ] ฝ่ำยท้ำวสักกะ ถวำยยำคูเป็นต้น ทรงอังคำสพระศำสดำโดย เคำรพ. แม้พระศำสดำ ทรงทำำภัตรกิจแล้ว ทรงทำำอนุโมทนำ เสด็จ ลุกจำกอำสนะหลีกไป. ท้ำวสักกะได้ให้สัญญำแก่มหำทุคคตะ. เขำ รับบำตร ตำมเสด็จพระศำสดำ. ท้ำวสักกะเสด็จกลับ ประทับยืนอยู่ที่ ประตูเรือนของมหำทุคคตะ ทรงแลดูอำกำศแล้ว. ฝนแก้ว ๗ ประกำร ตกลงจำกอำกำศ เต็มภำชนะทั้งหมดในเรือนของเขำแล้ว ยังล้นไป ทั่วเรือน. ในเรือนของเขำไม่มีที่ว่ำง. ภรรยำของเขำได้จูงมือพวก เด็ก นำำออกไปยืนอยู่ภำยนอก. เขำตำมเสด็จพระศำสดำแล้วกลับมำ เห็นเด็กข้ำงถนน จึงถำมว่ำ " นี่อะไร ?" ภรรยำของเขำตอบว่ำ " นำย เรือนของเรำเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประกำรทั่วทั้งหลัง, ไม่มช่อง ี จะเข้ำไปได้. " เขำคิดว่ำ " ทำนของเรำให้ผลวันนี้เอง " ดังนี้แล้ว จึงไปสู่พระรำชำสำำนัก ถวำยบังคมพระรำชำแล้ว. เมื่อพระรำชำรับสัง ่ ถำมว่ำ " มำทำำไม ?" จึงกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ เรือนของ ข้ำพระองค์ เต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประกำร, ขอพระองค์จงทรงถือเอำ ทรัพย์นั้นเถิด. " พระรำชำทรงดำำริว่ำ " น่ำอัศจรรย์ ทำนที่เขำถวำยแก่พระพุทธ- เจ้ำทังหลำย ถึงที่สุดวันนี้เอง ้ " ดังนีแล้ว จึงรับสั่งกะเขำว่ำ ้ " ?" เธอควรจะได้อะไร มหำทุคคตะ. ขอจงพระรำชทำนเกวียนพันเล่ม เพื่อต้องกำร นำำทรัพย์มำ.
  • 49. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 47 พระรำชำทรงส่งเกวียนพันเล่มไป ให้นำำทรัพย์มำ เกลี่ยไว้ที่ พระลำนหลวง. กองทรัพย์ได้เป็นกองสูงประมำณเท่ำต้นตำล. พระ รำชำรับสั่งให้ชำวเมืองประชุมกันแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ในกรุงนี้ ใคร มีทรัพย์ถึงเท่ำนี้ไหม ?" ชำวเมือง. ไม่มี พระเจ้ำข้ำ. พระรำชำ. จะควรทำำอย่ำงไร ? แก่คนมีทรัพย์มำกอย่ำงนี้. ชำวเมือง. ควรตังเป็นเศรษฐี พระเจ้ำข้ำ. ้ พระรำชำทรงทำำสักกำระเป็นอันมำกแก่เขำแล้ว รับสังให้พระ ่ รำชทำนตำำแหน่งเศรษฐี. ลำำดับนั้น ท้ำวเธอตรัสบอกที่บ้ำนของเศรษฐีคนหนึ่งในกำล ก่อนแก่เขำแล้ว ตรัสว่ำ " เธอจงให้ถำงพุ่มไม้ที่เกิดในที่นี้แล้ว ปลูก เรือนอยู่เถิด. " เมื่อเขำแผ้วถำงที่นั้น ขุดพื้นที่ทำำให้เรียบอยู่, หม้อ ทรัพย์ได้ผดขึ้นยัดเยียดกันและกัน. ุ เมื่อเขำกรำบทูลแก่พระรำชำ, ท้ำวเธอจึงรับสั่งว่ำ " หม้อทรัพย์เกิดเพรำะบุญของเธอนั่นเอง, เธอ นั่นแหละจงถือเอำเถิด. " [ มหำทุคคตะตำยแล้วเกิดในกรุงสำวัตถี ] เขำได้ปลูกเรือนแล้ว ได้ถวำยมหำทำนแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำ เป็นประมุขตลอด ๗ วัน. แม้เบื้องหน้ำแต่นั้น เขำดำำรงอยู่ บำำเพ็ญ บุญจนตลอดอำยุ ในที่สดอำยุ ได้บงเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติ ุ ั สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบำทกำลนี้ จุตจำกนั้นแล้วถือปฏิสนธิ ิ
  • 50. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 48 ในท้องธิดำคนโต ในตระกูลอุปัฏฐำก ของพระสำรีบุตรเถระ ในกรุงสำวัตถี. ครังนั้น มำดำบิดำของนำง ทรำบควำมที่นำงตั้งครรภ์ จึงได้ ้ ให้เครื่องบริหำรครรภ์. โดยสมัยอื่น นำงเกิดแพ้ท้องเห็นปำนนี้ว่ำ ' โอ ! เรำพึงถวำยทำนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตังแต่ต้นพระธรรมเสนำบดี ้ ด้วยรสปลำตะเพียนแล้ว นุ่งผ้ำย้อมนำ้ำฝำด นังในที่สุดอำสนะ ่ บริโภคภัตรที่เป็นเดนของภิกษุเหล่ำนั้น. " นำงบอกแก่มำรดำบิดำ แล้วก็ได้กระทำำตำมประสงค์. ควำมแพ้ท้องระงับไปแล้ว. ต่อมำใน งำนมงคล ๗ ครังแม้อื่นจำกนั้น มำรดำบิดำของนำงเลี้ยงภิกษุ ๕๐๐ ้ รูป มีพระธรรมเสนำบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลำตะเพียน เหมือนกัน. พึงทรำบเรื่องทั้งหมด โดยนัยที่กล่ำวแล้ว ในเรื่องติสสกุมำร นั้นแล. ก็แต่ว่ำ นี้เป็นผลแห่งกำรถวำยรสแห่งปลำตะเพียนที่ถวำย ในกำลที่เด็กนี้เป็นมหำทุคคตะนั่นเอง. [ ทำรกออกบวชเป็นสำมเณร ] ่ " ข้ำแต่ทำนผู้ ก็ในวันตั้งชื่อ เมือมำรดำของเด็กนั้น กล่ำวว่ำ ่ เจริญ ขอท่ำนจงให้สิกขำบททังหลำยแก่ทำสของท่ำนเถิด " พระเถระ ้ จึงกล่ำวว่ำ " เด็กนี้ชื่ออะไร ? " มำรดำของเด็ก ตอบว่ำ " ข้ำแต่ทำนผู้เจริญ คนเงอะงะ ่ ในเรือนนี้ แม้พวกพูดไม่ได้เรื่อง ก็กลับเป็นผู้ฉลำด ตั้งแต่กำลที่
  • 51. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 49 เด็กนี้ถือปฏิสนธิในท้อง; เพรำะฉะนั้น บุตรของดิฉัน จักมีชื่อว่ำ " หนูบัณฑิต " เถิด. พระเถระ ได้ให้สิกขำบททังหลำยแล้ว. ก็ตั้งแต่ ้ วันที่หนูบัณฑิตเกิดมำ ควำมคิดเกิดขึ้นแก่มำรดำของเขำว่ำ " เรำ จักไม่ทำำลำยอัธยำศัยของบุตรเรำ. " ในเวลำที่เขำมีอำยุได้ ๗ ขวบ เขำกล่ำวกะมำรดำว่ำ " ผมจักบวชในสำำนักพระเถระ. " นำงกล่ำวว่ำ " ได้ พ่อคุณ, แม่นึกไว้แล้วอย่ำงนี้ว่ำ ' จักไม่ทำำลำยอัธยำศัย ของเจ้ำ " ดังนีแล้ว จึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้ว กล่ำวว่ำ ้ " ข้ำแต่ ท่ำนผู้เจริญ ทำสของท่ำน อยำกจะบวช, ดิฉันจักนำำเด็กนี้ไปวิหำร ในเวลำเย็น " ส่งพระเถระไปแล้ว ให้หมู่ญำติประชุมกัน กล่ำวว่ำ " พวกข้ำพเจ้ำ จักทำำสักกำระที่ควรทำำแก่บุตรของข้ำพเจ้ำ ในเวลำ เป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทีเดียว " ดังนีแล้ว ก็ให้ทำำสักกำระมำกมำย ้ พำหนูบัณฑิตนั้นไปสู่วิหำร ได้มอบถวำยแก่พระเถระว่ำ " ขอท่ำน จงให้เด็กนี้บวชเถิด เจ้ำข้ำ. " พระเถระบอกควำมที่กำรบวชเป็นกิจ ทำำได้ยำกแล้ว, เมื่อเด็กรับรองว่ำ " ผมจักทำำตำมโอวำทของท่ำน ขอรับ " จึงกล่ำวว่ำ " ถ้ำอย่ำงนั้น จงมำเถิด " ชุบผมให้เปียก แล้ว บอกตจปัญจกัมมัฏฐำน ให้บวชแล้ว. แม้มำรดำบิดำของ บัณฑิตสำมเณรนั้น อยูในวิหำรนั่นเองสิ้น ๗ วัน ถวำยทำนแก่ ่ ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุข ด้วยรสปลำตะเพียนอย่ำงเดียว ในวันที่เจ็ด เวลำเย็น จึงได้ไปเรือน. ในวันที่แปด พระเถระเมื่อจะไปภำยในบ้ำน พำสำมเณรนั้น ไป ไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ. เพรำะเหตุไร ? เพรำะว่ำ กำรห่มจีวรและ
  • 52. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 50 ถือบำตร หรืออิริยำบถของเธอ ยังไม่นำเลื่อมใสก่อน; ่ อีกอย่ำง หนึ่ง วัตรที่พึงทำำในวิหำรของพระเถระ ยังมีอยู่; อนึ่ง พระเถระ, เมื่อภิกษุสงฆ์เข้ำไปภำยในบ้ำนแล้ว, เที่ยวไปทั่ววิหำร กวำดที่ ๆ ยังไม่กวำด ตังนำ้ำฉันนำ้ำใช้ไว้ในภำชนะที่ว่ำงเปล่ำ เก็บเตียงตั่งเป็น ้ ต้น ที่ยงเก็บไว้ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้ำไปบ้ำนภำยหลัง; ั อีกอย่ำง หนึ่ง ท่ำนคิดเห็นว่ำ " พวกเดียรถีย์เข้ำไปยังวิหำรว่ำงแล้ว อย่ำ ได้เพื่อจะพูดว่ำ ' ดูเถิด ที่นั่งของพวกสำวกพระสมณโคดม ' ดังนี้ แล้ว จึงได้จัดแจงวิหำรทังสิ้น เข้ำไปบ้ำนภำยหลัง; เพรำะฉะนั้น ้ แม้ในวันนั้น พระเถระให้สำมเณรนั่นเอง ถือบำตรจีวร เข้ำไป บ้ำนสำยหน่อย. [ สำมเณรเข้ำไปบิณฑบำตกับพระเถระ ] สำมเณรเมื่อเดินไปกับพระอุปัชฌำย์ เห็นเหมืองในระหว่ำงทำง จึงเรียนถำมว่ำ " นี้ชื่ออะไร ? ขอรับ " พระเถระ. ชื่อว่ำเหมือง สำมเณร. สำมเณร. เขำทำำอะไร ? ด้วยเหมืองนี้. พระเถระ. เขำไขนำ้ำจำกที่นี้ ๆ แล้ว ทำำกำรงำนเกี่ยวด้วยข้ำว กล้ำของตน. สำมเณร. ก็นำ้ำมีจิตไหม ? ขอรับ. พระเถระ. ไม่มี เธอ. สำมเณร. ชนทั้งหลำยย่อมไขนำ้ำที่ไม่มีจิตเห็นปำนนี้สู่ที่ ๆ ตน ปรำรถนำแล้ว ๆ ได้หรือ ? ขอรับ.
  • 53. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 51 พระเถระ. ได้ เธอ. สำมเณรนั้น คิดว่ำ " ถ้ำคนทังหลำยไขนำ้ำซึ่งไม่มีจิตแม้เห็นปำนนี้ ้ สู่ที่ ๆ ตนปรำรถนำแล้ว ๆ ทำำกำรงำนได้; เหตุไฉน ? คนมี จิตแท้ ๆ จักไม่อำจเพื่อทำำจิตของตนให้เป็นไปในอำำนำจแล้ว บำำเพ็ญ สมณธรรม. " เธอเดินต่อไปเห็นพวกช่ำงศรกำำลังเอำลูกศรลนไฟแล้ว เล็งด้วยหำงตำ ดัดให้ตรง จึงเรียนถำมว่ำ " พวกนี้ ชือพวก ่ อะไรกัน ? ขอรับ. " พระเถระ. ชือช่ำงศร เธอ. ่ สำมเณร. ก็พวกเขำ ทำำอะไรกัน ? พระเถระ. เขำลนที่ไฟ แล้วดัดลูกศรให้ตรง. สำมเณร. ลูกศรนั่น มีจตไหม ิ ? ขอรับ. พระเถระ. ไม่มีจต เธอ. ิ เธอคิดว่ำ " ถ้ำคนทั้งหลำยถือเอำลูกศรอันไม่มีจตลนไฟแล้ว ิ ดัดให้ตรงได้; เพรำะเหตุไร ? แม้คนมีจิต จึงจักไม่อำจเพื่อทำำจิต ของตนให้เป็นไปในอำำนำจ แล้วบำำเพ็ญสมณธรรมเล่ำ ?" ครั้นสำมเณรเดินต่อไป เห็นชนถำกไม้ทำำเครื่องทัพพสัมภำระมี กำำกงและดุมเป็นต้น จึงเรียนถำมว่ำ " พวกนี้ ชื่อพวกอะไร ? ขอรับ " พระเถระ. ชือช่ำงถำก เธอ. ่ สำมเณร. ก็พวกเขำ ทำำอะไรกัน ? พระเถระ. เขำถือเอำไม้แล้วทำำล้อแห่งยำนน้อยเป็นต้น เธอ.
  • 54. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 52 สำมเณร. ก็ไม้เหล่ำนั่น มีจิตไหม ? ขอรับ. พระเถระ. ไม่มีจต เธอ. ิ [ สำมเณรลำกลับไปทำำสมณธรรม ] ทีนั้น เธอได้มีควำมตริตรองอย่ำงนี้ว่ำ " ถ้ำคนทังหลำยถือเอำ ้ ท่อนไม้ที่ไม่มีจิต ทำำเป็นล้อเป็นต้นได้; เพรำะเหตุไร คนผูมีจิต ้ จึงจักไม่อำจทำำจิตของตนให้เป็นไปในอำำนำจแล้วบำำเพ็ญสมณธรรมเล่ำ ? เธอเห็นเหตุเหล่ำนี้แล้ว จึงเรียนว่ำ " ใต้เท้ำขอรับ ถ้ำใต้เท้ำควร ถือบำตรและจีวรของใต้เท้ำได้; กระผมพึงกลับ " พระเถระมิได้เกิด ควำมคิดเลยว่ำ " เจ้ำสำมเณรเล็กนี้บวชได้หยก ๆ ตำมเรำมำ กล่ำวอย่ำงนี้ได้ " กลับกล่ำวว่ำ " จงเอำมำ สำมเณร " แล้วได้รับ บำตรและจีวรของตนไว้. ฝ่ำยสำมเณรไหว้พระอุปัชฌำย์แล้ว เมื่อจะกลับ จึงเรียนว่ำ " ใต้เท้ำเมื่อจะนำำอำหำรมำเพื่อกระผม พึงนำำมำด้วยรสปลำตะเพียนเถอะ ขอรับ. " พระเถระ. เรำจักได้ ในที่ไหนเล่ำ ? เธอ. สำมเณรเรียนว่ำ " ถ้ำไม่ได้ด้วยบุญของใต้เท้ำ ก็จักได้ด้วย บุญของกระผม ขอรับ. " พระเถระวิตกว่ำ " แม้อันตรำยจะพึงมีแก่ สำมเณรเล็กผู้นั่งข้ำงนอก " จึงให้ลูกดำลไปแล้วบอกว่ำ " ควรเปิด ประตูห้องอยูของฉันแล้ว เข้ำไปนังเสียภำยใน. ่ ่ " เธอได้กระทำำ อย่ำงนั้นแล้ว นั่งลงหยั่งควำมรู้ลงในกรัชกำยของตน พิจำรณำอัตภำพอยู่.
  • 55. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 53 [ อำสนะท้ำวสักกะร้อนเพรำะคุณของสำมเณร ] ครังนั้น ที่ประทับนั่งของท้ำวสักกะ แสดงอำกำรร้อนด้วยเดช ้ แห่งคุณ ของสำมเณรนั้น. ท้ำวเธอใคร่ครวญว่ำ " จักมีเหตุอะไร กันหนอ ?" ทรงดำำริได้ว่ำ " บัณฑิตสำมเณรถวำยบำตรและจีวรแก่ พระอุปัชฌำย์แล้วกลับ ด้วยตั้งใจว่ำ 'จักทำำสมณธรรม ' แม้เรำ ก็ควรไปในที่นั้น " ดังนีแล้ว, ตรัสเรียกท้ำวมหำรำชทั้ง ๔ มำ ตรัสว่ำ ้ " พวกท่ำนจงไปไล่นกที่บินจอแจอยูในป่ำใกล้วิหำรให้หนีไป แล้วยึด ่ อำรักขำไว้โดยรอบ. " ตรัสกะจันทเทพบุตรว่ำ " ท่ำนจงฉุดรั้งมณฑล พระจันทร์ไว้, " ตรัสกะสุริยเทพบุตรว่ำ " ท่ำนจงฉุดรั้งมณฑล พระอำทิตย์ไว้ " ดังนี้แล้ว พระองค์เอง ได้เสด็จไปประทับยืนยึด อำรักขำอยู่ที่สำยยู. ในวิหำรแม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี. จิตของ สำมเณรได้มีอำรมณ์เป็นหนึ่งแล้ว. เธอพิจำรณำอัตภำพแล้ว บรรลุ- ผล ๓ อย่ำงในระหว่ำงภัตรนั้นเอง. ฝ่ำยพระเถระ คิดว่ำ " สำมเณรนั่งแล้วในวิหำร, เรำอำจ จะได้โภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ ในสกุลชื่อโน้น " ดังนีแล้ว จึง ้ ได้ไปสูตระกูลอุปัฏฐำก ซึ่งประกอบด้วยควำมรักและเคำรพตระกูลหนึ่ง . ่ ก็ในวันนั้น มนุษย์ทั้งหลำยในตระกูลนั้น ได้ปลำตะเพียนหลำยตัว นั่งดูกำรมำแห่งพระเถระอยู่เทียว. พวกเขำเห็นพระเถระกำำลังมำ จึงกล่ำวว่ำ " ท่ำนขอรับ ท่ำนมำที่นี้ ทำำกรรมเจริญแล้ว " แล้ว นิมนต์ให้เข้ำไปข้ำงใน ถวำยข้ำวยำคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว ได้ถวยบิณฑบำตด้วยรสปลำตะเพียน. พระเถระแสดงอำกำรจะนำำ
  • 56. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 54 ไป. พวกมนุษย์เรียนว่ำ " นิมนต์ฉันเถิดขอรับ ใต้เท้ำจักได้แม้ ภัตรสำำหรับนำำไป " ในเวลำเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอำโภชนะ ประกอบด้วยรสปลำตะเพียน ใส่เต็มบำตรถวำยแล้ว. พระเถระคิด ว่ำ " สำมเณรของเรำหิวแล้ว " จึงได้รีบไป. [ พระศำสดำทรงทำำอำรักขำสำมเณร ] แม้พระศำสดำ ในวันนั้น เสวยแต่เช้ำทีเดียว เสด็จไปวิหำรทรง ใคร่ครวญว่ำ " บัณฑิตสำมเณรให้บำตรและจีวรแก่พระอุปัชฌำย์แล้ว กลับไป ด้วยตังใจว่ำ ้ ' จักทำำสมณธรรม ;' กิจแห่งบรรพชิตของเธอ ? " ทรงทรำบว่ำ สำมเณรบรรลุผล ๓ อย่ำงแล้ว จักสำำเร็จหรือไม่ จึงทรงพิจำรณำว่ำ " อุปนิสยแห่งพระอรหัตจะมีหรือไม่มี ? " ทรงเห็น ั ว่ำ " มี " แล้วทรงใคร่ครวญว่ำ " เธอจักอำจเพื่อบรรลุพระอรหัตก่อน ภัตรทีเดียว หรือจักไม่อำจ ? " ได้ทรงทรำบว่ำ " จักอำจ. " ลำำดับ นั้น พระองค์ได้มีควำมปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " สำรีบุตร ถือภัตรเพื่อ สำมเณรรีบมำ, เธอจะพึงทำำอันตรำยแก่สำมเณรนั้นก็ได้, เรำจักนั่ง ถือเอำอำรักขำที่ซุ้มประตู, ทีนั้นจักถำมปัญหำ ๔ ข้อกะเธอ, เมื่อ เธอแก้อยู่, สำมเณรจักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ " ดังนี้ แล้ว จึงเสด็จไปจำกวิหำรนั้น ประทับยืนอยู่ที่ซมประตู ตรัสถำม ุ้ ปัญหำ ๔ ข้อกะพระเถระผู้มำถึงแล้ว. พระเถระแก้ปัญหำที่พระศำสดำ ตรัสถำมแล้ว. ในปัญหำนั้น มีปุจฉำวิสัชนำดังต่อไปนี้ :-
  • 57. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 55 ได้ยินว่ำ พระศำสดำตรัสกะพระเถระนั้นว่ำ " สำรีบุตร เธอได้อะไรมำ ?" พระเถระ. อำหำร พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ. ชื่อว่ำอำหำร ย่อมนำำอะไรมำ ? สำรีบุตร. พระเถระ. เวทนำ พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ. เวทนำ ย่อมนำำอะไรมำ ? สำรีบตร. ุ พระเถระ. รูป พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ. ก็รูป ย่อมนำำอะไรมำ ? สำรีบุตร. พระเถระ. ผัสสะ พระเจ้ำข้ำ. [ คำำอธิบำยในปัญหำ ] ในปัญหำนั้น มีอธิบำยดังนี้ :- จริงอยู่ อำหำรอันคนหิวบริโภคแล้ว กำำจัดควำมหิวของเขำ แล้ว นำำสุขเวทนำมำให้, เมื่อสุขเวทนำเกิดขึ้นแก่ผู้มีควำมสุขเพรำะ กำรบริโภคอำหำร วรรณสมบัติย่อมมีในสรีระ, เวทนำชื่อว่ำย่อมนำำ รูปมำ ด้วยอำกำรอย่ำงนี้, ก็ผู้มีสุขเกิดสุขโสมนัส ด้วยอำำนำจรูปที่ เกิดจำกอำหำร นอนอยู่ก็ตำม นั่งอยู่ก็ตำม ด้วยคิดว่ำ " บัดนี้ อัสสำทะ เกิดแก่เรำแล้ว " ย่อมได้สขสัมผัส. ุ [ สำมเณรบรรลุพระอรหัตผล ] เมื่อพระเถระแก้ปัญหำทั้ง ๔ ข้อเหล่ำนี้ อย่ำงนั้นแล้ว, สำมเณร ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ, ฝ่ำยพระศำสดำ ตรัส
  • 58. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 56 กะพระเถระว่ำ " ไปเถิด สำรีบตร, จงให้ภัตรแก่สำมเณรของ ุ เธอ. " พระเถระไปเคำะประตูแล้ว. สำมเณรออกมำรับบำตรจำก มือพระเถระ วำงไว้ ณ ส่วนข้ำงหนึ่งแล้ว จึงเอำพัดก้ำนตำลพัดพระ เถระ. ลำำดับนั้น พระเถระ กล่ำวกะเธอว่ำ " สำมเณร จงทำำ ภัตกิจเสียเถิด. " สำมเณร. ก็ใต้เท้ำเล่ำ ขอรับ. พระเถระ. เรำทำำภัตกิจเสร็จแล้ว, เธอจงทำำเถิด. เด็กอำยุ ๗ ขวบ บวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุพระอรหัตเป็น เหมือนดอกประทุมทีแย้มแล้ว ในขณะนั้น ได้นั่งพิจำรณำที่เป็น ่ ที่ใส่ภัตร ทำำภัตกิจแล้ว. ในขณะที่เธอล้ำงบำตรเก็บไว้ จันท- เทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์, สุรยเทพบุตรปล่อยมณฑลพระอำทิตย์ ิ ท้ำวมหำรำชทั้ง ๔ ปล่อยอำรักขำทั้ง ๔ ทิศ, ท้ำวสักกเทวรำช เลิก อำรักขำที่สำยยู, พระอำทิตย์เคลื่อนคล้อยไปแล้วจำกที่ท่ำมกลำง. [ ธรรมดำบัณฑิตย่อมฝึกตน ] ภิกษุทั้งหลำยโพนทนำว่ำ " เงำ บ่ำยเกินประมำณแล้ว, พระ อำทิตย์เคลื่อนคล้อยไปจำกที่ท่ำมกลำง, ก็สำมเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง, นี่เรื่องอะไรกันหนอ ? " พระศำสดำทรงทรำบควำมเป็นไปนั้นแล้ว เสด็จมำตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน ? " พวกภิกษุ. เรื่องชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำตรัสว่ำ " อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย, ในเวลำผู้มีบุญ ทำำสมณธรรม จันทเทพบุตรฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้, สุริยเทพบุตร
  • 59. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 57 ฉุดมณฑลพระอำทิตย์รั้งไว้. ท้ำวมหำรำชทั้ง ๔ ถืออำรักขำทั้ง ๔ ทิศในป่ำใกล้วิหำร, ท้ำวสักกเทวรำชเสด็จมำยึดอำรักขำที่สำยยู, ถึงเรำผู้ มีควำมขวนขวำยน้อยด้วยนึกเสียว่ำ ' เป็นพระพุทธเจ้ำ ' ก็ไม่ได้เพื่อ จะนั่งอยูได้, ่ ยังได้ไปยึดอำรักขำเพื่อบุตรของเรำ ทีซุ้มประตู, ่ พวก บัณฑิตเห็นคนไขนำ้ำกำำลังไขนำ้ำไปจำกเหมือง ช่ำงศรกำำลังดัดลูกศรให้ ตรง และช่ำงถำกกำำลังถำกไม้แล้ว ถือเอำเหตุเท่ำนั้น ให้เป็น อำรมณ์ ทรมำนตนแล้ว ย่อมยึดเอำพระอรหัตไว้ได้ทีเดียว " ดังนี้ แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " อันคนไขนำ้ำทั้งหลำยย่อมไขนำ้ำ, ช่ำงศรทังหลำย ้ ย่อมดัดศร, ช่ำงถำกทั้งหลำยย่อมถำกไม้, บัณฑิต ทังหลำยย่อมฝึกตน. " ้ [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อุทก เป็นต้น ควำมว่ำ ชนทั้งหลำย ขุดที่ดอนบนแผ่นดิน ถมที่เป็นบ่อแล้วทำำเหมือง หรือวำงรำงไม้ไว้ ย่อมไขนำ้ำไปสู่ทตนต้องกำร ๆ เพรำะฉะนั้น จึงชื่อว่ำผู้ไขนำ้ำ. ี่ บทว่ำ เตชน ได้แก่ ลูกศร. มีพระพุทธำธิบำย ตรัสไว้ดังนี้ว่ำ :- " พวกคนไขนำ้ำย่อมไขนำ้ำไปตำมชอบใจของตนได้, แม้ช่ำงศรก็ ย่อมลนดัดลูกศร คือทำำให้ตรง, ถึงช่ำงถำก เมื่อจะถำกเพื่อเป็น ประโยชน์แก่ทัพพสัมภำระมีกงเป็นต้น ย่อมดัดไม้ คือทำำให้ตรงหรือ
  • 60. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 58 คด ตำมชอบใจของตน. บัณฑิตทั้งหลำยทำำเหตุมีประมำณเท่ำนี้ ให้ เป็นอำรมณ์อย่ำงนั้นแล้ว ยังมรรคมีโสดำปัตติมรรคเป็นต้นให้เกิดขึ้น อยู่ ย่อมชื่อว่ำทรมำนตน, แต่เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้วย่อมจัดว่ำ ทรมำนโดยส่วนเดียว. " ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องบัณฑิตสำมเณร จบ.
  • 61. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 59 ๖. เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระลกุณฏก- ภัททิยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " เสโล ยถำ " เป็นต้น. [ พระเถระถูกล้อเลียนเพรำะร่ำงเล็ก ] ได้ยินว่ำ สหธรรมิกมีสำมเณรเป็นต้น ซึงเป็นปุถุชน เห็น ่ พระเถระแล้ว จับต้องที่ศีรษะบ้ำง ที่หูบ้ำง ทีจมูกบ้ำง พลำงกล่ำวว่ำ ่ " อำจ๊ะ อำจ๋ำ อำไม่กระสัน ยังยินดีแน่นแฟ้น ในพระศำสนำหรือ ?" พระเถระไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำยในสหธรรมิกเหล่ำนั้นเลย. ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " ผู้มีอำยุทงหลำย พวก ั้ ท่ำนจงดูเถิด สหธรรมิกมีสำมเณรเป็นต้น เห็นพระลกุณฏกภัททิย- เถระแล้ว ย่อมรังแกอย่ำงนั้นอย่ำงนี้, ท่ำนไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำย ในสหธรรมิกเหล่ำนั้นเลย. " [ พระขีณำสพเป็นดังศิลำ ] พระศำสดำเสด็จมำแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวก เธอพูดอะไรกัน ?" เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น กรำบทูลว่ำ " เรื่องชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ " จึงตรัสว่ำ " อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำพระ ขีณำสพ ย่อมไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำยเลย, เพรำะท่ำนเหล่ำนั้น ไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน เช่นกับศิลำแท่งทึบ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะ * พระมหำจับ ป.ธ. ๙ (พระธรรมปัญญำจำรย์) วัดโสมนัสวิหำร แปล.
  • 62. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 60 ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ภูเขำศิลำล้วน เป็นแท่งเดียว ย่อมไม่สะเทือน ด้วยลมฉันใด, บัณฑิตทั้งหลำย ย่อมไม่เอนเอียง ในเพรำะนินทำและสรรเสริญฉันนั้น. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น ในบทว่ำ นินฺทำปสสำสุ นี้ พระผู้มีพระ- ภำคตรัสโลกธรรมไว้ ๒ ก็จริง. ถึงอย่ำงนั้น พึงทรำบเนื้อควำมด้วย สำมำรถแห่งโลกธรรมแม้ทั้ง ๘. อธิบำยว่ำ เหมือนอย่ำงว่ำภูเขำศิลำ ล้วน เป็นแท่งเดียว คือ ไม่มีโพรง ย่อมไม่สะเทือน คือ ไม่เอน เอียง ไม่หวั่นไหว ด้วยลม ต่ำงด้วยลมพัดมำแต่ทิศตะวันออกเป็นต้น ฉันใด; เมื่อโลกธรรมแม้ทง ๘ ครอบงำำอยู่ บัณฑิตทั้งหลำยย่อมไม่ ั้ เอนเอียง คือไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน ด้วยอำำนำจควำมยินร้ำยหรือ ยินดี ฉันนั้น. " ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุพระอริยผลทั้งหลำย มีโดสำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ จบ.
  • 63. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 61 ๗. เรื่องมำรดำของนำงกำณำ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำ เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภมำรดำ ของนำงกำณำ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " ยถำปิ รหโท คมฺภีโร " เป็นต้น. เรื่องมำแล้วในวินัย [ นำงกำณำด่ำภิกษุ ] ก็ครั้งนั้น ในกำลเมื่อมำรดำของนำงกำณำทอดขนม เพื่อ ส่งธิดำให้เป็นผู้ไม่มมือเปล่ำ ไปสูตระกูลผัวแล้ว ถวำยแก่ภิกษุ ๔ รูป ี ่ เสีย ถึง ๔ ครัง เมื่อพระศำสดำทรงบัญญัติสิกขำบทในเพรำะเรื่องนั้น, ้ เมื่อสำมีของนำงกำณำ นำำภรรยำใหม่มำแล้ว. นำงกำณำได้ฟังเรื่องนั้น จึงด่ำบริภำษพวกภิกษุซึ่งตนได้เห็นแล้วและเห็นแล้วว่ำ " กำร ครองเรือนของเรำ อันภิกษุเหล่ำนี้ ให้ฉิบหำยแล้ว. " ภิกษุทั้งหลำย ไม่อำจเดินไปสู่ถนนนั้นได้. [ นำงกำณำบรรลุโสดำปัตติผล ] พระศำสดำทรงทรำบเรื่องนั้นแล้ว จึงได้เสด็จไปในที่นั้น. มำรดำ ของนำงกำณำ ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว นิมนต์ให้ประทับนั่งบน อำสนะที่ตกแต่งไว้ ได้ถวำยข้ำวยำคูและของควรเคี้ยวแล้ว; *พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ วัตปทุมวนำรำม แปล. ๑. มหำวิภงฺค ๒/๓๒๒. แต่ในคัมภีร์นั้น กล่ำวถึงจำำนวนภิกษุมำรับขนมเพียง ๓ องค์ และมำรดำนำงกำณำก็ทอดขนมถวำยภิกษุเพียง ๓ ครั้งเท่ำนั้น.
  • 64. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 62 พระศำสดำเสวยพระกระยำหำรเช้ำแล้ว ตรัสถำมว่ำ " กำณำ ไปไหน ?" กำณมำรดำ. พระเจ้ำข้ำ นำงเห็นพระองค์แล้ว เป็นผู้เก้อ ยืนร้องไห้อยู่. พระศำสดำ. เพรำะเหตุอะไรเล่ำ ? กำณมำรดำ. นำงด่ำบริภำษพวกภิกษุ; เพรำะฉะนั้น นำงเห็น พระองค์แล้ว จึงเป็นผู้เก้อ ยืนร้องไห้อยู่ พระเจ้ำข้ำ. ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงรับสังให้เรียกนำงกำณำมำแล้ว ตรัส ่ ถำมว่ำ " กำณำ เจ้ำเห็นเรำแล้ว จึงเก้อเขิน แอบร้องไห้ทำำไม? " ครั้งนั้น มำรดำของนำงกรำบทูลกิริยำที่นำงกระทำำแล้ว (ให้ทรง ทรำบ). ทีนั้น พระศำสดำตรัสกะมำรดำของนำงกำณำว่ำ " กำณ- มำรดำ ก็สำวกทั้งหลำยของเรำ ถือเอำสิงที่เธอให้แล้วหรือว่ำทียัง ่ ่ มิได้ให้เล่ำ ?" กำณมำรดำ. ถือเอำสิงที่หม่อมฉันถวำยแล้ว พระเจ้ำข้ำ. ่ พระศำสดำ. ถ้ำสำวกของเรำเที่ยวบิณฑบำต ถึงประตูเรือน ของเธอแล้ว ถือเอำสิงของที่เธอให้แล้ว, จะมีโทษอะไรแก่สำวกเหล่ำ ่ นั้นเล่ำ ? กำณมำรดำ. โทษของพระผู้เป็นเจ้ำไม่มี พระเจ้ำข้ำ, โทษ ของนำงนี่เท่ำนั้น มีอยู่. พระศำสดำ ตรัสถำมกะนำงกำณำว่ำ " กำณำ ได้ยินว่ำ สำวก ของเรำ เที่ยวบิณฑบำต มำถึงประตูเรือนนี้แล้ว, เมื่อเป็นเช่นนี้ มำรดำ
  • 65. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 63 ของเจ้ำ ได้ถวำยขนมแก่สำวกเหล่ำนั้น, ในเรื่องนี้ ชื่อว่ำโทษอะไร จักมีแก่พวกสำวกทั้งหลำยของเรำเล่ำ ?" นำงกำณำ. โทษของพระผู้เป็นเจ้ำ ไม่มี พระเจ้ำข้ำ, หม่อมฉัน ฉันเท่ำนั้น มีโทษ. นำงถวำยบังคมพระศำสดำ ให้ทรงอดโทษแล้ว. ครั้งนั้น พระ ศำสดำได้ตรัสอนุปุพพีกถำแก่นำง, นำงบรรลุโสดำปัตติผลแล้ว. [ พระรำชำทรงตังนำงกำณำในตำำแหน่งเชษฐธิดำ ้ ] พระศำสดำเสด็จลุกจำกอำสนะแล้ว เมื่อจะเสด็จไปสู่วิหำร ได้ เสด็จไปทำงพระลำนหลวง. พระรำชำทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัส ถำมว่ำ " พนำย นั่นดูเหมือนพระศำสดำ. " เมื่อรำชบุรุษกรำบทูล ว่ำ " ถูกแล้ว พระเจ้ำข้ำ " ดังนี้แล้ว จึงส่งไปด้วยพระดำำรัสว่ำ " จงไป จงกรำบทูลควำมที่เรำจะมำถวำยบังคม " แล้ว ได้เข้ำไป เฝ้ำพระศำสดำ ซึงประทับยืนอยู่ ณ พระลำนหลวง ถวำยบังคมด้วย ่ เบญจำงคประดิษฐ์แล้ว ทูลถำมว่ำ " พระองค์เสด็จไปไหน ? พระเจ้ำข้ำ. " พระศำสดำ. มหำบพิตร อำตมภำพจะไปสู่เรือนมำรดำของ นำงกำณำ. พระรำชำ. เพรำะเหตุอะไร ? พระองค์จงเสด็จไป พระเจ้ำข้ำ. ึ พระศำสดำ. ได้ขำวว่ำ นำงกำณำด่ำบริภำษภิกษุ, ่ อำตมภำพ ไปเพรำะเหตุนั้น. พระรำชำ. ก็พระองค์ทรงทำำควำมที่นำงไม่ดำแล้วหรือ ่ ?
  • 66. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 64 พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ. ถวำยพระพร มหำบพิตร อำตมภำพทำำนำงมิให้ เป็นผู้ด่ำภิกษุแล้ว และให้เป็นเจ้ำของทรัพย์อันเป็นโลกุตระแล้ว. พระรำชำ. " พระองค์ทรงทำำนำงให้เป็นเจ้ำของทรัพย์ที่เป็น โลกุตระแล้วก็ช่ำงเถิด พระเจ้ำข้ำ, ส่วนหม่อมฉัน จักทำำให้นำงเป็น เจ้ำของทรัพย์ที่เป็นโลกีย์ " ดังนีแล้ว ถวำยบังคมพระศำสดำเสด็จ ้ กลับแล้ว ทรงส่งยำนใหญ่ที่ปกปิดไป รับสั่งให้เรียกนำงกำณำมำแล้ว ประดับด้วยเครื่องอำภรณ์ทุกอย่ำง ทรงตั้งไว้ในตำำแหน่งพระธิดำผู้ใหญ่ แล้ว ตรัสว่ำ " ผูใดสำมำรถเลี้ยงดูธิดำของเรำได้; ผู้นั้นจงรับเอำ ้ นำงไป. " [ มหำอำำมำตย์รับเลี้ยงนำงกำณำ ] ครังนั้น มหำอำำมำตย์ผสำำเร็จรำชกิจทุกอย่ำงคนหนึ่ง กรำบ ้ ู้ ทูลว่ำ " ข้ำพระองค์จักเลี้ยงดูพระธิดำของฝ่ำพระบำท " ดังนี้แล้ว นำำนำงไปยังเรือนของตน มอบควำมเป็นใหญ่ทุกอย่ำงให้แล้ว กล่ำวว่ำ " เจ้ำจงทำำบุญตำมชอบใจเถิด. " จำำเดิมแต่วันนั้นมำ นำงกำษำตังบุรุษไว้ที่ประตูทั้ง ๔ ก็ยงไม่ได้ ้ ั ภิกษุและภิกษุณีที่ตนพึงบำำรุง. ของควรเคี้ยวและของควรบริโภคที่นำง กำณำตระเตรียมตั้งไว้ที่ประตูเรือน ย่อมเป็นเหมือนห้วงนำ้ำใหญ่. พวกภิกษุสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " ผู้มีอำยุ ในกำลก่อน พระเถระแก่ ๔ รูป ทำำควำมเดือดร้อนให้แก่นำงกำณษ, นำงแม้เป็น ผู้เดือดร้อนอย่ำงนั้น อำศัยพระศำสดำ ได้ควำมถึงพร้อมด้วยศรัทธำ
  • 67. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 65 แล้ว, พระศำสดำได้ทรงทำำประตูเรือนของนำง ให้เป็นสถำนที่ควร เข้ำไปของภิกษุอีก, บัดนี้ นำงแม้แสวงหำภิกษุหรือภิกษุณีทั้งหลำย ที่ตนจะพึงบำำรุง ก็ยังไม่ได้, โอ ธรรมดำพระพุทธเจ้ำทังหลำย มีคุณ ้ น่ำอัศจรรย์จริง. " พระศำสดำเสด็จมำแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น กรำบ ทูลว่ำ " ด้วยกถำชื่อนี้. " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ภิกษุแก่เหล่ำ นั้น ทำำควำมเดือดร้อนแก่นำงกำณำ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่ำนั้น, แม้ใน กำลก่อน พวกเธอก็ทำำแล้วเหมือนกัน; อนึ่ง เรำได้ทำำให้นำงกำณำ ทำำตำมถ้อยคำำของเรำ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่ำนั้น, ถึงในกำลก่อน เรำก็ ทำำแล้วเหมือนกัน " อันพวกภิกษุผู้ใคร่จะฟังเนื้อควำมนั้น ทูลวิงวอน แล้วจึงตรัสพัพพุชำดก "แมวตัวที่หนึ่ง ได้ หนูและเนื้อ ในทีใด, ่ แมวตัวที่ ๒ ก็ย่อมเกิดในที่นั้น, ตัวที่ ๓ และตัว ที่ ๔ ก็ย่อมเกิดในที่นั้น, แมวเหล่ำนั้น ทำำลำย ปล่องนี้แล้ว (ถึงแก่ควำมตำย). " แล้ว ทรงประชุมชำดกว่ำ " ภิกษุแก่ ๔ รูป (ในบัดนี้) ได้เป็นแมว ๔ ตัวในครั้งนั้น, หนูได้เป็นนำงกำณำ, นำยช่ำงแก้ว คือเรำนั่นเอง " ดังนีแล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย แม้ในอดีตกำล นำงกำณำได้ ้ เป็นผู้มีใจหม่นหมอง มีจิตขุ่นมัวอย่ำงนี้ (แต่) ได้เป็นผู้มีจตผ่อง ิ ๑. ขุ. ชำ. เอก. ๒๗/๔๔. ตทฏฺกถำ. ๒/๓๖๔.
  • 68. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 66 ใส เหมือนห้วงนำ้ำมีนำ้ำใส เพรำะคำำของเรำ " เมื่อทรงสืบอนุสนธิ แสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " บัณฑิตทั้งหลำย ฟังธรรมแล้ว ย่อมผ่องใส เหมือนห้วงนำ้ำลึก ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว ฉะนั้น. " [ แก้อรรถ ] ห้วงนำ้ำใด แม้เมื่อเสนำทั้ง ๔ เหล่ำห้วงนำ้ำเห็นปำนนี้ ชื่อว่ำ รหโท ในพระคำถำ นั้น. ก็นีลมหำสมุทรซึงลึกถึง ๘ หมื่น ๔ พันโยชน์ โดยอำกำรทั้ง ่ ปวง ชื่อว่ำ ห้วงนำ้ำ, แท้จริง นำ้ำในที่มีประมำณ ๔ หมื่นโยชน์ ภำยใต้ นีลมหำสมุทรนั้น ย่อมหวั่นไหวเพรำะฝูงปลำ, นำ้ำในที่มีประมำณ เท่ำนั้นเหมือนกัน ในเบื้องบน ย่อมหวั่นไหวเพรำะลม, (ส่วน) นำ้ำ ในที่มีประมำณ ๔ พันโยชน์ในท่ำมกลำง (นีลมหำสมุทรนั้น) ไม่ หวั่นไหวตั้งอยู่; นี้ชื่อว่ำห้วงนำ้ำลึก. บทว่ำ ธมฺมำนิ ได้แก่ เทศนำธรรมทั้งหลำย. พระผู้มีพระภำค ตรัสคำำอธิบำยนี้ไว้ว่ำ " ห้วงนำ้ำนั้น ชือว่ำ ใสแจ๋ว เพรำะเป็นนำ้ำไม่ ่ อำกูล ชื่อว่ำ ไม่ขุ่นมัว เพรำะเป็นนำ้ำไม่หวั่นไหว ฉันใด; บัณฑิต ทั้งหลำย ฟังเทศนำธรรมของเรำแล้ว ถึงควำมเป็นผู้มจิตปรำศจำก ี อุปกิเลส ด้วยสำมำรถแห่งมรรคมีโสดำปัตติมรรคเป็นต้น ชื่อว่ำ ย่อมผ่องใส ฉันนั้น, ส่วนท่ำนผู้บรรลุพระอรหัตแล้วย่อมเป็นผู้ผ่องใส ๑. ได้แก่ จตุรงคเสนำ คือ พลช้ำง พลม้ำ พลรถ และพลเดินเท้ำ บำลีว่ำ หตฺถิ อสฺส รถ ปตฺติก.
  • 69. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 67 โดยส่วนเดียวแล. " ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี สดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องมำรดำของนำงกำณำ จบ.
  • 70. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 68 ๘. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภภิกษุ ๕๐๐ รูปตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " สพฺพตฺถ เว สปฺปุริสำ วชนฺติ " เป็นต้น. พระธรรมเทศนำตั้งขึ้นที่เมืองเวรัญชำ. [ พระศำสดำเสด็จเมืองเวรัญชำ ] ควำมพิสดำรว่ำ ครังปฐมโพธิกำล พระผู้มีพระภำคเสด็จไป ้ เมืองเวรัญชำ อันพรำหมณ์ชื่อเวรัญชะทูลนิมนต์แล้ว จึงเสด็จจำำพรรษำ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป. เวรัญชพรำหมณ์ถูกมำรดลใจปรำรภถึงพระศำสดำแม้สักวัน หนึ่ง. แม้เมืองเวรัญชำได้เป็นเมืองข้ำว แพงแล้ว. พวกภิกษุเที่ยวไปบิณฑบำตตลอดเมืองเวรัญชำ ทั้งภำยใน ภำยนอก เมื่อไม่ได้บิณฑบำต จึงลำำบำกมำก. พวกพ่อค้ำม้ำจัดแจงภิกษำมีข้ำวแดงรำวแล่งหนึ่ง ๆ เพื่อภิกษุ เหล่ำนั้น. พระมหำโมคคัลลำนเถระเห็นภิกษุเหล่ำนั้นลำำบำก ได้มควำม ี ประสงค์จะให้ภิกษุฉันง้วนดิน และประสงค์จะให้พวกภิกษุเข้ำไป สู่อุตตรกุรุทวีป เพื่อบิณฑบำต. พระศำสดำได้ทรงห้ำมท่ำนเสีย. แม้ ในวันหนึ่ง พวกภิกษุมิได้มีควำมสะดุงเพรำะปรำรภบิณฑบำต. ้ ภิกษุ ทั้งหลำยเว้นควำมประพฤติด้วยอำำนำจควำมอยำกแลอยู่แล้ว. * พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ วัดปทุมวนำรำม แปล. ๑. มำรำวฏฺฏฺเนน อำวฏฺโฏ อันเครื่องหมุนไปทั่วแห่งมำรให้หมุนทั่วแล้ว.
  • 71. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 69 [ พระศำสดำเสด็จไปกรุงสำวัตถี ] พระศำสดำประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชำนั้น สินไตรมำสแล้ว ทรง ้ อำำลำเวรัญชพรำหมณ์ มีสักกำระสัมมำนะอันพรำหมณ์นั้นกระทำำแล้ว ทรงให้เขำตั้งอยู่ในสรณะแล้ว เสด็จออกจำกเมืองเวรัญชำนั้นเสด็จจำริก ไปโดยลำำดับ สมัยหนึ่ง เสด็จถึงกรุงสำวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวัน ชำวกรุงสำวัตถี กระทำำอำคันตุกภัตรแด่พระศำสดำแล้ว. ก็ในกำลนั้น พวกกินเดนประมำณ ๕๐๐ คน อำศัยพวกภิกษุ อยู่ภำยในวิหำรนั่นเอง. พวกเขำกินโภชนะอันประณีต ที่เหลือจำก ภิกษุทั้งหลำยฉันแล้ว ก็นอนหลับ ลุกขึ้นแล้ว ไปสูฝั่งแม่นำ้ำ แผด ่ เสียงโห่ร้อง กระโดดโลดเต้น ซ้อมมวยปลำ้ำ เล่นกันอยู่ ประพฤติ แต่อนำจำรเท่ำนั้น ทังภำยในวิหำร ทั้งภำยนอกวิหำร. ้ พวกภิกษุสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " ดูเถิด ผู้มีอำยุทงหลำย, ั้ ในเวลำเกิดทุพภิกขภัย พวกกินเดนเหล่ำนี้ มิได้แสดงวิกำรอะไร ๆ ในเมืองเวรัญชำ, แต่บัดนี้ กินโภชนะอันประณีตเห็นปำนนี้แล้ว เที่ยว แสดงอำกำรแปลก ๆ เป็นอเนกประกำร; ส่วนภิกษุ สงบอยู่ แม้ ในเมืองเวรัญชำ ถึงในบัดนี้ ก็พำกันอยู่อย่ำงสงบเสงียมเหมือนกัน. ่ [ พระศำสดำทรงตรัสวำโลทกชำดก ] พระศำสดำเสด็จไปสู่โรงธรรมแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอพูดอะไรกัน ?" เมื่อพวกภิกษุกรำบทูลว่ำ " เรื่องชื่อนี้ " ดังนีแล้ว ตรัสว่ำ ้ " แม้ในกำลก่อน คนกินเดนเหล่ำนี้ เกิดในกำำเนิดฬำ เป็นฬำ ๕๐๐ ได้ดื่มนำ้ำมีรสน้อยอันเลว ซึ่งถึงกำรนับว่ำ ' นำ้ำหำง '
  • 72. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 70 เพรำะควำมที่เขำเอำนำ้ำขยำำกำกอันเป็นเดนซึงเหลือจำกนำ้ำลูกจันทน์มีรส ่ ชุ่ม ทีม้ำสินธพชำติอำชำไนย ๕๐๐ ดืมแล้ว จึงกรองด้วยผ้ำเปลือก ่ ่ ปอเก่ำ ๆ เป็นเหมือนเมำนำ้ำหวำน เทียวร้องเอ็ดอึงอยู่ ่ " เมื่อจะทรง แสดงกิริยำของฬำเหล่ำนั้น อันพระโพธิสัตว์ผู้อันพระรำชำทรงสดับ เสียงของฬำเหล่ำนั้นตรัสถำมแล้ว ได้กรำบทูลแด่พระรำชำ ตรัส วำโลทกชำดก " ควำมเมำย่อมบังเกิดแก่พวกฬำ เพรำะดืม ่ กินนำ้ำหำงมีรสน้อยอันเลว, แต่ควำมเมำย่อม ไม่เกิดแก้ม้ำสินธพ เพรำะดืมรสที่ประณีตนี้. ่ ข้ำแต่พระรำชำผู้เป็นจอมนรชน ฬำนั้น เป็นสัตว์มชำติเลว ดื่มนำ้ำมีรสน้อย อันรสนั้น ี ถูกต้องแล้ว ย่อมเมำ, ส่วนม้ำอำชำไนย ผู้เอำ ธุระเสมอ เกิดในตระกูล (ที่ดี) ดืมรสที่เลิศ ่ แล้วหำเมำไม่ " แล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย สัตบุรุษเว้นธรรมคือควำมโลภแล้ว ย่อมเป็นผูไม่มีวิกำรเลย ทั้งในเวลำถึงสุข ทังในเวลำถึงทุกข์ อย่ำงนี้ ้ ้ " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " สัตบุรุษทังหลำยย่อมเว้นในธรรมทั้งปวงแล, ้ สัตบุรุษทั้งหลำย หำใช่ผู้ปรำรถนำกำมบ่นไม่ ๑. ขุ. ชำ. ๒๗/๖๕. ตทฏฺกถำ. ๓/๑๒๖. ๒. อีกนัยหนึ่ง แปลว่ำ สัตบุรุษทั้งหลำย ย่อมไม่พรำ่ำเพ้อ เพรำะควำมใคร่ในกำม.
  • 73. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 71 บัณฑิตทั้งหลำย อันสุขหรือทุกข์ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่แสดงอำกำรขึ้นลง. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สพฺพตฺถ ได้แก่ ในธรรมทั้งหมด ต่ำงโดยธรรมมีขันธ์ บทว่ำ วชนฺติ ควำมว่ำ สัตบุรุษเมื่อคร่ำฉันทรำคะออกด้วย อรหัตมรรคญำณ ชื่อว่ำย่อมเว้นฉันทรำคะ. บทว่ำ น กำมกำมำ ได้แก่ผู้ใคร่กำม, (อีกอย่ำงหนึ่ง) ได้แก่ เพรำะเหตุแห่งกำม คือเพรำะกำมเป็นเหตุ. สองบทว่ำ ลปยนฺติ สนฺโต ควำมว่ำ สัตบุรุษทั้งหลำยมีพระ พุทธเจ้ำเป็นต้น ย่อมไม่บ่นเพ้อด้วยตนเองเลย (ทัง) ้ ไม่ยังผู้อื่นให้ บ่นเพ้อ เพรำะเหตุแห่งกำม. จริงอยู่ ภิกษุเหล่ำใดเข้ำไปเพื่อภิกษำ ตังอยู่ในอิจฉำจำร กล่ำวคำำเป็นต้นว่ำ ้ " อุบำสก บุตรภรรยำของ ท่ำนยังสุขสบำยดีหรือ ? อุปัทวะไร ๆ ด้วยสำมำรถแห่งรำชภัยและ โจรภัยเป็นต้น มิได้มีในสัตว์ ๒ เท้ำและสัตว์ ๔ เท้ำดอกหรือ ?, " ภิกษุ เหล่ำนั้นชื่อว่ำ ย่อมบ่นเพ้อเอง. ก็ครั้นกล่ำวอย่ำงนั้นแล้ว (พูด) ให้เขำนิมนต์ตนว่ำ " อย่ำงนั้น ขอรับ พวกผมทุกคนมีควำมสุขดี, อุปัทวะไร ๆ มิได้มี, บัดนี้ เรือนของพวกผมมีขำวนำ้ำเหลือเฟือ, ้ นิมนต์ท่ำนอยู่ในที่นี้แหละ " ดังนี้ ชือว่ำให้บุคคลอื่นบ่นเพ้อ. ส่วน ่ สัตบุรุษทังหลำย ย่อมไม่ทำำกำรบ่นเพ้อแม้ทง ๒ อย่ำงนี้ . ้ ั้ ๑. ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนำขันธ์ สัญญำขันธ์ สังขำรขันธ์ วิญญำณขันธ์.
  • 74. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 72 คำำว่ำ สุเขน ผุฏฺำ อถวำ ทุกฺเขน นี้ สักว่ำเป็นเทศนำ. อธิบำยว่ำ " บัณฑิตทั้งหลำยผู้อันโลกธรรมแสดงอำกำรขึ้นลง ด้วยสำมำรถแห่งควำมเป็น ผูยินดีและควำมเป็นผู้ ้ เก้อเขิน หรือด้วยสำมำรถแห่งกำรกล่ำวคุณและกล่ำวโทษ. " ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป จบ. ๑. ลำภ เสื่อมลำภ ยศ เสื่อมยศ นินทำ สรรเสริญ สุข ทุกข์.
  • 75. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 73 ๙. เรื่องพระเถระผู้ตงอยูในธรรม ั้ ่ [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระธรรมิก- เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " น อตฺตเหตุ " เป็นต้น. [ อุบำสกหนีไปบวชได้บรรลุพระอรหัต ] ได้ยินว่ำ อุบำสกคนหนึ่งในกรุงสำวัตถี อยู่ครองเรือนโดยชอบ ธรรม. อุบำสกนั้นเป็นผู้ใคร่จะบวช วันหนึ่งเมื่อนั่งสนทนำถึงถ้อยคำำ ปรำรภควำมสุขกับภรรยำ จึงพูดว่ำ " นำงผู้เจริญ ฉันปรำรถนำจะ บวช. " ภรรยำอ้อนวอนว่ำ " นำย ถ้ำกระนั้น ขอท่ำนจงคอย จน กว่ำดิฉันจะคลอดบุตรซึงอยู่ในท้องก่อนเถิด. ่ " เขำคอยแล้ว ในเวลำ ที่เด็กเดินได้ จึงอำำลำนำงอีก เมื่อนำงวิงวอนว่ำ " นำย ขอท่ำนจงคอย จนกว่ำเด็กนี้เจริญวัยเถิด. " จึงมำคิดว่ำ " ประโยชน์อะไรของเรำ ด้วยหญิงนี้ ที่เรำลำแล้วหรือไม่ลำ, เรำจักทำำกำรสลัดออกจำกทุกข์แก่ ตนละ " ดังนี้แล้ว ออกไปบวชแล้ว. ท่ำนเรียนกัมมัฏฐำน พำก- เพียรพยำยำมอยู่ ยังกิจแห่งบรรพชิตของตนให้สำำเร็จแล้วจึง (กลับ) ไปเมืองสำวัตถีอีก เพื่อประโยชน์แก่กำรเยี่ยมบุตรและภรรยำเหล่ำนั้น แล้วได้แสดงธรรมกถำแก่บุตร. [ บุตรและภรรยำออกบวชได้บรรลุพระอรหัต ] แม้บุตรนั้นออกบวชแล้ว. ก็แลครั้นบวชแล้ว ไม่นำนนักก็ได้ บรรลุพระอรหัต. ฝ่ำยภรรยำเก่ำของภิกษุ (ผู้เป็นบิดำ) นั้นคิดว่ำ * พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ วัดปทุมวนำรำม แปล.
  • 76. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 74 " เรำอยู่ครองเรือนเพื่อประโยชน์แก่ชนเหล่ำใด, ชนเหล่ำนั้นแม้ทั้งสอง ก็บวชแล้ว; บัดนี้ ประโยชน์อะไรของเรำด้วยกำรครองเรือนเล่ำ ? เรำจักบวชละ " แล้วจึงออกบวชในสำำนักนำงภิกษุณี, ก็แลครั้น บวชแล้วไม่นำนเลยก็ได้บรรลุพระอรหัต. [ พวกภิกษุสรรเสริญพระธรรมิกะ ] ภำยหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุนั่งสนทนำกันขึ้นในธรรมสภำว่ำ " ผู้ มีอำยุทั้งหลำย ธรรมิกอุบำสก ออกบวช บรรลุพระอรหัตแล้ว ทั้ง ได้เป็นที่พึ่งแก่บุตรและภรรยำ ก็เพรำะควำมทีตนตั้งอยู่ในธรรม. ่ " พระศำสดำเสด็จมำแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอ นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? ", เมื่อพวกภิกษุกรำบทูลว่ำ " ด้วยกถำชื่อนี้ " แล้ว จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำว่ำบัณฑิต ไม่พึงปรำรถนำควำมสำำเร็จเพรำะเหตุแห่งตน ( และ) ไม่พึงปรำรถนำ ควำมสำำเร็จเพรำะเหตุแห่งคนอื่น. แต่พึงเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม มี ธรรมเป็นที่พึงโดยแท้ " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระ- คำถำนี้ว่ำ :- " บัณฑิตย่อมไม่ทำำบำป เพรำะเหตุแห่งตน, ย่อมไม่ทำำบำป เพรำะเหตุแห่งบุคคลอื่น, บัณฑิต ไม่พึงปรำรถนำบุตร, ไม่พึงปรำรถนำทรัพย์ ไม่พึงปรำรถนำแว่นแคว้น, (และ) ไม่พึง ปรำรถนำควำมสำำเร็จเพื่อตน โดยไม่เป็นธรรม, บัณฑิตนั้นพึงเป็นผู้มีศีล มีปัญญำ ตังอยู่ในธรรม. " ้
  • 77. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 75 [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ น อตฺตเหตุ ควำมว่ำ ธรรมดำ บัณพิต ย่อมไม่ทำำบำป เพรำะเหตุแห่งตนหรือเพรำะเหตุแห่ง บุคคลอื่น. บทว่ำ น ปุตฺตมิจฺเฉ ควำมว่ำ บัณฑิตไม่พึงปรำรถนำบุตร หรือทรัพย์ หรือแว่นแคว้น ด้วยกรรมอันลำมก, บัณฑิตเมื่อปรำรถนำ แม้สิ่งเหล่ำนั้น ย่อมไม่กระทำำกรรมลำมกเลย. บทว่ำ สมิทฺธิมตฺตโน ควำมว่ำ บัณฑิตไม่พึงปรำรถนำ แม้ ควำมสำำเร็จเพื่อตน โดยไม่เป็นธรรม. อธิบำยว่ำ บัณฑิตย่อมไม่ทำำบำป แม้เพรำะเหตุแห่งควำมสำำเร็จ. บทว่ำ ส สีลวำ ควำมว่ำ บุคคลผู้เห็นปำนนี้นั่นแล พึงเป็น ผู้มีศีล มีปญญำ และตั้งอยูในธรรม. ั ่ อธิบำยว่ำ ไม่พึงเป็นอย่ำงอื่น. ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระเถระผู้ตงอยูในธรรม จบ. ั้ ่
  • 78. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 76 ๑๐. เรื่องกำรฟังธรรม [ ข้อควำมเบื้อง ต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภกำรฟังธรรม ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " อปฺปกำ เต มนุสฺเสสุ " เป็นต้น. [ คนอำศัยภพแล้วติดภพมีมำก ] ดังได้สดับมำ พวกมนุษย์ผู้อยู่ถนนสำยเดียวกัน ในกรุงสำวัตถี เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ถวำยทำนโดยรวมกันเป็นคณะแล้ว ก็ให้ทำำกำร ฟังธรรมตลอดคืนยันรุ่ง, แต่ไม่อำจฟังธรรมตลอดคืนยันรุ่งได้; บำง พวกเป็นผู้อำศัยควำมยินดีในกำมก็กลับไปเรือนเสียก่อน, บำงพวก เป็นผู้อำศัยโทสะไปแล้ว, แต่บำงพวกง่วงงุนเต็มที นั่งสับปะหงกอยู่ ในที่นั้นนั่นเอง ไม่อำจจะฟังได้. ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุยังถ้อยคำำ ให้ตั้งขึ้นในโรงธรรมเจำะจงถึงเรื่องนั้น. พระศำสดำเสด็จมำ ตรัส ถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนำกันด้วยเรื่องอะไร หนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลว่ำ " ด้วยเรื่องชื่อนี้ " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำสัตว์เหล่ำนี้ อำศัยภพแล้วเลยข้องอยู่ในภพ นั่นเอง โดยดำดดื่น, ชนิดผู้ถึงฝั่งมีจำำนวนน้อย, " เมื่อจะทรงสืบ อนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ :- " บรรดำมนุษย์ ชนผู้ถึงฝั่งมีจำำนวนน้อย, ฝ่ำย ประชำชนนอกนี้เลำะไปตำมตลิ่งอย่ำงเดียว, ก็ชน เหล่ำใดแล ประพฤติสมควรแก่ธรรมในธรรม * พระมหำทองสำ ป. ธ. ๖ วัดปทุมวนำรำม แปล.
  • 79. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 77 ที่เรำกล่ำวชอบแล้ว, ชนเหล่ำนั้นล่วงบ่วงมำร ที่ขำมได้ยำกอย่ำงเอกแล้ว จักถึงฝัง. ้ ่ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อปฺปกำ คือ นิดหน่อย ได้แก่ ไม่มำก. บทว่ำ ปำรคำมิโน คือบรรลุพระนิพพำน. บำทพระคำถำว่ำ อถำย อิตรำ ปชำ ควำมว่ำ ฝ่ำยประชำที่เหลือนี้ใด ย่อมเลำะไป ตำมริมตลิง คือ สักกำยทิฏฐิ, นี้แล มำกนัก. ่ บทว่ำ สมฺมทกฺขำเต คือตรัสโดยชอบ ได้แก่ตรัสถูกต้อง. บทว่ำ ธมฺเม คือในเทศนำธรรม. บทว่ำ ธมฺมำนุวตฺติโน ควำม ว่ำ ประพฤติสมควรแก่ธรรม ด้วยสำมำรถแห่งกำรฟังธรรมนั้นแล้ว บำำเพ็ญปฏิปทำเหมำะแก่ธรรมนั้นแล้ว กระทำำมรรคผลให้แจ้ง. บทว่ำ ปำรเมสฺสนฺติ ควำมว่ำ ชนเหล่ำนั้น คือเห็นปำนนั้น จักถึงฝั่งคือนิพพำน. บทว่ำ มจฺจุเธยฺย ได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไป ใน ๓ ภูมิ อันเป็นสถำนที่อยูอำศัยของมัจจุ กล่ำวคือกิเลสมำร. ่ บทว่ำ สุทุตตร ควำมว่ำ ชนเหล่ำใดประพฤติสมควรแก่ธรรม. ฺ ชนเหล่ำนั้นล่วงคือเลยบ่วงมำร ที่ขำมได้ยำกอย่ำงเอก คือก้ำวล่วงได้ ้ ยำกนักแล้วนั้น จักถึงฝังคือพระนิพพำน. ่ ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องกำรฟังธรรม จบ.
  • 80. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 78 ๑๐. เรื่องภิกษุอำคันตุกะ* [ ๗๐ ] [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพวกภิกษุ อำคันตุกะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " กณฺห ธมฺม วิปฺปหำย " เป็นต้น. [ พระศำสดำตรัสเหมำะแก่ควำมประพฤติ ] ดังได้ทรำบมำว่ำ ภิกษุประมำณ ๕๐๐ รูป จำำพรรษำอยู่ใน แคว้นโกศล ออกพรรษำแล้ว ปรึกษำกันว่ำ " จักเฝ้ำพระศำสดำ " จึงไปยังพระเชตวัน ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว นังอยู่ ณ ที่สุดแห่ง ่ หนึ่ง. พระศำสดำทรงพิจำรณำธรรมอันเป็นปฏิปักษ์แก่จริยำของพวกเธอ เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ :- " บัณฑิตละธรรมดำำแล้ว ออกจำกอำลัย อำศัย ธรรมอันหำอำลัยมิได้แล้ว ควรเจริญธรรมขำว, ละกำมทั้งหลำยแล้ว หมดควำมกังวล พึง ปรำรถนำควำมยินดียิ่งในวิเวก อันเป็นที่ซึ่ง ประชำชนยินดีได้ยำก, บัณฑิตควรทำำตนให้ผ่อง แผ้ว จำกเครื่องเศร้ำหมอง. ชนเหล่ำใด อบรมจิตดีแล้วโดยชอบ ในองค์ธรรมแห่ง ควำมตรัสรู้, (และ) ชนเหล่ำใด ไม่ถือมั่น * พระมหำเพียร ป.ธ. ๙ วัดกันมำตุยำรำม แปล.
  • 81. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 79 ยินดีในกำรละเลิกควำมถือมั่น, ชนเหล่ำนั้น ๆ เป็นพระขีณำสพ รุ่งเรือง ดับสนิทแล้วในโลก. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ กณฺห ธมฺม ควำมว่ำ ละ คือสละอกุศลธรรม ต่ำงโดยเป็นกำยทุจริตเป็นต้น. สองบทว่ำ สุกฺก ภำเวถ ควำมว่ำ ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ควร เจริญธรรมขำว ต่ำงโดยเป็นกำยสุจริตเป็นต้น ตั้งแต่ออกบวช จน ถึงอรหัตตมรรค. เจริญอย่ำงไร ? คือออกจำกอำลัย ปรำรภธรรม อันหำอำลัยมิได้. อธิบำยว่ำ ธรรมเป็นเหตุให้อำลัย ตรัสเรียกว่ำโอกะ ธรรม เป็นเหตุให้ไม่มอำลัย ตรัสเรียกว่ำ อโนกะ. ี บัณฑิตออกจำกธรรม เป็นเหตุให้อำลัยแล้ว เจำะจง คือปรำรภพระนิพพำน กล่ำวคือธรรม เป็นเหตุไม่มีอำลัย เมือปรำรถนำพระนิพพำนนั้น ควรเจริญธรรมขำว. ่ บำทพระคำถำว่ำ ตตฺรำภิรติมิจฺเฉยฺย ควำมว่ำ พึงปรำรถนำ ควำมยินดียงในวิเวก ที่นับว่ำเป็นธรรมอันไม่มีอำลัย คือพระนิพพำน ิ่ ซึ่งสัตว์เหล่ำนั้นอภิรมย์ได้โดยยำก. สองบทว่ำ หิตฺวำ กำเม ควำมว่ำ ละวัตถุกำมและกิเลสกำม แล้วเป็นผู้หมดควำมกังวล พึงปรำรถนำควำมยินดียิ่งในวิเวก. บทว่ำ จิตตเกลฺเสหิ ควำมว่ำ พึงทำำตนให้ขำวผ่อง คือให้ ฺ บริสุทธิ์ จำกนิวรณ์ ๕. บทว่ำ สมฺโพธิยงฺเคสุ ได้แก่ในธรรมเป็นองค์เครื่องตรัสรู. ้
  • 82. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 80 บำทพระคำถำว่ำ สมฺมำ จิตต สุภำวิต ควำมว่ำ ฺ (ชน เหล่ำใด) อบรม คือเจริญจิตด้วยดีแล้ว ตำมเหตุ คือตำมนัย. บำทพระคำถำว่ำ อำทำนปฏินิสฺสคฺเค ควำมว่ำ ควำมยึดถือ ตรัสเรียกว่ำ ควำมถือมั่น, ชนเหล่ำใด ไม่ถืออะไร ๆ ด้วยอุปำทำน ๔ ยินดีแล้วในกำรไม่ถือมั่น กล่ำวคือกำรเลิกละควำมยึดถือนั้น. บทว่ำ ชุตมนฺโต ควำมว่ำ ผู้มีอำนุภำพ ิ คือผู้ยังธรรมต่ำง ขันธ์เป็นต้นให้รุ่งเรือง แล้วดำำรงมั่นอยู่ ด้วยควำมรุงเรืองคือ ่ ญำณอันกำำกับด้วยอรหัตมรรค. สองบทว่ำ เต โลเก เป็นต้น ควำมว่ำ ชนเหล่ำชั้นชื่อว่ำ ดับสนิทแล้ว ในขันธำทิโลกนี้ คือปรินิพพำนแล้ว ด้วยปรินิพพำน ๒ อย่ำง คือด้วยปรินิพพำนที่ชื่อว่ำสอุปำทิเสส เพรำะกิเลสวัฏอันตน ให้สิ้นไปแล้ว ตั้งแต่เวลำที่บรรลุพระอรหัต และด้วยปรินิพพำน ที่ชื่อว่ำอนุปำทิเสส เพรำะขันธวัฏอันตนให้สิ้นไปแล้ว ด้วยดับจริมจิต คือถึงควำมบัญญัติไม่ได้ ดังประทีปหำเชื้อมิได้ ฉะนั้น . ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องภิกษุอำคันตุกะ จบ. บัณฑิตวรรค วรรณำ จบ. วรรคที่ ๖ จบ.
  • 83. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 81 ๗. อรหันตวรรค วรรณนำ ๑. เรื่องหมอชีวก [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในสวนมะม่วงของหมอชีวก ทรง ปรำรภปัญหำอันหมอชีวกทูลถำมแล้ว ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " คตทฺธิโน " เป็นต้น. [ พระเทวทัตทำำโลหิตุปบำทกรรม ] เรื่องหมอชีวก ท่ำนให้พิสดำรในขันธกะแล้วแล. ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่ง พระเทวทัตเป็นผู้ร่วมคิดกับ พระเจ้ำอชำตศัตรูขึ้นสู่เขำคิชฌกูฏ มีจิตคิดร้ำย คิดว่ำ " เรำจักปลง- พระชนม์พระศำสดำ " จึงกลิ้งหินลง. ยอดเขำ ๒ ยอดรับหินนั้นไว้. สะเก็ดซึงแตกออกจำกหินนั้น กระเด็นไป กระทบพระบำทของพระผู้มี ่ พระภำค ยังพระโลหิตให้ห้อแล้ว. เวทนำกล้ำเป็นไปแล้ว. [ หมอชีวกทำำกำรพยำบำลแผล ] ภิกษุทั้งหลำยนำำพระศำสดำไปยังสวนมัททกุจฉิ. พระศำสดำ มีพระประสงค์จะเสด็จ แม้จำกสวนมัททกุจฉินั้นไปยังสวนมะม่วงของ หมอชีวก จึงตรัสว่ำ " เธอทั้งหลำย จงนำำเรำไปในสวนมะม่วง * พระมหำอู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 84. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 82 ของหมอชีวกนั้น. " พวกภิกษุได้พำพระผู้มีพระภำคเจ้ำไปยังสวน มะม่วงของหมอชีวกแล้ว. หมอชีวกทรำบเรื่องนั้น ไปสู่สำำนัก พระศำสดำ ถวำยเภสัชขนำนที่ชะงัด เพื่อประโยชน์กำำชับแผล พันแผลเสร็จแล้ว ได้กรำบทูลคำำนี้กะพระศำสดำว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์ประกอบเภสัชแก่มนุษย์ผู้หนึ่งภำยในพระนคร, ข้ำพระองค์ จักไปยังสำำนักของมนุษย์นั้นแล้ว จัก (กลับ) มำเฝ้ำ, เภสัชนี้จงตัง ้ อยู่โดยนิยำมทีข้ำพระองค์พันไว้นั่นแหละ ่ จนกว่ำข้ำพระองค์กลับ มำเฝ้ำ. " เขำไปทำำกิจที่ควรทำำแก่บุรุษนั้นแล้ว กลับมำในเวลำปิดประตู จึงไม่ทันประตู. ทีนั้น เขำได้มีควำมวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " แย่จริง เรำ ทำำกรรมหนักเสียแล้ว, ที่เรำถวำยเภสัชอย่ำงชะงัด พันแผลที่พระบำท ของพระตถำคตเจ้ำ ดุจคนสำมัญเมือแผลนั้นอันเรำยังไม่แก้, ่ ควำมเร่ำร้อนในพระสรีระ ของพระผู้มี พระภำคเจ้ำจักเกิดตลอดคืนยังรุง. ่ " [ แผลของพระศำสดำหำยสนิท ] ขณะนั้น พระศำสดำตรัสเรียกพระอำนนทเถระมำเฝ้ำ รับสั่งว่ำ " อำนนท์ หมอชีวกมำในวลำเย็นไม่ทันประตู, ก็เขำคิดว่ำ ' เวลำนี้ เป็นเวลำแก้แผล, ' เธอจงแก้แผลนั้น. " พระเถระแก้แล้ว. แผล หำยสนิท ดุจสะเก็ดไม้หลุดออกจำกต้นไม้. ๑. อญฺญตรสฺส แปลว่ำ คนใดคนหนึ่ง.
  • 85. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 83 [ พระอรหันต์ไม่มีควำมเร่ำร้อนใจ ] หมอชีวกมำยังสำำนักพระศำสดำโดยเร็ว ภำยในอรุณนั่นแล ทูลถำมว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ควำมเร่ำร้อนเกิดขึ้นในพระสรีระของพระองค์ หรือไม่ ? " พระศำสดำตรัสว่ำ " ชีวก ควำมเร่ำร้อนทั้งปวงของ ตถำคตสงบรำบคำบแล้ว ทีควงไม้โพธิพฤกษ์นั่นแล ่ " ดังนีแล้ว เมื่อจะ ้ ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ควำมเร่ำร้อน ย่อมไม่มีแก่ท่ำนผูมีทำงไกล ้ อันถึงแล้ว หำควำมเศร้ำโศกมิได้ หลุดพ้น แล้วในธรรมทังปวง ้ ผู้ละกิเลสเครื่องร้อยรัด ทังปวงได้แล้ว. ้ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ คตทฺธิโน ได้แก่ ผู้มีทำงไกลอันถึง แล้ว. ชื่อว่ำทำงไกลมี ๒ อย่ำง คือทำงไกลคือกันดำร ทำงไกล คือวัฏฏะ, บรรดำทำงไกล ๒ อย่ำงนั้น ผูเดินทำงกันดำร, ยังไม่ถึงที่ ๆ ้ ตนปรำรถนำเพียงใด ; ก็ชื่อว่ำผู้เดินทำงไกลเรื่อยไปเพียงนั้น, แต่ เมื่อทำงไกลนั้นอันเขำถึงแล้ว ย่อมเป็นผู้ชื่อว่ำมีทำงไกลอันถึงแล้ว. ฝ่ำยสัตว์ทั้งหลำยแม้ผู้อำศัยวัฏฏะ, ตนยังอยู่ในวัฏฏะเพียงใด ; ก็ชื่อว่ำ ผู้เดินทำงไกลเรื่อยไปเพียงนั้น. มีคำำถำมสอดเข้ำมำว่ำ เพรำะเหตุ ไร ? แก้วำ เพรำะควำมที่วัฏฏะอันตนยังให้สิ้นไปไม่ได้. ่ แม้พระ อริยบุคคลทังหลำยมีพระโสดำบันเป็นต้น ก็ชื่อว่ำผู้เดินทำงไกล ้
  • 86. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 84 เหมือนกัน, ส่วนพระขีณำสพยังวัฏฏะให้สิ้นไปได้แล้วดำำรงอยู่ ย่อม เป็นผู้ชื่อว่ำมีทำงไกลอันถึงแล้ว. แก่พระขีณำสพนั้นผูมีทำงไกลอัน ้ ถึงแล้ว. บทว่ำ วิโสกสฺส คือชื่อว่ำผู้หำควำมเศร้ำโศกมิได้ เพรำะควำม ที่ควำมเศร้ำโศกมีวัฏฏะเป็นมูลปรำศจำกไปแล้ว. บำทพระคำถำว่ำ วิปฺปมุตตสฺส สพฺพธิ คือผู้หลุดพ้นแล้วใน ฺ ธรรมมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง. บำทพระคำถำว่ำ สพฺพคนฺถปฺปหีนสฺส คือ ชื่อว่ำผู้ละกิเลสเครื่อง ร้อยรัดทังปวงได้ ้ เพรำะควำมที่กิเลสเครื่องร้อยรัด ๔ อย่ำงอันตน ละได้แล้ว. บำทพระคำถำว่ำ ปริฬำโห น วิชฺชติ ควำมว่ำ ควำมเร่ำร้อน มี ๒ อย่ำง คือ ควำมเร่ำร้อนเป็นไปทำงกำยอย่ำง ๑ ควำมเร่ำร้อนเป็น ไปทำงจิตอย่ำง ๑. บรรดำควำมเร่ำร้อน ๒ อย่ำงนั้น ควำมเร่ำร้อน เป็นไปทำงกำย ซึงเกิดขึ้นแก่พระขีณำสพ ด้วยสำมำรถแห่งผัสสะ ่ มีหนำวและร้อนเป็นต้น ยังไม่ดับเลย, หมอชีวกทูลถำมหมำยถึงควำม เร่ำร้อนอันเป็นไปทำงกำยนั้น. แต่พระศำสดำทรงพลิกแพลงพระเทศนำ ด้วยสำมำรถแห่งควำมเร่ำร้อนอันเป็นไปทำงจิต เพรำะควำมที่พระองค์ เป็นผู้ฉลำดในเทศนำวิธี เพรำะควำมที่พระองค์เป็นพระธรรมรำชำ จึงตรัสว่ำ " ชีวก ผูมีอำยุ ก็โดยปรมัตถ์ ควำมเร่ำร้อน ย่อมไม่มี ้ แก่พระขีณำสพผู้เห็นปำนนั้น. "
  • 87. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 85 ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำปัตติ ผลเป็นต้น ดังนีแล. ้ เรื่องหมอชีวก จบ.
  • 88. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 86 ๒. เรื่องพระมหำกัสสปเถระ [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพระ มหำกัสสปเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " " อุยยุญฺชนฺติ ฺ เป็นต้น. [ ธรรมเนียมของพระพุทธเจ้ำผู้จะเสด็จจำริก ] ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่งพระศำสดำทรงจำำพรรษำอยู่ใน กรุงรำชคฤห์ รับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลำยว่ำ " โดยกำลล่วงไป กึ่งเดือน เรำจักหลีกไปสู่ที่จำริก. " ได้ยินว่ำ กำรรับสังให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลำยว่ำ ่ " บัดนี้เรำจัก หลีกไปสู่ที่จำริกโดยกำลล่วงไปกึ่งเดือน " ดังนี้ ด้วยประสงค์วำ ่ " ภิกษุทั้งหลำยจักทำำ กิจต่ำง ๆ มีระบมบำตรและย้อมจีวรเป็นต้นของ ตนแล้ว จักไปตำมสบำย ด้วยอำกำรอย่ำงนี้ " นี้เป็นธรรมเนียมของ พระพุทธเจ้ำทังหลำย ผู้มีพระประสงค์จะเสด็จจำริกไปกับพวกภิกษุ. ้ ก็เมื่อภิกษุทั้งหลำยกำำลังทำำ กิจต่ำง ๆ มีระบมบำตรเป็นต้นของตนอยู่, แม้พระมหำกัสสปเถระ ก็ซักจีวรทั้งหลำยแล้ว. [พวกภิกษุว่ำพระเถระละญำติและอุปัฏฐำกไปไม่ได้ ] พวกภิกษุยกโทษว่ำ " เพรำะเหตุไร พระเถระจึงซักจีวร ? " ในพระนครนี้ ทังภำยใน และภำยนอก มีมนุษย์อำศัยอยู่ ๑๘ โกฏิ : ้ * พระมหำอู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 89. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 87 บรรดำมนุษย์เหล่ำนั้น พวกใดไม่เป็นญำติของพระเถระ, พวกนั้นเป็น อุปัฏฐำก, พวกใดไม่เป็นอุปัฏฐำก, พวกนั้นเป็นญำติ ; ชนเหล่ำนั้น ย่อมทำำควำมนับถือ (และ) สักกำระแก่พระเถระด้วยปัจจัย ๔; พระ- เถระนั้น จักละอุปกำระมีประมำณเท่ำนั้น ไป ณ ที่ไหนได้; แม้หำก พึงไปได้, ก็จักไม่ไป เลยจำกซอกชื่อมำปมำทะ. ดังได้สดับมำ พระศำสดำเสด็จถึงซอกใดแล้ว ย่อมตรัสบอก ภิกษุทั้งหลำย ผูควรที่พระองค์ให้พึงกลับอีกว่ำ ้ " เธอทั้งหลำยจง กลับเสียแต่ที่นี้, อย่ำประมำท. " ซอกนั้นชำวโลกเรียกว่ำ " ซอก มำปมำทะ, " คำำนั้น ภิกษุทั้งหลำยกล่ำวหมำยเอำซอกมำปมำทะนั้น. [ รับสังให้พระมหำกัสสปกลับ ่ ] แม้พระศำสดำเสด็จหลีกไปสู่ที่จำริกพลำงทรงดำำริว่ำ " ในนครนี้ ทั้งภำยใน ทั้งภำยนอก มีมนุษย์อยู่ ๑๘ โกฏิ, อันภิกษุจะต้องไปใน ที่ทำำกำรมงคลและอวมงคลของมนุษย์ทงหลำยมีอยู่, เรำไม่อำจทำำวิหำร ั้ ให้เปล่ำได้, เรำจักให้ใครหนอแลกลับ. " ลำำดับนั้น พระองค์ได้ทรงมีพระปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " ก็พวก มนุษย์เหล่ำนั้น เป็นทั้งญำติเป็นทั้งอุปัฏฐำกของกัสสป, เรำควรให้ กัสสปกลับ. " พระองค์ตรัสกะพระเถระว่ำ " กัสสป เรำไม่อำจทำำ วิหำรให้เปล่ำได้, ควำมต้องกำรด้วยภิกษุ ในที่ทำำมงคลและอวมงคล ทั้งหลำย ของพวกมนุษย์มีอยู่, เธอกับบริษัทของตน จงกลับเถิด. " พระเถระทูลรับว่ำ " ดีละ พระเจ้ำข้ำ " แล้วพำบริษัทกลับ. ภิกษุ ทังหลำยโพนทนว่ำ " ผูมีอำยุทั้งหลำย พวกท่ำนเห็นไหมละ, ้ พวก
  • 90. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 88 เรำพูดประเดี๋ยวนี้เองมิใช่หรือ ? คำำที่พวกเรำพูดว่ำ ' เพรำะเหตุไร พระมหำกัสสปจึงซักจีวร ? ท่ำนจักไม่ไปกับพระศำสดำ. ดังนี้นั่นแล เกิด (เป็นจริง) แล้ว. " [ ทรงชี้แจงเหตุที่พระมหำกัสสปกลับ ] พระศำสดำทรงสดับถ้อยคำำของภิกษุทั้งหลำยแล้วเสด็จกลับ ประทับยืน ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอกล่ำวชื่ออะไรกันนั่น ?" ภิกษุเหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " พวกข้ำพระองค์ กล่ำวปรำรภพระมหำ- กัสสปเถระ พระเจ้ำข้ำ " ดังนี้แล้ว กรำบทูลเรื่องรำวทั้งหมด ตำมแนวควำมทีตนกล่ำวแล้วนั่นแล. ่ พระศำสดำทรงสดับคำำนั้นแล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำยพวกเธอ กล่ำว (หำ) กัสสปว่ำ ' ข้องในตระกูลและในปัจจัยทังหลำย, ้ ' (แต่ควำมจริง) เธอกลับแล้ว ด้วยทำำในใจว่ำ ' เรำจักทำำตำมคำำ ของเรำ (ตถำคต). " ก็กัสสปนั่น แม้ในกำลก่อน เมื่อจะทำำควำม ปรำรถนำนั่นแล ก็ได้ทำำควำมปรำรถนำว่ำ ' เรำพึงเป็นผูไม่ข้องใน ้ ปัจจัย ๔ มีอุปมำดังพระจันทร์ สำมำรถเข้ำสูตระกูลทั้งหลำยได้, ' ่ ่ กัสสปนั่น ไม่มีควำมข้องในตระกูลหรือในปัจจัยทั้งหลำย; เรำเมื่อจะ กล่ำวข้อปฏิบัติอันเปรียบด้วยพระจันทร์ และข้อปฏิบัติแห่งวงศ์ของ พระอริยะ ก็กล่ำวอ้ำงกัสสปให้เป็นต้น. " [ พระศำสดำตรัสบุรพจริตของพระเถระ ] ภิกษุทั้งหลำยทูลถำมพระศำสดำว่ำ " ก็พระเถระตั้งควำมปรำรถนำ
  • 91. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 89 ไว้เมื่อไร ? พระเจ้ำข้ำ " พระศำสดำ. พวกเธอประสงค์จะฟังหรือ ? ภิกษุทั้งหลำย. พวกภิกษุ. ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ ตรัสกะภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ในที่สด ุ แห่งแสนกัปแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้ำ ทรงพระนำมว่ำปทุมุตตระ ทรงอุบติขึ้นแล้วในโลก ั " ดังนีแล้ว ตรัสควำมประพฤติในกำลก่อน ้ ของพระเถระทั้งหมด ตังต้นแต่ทำนตั้งควำมปรำรถนำไว้ในกำลแห่ง ้ ่ พระพุทธเจ้ำทรงพระนำมว่ำปทุมุตตระ. บุรพจิตนั้น พระธรรม สังคำหกำจำรย์ให้พิสดำรแล้ว ในพระบำลีอันแสดงประวัติของพระ เถระนั้นแล. [ ตรัสเปรียบพระเถระด้วยพญำหงษ์ ] ก็พระศำสดำครั้นตรัสบุรพจิตของพระเถระนี้ให้พิสดำรแล้วจึง ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย เพรำะอย่ำงนี้แล เรำจึงกล่ำวข้อปฏิบัติ อันเปรียบด้วยพระจันทร์ และข้อปฏิบัติแห่งวงศ์ของพระอริยะ อ้ำง เอำกัสสปบุตรของเรำให้เป็นต้น, ชื่อว่ำควำมข้องในปัจจัยก็ดี ตระกูล ก็ดี วิหำรก็ดี บริเวณก็ดี ย่อมไม่มแก่บุตรของเรำ, ี บุตรของเรำไม่ ข้องในอะไร ๆ เลย เหมือนพญำหงษ์ ร่อนลงในเปือกตม เที่ยวไป ในเปือกตมนั้นแล้ว ก็บินไปฉะนั้น " ดังนีแล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ ้ แสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :-
  • 92. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 90 " ท่ำนผูมีสติ ย่อมออก ้ ที่อยู่; ท่ำนละควำมห่วงใยเสีย ละเปือกตมไปฉะนี้ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บำทพระคำถำว่ำ อุยยุญฺชนฺติ สตีมนฺโต ฺ ควำมว่ำ ท่ำนผู้ถึงควำมไพบูลย์แห่งสติ คือว่ำท่ำนผู้มีอำสวะสิ้นแล้ว ย่อมขวนขวำยวิปัสสนำเป็นต้น ด้วยนึกถึง ด้วยเข้ำสมำบัติ ด้วยออกจำกสมำบัติ ด้วยตั้งใจอยู่ในสมำบัตและด้วยพิจำรณำถึง. ิ บำทพระคำถำว่ำ น นิเกเต รมนฺติ เต คือชื่อว่ำควำมยินดี ในที่ห่วงของท่ำน ย่อมไม่มี. * สมเด็จพระมหำสมณเจ้ำ กรมพระยำวชิรญำณวโรรส ทรงแปลเป็นตัวอย่ำง พ.ศ. ๒๔๕๕ ๑. ยุชธำตุ มีอุเป็นบทหน้ำ แปลว่ำออก คือไม่ได้อยู่กับที่ เช่นคำำว่ำ " อุยฺยตฺต เสน ุ ทสฺสนำย คจฺเฉยฺย พึงเป็นไปเพื่อดูกองทัพอันยกไปแล้ว และคำำว่ำ อุยฺโยคมุเข ปติฏฺสิ " ท่ำนตังอยู่ในทำงแห่งกำรออก ้ (จำกโลก) หรือ ในปำกแห่งมรณะ " อุยฺยุญชนฺติ ฺ " ในคำถำนี้ หมำยควำมอย่ำงนี้เหมือนกัน ในบทต่อ ๆ ไป จึงกล่ำวว่ำ ไม่ยินดีในที่อยู่ ละควำมห่วงใยในที่อยู่เสียได้ อธิบำยว่ำ พวกพระก่อน ๆ ไม่ได้อยู่ เป็นที่ ไม่ใช่ผู้ติดถิ่น เป็นผู้เที่ยวจำริกโดยปกติ. แต่พระอรรถกถำจำรย์เข้ำใจบท อุยยุตโต ทีแปลว่ำออก กับบท อุยฺยตโต ที่แปลว่ำเพียรหรือขวนขวำยเป็น ฺ ่ ุ อย่ำงเดียวกัน จึงแก้อรรถแห่งบทนี้ไปข้ำงเพียร. บทหลังที่แปลว่ำเพียรนั้น ยมธำตุ มีอุเป็นบทหน้ำ ลบที่สุดธำตุแล้วไม่ซ้อน " ต " เช่น นิยโต ทีแปลว่ำแน่หรือ ่ เที่ยง กล่ำวคือกำำหนดได้ ส่วน ยุชธำตุลบที่สดแล้วซ้อน ุ " ต " เช่น " ภุตต ฺ " ที่แปลว่ำกินแล้ว. ๒. บทว่ำ " โอกโมก " ทีแปลว่ำ อำลัยดังนำ้ำนั้น ไม่ได้แก่ภำษำ ใช้ ๒ คำำซำ้ำนั้น เพื่อ ่ ให้ควำมแรง เช่นในภำษำไทยว่ำ ห่วงใย พัวพัน เสียดมเสียดำย เสียดำยตำยอยำก . ๓. แปลผิด ตำมควำมเข้ำใจของพระอรรถกถำจำรย์ ไม่เช่นนั้น บทไขจะเถียงกัน .
  • 93. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 91 บทว่ำ หสำว นี้ เป็นแง่แห่งเทศนำ. ก็นี้ควำมอธิบำยใน คำำนี้ว่ำ : ฝูงนกถือเอำเหยื่อของตน ในเปือกตมอันบริบูรณ์ด้วยเหยื่อ แล้ว ในเวลำไป ไม่ทำำควำมห่วงสักหน่อยในที่นั้นว่ำ " นำ้ำของเรำ, ดอกประทุมของเรำ, ดอกอุบลของเรำ, ดอกบุณฑริกของเรำ, หญ้ำ ของเรำ " หำควำมเสียดำยมิได้เทียว ละประเทศนั้น บินเล่นไปใน อำกำศ ฉันใด : พระขีณำสพทั้งหลำยนั่น ก็ฉันนั้นแล แม้อยู่ใน ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ข้องแล้วในสกุลเป็นต้นเทียวอยู่แล้ว แม้ในครำวไป ละที่นั้นไปอยู่ หำควำมห่วงหำควำมเสียดำยว่ำ " วิหำรของเรำ, บริเวณของเรำ, อุปัฏฐำกของเรำ " มิได้เทียว ไปอยู่. บทว่ำ โอกโมก คือ อำลัย, ควำมว่ำ ละควำมห่วง ทั้งปวงเสีย. ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ- ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระมหำกัสสปเถระ จบ.
  • 94. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 92 ๓. เรื่องพระเพฬัฏฐสีสเถระ* [ ๗๓ ] [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภท่ำนตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " เยส สนฺนีจโย นตฺถิ " เป็นต้น. [ ทรงบัญญัติสันนิธิกำรสิกขำบท ] ดังได้สดับมำ ท่ำนทำำภัตกิจแล้ว เที่ยวถนนอื่นอีก ถือเอำข้ำวตำกนำำไปวิหำรเก็บ ไว้ คิดเห็นว่ำ " ขึ้นชื่อว่ำกำรเที่ยวแสวงหำบิณฑบำตรำ่ำไป เป็นทุกข์ยงวันเล็กน้อยให้ล่วงไป ั ด้วยสุขในฌำณแล้ว, เมื่อต้องกำรด้วย อำหำรมีขึ้น, ย่อมฉันข้ำวตำกนั้น. พวกภิกษุรู้เข้ำติเตียนแล้วทูลควำม นั้นแด่พระผู้มีพระภำคเจ้ำ. พระศำสดำแม้ทรงบัญญัติสิกขำบทแก่ ภิกษุทั้งหลำย เพื่อประโยชน์เว้นกำรสังสมต่อไปในเพรำะเหตุนั้นแล้ว ่ ก็ต่อเมื่อจะทรงประกำศควำมหำโทษมิได้แห่งพระเถระ เพรำะกำรเก็บ อำหำรนั้น อันพระเถระอำศัยควำมมักน้อย ทำำเมื่อยังมิได้ทรงบัญญัติ สิกขำบท เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- * สมเด็จพระมหำสมณเจ้ำ กรมพระยำวชิรญำณวโรรส ทรงแปลเป็นตัวอย่ำง. ๑. บทว่ำ อำยสฺมำ แปลตำมพยัญชนะว่ำ ผู้มีอำยุ แต่ตำมอรรถไม่ได้หมำยว่ำ สูง อำยุ เป็นที่พวกภิกษุใช้เรียกกันเองโดยโวหำรเคำรพ จึงแปลว่ำ " ท่ำน " ๒. บทว่ำเป็นทุกข์นี้ ในภำษำไทยใช้เหมือนภำษำมคธ คือกล่ำวเหตุอย่ำงหนึ่ง กล่ำว ผลอย่ำงหนึ่ง. ในที่นี้กล่ำวเหตุ เคยแปลว่ำ นำำมำซึงทุกข์ หรือยังทุกข์ให้เกิด ่ แปลไว้เท่ำศัพท์เพื่อจะให้ได้แก่ภำษำ.
  • 95. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 93 " คติของชนทั้งหลำยผู้หำสังสมมิได้, ่ ผู้กำำหนด รู้โภชนะ, มีสุญญตวิโมกข์ และอนิมิตต- วิโมกข์เป็นอำรมณ์, ไปตำมยำก เหมือนทำง ไปของฝูงนกในอำกำศฉะนั้น. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น ในบทว่ำ สนฺนิจโยสังสมกรรม ๑ สั่งสมปัจจัย ๑; ในกำร ่ สั่งสม ๒ อย่ำงนั้น กรรมที่ เป็นกุศลและอกุศล ชื่อว่ำสั่งสมกรรม, ปัจจัย ๔ ชือว่ำสังสม ่ ่ ปัจจัย. ในกำรสั่งสม ๒ อย่ำงนั้น สั่งสมปัจจัยย่อมไม่มแก่ภิกษุผู้อยู่ ี ในวิหำร เก็บนำ้ำอ้อยก้อนหนึ่ง เนยใสสักเท่ำเสี้ยวที่ ๔ และข้ำวสำร ทะนำนของชนเหล่ำใดไม่มี. บทว่ำ ปริญฺญำตโภชนำ คือกำำหนดรู้โภชนะด้วยปริญญำ ๓. ก็กำรรู้โภชนะมีข้ำวต้มเป็นต้น โดยควำมเป็นข้ำวต้มเป็นต้น ชื่อว่ำ ญำตปริญญำ (กำำหนดรู้ด้วยอันรู้อยู่แล้ว), ส่วนกำรกำำหนดรู้โภชนะ ๑. บทว่ำ " สนฺนิจโย " ในคำถำ ควรเป็นภำววำจก ที่แปลว่ำ กิริยำสั่งสม กำรสังสม ่ พระอรรถกถำจำรย์แก้สันนิจยะ ๒ เอำตัวกรรมและปัจจัย คือ อำมิสเองเป็นสันนิจยะ เช่นนี้ สันนิจยะเป็นกรรมวำจกไป ที่แปลว่ำ สิงอันจะพึงสั่งสม. ในที่นี้ แปลตำม ่ ควำม ถึงครำวแก้ ก็ปล่อยไปตำมอรรถกถำ. ๒. บทว่ำ " เอกญฺจ ตณฺฑุลนำฬึ " แปลว่ำทะนำนแห่งข้ำวสำรอันหนึ่งนั้น ไม่ได้หมำย เอำทะนำนสำำหรับตวงข้ำว ศัพท์ว่ำ " นำฬี " บอกประมำณแห่งข้ำวสำร จึงแปลว่ำ ข้ำวสำรทะนำนหนึ่ง เพื่อให้ถูกแห่งภำษำไทย.
  • 96. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 94 ด้วยอำำนำจสำำคัญเห็นในอำหำรปฏิกูล ชื่อว่ำตีรณปริญญำ (กำำหนด รู้ด้วยอันไตร่ตรอง). ญำณเป็นเหตุถอนควำมกำำหนัดด้วยอำำนำจ ควำมพอใจในโภชนำหำรด้วยอันละเสีย); ชนเหล่ำใด กำำหนดรู้โภชนะด้วยปริญญำ ๓ นี้. ในบำทพระคำถำว่ำ สุญฺญโต อนิมตฺโต จ นี้ แม้อัปปณิหิต- ิ วิโมกข์ ก็ทรงถือเอำด้วยแท้. เหตุว่ำ บทเหล่ำนั้นทั้ง ๓ เป็นชื่อ แห่งพระนิพพำนนั่นแล. จริงอยู่ พระนิพพำนท่ำนกล่ำวว่ำสุญญต- วิโมกข์ เหตุว่ำ ว่ำง เพรำะไม่มแห่งรำคะโทสะโมหะ และพ้นจำก ี รำคะโทสะโมหะนั้น, พระนิพพำนนั้น ท่ำนกล่ำวว่ำอนิมตตวิโมกข์ ิ เหตุว่ำ หำนิมิตมิได้ เพรำะไม่มแห่งนิมิตมีรำคะเป็นต้น และพ้นแล้ว ี จำกนิมิตเหล่ำนั้น, อนึ่งท่ำนกล่ำวว่ำ อัปปณิหิตวิโมกข์ เหตุว่ำ มิได้ ตังอยู่ เพรำะไม่มี แห่งปณิธิคือกิเลสเป็นเหตุตงอยูมีรำคะเป็นต้น ้ ั้ ่ และพ้นแล้วจำกปณิธิเหล่ำนั้น. วิโมกข์ ๓ อย่ำงนี้ เป็นอำรมณ์ของ ชนเหล่ำใด ผูทำำพระนิพพำนนั้นให้เป็นอำรมณ์ ด้วยอำำนำจเข้ำ ้ สมำบัติสัมปยุตตด้วยผลจิตอยู่. บำทพระคำถำว่ำ คติ เตส ทุรนฺวยำ ควำมว่ำ เหมือนอย่ำง ว่ำ ทำงไปของฝูงนกผู้ไปแล้วโดยอำกำศไปตำมยำก คือไม่อำจจะรู้ ๑. อย่ำงอื่นนอกจำกของกิน ก็จัดเป็นอำหำรมีอยู่ ในที่นี้จะให้รู้ชัดว่ำ อำหำรนั้น ของกิน พระอรรถกถำจำรย์จึงใช้ศัพท์ว่ำ กวฬิงกำรำหำร ถ้ำจะใช้โภชนะก็เท่ำกัน ศัพท์นี้แปลตำมพยัญชนะว่ำ อำหำรทีทำำให้เป็นคำำได้ เป็นปฏิปักษ์ต่ออำหำรอย่ำงอื่น ่ มีผัสสะเป็นต้น ทีทำำให้เป็นคำำไม่ได้ ตำมอรรถหมำยประเภทของอำหำรเท่ำนั้น จึง ่ แปลไว้ว่ำโภชนำหำร ตำมนิยมในภำษำไทย.
  • 97. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 95 เพรำะไม่เห็นรอยเท้ำ ฉันใด; คติของชนทั้งหลำยผู้หำสั่งสม ๒ อย่ำง นี้มิได้ ผูกำำหนดรู้โภชนะด้วยปริญญำ ๓ นี้ และผู้มีวิโมกขมีประกำร ้ อันกล่ำวแล้วนี้เป็นอำรมณ์ ก็ไปตำมยำก คือไม่อำจบัญญัติ เพรำะ ไม่ปรำกฏแห่งกำรไปว่ำ " ไปแล้ว ในส่วน ๕ นี้คือ ' ภพ ๓ กำำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญำณฐิติ ๗ สัตตำวำส ๙ ' โดยส่วนชื่อนี้ ๆ " ฉันนั้นแล. ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระเพฬัฏฐสีสเถระ จบ.
  • 98. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 96 ๔. เรื่องพระอนุรุทธเถระ [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำ เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพระ อนุรุทธเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " ยสฺสำสวำ ปิกฺขีณำ. " เป็นต้น. [ เทพธิดำถวำยผ้ำแก่พระอนุรุทธเถระ ] ควำมพิสดำรว่ำ ในวันหนึ่ง พระเถระมีจีวรเก่ำแล้ว แสวงหำ จีวรในที่ทั้งหลำยมีกองหยำกเยื่อเป็นต้น. หญิงภรรยำเก่ำของพระเถระ นั้น ในอัตภำพที่ ๓ แต่อตภำพนี้ ได้เกิดเป็นเทพธิดำชื่อชำลินี ใน ั ดำวดึงสภพ. นำงชำลินีเทพธิดำนั้น เห็นพระเถระเที่ยวแสวงหำท่อน ผ้ำอยู่ ถือผ้ำทิพย์ ๓ ผืน ยำว ๑๓ ศอก กว้ำง ๔ ศอก แล้วคิดว่ำ " ถ้ำเรำจักถวำยโดยทำำนองนี้, พระเถระจักไม่รับ " จึงวำงผ้ำไว้บน กองหยำกเยื่อแห่งหนึ่ง ข้ำงหน้ำของพระเถระนั้น ผูแสวงหำท่อนผ้ำ ้ ทั้งหลำยอยู่ โดยอำกำรที่เพียงชำยผ้ำเท่ำนั้นจะปรำกฏได้. พระเถระ เที่ยวแสวงหำท่อนผ้ำอยู่โดยทำงนั้น เห็นชำยผ้ำของท่อนผ้ำเหล่ำนั้นแล้ว จึงจับที่ชำยผ้ำนั้นนั่นแลฉุดมำอยู่ เห็นผ้ำทิพย์มีประมำณดังกล่ำวแล้ว ถือเอำด้วยคิดว่ำ " ผ้ำนี้เป็นผ้ำบังสุกุลอย่ำงอุกฤษฏ์หนอ " ดังนี้แล้ว หลีกไป. *พระมหำเยือน ป.ธ. ้ ๖ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 99. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 97 [ พระศำสดำทรงช่วยทำำจีวร ] ครั้นในวันทำำจีวรของพระเถระนั้น พระศำสดำมีภิกษุ ๕๐๐ รูป เป็นบริวำร เสด็จไปวิหำรประทับนั่งแล้ว. แม้พระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป ก็นั่งแล้วอย่ำงนั้นเหมือนกัน. พระมหำกัสสปนั่งแล้วตอนต้น เพื่อ เย็บจีวร, พระสำรีบุตรเถระนั่งในท่ำมกลำง, พระอำนนทเถระนั่งในที่ สุด. ภิกษุสงฆ์กรอด้ำย. พระศำสดำทรงร้อยด้ำยนั้นในบ่วงเข็ม. พระ มหำโมคคัลลำนเถระ, ควำมต้องกำรด้วยวัตถุใด ๆ มีอยู่, เที่ยวน้อมนำำ วัตถุนั้น ๆ มำแล้ว. แม้เทพธิดำเข้ำไปสู่ภำยในบ้ำนแล้ว ชักชวน ให้รับภิกษำว่ำ " ท่ำนผู้เจริญทั้งหลำย พระศำสดำทรงทำำจีวรแก่ พระอนุรุทธเถระ ผู้เป็นเจ้ำของเรำทังหลำยวันนี้ อันพระอสีติมหำสำวก ้ แวดล้อม ประทับนั่งอยู่ในวิหำร กับภิกษุ ๕๐๐ รูป. พวกท่ำนจง ถือข้ำวยำคูเป็นต้นไปวิหำร. " แม้พระมหำโมคคัลลำนเถระ นำำชิ้นชมพู่ ใหญ่มำแล้วในระหว่ำงภัตร. ภิกษุ ๕๐๐ รูปไม่อำจเพื่อขบฉันให้หมดได้. ท้ำวสักกะได้ทรงทำำกำรประพรมในที่เป็นที่กระทำำจีวร. พื้นแผ่นดิน ได้เป็นรำวกะว่ำย้อมด้วยนำ้ำครั่ง. กองใหญ่แห่งข้ำวยำคูของควรเคี้ยว และภัตร อันภิกษุทั้งหลำยฉันเหลือ ได้มีแล้ว. [ พระขีณำสพไม่พูดเกี่ยวกับปัจจัย ] ภิกษุทั้งหลำยโพนทนำว่ำ " ประโยชน์อะไร ? ของภิกษุมีประมำณ เท่ำนี้ ด้วยข้ำวยำคูเป็นต้นอันมำกอย่ำงนี้, ญำติและอุปัฏฐำก อัน ภิกษุทั้งหลำยกำำหนดประมำณแล้ว พึงพูดว่ำ ' พวกท่ำน จงนำำวัตถุ
  • 100. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 98 ชื่อมีประมำณเท่ำนี้มำมิใช่หรือ ? พระอนุรุทธเถระเห็นประสงค์จะให้ เขำรู้ควำมที่แห่งญำติและอุปัฏฐำกของตนมีมำก. " ลำำดับนั้น พระ ศำสดำตรัสถำมภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอพูดอะไร กัน ?" เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " พูดเรื่องชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ " จึง ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ก็พวกเธอสำำคัญว่ำ " ของนี้อันอนุรุทธะ ให้นำำมำแล้วหรือ ? " ภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลว่ำ " อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ " พระศำสดำตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย อนุรุทธะผูบุตรของเรำ ไม่กล่ำว ้ ถ้อยคำำเห็นปำนนั้น, แท้จริง พระขีณำสพทั้งหลำย ย่อมไม่กล่ำวกถำ- ปฏิสังยุตด้วยปัจจัย, ก็บิณฑบำตนี้ เกิดแล้วด้วยอำนุภำพของเทวดำ " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " อำสวะทั้งหลำย ของบุคคลใด สิ้นแล้ว, บุคคล ใด ไม่อำศัยแล้ว ในอำหำร, และสุญญตวิโมกข์ อนิมตตวิโมกข์ เป็นโคจรของบุคคลใด, ร่องรอย ิ ของบุคคลนั้น ๆ รู้ได้ยำก เหมือนรอยของนก ทังหลำยในอำกำศ ฉะนั้น. ้ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ยสฺสำสวำ ควำมว่ำ อำสวะ ๔ ของบุคคลใด สิ้นแล้ว. บำทพระคำถำว่ำ อำหำเร จ อนิสฺสิโต ควำมว่ำ อันตัณหำนิสยและทิฏฐินิสัย ไม่อำศัยแล้ว ในอำหำร . ั บำทพระคำถำว่ำ ปทนฺตสฺส ทุรสฺวย ควำมว่ำ อันบุคคล
  • 101. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 99 ไม่อำจเพื่อจะรู้รอยของนกทั้งหลำยซึ่งไปในอำกำศว่ำ " นกทั้งหลำย เหยียบด้วยเท้ำในที่นี้บินไปแล้ว, กระแทกที่นี้ด้วยออกบินไปแล้ว, ที่นี้ ด้วยศีรษะ, ที่นี้ด้วยปีกทั้ง ๒ ฉันใด, อันใคร ๆ ก็ไม่อำจเพื่อบัญญัติ ซึ่งรอยของภิกษุผู้เห็นปำนนี้ โดยนัยเป็นต้นว่ำ " ภิกษุนี้ ไปแล้วโดย ทำงนรก หรือไปแล้วโดยทำงดิรัจฉำนกำำเนิด " ฉันนั้นเหมือนกัน. ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ- ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระอนุรุทธเถระ จบ.
  • 102. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 100 ๕. เรื่องพระมหำกัจจำยนเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำ เมื่อประทับอยู่ในบุพพำรำม ทรงปรำรภพระมหำ- กัจจำยนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " ยสฺสินฺทฺริยำนิ " เป็นต้น. [ พระเถระยกย่องกำรฟังธรรม ] ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่ง พระศำสดำอันพระสำวกหมู่ใหญ่ แวดล้อมแล้ว ประทับนั่ง ณ ภำยใต้ปรำสำทของมิคำรมำรดำ ในวัน มหำปวำรณำ. ในสมัยนั้น พระมหำกัจจำยนเถระอยู่ในอวันตีชนบท ก็ท่ำนนั้นมำแล้วแม้แต่ทไกล ย่อมยกย่องกำรฟังธรรมนั่นเทียว, ี่ เพรำะ ฉะนั้น พระเถระผูใหญ่ทั้งหลำยเมื่อจะนั่ง จึงนั่งเว้นอำสนะไว้เพื่อ ้ พระมหำกัจจำยนเถระ. ท้ำวสักกเทวรำชเสด็จมำจำกเทวโลกทั้ง ๒ พร้อมด้วยเทพบริษัท ทรงบูชำพระศำสดำด้วยของหอมและระเบียบ ดอกไม้อันเป็นทิพย์เป็นต้นแล้ว ประทับยืนอยู่ มิได้เห็นพระมหำ- กัจจำยนเถระ จึงทรงรำำพึงว่ำ " เพรำะเหตุอะไรหนอแล ? พระผู้เป็นเจ้ำ ของเรำจึงไม่ปรำกฏ, ก็ถ้ำพระผู้เป็นเจ้ำพึงมำ, กำรมำของท่ำนนั้น เป็น กำรดีแล. " พระเถระมำแล้วในขณะนั้นนั่นเอง แสดงตนซึ่งนั่งแล้วบน อำสนะของตนนั่นแล. ท้ำวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้ว ทรง จับข้อเท้ำทั้ง ๒ อย่ำงมั่นแล้ว ตรัสว่ำ " พระผู้เป็นเจ้ำของเรำมำแล้ว หนอ, เรำหวังกำรมำของพระผู้เป็นเจ้ำอยู่ทีเดียว " ดังนี้แล้ว ก็ทรง * พระมหำเยือน ป.ธ. ๕ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล. ้
  • 103. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 101 นวดเท้ำทั้ง ๒ ของพระเถระ ด้วยพระหัตถ์ทั้ง ๒ บูชำด้วยของหอม และระเบียบดอกไม้เป็นต้น ไหว้แล้วได้ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง. [ เทพธิดำรักใคร่ภิกษุผสำำรวมอินทรีย์ ู้ ] ภิกษุทั้งหลำยโพนทนำว่ำ " ท้ำวสักกะทรงเห็นแก่หน้ำ จึง ทำำสักกำระ, ไม่ทรงทำำสักกำระเห็นปำนนี้ แก่พระสำวกผู้ใหญ่ที่เหลือ เห็นพระมหำกัจจำยนเถระแล้ว จับข้อเท้ำทั้ง ๒ โดยเร็ว ตรัสว่ำ ' พระผู้เป็นเจ้ำของเรำมำ ดีหนอ, เรำหวังกำรมำของพระผู้เป็นเจ้ำอยู่ ทีเดียว ' ดังนีแล้ว ทรงนวดเท้ำทัง ๒ ด้วยพระหัตถ์ทั้ง ๒ บูชำแล้ว ้ ้ ไหว้แล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้ำงหนึ่ง. " พระศำสดำทรงสดับถ้อยคำำ ของภิกษุทั้งหลำยนั้นแล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ภิกษุผู้มีทวำรอัน ตนคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลำย เช่นกับด้วยมหำกัจจำยนะผู้บุตร ของเรำย่อมเป็นที่รักของเหล่ำเทพเจ้ำนั่นเทียว " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ แสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " อินทรีย์ทั้งหลำยของภิกษุใด ถึงควำมสงบแล้ว เหมือนม้ำอันนำยสำรถีฝึกดีแล้ว ฉะนั้น. แม้เหล่ำ เทพเจ้ำ ย่อมกระหยิ่มต่อภิกษุนั้น ผูมีมำนะอันละ ้ แล้ว ผูหำอำสวะมิได้ ผู้คงที่. ้ " [ แก้อรรถ ] เนื้อควำมแห่งพระคำถำนั้น ดังนี้ :- อินทรีย์ ๖ ของภิกษุใดถึงควำมสงบ คือควำมเป็นอินทรีย์อัน
  • 104. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 102 ตนทรมำนแล้ว ได้แก่ควำมเป็นอินทรีย์หมดพยศร้ำย เหมือนม้ำอัน นำยสำรถีผู้ฉลำดฝึกดีแล้ว ฉะนั้น, ต่อภิกษุนั้น ผูชื่อว่ำมีมำนะอันละ ้ แล้ว เพรำะละมำนะมีอย่ำง ๙ ดำำรงอยู่ ผูชื่อว่ำหำอำสวะมิได้ เพรำะ ้ ไม่มีอำสวะ ๔. บทว่ำ ตำทิโน ควำมว่ำ ทั้งเหล่ำเทพเจ้ำ ทั้งเหล่ำ มนุษย์ ย่อมกระหยิ่มคือย่อมปรำรถนำกำรเห็น และกำรมำ ของภิกษุผู้ เห็นปำนนั้น ผูดำำรงอยู่โดยภำวะแห่งผูคงที่. ้ ้ ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระมหำกัจจำยนเถระ จบ.
  • 105. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 103 ๖. เรื่องพระสำรีบุตรเถระ* [ ๗๖ ] [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระสำรีบุตร- เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " ปวีสโม " เป็นต้น. [ พระสำรีบุตรถูกภิกษุรูปหนึ่งฟ้อง ] ควำมพิสดำรว่ำ ในสมัยหนึ่ง ท่ำนพระสำรีบุตร ออกพรรษำ แล้ว ใคร่จะหลีกไปสู่ที่จำริก จึงทูลลำพระผู้มีพระภำค ถวำยบังคมแล้ว ออกไปกับด้วยบริวำรของตน. ภิกษุทั้งหลำยผู้ปรำกฏอยู่ ด้วยสำมำรถ ชื่อและโคตร โดยสำมำรถชื่อและโคตร แล้วจึงบอกให้กลับ . ภิกษุ ผู้ไม่ปรำกฏด้วยสำมำรถชื่อและโคตรรูปใดรูปหนึ่ง คิดว่ำ " โอหนอ พระเถระยกย่องปรำศรัยกะเรำบ้ำง ด้วยสำมำรถชื่อและโคตรแล้วพึง ให้กลับ. " พระเถระไม่ทันกำำหนดถึงท่ำน ในระหว่ำงแห่งภิกษุสงฆ์ เป็นอันมำก. แม้ภิกษุนั้นผูกอำฆำตในพระเถระว่ำ " พระเถระไม่ยกย่อง เรำ เหมือนภิกษุทั้งหลำยอื่น. " มุมสังฆำฏิแม้ของพระเถระถูกสรีระ ของภิกษุนั้นแล้ว. แม้ด้วยเหตุนั้น ภิกษุนั้นก็ผูกอำฆำตแล้วเหมือนกัน. ภิกษุนั้นรู้ว่ำ " บัดนี้พระเถระจักล่วงอุปจำรวิหำร " จึงเข้ำไปเฝ้ำพระ ศำสดำกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ท่ำนพระสำรีบุตรประหำรข้ำพระองค์ เหมือนทำำลำยหมวกหู ไม่ยังข้ำพระองค์ให้อดโทษแล้ว หลีกไปสู่ที่ * พระมหำเยื้อน ป.ธ. ๕ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 106. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 104 จำริก " ด้วยสำำคัญว่ำ " เป็นอัครสำวกของพระองค์. " พระศำสดำ รับสั่งให้เรียกพระเถระมำแล้ว. [ พระเถระเปรียบตนด้วยอุปมำ ๙ อย่ำง ] ในขณะนั้น พระมหำโมคคัลลำนเถระและพระอำนนทเถระคิด แล้วว่ำ " พระศำสดำไม่ทรงทรำบควำมทีแห่งภิกษุนี้ อันพี่ชำยของ ่ พวกเรำไม่ประหำรแล้วก็หำไม่, แต่พระองค์จักทรงประสงค์ให้ท่ำน บันลือสีหนำท, เรำจักให้บริษัทประชุมกัน. " พระเถระทั้ง ๒ นั้นมี ลูกดำลอยู่ในมือ เปิดประตูบริเวณแล้วกล่ำวว่ำ " ท่ำนผู้มีอำยุทงหลำย ั้ จงออก, ท่ำนผู้มีอำยุทงหลำยจงออก, บัดนี้ท่ำนพระสำรีบตรจักบันลือ ั้ ุ สีหนำท ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระผูมีพระภำค ้ " ให้ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประชุมกันแล้ว. ฝ่ำยพระเถระมำถวำยบังคมพระศำสดำนั่งแล้ว. ลำำดับนั้น พระ ศำสดำตรัสถำมเนื้อควำมนั้นกะพระเถระนั้นแล้ว. พระเถระไม่กรำบ ทูลทันทีว่ำ " ภิกษุนี้อันข้ำพระองค์ไม่ประหำรแล้ว " เมื่อจะกล่ำว คุณกถำของตนจึงกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ สติเป็นไปในกำย อันภิกษุใด ไม่พึงเข้ำไปตังไว้แล้วในกำย, ภิกษุนั้นกระทบกระทั่งสพรหมจำรีรูปใด ้ รูปหนึ่งในศำสนำนี้ ไม่ขอโทษแล้วพึงหลีกไปสู่ที่จำริกแน่ " ดังนี้แล้ว ประกำศควำมทีแห่งตนมีจตเสมอด้วยแผ่นดิน เสมอด้วย นำ้ำ ไฟ ลม ่ ิ ผ้ำเช็ดธุลี เด็กจัณฑำล โคอุสภะมีเขำขำด ควำมอึดอัดด้วยกำยของ ตนเหมือนซำกงูเป็นต้น และกำรบริหำรกำยของตน ดุจภำชนะมันข้น โดยนัยเป็นต้นว่ำ " พระเจ้ำข้ำ บุคคลย่อมทิงของสะอำดบ้ำง ย่อม ้
  • 107. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 105 ทิ้งของอันไม่สะอำดบ้ำง ลงในแผ่นดินแม้ฉันใด. " ก็แลเมื่อพระเถระ กล่ำวคุณของตน ด้วยอุปมำ ๘ อย่ำงนี้อยู่, แผ่นดินใหญ่ไหวจนที่สุด นำ้ำ ในวำระทั้ง ๙ แล้ว. ก็ในเวลำนำำอุปมำด้วยผ้ำเช็ดธุลี เด็กจัณฑำล และภำชนะมันข้นมำ ภิกษุผู้ปุถุชนไม่อำจเพื่ออดกลั้นนำ้ำตำไว้ได้, ธรรมสังเวชเกิดแก่ภิกษุผขีณำสพทั้งหลำยแล้ว. เมื่อพระเถระกล่ำวคุณ ู้ ของตนอยู่นั่นแล, ควำมเร่ำร้อนเกิดขึ้นในสรีระทั้งสิ้นของภิกษุผู้กล่ำวตู่ แล้ว. ทันใดนั้นแล ภิกษุนั้นหมอบลงใกล้พระบำททั้ง ๒ ของพระผู้มี พระภำค ประกำศโทษในเพรำะควำมกล่ำวตู่ ด้วยคำำอันไม่จริงแสดง โทษล่วงเกินแล้ว. [ จิตของพระสำรีบตรเหมือนแผ่นดิน ุ ] พรศำสดำตรัสเรียกพระเถระมำแล้ว ตรัสว่ำ " สำรีบตร เธอจง ุ อดโทษต่อโมฆบุรุษนี้เสีย, ตลอเวลำที่ศีรษะของเขำ จักไม่แตกโดย ๗ เสี่ยง. " พระเถระนั่งกระโหย่งประคองอัญชลีกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์ยอมอดโทษต่อผู้มีอำยุนั้น, และขอผูมีอำยุนั้นจงอดโทษต่อ ้ ข้ำพระองค์, ถ้ำว่ำโทษของข้ำพระองค์มีอยู่. " ภิษุทั้งหลำยกล่ำวว่ำ " ผู้มีอำยุทงหลำย ท่ำนทั้งหลำยจงดูควำมที่พระเถระมีคุณไม่ตำ่ำทรำม , ั้ พระเถระไม่กระทำำควำมโกรธหรือควำมประทุษร้ำย แม้มีประมำณน้อย ในเบื้องบนของภิกษุผู้กล่ำวตู่ด้วยมุสำวำทชื่อเห็นปำนนี้ ตัวเองเทียว นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีให้ภิกษุนั้นอดโทษ. " พระศำสดำทรงสดับกถำนั้นแล้วตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอพูดอะไรกัน ?" เมื่อภิกษุทั้งหลำยกรำบทูลว่ำ " กถำชื่อนี้
  • 108. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 106 พระเจ้ำข้ำ " ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ใคร ๆ ไม่อำจให้ควำมโกรธ หรือควำมประทุษร้ำย เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เช่นสำรีบุตรได้, ภิกษุ ทั้งหลำย จิตของพระสำรีบุตรเช่นกับด้วยแผ่นดินใหญ่ เช่นกับเสำเขื่อน และเช่นกับห้วงนำ้ำใส " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส พระคำถำนี้ว่ำ :- " ภิกษุใด เสมอด้วยแผ่นดิน เปรียบด้วยเสำเขือน ่ คงที่ มีวัตรดี มีกิเลสดังเปือกตมไปปรำศแล้ว เหมือนห้วงนำ้ำปรำศจำกเปือกตม ย่อมไม่ (ยินดี) ยินร้ำย, สงสำรทังหลำยย่อมไม่มแก่ภิกษุนั้น ผู้ ้ ี คงที่. " [ แก้อรรถ ] เนื้อควำมแห่งพระคำถำนั้น ดังนี้ :- ภิกษุทั้งหลำย ชนทั้งหลำยย่อมทิงของสะอำดมีของหอมและ ้ ระเบียบดอกไม้เป็นต้นบ้ำง ย่อมทิ้งของไม่สะอำดมีมตรและกรีสเป็นต้น ู บ้ำง ลงในแผ่นดิน. อนึ่งเด็กเป็นต้น ย่อมถ่ำยปัสสำวะบ้ำง ย่อมถ่ำย อุจจำระบ้ำง รดเสำเขื่อน อันเขำฝังไว้ใกล้ประตูเมือง, แต่ชนทังหลำย ้ พวกอื่น ย่อมสักกำระเสำเขื่อนนั้น ด้วยวัตถุมีของหอมและระเบียบ ดอกไม้เป็นต้น, ในเพรำะกำรทำำนั้น ควำมยินดีหรือควำมยินร้ำย ย่อม ไม่เกิดแก่แผ่นดิน หรือเสำเขื่อนนั่นแลฉันใด; ภิกษุผู้ขีณำสพนี้ใด ชื่อว่ำผู้คงที่ เพรำะควำมเป็นผูไม่หวั่นไหว ด้วยโลกธรรมทั้งหลำย ๘ , ้
  • 109. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 107 ชื่อว่ำผู้มีวัตรดี เพรำะควำมทีแห่งวัตรทั้งหลำยงำม, ภิกษุนั้นก็ฉันนั้น ่ เหมือนกัน เมือชนทั้งหลำยทำำสักกำระและอสักกำระอยู่ ย่อมไม่ยินดี ่ ย่อมไม่ยินร้ำยทีเดียวว่ำ " ชนเหล่ำนี้ย่อมสักกำระเรำด้วยปัจจัย ๔, แต่ชนเหล่ำนี้ยอมไม่สักกำระ; โดยทีแท้ ภิกษุผู้ขีณำสพนั้นย่อมเป็น ่ ่ ผู้เสมอด้วยแผ่นดินและเป็นผู้เปรียบด้วยเสำเขื่อนนั่นเอง. ก็ห้วงนำ้ำทีมี ่ เปือกตมไปปรำศแล้ว เป็นห้วงนำ้ำใส ฉันใด; ภิกษุผู้ขีณำสพนั้น ชื่อว่ำมีเปือกตมไปปรำศแล้ว ด้วยเปือกตมทังหลำยมีเปือกตมคือรำคะ ้ เป็นต้น เพรำะควำมเป็นผู้มีกิเลสไปปรำศแล้ว ย่อมเป็นผูผ่องใสเทียว ้ ฉันนั้น. บทว่ำ ตำทิโน ควำมว่ำ ก็ชื่อว่ำสงสำรทั้งหลำย ด้วยสำมำรถ แห่งกำรท่องเที่ยวไปในสุคติและทุคติทั้งหลำย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น คือผู้เห็นปำนนั้น. ในเวลำจบเทศนำ ภิกษุ ๙ พันรูปบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย ปฏิสัมภิทำทั้งหลำย ดังนี้แล. เรื่องพระสำรีบตรเถระ จบ. ุ
  • 110. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 108 ๗. เรื่องพระติสสเถระชำวกรุงโกสัมพี* [ ๗๗ ] [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภสำมเณร ของพระติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " สนฺตนฺตสฺส มน โหติ " เป็นต้น. [ ศิษย์บรรลุพระอรหัตก่อนพระอำจำรย์ ] ดังได้สดับมำ กุลบุตรชำวกรุงโกสัมพีผู้หนึ่ง บวชในพระศำสนำ ได้อุปสมบทแล้วปรำกฏว่ำ " พระโกสัมพีวำสิติสสเถระ. " เมื่อพระเถระ นั้นจำำพรรษำอยู่ในกรุงโกสัมพี อุปัฏฐำกนำำไตรจีวร เนยใสและนำ้ำอ้อย มำวำงไว้ใกล้เท้ำ. ครั้งนั้นพระเถระกล่ำวกะอุปัฏฐำกนั้นว่ำ " นี้อะไร ? อุบำสก. " อุปัฏฐำก. กระผมนิมนต์ทำนให้อยู่จำำพรรษำมิใช่หรือ ่ ? ขอรับ. ก็พวกภิกษุผู้จำำพรรษำอยู่ในวิหำรของพวกกระผม ย่อมได้ลำภนี้, นิมนต์เถิด ขอรับ. พระเถระ. ช่ำงเถิด อุบำสก, ควำมต้องกำรด้วยวัตถุนี้ ของ เรำไม่มี. อุปัฏฐำก. เพรำะเหตุอะไร ? ขอรับ. พระเถระ. แม้สำมเณรผู้เป็นกัปปิยกำรกในสำำนักของเรำก็ไม่มี ผู้มีอำยุ. * พระมหำทองสำ ป.ธ. ๖ (พระสุทธิสำรสุธี) วัดบุปผำรำม แปล.
  • 111. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 109 อุปัฏฐำก. ท่ำนผู้เจริญ ถ้ำกัปปิยกำรกไม่มี. บุตรของกระผม จักเป็นสำมเณรในสำำนักของพระผู้เป็นเจ้ำ. พระเถระรับแล้ว. อุบำสกนำำบุตรของตนผู้มีอำยุ ๗ ขวบไปสู่ สำำนักของพระเถระแล้ว ได้ถวำยว่ำ " ขอท่ำนจงให้เด็กนี้บวชเถิด. " ครั้งนั้น พระเถระชุบผมของเด็กนั้นให้ชุ่มแล้ว ให้ตจปัญจกกัมมัฏ- ฐำน ให้บวชแล้ว. ในเวลำปลงผมเสร็จนั่นเองพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ. พระ เถระครั้นให้กุมำรนั้นบวชแล้ว อยู่ในที่นั้นสิ้นกึ่งเดือนแล้วคิดว่ำ " จักเฝ้ำพระศำสดำ " จึงให้สำมเณร ถือห่อภัณฑะเดินไป เข้ำไปสู่วิหำรแห่งหนึ่งในระหว่ำงทำง. สำมเณร ถือเสนำสนะจัดแจงเพื่อพระอุปัชฌำย์แล้ว. เมื่อสำมเณรนั้นจัดแจง เสนำสนะอยู่เทียว ก็หมดเวลำแล้ว. เพรำะเหตุนั้น สำมเณรจึงไม่อำจ จัดแจงเสนำสนะเพื่อตนได้. ครังนั้น พระเถระถำมสำมเณรนั้นผู้มำในเวลำบำำรุงนั่งอยู่แล้ว ้ ว่ำ " สำมเณร เจ้ำจัดแจงที่อยูของตนแล้วหรือ. ่ " สำมเณร. กระผมไม่ได้โอกำสเพื่อจัดแจง ขอรับ. [ ตำสำมเณรแตกเพรำะอำจำรย์ ] พระเถระกล่ำวว่ำ " ถ้ำกระนั้น จงอยู่ในที่อยู่ของฉันเถิด, กำร อยู่ในที่อำคันตุกะลำำบำก " พำสำมเณรนั้นแลเข้ำไปสู่เสนำสนะแล้ว. ก็พระเถระนั้นเป็นปุถุชน พอนอนเท่ำนั้น ก็หยั่งลงสู่ควำมหลับ. สำมเณร ๑. ขุรคฺเค แปลโดยพยัญชนะว่ำ ในกำลเป็นที่สุดแห่งกรรมอันบุคคลกระทำำด้วยมีดโกน ท่ำนแก้อรรถ ขุรคฺเค ว่ำ ขุรกมฺมปริโยสำเน.
  • 112. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 110 คิดว่ำ " วันนี้เป็นวันที่ ๓ ของเรำผู้อยู่ในเสนำสนะเดียวกันกับพระ- อุปัชฌำย์; ถ้ำเรำจักนอนหลับ, พระเถระพึงต้องสหไสยำบัติ, เรำจะ นั่งอย่ำงเดียว ยังกำลให้น้อมล่วงไป. " สำมเณรนั่งคูบัลลังก์ใกล้เตียง ้ ของพระอุปัชฌำย์เทียว ยังรำตรีให้น้อมล่วงไปแล้ว. พระเถระลุกขึ้น ในเวลำใกล้รุ่ง คิดว่ำ " ควรให้สำมเณรออก " จึงจับพัดที่วำงอยู่ข้ำง เตียง เอำปลำยใบพัดตีเสื่อลำำแพนของสำมเณรแล้ว ยกพัดขึ้นเบื้องบน กล่ำวว่ำ " สำมเณรจงออกไปข้ำงนอก " ใบพัดกระทบตำ. ตำแตก แล้ว ทันใดนั้นนั่นเอง. สำมเณรนั้น กล่ำวว่ำ "? ขอรับ " อะไร เมื่อพระเถระกล่ำวว่ำ " เจ้ำจงลุกขึ้น ออกไปข้ำงนอก. " ก็ไม่กล่ำวว่ำ " ตำของผมแตกแล้ว ขอรับ " ปิด (ตำ) ด้วยมือข้ำงหนึ่งออกไปแล้ว. ก็แลในกำรทำำวัตร สำมเณรไม่นั่งด้วยคิดว่ำ " ตำ ของเรำแตก แล้ว. " กุมตำด้วยมือข้ำงหนึ่ง ถือกำำไม้กวำดด้วยมือข้ำงหนึ่ง กวำด เว็จกุฎีและที่ล้ำงหน้ำและตั้งนำ้ำล้ำงหน้ำไว้แล้วกวำดบริเวณ. สำมเณร นั้นเมื่อถวำยไม้ชำำระฟันแก่พระอุปัชฌำย์ ได้ถวำยด้วยมือเดียว. [ อำจำรย์ขอโทษศิษย์ ] ครังนั้น พระอุปัชฌำย์กล่ำวกะสำมเณรนั้นว่ำ " สำมเณรนี้ ้ ไม่ได้สำำเหนียกหนอ, จึงได้เพื่อถวำยไม้ชำำระฟันแก่อำจำรย์และอุปัชฌำย์ ด้วยมือเดียว. " สำมเณร. ผมทรำบ ขอรับ ว่ำ ' นั่นไม่เป็นวัตร,' แต่มือข้ำง หนึ่งของผม ไม่วำง. ่ พระเถระ. อะไร ? สำมเณร.
  • 113. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 111 สำมเณรนั้นบอกควำมเป็นไปนั้นแล้วจำำเดิมแต่ต้น. พระเถระ พอฟังแล้วมีใจสลด กล่ำวว่ำ " โอ กรรมหนักอันเรำทำำแล้ว " กล่ำว ว่ำ " จงอดโทษแก่ฉัน สัตบุรุษ, ฉันไม่รู้ข้อนั้น, ขอจงเป็นที่พึ่ง " ดังนีแล้ว ประคองอัญชลี นั่งกระโหย่งใกล้เท้ำของเด็กอำยุ ๗ ขวบ. ้ ลำำดับนั้นสำมเณรบอกกะพระเถระนั้นว่ำ " กระผมมิได้พูดเพื่อต้องกำร เหตุนี้ ขอรับ, กระผมตำมรักษำจิตของท่ำน จึงได้พูดแล้วอย่ำงนี้, ในข้อนี้ โทษของท่ำนไม่มี, โทษของผมก็ไม่มี, นั่นเป็นโทษของวัฏฏะ เท่ำนั้น, ขอท่ำนอย่ำคิดแล้ว. อันผมรักษำควำมเดือดร้อนของท่ำน อยู่นั่นเทียว จึงไม่บอกแล้ว. พระเถระแม้อันสำมเณรให้เบำใจอยู่ ไม่ เบำใจแล้ว มีควำมสลดใจเกิดขึ้นแล้ว ถือภัณฑะของสำมเณรไปสู่สำำนัก ของพระศำสดำแล้ว. แม้พระศำสดำประทับนั่งทอดพระเนตรกำรมำ ของพระเถระนั้นเหมือนกัน. พระเถรนั้นไปถวำยบังคมพระศำสดำ ทำำควำมบันเทิงกับพระศำสดำแล้ว อันพระศำสดำตรัสถำมว่ำ " เธอ พออดทนหรือ ? ภิกษุ ควำมไม่ผำสุกที่รุนแรงอะไร ๆ ไม่มีหรือ ? " จึงกรำบทูลว่ำ " พออดพอทน พระเจ้ำข้ำ, ควำมไม่ผำสุกที่รุนแรงอะไร ๆ ไม่มีหรือ ? " ของข้ำพระองค์ไม่มี, ก็อีกอย่ำงหนึ่งแล คนอื่นผูมีคุณอย่ำงล้นเหลือ ้ เหมื่อนสำมเณรเด็กนี้ อันข้ำพระองค์ไม่เคยเห็น " พระศำสดำตรัสถำม ว่ำ " กรรมอะไร ? อันสำมเณรนี้ทำำแล้ว ภิกษุ. " พระเถระนั้นกรำบ ทูลควำมเป็นไปนั้นทั้งหมดตังแต่ต้นแด่พระผู้มีพระภำคแล้ว กรำบทูลว่ำ ้ " พระเจ้ำข้ำ สำมเณรนี้ อันข้ำพระองค์ให้อดโทษอยู่อย่ำงนี้ กล่ำว กะข้ำพระองค์อย่ำงนี้ว่ำ ' ในข้อนี้ โทษของท่ำนไม่มีเลย . โทษของ
  • 114. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 112 ผมก็ไม่มี, นั่นเป็นโทษของวัฏฏะเท่ำนั้น, ขอท่ำนอย่ำคิดแล้ว, สำมเณร ยังข้ำพระองค์ให้เบำใจแล้วนั่นเทียวด้วยประกำรฉะนี้, ไม่ทำำควำมโกรธ ไม่ทำำควำมประทุษร้ำย ในข้ำพระองค์เลย; ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณเห็นปำนนี้ อันข้ำพระองค์ไม่เคยเห็น. " [ พระขีณำสพไม่โกรธไม่ประทุษร้ำยใคร ] ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสกะเธอว่ำ " ภิกษุ ธรรมดำพระ ขีณำสพทั้งหลำย ไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ำย ต่อใคร ๆ, เป็นผู้มีอินทรีย์ สงบแล้ว เป็นผูมีใจสงบแล้วเทียว ้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ แสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ใจของท่ำนผู้พ้นวิเศษแล้ว เพรำะรู้ชอบ ผู้ สงบระงับ คงที่ เป็นใจสงบแล้ว วำจำ ก็สงบ แล้ว กำรงำนก็สงบ. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สนฺต ควำมว่ำ ใจของสมณะผู้ ขีณำสพนั้น ชือว่ำ สงบแล้วแท้ คือ ระงับ ได้แก่ ดับ เพรำะควำม ่ ไม่มีโทษแห่งวจีทจริตทั้งหลำยมีอภิชฌำเป็นต้น, อนึ่งวำจำ ชือว่ำ สงบแล้ว ุ ่ เพรำะควำมไม่มแห่งวจีทุจริตทั้งหลำยมีมุสำวำทเป็นต้น , ี และกำยกรรม ชื่อว่ำ สงบแล้วนั่นเทียว เพรำะควำมไม่มแห่งกำยทุจริตมีปำณำติบำต ี เป็นต้น. บำทพระคำถำว่ำ สมฺมทญฺญำ วิมุตตสฺสำ ควำมว่ำ ผู้พ้น ฺ
  • 115. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 113 วิเศษแล้ว ด้วยวิมุติ ๕ เพรำะรู้โดยนัยเหตุ. บทว่ำ อุปสนฺตสฺส ควำมว่ำ ชื่อว่ำผู้สงบระงับแล้ว เพรำะ ควำมระงับแห่งกิเลสมีรำคะเป็นต้น ณ ภำยใน. บทว่ำ ตำทิโน คือ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณเห็นปำนนั้น. ในเวลำจบเทศนำ พระติสสเถระชำวกรุงโกสัมพีบรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำย, ธรรมเทศนำได้เป็นประโยชน์ แม้แก่ มหำชนที่เหลือ ดังนี้แล. เรื่องพระติสสเถระชำวกรุงโกสัมพี จบ.
  • 116. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 114 ๘. เรื่องพระสำรีบตรเถระ ุ [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยูในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระสำรีบุตร เถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " อสฺสทธโธ " เป็นต้น. [ สัทธินทรีย์เป็นต้นมีอมตะเป็นที่สุด ] ควำมพิสดำรว่ำ ภิกษุผู้อยู่ปำเป็นวัตร ประมำณ ๓๐ รูป วัน ่ หนึ่งไปสู่สำำนักพระศำดำ ถวำยบังคมนั่งแล้ว. พระศำสดำทรงทรำบ อุปนิสัยแห่งพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย ของภิกษุ ้ เหล่ำนั้นแล้ว ตรัสเรียกพระสำรีบุตรเถระมำ ตรัสถำมปัญหำปรำรภ อินทรีย์ ๕ อย่ำงนี้ว่ำ " สำรีบุตร เธอเชื่อหรือ ?, อินทรีย์คอศรัทธำ ื อันบุคคลเจริญแล้ว ทำำให้มำกแล้ว ย่อมหยั่งถึงอมตะ มีอมตะเป็นที่สุด . พระเถระทูลแก้ปัญหำนั้นอย่ำงนี้ว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์ย่อมไม่ถึง ด้วยควำมเชื่อต่อพระผู้มีพระภำคในอินทรีย์ ๕ นี้แล; (ว่ำ) อินทรีย์ คือ ศรัทธำ ฯ ล ฯ มีอมตะเป็นที่สุด, ข้ำแต่พระองค์ผู้เจริญ อินทรีย์ คือ ศรัทธำนั่น อันชนเหล่ำใดไม่รู้แล้ว ไม่สดับแล้ว ไม่เห็นแล้ว ไม่ ทรำบแล้ว ไม่ทำำให้แจ้งแล้ว ไม่ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญำ, ชนเหล่ำนั้น พึงถึงด้วยควำมเชื่อต่อชนเหล่ำอื่นในอินทรีย์ ๕ นั้น (ว่ำ) อินทรีย์ คือ ศรัทธำ ฯ ล ฯ มีอมตะเป็นที่สุด. ภิกษุทั้งหลำยฟังคำำนั้นแล้ว ยังกถำให้ตั้งขึ้นว่ำ " พระสำรีบุตรเถระ * พระมหำทอง (พระสุทธสำรสุธี) ป.ธ. ๖ วัดบุปผำรำม แปล.
  • 117. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 115 แก้แล้ว ด้วยกำรถือผิดทีเดียว, แม้ในวันนี้ พระเถระไม่เชื่อแล้ว ต่อพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำนั่นเทียว. " [ พระสำรีบุตรอันใคร ๆ ไม่ควรติเตียน ] พระศำสดำทรงสดับคำำนั้นแล้ว ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำยพวกเธอ กล่ำวคำำชื่ออะไรนั่น ? เรำแล ถำมว่ำ ' สำรีบุตร เธอเชื่อหรือว่ำ ' ชื่อว่ำบุคคลผู้ไม่อบรมอินทรีย์ ๕ ไม่เจริญสมถะและวิปัสสนำ สำมำรถ เพื่อทำำมรรคและผลให้แจ้งมีอยู่ ' สำรีบตรนั้น กล่ำวว่ำ ุ ' พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์ไม่เชื่อว่ำ ' ผูกระทำำให้แจ้งอย่ำงนั้น ชือว่ำมีอยู่ ้ ่ ' สำรีบตร ุ ไม่เชื่อผลวิบำก แห่งทำนอันบุคคลถวำยแล้ว หรือแห่งกรรมอันบุคคล กระทำำแล้วก็หำไม่, อนึ่ง สำรีบุตร ไม่เชื่อคุณของพระรัตนตรัย ๓ มีพระ พุทธเจ้ำเป็นต้นก็หำไม่; แต่สำรีบุตรนั้น ไม่เชื่อควำมเชื่อต่อบุคคลอื่น ในธรรม คือ ฌำน วิปัสสนำ มรรค และผล อันตนได้เฉพำะแล้ว; เพรำะฉะนั้น สำรีบุตรจึงเป็นผู้อันใคร ๆ ไม่ควรติเตียน, เมื่อจะทรงสืบ อนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " นระใด ไม่เชื่อง่ำย มีปกติรู้พระนิพพำนอัน ปัจจัยทำำไม่ได้ ตัดทีต่อ มีโอกำสอันกำำจัดแล้ว ่ มีควำมหวังอันคำยแล้ว, นระนั้นแล เป็นบุรุษ สูงสุด. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อสฺสทฺโธ เป็นต้น พึงทรำบวิเครำะห์
  • 118. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 116 ดังนี้ :- นระ ชื่อว่ำ อสฺสทฺโธ เพรำะอรรถว่ำ ไม่เชื่อคุณอันตนแทง ตลอดแล้ว ด้วยคำำของชนเหล่ำอื่น, ชือว่ำ อกตญฺญู เพรำะอรรถว่ำ ่ รู้พระนิพพำนอันปัจจัยทำำไม่ได้แล้ว, อธิบำยว่ำ มีพระนิพพำนอันตน ทำำให้แจ้งแล้ว. ชือว่ำ สนฺธิจฺเฉโท เพรำะอรรถว่ำ ตัดทีต่อคือวัฏฏะ ่ ่ ที่ต่อคือสงสำร ดำำรงอยู่. ชื่อว่ำ หตำวกำโส เพรำะอรรถว่ำ โอกำส แห่งกำรบังเกิด ชือว่ำอันนระกำำจัดแล้ว เพรำะควำมที่พืชคือกุศลกรรม ่ และอกุศลกรรมสิ้นแล้ว. ชื่อว่ำ วนฺตำโส เพรำะอรรถว่ำ ควำมหวัง ทั้งปวง ชือว่ำอันนระนี้คำยแล้ว เพรำะควำมที่กิจอันตนควรทำำด้วย ่ มรรค ๔ ตนทำำแล้ว. ก็นระเห็นปำนนี้ใด, นระนั้นแล ชือว่ำผูสูงสุด ่ ้ ในบุรุษ เพรำะอรรถว่ำ ถึงควำมเป็นผู้สงสุดในบุรุษทั้งหลำย ด้วย ู ควำมทีแห่งโลกุตรธรรม อันตนแทงตลอดแล้ว. ่ ในเวลำจบพระคำถำ ภิกษุประมำณ ๓๐ รูป ผู้อยู่ป่ำเหล่ำนั้น บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำยแล้ว. พระธรรมเทศนำ ได้มีประโยชน์แม้แก่มหำชนที่เหลือดังนีแล. ้ เรื่องพระสำรีบตรเถระ จบ. ุ
  • 119. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 117 ๙. เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภนำพระเรวต- เถระ ผู้อยู่ป่ำไม้สะแกเป็นต้น. [ พระสำรีบุตรชวนพี่น้องบวช ] ควำมพิสดำรว่ำ ท่ำนพระสำรีบตร ละทรัพย์ ๘๗ โกฏิบวชแล้ว ุ (ชักชวน) น้องสำว ๓ คน คือนำงจำลำ, นำงอุปจำลำ, นำงสีสุปจำลำ, (และ) น้องชำย ๒ คนนี้ คือ นำยจุนทะ, นำยอุปเสนะ, ให้บวชแล้ว. เรวตกุมำรผู้เดียวเท่ำนั้นยังเหลืออยู่แล้วในบ้ำน. ลำำดับนั้นมำรดำของ ท่ำนคิดว่ำ" อุปติสสะบุตรของเรำ ละทรัพย์ประมำณเท่ำนี้บวชแล้ว (ยังชักชวน) น้องสำว ๓ คน น้องชำย ๒ คน ให้บวชด้วย, เรวตะ ผู้เดียวเท่ำนั้นยังเหลืออยู่; ถ้ำเธอจัก (ชักชวน) เรวตะแม้นี้ให้บวชไซร้, ทรัพย์ของเรำประมำณเท่ำนี้จักฉิบหำย, วงศ์สกุลจักขำดศูนย์; เรำจักผูก เรวตะนั้นไว้ ด้วยกำรอยู่ครองเรือน แต่ในกำลที่เขำยังเป็นเด็กเถิด . ฝ่ำยพระสำรีบตรเถระสั่งภิกษุทั้งหลำยไว้ก่อนทีเดียวว่ำ ุ " ผู้มีอำยุ ถ้ำเรวตะประสงค์จะมำบวชไซร้, พวกท่ำนพึงให้เขำผู้มำตรว่ำมำถึง เท่ำนั้นบวช; (เพรำะ) มำรดำบิดำของผมเป็นมิจฉำทิฏฐิก์, ประโยชน์ * พระมหำคู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล. ๑. ขทิร แปลว่ำไม้ตะเคียนก็มี.
  • 120. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 118 อะไรด้วยท่ำนทั้ง ๒ นั้น อันเรวตะบอกลำเล่ำ ? ผมเองเป็นมำรดำ และบิดำของเรวตะนั้น. [ มำรดำบิดำให้เรวตะแต่งงำน ] แม้มำรดำของพระสำรีบุตรเถระนั้น ประสงค์จะผูกเรวตกุมำรผู้มี อำยุ ๗ ขวบเท่ำนั้น ด้วยเครื่องผูกคือเรือน จึงหมั้นเด็กหญิงในตระกูล ที่มีชำติเสมอกัน กำำหนดวันแล้ว ประดับตกแต่งกุมำรแล้ว ได้พำไป สู่เรือนของญำติเด็กหญิง พร้อมด้วยบริวำรเป็นอันมำก. ลำำดับนั้น เมื่อ พวกญำติของเขำทั้ง ๒ ผูทำำกำรมงคลประชุมกันแล้ว. ้ พวกญำติให้เขำ ทั้ง ๒ จุ่มมือลงในถำดนำ้ำแล้ว กล่ำวมงคลทังหลำย หวังควำมเจริญ ้ แก้เด็กหญิง จึงกล่ำวว่ำ " ขอเจ้ำจงเห็นธรรมอันยำยของเจ้ำเห็นแล้ว, เจ้ำจงเป็นอยู่สิ้นกำลนำน เหมือนยำย นะ แม่ " เรวตกุมำร คิดว่ำ " อะไรหนอแล ? ชื่อว่ำธรรมอันยำยนี้เห็นแล้ว " จึงถำมว่ำ " คนไหน ? เป็นยำยของหญิงนี้. " ลำำดับนั้น พวกญำติบอกกะเขำว่ำ " พ่อ คนนี้ มีอำยุ ๑๒๐ ปี มีฟันหลุด ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ตัวตกกระ หลังโกงดุจกลอนเรือน ? เจ้ำไม่เห็นหรือ นั่นเป็นยำยของเด็กหญิงนั้น. " เรวตะ. ก็แม้หญิงนี้ จักเป็นอย่ำงนั้นหรือ ? พวกญำติ. ถ้ำเขำจักเป็นอยู่ไซร้, ก็จักเป็นอย่ำงนั้น พ่อ. [ เรวตะคิดหำอุบำยออกบวช ] เรวตะนั้น คิดว่ำ " ชื่อว่ำสรีระ แม้เห็นปำนนี้ จักถึงประกำร
  • 121. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 119 อันแปลกนี้ เพรำะชรำ, อุปปติสสะพี่ชำยของเรำ จักเห็นเหตุนี้แล้ว, ควรที่เรำจะหนีไปบวชเสียในวันนี้แหละ. " ทีนั้น พวกญำติอุ้มเขำ ขึ้นสู่ยำนอันเดียวกันกับเด็กหญิงพำหลีกไปแล้ว. เขำไปได้หน่อยหนึ่ง อ้ำงกำรถ่ำยอุจจำระ พูดว่ำ " ท่ำนทั้งหลำย จงหยุดยำนก่อน, ฉันลง ไปแล้วจักมำ " ดังนีแล้ว ลงจำกยำนทำำให้ชักช้ำหน่อยหนึ่ง ที่พุ่มไม้ ้ พุ่มหนึ่งแล้วจึงได้ไป. เขำไปได้หน่อยหนึ่งแล้วลงไปด้วยกำรอ้ำงนั้นนั่น แลแม้อีก ขึนแล้วก็ได้ทำำอย่ำงนั้นเหมือนกันอีก. ้ ลำำดับนั้น พวกญำติของเขำกำำหนดว่ำ " เรวตะนี้ หมั่นไป แท้ ๆ " จึงมิได้ทำำกำรรักษำอย่ำงเข้มแข็ง. เขำไปได้หน่อยหนึ่งก็ลงไป ด้วยกำรอ้ำงนั้นนั่นแลแม้อีกแล้ว พูดว่ำ " พวกท่ำนจงขับไปข้ำงหน้ำ, ฉันจักค่อย ๆ เดินมำข้ำงหลัง " จึงลงไปแล้ว ได้บ่ำยหน้ำตรงไปยัง พุ่มไม้. [ เรวตะได้บรรพชำ ] แม้พวกญำติของเขำได้ขับยำนไปด้วยสำำคัญว่ำ " เรวตะจักมำ ข้ำงหลัง. " ฝ่ำยเรวตะนั้นหนีไปจำกที่นั้นแล้ว, ไปยังสำำนักของภิกษุ ประมำณ ๓๐ รูป ซึงอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง ไหว้แล้วเรียนว่ำ ่ " ท่ำน ขอรับ ขอท่ำนทั้งหลำยจงให้กระผมบวช. " พวกภิกษุ. " ผูมีอำยุ เธอประดับด้วยเครื่องอลังกำรพร้อมสรรพ, ้ พวกข้ำพเจ้ำ ไม่ทรำบว่ำเธอเป็นพระรำชโอรสหรือเป็นบุตรของอมำตย์, จักให้เธอบวชอย่ำงไรได้. "
  • 122. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 120 เรวตะ. พวกท่ำนไม่รู้จักกระผมหรือ ? ขอรับ. พวกภิกษุ. ไม่รู้ ผู้มีอำยุ. เรวตะ. กระผมเป็นน้องชำยของอุปติสสะ. พวกภิกษุ. ชือว่ำอุปติสสะนั่น คือใคร ่ ? เรวตะ. ท่ำนผู้เจริญทังหลำย เรียกพี่ชำยของกระผมว่ำ ้ ' สำรี- บุตร ' เพรำะฉะนั้น เมื่อกระผมเรียนว่ำ ' อุปติสสะ ' ท่ำนผู้เจริญ ทั้งหลำยจึงไม่ทรำบ. พวกภิกษุ. ก็เธอเป็นน้องชำยของพระสำรีบตรเถระหรือ ุ ? เรวตะ. อย่ำงนั้น ขอรับ. ภิกษุเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ " ถ้ำกระนั้น มำเถิด, พี่ชำยของเธอ อนุญำตไว้แล้วเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว ก็ให้เปลื้องเครื่องอำภรณ์ของ เขำออก ให้วำงไว้ ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง ให้เขำบวชแล้ว จึงส่งข่ำวไปแก่ พระเถระ. พระเถระ ฟังข่ำวนั้นแล้ว จึงกรำบทูลแด่พระผูมีพระภำคว่ำ ้ " พระเจ้ำข้ำ ภิกษุทั้งหลำยส่งข่ำวมำว่ำ ' ได้ยินว่ำ พวกภิกษุที่อยู่ปำ ่ ให้เรวตะบวช ' ข้ำพระองค์ไปเยียมเธอแล้วจึงจักกลับมำ. ่ " พระศำสดำ มิได้ทรงยอมให้ไป ด้วยพระดำำรัสว่ำ " สำรีบุตร จงยับยังอยู่ก่อน. ้ " โดยกำลล่วงไป ๒-๓ วัน พระเถระก็ทูลลำพระ ศำสดำอีก. พระศำสดำมิได้ทรงยอมให้ไป ด้วยพระดำำรัสว่ำ " สำรีบตร ุ จงยับยังอยู่ก่อน, แม้เรำก็จักไป. ้ "
  • 123. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 121 [ เรวตสำมเณรบรรลุพระอรหัต ] ฝ่ำยสำมเณรคิดว่ำ " ถ้ำเรำจักอยู่ในที่นี้ไซร้, พวกญำติจักให้คน ติดตำมเรียกเรำ (กลับ) " จึงเรียนกัมมัฏฐำนจนถึงพระอรหัตแต่ สำำนักของภิกษุเหล่ำนั้น ถือบำตรแลจีวรเที่ยวจำริกไปถึงป่ำไม้สะแก ในที่ประมำณ ๓๐ โยชน์แต่ที่นั้น ในระหว่ำง ๓ เดือนภำยในพรรษำ นั่นแล บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำย. แม้พระเถระปวำรณำแล้ว ทูลลำพระศำสดำเพื่อต้องกำรไปใน ที่นั้นอีก. พระศำสดำตรัสว่ำ " สำรีบตร แม้เรำก็จักไป ุ " เสด็จออก ไปพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป. ในเวลำเสด็จไปได้หน่อยหนึ่ง พระอำนนท เถระยืนอยู่ที่ทำง ๒ แพร่งกรำบทูลพระศำสดำว่ำ " พระเจ้ำข้ำ บรรดำ ทำงที่ไปสู่สำำนักพระเรวตะ ทำงนี้ เป็นทำงอ้อมประมำณ ๖๐ โยชน์ เป็นที่อยู่อำศัยของพวกมนุษย์, ทำงนี้เป็นทำงตรงประมำณ ๓๐ โยชน์ อันอมนุษย์ คุ้มครอง, พวกเรำจะไปโดยทำงไหน ?" พระศำสดำ. อำนนท์ ก็สีวลี มำกับพวกเรำ (มิใช่หรือ ?) อำนนท์. อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ. พระศำสดำ. ถ้ำสีวลีมำ, เธอจงถือเอำทำงตรงนั่นแหละ. [ พวกภิกษุอำศัยบุญของพระสีวลีเถระ ] ได้ยินว่ำ พระศำสดำมิได้ตรัสว่ำ " เรำจักยังข้ำวต้มและข้ำวสวย ให้เกิดขึ้นแก่พวกเธอ, พวกเธอจงถือเอำทำงตรง " ทรงทรำบข่ำวว่ำ " ที่นั่นเป็นที่ให้ผลบุญแก่ชนเหล่ำนั้น ๆ " จึงตรัสว่ำ " ถ้ำสีวลีมำ,
  • 124. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 122 เธอจงถือเอำทำงตรง. " ก็เมื่อพระศำสดำทรงดำำเนินไปทำงนั้น, พวก เทวดำคิดว่ำ " พวกเรำจักทำำสักกำระแก่พระสีวลีเถระพระผู้เป็นเจ้ำ ของเรำ " ให้สร้ำงวิหำรในที่โยชน์หนึ่ง ๆ ไม่ให้ไปเกินกว่ำโยชน์หนึ่ง ลุกขึ้นแต่เช้ำเทียว ถือเอำวัตถุมีข้ำวต้มเป็นต้นอันเป็นทิพย์แล้วเที่ยวไป ด้วยตั้งใจว่ำ " พระสีวลีเถระผู้เป็นเจ้ำของเรำ นั่งอยู่ที่ไหน ?" พระเถระให้เทวดำถวำยภัตรที่นำำมำเพื่อตน แก่ภิกษุสงฆ์มีพระ พุทธเจ้ำเป็นประมุข. พระศำสดำพร้อมทังบริวำรเสวยบุญของพระสีวลี ้ เถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทำงกันดำรประมำณ ๓๐ โยชน์ . ฝ่ำยพระเรวตะเถระพระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภำค นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่ จงกรม ๕๐๐ และที่พักกลำงคืนและที่พักกลำงวัน ๕๐๐. พระศำสดำประทับอยู่ใน สำำนักของพระเรวตะนั้นสิ้นกำลประมำณเดือนหนึ่งแล. แม้ประทับ อยู่ในที่นั้น ก็ทรงเสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง. ก็บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น ภิกษุแก่ ๒ รูป ในเวลำพระศำสดำเสด็จ เข้ำไปสู่ป่ำไม้สะแก คิดแล้วอย่ำงนี้ว่ำ " (กำรก่อ ภิกษุนี้ทำำนวกรรม สร้ำง) ประมำณอยู่เท่ำนี้อยู่ จักอำจทำำสมณธรรมได้อย่ำงไร ? " พระ ศำสดำทรงทำำกิจคือกำรเห็นแก่หน้ำ ด้วยทรงดำำริวำ ' เป็นน้องชำยของ ่ พระสำรีบุตร ' จึงเสด็จมำสู่สำำนักของเธอผู้ประกอบนวกรรมเห็นปำนนี้ . ' [ พระศำสดำทรงอธิษฐำนให้ภิกษุลืมบริขำร ] ในวันนั้น แม้พระศำสดำทรงตรวจดูสตวโลก ในเวลำใกล้รุ่ง ั ๑. เรวตะ เป็นสำมเณร แต่เรียกว่ำพระเถระ เป็นเพรำะท่ำนบรรลุพระอรหัตผลแล้ว .
  • 125. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 123 ทรงเห็นภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว ได้ทรงทรำบวำรจิตของภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว; เพรำะเหตุนั้น ประทับอยู่ในที่นั้นสิ้นกำลนำนประมำณเดือนหนึ่งแล้ว ใน วันเสด็จออกไป ทรงอธิษฐำนโดยประกำรที่ภิกษุเหล่ำนั้นลืมหลอด นำ้ำมัน ลักกะจั่นนำ้ำ และรองเท้ำของตนไว้ เสด็จออกไปอยู่ ในเวลำ เสด็จออกไปภำยนอกแต่อุปจำรวิหำรจึงทรงคลำยพระฤทธิ์. ครังนั้น ภิกษุเหล่ำนั้นกล่ำวกันว่ำ ้ " ผมลืมสิ่งนีและสิ่งนี้, แม้ ้ ผมก็ลืม " ดังนีแล้ว ทัง ๒ รูปจึงกลับไป ไม่กำำหนดถึงที่นั้น ถูกหนำม ้ ้ ไม้สะแกแทง เที่ยวไป พบห่อสิ่งของ ๆ ตนซึงห้อยอยู่ทต้นสะแก ่ ี่ ต้นหนึ่ง ถือเอำแล้วก็หลีกไป. แม้พระศำสดำทรงพำภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของสีวลีเถระ ตลอดกำลประมำณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้ำไปสู่ปุพพำรำม. ลำำดับ นั้น ภิกษุแก่เหล่ำนั้นล้ำงหน้ำแต่เช้ำตรู่ เดินไปด้วยตั้งใจว่ำ " พวก เรำจักดื่มข้ำวต้มในเรือนของนำงวิสำขำ ผูถวำยอำคันตุกภัตร ้ " ดืม ่ ข้ำวต้มแล้วฉันของเคี้ยวแล้วนั่งอยู่. [ นำงวิสำขำถำมถึงที่อยู่ของเรวตะ ] ลำำดับนั้น นำงวิสำขำถำมภิกษุแก่เหล่ำนั้นว่ำ" ท่ำนผู้เจริญ ก็ท่ำนทั้งหลำยได้ไปที่อยูของเรวตะกับพระศำสดำหรือ ? " ่ ภิกษุแก่. อย่ำงนั้น อุบำสิกำ. วิสำขำ. ท่ำนผู้เจริญ ที่อยูของเถระน่ำรื่นรมย์หรือ ? ่ ภิกษุแก่. ที่อยู่ของพระเถระนั้นเป็นสถำนที่น่ำรื่นรมย์ จักมีแต่
  • 126. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 124 ที่ไหน ? อุบำสิกำ ที่นั้นรกด้วยไม้สะแกมีหนำมขำว เป็นเช่นกับสถำน ที่อยู่ของพวกเปรต. ครังนั้น ภิกษุหนุ่ม ๒ รูปพวกอื่นมำแล้ว. อุบำสิกำถวำยข้ำวต้ม ้ และของควรเคี้ยวทังหลำยแม้แก่ภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว ถำมอย่ำงนั้น ้ เหมือนกัน. ภิกษุเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ " อุบำสิกำ พวกฉันไม่อำจ พรรณนำได้, ที่อยู่ของพระเถระ เป็นเช่นกับเทวสภำชื่อสุธรรมำ ดุจตกแต่งขึ้นด้วยฤทธิ์. " อุบำสิกำคิดว่ำ " ภิกษุพวกที่มำครั้งแรกกล่ำวอย่ำงอื่น, ภิกษุ พวกนี้กล่ำวอย่ำงอื่น, ภิกษุพวกที่มำครั้งแรก ลืมอะไรไว้เป็นแน่ จัก กลับไปในเวลำที่คลำยฤทธิ์แล้ว, ส่วนภิกษุพวกนี้จักไปในเวลำที่พระเถระ ตกแต่งนิรมิตสถำนที่ด้วยฤทธิ์ " เพรำะควำมทีตนเป็นบัณฑิตจึงทรำบ ่ เนื้อควำมนั้น ได้ยืนอยูแล้วด้วยหวังว่ำ " จักทูลถำมในกำลที่พระศำสดำ ่ เสด็จมำ. " ต่อกำลเพียงครู่เดียวแต่กำลนั้นพระศำสดำอันภิกษุสงฆ์แวด ล้อม เสด็จไปสู่เรือนของนำงวิสำขำ ประทับนั่งเหนืออำสนะอันเขำ ตกแต่งไว้แล้ว. นำงอังคำสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุขโดยเคำรพ ในเวลำเสร็จภัตกิจ ถวำยบังคมพระศำสดำแล้ว ทูลถำมเฉพำะว่ำ " พระเจ้ำข้ำ บรรดำภิกษุที่ไปกับพระองค์ บำงพวกกล่ำวว่ำ ' ที่อยู่ ของพระเรวตะ เป็นป่ำรกด้วยไม้สะแก ' ' เป็น บำงพวกกล่ำวว่ำ สถำนที่รื่นรมย์; ที่อยู่ของพระเถระนั่นเป็นอย่ำงไรหนอแล ? " พระศำสดำทรงสดับคำำนั้นแล้วตรัสว่ำ " อุบำสิกำ จะเป็นบ้ำน หรือเป็นป่ำก็ตำม, พระอรหันต์ทงหลำยย่อมอยู่ในที่ใด, ที่นั้นน่ำรื่นรมย์ ั้
  • 127. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 125 แท้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำ นี้ว่ำ :- " พระอรหันต์ทั้งหลำย อยู่ในที่ใด เป็นบ้ำนก็ตำม เป็นป่ำก็ตำม ที่ลุ่มก็ตำม ที่ดอนก็ตำม, ที่นั้น เป็นภูมิสถำนน่ำรื่นรมย์. " [ แก้อรรถ ] ในพระคำถำนั้น มีควำมว่ำ " พระอรหันต์ทั้งหลำย ย่อมไม่ได้ กำยวิเวกภำยในบ้ำนก็จริง, ถึงดังนั้น ย่อมได้จตวิเวกอย่ำงแน่นอน, ิ เพรำะอำรมณ์ทั้งหลำยแม้เปรียบดังของทิพย์ ย่อมไม่อำจทำำจิตของ พระอรหันต์เหล่ำนั้นให้หวั่นไหวได้, เพรำะเหตุนั้น จะเป็นบ้ำนหรือ จะเป็นที่ใดที่หนึ่งมีป่ำเป็นต้น, พระอรหันต์ทงหลำยย่อมอยู่ในที่ใด. ั้ บำทพระคำถำว่ำ ต ภูมิรำมเณยฺยก ควำมว่ำ ภูมิประเทศนั้น เป็น ที่น่ำรื่นรมย์แท้. " ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มี โสดำปัตติผลเป็นต้นแล้ว. [ พวกภิกษุปรำรภถึงควำมเป็นไปของพระสีวลี ] โดยสมัยอื่น ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันว่ำ " ผู้มีอำยุทงหลำย ั้ เพรำะเหตุอะไรหนอแล ท่ำนพระสีวลีเถระ จึงอยู่ในท้องของมำรดำ ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ? เพรำะกรรมอะไร จึงไหม้แล้วในนรก ? เพรำะกรรมอะไร จึงถึงควำมเป็นผู้มีลำภเลิศ และมียศเลิศอย่ำงนั้น ?"
  • 128. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 126 พระศำสดำทรงสดับถ้อยคำำนั้นแล้ว ตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอกล่ำวอะไรกัน ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " กถำชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสบุรพกรรมของท่ำนพระสีวลีเถระนั้น จึงตรัสว่ำ :- [ บุรพกรรมของพระสีวลี ] " ภิกษุทั้งหลำย ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ พระผู้มีพระภำค ทรงพระนำมว่ำวิปัสสี ทรงอุบัติในโลกแล้ว สมัยหนึ่งเสด็จเที่ยวจำริก ไปในชนบท กลับมำสู่นครของพระบิดำ. พระรำชำทรงตระเตรียม อำคันตุกทำน เพื่อภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุข ทรงส่งข่ำว แก่ชำวเมืองว่ำ " ชนทังหลำยจงมำเป็นสหำยในทำนของเรำ. ้ " ชน เหล่ำนั้นทำำอย่ำงนั้นแล้วคิดว่ำ " พวกเรำจักถวำยทำนให้ยงกว่ำทำน ิ่ ที่พระรำชำทรงถวำยแล้ว " ก็ทูลนิมนต์พระศำสดำ ในวันรุ่งขึ้นตก แต่งทำนแล้ว ก็ส่งข่ำวไปทูลแด่พระรำชำ. พระรำชำเสด็จมำทอด พระเนตรเห็นทำนของชนเหล่ำนั้นแล้วทรงดำำริว่ำ " เรำจักถวำยทำน ให้ยิ่งกว่ำทำนนี้ " ในวันรุ่งขึ้นทรงนิมนต์พระศำสดำแล้ว. พระรำชำ ไม่ทรงสำมำรถจะให้ชำวเมืองแพ้ได้เลย. (ถึง) ชำวเมืองก็ไม่ สำมำรถจะให้พระรำชำแพ้ได้. ในครังที่ ๖ ชำวเมืองคิดว่ำ ้ " บัดนี้พวก เรำจักถวำยทำนในวันพรุ่งนี้ โดยประกำรทีใคร ๆ ไม่อำจพูดได้วำ ่ ่ " วัตถุชื่อนี้ไม่มี ในทำนของชนเหล่ำนี้ " ดังนีแล้ว ในวันรุ่งขึ้นจัดแจง ้ ของถวำยเสร็จแล้วตรวจดูวำ ่ " อะไรหนอแล ? ยังไม่มีในทำนนี้ "
  • 129. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 127 ไม่ได้เห็นนำ้ำผึงดิบทรัพย์ ๔ พันแล้ว ส่งไปในประตูแห่งพระนครทั้ง ๔ เพื่อต้องกำร ้ นำ้ำผึงดิบ. ้ ครังนั้น คนบ้ำนนอกคนหนึ่งมำเพื่อจะเยี่ยมนำยบ้ำน เห็น ้ รวงผึงในระหว่ำงทำง ไล่ตัวผึ้งให้หนีไปแล้ว ตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้ง ้ พร้อมทั้งคอนนั่นแลเข้ำไปสู่พระนครด้วยตังใจว่ำ ้ " เรำจักให้แก่นำย บ้ำน " บุรุษผู้ไปเพื่อต้องกำรนำ้ำผึ้งพบคนบ้ำนนอกนั้นแล้ว จึงถำมว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ นำ้ำผึ้งท่ำนขำยไหม ?" คนบ้ำนนอก. ไม่ขำย นำย. บุรุษ. เชิญท่ำนรับเอำกหำปณะนี้แล้ว จงให้ (รวงผึงแก่ฉัน) ้ เถิด. คนบ้ำนนอกนั้นคิดว่ำ" รวงผึงนี้ย่อมไม่ถึงค่ำแม่สักว่ำบำทหนึ่ง; ้ แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหำปณะหนึ่ง, เห็นจะเป็นผู้มีกหำปณะมำก, เรำ ควรขึ้นรำคำ. " ลำำดับนั้น เขำจึงตอบกับบุรุษนั้นว่ำ " ฉันให้ ไม่ได้. " บุรุษ. ถ้ำกระนั้น ท่ำนจงรับเอำทรัพย์ ๒ กหำปณะ. คนบ้ำนนอก. แม้ด้วยทรัพย์ ๒ กหำปณะฉันก็ให้ไม่ได้. เขำขึ้นรำคำด้วยอำกำรอย่ำงนั้น จนถึงบุรุษนั้นกล่ำวว่ำ " ถ้ำ กระนั้น ขอท่ำนจงรับเอำทรัพย์พันกหำปณะนี้ " ดังนี้แล้ว น้อมห่ม ๑. อลฺลมธุ ตำมศัพท์แปลว่ำ นำ้ำผึ้งสด. ได้แก่นำ้ำผึงที่ได้จำกรังใหม่ ๆ ยังไม่ได้ตม ้ ้ หรือเคี่ยว, เพื่อให้ควำมเข้ำกันกับนำ้ำผึงสุก ศัพท์นี้จึงควรแปลว่ำ นำ้ำผึงดิบ. ้ ้
  • 130. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 128 ภัณฑะเข้ำไป. ทีนั้นคนบ้ำนนอกกล่ำวกะบุรุษนั้นว่ำ " ท่ำนบ้ำหรือหนอ แล ? หรือไม่ได้โอกำสเป็นที่เก็บกหำปณะ ; นำ้ำผึงไม่ถึงค่ำแม้บำทหนึ่ง ้ ท่ำนยังกล่ำวว่ำ ' ท่ำนรับเอำกหำปณะพันหนึ่งแล้ว จงให้ (รวงผึ้งแก่ ฉัน), ชื่อว่ำเหตุอะไรกันนี่ ?" บรุษ. ผูเจริญ ข้ำพเจ้ำรู้, ก็กรรมของข้ำพเจ้ำด้วยนำ้ำผึงนี้มี ้ ้ อยู่, เพรำะเหตุนั้น ข้ำพเจ้ำจึงพูดอย่ำงนั้น. คนบ้ำนนอก. กรรมอะไร ? นำย. บุรุษ. พวกข้ำพเจ้ำตระเตรียมมหำทำน เพื่อพระวิปัสสีสัมมำ- สัมพุทธเจ้ำ ผูมีสมณะ ๖ ล้ำน ๘ แสนเป็นบริวำร, ้ ในมหำทำนนั้น ยังไม่มีนำ้ำผึ้งดิบอย่ำงเดียวเท่ำนั้น, เพรำะฉะนั้น ข้ำพเจ้ำจึงขอซื้อ (รวงผึ้ง) ด้วยอำกำรอย่ำงนั้น. คนบ้ำนนอก. เมื่อเป็นอย่ำงนั้น ข้ำพเจ้ำจักไม่ให้ด้วยรำคำ, ถ้ำแม้ข้ำพเจ้ำได้ส่วนบุญในทำนบ้ำงไซร้, ข้พเจ้ำจักให้. บุรุษนั้นไปบอกเนื้อควำมนั้นแก่ชำวเมืองแล้ว. ชำวเมืองทรำบ ควำมที่ศรัทธำของเขำมีกำำลัง จึงรับสังว่ำ ่ " สำธุ ขอเขำจงเป็นผู้ได้ส่วน บุญ. พวกชำวเมืองนั้นนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุขให้ นั่งแล้ว ถวำยข้ำวต้มและของเคี้ยว ให้คนนำำถำดทองคำำอย่ำงใหญ่มำ ให้บีบรวงผึงแล้ว. แม้กระบอกนมส้ม อันมนุษย์นั้นแลนำำมำเพื่อต้อง ้ กำรเป็นของกำำนัลมีอยู่. เขำเทนมส้มแม้นั้นลงในถำดแล้วเคล้ำกับ นำ้ำผึงนั้น ได้ถวำยแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ำเป็นประมุขจำำเดิมแต่ ้ ต้น. นำ้ำผึงนั้นทั่วถึงแก่ภิกษุทุกรูป ผู้รับเอำจนพอควำมต้องกำร. ้
  • 131. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 129 ได้เหลือเกินไปด้วยซำ้ำ. ใคร ๆ ไม่ควรคิดว่ำ " นำ้ำผึงน้อยอย่ำงนั้น ้ ถึงแก่ภิกษุมำกอย่ำงนั้นได้อย่ำงไร ?" จริงอยู่ นำ้ำผึงนั้น ถึงได้ด้วย ้ อำนุภำพแห่งพระพุทธเจ้ำ. พุทธวิสัยใคร ๆ ไม่ควรคิด. จริงอยู่ เหตุ๔ อย่ำง อันพระผู้มี พระภำคตรัสว่ำ " เป็นเรื่องทีไม่ควรคิด. ่ " ใคร ๆ เมื่อไปคิดเหตุเหล่ำนั้นเข้ำ ย่อมเป็นผูมีส่วนแห่งคนบ้ำทีเดียว ด้วย ้ ประกำรฉะนี้. บุรุษนั้นทำำกรรมประมำณเท่ำนั้นแล้ว ในกำลเป็นที่สิ้นสุด แห่งอำยุ บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกำลประมำณเท่ำนั้น ในสมัยหนึ่งจุติจำกเทวโลกแล้ว บังเกิดในรำชตระกูลในกรุงพำรำณสี โดยกำลที่พระชนกสวรรคต ถึงควำมเป็นพระรำชำแล้ว. ท้ำวเธอ ทรงดำำริว่ำ " จักยึดเอำพระนครหนึ่ง " (นครนั้นไว้), จึงเสด็จไปล้อม และทรงสำส์นไปแก่ชำวเมืองว่ำ " จงให้รำชสมบัติหรือกำรยุทธ์ " ชำวเมืองเหล่ำนั้นตอบว่ำ " จักไม่ให้รำชสมบัตินั่นแหละ, จักไม่ให้ กำรยุทธ์ " ดังนี้แล้ว ก็ออกไปนำำฟืนและนำ้ำเป็นต้นมำทำงประตูเล็ก ๆ, ทำำกิจทุกอย่ำง. ฝ่ำยพระรำชำนอกนี้รักษำประตูใหญ่ ๔ ประตู ล้อมพระนครไว้ สิ้น ๗ ปี ยิงด้วย ๗ เดือน ๗ วัน. ่ ในกำลต่อมำ พระชนนีของพระ รำชำนั้นตรัสถำมว่ำ " ? " ทรงสดับเรื่องนั้นว่ำ บุตรของเรำทำำอะไร " ทรงทำำกรรมชื่อนี้ พระเจ้ำข้ำ " ตรัสว่ำ " บุตรของเรำโง่, พวก เธอจงไป จงทูลแก่บตรของเรำนั้นว่ำ ' จงปิดประตูเล็ก ๆ ล้อม ุ ๑. อจินไตย ๔ อย่ำง คือ พุทธวิสัย ฌำนวิสัย กรรมวิสัย โลกจินตะ.
  • 132. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 130 พระนคร. " ท้ำวเธอทรงสดับคำำสอนของพระชนนีแล้ว ก็ได้ทรงทำำ อย่ำงนั้น. ฝ่ำยชำวเมืองเมื่อไม่ได้เพื่อออกไปภำยนอก ในวันที่ ๗ จึงปลง พระชนม์พระรำชำของตนเสีย ได้ถวำยรำชสมบัตแด่พระรำชำนั้น. ท้ำว ิ เธอทรงทำำกรรมนี้แล้ว ในกำลเป็นที่สิ้นสุดแห่งอำยุบังเกิดในอเวจี, ไหม้ แล้วในนรกตรำบเท่ำมหำปฐพีนี้หนำขึ้นได้ประมำณโยชน์หนึ่ง, จุติจำก อัตภำพนั้นแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องมำรดำนั้นนั่นแหละอยู่ภำยใน ท้องสิ้น ๗ ปียิ่งด้วย ๗ เดือน นอนขวำงอยู่ที่ปำกกำำเนิดสิ้น ๗ วัน เพรำะควำมที่ตนปิดประตูเล็ก ๆ ทั้ง ๔. ภิกษุทั้งหลำย สีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกำลประมำณเท่ำนั้น เพรำะกรรมที่เธอล้อมพระนครแล้วยึดเอำในกำลนั้น ถือปฏิสนธิใน ท้องของมำรดำนั้นนั่นแหละ อยูในท้องสิ้นกำลประมำณเท่ำนั้น เพรำะ ่ ควำมที่เธอปิดประตูเล็ก ๆ ทัง ๔, ้ เป็นผู้ถึงควำมเป็นผูมีลำภเลิศมี ้ ยศเลิศ เพรำะควำมที่เธอถวำยนำ้ำผึ้งใหม่ ด้วยประกำรอย่ำงนี้. [ พวกภิกษุชมเชยบุญของเรวตะ ] ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันว่ำ " แม้สำมเณร ผู้เดียวทำำเรือนยอด ๕๐๐ หลัง เพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูป มีลำภ, มีบุญ, น่ำชมจริง. " พระศำสดำเสด็จมำตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมด้วยถ้อยคำำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น กรำบทูลว่ำ " ด้วยถ้อยคำำชื่อนี้, " ตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บุตร ของเรำไม่มีบุญ, ไม่มีบำป; (เพรำะ) บุญและบำปทั้ง ๒ เธอละเสีย
  • 133. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 131 แล้ว " ได้ตรัสพระคำถำนี้ ในพรำหมณวรรค ว่ำ :- " บุคคลใดในโลกนี้ ล่วงเครื่องข้อง ๒ อย่ำง คือบุญและบำป, เรำเรียกบุคคลนั้น ผูไม่ ้ โศก ปรำศจำกกิเลสเพียงดังธุลี ผูหมดจด ้ ว่ำ เป็นพรำหมณ์. " เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ จบ.
  • 134. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 132 ๑๐. เรื่องหญิงคนใดคนหนึ่ง [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภหญิงคนใด คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " รมณียำนิ " เป็นต้น. [ หญิงนครโสภินียั่วจิตพระเถระให้หลง ] ดังได้สดับมำ ภิกษุผู้ถือบิณฑบำตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เรียน กัมมัฏฐำนในสำำนักของพระศำสดำแล้ว เข้ำไปสู่สวนร้ำงสวนหนึ่ง ทำำสมณธรรมอยู่. ครังนั้นหญิงนครโสภินีคนหนึ่ง ทำำกำรนัด ้ แนะกับบุรุษว่ำ " ฉันจักไปสู่ที่ชื่อโน้น, เธอพึงมำในที่นั้น " ได้ไป แล้ว. บรุษนั้นไม่มำแล้ว. นำงแลดูทำงมำของบุรุษนั้นอยู่ไม่เห็น เขำ กระสันขึ้นแล้ว จึงเที่ยวไปข้ำงโน้นข้ำงนี้ เข้ำไปสู่สวนนั้นพบ พระเถระนั่งคู้บัลลังก์ แลไปข้ำงโน้นข้ำงนี้ไม่เห็นใคร ๆ อื่น คิด ว่ำ " ผู้นี้เป็นชำยเหมือนกัน, เรำจักยังจิตของผู้นี้ให้ลุ่มหลง " ยืนอยู่ ข้ำงหน้ำของพระเถระนั้น เปลื้องผ้ำนุ่งแล้ว (กลับ) นุ่งบ่อย ๆ, สยำยผมแล้วเกล้ำ, ปรบมือแล้วหัวเรำะ. ควำมสังเวชเกิดขึ้นแก่พระเถระ แผ่สร้ำนไปทั่วสรีระ. ท่ำนคิด ว่ำ " นี้เป็นอย่ำงไรหนอแล ?" [ พระศำสดำทรงแสดงธรรมแก่พระเถระ ] ฝ่ำยพระศำสดำทรงใคร่ครวญว่ำ " ควำมเป็นไปของภิกษุผู้เรียน กัมมัฏฐำนจำกสำำนักของเรำไปแล้วด้วยตั้งใจว่ำ ' จักทำำสมณธรรม ' เป็นอย่ำงไรหนอแล ?" ทรงเห็นหญิงนั้นแล้ว ทรงทรำบกิริยำอนำจำร * พระมหำอู ป.ธ. ๗ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 135. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 133 ของหญิงนั้น และควำมเกิดขึ้นแห่งควำมสังเวชของพระเถระ ประทับ นั่งในพระคันธกุฎีนั่นแหละ ตรัสกับพระเถระนั้นว่ำ " ภิกษุ ที่ ๆ ไม่ รื่นรมย์ของพวกคนผู้แสวงหำกำมนั่นแหละ เป็นที่รื่นรมย์ของผู้มีรำคะ ปรำศจำกแล้วทั้งหลำย. " ก็แลครั้นตรัสอย่ำงนั้นแล้ว ทรงแผ่พระ- โอภำสไป เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุนั้น ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ป่ำทังหลำย เป็นที่น่ำรื่นรมย์, ้ ท่ำนผู้มีรำคะ ไปปรำศแล้วทั้งหลำย จักยินดีในป่ำอันไม่เป็น ทียินดีของชน, ่ (เพรำะ) ท่ำนผู้มีรำคะไปปรำศ แล้วเหล่ำนั้น เป็นผูมีปกติไม่แสวงหำกำม. ้ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อรญฺญำนิ ควำมว่ำ ธรรมดำป่ำ ทั้งหลำย อันประดับด้วยไพรสณฑ์มีต้นไม้รุ่น ๆ มีดอกบำนแล้ว สมบูรณ์ด้วยนำ้ำใสสะอำด เป็นที่น่ำรื่นรมย์. บทว่ำ ยตฺถ เป็นต้น ควำมว่ำ ชนผูแสวงหำกำม ย่อมไม่ยินดีในป่ำทังหลำยใด เหมือน ้ ้ แมลงวันบ้ำน ไม่ยินดีในป่ำบัวหลวง ซึงมีดอกอันแย้มแล้วฉะนั้น. ่ บทว่ำ วีตรำคำ เป็นต้น ควำมว่ำ ก็ท่ำนผู้มีรำคะไปปรำศ แล้วทั้งหลำย คือพระขีณำสพ จักยินดีในป่ำทังหลำยเห็นปำนนั้น ้ เหมือนแมลงภู่และแมลงผึ้ง ยินดีในป่ำบัวหลวง ฉะนั้น. ถำมว่ำ " เพรำะเหตุไร ? " แก้วำ ่ " เพรำะท่ำนผู้มีรำคะไปปรำศแล้วเหล่ำนั้น เป็นผู้มี ปกติไม่แสวงหำกำม. " อธิบำยว่ำ เพรำะท่ำนเหล่ำนั้นย่อมไม่เป็น
  • 136. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 134 ผู้มีปกติแสวงหำกำม (จึงยินดีในป่ำทั้งหลำย). ในกำลจบเทศนำ พระเถระนั้นนั่งแล้วตำมปกตินั่นแล บรรลุ พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย มำโดยอำกำศ ทำำควำม ้ ชมเชย ถวำยบังคมพระบำททั้ง ๒ ของพระตถำคต ได้ไปแล้ว ดังนีแล. ้ เรื่องหญิงคนใดคนหนึ่ง จบ. อรหันตวรรค วรรณนำ จบ. วรรคที่ ๗ จบ.
  • 137. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 135 ๘. สหัสสวรรค วรรณนำ ๑. เรื่องบุรุษผู้ฆำโจรมีเครำแดง ่ [ ข้อควำมเบื้อง ต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภภิกษุผู้ฆ่ำ โจรมีเครำแดง ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " สหสฺสมปิ เจ วำจำ " เป็นต้น. [ เพ็ชฌฆำตเครำแดง ] ดังได้สดับมำ โจร ๔๙๙ คน ทำำกรรมมีกำรปล้นชำวบ้ำนเป็นต้น สำำเร็จควำมเป็นอยู่แล้ว. ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งมีตำเหลือกเหลือง มี เครำแดง ไปยังสำำนักของโจรเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ " แม้เรำจักเป็นอยู่ กับพวกท่ำน. " ทีนั้นพวกโจรแสดงบุรุษนั้นแก่หัวหน้ำโจร แล้วกล่ำว ว่ำ " ชำยแม้นี้ ปรำรถนำจะอยู่ในสำำนักของพวกเรำ. " ครั้งนั้น หัวหน้ำโจรแลดูบุรุษนั้นแล้วคิดว่ำ " บุรุษผู้นี้ กักขฬะนัก สำมำรถ ในกำรที่จะตัดนมของแม่ หรือนำำเลือดในลำำคอของพ่อออกแล้ว กิน ได้ " จึงห้ำมว่ำ " กิจคือกำรอยู่ ในสำำนักของพวกเรำสำำหรับบุรุษนี้ ไม่มี. " บุรุษนั้นแม้ถูกหัวหน้ำโจรห้ำมแล้วอย่ำงนั้นก็ไม่ไป บำำรุงศิษย์ คนหนึ่งของหัวหน้ำโจรนั้นนั่นแลให้พอใจแล้ว. โจรนั้นพำบุรุษนั้น เข้ำไปหำหัวหน้ำโจรแล้ว อ้อนวอนว่ำ " นำย ผู้นี้เป็นคนดี มีอุปกำระ * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 138. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 136 แก่พวกเรำ, ขอท่ำนจงสงเครำะห์เขำเถิด " ให้หัวหน้ำโจร รับไว้แล้ว. ภำยหลังวันหนึ่ง พวกชำวเมืองร่วมกันกับพวกรำช- บุรุษจับโจรเหล่ำนั้นได้ จึงได้นำำไปสู่สำำนักของพวกอมำตย์ผู้วินิจฉัย ทั้งหลำย. พวกอมำตย์สงบังคับกำรตัดศีรษะของโจรเหล่ำนั้นด้วย ั่ ขวำน. ลำำดับนั้น พวกชำวเมืองปรึกษำกันว่ำ " ใครหนอแล ? จักฆ่ำโจรเหล่ำนี้ " แสวงหำอยู่ ไม่เห็นใคร ๆ ผู้ปรำรถนำเพื่อ จะฆ่ำโจรเหล่ำนั้น จึงพูดกะหัวหน้ำโจรว่ำ " ท่ำนฆ่ำโจรเหล่ำนี้แล้ว จักได้ทั้งชีวิต ทั้งควำมนับถือทีเดียว, ท่ำนจงฆ่ำโจรเหล่ำนั้น. " แม้ หัวหน้ำโจรนั้น ก็ไม่ปรำรถนำจะฆ่ำ เพรำะควำมที่พวกโจรนั้น อำศัยตนอยูแล้ว. ่ พวกชำวเมืองถำมโจร ๔๙๙ คนโดยอุบำยนั้น. แม้โจรทังหมดก็ไม่ปรำรถนำแล้ว. ้ พวกชำวเมือง ถำมนำยตัมพ- ทำฐิกะ (เครำแดง) ผูมีตำเหลือกเหลืองนั้น ภำยหลังโจรทั้งหมด. ้ นำยตัมพทำฐิกะนั้นรับคำำว่ำ " ดีละ " แล้ว ฆ่ำโจรทั้งหมดนั้น ได้ทง ั้ ชีวิตทังควำมนับถือแล้ว. ้ [ เพ็ชฌฆำตออกจำกตำำแหน่งเวลำแก่ ] พวกชำวเมืองนำำโจร ๕๐๐ คนมำแม้แต่ทิศทักษิณแห่งเมืองแล้ว แสดงแก่พวกอมำตย์โดยอุบำยนั้น, เมื่อพวกอมำตย์นั้นสั่งบังคับ ให้ตัดศีรษะโจรเหล่ำนั้น, จึงถำมตังแต่หัวหน้ำโจรเป็นต้นไป ไม่ ้ เห็นใครผู้ปรำรถนำจะฆ่ำ จึงถำมว่ำ " ในวันก่อน บุรุษหนึ่งฆ่ำ โจร ๕๐๐ คนแล้ว. บุรุษนั่นอยู่ที่ไหนหนอแล ?" เมื่อชนทั้งหลำย ตอบว่ำ " พวกข้ำพเจ้ำเห็นเขำแล้วในที่ชื่อโน้น " จึงเรียกเขำมำ
  • 139. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 137 แล้วสั่งบังคับว่ำ " ท่ำนจงฆ่ำโจรเหล่ำนี้, ท่ำนจะได้ควำมนับถือ. " นำยตัมพทำฐิกะนั้นรับว่ำ " ดีละ " แล้วฆ่ำโจรเหล่ำนั้น ได้ควำม นับถือแล้ว. ครังนั้นชำวเมืองเหล่ำนั้นปรึกษำกันว่ำ ้ " บุรุษคนนี้ดี, พวกเรำ จักทำำเขำให้เป็นคนฆ่ำโจรประจำำทีเดียว " ดังนีแล้วจึงให้ตำำแหน่ง ้ นั้นแก่เขำ กระทำำควำมนับถือแล้ว. นำยตัมพทำฐิกะนั้นฆ่ำโจร (ครำวละ) ๕๐๐ ๆ ซึ่งเขำนำำมำ แต่ทิศปัศจิมบ้ำง ทิศอุดรบ้ำง. เขำฆ่ำโจร (สิ้น) ๒ พันคน ซึ่งนำำ มำแต่ทิศทัง ๔ ด้วยอุบำยอย่ำงนั้น จำำเดิมแต่นั้น เมื่อฆ่ำมนุษย์ที่เขำ ้ นำำมำ ๆ คือ " คนหนึ่งสองคน " ทุกวัน ๆ ได้กระทำำโจรฆำตก- กรรมสิ้น ๕๕ ปี. ในเวลำเป็นคนแก่ เขำไม่อำจจะตัดศีรษะด้วยกำรฟัน ทีเดียวได้, ต้องฟัน ๒-๓ ที ทำำให้มนุษย์ทั้งหลำยลำำบำก. พวกชำว เมืองคิดกันว่ำ" คนฆ่ำโจรแม้อื่นจักเกิดขึ้น, ผู้นี้ทำำมนุษย์ทั้งหลำยให้ ลำำบำกเหลือเกิน, จะต้องกำรอะไรด้วยผู้นี้ " จึงถอนตำำแหน่งนั้น ของเขำเสีย. นำยตัมพทำฐิกะนั้น กระทำำโจรฆำตกรรมอยูในกำลก่อน จึง ่ ไม่ได้กิจ ๔ อย่ำงนี้ คือ " กำรนุ่งผ้ำใหม่ กำรดื่มยำคูเจือนำ้ำนมที่ปรุงด้วย เนยใสใหม่ กำรประดับดอกมะลิ กำรทำด้วยของหอม. " ในวันที่ถูก ออกจำกตำำแหน่ง เขำกล่ำวว่ำ " ท่ำนทั้งหลำย จงต้มยำคูเจือนำ้ำนมแก่ เรำ " แล้ว ให้คนถือผ้ำใหม่ระเบียบดอกมะลิและเครื่องทำ ไปยังแม่นำ้ำ อำบแล้ว นุงผ้ำใหม่ ประดับดอกไม้ มีตัวทำด้วยของหอมมำสู่ ่
  • 140. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 138 เรือนนั่งแล้ว. ทีนั้นชนทั้งหลำยวำงยำคูเจือนำ้ำนมทีปรุงด้วยเนยใสใหม่ ่ ข้ำงหน้ำเขำแล้ว นำำนำ้ำสำำหรับล้ำงมือมำ. [ นำยตัมพทำฐิกะกระทำำบุญแก่พระสำรีบตร ุ ] ในขณะนั้น พระสำรีบุตรเถระออกจำกสมำบัติ พิจำรณำ ทำงเที่ยวภิกษำของตนว่ำ " ? " เห็น วันนี้ เรำควรไปที่ไหนหนอแล ยำคูเจือนำ้ำนมในเรือนของนำยตัมพทำฐิกะนั้น จึงใคร่ครวญว่ำ " บุรุษ นั้น จักทำำกำรสงเครำะห์เรำหรือหนอแล ? " รู้ว่ำ " เขำเห็นเรำแล้ว จักทำำกำรสงเครำะห์แก่เรำ, ก็แล กุลบุตรนี้ ครั้นกระทำำแล้ว จักได้ สมบัติใหญ่ " จึงห่มจีวร ถือบำตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของ นำยตัมพทำฐิกะนั้นนั่นแล. นำยตัมพทำฐิกะนั้น พอแลเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิด ว่ำ " เรำกระทำำโจรฆำตกรรมมำนำน, เรำฆ่ำมนุษย์เสียเป็นอันมำก; บัดนี้ ในเรือนของเรำตกแต่งยำคูเจือนำ้ำนมไว้, แลพระเถระก็มำ ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรำ; เรำถวำยไทยธรรม แก่พระผู้เป็นเจ้ำเสีย ในเวลำนี้ก็ควร " ดังนี้แล้ว จึงนำำยำคูที่วำงไว้ขำงหน้ำออกไปแล้ว ้ เข้ำไปหำพระเถระ ไหว้แล้วนิมนต์ให้นั่งภำยในเรือน เกลี่ยยำคู เจือนำ้ำนมลงในบำตร รำดเนยใสใหม่แล้ว ได้ยืนพัดพระเถระอยู่. ทีนั้น อัธยำศัยเพื่อดื่มยำคูเจือนำ้ำนมได้มีกำำลัง เพรำะเขำไม่เคยได้ แล้วสิ้นเวลำนำน. พระเถระรู้อัธยำศัยของนำยตัมพทำฐิกะนั้น จึงพูด กะเขำว่ำ " อุบำสก ท่ำนจงดื่มยำคูของตนเถิด. " เขำให้พัดในมือ แก่ผู้อื่นแล้วดื่มยำคูเอง. พระเถระพูดกะบุรุษผู้พัดว่ำ " ท่ำนจงไป
  • 141. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 139 จงพัดอุบำสกเถิด. " เขำอันบุรุษนั้นพัดอยู่ ดืมยำคูเต็มท้องแล้วมำ ่ ยืนพัดพระเถระ ได้รับบำตรของพระเถระ ผูกระทำำภัตกิจให้เสร็จแล้ว. ้ พระเถระเริ่มอนุโมทนำแก่เขำแล้ว. เขำไม่อำจกระทำำจิตของตน ให้ไปตำมธรรมเทศนำของพระเถระได้. พระเถระสังเกตได้จงถำมว่ำ ึ " อุบำสก เหตุไร ท่ำนจึงไม่อำจทำำจิตให้ไปตำมเทศนำได้ ?" ตัมพทำฐิกะ. " ท่ำนผู้เจริญ ข้ำพเจ้ำทำำกรรมหยำบช้ำมำสิ้น กำลนำน, มนุษย์เป็นอันมำกถูกข้ำพเจ้ำฆ่ำตำย, ข้ำพเจ้ำมัวระลึก ถึงกรรมของตนนั้นอยู่ จึงไม่อำจทำำจิตให้ไปตำมเทศนำ ของพระ ผู้เป็นเจ้ำได้. พระเถระคิดว่ำ " เรำจักลวงบุรุษนั้น " จึงพูดว่ำ " ก็ท่ำน ได้กระทำำตำมชอบใจตน, หรือถูกคนอื่นให้กระทำำเล่ำ ?" ตัมพทำฐิกะ. " ท่ำนผู้เจริญ พระรำชำให้ข้ำพเจ้ำทำำ " พระเถระ. " อุบำสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่ำนอย่ำงไร หนอ ?" [ นำยตัมพทำฐิกะตำยไปเกิดในดุสิตบุรี ] อุบำสกเป็นคนธำตุทึบ ถูกพระเถระกล่ำวอย่ำงนั้นมีควำมสำำคัญ ว่ำ " อกุศลไม่มีแก่เรำ " จึงกล่ำวว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ ถ้ำกระนั้น ขอท่ำน จงกล่ำวธรรมเถิด. " อุบำสกนั้น เมื่อพระเถระทำำอนุโมทนำอยู่, มีจต ิ มีอำรมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลม (แก่อริย- สัจ) ภำยในแห่งโสดำปัตติมรรค ให้บังเกิดแล้ว. แม้พระเถระ กระทำำ อนุโมทนำแล้วก็หลีกไป.
  • 142. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 140 นำงยักษิณีตนหนึ่งมำแล้วด้วยเพศแห่งแม่โคนม ขวิดที่อก อุบำสกผูตำมส่งพระเถระหน่อยหนึ่งแล้วกลับอยู่ให้ตำยแล้ว. ้ อุบำสก นั้นกระทำำกำละแล้วก็บังเกิดในดุสตบุรี. ิ [ กัลยำณมิตรเป็นเหตุให้เกิดในดุสิต ] ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " บุรุษฆ่ำโจร กระทำำ กรรมหยำบช้ำสิ้น ๕๕ ปี พ้นจำกกรรมนั้นในวันนี้แล ถวำยภิกษำแก่ พระเถระก็ในวันนี้เหมือนกัน กระทำำกำละก็ในวันนี้นั่นแล, เขำบังเกิด ในที่ไหนหนอแล ?" พระศำสดำ เสด็จมำแล้วตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนำกันด้วยถ้อยคำำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น กรำบทูลว่ำ " ด้วยถ้อยคำำชื่อนี้ " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บุรุษนั้น บังเกิดในดุสิตบุรี. " ภิกษุทั้งหลำยทูลถำมว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระองค์ ตรัสอะไร ? บุรุษนั้นฆ่ำมนุษย์เท่ำนี้สิ้นเวลำเท่ำนี้ แล้วบังเกิดใน วิมำนดุสต. " ิ พระศำสดำตรัสว่ำ " อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย, บุรุษนั้นได้ กัลยำณมิตรผูใหญ่, เขำฟังธรรมเทศนำของสำรีบตร ยังอนุโลม- ้ ุ ญำณให้บังเกิดแล้ว เคลื่อนจำกโลกนี้แล้ว บังเกิดในวิมำนดุสิต " ดังนีแล้ว ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- ้ " บุรุษผู้ฆำโจรในเมือง ฟังคำำเป็นสุภำษิตแล้ว ่ ได้อนุโลมขันติ ไปสู่เทวโลกชั้นไตรทิพย์ ย่อม บันเทิงใจ. "
  • 143. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 141 ภิกษุ. " พระเจ้ำข้ำ ธรรมดำอนุโมทนำกถำมีกำำลัง, บุรุษ นั้นกระทำำอกุศลกรรมไว้มำก, เขำยังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยเหตุเท่ำ นั้นอย่ำงไรได้ ?" พระศำสดำตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย เธอทั้งหลำยจงอย่ำ ถือประมำณแห่งธรรมที่เรำแสดงแล้วว่ำ ' น้อยหรือมำก ' เพรำะว่ำ แม้วำจำคำำเดียวที่อำศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้ " เมื่อจะทรง สืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " หำกวำจำแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็น ประโยชน์ไซร้, บทที่เป็นประโยชน์ บทเดียว ซึงบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่ำ. ่ " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สหสฺสมปิ เป็นคำำสำำหรับกำำหนด. อธิบำยว่ำ " แม้หำกว่ำวำจำที่เขำกำำหนดด้วยตั้งพันอย่ำงนี้ คือ ๑ พัน ๒ พันไซร้, ก็วำจำเหล่ำนั้นไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ คือ ประกอบด้วยบททั้งหลำยทีไม่เป็นประโยชน์ อันประกำศแต่เรื่อง ่ พรรณนำอำกำส พรรณนำภูเขำ และพรรณนำป่ำเป็นต้น ไม่แสดง นิพพำน มีมำกเพียงใด; ก็เป็นวำจำชั่วนั่นแหละ เพียงนั้น. " สองบทว่ำ เอก อตฺถปท ควำมว่ำ ส่วนบุคคลฟังบทใด ที่ เป็นประโยชน์แม้บทเดียวเห็นปำนนี้ว่ำ " นี้กำย, นี้สติไปในกำย, วิชำ ๓ เรำตำมบรรลุแล้ว, คำำสอนของพระพุทธเจ้ำทั้งหลำย เรำกระทำำ แล้ว. " ย่อมสงบระงับ ด้วยกำรสงบระงับ กิเลสมีรำคะเป็นต้นได้,
  • 144. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 142 บทนั้น สำำเร็จประโยชน์ ประกอบด้วยนิพพำน คือแสดงขันธ์ ธำตุ อำยตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสติปัฏฐำน แม้บทเดียว ยัง ประเสริฐกว่ำโดยแท้. ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องบุรุษผู้ฆำโจรมีเครำแดง จบ. ่
  • 145. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 143 ๒. เรื่องพระทำรุจีรยเถระ ิ [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ ทำรุจีรยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ ิ " สหสฺสมปิ เจ คำถำ " เป็นต้น. [ ทำรุจีริยะสำำคัญว่ำตนเป็นอรหันต์ ] ควำมพิสดำรว่ำ ในกำลครังหนึ่ง มนุษย์เป็นอันมำกแล่นเรือไป ้ สู่มหำสมุทร เมื่อเรืออัปปำงในภำยในมหำสมุทร ได้เป็นภักษำของเต่ำ และปลำแล้ว. บรรดำมนุษย์เหล่ำนั้น บุรุษคนหนึ่งแลจับกระดำนไว้ได้ แผ่นหนึ่ง พยำยำมกระเสือกไป สู่ฝงแห่งท่ำเรือชื่อสุปปำรกะ. ผ้ำนุ่งห่ม ั่ ของเขำไม่มี. บุรุษนั้นไม่เห็นอะไรอื่น จึงเอำปอพันท่อนไม้แห้งทำำเป็น ผ้ำนุ่งห่ม ถือกระเบื้องจำกเทวสถำน ได้ไปสู่ทำเรือสุปปำรกะ. ่ มนุษย์ ทั้งหลำยเห็นเขำแล้วให้ยำคูและภัตรเป็นต้นแล้วยกย่องว่ำ " ผู้นี้เป็น พระอรหันต์องค์หนึ่ง. " บุรุษนั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลำยนำำผ้ำเข้ำไปให้ คิดว่ำ " ถ้ำเรำจักนุ่งหรือจักห่ม, ลำภสักกำระของเรำจักเสื่อม " จึง ห้ำมผ้ำที่เขำนำำมำเสีย นุ่งห่มแต่เปลือกไม้เท่ำนั้น. ครังนั้น เมื่อเขำถูกมนุษย์เป็นอันมำกกล่ำวอยู่ว่ำ ้ " เป็นพระ อรหันต์ " " ควำมปริวิตกแห่งใจจึงเกิดขึ้นอย่ำงนี้ว่ำ พระอรหันต์ หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรคเหล่ำใดเหล่ำหนึ่งแลในโลก, บรรดำ *พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 146. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 144 พระอรหันต์เหล่ำนั้น เรำก็เป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง . " ทีนั้น เทวดำผู้เป็นสำโลหิตกันในกำลก่อนแห่งบุรุษนั้น ก็คิดแล้ว อย่ำงนั้น. [ ประวัติเดิมของทำรุจีรยะ ิ ] ข้อว่ำ ผู้เป็นสำโลหิตกันในกำลก่อน คือผู้กระทำำสมณธรรม ร่วมกันในครั้งก่อน. ได้ยินว่ำ ในกำลก่อนเมื่อศำสนำของพระทศพล พระนำมว่ำกัสสปเสื่อมลงอยู่, ภิกษุ ๗ รูปเห็นประกำรอันแปลกแห่ง บรรพชิตทั้งหลำยมีสำมเณรเป็นต้นแล้ว ถึงควำมสลดใจคิดว่ำ " ควำม อันตรธำนแห่งพระศำสนำยังไม่มีเพียงใด; พวกเรำจักกระทำำที่พึ่งแก่ตน เพียงนั้น " ไหว้พระเจดีย์ทองคำำแล้ว เข้ำไปสู่ เห็นภูเขำลูกหนึ่ง จึงกล่ำวว่ำ " ผูมีอำลัยในชีวิตจงกลับไป, ผูไม่มีอำลัยจงขึ้นภูเขำลูกนี้ ้ ้ " พำดบันไดแล้ว แม้ทั้งหมดขึ้นสู่ภูเขำลูกนั้น ผลักบันไดแล้วกระทำำสมณ- ธรรม. บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไป รำตรีเดียวเท่ำนั้น. พระเถระนั้นเคี้ยวไม้ชำำระฟันชื่อนำคลดำในสระ อโนดำด นำำบิณฑบำตมำแต่อุตตรกุรุทวีป แล้วกล่ำวกะภิกษุเหล่ำนั้น ว่ำ " ผู้มีอำยุทงหลำย พวกท่ำนเคี้ยวไม้ชำำระฟันนี้ บ้วนปำกแล้ว ั้ จงฉันบิณฑบำตนี้. " ภิกษุ. ท่ำนผู้เจริญ ก็พวกเรำทำำกติกำกันไว้อย่ำงนี้ว่ำ " ภิกษุ ใดบรรลุพระอรหัตก่อน, ภิกษุทั้งหลำยที่เหลือ จักฉันบิณฑบำตที่ภิกษุ นั้นนำำมำ หรือ ?" พระเถระ. ผูมีอำยุ ข้อนั้นไม่มีเลย. ้
  • 147. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 145 ภิกษุทั้งหลำยกล่ำวว่ำ " ถ้ำเช่นนั้น แม้พวกเรำพึงยังคุณวิเศษ ให้บังเกิดเหมือนท่ำน, พวกเรำจักนำำมำบริโภคเอง " ดังนีแล้ว ก็ไม่ ้ ปรำรถนำ. ในวันที่ ๒ พระเถระองค์ที่ ๒ บรรลุอนำคำมิผลแล้ว. แม้ พระเถระนั้นนำำบิณฑบำตมำแล้ว ก็นิมนต์ภิกษุนอกนี้อย่ำงนั้นเหมือน กัน. ภิกษุเหล่ำนั้นกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ ก็พวกเรำทำำกติกำ กันไว้อย่ำงนี้ว่ำ ' พวกเรำจักบริโภคบิณฑบำตที่พระมหำเถระนำำมำ บริโภคบิณฑบำตที่พระอนุรุทธเถระนำำมำ, หรือ ?" พระเถระองค์ที่ ๒. ผูมีอำยุ ข้อนั้นไม่มีเลย. ้ ภิกษุเหล่ำนั้นกล่ำวว่ำ " เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้พวกเรำยังคุณวิเศษ ให้บังเกิดเหมือนท่ำนแล้ว อำจเพื่อบริโภคด้วยควำมเพียรแห่งบุรุษของ ตนได้จึงจักบริโภค " ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรำรถนำ. บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตปรินิพพำนแล้ว, ภิกษุผู้เป็นอนำคำมีบังเกิดในพรหมโลก, ภิกษุ ๕ รูปนอกนี้ไม่อำจยัง คุณวิเศษให้บังเกิดได้ ผ่ำยผอมแล้วกระทำำกำละในวันที่ ๗ บังเกิดใน เทวโลก ในพุทธุปบำทกำลนี้ จุติจำกเทวโลกนั้นแล้ว บังเกิดในเรือน แห่งตระกูลนั้น ๆ. บรรดำคนเหล่ำนั้น คนหนึ่งได้เป็นพระรำชำ พระนำมว่ำ ปุก- กุสำติ, คนหนึ่งได้เป็นพระกุมำรกัสสป, คนหนึ่งได้เป็นพระทำรุจีริยะ, คนหนึ่งได้เป็นพระทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งได้เป็นปริพำชกชื่อสภิยะแล. คำำว่ำเทวดำผู้เป็นสำโลหิตกันในกำลก่อนนี้ ท่ำนกล่ำวหมำยเอำภิกษุ ผู้ที่บงเกิดในพรหมโลกนั้น. ั
  • 148. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 146 [ พรหมบอกควำมจริงแก่ทำรุจีรยะ ิ ] พรหมนั้น ได้มีควำมปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " บุรุษนี้พำดบันไดแล้ว ขึ้นสู่ภูเขำ ทำำสมณธรรมกับเรำ, เดียวนี้เขำถือลัทธินี้เที่ยวไป ๋ พึงฉิบหำย, เรำจักยังเขำให้สลดใจ. " ทีนั้นพรหมนั้นเข้ำไปหำบุรุษนั้น แล้วกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ " พำหิยะท่ำนไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ดอก, ท่ำนยัง ไม่ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเลย: ถึงปฏิปทำของท่ำนเป็นเหตุเป็นพระ อรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุพระอรหัตมรรค ก็ยงไม่มี ั " พำหิยะแลดู มหำพรหมผู้ยืนพูดอยู่ในอำกำศจึงคิดว่ำ " โอ เรำทำำกรรมหนัก, เรำ คิดว่ำ ' เรำเป็นพระอรหันต์, ' ก็มหำพรหมนี้พูดกะเรำว่ำ ' ท่ำนไม่ใช่ พระอรหันต์, ท่ำนยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเลย, ' พระอรหันต์ อื่นมีอยู่ในโลกหรือหนอแล ?" ทีนั้นเขำถำมมหำพรหมนั้นว่ำ " ท่ำน ผู้เป็นเทวดำ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรค มีอยู่ ในโลกหรือหนอแล ?" ครังนั้น เทวดำบอกแก่พำหิยะนั้นว่ำ ้ " พำหิยะ นครชื่อสำวัตถี มีอยูในชนบทแถบอุดร, เดี๋ยวนี้ พระผูมีพระภำคผู้เป็นพระอรหันต- ่ ้ สัมมำสัมพุทธะนั้น ประทับอยูในพระนครนั้น, พำหิยะ ก็พระผู้มีพระ ่ ภำคนั้น เป็นพระอรหันต์ด้วย ทรงแสดงธรรมเพื่อควำมเป็นพระ อรหันต์ด้วย " [ ทำรุจีริยะไปเฝ้ำพระศำสดำ ] พำหิยะฟังคำำของเทวดำในส่วนแห่งรำตรีแล้ว มีใจสลด ในทันใด
  • 149. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 147 นั้นนั่นเอง ออกจำกท่ำเรือสุปปำรกะได้ไปถึงกรุงสำวัตถี ด้วยกำรพัก โดยรำตรีเดียว. เขำได้เดินทำงประมำณ ๑๒๐ โยชน์ ทังหมด ้ โดยกำรพักรำตรีเดียวเท่ำนั้น; ก็แล เมื่อไป ไปแล้วด้วยอำนุภำพของ เทวดำ. อำจำรย์บำงพวกกล่ำวว่ำ " ไปด้วยอำนุภำพของพระพุทธเจ้ำ บ้ำง " ทีเดียว. ก็ในขณะนั้น พระศำสดำเสด็จเข้ำไปสู่กรุงสำวัตถีเพื่อบิณฑบำต. พำหิยะนั้นถำมภิกษุทั้งหลำยผู้ฉันอำหำรเช้ำแล้ว เดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง เพื่อต้องกำรเปลื้องควำมคร้ำนทำงกำยว่ำ " เดี๋ยวนี้ พระศำสดำประทับ ? " ภิกษุทั้งหลำยตอบว่ำ " เสด็จเข้ำไปกรุงสำวัตถีเพื่อ อยู่ที่ไหน บิณฑบำต " แล้วถำมบุรุษนั้นว่ำ " ก็ท่ำนแลมำแต่ที่ไหนเล่ำ ? " ทำรุจีริยะ. ข้ำพเจ้ำมำแต่ทำเรือสุปปำรกะ. ่ ภิกษุ. ท่ำนออกในกำลไร ? ทำรุจีริยะ. ข้ำพเจ้ำออกในเวลำเย็นวำนนี้. ภิกษุ. ท่ำนมำแต่ที่ไกล, จงนังก่อน, ล้ำงเท้ำแล้วทำด้วยนำ้ำมัน ่ แล้ว จงพักเหนื่อยเสียหน่อย, ท่ำนจักเห็นพระศำสดำ ในเวลำที่เสด็จมำ. ทำรุจีริยะ. ท่ำนผู้เจริญ ข้ำพเจ้ำไม่รู้อันตรำยแห่งชีวตของ ิ พระศำสดำหรือของข้ำพเจ้ำ, ข้ำพเจ้ำไม่ได้หยุด ไม่ได้นั่งในที่ไหน เดินทำงมำสิ้น ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่ำนั้น, ข้ำพเจ้ำพอเห็นพระ ศำสดำแล้วจึงจักพักเหนื่อย. พำหิยะนั้น กล่ำวอย่ำงนั้นแล้ว มีทำทีเร่งร้อน ่ ๑. ตรมำนรูโป=มีรูปแห่งบุคคลผูด่วน แปลตรงศัพท์ ไม่ได้ควำมแก่ภำษำ, เพื่อให้ได้ ้ ควำมแก่ภำษำและเหมำะแก่เรื่อง จึงได้แปลอย่ำงนั้น.
  • 150. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 148 สำวัตถี เห็นพระผู้มีพระภำคเสด็จไปเที่ยวบิณฑบำตด้วยพุทธสิริอันหำ ที่เปรียบมิได้ คิดว่ำ " นำนหนอ เรำเห็นพระโคดมสัมมำสัมพุทธะ " ดังนีแล้ว ก็น้อมตัวเดินไปที่ ๆ ตนเห็น ถวำยบังคมด้วยเบญจำงค ้ ประดิษฐ์ในระหว่ำงถนน จับที่ข้อพระบำททัง ๒ แน่น แล้วกรำบทูล ้ อย่ำงนี้ว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ขอพระผู้มีพระภำคจงทรงแสดงธรรมแก่ขำ ้ พระองค์, ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรม อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ สุข แก่ขำพระองค์สิ้นกำลนำนเถิด. ้ " [ ทำรุจีรยะบรรลุพระอรหัตแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ ิ ] ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสห้ำมกะเขำว่ำ " พำหิยะ ไม่ใช่กำล ก่อน, เรำเป็นผู้เข้ำไปสู่ระหว่ำงถนนเพื่อบิณฑบำต. " พำหิยะ ฟัง พระพุทธดำำรัสนั้นแล้วกรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ผูท่องเที่ยวไปใน ้ สงสำร ไม่เคยได้อำหำรคือคำำข้ำวเลยหรือ ? ข้ำพระองค์ไม่รู้อันตรำย แห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้ำพระองค์, ขอพระองค์จงทรงแสดง ธรรมแก่ขำพระองค์เถิด. " แม้ครั้งที่ ๒ พระศำสดำก็ตรัสห้ำมแล้ว ้ เหมือนกัน. ได้ยินว่ำ พระศำสดำนั้นได้ทรงปริวิตกอย่ำงนี้ว่ำ " จำำเดิม แต่กำลที่พำหิยะนี้เห็นเรำแล้ว สรีระทั้งสิ้น (ของเขำ) อันปีติ ท่วมทับไม่มีระหว่ำง, ผูมีปีตมีกำำลัง แม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อำจแทง ้ ิ ตลอด (ของจริง) ได้, เขำจงตั้งอยู่ ในอุเบกขำคือควำมมัธยัสถ์ก่อน, แม้ควำมกระวนกระวำยของเขำจะมีกำำลัง เพรำะเป็นผู้เดินมำสิ้นทำง ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่ำนั้น, แม้ควำมกระวนกระวำยนั้นจงระงับ
  • 151. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 149 เสียก่อน, " เพรำะฉะนั้น พระศำสดำจึงตรัสห้ำม ๒ ครัง ถูกเขำอ้อน ้ วอนแม้ครั้งที่ ๓ ประทับยืนในระหว่ำงถนนนั่นเอง ทรงแสดงธรรม โดยนัยเป็นต้นว่ำ " พำหิยะ เพรำะเหตุนั้น เธอพึงศึกษำในศำสนำนี้ อย่ำงนี้ว่ำ ' เมื่อรูปเรำได้เห็นแล้ว รูปจักเป็นเพียงเรำเห็น. " พำหิยะ นั้นกำำลังฟังธรรมของพระศำสดำนั่นแล ยังอำสวะทั้งหมดให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ ๔ แล้ว, ก็แลขณะนั้นนั่นเอง เขำทูลขอบรรพชำกะพระผู้มีพระภำค, ถูกตรัสถำมว่ำ " บำตรจีวร ของเธอครบแล้วหรือ ?" ทูลตอบว่ำ " ยังไม่ครบ. " ทีนั้นพระศำสดำ ตรัสกะเขำว่ำ " ถ้ำอย่ำงนั้น เธอจงแสวงหำบำตรจีวร " แล้วก็เสด็จ หลีกไป. ได้ยินว่ำ พำหิยะนั้นกระทำำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี คิดว่ำ " ธรรมดำภิกษุได้ปัจจัยด้วยตนแล้ว ไม่เหลียวแลผู้อื่น บริโภคเอง เท่ำนั้น จึงควร " ดังนีแล้ว ไม่ได้กระทำำกำรสงเครำะห์ด้วยบำตรหรือ ้ จีวร แม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง. เพรำะฉะนั้น พระศำสดำทรงทรำบว่ำ " บำตรและจีวรอันสำำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้น " จึงไม่ได้ประทำน บรรพชำ ด้วยควำมเป็นเอหิภิกขุแก่เขำ. แม้พำหิยะนั้นแสวงหำบำตร จีวรอยู่นั่นแล ยักษิณีตนหนึ่งมำด้วยรูปแม่โคนม ขวิดถูกตรงขำอ่อน ข้ำงซ้ำย ให้ถึงควำมสิ้นชีวิต. พระศำสดำเสด็จเที่ยวบิณฑบำต ทรงกระทำำภัตกิจเสร็จแล้ว เสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุเป็นอันมำก ทรงเห็นสรีระของพำหิยะถูกทิ้ง ในที่กองขยะ จึงทรงบัญชำภิกษุทั้งหลำยว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย เธอ
  • 152. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 150 ทั้งหลำยจงยืนใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ให้นำำเตียงมำแล้ว นำำสรีระนี้ ออกจำกเมือง เผำแล้วทำำสตูปไว้. " ภิกษุทั้งหลำยกระทำำดังนั้นแล้ว; ก็แลครั้นกระทำำแล้วไปยังวิหำรเข้ำเฝ้ำพระศำสดำ ทูลบอกกิจที่ตนกระ ทำำแล้ว ทูลถำมอภิสัมปรำยภพของพำหิยะนั้น. [ ทำรุจีริยะเลิศในทำงขิปปำภิญญำ ] ลำำดับนั้น พระผู้มีพระภำคตรัสบอกควำมที่พำหิยะนั้นปรินิพพำน แล้วแก่ภิกษุเหล่ำนั้น, ทรงตังไว้ในเอตทัคคะพำหิยะ ทำรุจีรยะ ้ ิ (ผู้นุ่งผ้ำเปลือกไม้) เป็นเลิศกว่ำภิกษุ ผู้สำวก ของเรำผู้ตรัสรู้เร็ว. " ลำำดับนั้น ภิกษุทั้งหลำยทูลถำมพระศำสดำว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระองค์ตรัสว่ำ ' พำหิยะ ทำรุจีรยะ บรรลุพระอรหัต, ิ เขำบรรลุพระอรหัตเมื่อไร ?" พระศำสดำ. ในกำลที่เขำฟังธรรมของเรำ ภิกษุทั้งหลำย. ภิกษุ. ก็พระองค์ตรัสธรรมแก่เขำเมื่อไรเล่ำ ? พระศำสดำ. เรำกำำลังเที่ยวบิณฑบำต ยืนในระหว่ำงถนนกล่ำว ธรรมแก่เขำ. ภิกษุ. พระเจ้ำข้ำ ก็ธรรมที่พระองค์ประทับยืนในระหว่ำงถนน ตรัสแล้ว มีประมำณเล็กน้อย, เขำยังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยธรรม มีประมำณเพียงนั้นอย่ำงไร ? ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสกะภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย เธอทั้งหลำยอย่ำนับธรรมของเรำว่ำ ' น้อยหรือมำก,' ด้วยว่ำคำถำ ๑. องฺ. เอก. ๒๐/๓๒.
  • 153. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 151 พันหนึ่งแม้เป็นอเนกที่ไม่อำศัยประโยชน์ ไม่ประเสริฐ, ส่วนบทแห่ง คำถำแม้บทเดียวอำศัยประโยชน์ ประเสริฐกว่ำ " ดังนีแล้ว ้ เมื่อจะ ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " หำกว่ำ คำถำแม้พันหนึ่ง ไม่ประกอบด้วย บทเป็นประโยชน์ [ ไม่ประเสริฐ ]; บทแห่ง คำถำบทเดียว ซึงบุคคลฟังแล้ว สงบระงับได้ ่ ประเสริฐกว่ำ. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ เอก คำถำปท ควำมว่ำ แม้ คำถำ ๆ เดียวเห็นปำนนี้ว่ำ " ควำมไม่ประมำท เป็นทำงอมตะ ฯ ล ฯ เหมือนคนตำยแล้ว " ประเสริฐกว่ำ. บทที่เหลือพึงทรำบตำมนัยก่อน นั่นแล. ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำย มีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระทำรุจีรยเถระ จบ. ิ
  • 154. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 152 ๓. เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภนำงกุณฑล- เกสี ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ คำถำ สต ภำเส " เป็นต้น. [ ธิดำเศรษฐีได้โจรเป็นสำมี ] ดังได้สดับมำ ธิดำเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงรำชคฤห์ มีอำยุ ๑๖ ปียำง มีรูปสวย น่ำดู. ก็นำรีทั้งหลำยผู้ตงอยูในวัยนั้น ย่อมมีควำม ่ ั้ ่ ฝักใฝ่ในบุรุษ โลเลในบุรุษ. ครั้งนั้น มำรดำบิดำ ให้ธิดำนั้น อยู่ในห้องอันมีสิริ บนพื้นชั้นบนแห่งปรำสำท ๗ ชัน. ได้กระทำำทำสี ้ คนเดียวเท่ำนั้น ให้เป็นผูบำำรุงบำำเรอนำง. ้ ครังนั้น พวกรำชบุรุษจับกุลบุตรคนหนึ่ง ผูกระทำำโจรกรรม ้ ้ ได้มดมือไพล่หลัง โบยด้วยหวำบครั้งละ ๔ เส้น ๆ แล้วนำำไปสู่ทสำำหรับ ั ี่ ฆ่ำ. ธิดำเศรษฐีได้ยินเสียงของมหำชน คิดว่ำ " นี่อะไรกันหนอแล ? ยืนแลดูอยู่บนพื้นปรำสำท เห็นโจรนั้นแล้วก็มีจิตปฏิพัทธ์ปรำรถนำอยู่ ห้ำมอำหำรแล้วนอนบนเตียง. ลำำดับนั้น มำรดำถำมนำงว่ำ " แม่ นี้อย่ำงไรกัน ?" ธิดำเศรษฐี. ' ถ้ำดิฉันจักได้บุรุษคนที่เขำถูกจับนำำไปว่ำ เป็น โจร ' นั่นไซร้, ดิฉันจักเป็นอยู่; ถ้ำไม่ได้, ชีวิตดิฉันก็จะไม่มี, ดิฉัน จักตำยในที่นี้นี่แหละ. * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 155. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 153 มำรดำ. แม่ เจ้ำอย่ำกระทำำอย่ำงนี้เลย, เจ้ำจักได้สำมีอื่นซึงเสมอ ่ กันโดยชำติและโภคะของเรำ. ธิดำเศรษฐี. กิจด้วยบุรุษอื่นสำำหรับดิฉันไม่มี, ดิฉันเมื่อไม่ได้ บุรุษคนนี้จักตำย. มำรดำ เมื่อไม่อำจยังธิดำให้ยินยอมได้จึงบอกแก่บิดำ. ถึงบิดำ นั้นก็ยงไม่อำจยังธิดำนั้นให้ยินยอมได้ คิดว่ำ ั " เรำอำจจะกระทำำอย่ำงไร ได้ ?" ส่งห่อภัณฑะพันหนึ่งแก่รำชบุรุษ ผูให้จับโจรนั้นแล้วเดินไป ้ อยู่ ด้วยคำำว่ำ " ท่ำนจงรับภัณฑะนี้ไว้แล้ว ให้บุรุษคนนั้นแก่ฉัน. " รำชบุรุษนั้นรับคำำว่ำ " ดีละ " แล้วรับกหำปณะ ปล่อยโจรนั้นไป ฆ่ำบุรุษอื่นแล้ว กรำบทูลแด่พระรำชำว่ำ " ขอเดชะ ข้ำพระองค์ ฆ่ำโจรแล้ว. " แม้เศรษฐีได้ให้ธิดำแก่โจรนั้นแล้ว. นำงคิดว่ำ " จักยังสำมี ให้ยินดี " จึงตกแต่งด้วยเครื่องประดับทังปวง จัดแจงยำคูเป็นต้น ้ แก่โจรนั้นเองทีเดียว. [ โจรคิดอุบำยพำภรรยำไปฆ่ำ ] โดยกำลล่วงไป ๒ - ๓ วัน โจรคิดว่ำ " ในกำลไรหนอแล ? เรำ จักได้เพื่อฆ่ำหญิงนี้ ถือเอำเครื่องประดับของหญิงนี้ ขำยกินในโรงสุรำ แห่งหนึ่ง. " โจรนั้นคิดว่ำ " อุบำยนี้มีอยู่ " จึงห้ำมอำหำรเสียนอนบน เตียง. ทีนั้น นำงเข้ำไปหำโจรนั้นแล้วถำมว่ำ " นำย อะไรเสียดแทง ท่ำน ?"
  • 156. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 154 โจร. อะไร ๆ ไม่ได้เสียดแทงดอก นำงผู้เจริญ. ธิดำเศรษฐี. ก็มำรดำบิดำของฉัน โกรธท่ำนแลหรือ ? โจร. ไม่โกรธ นำงผู้เจริญ. ธิดำเศรษฐี. เมื่อเป็นเช่นนั้น นี่ชื่ออะไร ? โจร. นำงผู้เจริญ ฉันถูกจับนำำไปวันนั้น บนบำนเทวดำผู้สถิตอยู่ที่ภูเขำทิงโจร ้ ได้ชีวตแล้ว, แม้หล่อนก็ได้ฉันด้วยอำนุภำพ ิ แห่งเทวดำนั้นเหมือนกัน, นำงผู้เจริญ ฉันคิดว่ำ " ฉันตั้งพลีกรรมนั้น ไว้ต่อเทพดำ. " ธิดำเศรษฐี. นำย อย่ำคิดเลย, ดิฉันจักทำำพลีกรรม, ท่ำน จงบอก, ต้องกำรอะไร ? โจร. ต้องกำรข้ำวมธุปำยำสชนิดมีนำ้ำน้อย และดอกไม้มีขำว ้ ตอกเป็นที่ ๕. ธิดำเศรษฐี. ดีละ นำย. ดิฉันจักจัดแจง. ธิดำเศรษฐีนั้นจัดแจงพลีกรรมทุกอย่ำงแล้ว จึงกล่ำวว่ำ " มำ เถิด นำย, เรำไปกัน. " โจร. นำงผู้เจริญ ถ้ำอย่ำงนั้น หล่อนให้พวกญำติของหล่อน กลับเสีย ถือเอำผ้ำและเครื่องประดับที่มีค่ำมำกแล้วจงตกแต่งตัว, เรำ จักหัวเรำะเล่นพลำงเดินไปอย่ำงสบำย. นำงได้กระทำำอย่ำงนั้นแล้ว, ทีนั้น ในเวลำถึงเชิงเขำ โจรนั้น กล่ำวกะนำงว่ำ " นำงผู้เจริญ เบื้องหน้ำแต่นี้ เรำจักไปกัน ๒ คน, ๑. พลิกมฺม ปฏิสฺสุณิตฺวำ รับซึงพลีกรรม คือ กำรบวงสรวง. ่
  • 157. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 155 หล่อนจงให้คนที่เหลือกลับพร้อมกับยำน ยกภำชนะพลีกรรมถือไปเอง. " นำงได้กระทำำอย่ำงนั้น. โจรพำนำงขึ้นสู่ภูเขำทิ้งโจร. ก็มนุษย์ทงหลำยย่อมขึ้นไปโดยข้ำง ๆ หนึ่งแห่งภูเขำนั้น. ข้ำง ๆ ั้ หนึ่งเป็นโกรกชัน, มนุษย์ทั้งหลำยยืนอยู่บนยอดเขำแล้ว ย่อมทิงโจร ้ ทั้งหลำยโดยทำงข้ำงนั้น, โจรเหล่ำนั้นเป็นท่อนเล็กท่อนน้อยตกลงไป ที่พื้น; เพรำะฉะนั้น เขำจึงเรียกว่ำ " เขำทิ้งโจร. " นำงยืนอยู่บนยอด เขำนั้นกล่ำวว่ำ " นำย จงทำำพลีกรรมของท่ำน. " โจรนั้นได้นิ่ง แล้ว. เมื่อนำงกล่ำวอีกว่ำ " นำย เหตุไรท่ำนจึงนิ่งเสียเล่ำ ?" จึงบอก กะนำงว่ำ " ฉันไม่ต้องกำรพลีกรรมดอก, แต่ฉันล่อลวงพำหล่อนมำ. " ธิดำเศรษฐี. เพรำะเหตุไร ? นำย. โจร. เพื่อต้องกำรฆ่ำหล่อนเสีย แล้วถือเอำเครื่องประดับของ หล่อนหนีไป. นำงถูกมรณภัยคุกคำมแล้วกล่ำวว่ำ " นำยจ๋ำ ดิฉันและเครื่อง ประดับของดิฉันก็เป็นของ ๆ ท่ำนทั้งนั้น, เหตุไร ท่ำนจึงพูดอย่ำงนี้ ?. " โจรนั้นแม้ถูกอ้อนวอนบ่อย ๆ ว่ำ " ท่ำนจงอย่ำกระทำำอย่ำงนี้ " ก็กล่ำว ว่ำ " ฉันจะฆ่ำให้ได้. " นำงกล่ำวว่ำ " เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่ำนจะต้อง กำรอะไร ? ด้วยควำมตำยของดิฉัน, ท่ำนถือเอำเครื่องประดับเหล่ำนี้ แล้วให้ชีวิตแก่ดิฉันเถิด, จำำเดิมแต่นี้ท่ำนจงจำำดิฉันว่ำ ' ตำยแล้ว,' หรือว่ำดิฉันเป็นทำสีของท่ำนกระทำำหัตถกรรม " ดังนี้แล้ว กล่ำว คำถำนี้ว่ำ :- " สำยสร้อยทองคำำเหล่ำนี้ ล้วนสำำเร็จด้วยแก้ว
  • 158. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 156 ไพฑูรย์, ท่ำนผู้เจริญ ท่ำนจงถือเอำทั้งหมด และจงประกำศว่ำดิฉันเป็นทำสี. " โจรฟังคำำนั้นแล้ว กล่ำวว่ำ " เมื่อดิฉันกระทำำอย่ำงนั้น, หล่อนไปแล้ว ก็จักบอกแก่มำรดำบิดำ, ฉันจักฆ่ำให้ได้, หล่อนอย่ำครำ่ำครวญไปนัก เลย " ดังนีแล้ว กล่ำวคำถำนี้ว่ำ ้ :- " หล่อนอย่ำครำ่ำครวญนักเลย, จงรีบห่อสิ่งของ เข้ำเถิด, ชีวิตของหล่อนไม่มดอก, ี ฉันจะถือ เอำสิ่งของทั้งหมด. " [ ธิดำเศรษฐีผลักโจรตกเขำตำย ] นำงคิดว่ำ " โอ กรรมนี้หนัก, ชื่อว่ำปัญญำ ธรรมดำ มิได้สร้ำงมำเพื่อประโยชน์แกงกิน, ทีแท้ สร้ำงมำเพื่อประโยชน์ ่ พิจำรณำ, เรำจักรู้สิ่งที่ควรกระทำำแก่เขำ. " ลำำดับนั้น นำงกล่ำวกะโจรนั้นว่ำ " นำย ท่ำนถูกจับนำำไปว่ำ ' เป็นโจร ' ในกำลใด; ในกำลนั้น ดิฉันบอกแก่มำรดำบิดำ, ท่ำน ทั้ง ๒ นั้นสละทรัพย์พันหนึ่ง ให้นำำท่ำนมำกระทำำไว้ในเรือน, จำำเดิม แต่นั้นดิฉันก็อุปกำระท่ำน, วันนี้ท่ำนจงให้ดิฉันกระทำำตัว (ท่ำน) ให้เห็นถนัดแล้วไหว้. โจรนั้นกล่ำวว่ำ " ดีละ นำงผู้เจริญ, หล่อนจงทำำตัว (ฉัน) ให้เห็นถนัด แล้วไหว้เถิด " ดังนี้แล้ว ก็ได้ยืนอยู่บนยอดเขำ. ทีนั้น นำงทำำปทักษิณ ๓ ครัง ไหว้โจรนั้นในที่ ๔ สถำนแล้ว กล่ำวว่ำ ้
  • 159. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 157 " นำย นี้เป็นกำรเห็นครั้งสุดท้ำยของดิฉัน, บัดนี้กำรที่ท่ำนเห็น ดิฉัน หรือกำรที่ดิฉันเห็นท่ำนไม่มีละ " แล้วสวมกอดข้ำงหน้ำข้ำงหลัง ยืนที่ขำงหลังเอำมือข้ำงหนึ่งจับโจรผู้ประมำท ยืนอยู่บนยอดเขำตรงคอ ้ เอำมือข้ำงหนึ่งจับตรงรักแร้ข้ำงหลัง ผลักลงไปในเหวแห่งภูเขำ. โจร นั้นกระทบถูกที่ท้องแห่งเขำ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตกลงไปแล้วที่พื้น. [ หญิงผู้มปัญญำก็เป็นบัณฑิตได้ ี ] เทวดำผู้สถิตอยูบนยอดเขำที่ทิ้งโจร เห็นกิริยำแม้ของชนทั้ง ๒ ่ นั้น จึงให้สำธุกำรแก่หญิงนั้น แล้วกล่ำวคำถำนี้ว่ำ :- " บุรุษนั้น เป็นบัณฑิตในที่ทุกสถำน ก็หำไม่, แม้สตรีนั้น ผูมีปัญญำเห็นประจักษ์ ก็เป็นบัณฑิต ้ ได้ ในที่นั้น ๆ. " ธิดำเศรษฐีแม้นั้น ครั้นผลักโจรลงไปในเหวแล้ว (คิดว่ำ) " หำกว่ำ เรำจักไปบ้ำน, มำรดำบิดำจักถำมว่ำ ' สำมีของเจ้ำไปไหน ?' หำกเรำถูกถำมอย่ำงนั้นจะตอบว่ำ ' ดิฉันฆ่ำเสียแล้ว ' ท่ำนจักทิ่มแทง เรำด้วยหอกคือปำกว่ำ ' นำงคนหัวดื้อ เจ้ำให้ทรัพย์พันหนึ่งให้นำำ ผัวมำ บัดนี้ ก็ฆ่ำเขำเสียแล้ว; ' แม้เมือเรำบอกว่ำ ' เขำปรำรถนำจะฆ่ำ ่ ดิฉัน เพื่อต้องกำรเครื่องประดับ, ' ท่ำนก็จักไม่เชื่อ; อย่ำเลยด้วยบ้ำน ของเรำ " ดังนีแล้ว ทิงเครื่องประดับไว้ในที่นั้นนั่นเอง เข้ำไปสู่ป่ำ ้ ้ เที่ยวไปโดยลำำดับ ถึงอำศรมของพวกปริพำชกแห่งหนึ่ง ไหว้แล้ว กล่ำวว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ ขอท่ำนทั้งหลำยจงให้กำรบรรพชำ ในสำำนัก
  • 160. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 158 ของท่ำนแก่ดิฉันเถิด. " ลำำดับนั้น ปริพำชกทั้งหลำยให้นำงบรรพชำ แล้ว. [ ธิดำเศรษฐีบวชเป็นปริพำชก ] ธิดำเศรษฐีนั้นพอบวชแล้ว ถำมว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ อะไรเป็น สูงสุดแห่งบรรพชำของท่ำน. " ปริพำชก. นำงผู้เจริญ บุคคลกระทำำบริกรรมในกสิน ๑๐ แล้ว พึงยังฌำนให้บังเกิดบ้ำง, พึงเรียนวำทะพันหนึ่งบ้ำง, นี้เป็น ประโยชน์สูงสุดแห่งบรรพชำของพวกเรำ. ธิดำเศรษฐี. ดิฉันไม่อำจจะยังฌำนให้เกิดได้ก่อน, แต่จดเรียน ั วำทะพันหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้ำ. ลำำดับนั้น ปริพำชกเหล่ำนั้น ยังนำงให้เรียนวำทะพันหนึ่งแล้ว กล่ำวว่ำ " ศิลปะ ท่ำนก็เรียนแล้ว, บัดนี้ ท่ำนจงเที่ยวไปบนพื้นชมพู- ทวีป ตรวจดูผู้สำมำรถจะกล่ำวปัญหำกะตน " แล้ว ให้กิ่งหว้ำในมือ แก่นำง ส่งไปด้วยสั่งว่ำ " ไปเถิด นำงผู้เจริญ; หำกใคร ๆ เป็น คฤหัสถ์อำจกล่ำวปัญหำกับท่ำนได้, ท่ำนจงเป็นบำทปริจำริกำ ของ ผู้นั้นเทียว; หำกเป็นบรรพชิต, ท่ำนจงบรรพชำในสำำนักผู้นั้นเถิด. " นำงมีชื่อว่ำ ชัมพุปริพำชิกำ ตำมนำม (ไม้) ออกจำกที่นั้นเที่ยวถำม ปัญหำกะผู้ที่ตนเห็นแล้ว ๆ. คนชื่อว่ำผู้สำมำรถจะกล่ำวกับนำงไม่ได้ มีแล้ว. มนุษย์ทั้งหลำยพอฟังว่ำ " นำงชัมพุปริพำชิกำมำแต่ที่นี้ " ย่อมหนีไป. นำงเข้ำไปสู่บ้ำนหรือตำำบลเพื่อภิกษำ ก่อกองทรำยไว้
  • 161. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 159 ใกล้ประตูบำน ปักกิ่งหว้ำบนกองทรำยนั้น กล่ำวว่ำ ้ " ผูสำมำรถจะ ้ กล่ำวกับเรำ จงเหยียบกิ่งหว้ำ " แล้วก็เข้ำไปสู่บำน. ใคร ๆ ชื่อว่ำ ้ สำมำรถจะเข้ำไปยังที่นั้น มิได้มี, แม้นำงย่อมถือกิ่งอื่น ในเมื่อ กิ่งหว้ำ (เก่ำ) เหี่ยวแห้ง, เที่ยวไปโดยทำำนองนี้ ถึงกรุงสำวัตถี ปักกิ่ง (หว้ำ) ใกล้ประตูบำน พูดโดยนัยที่กล่ำวมำแล้วนั่นแล เข้ำไปเพื่อ ้ ภิกษำ. เด็กเป็นอันมำกได้ยืนล้อมกิ่งไม้ไว้แล้ว. [ ธิดำเศรษฐีมีชื่อว่ำกุณฑลเกสีเถรี ] ในกำลนั้น พระสำรีบตรเถระเที่ยวไปเพื่อบิณฑบำต กระทำำ ุ ภัตกิจแล้วออกไปจำกเมือง เห็นเด็กเหล่ำนั้นยืนล้อมกิ่งไม้ จึงถำมว่ำ " นี้อะไร ?. " เด็กทั้งหลำยบอกเรื่องนั้นแก่พระเถระแล้ว. พระเถระ กล่ำวว่ำ " เด็กทั้งหลำย ถ้ำอย่ำงนั้น พวกเจ้ำจงเหยียบกิ่งไม้นี้. " พวกเด็ก. พวกกระผมกลัว ขอรับ. พระเถระ. เรำจักกล่ำวปัญหำ, พวกเจ้ำเหยียบเถิด. เด็กเหล่ำนั้น เกิดควำมอุตสำหะด้วยคำำของพระเถระ กระทำำ อย่ำงนั้น โห่ร้องอยู่ โปรยธุลีขึ้นแล้ว. นำงปริพำชิกำมำแล้วดุเด็กเหล่ำนั้น กล่ำวว่ำ " กิจด้วยปัญหำ ของเรำกับพวกเจ้ำไม่มี; เหตุไร พวกเจ้ำจึงพำกันเหยียบกิ่งไม้ของเรำ ?" พวกเด็กกล่ำวว่ำ " พวกเรำ อันพระผู้เป็นเจ้ำใช้ให้เหยียบ. " นำงปริพำชิกำ. ท่ำนผู้เจริญ ท่ำนใช้ให้พวกเด็กเหยียบกิ่งไม้ ของดิฉันหรือ ?
  • 162. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 160 พระเถระ. เออ น้องหญิง. นำงปริพำชิกำ. ถ้ำอย่ำงนั้น ท่ำนจงกล่ำวปัญหำกับดิฉัน. พระเถระ. ดีละ, เรำจักกล่ำว. นำงปริพำชิกำนั้น ได้ไปสู่สำำนักของพระเถระเพื่อถำมปัญหำใน เวลำเงำไม้เจริญ (คือเวลำบ่ำย). ทั่วทั้งเมือง ลือกระฉ่อนกันว่ำ " พวก เรำจักฟังถ้อยคำำของ ๒ บัณฑิต. " พวกชำวเมืองไปกับนำงปริพำชิกำนั้น เหมือนกัน ไหว้พระเถระแล้วนั่ง ณ ที่สุดข้ำงหนึ่ง. นำงปริพำชิกำ กล่ำวกะพระเถระว่ำ " ท่ำนผู้เจริญ ดิฉันจัก ถำมปัญหำกะท่ำน. " พระเถระ. ถำมเถิด น้องหญิง. นำงถำมวำทะพันหนึ่งแล้ว. พระเถระแก้ปัญหำที่นำงถำมแล้ว ๆ. ลำำดับนั้น พระเถระกล่ำวกะนำงว่ำ " ปัญหำของท่ำนมีเท่ำนี้, ปัญหำแม้อื่นมีอยู่หรือ ?" นำงปริพำชิกำ. มีเท่ำนี้แหละ ท่ำนผู้เจริญ. พระเถระ. ท่ำนถำมปัญหำเป็นอันมำก, แม้เรำจักถำมสักปัญหำ หนึ่ง, ท่ำนจักแก้ได้หรือไม่ ? นำงปริพำชิกำ. ดิฉันรู้ก็จักแก้, จงถำมเถิด ท่ำนผู้เจริญ. พระเถระ ถำมปัญหำว่ำ " อะไร ? ชื่อว่ำหนึ่ง. " นำงปริพำชิกำ นั้น ไม่รู้ว่ำ " ปัญหำนี้ ควรแก้อย่ำงนี้ " จึงถำมว่ำ " นั่นชื่อว่ำอะไร ? ท่ำนผู้เจริญ " พระเถระ. ชือพุทธมนต์ น้องหญิง. ่
  • 163. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 161 นำงปริพำชิกำ. ท่ำนจงให้พุทธมนต์นั้น แก่ดิฉันบ้ำง ท่ำน ผู้เจริญ. พระเถระ. หำกว่ำ ท่ำนจักเป็นเช่นเรำ, เรำจักให้. นำงปริพำชิกำ. ถ้ำเช่นนั้น ขอท่ำนยังดิฉันให้บรรพชำเถิด. พระเถระ บอกแก่นำงภิกษุณีทั้งหลำยให้บรรพชำแล้ว. นำง ครั้นได้บรรพชำอุปสมบทแล้ว มีชื่อว่ำกุณฑลเกสีเถรี บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำยโดย ๒ - ๓ วันเท่ำนั้น. [ ชนะกิเลสประเสริฐ ] ภิกษุทั้งหลำย สนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " กำรฟังธรรมของ นำงกุณฑลเกสีเถรีไม่มมำก, กิจแห่งบรรพชิตของนำงถึงที่สุดแล้ว, ได้ ี ยินว่ำ นำงทำำมหำสงครำมกับโจรคนหนึ่งชนะแล้วมำ. " พระศำสดำเสด็จมำแล้วตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนำกันด้วยถ้อยคำำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลำยนั้น กรำบทูลว่ำ " ถ้อยคำำชื่อนี้. " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอ อย่ำนับธรรมที่เรำแสดงแล้วว่ำ ' น้อยหรือมำก ' บทที่ไม่เป็นประโยชน์ แม้ ๑๐๐ บทไม่ประเสริฐ, ส่วนบทแห่งธรรมแม้บทเดียวประเสริฐกว่ำ เทียว; อนึ่ง เมือบุคคลชนะโจรที่เหลือ หำชื่อว่ำชนะไม่. ส่วนบุคคล ่ ชนะโจรคือกิเลส อันเป็นไปภำยในนั่นแหละ จึงชื่อว่ำชนะ เมื่อจะ ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใด พึงกล่ำวกถำตั้ง ๑๐๐ ซึงไม่ประกอบ ่
  • 164. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 162 ด้วยบทเป็นประโยชน์; บทแห่งธรรมบทเดียว ที่บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่ำ (กำรกล่ำวกถำตั้ง ๑๐๐ ของผู้นั้น). ผูใด พึง ้ ชนะมนุษย์พันหนึ่งคูณด้วยพันหนึ่ง (คือ ๑ ล้ำน) ในสงครำม ผูนั้น หำชื่อว่ำ เป็นยอด ้ แห่งชนผูชนะในสงครำมไม่, ส่วนผู้ใดชนะตน ้ คนเดียวได้, ผู้นั้นแล เป็นยอดแห่งผู้ชนะ ใน สงครำม. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ คำถำ สต ควำมว่ำ ก็บุคคลใด พึงกล่ำวคำถำกำำหนดด้วย ๑๐๐ คือเป็นอันมำก. บำทพระคำถำว่ำ อนตฺถปทสญฺหิตำ ควำมว่ำ ประกอบด้วยบททั้งหลำยอันไม่มีประโยชน์ ด้วยอำำนำจพรรณนำอำกำศเป็นต้น. บทที่ปฏิสังยุตด้วยธรรมมีขันธ์เป็นต้น สำำเร็จประโยชน์ ชือว่ำ ่ บทธรรม. บรรดำธรรม ๔ ที่พระศำสดำตรัสไว้อย่ำงนี้ว่ำ " ปริพำชก ทั้งหลำย บทธรรม ๔ เหล่ำนี้; ๔ คืออะไรบ้ำง ? ปริพำชกทั้งหลำย คือบทธรรมคือควำมไม่เพ่งเล็ง, บทธรรมคือควำมไม่ปองร้ำย, บทธรรม คือควำมระลึกชอบ, บทธรรมคือควำมตังใจไว้ชอบ, บทธรรมแม้บท ้ เดียวประเสริฐกว่ำ. "
  • 165. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 163 บำทพระคำถำว่ำ โย สหสฺส สหสฺเสน ควำมว่ำ ผู้ใดคือ นักรบในสงครำม พึงชนะมนุษย์พันหนึ่งซึ่งคูณด้วยพัน ในสงครำม ครั้งหนึ่ง ได้แก่ชนะมนุษย์ ๑๐ แสนแล้ว พึงนำำชัยมำ, แม้ผู้นี้ ก็หำ ชื่อว่ำ เป็นยอดแห่งชนทั้งหลำยผูชนะในสงครำมไม่. ้ บำทพระคำถำว่ำ เอกญฺจ เชยฺยมตฺตำน ควำมว่ำ ส่วนผู้ใด พิจำรณำ กัมมัฏฐำนอันเป็นไปในภำยใน ในที่พักกลำงคืนและที่พัก กลำงวัน พึงชนะตน ด้วยกำรชนะกิเลสมีโลภเป็นต้น ของตนได้. บำทพระคำถำว่ำ ส เว สงฺคำมชุตตโม ควำมว่ำ ผู้นั้นชื่อว่ำ ฺ เป็นยอด คือประเสริฐ แห่งชนทั้งหลำยผูชนะในสงครำม ได้แก่ ้ เป็นนักรบเยี่ยมในสงครำม. ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำ- ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี จบ.
  • 166. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 164 ๔. เรื่องอนัตถปุจฉกหรำหมณ์ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภอนัตถ- ปุจฉกพรำหมณ์ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " อตฺตำ หเว " เป็นต้น. [ ควำมฉิบหำยย่อมมีแก่ผู้เสพกรรม ๖ อย่ำง ] ได้ยินว่ำ พรำหมณ์นั้นคิดว่ำ " พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำทรงทรำบ สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่ำงเดียวหรือหนอแล ? หรือทรงทรำบแม้สงมิใช่ ิ่ ประโยชน์; เรำจักทูลถำมพระองค์ " ดังนีแล้ว จึงเข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ้ ทูลถำมว่ำ " พระเจ้ำข้ำ พระองค์เห็นจะทรงทรำบสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่ำงเดียว, ไม่ทรงทรำบสิ่งที่มิใช่ประโยชน์. " พระศำสดำ. พรำหมณ์ เรำรู้ทงสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทั้งสิ่งทีมิใช่ ั้ ่ ประโยชน์ พรำหมณ์. ถ้ำเช่นนั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ แก่ขำพระองค์เถิด. ้ ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสพระคำถำนี้ แก่พรำหมณ์นั้นว่ำ " กำรนอนจนตะวันขึ้น (นอนตื่นสำย) ควำม เกียจคร้ำน ควำมดุรำย กำรผลัดวันประกันพรุ่ง ้ กำรเดินทำงแห่ง คนเดียว กำรเข้ำไปเสพภรรยำ ของผู้อื่น พรำหมณ์ ท่ำนจงเสพกรรม ๖ อย่ำง * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล. ๑. ทีฑโสตฺติย หมำยควำมว่ำ กำรผัดเพี้ยนกำลเวลำ, กำรผลัดวันประกันพรุ่ง.
  • 167. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 165 นี้เถิด, สิ่งมิใช่ประโยชน์ [ ควำมฉิบหำย ] จักมี แก่ทำน. ่ " พรำหมณ์ฟังพระพุทธดำำรัสนั้นแล้ว ได้ให้สำธุกำรว่ำ " ดีละ ดีละ ท่ำนผู้เป็นอำจำรย์ของคณะ ท่ำนผู้เป็นใหญ่ในคณะ, พระองค์เทียว ย่อมทรงทรำบทังสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทั้งสิงที่มิใช่ประโยชน์ . ้ ่ " พระศำสดำ. อย่ำงนั้น พรำหมณ์, ขึ้นชื่อว่ำผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งมิใช่ประโยชน์ เช่นกับด้วยเรำไม่มี. ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงตรวจดูอัธยำศัยของพรำหมณ์นั้นแล้ว จึงตรัสถำมว่ำ " พรำหมณ์ ท่ำนเป็นอยู่ (เลี้ยงชีพ) ด้วยกำรงำน อะไร ?" พรำหมณ์. ด้วยกำรงำนคือกำรเล่นสะกำ (กำรพนัน) พระโคดม ผู้เจริญ. พระศำสดำ. ก็ท่ำนชนะหรือแพ้เล่ำ ? [ ชนะตนเป็นกำรประเสริฐ ] เมื่อพรำหมณ์นั้นทูลว่ำ " ชนะบ้ำง แพ้บำง ้ " ดังนี้แล้ว พระ ศำสดำจึงตรัสว่ำ " พรำหมณ์ นั่นยังมีประมำณน้อย, ขึ้นชื่อว่ำควำม ชนะของบุคคลผู้ชนะผู้อื่นไม่ประเสริฐ; ส่วนผู้ใดชนะตนได้ ด้วยชนะ กิเลส, ควำมชนะของผู้นั้นประเสริฐ; เพรำะว่ำใคร ๆ ไม่อำจทำำควำม ชนะนั้นให้กลับพ่ำยแพ้ได้ " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส พระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ :-
  • 168. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 166 " ตนนั่นแล บุคคลชนะแล้ว ประเสริฐ, ส่วน หมู่สตว์นอกนี้ บุคคลชนะแล้ว ไม่ประเสริฐ ั เลย, (เพรำะ) เมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ประพฤติ สำำรวมเป็นนิตย์, เทวดำ คนธรรพ์ มำร พร้อม ทังพรหม พึงทำำควำมชนะของสัตว์เห็นปำน ้ นั้น ให้กลับแพ้ไม่ได้เลย. " [ แก้อรรถ ] ในพระคำถำนั้น ศัพท์ว่ำ หเว เป็นนิบำต. ศัพท์ว่ำ ชิต เป็นลิงควิปัลลำส. ควำมว่ำ ตนอันบุคคลชนะ แล้วด้วยควำมชนะกิเลสของตน ประเสริฐ. บำทพระคำถำว่ำ ยำ จำย อิตรำ ปชำ ควำมว่ำ ส่วนหมู่สัตว์ นี้ใด คือ ที่เหลือ พึงเป็นผู้อันเขำชนะ ด้วยกำรเล่นสะกำก็ดี ด้วย กำรฉ้อทรัพย์ก็ดี ด้วยกำรครอบงำำพลในสงครำมก็ดี, ควำมชนะที่บุคคล ผู้ชนะหมู่สัตว์นั้นชนะแล้ว ไม่ประเสริฐ. ถำมว่ำ " ก็เหตุไร ? ควำมชนะนั้นเท่ำนั้นประเสริฐ, ควำม ชนะนี้ไม่ประเสริฐ. " แก้วำ " เพรำะเมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ฯ ล ฯ ของสัตว์เห็นปำนนั้น ่ ให้กลับแพ้ไม่ได้. " พระศำสดำตรัสคำำนี้ไว้ว่ำ " เพรำะว่ำ เมือบุรุษผู้ชื่อว่ำฝึกตนแล้ว ่ เพรำะเป็นผู้ไร้กิเลส ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน มีปกติประพฤติสำำรวม
  • 169. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 167 ทำงกำยเป็นต้นเป็นนิตย์, เทวดำก็ดี คนธรรพ์ก็ดี ก็หรือมำรพร้อม ทั้งพรหม แม้พำกเพียรพยำยำมอยู่ว่ำ ' เรำจักทำำควำมชนะของผู้นั้น ให้กลับแพ้, จักทำำกิเลสทั้งหลำยที่เขำละได้ด้วยมรรคภำวนำให้เกิดอีก, ก็ไม่พึงอำจเลย เพื่อจะทำำ (ควำมชนะ) ของสัตว์เห็นปำนนั้น คือ ผูสำำรวมแล้ว ด้วยกำรสำำรวมทำงกำยเป็นต้นเหล่ำนี้ ให้กลับแพ้ ้ เหมือนผู้แพ้ด้วยทรัพย์เป็นต้นแล้วเป็นปรปักษ์ ชนะผู้คนนอกนี้ชนะ แล้ว พึงทำำให้กลับแพ้อีก ฉะนั้น. ในเวลำจบเทศนำ ชนเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องอนัตถปุจฉกพรำหมณ์ จบ.
  • 170. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 168 ๕. เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสำรีบุตรเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพรำหมณ์ ผู้เป็นลุงของพระสำรีบตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ ุ " มำเส มำเส " เป็นต้น. [ พระเถระพำลุงไปเฝ้ำพระศำสดำ ] ได้ยินว่ำ พระเถระ ไปสู่สำำนักของพรำหมณ์นั้นแล้ว ถำมว่ำ " พรำหมณ์ ท่ำนทำำกุศลอะไร ๆ บ้ำงหรือหนอแล ?" พรำหมณ์. ทำำ ขอรับ. พระเถระ. ทำำกุศลอะไร ? พรำหมณ์. ผมให้ทำนด้วยบริจำคทรัพย์พันหนึ่ง ทุก ๆ เดือน. พระเถระ. ให้แก่ใคร. พรำหมณ์. ให้แก่พวกนิครนถ์ ขอรับ. พระเถระ. ปรำรถนำอะไร ? พรำหมณ์. พรหมโลก ขอรับ. พระเถระ. ก็นี้เป็นทำงแห่งพรหมโลกหรือ ? พรำหมณ์. อย่ำงนั้น ขอรับ. พระเถระ. ใครกล่ำวอย่ำงนี้ ? พรำหมณ์. พวกอำจำรย์ผมกล่ำว ขอรับ. * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 171. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 169 พระเถระกล่ำวว่ำ " ท่ำนไม่รู้ทำงแห่งพรหมโลกทีเดียว, แม้ พวกอำจำรย์ของท่ำนก็ไม่รู้: พระศำสดำพระองค์เดียวเท่ำนั้น ทรงรู้ มำเถิด พรำหมณ์, ฉันจะทูลอำรำธนำให้พระองค์ตรัสบอกทำงแห่ง พรหมโลกแก่ท่ำน " ดังนี้แล้ว พำพรำหมณ์นั้น นำำไปสูสำำนักของ ่ พระศำสดำ กรำบทูลเรื่องนั้นว่ำ " พรำหมณ์ผู้นี้ กล่ำวอย่ำงนี้ พระ เจ้ำข้ำ " " ดีละหนอ ขอพระองค์ตรัสบอกทำงแห่ง แล้วกรำบทูลว่ำ พรหมโลกแก่พรำหมณ์นั้น. " [ พระศำสดำทรงแสดงธรรมโปรดพรำหมณ์ ] พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำ อย่ำงนั้นหรือ ? พรำหมณ์ " เมื่อพรำหมณ์นั้นทูลว่ำ " อย่ำงนั้น พระโคดมผู้เจริญ " จึงตรัสว่ำ " พรำหมณ์ กำรแลดูสำวกของเรำด้วยจิตอันเลื่อมใสเพียงครู่เดียว หรือกำรถวำยอำหำรวัตถุเพียงภิกษำทัพพีเดียว มีผลมำกแม้กว่ำทำน ที่ท่ำนเมื่อให้อย่ำงนั้น ให้แล้วตั้ง ๑๐๐ ปี " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดง ธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ผู้ใด พึงบูชำด้วยทรัพย์พันหนึ่งทุก ๆ เดือน สิ้น ๑๐๐ ปี, ส่วนกำรบูชำนั่นแล ของผู้ ที่พึงบูชำท่ำนผู้มีตนอบรมแล้วคนเดียว แม้ครู่ หนึ่ง ประเสริฐกว่ำกำรบูชำของผู้นั้น, กำรบูชำ สิ้น ๑๐๐ ปี จะประเสริฐอะไรเล่ำ ?"
  • 172. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 170 [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ สหสฺเสน ควำมว่ำ ด้วยกำรบริจำค ทรัพย์พันหนึ่ง. บำทพระคำถำว่ำ โย ยเช สต สม ควำมว่ำ ผู้ใดเมื่อบริจำค ทรัพย์พันหนึ่งทุก ๆ เดือน พึงให้ทำนแก่โลกิยมหำชน สิ้น ๑๐๐ ปี. บำทพระคำถำว่ำ เอกญฺจ ภำวิตตฺำน ควำมว่ำ ส่วนผู้ใดพึง บูชำท่ำนผูมีตนบ่มแล้ว ด้วยอำำนำจแห่งคุณผู้เดียว โดยที่สุดเบื้องตำ่ำ ้ เป็นพระโสดำบัน โดยที่สดเบื้องสูงเป็นพระขีณำสพ ผูมำถึงแทบ ุ ้ ประตูเรือน ด้วยอำำนำจถวำยภิกษำทัพพีหนึ่ง ด้วยอำำนำจกำรถวำยอำหำร พอยังอัตภำพให้เป็นไปได้ หรือด้วยเพียงถวำยผ้ำเนื้อหยำบ, บูชำของ ผู้นั้นนั่นแล ประเสริฐ คือลำ้ำเลิศ ได้แก่สูงสุด กว่ำควำมบูชำอันบุคคล นอกนี้บูชำแล้วสิ้น ๑๐๐ ปี. ในเวลำจบเทศนำ พรำหมณ์นั้นบรรลุโสดำปัตติผลแล้ว, ชนแม้ เหล่ำอื่นเป็นอันมำกบรรลุอริยผลทังหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. ้ เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสำรีบุตรเถระ จบ.
  • 173. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 171 ๖. เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นหลำนของพระสำรีบตรเถระ ุ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภหลำนของ พระสำรีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ วสฺสสต ชนฺตุ " [ พระเถระพำหลำนไปเฝ้ำพระศำสดำ ] ควำมพิสดำรว่ำ พระเถระเข้ำไปหำหลำนแม้นั้นแล้ว ถำมว่ำ " พรำหมณ์ เธอทำำกุศลหรือ ?" พรำหมณ์. อย่ำงนั้น ขอรับ. พระเถระ. ทำำกุศลอะไร ? พรำหมณ์. ฆ่ำสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งแล้วบำำเรอไฟทุก ๆ เดือน. พระเถระ. ทำำอย่ำงนั้น เพื่ออะไร ? พรำหมณ์. เขำว่ำ นั่นเป็นทำงแห่งพรหมโลก. พระเถระ. ใคร ว่ำอย่ำงนั้น ? พรำหมณ์. พวกอำจำรย์ของกระผม ขอรับ. พระเถระ กล่ำวว่ำ " เธอไม่รู้ทำงแห่งพรหมโลกเลย, แม้พวก อำจำรย์ของเธอก็ไม่รู้, มำเถิด, เรำจักไปสำำนักของพระศำสดำ " ดังนีแล้ว นำำหลำนนั้นไปสู่สำำนักของพระศำสดำ ทูลเรื่องนั้นแล้ว ้ กรำบทูลว่ำ " พระเจ้ำข้ำ ขอพระองค์ตรัสบอกทำงแห่งพรหมโลก แก่พรำหมณ์นี้. " * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 174. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 172 [ พระศำสดำทรงแสดงธรรมโปรดพรำหมณ์ ] พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำ อย่ำงนั้นหรือ ? " เมื่อ พรำหมณ์นั้นทูลว่ำ " อย่ำงนั้น พระโคดมผู้เจริญ " จึงตรัสว่ำ " พรำหมณ์ กำรบำำเรอไฟของท่ำนผู้บำำเรอไฟอย่ำงนั้น ตั้ง ๑๐๐ ปี ย่อมไม่ถึงแม้กำรบูชำสำวกของเรำ เพียงขณะเดียว " เมื่อจะทรง สืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็สัตว์ใด พึงบำำเรอไฟในป่ำ ตั้ง ๑๐๐ ปี, ส่วนเขำ พึงบูชำท่ำนผู้มตนอบรมแล้วผู้เดียว ี แม้ครู่หนึ่ง, กำรบูชำนั้นนั่นแลประเสริฐกว่ำ (กำรบูชำตั้ง ๑๐๐ ปีของสัตว์นั้น) กำรบูชำ ๑๐๐ ปี จะประเสริฐอะไรเล่ำ ?" [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ชนฺตุ นี้ เป็นชื่อของสัตว์. บำทพระ คำถำว่ำ อคฺคึ ปริจเร วเน ควำมว่ำ แม้เข้ำไปสู่ป่ำ ด้วยปรำรถนำ ควำมเป็นผู้ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้ำ พึงบำำเรอไฟในป่ำนั้น. คำำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำำที่มในก่อนนั่นแล. ี ในเวลำจบเทศนำ พรำหมณ์บรรลุโสดำปัตติผล, แม้ชนเหล่ำ อื่นเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนีแล . ้ เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นหลำนของพระสำรีบตรเถระ จบ. ุ
  • 175. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 173 ๗. เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นสหำยของพระสำรีบตรเถระ ุ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรำรภพรำหมณ์ผู้ เป็นสหำยของพระสำรีบตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ ุ " ยงฺกิญฺจิ ยิฏฺญฺจ " เป็นต้น. [ พระเถระพำสหำยไปเฝ้ำพระศำสดำ ] ควำมพิสดำรว่ำพระเถระเข้ำไปหำพรำหมณ์แม้นั้นแล้ว ถำมว่ำ " พรำหมณ์ ท่ำนทำำกุศลบำงอย่ำงหรือ ?" พรำหมณ์. อย่ำงนั้น ขอรับ. พระเถระ. ทำำกุศลอะไร ? พรำหมณ์. บูชำยัญอย่ำงที่เขำบูชำกัน. ทรำบว่ำ ครั้งนั้น ชนทั้งหลำยย่อมบูชำยัญนั้น ด้วยกำรบริจำค อย่ำงมำก. ต่อแต่นี้ พระเถระถำมโดยนัยก่อนนั่นแล แล้วนำำพรำหมณ์ นั้นไปยังสำำนักของพระศำสดำ ทูลเรื่องนั้นแล้ว กรำบทูลว่ำ" พระ เจ้ำข้ำ ขอพระองค์ตรัสบอกทำงแห่งพรหมโลก แก่พรำหมณ์นี้. " [ พระศำสดำทรงแสดงธรรมโปรดพรำหมณ์ ] พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? พรำหมณ์ " เมื่อพรำหมณ์ทูลรับรองว่ำ " อย่ำงนั้น " แล้ว จึงตรัสว่ำ " พรำหมณ์ *พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 176. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 174 ทำนที่ท่ำนบูชำยัญอย่ำงที่เขำบูชำกัน ให้แก่โลกิยมหำชนตั้งปี ย่อม ไม่ถึงแม้เพียงส่วน ๔ แห่งกุศลเจตนำที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งหลำย ผูไหว้ ้ สำวกของเรำด้วยจิตที่เลื่อมใส " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึง ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ผู้มงบุญ พึงบูชำยัญและทำำบำำบวงอย่ำงใด ุ่ อย่ำงหนึ่งในโลก ตลอดปี, ทำนนั้นแม้ทงหมด ั้ ไม่ถึงส่วน ๔, กำรอภิวำทในท่ำนผู้ดำำเนินตรง ประเสริฐสุด. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ยงกิญฺจิ นี้ เป็นคำำรวบถือไม่มี ส่วนเหลือ. บทว่ำ ยิฏฺีิ ได้แก่ ทำนที่เขำให้ด้วยอำำนำจกำรทำำมงคล เป็นต้น โดยมำก. บทว่ำ หุต ได้แก่ ทำนเพื่อแขกที่เขำจัดแจงทำำ และทำนที่เขำเชื่อกรรมและผลของกรรมทำำ. สองบทว่ำ สวจฺฉร ยเชถ ควำมว่ำ พึงให้ทำนมีประกำร ดังกล่ำวแล้ว แก่โลกิยมหำชน แม้ในจักรวำลทั้งสิ้น ตลอดปีหนึ่งไม่มี ระหว่ำงเลย. บทว่ำ ปุญฺญเปกฺโข ได้แก่ ผู้ปรำรถนำบุญ. บทว่ำ อุชฺชคเตสุ ควำมว่ำ ในพระโสดำบัน โดยที่สุดอย่ำงตำ่ำ ในพระ ุ ขีณำสพ โดยที่สุดอย่ำงสูง. คำำนี้ เป็นคำำที่พระศำสดำตรัสว่ำไว้ว่ำ " ทำนนั้นทั้งหมด ไม่ถึง แม้ส่วนที่ ๔ จำกผลแห่งกุศลเจตนำ ของผู้น้อมสรีระไหว้ ด้วยจิต
  • 177. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 175 ที่เลื่อมใส เห็นปำนนั้น; เพรำะฉะนั้น กำรอภิวำทในท่ำนผูดำำเนิน ้ ตรงเท่ำนั้น ประเสริฐสุด. " ในเวลำจบเทศนำ พรำหมณ์บรรลุโสดำปัตติผลแล้ว, ชนแม้เหล่ำ อื่นเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนีแล . ้ เรื่องพรำหมณ์ผู้เป็นสหำยของพระสำรีบตรเถระ จบ. ุ
  • 178. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 176 ๘. เรื่องอำยุวัฒนกุมำร* [ ๘๘ ] [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อทรงอำศัยทีฆลัมพิกนคร ประทับอยู่ ณ กุฎีในป่ำทรงปรำรภกุมำร ผู้มีอำยุยืน ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " อภิวำทนสีลิสฺส " เป็นต้น. [ พรำหมณ์ ๒ สหำยออกบวช ] ได้ยินว่ำ พรำหมณ์ ๒ คนชำวทีฆลัมพิกนคร บวชในลัทธิภำย นอก บำำเพ็ญตบะสิ้นกำลนำน ๔๘ ปี. บรรดำพรำหมณ์ ๒ คนนั้น คนหนึ่ง คิดว่ำ " ประเพณีของเรำจักเสื่อมเสีย, เรำจักสึก " ดังนี้แล้ว จึงขำย บริขำรตบะที่ตนทำำไว้แก่คนเหล่ำอื่น ได้ภรรยำพร้อมด้วยโค ๑๐๐ ตัว และทรัพย์ ๑๐๐ กหำปณะ ให้ตงไว้เป็นกองทุน. ั้ ครังนั้น ภรรยำ ้ ของเขำคลอดเด็ก. ส่วนสหำยของเขำนอกจำกนี้ไปสู่ต่ำงถิ่นแล้ว ก็กลับมำสู่นครนั้น อีกนั่นแล. เขำได้ยินควำมที่สหำยนั้นมำ จึงได้พำบุตรและภรรยำไป เพื่อต้องกำรเยียมสหำย, ่ ครั้นถึงแล้วให้บุตรในมือของมำรดำแล้ว ก็ไหว้เองก่อน. แม้มำรดำให้บุตรในมือของบิดำแล้วก็ไหว้. สหำยนั้น กล่ำวว่ำ " ขอท่ำนจงเป็นผู้มีอำยุยืน " แต่เมื่อมำรดำบิดำให้บุตรไหว้ แล้ว, สหำยนั้นได้นิ่งเสีย. * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล. ๑. กุฏิกศัพท์ แปลว่ำ กระท่อม ก็มี คำำว่ำ อรญฺญกุฏิกำย คงเป็นกระท่อมที่เขำ สร้ำงไว้ในป่ำ ไม่ใช่สถำนที่ประทับยังยืน เป็นที่ประทับชั่วครำว . ่
  • 179. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 177 [ พรำหมณ์ถำมเหตุที่สหำยไม่ให้พรแก่บุตร ] ลำำดับนั้น เขำกล่ำวกะสหำยนั้นว่ำ " ผูเจริญ ก็เพรำะเหตุไร ้ ? เมื่อผมไหว้ ท่ำนจึงกล่ำวว่ำ ' ขอท่ำนจงเป็นผู้มีอำยุยืน. ' ในเวลำที่ เด็กนี้ไหว้ ไม่กล่ำวคำำอะไร ๆ ?" สหำย. พรำหมณ์ อันตรำยอย่ำงหนึ่งของเด็กนี้มีอยู่. พรำหมณ์. เด็กจักเป็นอยูตลอดกำลเท่ำไร ่ ? ขอรับ. สหำย. ๗ วัน พรำหมณ์. พรำหมณ์. เหตุเป็นเครื่องป้องกัน มีไหม ? ขอรับ. สหำย. เรำไม่รู้เหตุเป็นเครื่องป้องกัน. พรำหมณ์. ก็ใครพึงรู้เล่ำ ? ขอรับ. สหำย. พระสมณโคดม, ท่ำนจงไปสำำนักของพระสมณโคดมนั้น แล้วถำมเถิด. พรำหมณ์. ผมไปในที่นั้น กลัวแต่กำรเสื่อมแห่งตบะ. สหำย. ถ้ำควำมรักในบุตรของท่ำนมีอยู่, ท่ำนอย่ำคิดถึงกำรเสื่อม แห่งตบะ จงไปสำำนักของพระสมณโคดมนั้น ถำมเถิด. [ พรำหมณ์ไปเฝ้ำพระศำสดำ ] พรำหมณ์นั้นไปสู่สำำนักของพระศำสดำไหว้เองก่อน. พระศำสดำ ตรัสว่ำ " ท่ำนจงมีอำยุยืน. " แม้ในเวลำที่ปชำบดีไหว้ ก็ตรัสแก่นำง อย่ำงนั้นเหมือนกัน ในเวลำที่เขำให้บุตรไหว้ได้ทรงนิ่งเสีย. เขำทูลถำม พระศำสดำโดยนัยก่อนนั่นแล แม้พระศำสดำก็ทรงพยำกรณ์แก่เขำ
  • 180. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 178 อย่ำงนั้นเหมือนกัน. ได้ยินว่ำ พรำหมณ์นั้นไม่แทงตลอดพระสัพพัญญุตญำณ จึง เทียบเคียงมนต์ของตนกับพระสัพพัญญุตญำณ, แต่ไม่รู้อุบำยเครื่อง ป้องกัน. [ พระศำสดำตรัสบอกอุบำยเครื่องป้องกัน ] พรำหมณ์ทูลถำมพระศำสดำว่ำ " ก็อุบำยเครื่องป้องกันมีอยู่ หรือ ? พระเจ้ำข้ำ. " พระศำสดำ. พึงมี พรำหมณ์. พรำหมณ์. พึงมีอย่ำงไร ? พระศำสดำ. ถ้ำท่ำนพึงอำจเพื่อทำำมณฑปใกล้ประตูเรือนของตน ให้ทำำตังไว้ตรงกลำงมณฑปนั้น ่ แล้วปูอำสนะไว้ ๘ หรือ ๑๖ ที่ ล้อมรอบตังนั้น ให้สำวกของเรำนั่งบนอำสนะเหล่ำนั้น ให้ทำำพระ ่ ปริตร ๗ วันไม่มีระหว่ำง, อันตรำยของเด็กนั้นพึงเสื่อมไป ด้วย อุบำยอย่ำงนี้. พรำหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ข้ำพระองค์อำจทำำมณฑปเป็นต้น ได้, แต่จักได้สำวกของพระองค์อย่ำงไร ? พระศำสดำ. เมื่อท่ำนทำำกิจเท่ำนี้แล้ว เรำจักส่งสำวกของเรำไป. พรำหมณ์ทูลรับว่ำ " ดีละ พระโคดมผู้เจริญ " แล้วทำำกิจนั้น ทั้งหมดใกล้ประตูเรือนของตนแล้ว ได้ไปยังสำำนักของพระศำสดำ. [ พวกภิกษุไปสวดพระปริตร ] พระศำสดำทรงส่งภิกษุทั้งหลำยไป. ภิกษุเหล่ำนั้นไปนั่งในมณฑป
  • 181. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 179 นั้น. พรำหมณ์สำมีภรรยำให้เด็กนอนบนตั่งแล้ว. ภิกษุทั้งหลำยสวด พระปริตร ๗ คืน ๗ วัน ไม่มีระหว่ำง. ในวันที่ ๗ พระศำสดำเสด็จมำ เอง. เมื่อพระศำสดำนั้นเสด็จไปแล้ว. พวกเทวดำในจักรวำลทั้งสิ้น ประชุมกันแล้ว. ก็อวรุทธกยักษ์ตนหนึ่งบำำรุงท้ำวเวสสวัณ ๑๒ ปี เมื่อจะได้พร จำกสำำนักท้ำวเวสสวัณนั้น ได้ว่ำ " ในวันที่ ๗ จำกวันนี้ ท่ำนพึงจับ เอำเด็กนี้; " เพรำะฉะนั้น ยักษ์ตนนั้นจึงได้มำยืนอยู่. ก็เมื่อพระศำสดำ เสด็จไปในมณฑปนั้น, เมื่อพวกเทวดำผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน. พวก เทวดำผูมีศักดิ์น้อยลดถอยไป ไม่ได้โอกำสหลีกไปตลอด ๑๒ โยชน์ ้ ถึงอวุทธกยักษ์ก็ได้หลีกไปยืนอย่ำงนั้นเหมือนกัน. [ เด็กพ้นอันตรำยกลับมีอำยุยืน ] แม้พระศำสดำได้ทรงทำำพระปริตรตลอดคืนยังรุ่ง. เมื่อ ๗ วัน ล่วงแล้ว, อวรุทธกยักษ์ไม่ได้เด็ก. ก็ในวันที่ ๘ เมื่ออรุณพอขึ้นเท่ำนั้น, สองสำมีภรรยำนำำเด็กมำให้ถวำยบังคมพระศำสดำ. พระศำสดำตรัสว่ำ " ขอเจ้ำจงมีอำยุยืนเถิด. " พรำหมณ์. ๑๒๐ ปี พรำหมณ์. ลำำดับนั้น ๒ สำมีภรรยำขนำนนำมเด็กนั้นว่ำ " อำยุวัฒนกุมำร. " อำยุวัฒนกุมำรนั้น เติบโตแล้ว อันอุบำสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเทียวไป. ่ [ กำรกรำบไหว้ท่ำนผูมีคุณทำำให้อำยุยืน ้ ] ภำยหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลำยสนทนำกันในโรงธรรมว่ำ " ผูมี ้
  • 182. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 180 อำยุทั้งหลำย ท่ำนทั้งหลำยจงดู, ได้ยินว่ำ อำยุวัฒนกุมำรพึงตำยใน วันที่ ๗, บัดนี้อำยุวัฒนกุมำรนั้น (ดำำรงอยู่ ๑๒๐ ปี) อันอุบำสก ๕๐๐ คนแวดล้อมเที่ยวไป; เหตุเครื่องเจริญอำยุของสัตว์เหล่ำนี้ เห็นจะมี. " พระศำสดำเสด็จมำแล้วตรัสถำมว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลำย กรำบทูลว่ำ " ด้วยเรื่องชื่อนี้, " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย อำยุเจริญ อย่ำงเดียวเท่ำนั้นก็หำไม่, ก็สัตว์เหล่ำนี้ไหว้ท่ำนผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญ ด้วยเหตุ ๔ ประกำร พ้นจำกอันตรำย, ดำำรงอยูจนตลอดอำยุทีเดียว " ่ ดังนีแล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- ้ " ธรรม ๔ ประกำร คือ อำยุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญแก่บุคคลผู้กรำบไหว้เป็นปกติ ผู้ออนน้อม ่ ท่ำนผู้เจริญเป็นนิตย์. " [ แก้อรรถ ] บรรดำทบทเหล่ำนั้น บทว่ำ อภิวำทนสีลิสฺส คือ ผู้ไหว้เป็นปกติ ได้แก่ ผูขวนขวำยกิจคือกำรไหว้เนือง ๆ. ้ บทว่ำ วุฑฺฒำปจำยิโน ควำมว่ำ แก่คฤหัสถ์ผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชำเป็นนิตย์ ด้วยกำรกรำบไหว้ แม้ในภิกษุหนุ่มและสำมเณรบวชในวันนั้น, ก็หรือแก่บรรพชิตผู้อ่อน น้อมหรือผู้บูชำเป็นนิตย์ ด้วยกำรกรำบไหว้ในท่ำนผูแก่กว่ำโดยบรรพชำ ้ หรือโดยอุปสมบท (หรือ) ในท่ำนผู้เจริญด้วยคุณ. สองบทว่ำ จตฺตำโร ธมฺมำ ควำมว่ำ เมื่ออำยุเจริญอยู, อำยุนั้น ่
  • 183. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 181 ย่อมเจริญสิ้นกำลเท่ำใด, ธรรมทั้งหลำยแม้นอกนี้ ก็เจริญสิ้นกำล เท่ำนั้นเหมือนกัน, ด้วยว่ำผู้ใดทำำกุศลที่ยังอำยุ ๕๐ ปี ให้เป็นไป, อันตรำยแห่งชีวิตของผู้นั้นพึงบังเกิดขึ้นแม้ในกำลมีอำยุ ๒๕ ปี; อันตรำย นั้นย่อมระงับเสียได้ ด้วยควำมเป็นผู้กรำบไหว้เป็นปกติ. ผูนั้นย่อม ้ ดำำรงอยู่ได้จนตลอดอำยุทีเดียว. แม้วรรณะเป็นต้นของผู้นั้น ย่อม เจริญพร้อมกับอำยุแล. นัยแม้ยิ่งกว่ำนี้ ก็อย่ำงนี้แล. ก็ชื่อว่ำกำรเจริญแห่งอำยุ ที่เป็นไปโดยไม่มีอันตรำย หำมีไม่. ในเวลำจบเทศนำ อำยุวัฒนกุมำร ตังอยู่ในโสดำปัตติผล ้ พร้อมกับอุบำสก ๕๐๐ แล้ว, แม้ชนเหล่ำอื่นเป็นอันมำก ก็บรรลุอริยผล ทั้งหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องอำยุวัฒนกุมำร จบ.
  • 184. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 182 ๙. เรื่องสังกิจจสำมเณร* [ ๘๙ ] [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภสังกิจจ- สำมเณร ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ สฺสสต ชีเว" เป็นต้น. [ กุลบุตร ๓๐ คนออกบวช ] ได้ยินว่ำ กุลบุตรประมำณ ๓๐ คนในกรุงสำวัตถี ฟังธรรมกถำ แล้ว บวชถวำยชีวตในศำสนำของพระศำสดำ. ภิกษุเหล่ำนั้นอุปสมบทได้ ๕ พรรษำ ิ เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ สดับธุระ ๒ ประกำร คือ " คันถธุระ วิปัสสนำธุระ " ไปทำำอุตสำหะในคันถธุระ เพรำะเป็นผู้ บวชในเวลำเป็นคนแก่ มีควำมประสงค์จะบำำเพ็ญวิปัสสนำธุระ ทูลให้ พระศำสดำตรัสบอกกัมมัฏฐำนจนถึงพระอรหัตแล้ว จึงทูลอำำลำพระ ศำสดำว่ำ " ข้ำพระองค์จักไปสู่แดนป่ำแห่งหนึ่ง พระเจ้ำข้ำ. " พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " พวกเธอจักไปยังทีไหน ? " เมื่อภิกษุ ่ เหล่ำนั้นกรำบทูลว่ำ " สถำนที่ชื่อโน้น, " ได้ทรงทรำบว่ำ " ภัยจักเกิด ขึ้นในที่นั้นแก่ภิกษุเหล่ำนั้น เพรำะอำศัยคนกินเดนคนหนึ่ง, ก็แต่ว่ำ เมื่อสังกิจจสำมเณรไปแล้ว ภัยนั้นจักระงับ. เมื่อเป็นเช่นนั้นกิจบรรพชิต ของภิกษุเหล่ำนั้น จักถึงควำมบริบูรณ์. " * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล. ๑. อุปสมฺปทำย ปญจวสฺสำ หุตฺวำ เป็นผูมีพรรษำ ๕ โดยกำรอุปสมบท. ้
  • 185. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 183 [ ประวัติของสังกิจจสำมเณร ] สำมเณรของพระสำรีบุตรเถระชื่อสังกิจจสำมเณร มีอำยุ ๗ ปี โดยกำำเนิด. ได้ยินว่ำ มำรดำของสังกิจจสำมเณรนั้น เป็นธิดำของ ตระกูลมั่งคั่งในกรุงสำวัตถี. เมื่อสำมเณรนั้นยังอยู่ในท้อง มำรดำนั้น ได้ทำำกำละในขณะนั้นนั่นเอง ด้วยควำมเจ็บไข้อย่ำงหนึ่ง. เมื่อมำรดำ นั้นถูกเผำอยู่ เนื้อส่วนที่เหลือไหม้ไป เว้นแต่เนื้อท้อง. ลำำดับนั้น พวกสัปเหร่อยกเนื้อท้องของนำงลงจำกเชิงตะกอน แทงด้วยหลำวเหล็ก ในที่ ๒ - ๓ แห่ง. ปลำยหลำวเหล็กกระทบหำงตำของทำรก. พวก สัปเหร่อแทงเนื้อท้องอย่ำงนั้นแล้ว จึงโยนไปบนกองถ่ำน ปกปิดด้วย ถ่ำนนั่นแลแล้วหลีกไป. ส่วนเนื้อท้องไหม้แล้ว. ส่วนทำรกได้เป็นเช่นกับรูป ทองคำำบนกองถ่ำน เหมือนนอนอยู่ในกลีบแห่งดอกบัว. แท้จริง สัตว์ผมีในภพเป็นที่สุด แม้ถูกภูเขำสิเนรุทับอยู่ ชื่อว่ำยังไม่บรรลุพระ ู้ อรหัตแล้วสิ้นชีวิตไม่มี. ในวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมำด้วยคิดว่ำ " จักดับเชิงตะกอน " เห็นทำรกนอนอยู่อย่ำงนั้น เกิดอัศจรรย์และ แปลกใจ คิดว่ำ " ชื่ออย่ำงไรกัน ? เมื่อสรีระทั้งสิ้นถูกเผำอยู่บนฟืน เท่ำนี้ ทำรกไม่ไหม้แล้ว, จักมีเหตุอะไรกันหนอ ?" จึงอุ้มเด็กนั้น นำำไปภำยในบ้ำนแล้ว ถำมพวกหมอทำยนิมิต. พวกหมอทำยนิมิตพูดว่ำ " ถ้ำทำรกนี้ จักอยู่ครองเรือน, พวกญำติตลอด ๗ เครือสกุล จักไม่ ยำกจน; ถ้ำจักบวช, จักเป็นผู้อันสมณะ ๕๐๐ รูปแวดล้อมเที่ยวไป. " พวกญำติขนำนชื่อว่ำ " สังกิจจะ " เพรำะหำงตำของเขำแตกด้วยขอ เหล็ก.
  • 186. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 184 สมัยอื่น เด็กนั้นปรำกฏว่ำ " สังกิจจะ. " ครังนั้น พวกญำติ ้ เลี้ยงเขำไว้ ด้วยปรึกษำกันว่ำ " ช่ำงเถิด, ในเวลำที่เขำเติบโตแล้วพวก เรำจะให้เขำบวชในสำำนักพระสำรีบุตรผู้เป็นเจ้ำของเรำ. " ในเวลำทีตน ่ มีอำยุได้ ๗ ขวบ สังกิจจะนั้นได้ยินคำำพูดของพวกเด็ก ๆ ว่ำ " ในเวลำ ที่เจ้ำอยู่ในท้อง มำรดำของเจ้ำได้กระทำำกำละแล้ว, เมื่อสรีระมำรดำของ เจ้ำนั้นแม้ถูกเผำอยู่, เจ้ำก็ไม่ไหม้ " จึงบอกแก่พวกญำติว่ำ " เขำว่ำ ฉันพ้นภัยเห็นปำนนั้น, ประโยชน์อะไรของฉันด้วยเรือน. ฉันจักบวช. " ญำติเหล่ำนั้นรับรองว่ำ " ดีละพ่อ " แล้วนำำไปยังสำำนักพระสำรีบุตรเถระ ได้ถวำยด้วยกล่ำวว่ำ " ท่ำนเจ้ำข้ำ ขอท่ำนจงให้เด็กนี้บวช. พระเถระ ให้ตจปัญจกกัมมัฏฐำนแล้วก็ให้บวช. สำมเณรนั้นบรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ ในเวลำปลงผมเสร็จนั่นเอง, ชือว่ำสังกิจจสำมเณร ่ เพียงเท่ำนี้. [ ทรงรับสั่งให้ภิกษุไปลำพระสำรีบตร ุ ] พระศำสดำทรงทรำบว่ำ " เมื่อสำมเณรนี้ไปแล้ว ภัยนั้นจัก ระงับ, เมื่อเป็นเช่นนั้น กิจแห่งบรรพชิตของภิกษุเหล่ำนั้น จักถึงควำม บริบูรณ์ " ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย พวกเธอจงอำำลำ สำรีบตรพี่ชำยของพวกเธอแล้วจึงไป. ุ " ภิกษุเหล่ำนั้น รับว่ำ " ดีละ " แล้วไปยังสำำนักของพระเถระ เมื่อพระเถระถำมว่ำ " อะไร ? ผูมีอำยุ ้ " จึงกล่ำวว่ำ " พวกกระผมเรียนกัมมัฏฐำนในสำำนักพระศำสดำแล้ว มี ประสงค์จะเข้ำไปป่ำจึงทูลอำำลำ, เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศำสดำจึงตรัส
  • 187. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 185 อย่ำงนี้แก่พวกกระผมว่ำ ' พวกเธออำำลำพี่ชำยของพวกเธอแล้วจึงไป, ' ด้วยเหตุนั้น พวกกระผมจึงมำในที่นี้. " พระเถระ คิดว่ำ " ภิกษุเหล่ำนี้ จักเป็นผู้ที่พระศำสดำทรงเห็น เหตุอย่ำงหนึ่งแล้วส่งมำที่นี่, นี่อะไรกันหนอแล ? รู้เรื่องนั้นแล้ว จึง กล่ำวว่ำ " ผู้มีอำยุ ก็สำมเณรของพวกท่ำนมีหรือ ? " พวภิกษุ. ไม่มี ท่ำนผู้มีอำยุ. พระเถระ. ถ้ำไม่มี, พวกท่ำนจงพำสังกิจจสำมเณรนี้ไป. พวกภิกษุ. อย่ำเลย ท่ำนผู้มีอำยุ, เพรำะอำศัยสำมเณร ควำม กังวลจักมีแก่พวกกระผม, ประโยชน์อะไรด้วยสำมเณร สำำหรับพวก ภิกษุผู้ที่อยู่ในป่ำ. พระเถระ. ท่ำนผู้มีอำยุ เพรำะอำศัยสำมเณรนี้ ควำมกังวล จักไม่มแก่พวกท่ำน, ก็แต่ว่ำเพรำะอำศัยพวกท่ำน ควำมกังวลจักมีแก่ ี สำมเณรนี้, ถึงพระศำสดำเมื่อจะทรงส่งพวกท่ำนมำยังสำำนักเรำ ทรง หวังจะส่งสำมเณรไปกับพวกท่ำนจึงทรงส่งมำ, พวกท่ำนจงพำสำมเณร นี้ไปเถิด. [ ภิกษุ ๓๐ รูปไปทำำสมณธรรม ] ภิกษุเหล่ำนั้นรับว่ำ " ดีละ " รวมเป็น ๓๑ คนพร้อมทั้งสำมเณร อำำลำพระเถระออกจำกวิหำรเที่ยวจำริกไป บรรลุถึงบ้ำนหนึ่ง ซึ่งมี พันสกุลในที่สุด ๑๒๐ โยชน์. พวกมนุษย์เห็นภิกษุเหล่ำนั้นมีจิตเลื่อมใส อังคำสโดยเคำรพแล้ว ถำมว่ำ " ท่ำนเจ้ำข้ำ พวกท่ำนจะไปไหน ?"
  • 188. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 186 เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นตอบว่ำ " จะไปตำมสถำนที่ผำสุกผู้มีอำยุ " จึงหมอบลง แทบเท้ำอ้อนวอนว่ำ " ท่ำนเจ้ำข้ำ เมื่อพวกพระผู้เป็นเจ้ำอำศัยบ้ำนนี้ อยูตลอดภำยในพรรษำ, พวกกระผมจะสมำทำนศีลห้ำทำำอุโบสถกรรม. ่ " พระเถระทั้งหลำยรับแล้ว. ครั้งนั้น พวกมนุษย์จัดแจงที่พักกลำงคืน ที่พักกลำงวัน ที่จงกรมและบรรณศำลำ ถึงควำมอุตสหะว่ำ " วันนี้ พวกเรำ, พรุ่งนี้ พวกเรำ " ได้ทำำกำรบำำรุงภิกษุเหล่ำนั้น. [ พวกภิกษุตั้งกติกำกันอยู่จำำพรรษำ ] ในวันเข้ำจำำพรรษำ พระเถระทั้งหลำยทำำกติกำวัตรกันว่ำ " ผู้มี อำยุ พวกเรำเรียนกัมมัฏฐำนในสำำนัก ของพระพุทธเจ้ำผู้ยงทรง ั พระชนม์อยู่, แต่เว้นควำมถึงพร้อมด้วยข้อปฏิบัติ พวกเรำไม่อำจยัง พระพุทธเจ้ำทังหลำยให้ยินดีได้, ้ อนึ่ง ประตูอบำยก็เปิดแล้วสำำหรับ พวกเรำทีเดียว, เพรำะฉะนั้น เว้นเวลำภิกษำจำรในตอนเช้ำ และ เวลำบำำรุงพระเถระตอนเย็น ในกำลที่เหลือ พวกเรำจักไม่อยู่ในที่ แห่งเดียวกัน ๒ รูป; ควำมไม่ผำสุกจักมีแก่ท่ำนผู้ใด, เมื่อท่ำนผู้นั้น ตีระฆัง, พวกเรำจักไปสำำนักท่ำนผู้นั้นทำำยำ; ในส่วนกลำงคืนหรือส่วน กลำงวันอื่นจำกนี้ พวกเรำจักไม่ประมำทประกอบกัมมัฏฐำนเนือง ๆ. " [ ทุคคตบุรุษมำอำศัยอยู่กับพวกภิกษุ ] เมื่อภิกษุเหล่ำนั้น ครั้นทำำกติกำอย่ำงนั้นอยู่, บุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง อำศัยธิดำเป็นอยู่, เมื่อทุพภิกขภัยเกิดขึ้นในที่นั้น, มีประสงค์จะอำศัย ธิดำคนอื่นเป็นอยู่ จึงเดินทำงไป, แม้พระเถระทั้งหลำยเที่ยวไป
  • 189. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 187 บิณฑบำตในบ้ำน มำถึงที่อยู่ อำบนำ้ำในแม่นำ้ำแห่งหนึ่งในระหว่ำงทำง นั่งบนหำดทรำย ทำำภัตกิจ. ในขณะนั้น บุรุษนั้นถึงที่นั้นแล้วได้ ยืนอยู่ ณ ที่สุดส่วนข้ำงหนึ่ง. ลำำดับนั้น พระเถระทั้งหลำยถำมเขำว่ำ " จะไปไหน ?" บุรุษนั้นบอกเนื้อควำมนั้นแล้ว. พระเถระทั้งหลำย เกิดควำมกรุณำในบุรุษนั้น จึงกล่ำวว่ำ " อุบำสก ท่ำนหิวจัด, จงไป นำำใบไม้มำแล้ว, พวกเรำจักให้ก้อนภัตรแก่ท่ำนรูปละก้อน " เมื่อเขำนำำ ใบไม้มำแล้ว; จึงคลุกด้วยแกงและกับ โดยทำำนองที่จะฉันด้วยตน ๆ ได้ให้ก้อนภัตรรูปละก้อน. ทรำบว่ำ ธรรมเนียมมีดังนี้ ภิกษุผู้จะให้ ภัตรแก่ผู้มำถึงในเวลำฉัน ไม่ให้ภัตรตอนยอดโดยทำำนองที่จะฉันด้วยตนนั่นแล; เพรำะ ฉะนั้น ภิกษุแม้เหล่ำนั้น จึงได้ให้อย่ำงนั้น. บุรุษนั้นทำำภัตกิจแล้วไหว้พระเถระทั้งหลำย ถำม ว่ำ " ท่ำนขอรับ พวกพระผู้เป็นเจ้ำ ใคร ๆ นิมนต์ไว้หรือ ?" พวกภิกษุ. ไม่มีกำรนิมนต์ดอก อุบำสก, พวกมนุษย์ถวำยอำหำร เช่นนี้แหละทุก ๆ วัน. ทุคคตบุรุษคิดว่ำ " เรำแม้ขยันขันแข็งทำำงำนตลอดกำลเป็นนิตย์ ก็ไม่อำจได้อำหำรเช่นนี้, ประโยชน์อะไรของเรำด้วยกำรไปที่อื่น, เรำ จักเป็นอยู่ในสำำนักของภิกษุเหลำนี้นี่แหละ. " ลำำดับนั้น จึงกล่ำวกะภิกษุ เหล่ำนี้ว่ำ " กระผมปรำรถนำจะทำำวัตตปฏิบัติอยู่ในสำำนักของพวกพระ ผู้เป็นเจ้ำ. " พวกภิกษุ. ดีละ อุบำสก. ๑. อนำมัฏฐบิณฑบำต ภิกษุละเมิดธรรมเนียมนี้ ท่ำนปรับอำบัติทุกกฏ .
  • 190. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 188 [ ทุคคตบุรุษหนีพวกภิกษุไปเยี่ยมธิดำ ] เขำไปที่อยูของภิกษุเหล่ำนั้นกับภิกษุเหล่ำนั้น ทำำวัตตปฏิบัติ ่ เป็นอันดี ยังพวกภิกษุให้รักใคร่อย่ำงยิง โดยล่วงไป ๒ เดือน ่ ปรำรถนำจะไปเยียมธิดำ คิดว่ำ ่ " ถ้ำเรำจักอำำลำพวกพระผู้เป็นเจ้ำ, พระผู้เป็นเจ้ำทังหลำย จักไม่ปล่อยเรำ, ้ เรำจักไม่อำำลำละ " ดังนี้ แล้ว ก็ไม่บอกแก่ภิกษุเหล่ำนั้นเลยออกไปแล้ว. ทรำบว่ำ ข้อที่เขำ ไม่บอกพวกภิกษุหลีกไปเท่ำนั้น ได้เป็นควำมพลำดพลั้งอย่ำงขนำดใหญ่ , ก็ในหนทำงไปของบุรุษนั้น มีดงอยูแห่งหนึ่ง. ่ ในวันที่ ๗ เป็นวันของ โจร ๕๐๐ คน ผูทำำกำรบนบำนเทวดำว่ำ ้ " ผู้ใดจักเข้ำสู่ดงนี้, พวก เรำจักฆ่ำผู้นั้นแล้ว ทำำพลีกรรมแด่ท่ำน ด้วยเนื้อและเลือดของผู้นั้น แหละ " แล้วอยู่ในดงนั้น. [ เขำถูกโจรจับในกลำงดง ] เพรำะฉะนั้น ในวันที่ ๗ หัวหน้ำโจรขึ้นต้นไม้ตรวจดูพวกมนุษย์ เห็นบุรุษนั้นเดินมำ จึงได้ให้สัญญำแก่พวกโจร. โจรเหล่ำนั้นรู้ควำม ที่บุรุษนั้นเข้ำสุ่กลำงดง จึงล้อมจับเขำ ทำำกำรผูกอย่ำงมั่นคง สีไฟ ด้วยไม้สีไฟ ขนฟืนมำก่อเป็นกองไฟใหญ่ เสียมหลำวไว้. ้ บุรุษนั้น เห็นกิริยำโจรเหล่ำนั้น จึงถำมว่ำ " นำย ในที่นี้ ข้ำพเจ้ำไม่เห็น หมูและเนื้อเป็นต้นเลย, เหตุไร พวกท่ำนจึงทำำหลำวนี้ ?" พวกโจร. พวกเรำจักฆ่ำเจ้ำ ทำำพลีกรรมแก่เทวดำ ด้วยเนื้อ และเลือดของเจ้ำ. บรุษนั้นถูกมรณภัยคุกคำม มิได้คิดถึงอุปกำระนั้นของพวกภิกษุ
  • 191. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 189 เมื่อจะรักษำชีวิตของตนอย่ำงเดียวเท่ำนั้น จึงกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ " นำย ข้ำพเจ้ำเป็นคนกินเดน กินภัตรที่เป็นเดนเติบโต, ขึ้นชื่อว่ำคนกินเดน เป็นคนกำฬกัณณี; ก็พวกพระผู้เป็นเจ้ำ แม้ออกบวชจำกสกุลใดสกุลหนึ่ง เป็นกษัตริย์ทีเดียว; ภิกษุ ๓๑ รูปอยู่ในที่โน้น พวกท่ำนจงฆ่ำภิกษุ เหล่ำนั้นแล้วทำำกรรม, เทวดำของพวกท่ำนจักยินดี เป็นอย่ำงยิ่ง. " [ พวกโจรไปจับภิกษุเพื่อทำำพลีกรรม ] พวกโจรฟังคำำนั้นแล้วคิดว่ำ " คนนี้พูดดี, ประโยชน์อะไร ด้วยคนกำฬกัณณีนี้, พวกเรำจักฆ่ำพวกกษัตริยทำำพลีกรรม ์ " ดังนี้ แล้ว จึงกล่ำวว่ำ " มำเถิด, จงแสดงที่อยู่ของภิกษุเหล่ำนั้น " แล้วให้เขำนั่นแลเป็นผู้นำำทำง ถึงที่นั้นแล้ว ไม่เห็นภิกษุในท่ำม กลำงวิหำร จึงถำมเขำว่ำ " พวกภิกษุไปไหน ?. " เขำรู้กติกวัตร ของภิกษุเหล่ำนั้นเพรำะอยู่ถึง ๒ เดือน จึงกล่ำวอย่ำงนี้ว่ำ " พวก ภิกษุจักประชุมกันด้วยเสียงระฆัง. " หัวหน้ำโจรตีระฆังแล้ว, พวกภิกษุได้ยินเสียงระฆังคิดว่ำ " ใครตีระฆังผิดเวลำ, ควำมไม่ ผำสุกจักมีแก่ใคร " ดังนีแล้ว จึงมำนั่งบนแผ่นหินที่เขำแต่งตั้งไว้ ้ โดยลำำดับตรงกลำงวิหำร. พระสังฆเถระแลดูพวกโจรแล้ว ถำมว่ำ " อุบำสก ใครตีระฆังนี้. " หัวหน้ำโจรตอบว่ำ " ข้ำพเจ้ำเอง ขอรับ. " พระสังฆเถระ. เพรำะเหตุไร ? หัวหน้ำโจร. พวกข้ำพเจ้ำบนบำนเทพดำประจำำดงไว้, จัก
  • 192. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 190 จับภิกษุรูป ๑ ไป เพื่อต้องกำรทำำพลีกรรมแก่เทวดำนั้น. [ พวกภิกษุยอมตัวให้โจรจับ ] พระมหำเถระฟังคำำนั้นแล้ว จึงกล่ำวกะพวกภิกษุว่ำ " ผู้มี อำยุ ธรรมดำกิจเกิดแก่พวกน้อง ๆ ผู้เป็นพี่ชำยต้องช่วยเหลือ, ผมจักสละชีวิตของตนเพื่อพวกท่ำน ไปกับโจรเหล่ำนี้, ขออันตรำย จงอย่ำมีแก่ทุก ๆ ท่ำน, พวกท่ำนจงเป็นผู้ไม่ประมำททำำสมณธรรม เถิด. " พระอนุเถระกล่ำวว่ำ " ท่ำนขอรับ ธรรมดำกิจของพี่ชำย ย่อมเป็นภำระของน้องชำย, กระผมจักไป, ขอท่ำนทั้งหลำยจงเป็นผู้ไม่ ประมำทเถิด. " โดยอุบำยนี้ ชนแม้ทั้ง ๓๐ ลุกขึ้นพูดเป็นลำำดับว่ำ " ผมเอง ผมเอง. " ด้วยประกำรฉะนี้ ภิกษุทั้งหมดไม่เป็นบุตรของ มำรดำเดียวกันเลย, ไม่เป็นบุตรของบิดำเดียวกัน, ทังยังไม่สิ้นรำคะ, ้ แต่กระนั้นก็ยอมเสียสละชีวิตตำมลำำดับ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุที่เหลือ ; บรรดำภิกษุเหล่ำนั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่งชือว่ำสำมำรถกล่ำวว่ำ ่ " ท่ำนไป เถิด " มิได้มีเลย. [ สังกิจจสำมเณรยอมมอบตัวให้แก่โจร ] สังกิจจสำมเณรได้ฟังคำำของภิกษุเหล่ำนั้น จึงกล่ำวว่ำ " หยุด เถิด ท่ำนขอรับ, กระผมจักสละชีวิตเพื่อพวกท่ำนไปเอง. " พวกภิกษุ. ผูมีอำยุ เรำทั้งหมดแม้จักถูกฆ่ำรวมกัน ก็จักไม่ ้ ยอมสละเธอผู้เดียว. สำมเณร. เพรำะเหตุไร ? ขอรับ. พวกภิกษุ. ผูมีอำยุ เธอเป็นสำมเณรของพระธรรมเสนำบดี ้
  • 193. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 191 สำรีบตรเถระ, ถ้ำเรำจักสละเธอ, พระเถระจักติว่ำ ุ ' พวกภิกษุพำ สำมเณรของเรำไปมอบให้แก่พวกโจร, ' เรำไม่อำจจะสลัดคำำติเตียนนั้น ได้, ด้วยเหตุนั้น เรำจักไม่สละเธอ. สำมเณร. ท่ำนขอรับ พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำทรงส่งพวกท่ำน ไปยังสำำนักพระอุปัชฌำยะของกระผมก็ดี, พระอุปัชฌำยะของกระผม ส่งกระผมมำกับพวกท่ำนก็ดี, ได้ทรงเห็นเหตุอันนี้แล้วทั้งนั้น จึงส่ง มำ, หยุดเถิด ขอรับ, กระผมนี่แหละจักไปเอง. สำมเณรนั้นไหว้ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปแล้ว กล่ำวว่ำ " ท่ำนขอรับ ถ้ำโทษของกระผมมีอยู่, ขอท่ำนจงอดโทษ " ดังนี้ แล้วก็เดินออกไป. ควำมสลดใจอย่ำงใหญ่เกิดขึ้นแก่พวกภิกษุแล้ว, ตำเต็มไปด้วยนำ้ำตำ, เนื้อหัวใจสั่นแล้ว. พระมหำเถระพูดกะโจรว่ำ " อุบำสก เด็กนี้เห็น พวกท่ำนก่อไฟ เสียมหลำว ลำดใบไม้จักกลัว, ท่ำนทั้งหลำยพักสำมเณร ้ นี้ไว้ในที่ส่วนหนึ่ง พึงทำำกิจเหล่ำนั้น. " พวกโจรพำสำมเณรไปพักไว้ ในที่ส่วนหนึ่ง แล้วทำำกิจทังปวง. ้ [ นำยโจรลงมือฆ่ำสำมเณร ] ในเวลำเสร็จกิจ หัวหน้ำโจรชักดำบเดินเข้ำไปหำสำมเณร. สำมเณรเมื่อนั่งเข้ำฌำนมั่น. หัวหน้ำโจรแกว่งดำบฟันลงที่คอ สำมเณร. ดำบงอเอำคมกระทบคม. หัวหน้ำโจรนั้นสำำคัญว่ำ " เรำประหำรไม่ดี " จึงดัดดำบนั้นให้ตรงแล้วประหำรอีก. ดำบเป็น ดังใบตำลที่ม้วน ได้ร่นถึงโคนดำบ. แท้จริง บุคคลแม้จะเอำภูเขำ สิเนรุทับสำมเณรในเวลำนั้น ชือว่ำสำมำรถจะให้สำมเณรตำยไม่มี ่
  • 194. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 192 เลย, จะป่วยกล่ำวไปไยถึงว่ำจะเอำดำบฟันให้ตำย. หัวหน้ำโจรเห็น ปำฏิหำริย์นั้นแล้วคิดว่ำ " เมื่อก่อนดำบของเรำ ย่อมตัดเสำหินหรือตอไม้ ตะเคียนเหมือนหยวกกล้วย, บัดนี้ ดำบของเรำงอครำวหนึ่ง อีกครำว หนึ่งเกิดเป็นดังใบตำลม้วน; ดำบชื่อนี้ แม้ไม่มีในเจตนำ ยังรู้คุณของ สำมเณรนี้. เรำมีเจตนำยังไม่รู้. [ นำยโจรเลื่อมใสในปำฏิหำริย์ของสำมเณร ] นำยโจรทิ้งดำบลงที่พื้นดิน เอำอกหมอบแทบใกล้เท้ำของ สำมเณร เมื่อจะถำมว่ำ " ท่ำนเจ้ำข้ำ พวกผมเข้ำมำในดงนี้ เพรำะเหตุต้องกำรทรัพย์, บุรุษแม้มีประมำณพันคน เห็นพวกเรำแต่ ที่ไกลเทียวยังสั่น, ไม่อำจพูด ๒ - ๓ คำำได้, ส่วนสำำหรับท่ำนแม้เพียง ควำมสะดุงแห่งจิตก็มิได้มี, ้ หน้ำของท่ำนผ่องใสดังทองคำำ ในเบ้ำปำก และดังดอกกัณณิกำร์ที่บำนดี; เหตุอะไรกันหนอ ?" จึง กล่ำวคำถำนี้ว่ำ :- " ควำมหวำดเสียวไม่มแก่ท่ำน, ี ควำมกลัวก็ ไม่มี, วรรณะผ่องใสยิ่งนัก, เหตุไร ท่ำนจึง ไม่ครำ่ำครวญ ในเพรำะภัยใหญ่หลวงเห็นปำน นี้เล่ำ ?" สำมเณรออกจำกฌำน เมื่อจะแสดงธรรมแก่หัวหน้ำโจรนั้น จึงกล่ำวว่ำ " ท่ำนผู้เป็นนำยบ้ำน ขึนชื่อว่ำอัตภำพของพระขีณำสพ ้ ย่อมเป็นเหมือนภำระ (ของหนัก) ซึ่งวำงไว้บนศีรษะ, พระขีณำสพ นั้น เมื่ออัตภำพนั้นแตกไป ย่อมยินดีทีเดียว ย่อมไม่กลัวเลย "
  • 195. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 193 ดังนีแล้ว ได้กล่ำวคำถำเหล่ำนี้ว่ำ ้ :- " ท่ำนผู้เป็นนำยบ้ำน ทุกข์ทำงใจย่อมไม่มี แก่ทำนผู้ไม่มีควำมห่วงใย, ่ ท่ำนผูแสวงหำ- ้ คุณ สิ้นสัญโญชน์แล้ว ก้ำวล่วงภัยทุกอย่ำง ได้, ตัณหำอันนำำไปสู่ภพของพระขีณำสพนั้น สิ้นแล้ว, ท่ำนเห็นธรรมแล้วตำมเป็นจริง หรือ โดยถ่องแท้, ควำมตำย [ ของท่ำน ] หมดภัย ดังปลงภำระลง ฉะนั้น. " [ นำยโจรขอบรรพชำกะสำมเณร ] หัวหน้ำโจรนั้นฟังคำำสำมเณรนั้นแล้ว แลดูโจร ๕๐๐ คนพูดว่ำ " พวกท่ำนจักทำำอย่ำงไร ?" พวกโจร. ก็ท่ำนเล่ำ ? นำย. นำยโจร. กิจในท่ำมกลำงเรือนของฉันไม่มี เพรำะเห็น ปำฏิหำริย์ เห็นปำนนี้ก่อน, ฉันจักบวชในสำำนักพระผู้เป็นเจ้ำ. พวกโจร. ดีละ พ่อ. ลำำดับนั้น โจรทัง ๕๐๐ คนไหว้สำมเณรแล้วจึงขอบรรพชำ. ้ สำมเณรนั้นตัดผมและชำยผ้ำด้วยคมดำบของโจรเหล่ำนั้นเอง ย้อมด้วย ดินแดง ให้ครองผ้ำกำสำยะเหล่ำนั้น ให้ตงอยู่ในศีล ๑๐ เมื่อ ั้ พำสำมเณรเหล่ำนั้นไป คิดว่ำ " ถ้ำเรำจักไม่เยียมพระเถระทั้งหลำย ่ ไปเสีย, พระเถระเหล่ำนั้นจักไม่อำจทำำสมณธรรมได้, จำำเดิม แต่กำลที่พวกโจรจับเรำออกไป บรรดำพระเถระเหล่ำนั้น แม้รูปหนึ่ง
  • 196. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 194 ก็มิอำจอดกลั้นนำ้ำตำไว้ได้, เมื่อพระเถระเหล่ำนั้น คิดอยู่ว่ำ ' สำมเณรถูกโจรฆ่ำตำยแล้วหรือยังหนอ ' กัมมัฏฐำน จักไม่มงหน้ำ ุ่ ได้; [ สำมเณรกลับไปเยี่ยมพวกภิกษุ ] สำมเณรนั้นมีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวำรไปในที่นั้น, เมื่อ ภิกษุเหล่ำนั้นกลับได้ควำมเบำใจเพรำะเห็นตนแล้ว กล่ำวว่ำ " สังกิจจะ ผู้สตบุรุษ เธอได้ชีวิตแล้วหรือ ั ?" จึงตอบว่ำ " อย่ำงนั้นขอรับ, โจรเหล่ำนี้ใคร่จะฆ่ำกระผมให้ตำย ก็ไม่อำจฆ่ำได้ เลื่อมใสในคุณธรรม ของกระผม ฟังธรรมแล้วบวช: กระผมมำด้วยหวังว่ำ ' เยี่ยมท่ำนแล้ว จักไป. ' ขอท่ำนจงเป็นผู้ไม่ประมำททำำสมณธรรมเถิด, กระผมจักไป สำำนักพระศำสดำ " แล้วไหว้ภิกษุเหล่ำนั้น พำสำมเณรนอกนี้ไปยังสำำนัก พระอุปัชฌำยะ, เมื่อท่ำนถำมว่ำ " สังกิจจะ เธอได้อันเตวำสิกแล้ว หรือ ? " จึงตอบว่ำ " ถูกแล้ว ขอรับ " ดังนีแล้วเล่ำเรื่องนั้น, ้ ก็เมื่อพระเถระกล่ำวว่ำ ' สังกิจจะ เธอจงไป, เยียมพระศำสดำ. ' เธอ ่ รับว่ำ " ดีละ " แล้วไหว้พระเถระพำสำมเณรเหล่ำนั้นไปยังสำำนัก พระศำสดำ, แม้เมื่อพระศำสดำตรัสถำมว่ำ " สังกิจจะ เธอได้อันเตวำสิก แล้วหรือ ? " จึงกรำบทูลเรื่องนั้น. [ ผู้มีศีลประเสริฐกว่ำผู้ทุศีล ] พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " ได้ยินว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? ภิกษุ ทั้งหลำย, เมื่อพวกภิกษุทูลรับว่ำ " อย่ำงนั้น พระเจ้ำข้ำ " จึง ๑. ถือเอำควำมว่ำ ไม่เป็นอันตั้งหน้ำทำำกัมมัฏฐำนได้.
  • 197. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 195 ตรัสว่ำ " ควำมตังอยู่ในศีลแล้วเป็นอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ ประเสริฐ ้ กว่ำกำรที่ท่ำนทำำโจรกรรมตังอยู่ในทุศีลเป็นอยู่ตง ๑๐๐ ปี ้ ั้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตงมั่น พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ั้ ควำมเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีลมีฌำนประเสริฐกว่ำ (ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น). " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ทุสฺสีโล คือ ไม่มีศีล. บทว่ำ สีลวนฺตสฺส ควำมว่ำ ควำมเป็นอยู่แม้วันเดียว คือ แม้สักครู่เดียวของผูมีศีล มีฌำน ด้วยฌำน ๒ ประกำร ประเสริฐ คือ ้ สูงสุดกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีของผู้ทุศีล. ในเวลำจบเทศนำ ภิกษุแม้ ๕๐๐ นั้นบรรลุพระอรหัตพร้อม ด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย, ้ ธรรมเทศนำได้มีประโยชน์แม้แก่มหำชน ผู้ประชุมกัน. [ ประวัติอธิมุตตกสำมเณร ] โดยสมัยอื่นอีก สังกิจจะได้อุปสมบทแล้วมีพรรษำ ๑๐ จึง รับสำมเณรไว้. ก็สำมเณรนั้นเป็นหลำนของท่ำนเอง ชืออธิมุตตก- ่ สำมเณร. ครั้งนั้น พระเถระเรียกสำมเณรนั้นมำในเวลำมีอำยุครบ ส่งไปด้วยคำำว่ำ " เรำจักทำำกำรอุปสมบทเธอ, จงไป, ถำมจำำนวนอำยุ ในสำำนักพวกญำติแล้วจงมำ. " อธิมตตกสำมเณรนั้น เมื่อไปสำำนักของ ุ มำรดำบิดำ ถูกพวกโจร ๕๐๐ คนจะฆ่ำให้ตำยเพื่อต้องกำรทำำพลีกรรม
  • 198. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 196 ในระหว่ำงทำง แสดงธรรมแก่โจรเหล่ำนั้นเป็นผู้อันพวกโจรมีจิตเลื่อมใส ปล่อยไปด้วยคำำว่ำ " ท่ำนไม่พึงบอกควำมที่พวกผมมีอยู่ในที่นี้แก่ใคร ๆ " เห็นมำรดำบิดำเดินสวนทำงมำก็รักษำสัจจะไม่บอกแก่มำรดำบิดำเหล่ำนั้น แม้เดินไปทำงนั้นนั่นแหละ. เมื่อมำรดำบิดำนั้นถูกพวกโจรเบียดเบียน ครำ่ำครวญพูดว่ำ " ชะรอยว่ำแม้ท่ำนก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกโจรจึง ไม่บอกแก่เรำ " โจรเหล่ำนั้นได้ยินเสียงแล้ว รู้ควำมที่สำมเณรไม่บอก แก่มำรดำบิดำ ก็มีจตเลื่อมใสขอบรรพชำ. ิ แม้อธิมตตกสำมเณรนั้นก็ ุ ยังโจรเหล่ำนั้นทั้งหมดให้บวชแล้ว เหมือนสังกิจจสำมเณร นำำมำยังสำำนัก พระอุปัชฌำย์ ผูอันพระอุปัชฌำย์นั้นส่งไปยังสำำนักพระศำสดำ พำภิกษุ ้ เหล่ำนั้นไปกรำบทูลเรื่องนั้นแด่พระศำสดำแล้ว. พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " เขำว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลำย " เมื่อพวกภิกษุทูลว่ำ " ถูกแล้ว พระเจ้ำข้ำ " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรมโดยนัยก่อนนั้นแล จึง ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตงมั่น พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ั้ ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของผู้มีศีล มีฌำน ประเสริฐ กว่ำ [ ควำมเป็นอยูของผู้นั้น]. ่ " (ชื่อเรื่องอธิมุตตกสำมเณร) แม้นี้ ข้ำพเจ้ำก็กล่ำวไว้แล้วด้วย พระคำถำนี้เหมือนกัน. เรื่องสังกิจจสำมเณร จบ.
  • 199. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 197 ๑๐. เรื่องพระขำนุโกณฑัญญะเถระ [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระขำนุ- โกณฑัญญะ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ วสฺสสต ชีเว " เป็นต้น. [ พระเถระนั่งเข้ำฌำน โจรเอำห่อของทับไม่รู้สึก ] ได้ยินว่ำ พระเถระนั้นเรียนกัมมัฏฐำนในสำำนักพระศำสดำอยู่ ในป่ำ บรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่ำ " จักทูลพระศำสดำ " เมื่อมำ จำกที่นั้นเหน็ดเหนื่อยในระหว่ำงทำง แวะจำกทำงนังเข้ำฌำนบน ่ ศิลำดำดผูกห่อสิ่งของตำมสมควรแก่กำำลังของตน เอำศีรษะเทินเดินไป ครั้น เดินไปไกลก็เหน็ดเหนื่อย คิดว่ำ ' เรำมำไกลแล้ว, จักพักเหนื่อยบน ศิลำดำดนี้ ' แวะจำกทำงไปยังที่ใกล้ศิลำดำด แม้เห็นพระเถระแล้ว ก็มีควำมสำำคัญว่ำ " นี่เป็นตอไม้. " ลำำดับนั้น โจรคนหนึ่งวำงห่อ สิ่งของลงบนศีรษะพระเถระ. โจรคนอื่น ๆ ก็วำงห่อสิ่งของพิงพระ เถระนั้น. ด้วยประกำรฉะนี้ โจรแม้ทง ๕๐๐ คน เอำห่อสิงของ ๕๐๐ ั้ ่ ห่อล้อมรอบพระเถระ แม้ตนเองก็นอนหลับ ตื่นในเวลำอรุณขึ้น คว้ำห่อของตน ๆ ได้เห็นพระเถระก็เริ่มจะหนีไป ด้วยสำำคัญว่ำ " เป็นอมนุษย์. " ทันใดนั้น พระเถระกล่ำวกะพวกโจรนั้นว่ำ " อย่ำกลัวเลย * พระมหำโปร่ง ).ธ. ๙ วัดบวรนิเวศ ฯ แปล. ๑. ปิฏฺฐิปำสำเณ บนแผ่นหินมี หลัง.
  • 200. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 198 อุบำสก, ฉันเป็นบรรพชิต. " โจรเหล่ำนั้นหมอบลงที่ใกล้เท้ำพระเถระ ให้พระเถระอดโทษด้วยคำำว่ำ " โปรดอดโทษเถิด ขอรับ, พวก กระผมได้สำำคัญว่ำตอไม้, " เมื่อหัวหน้ำโจรบอกว่ำ " เรำจักบวชใน สำำนักพระผู้เป็นเจ้ำ, " พวกโจรที่เหลือก็กล่ำวว่ำ " แม้พวกเรำ ก็จักบวช " มีฉันทะเป็นอันเดียวกันทั้งหมดเทียว ขอบรรพชำกะ พระเถระ. พระเถระให้โจรเหล่ำนั้นทั้งหมดบวช ดุจสังกิจจสำมเณร. จำำเดิมแต่นั้น พระเถระปรำกฏชื่อว่ำ " ขำนุโกณฑัญญะ. " ท่ำน ไปสำำนักพระศำสดำพร้อมด้วยภิกษุเหล่นั้น, เมื่อพระศำสดำตรัส ถำมว่ำ โกณฑัญญะ เธอได้อันเตวำสิกแล้วหรือ ? จึงกรำบทูลเรื่องนั้น. [ คนมีปัญญำดีกว่ำคนทรำมปัญญำ ] พระศำสดำตรัสถำมว่ำ " เขำว่ำอย่ำงนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลำย " เมื่อภิกษุเหล่ำนั้นทูลรับว่ำ " ถูกแล้ว พระเจ้ำข้ำ, พวกข้ำพระองค์ ไม่เคยเห็นอำนุภำพเห็นปำนนั้นของผู้อื่นเลย, ด้วยเหตุนั้น พวก ข้ำพระองค์จึงบวช. " จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ควำมเป็นอยูแม้วัน่ เดียวของพวกเธอ ผูประพฤติในปัญญำสัมปทำในบัดนี้ ประเสริฐ ้ กว่ำควำมตั้งอยูในกรรมของผู้มปัญญำทรำมเห็นปำนนั้น เป็นอยู่ตง ่ ี ั้ ๑๐๐ ปี " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส พระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใดมีปญญำทรำม มีใจไม่ตงมั่น พึงเป็นอยู่ ั ั้ ๑๐๐ ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีปัญญำมีฌำน ประเสริฐกว่ำ [ ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น ]. "
  • 201. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 199 [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ทุปฺปญฺโญ ควำมว่ำ ผู้ไร้ปัญญำ. บทว่ำ ปญฺญวนฺตสฺส ควำมว่ำ ผู้เป็นไปกับด้วยปัญญำ. คำำที่เหลือเช่นเดียวกับคำำมีในก่อนนั่นแล. ในกำลจบเทสนำ ภิกษุแม้ ๕๐๐ รูป บรรลุพระอรหัต พร้อม ด้วยปฏิสัมภิทำแล้ว, พระธรรมเทศนำได้มีประโยชน์แม้แก่มหำชน ผู้ประชุมกัน ดังนีแล. ้ เรื่องพระขำนุโกณฑัญญะเถระ จบ.
  • 202. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 200 ๑๑. เรื่องพระสัปปทำสเถระ [ ข้อควำมเบื้อง ต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ สัปปทำสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ วสฺสสต ชีเว " เป็นต้น. [ พระเถระให้งูกัดตัว ] ดังได้สดับมำ กุลบุตรผู้หนึ่งในกรุงสำวัตถี ฟังพระธรรม- เทศนำของพระศำสดำแล้ว บรรพชำได้อุปสมบทแล้ว โดยสมัยอื่น อีก กระสันขึ้น จึงคิดว่ำ " ชื่อว่ำภำวะแห่งคฤหัสถ์ ไม่ควรแก่ กุลบุตรเช่นเรำ. แม้กำรดำำรงอยู่ในบรรพชำแล้วตำยไป เป็นควำม ดีของเรำ " ดังนีแล้ว ก็เที่ยวคำำนึงหำอุบำยเพื่อมรณะของตนอยู่. ้ ภำยหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลำยสรงนำ้ำแต่เช้ำตรู่ ทำำภัตกิจ เสร็จแล้ว ไปสู่วิหำร เห็นงูที่โรงไฟ จึงใส่งูนั้นไว้ในหม้อใบหนึ่ง ปิดหม้อแล้วถือออกจำกวิหำร. ฝ่ำยภิกษุผู้กระสัน ทำำภัตกิจแล้ว เดินมำเห็นภิกษุเหล่ำนั้น จึงถำมว่ำ " ? ผู้มีอำยุ " เมื่อ นี่อะไร พวกภิกษุตอบว่ำ " งู ผูมีอำยุ " จึงถำมว่ำ " จักทำำอะไรด้วยงูนี้ ? " ้ ฟังคำำของภิกษุเหล่ำนั้นว่ำ " เรำจักทิ้งมัน " คิดว่ำ " เรำจักให้งูนี้ กัดตัวตำยเสีย " จึงกล่ำวว่ำ " นำำมำเถิด, กระผมจักทิ้งมันเอง " รับหม้อจำกมือของภิกษุเหล่ำนั้นแล้ว นั่งอยู่ในที่แห่งหนึ่งแล้ว ก็ * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 203. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 201 ให้งูนั้นกัดตน. งูไม่ปรำรถนำจะกัด. ภิกษุนั้นเอำมือล้วงลงในหม้อ แล้ว ก็คนข้ำงโน้นข้ำงนี้, เปิดปำกงูแล้วสอดนิ้วมือเข้ำไป. งูก็ ไม่กัดเธอเลย. เธอคิดว่ำ " งูนี้มิใช่งูมีพิษ, เป็นงูเรือน " จึงทิงงู ้ นั้นแล้วได้ไปยังวิหำร. ลำำดับนั้น ภิกษุทั้งหลำยกล่ำวกะเธอว่ำ " ผูมีอำยุ ท่ำนทิงงู ้ ้ แล้วหรือ ?" ภิกษุกระสัน. ผูมีอำยุ นั้นจะไม่ใช่งู ้ (พิษ), นั่นเป็นงูเรือน. ภิกษุ. ผูมีอำยุ งู (พิษ) ทีเดียว แผ่แม่เบี้ยใหญ่ ขู่ฟู่ฟู่ พวก ้ ผมจับได้โดยยำก, เพรำะเหตุไร ท่ำนจึงว่ำอย่ำงนี้ ? ภิกษุกระสัน. ผูมีอำยุ ผมให้มันกัดอวัยวะบ้ำง สอดนิ้วมือ ้ เข้ำไปในปำกบ้ำง ก็ไม่อำจให้มันกัดได้. พวกภิกษุฟังคำำนั้นแล้ว ได้นิ่งเสีย. [ พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วมีชื่อว่ำสัปปทำสะ ] ภำยหลังวันหนึ่ง ช่ำงกัลบกถือมีดโกน ๒ - ๓ เล่ม ไปวิหำร วำงมีดโกนเล่มหนึ่งไว้ที่พื้น เอำเล่มหนึ่งปลงผมของภิกษุทั้งหลำย. ภิกษุกระสันนั้น จับมีดโกนเล่มที่เขำวำงไว้ที่พื้นแล้ว คิดว่ำ " จักตัด คอด้วยมีดโกนนี้ตำย " จึงยืนพำดคอไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว จ่อคม มีดโกนที่ก้ำนคอ ใคร่ครวญถึงศีลของตน จำำเดิมแต่กำลอุปสมบท ได้ เห็นศีลหมดมลทิน ดังดวงจันทร์ปรำศจำกมลทิน และดังดวงมณีที่ ขัดดี. เมื่อเธอตรวจดูศีลนั้นอยู่, ปีติเกิดแผ่ซ่ำนทั่วทั้งสรีระ. เธอข่ม
  • 204. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 202 ปีติได้แล้ว เจริญวิปัสสนำ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำ ทั้งหลำย จึงถือมีดโกนเข้ำไปท่ำมกลำงวิหำร. ลำำดับนั้น ภิกษุ ทั้งหลำย ถำมเธอว่ำ " ผู้มีอำยุ ท่ำนไปไหน ? " ภิกษุกระสัน. ผูมีอำยุ ผมไปด้วยคิดว่ำ ' จักเอำมีดโกนนี้ตัด ้ ก้ำนคอตำย. ' ภิกษุ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพรำะเหตุไร ท่ำนจึงไม่ตำย ? ภิกษุกระสัน. บัดนี้ ผมเป็นผู้ไม่ ควรนำำศัสตรำผมคิดได้ว่ำ '' จักตัดก้ำนคอ ด้วยมีดโกนนี้ ' แต่ตัดกิเลสเสียสิ้นด้วย มีดโกนคือญำณ. พวกภิกษุกรำบทูลแด่พระผู้มีพระภำคว่ำ " ภิกษุนี้ พยำกรณ์ พระอรหัตด้วยคำำที่ไม่เป็นจริง. " พระผูมีพระภำคทรงสดับคำำของ ้ ภิกษุเหล่ำนั้น จึงตรัสว่ำ " ภิกษุทั้งหลำย ธรรมดำพระขีณำสพ ย่อมไม่ปลงตนจำกชีวิตด้วยมือตนเอง. ภิกษุ. พระเจ้ำข้ำ พระองค์ตรัสภิกษุนี้ว่ำ ' เป็นพระขีณำสพ, ' ก็ภิกษุนี้ สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอย่ำงนี้ เหตุไรจึงกระสัน ? อะไรเป็นเหตุแห่งอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของภิกษุนั้น; เหตุไรงูนั้นจึง ไม่กัดภิกษุนั้น. พระศำสดำ. ภิกษุทั้งหลำย งูนั้นได้เป็นทำสของภิกษุนี้ใน อัตภำพที่ ๓ จำกอัตภำพนี้ก่อน, มันไม่อำจจะกัดสรีระของผู้เป็นนำย ของตนได้. " พระศำสดำทรงบอกเหตุอย่ำงหนึ่งแก่ภิกษุเหล่ำนั้น ด้วยประกำร ๑. นี้เป็นสำำนวน หมำยควำมว่ำ ฆ่ำตัวตำย.
  • 205. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 203 ฉะนี้ก่อน. ก็ตงแต่นั้นมำ ภิกษุนั้นได้ชื่อว่ำสัปปทำสะ. ั้ [ บุรพกรรมของพระสัปปทำสเถระ ] ดังได้สดับมำ ในกำลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้ำ บุตรแห่ง คฤหบดีผู้หนึ่ง ฟังธรรมของพระศำสดำแล้ว เกิดควำมสลดใจ จึงบรรพชำ ได้อุปสมบทแล้ว, โดยสมัยอื่นอีก เมื่อควำมเบื่อหน่ำย เกิดขึ้น, จึงบอกแก่ภิกษุผู้สหำยรูปหนึ่ง. สหำยนั้นกล่ำวโทษในภำวะ แห่งคฤหัสถ์แก่เธอเนือง ๆ. ภิกษุนอกนี้ฟังคำำนั้นแล้ว ก็ยินดียง ิ่ ในพระศำสนำ จึงนังขัดสมณบริขำรทั้งหลำยซึงมลทินจับในเวลำ ่ ่ ที่หน่ำยก่อน ให้หมดมลทิน ใกล้ขอบสระแห่งหนึ่ง. ฝ่ำย สหำยของภิกษุนั้นนั่งในที่ใกล้นั้นเอง. ลำำดับนั้น ภิกษุนั้นกล่ำว กะสหำยนั้นอย่ำงนี้ว่ำ " ผู้มีอำยุ ผมเมื่อสึก ได้ปรำรถนำจะถวำย บริขำรเหล่ำนี้แก่ท่ำน. " สหำยนั้นเกิดโลภขึ้นคิดว่ำ " เรำจะ ต้องกำรอะไรด้วยภิกษุนี้ผยังบวชหรือสึกเสีย, ู้ บัดนี้ เรำจักยัง บริขำรทังหลำยให้ฉิบหำย. ้ " ตังแต่นั้นมำ สหำยนั้นพูดเป็นต้นว่ำ ้ " ผู้มีอำยุ บัดนี้จะประโยชน์อะไรด้วยชีวิตของพวกเรำ ผูซึ่งมีมือ ้ ถือกระเบื้อง เที่ยวไปเพื่อก้อนข้ำวในสกุลผู้อื่น ? (ทัง) ้ ไม่ทำำ กำรสนทนำปรำศรัยกะบุตรและภรรยำ " ดังนีแล้ว ก็กล่ำวคุณ ้ แห่งภำวะของคฤหัสถ์. ภิกษุนั้นฟังคำำของสหำยนั้นแล้ว ก็กระสัน ขึ้นอีก คิดว่ำ " สหำยนี้เมื่อเรำกล่ำวว่ำ ' ผมกระสัน, ก็กล่ำวโทษ ในภำวะแห่งคฤหัสถ์ก่อน บัดนี้ กล่ำวถึงคุณเนือง ๆ, เหตุอะไร
  • 206. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 204 หนอแล ? รู้ว่ำ " เพรำะควำมโลภในสมณบริขำรเหล่ำนี้ " จึง กลับจิตของตนเสียด้วยตนเองทีเดียว. เพรำะควำมที่ภิกษุรูปหนึ่ง ถูกตนทำำให้กระสันแล้ว ในกำลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้ำ บัดนี้ควำม เบื่อหน่ำยจึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ด้วยประกำรฉะนี้. ก็สมณธรรมใด อันภิกษุนั้นบำำเพ็ญมำ ๒ หมื่นปีครั้งนั้น, สมณธรรมนั้นเกิดเป็น อุปนิสัยแห่งพระอรหัตของภิกษุนั้น ในกำลบัดนีแล. ้ [ ชีวิตของผู้ปรำรภควำมเพียรวันเดียวประเสริฐ ] ภิกษุเหล่ำนั้นฟังเนื้อควำมนี้จำกสำำนักพระผู้มีพระภำคแล้ว จึง ทูลถำมยิงขึ้นว่ำ ่ " พระเจ้ำข้ำ ได้ยินว่ำภิกษุนี้ยืนจดคมมีดโกนที่ก้ำน คออยู่เทียวบรรลุพระอรหัต, พระอรหัตมรรคเกิดขึ้นได้โดยขณะ เพียงเท่ำนั้นหรือหนอแล ?" พระศำสดำตรัสว่ำ " อย่ำงนั้น ภิกษุทั้งหลำย, เมื่อภิกษุ ผู้ปรำรภควำมเพียร ยกเท้ำขึ้นวำงบนพื้น เมือเท้ำยังไม่ทันถึงพื้น ่ เลย พระอรหัตมรรคก็ได้เกิดขึ้น; แท้จริง ควำมเป็นอยู่แม้เพียง ชั่วขณะของท่ำนผู้ปรำรภควำมเพียร ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของบุคคลผู้เกียจคร้ำน " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดง ธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใดเกียจคร้ำนมีควำมพยำยำมอันทรำม พึง เป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียวของ ท่ำนผู้ปรำรภควำมเพียรมั่น ประเสริฐกว่ำชีวิต ของผู้นั้น. "
  • 207. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 205 [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ กุสตีโต ได้แก่บุคคลผู้ยังเวลำให้ ล่วงไปด้วยวิตก ๓ มีกำมวิตกเป็นต้น. บทว่ำ หีนวีริโย คือไร้ควำมเพียร. บำทพระคำถำว่ำ วิริย อำรภโต ทฬฺห ควำมว่ำ ผู้ปรำรภ ควำมเพียรมั่นคง ซึงสำมำรถยังฌำน ๒ ประกำรให้เกิด. ่ คำำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำำมีในก่อนนั่นแล. ในกำลจบเทศนำ ชนเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทั้งหลำยมี โสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระสัปปทำสเถระ จบ.
  • 208. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 206 ๑๒. เรื่องนำงปฏำจำรำ [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ ปฏำจำรำเถรี ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ " โย จ วสฺสสต ชีเว " เป็นต้น. [ ควำมรักไม่เลือกชั้นชั้นวรรณะ ] ดังได้สดับมำ นำงปฏำจำรำนั้นได้เป็นธิดำของเศรษฐีผู้มีสมบัติ ๔๐ โกฏิในกรุงสำวัตถี มีรูปงำม. ในเวลำนำงมีอำยุ ๑๖ ปี มำรดำ บิดำเมื่อจะรักษำ จึงให้นำงอยู่บนชั้นปรำสำท ๗ ชัน. ้ ถึงเมื่อเป็น เช่นนั้น นำงก็ยังสมคบกับคนรับใช้คนหนึ่งของตน. ครังนั้นมำรดำ ้ บิดำของนำงยกให้แก่ชำยหนุ่มคนหนึ่ง ในสกุลที่มีชำติเสมอกันแล้ว กำำหนดวันวิวำหะ. เมื่อวันวิวำหะนั้นใกล้เข้ำมำ, นำงจึงพูดกะคน รับใช้ผู้นั้นว่ำ " ได้ยินว่ำ มำรดำบิดำจักยกฉันให้แก่สกุลโน้น, ใน กำลที่ฉันไปสู่สกุลผัว ท่ำนแม้ถือบรรณกำรเพื่อฉันมำแล้ว ก็จัก ไม่ได้เข้ำไปในที่นั้น, ถ้ำท่ำนมีควำมรักในฉัน, ก็จงพำฉันหนีไปโดย ทำงใดทำงหนึ่งในบัดนี้นี่แล. " คนรับใช้นั้นรับว่ำ " ดีละ นำงผู้ เจริญแล้วกล่ำวว่ำ ถ้ำอย่ำงนั้นฉันจักยืนอยู่ในที่ชื่อโน้นแห่งประตูเมือง แต่เวลำเช้ำตรู่พรุ่งนี้, หล่อนพึงออกไปด้วยอุบำยอย่ำงหนึ่งแล้ว มำใน ที่นั้น " ในวันที่ ๒ ก็ได้ยืนอยู่ในที่นัดหมำยกันไว้. * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 209. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 207 [ นำงปฏำจำรำหนีไปกับคนรับใช้ ] ฝ่ำยธิดำเศรษฐีนั้นนุ่งผ้ำปอน ๆ สยำยผม เอำรำำทำสรีระ ถือหม้อนำ้ำ ออกจำกเรือนเหมือนเดินไปกับพวกทำสี ได้ไปยังที่นั้น แต่เช้ำตรู่. ชำยคนรับใช้นั้นพำนำงไปไกลแล้ว สำำเร็จกำรอำศัยอยู่ใน บ้ำนแห่งหนึ่ง ไถนำในป่ำแล้ว ได้นำำฟืนและผักเป็นต้นมำ, ธิดำ เศรษฐีนอกนี้เอำหม้อนำ้ำมำแล้ว ทำำกิจมีกำรตำำข้ำวและหุงต้มเป็นต้น ด้วยมือตนเอง เสวยผลแห่งควำมชั่วของตน. ครั้งนั้น สัตว์เกิด ในครรภ์ตั้งขึ้นในท้องของนำงแล้ว. นำงมีครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอน สำมีว่ำ " ใคร ๆ ผูอุปกำระของเรำไม่มีในที่นี้, ้ ธรรมดำมำรดำ บิดำ เป็นผู้มีใจอ่อนโยนในบุตรทังหลำย, ้ ท่ำนจงนำำฉันไปยังสำำนักของ ท่ำนเถิด, ฉันจักคลอดบุตรในที่นั้น. " สำมีนั้นคัดค้ำนว่ำ " นำงผู้เจริญ เจ้ำพูดอะไร ? มำรดำบิดำเจ้ำเห็นฉันแล้ว พึงทำำกรรมกรณ์มีอย่ำง ต่ำง ๆ ฉันไม่อำจไปในที่นั้นได้. " นำงแม้อ้อนวอน แล้ว ๆ เล่ำ ๆ เมื่อไม่ได้ควำมยินยอม ในเวลำที่สำมีไปป่ำ จึงเรียกคนผู้คุ้นเคย มำสั่งว่ำ " ถ้ำเขำมำไม่เห็นจักถำมว่ำ " ฉันไปไหน ? พวกท่ำน พึงบอกควำมที่ฉันไปสู่เรือนแห่งตระกูลของตน " ดังนี้แล้ว ก็ปิดประตู เรือนหลีกไป. ฝ่ำยสำมีนั้นมำแล้ว ไม่เห็นภรรยำนั้นจึงถำมคนคุ้นเคย ฟัง เรื่องนั้นแล้ว ก็ตดตำมไปด้วยคิดว่ำ ิ " จักให้นำงกลับ " พบนำงแล้ว แม้จะอ้อนวอนมีประกำรต่ำง ๆ ก็มิอำจให้นำงกลับได้. ทีนั้น ลมกัมมัชวำตของนำงปั่นป่วนแล้วในที่แห่งหนึ่ง. นำง
  • 210. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 208 เข้ำไปในระหว่ำงพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง พูดว่ำ " นำย ลมกัมมัชวำตของฉัน ปั่นป่วนแล้ว " นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน คลอดเด็กโดยยำกแล้ว คิดว่ำ " เรำพึงไปสู่เรือนแห่งตระกูลเพื่อประโยชน์ใด, ประโยชน์นั้น สำำเร็จแล้ว " จึงมำสู่เรือนกับด้วยสำมี สำำเร็จกำรอยู่กันอีกเทียว. สมัยอื่น ครรภ์ของนำงตังขึ้นอีก. ้ นำงเป็นผู้มีครรภ์แก่แล้ว จึงอ้อนวอนสำมีโดยนัยก่อนนั่นแล เมื่อไม่ได้ควำมยินยอม จึงอุ้ม บุตรด้วยสะเอวหลีกไปอย่ำงนั้นนั่นแล แม้ถูกสำมีนั้นติดตำมพบแล้ว ก็ ไม่ปรำรถนำจะกลับ. ครังนั้น เมื่อชนเหล่ำนั้นเดินไปอยู่, ้ มหำเมฆอันมิใช่ฤดูกำลเกิด ขึ้น. ท้องฟ้ำได้มีท่อธำรตกลงไม่มีระหว่ำง ดังสำยฟ้ำฟำดแผดเผำอยู่ โดยรอบ ดังจะทำำลำยลงด้วยเสียงแผดแห่งเมฆ. ในขณะนั้น ลม กัมมัชวำตของนำงปั่นป่วนแล้ว. นำงเรียกสำมีมำกล่ำวว่ำ " นำย ลมกัมมัชวำตของฉันปั่นป่วนแล้ว, ฉันไม่อำจจะทนได้, ท่ำนจงรู้ สถำนที่ฝนไม่รดฉันเถิด. " สำมีนั้นมีมีดอยู่ในมือ ตรวจดูข้ำง โน้นข้ำงนี้ เห็นพุ่มไม้ซงเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่ง เริ่มจะตัด. ึ่ ลำำดับนั้น อสรพิษมีพิษร้ำยกำจเลื้อยออกจำกจอมปลวก กัดเขำ. ในขณะนั้นนั่นแล สรีระของเขำมีสีเขียวดังถูกเปลวไฟอันตั้งขึ้นใน ภำยในไหม้อยู่ ล้มลงในที่นั้นนั่นเอง. ฝ่ำยภรรยำนอกนี้เสวยทุกข์ อย่ำงมหันต์ แม้มองดูทำงมำของเขำอยู่ ก็มิได้เห็นเขำเลย จึงคลอด บุตรคนอื่นอีก. ทำรกทั้ง ๒ ทนกำำลังแห่งลมและฝนไม่ได้ ก็ร้องไห้ ลั่น. นำงเอำทำรกแม้ทั้ง ๒ คนนั้นไว้ที่ระหว่ำงอุทร ยืนท้ำวแผ่นดิน
  • 211. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 209 ด้วยเข่ำและมือทั้ง ๒ ให้รำตรีล่วงไปแล้ว. สรีระทั้งสิ้นได้เป็นดังสีใบ ไม้เหลือง เหมือนไม่มีโลหิต. เมื่ออรุณขึ้นนำงอุ้มบุตรคนหนึ่งซึ่ง มีสีดงชิ้นเนื้อด้วยสะเอว จูงบุตรนอกนี้ด้วยนิ้วมือกล่ำวว่ำ ั " มำเถิด พ่อ, บิดำเจ้ำไปโดยทำงนี้ " ดังนี้แล้ว ก็เดินไปตำมทำงที่สำมีไป เห็นสำมี นั้นล้มตำยบนจอมปลวกมีสีเขียวตัวกระด้ำง ร้องไห้รำำพันว่ำ " เพรำะ อำศัยเรำ สำมีของเรำจึงตำยที่หนทำงเปลี่ยว " ดังนีแล้วก็เดินไป. ้ นำงเห็นแม่นำ้ำอจิรวดี เต็มเปี่ยมด้วยนำ้ำมีประมำณเพียงหัวเข่ำมีประมำณเพียงนม เพรำะฝนตกตลอดคืนยันรุ่ง ไม่อำจลงนำ้ำพร้อม ด้วยทำรก ๒ คนได้ เพรำะตนมีควำมรู้อ่อน จึงพักบุตรคนใหญ่ไว้ ที่ฝงนี้ อุมบุตรคนเล็กนอกนี้ไปฝั่งโน้น ลำดกิ่งไม้ไว้ให้บุตรนอน ั่ ้ แล้ว คิดว่ำ " จักไปที่อยู่ของบุตรนอกนี้ " ไม่อำจละบุตรอ่อนได้ กลับแลดูแล้ว ๆ เล่ำ ๆ เดินไป. ครั้นในเวลำที่นำงถึงกลำงแม่นำ้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กนั้น จึงโฉบลงมำจำกอำกำศ ด้วยสำำคัญว่ำ " เป็นชิ้นเนื้อ. " นำงเห็นมันโฉบลงเพื่อต้องกำรบุตร จึงยกมือทั้ง ๒ ขึ้นร้องเสียงดัง ๓ ครั้งว่ำ " สู สู " เหยี่ยวไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย เพรำะไกลกัน จึงเฉี่ยวเด็กบินขึ้นสู่เวหำสไปแล้ว. แม้บุตรผูยืน ้ อยู่ทฝั่งนี้ เห็นมำรดำยกมือทั้ง ๒ ขึน ร้องเสียงดังที่ทำมกลำงแม่นำ้ำ ี่ ้ ่ จึงกระโดดลงในแม่นำ้ำโดยเร็วด้วยสำำคัญว่ำ " มำรดำเรียกเรำ. " เหยี่ยว เฉี่ยวบุตรอ่อนของนำงไป บุตรคนโตถูกนำ้ำพัดไป ด้วยประกำรฉะนี้. ๑. ฉบับสีหล ชำนุปฺปมำณ ไม่มี.
  • 212. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 210 [ นำงทรำบข่ำวว่ำมำรดำบิดำตำยอีก ] นำงเดินร้องไห้รำำพันว่ำ " บุตรของเรำคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยว ไป, ตนหนึ่งถูกนำ้ำพัดไป, สำมีก็ตำยในเสียในที่เปลี่ยว, " พบบุรุษ ผู้หนึ่งเดินมำแต่กรุงสำวัตถี จึงถำมว่ำ " พ่อ ท่ำนอยู่ที่ไหน ?" บุรุษ. ฉันอยู่ในกรุงสำวัตถี แม่. ธิดำเศรษฐี. ตระกูลชื่อโน้นเห็นปำนนี้ใกล้ถนนโน้นในกรุง สำวัตถีมีอยู่, ทรำบไหม ? พ่อ. บุรุษ. ฉันทรำบ แม่, แต่อย่ำถำมถึงตระกูลนั้นเลย; ถ้ำท่ำน รู้จักตระกูลอื่น, ก็จงถำมเถิด. ธิดำเศรษฐี. กรรมด้วยตระกูลอื่นของฉันไม่มี, ฉันถำมถึง ตระกูลนั้นเท่ำนั้นแหละ พ่อ. บุรุษ. แม่ ฉันบอกก็ไม่ควร. ธิดำเศรษฐี. บอกฉันเถิด พ่อ. บุรุษ. วันนี้ แม่เห็นฝนตกคืนยันรุ่งไหม ? ธิดำเศรษฐี. ฉันเห็น พ่อ, ฝนนั้นตกคืนยังรุ่งเพื่อฉันเท่ำนั้น ไม่ตกเพื่อคนอื่น, แต่ฉันจักบอกเหตุที่ฝนตกเพื่อฉันแก่ท่ำนภำยหลัง, โปรดบอกควำมเป็นไปในเรือนเศรษฐีนั้นแก่ฉันก่อน. บุรุษ. แม่ วันนี้ ในกลำงคืนเรือนล้มทับคนแม้ทง ๓ คือ ั้ เศรษฐี ๑ ภรรยำเศรษฐี ๑ บุตรเศรษฐี ๑, คนทั้ง ๓ นั้นถูกเผำ บนเชิงตะกอนอันเดียวกัน, แม่เอ๋ย ควันนั่นยังปรำกฏอยู่.
  • 213. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 211 ในขณะนั้น นำงไม่รู้สึกถึงผ้ำที่นุ่งซึงได้หลุดลง ถึงควำมเป็น ่ คนวิกลจริตยืนตะลึงอยู่ ร้องไห้รำำพันบ่นเพ้อเซซวนไปว่ำ :- " บุตร ๒ คน ตำยเสียแล้ว, สำมีของเรำ ก็ ตำยเสียที่ทำงเปลี่ยว, มำรดำบิดำและพี่ชำย ก็ถูกเผำบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน. " คนทั้งหลำยเห็นนำงแล้ว เข้ำใจว่ำ " หญิงบ้ำ ๆ " จึงถือเอำ หยำกเยื่อ กอบฝุ่น โปรยลงบนศีรษะ ขว้ำงด้วยก้อนดิน. พระศำสดำประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ำมกลำงบริษัท ๔ ใน พระเชตวันมหำวิหำร ได้ทอดพระเนตรเห็นนำงผูบำำเพ็ญบำรมีมำ ้ แสนกัลป์ สมบูรณ์ด้วยอภินิหำรเดินมำอยู่. [ นำงได้ตงควำมปรำรถนำไว้ในชำติก่อน ั้ ] ได้ยินว่ำ ในกำลแห่งพระพุทธเจ้ำทรงพระนำมว่ำปทุมตตระ ุ นำงปฏำจำรำนั้น เห็นพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่ง อันพระปทุมุตตร- ศำสดำทรงตั้งไว้ในตำำแหน่งเอตทัคคะ ดังท้ำวสักกะจับที่แขน ตัง ้ ไว้ในสวนนันทวัน จึงทำำคุณควำมดีแล้ว ตังควำมปรำรถนำไว้ว่ำ ้ " แม้หม่อมฉัน พึงได้ตำำแหน่งเลิศกว่ำพระเถรีผู้ทรงวินัยทังหลำย ้ ในสำำนักพระพุทธเจ้ำเช่นกับด้วยพระองค์, " พระปทุมตตรพุทธเจ้ำ ุ ทรงเล็งเห็นอนำคตังสญำณไป ก็ทรงทรำบว่ำควำมปรำรถนำจะสำำเร็จ จึงทรงพยำกรณ์ว่ำ " ในอนำคตกำล หญิงผู้นี้จักเป็นผู้เลิศกว่ำพระเถรี ผู้ทรงวินัยทังหลำย โดยนำมปฏำจำรำ ในศำสนำของพระโคดม ้ พุทธเจ้ำ. "
  • 214. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 212 พระศำสดำ ทรงเห็นนำงผูมีควำมปรำรถนำตั้งไว้แล้ว อย่ำงนั้น ้ ผู้สมบูรณ์ด้วยอภินิหำร กำำลังเดินมำแต่ทไกลเทียว ทรงดำำริว่ำ ี่ " เว้น เรำเสีย ผูอื่นชื่อว่ำสำมำรถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี ้ " จึงได้ ทรงทำำนำงโดยประกำรที่นำงจะบ่ำยหน้ำมำสู่วิหำรเดินมำ. บริษัทเห็นนำงแล้วจึงกล่ำวว่ำ " ท่ำนทั้งหลำย อย่ำให้หญิงบ้ำนี้ มำที่นี้เลย. " พระศำสดำตรัสว่ำ " พวกท่ำนจงหลีกไป, อย่ำห้ำมเธอ " ในเวลำนำงมำใกล้ จึงตรัสว่ำ " จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง. " นำงกลับได้สติด้วยพุทธำนุภำพในขณะนั้นเอง. ในเวลำนั้น นำง กำำหนดควำมที่ผำนุ่งหลุดได้แล้ว ให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้น จึงนั่ง ้ กระโหย่ง. ลำำดับนั้น บุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้ำห่มไปให้นำง. นำงนุ่งผ้ำนั้นแล้ว เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ถวำยบังคมด้วยเบญจำงคประดิษฐ์ แทบพระ บำททัง ๒ ซึงมีพรรณะดังทองคำำแล้ว ทูลว่ำ ้ ่ " ขอพระองค์จงทรงเป็น ที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้ำข้ำ, เพรำะว่ำเหยียวเฉี่ยวบุตรคน ่ หนึ่งของหม่อมฉัน, คนหนึ่งถูกนำ้ำพัดไป, สำมีตำยที่ทำงเปลี่ยว, มำรดำบิดำและพี่ชำยถูกเรือนทับ เขำเผำบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน. " พระศำสดำทรงสดับคำำของนำง จึงตรัสว่ำ " อย่ำคิดเลย ปฏำจำรำ, เธอมำสู่สำำนักของผู้สำมำรถจะเป็นที่พึ่งพำำนักอำศัยของ เธอได้แล้ว; เหมือนอย่ำงว่ำ บัดนี้ บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยว เฉี่ยวไป, คนหนึ่งถูกนำ้ำพัดไป, สำมีตำยแล้วที่ทำงเปลี่ยว, มำรดำ
  • 215. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 213 บิดำและพี่ชำยถูกเรือนทับ ฉันใด: นำ้ำตำที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้ อยู่ในสงสำรนี้ ในเวลำที่ปิยชนมีบตรเป็นต้นตำย ยังมำกกว่ำนำ้ำแห่ง ุ มหำสมุทรทัง ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ้ " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " นำ้ำในมหำสมุทรทั้ง ๔ มีประมำณน้อย, นำ้ำตำ คนผูอันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศร้ำโศก ไม่ใช่น้อย ้ มำกกว่ำนำ้ำในมหำสมุทรนั้น; เหตุไร เธอจึง ประมำทอยู่เล่ำ ? แม่ " เมื่อพระศำสดำตรัสอนมตัคคปริยำยอยู่อย่ำงนั้น, ควำมโศกใน สรีระของนำง ได้ถึงควำมเบำบำงแล้ว. ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงทรำบนำมผู้มีควำมโศกเบำบำงแล้ว ทรงเตือนอีก แล้วตรัสว่ำ " ปฏำจำรำ ขึ้นชื่อว่ำปิยชนมีบตร ุ เป็นต้น ไม่อำจเพื่อเป็นที่ตำนทำน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของ ้ ผู้ไปสูปรโลกได้; ่ เพรำะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่ำนั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อ ว่ำย่อมไม่มีทีเดียว, ส่วนบัณฑิตชำำระศีลแล้ว ควรชำำระทำงทียัง ่ สัตว์ให้ถึงนิพพำนของตนเท่ำนั้น " เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัส พระคำถำเหล่ำนี้ว่ำ :- " บุตรทังหลำย ไม่มีเพื่อต้ำนทำน, บิดำก็ไม่มี ้ ถึงพวกพ้องก็ไม่มี, เมื่อบุคคลถูกควำมตำย ครอบงำำแล้ว ควำมต้ำนทำนในญำติทั้งหลำย ย่อมไม่มี; บัณฑิตทรำบอำำนำจประโยชน์นั้น
  • 216. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 214 แล้ว สำำรวมในศีล พึงชำำระทำงไปพระนิพพำน โดยเร็วทีเดียว. " ในกำลจบเทศนำ นำงปฏำจำรำเผำกิเลสมีประมำณเท่ำฝุ่น ในแผ่นดินใหญ่แล้ว ตังอยูในโสดำปัตติผล, ้ ่ ชนแม้เหล่ำอื่นเป็น อันมำก บรรลุอริยผลทังหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. ้ [ นำงปฏำจำรำทูลขอบวช ] ฝ่ำยนำงปฏำจำรำนั้นเป็นพระโสดำบันแล้ว ทูลขอบรรพชำ กะพระศำสดำ. พระศำสดำทรงส่งนำงไปยังสำำนักของพวกภิกษุณี ให้บรรพชำแล้ว. นำงได้อุปสมบทแล้วปรำกฏชื่อว่ำ " ปฏำจำรำ " เพรำะนำงกลับควำมประพฤติได้.ล้ำงเท้ำ เทนำ้ำลง. นำ้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ขำด. ครั้งที่ ๒ นำ้ำที่ นำงเทลง ได้ไหลไปกว่ำนั้น. ครั้งที่ ๓ นำ้ำที่เทลง ได้ไหลไป ไกลแม้กว่ำนั้น ด้วยประกำรฉะนี้. นำงถือเอำนำ้ำนั้นนั่นแลเป็น อำรมณ์ กำำหนดวัยทั้ง ๓ แล้ว คิดว่ำ " สัตว์เหล่ำนี้ ตำยเสียใน ปฐมวัยก็มี เหมือนนำ้ำที่เรำเทลงครั้งแรก, ตำยเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนนำ้ำที่เรำเทลงครั้งที่ ๒ ไหลไปกว่ำนั้น, ตำยเสียในปัจฉิม- วัยก็มี เหมือนนำ้ำที่เรำเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่ำนั้น. " พระศำสดำประทับในพระคันธกุฎีทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดัง ประทับยืนตรัสอยู่เฉพำะหน้ำของนำง ตรัสว่ำ " ปฏำจำรำ ข้อนั่น อย่ำงนั้น, ด้วยว่ำควำมเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็น ๑. บำลีว่ำ เพรำะมีควำมประพฤติเว้นจำกผืนผ้ำ ดังนี้ก็มี.
  • 217. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 215 ควำมเกิดและควำมเสื่อมแห่งปัญจขันธ์เหล่ำนั้น ประเสริฐกว่ำ ควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมแห่ง ปัญจขันธ์ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัส พระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใด ไม่เห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมอยู่ พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของ ผูเห็นควำมเกิดและควำมเสื่อม ประเสริฐกว่ำ ้ ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บำทพระคำถำว่ำ อปสฺส อุทยพฺพย ควำม ว่ำ ไม่เห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมอยู่ ด้วยลักษณะ ๒๕ แห่ง ปัญจขันธ์. บำทพระคำถำว่ำ ปสฺสโต อุทยพฺพย ควำมว่ำ ควำมเป็น อยูแม้วันเดียว ของผู้เห็น ควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมแห่งปัญจขันธ์ ่ เหล่ำนั้น ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ของบุคคลนอกนี้. ในกำลจบเทศนำ นำงปฏำจำรำบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย ปฏิสัมภิทำทั้งหลำย ดังนี้แล. เรื่องนำงปฏำจำรำ จบ.
  • 218. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 216 ๑๓. เรื่องนำงกิสำโคตมี [ ข้อควำมเบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภนำง กิสำโคตมี ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ วสฺสสต ชีเว " เป็นต้น. [ ทรัพย์ของเศรษฐีกลำยเป็นถ่ำน ] ได้ยินว่ำทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ในเรือนของเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุง สำวัตถี ได้กลำยเป็นถ่ำนหมดตั้งอยู่. เศรษฐีเห็นเหตุนั้นเกิดควำม เศร้ำโศก จึงห้ำมอำหำรเสีย นอนอยู่บนเตียงน้อย. สหำยผู้หนึ่งของ เศรษฐีนั้นไปเรือนถำมว่ำ " เหตุไร จึงเศร้ำโศกเล่ำ ? เพื่อน " ฟังควำมเป็นไปนั้นแล้ว กล่ำวว่ำ " อย่ำเศร้ำโศกเลย เพื่อน, ฉัน ทรำบอุบำยอย่ำงหนึ่ง, จงทำำอุบำยนั้นเถิด. " เศรษฐี. ทำำอย่ำงไรเล่ำ ? เพื่อน. สหำย. เพื่อนท่ำนจงปูเสื่อลำำแพนที่ตลำดของตน ทำำถ่ำนให้เป็น กองไว้ จงนังเหมือนจะขำย, บรรดำมนุษย์ที่มำแล้ว ๆ คนเหล่ำใดพูด ่ อย่ำงนี้ว่ำ ' ชนที่เหลือ ขำยผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึง และนำ้ำอ้อยเป็นต้น ส่วน ้ ท่ำนนั่งขำยถ่ำน, ' ส่วนผู้ใดพูดกับท่ำนอย่ำงนี้ว่ำ ' ชนที่เหลือ ขำย ผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึ้ง และนำ้ำอ้อยเป็นต้น, ส่วนท่ำนนั่งขำยเงินและทอง, ' ท่ำนพึงพูดกะผู้นั้นว่ำ ' เงินและทองที่ไหน ? ' ก็เมื่อเขำพูดว่ำ ' นี้, ' * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 219. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 217 ท่ำนพึงพูดว่ำ ' จงนำำเงินทองนั้นมำก่อน ' แล้วรับด้วยมือทั้ง ๒, ของ ที่เขำให้ในมือของท่ำนอย่ำงนั้น จักกลำยเป็นเงินและทอง; ก็ผู้นั้น ถ้ำเป็นหญิงรุ่นสำว, ท่ำนจงนำำนำงมำเพื่อบุตรในเรือนของท่ำน มอบ ทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้นำง พึงใช้สอยเงินทองที่นำงให้, ถ้ำเป็นเด็ก ชำย, ท่ำนพึงให้ธิดำผู้เจริญวัยแล้วในเรือนของท่ำนแก่เขำ แล้วมอบ ทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่เขำ ใช้สอยทรัพย์ที่เขำให้. เศรษฐีนั้นกล่ำวว่ำ " " อุบำยดี จึงทำำถ่ำนให้เป็นกองไว้ใน ร้ำนค้ำตลำดของตน นั่งทำำเหมือนจะขำย. คนเหล่ำใดพูดกะเศรษฐีนั้น อย่ำงนี้ว่ำ " ชนที่เหลือทั้งหลำย ขำยผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึง และนำ้ำอ้อย ้ เป็นต้น, ท่ำนนั่งขำยถ่ำน " ก็ให้คำำตอบแก่คนเหล่ำนั้นว่ำ " ฉันไม่ ขำยของ ๆ ตน จักทำำอย่ำงไร ?" [ ถ่ำนกลำยเป็นทรัพย์อย่ำงเดิม ] ครังนั้น ้ หญิงรุ่นสำวคนหนึ่งชื่อโคตมี ปรำกฏชื่อว่ำ " กิสำ- โคตมี " เพรำะนำงมีสรีระแบบบำง เป็นธิดำของตระกูลเก่ำแก่ ไป ยังประตูตลำดด้วยกิจอย่ำงหนึ่งของตน เห็นเศรษฐีนั้น จึงกล่ำว อย่ำงนี้ว่ำ " พ่อ ชนที่เหลือ ขำยผ้ำ นำ้ำมัน นำ้ำผึง และนำ้ำอ้อย ้ เป็นต้น, ทำำไมท่ำนจึงนั่งขำยเงินและทอง ?" เศรษฐี. เงินทองที่ไหน ? แม่. นำงโคตมี. ท่ำนนั่งจับเงินทองนั้นเอง มิใช่หรือ ? เศรษฐี. จงนำำเงินทองนั้นมำก่อน แม่. นำงกอบเต็มมือแล้ว วำงไว้ในมือของเศรษฐีนั้น. ถ่ำนนั้นได้
  • 220. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 218 กลำยเป็นเงินและทองทั้งนั้น. ลำำดับนั้น เศรษฐีถำมนำงว่ำ " แม่ เรือนเจ้ำอยูไหน. ่ " เมื่อ นำงตอบว่ำ " ชือโน้นจ้ะ. ่ " รู้ควำมที่นำงยังไม่มีสำมีแล้ว จึงเก็บ ทรัพย์นำำนำงมำเพื่อบุตรของตน ให้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้. ทรัพย์ ทั้งหมดได้กลำยเป็นเงินและทองดังเดิม. สมัยอื่นอีกนำงตั้งครรภ์. โดยกำลล่วงไป ๑๐ เดือน นำงคลอดบุตร แล้ว. บุตรนั้นได้ทำำกำละแล้วในเวลำเดินได้. นำงห้ำมพวกชนที่จะนำำ บุตรนั้นไปเผำ เพรำะนำงไม่เคนเห็นควำมตำย อุ้มร่ำงบุตรผู้ตำยแล้ว ด้วยสะเอว ด้วยหวังว่ำ " จักถำมถึงยำ เพื่อบุตรเรำ " เที่ยวถำมไป ตำมลำำดับเรือนว่ำ " ท่ำนทั้งหลำยรู้จักยำเพื่อบุตรของฉันบ้ำงไหม หนอ ?. " ทีนั้น คนทั้งหลำยพูดกับนำงว่ำ " แม่ เจ้ำเป็นบ้ำแล้วหรือ ? เจ้ำเที่ยวถำมถึงยำเพื่อบุตรทีตำยแล้ว. ่ " นำงสำำคัญว่ำ " จักได้คน ผู้รู้จักยำเพื่อบุตรของเรำแน่แท้ " จึงเที่ยวไป. ทีนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนำงแล้วคิดว่ำ " ธิดำ ของเรำนี้จักคลอดบุตรคนแรก ไม่เคยเห็นควำมตำย, เรำเป็นที่พึ่ง ของหญิงนี้ย่อมควร " จึงกล่ำวว่ำ " แม่ ฉันไม่รู้จักยำ, แต่ฉัน รู้จักคนผู้รู้ยำ. " นำงโคตมี. ใครรู้ ? พ่อ. บัณฑิต. แม่ พระศำสดำทรงทรำบ, จงไปทูลถำมพระองค์เถิด. นำงกล่ำวว่ำ " พ่อ ฉันจักไป, จักทูลถำม พ่อ " ดังนั้นแล้ว เข้ำไปเฝ้ำพระศำสดำ ถวำยบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้ำงหนึ่ง ทูล
  • 221. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 219 ถำมว่ำ " ทรำบว่ำ พระองค์ทรงทรำบยำเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ ? พระเจ้ำข้ำ. " พระศำสดำ. เออ เรำรู้. นำงโคตมี. ได้อะไร ? จึงควร. พระำสดำ. ได้เมล็ดพรรณผักกำดสักหยิบมือหนึ่ง ควร. นำงโคตมี. จักได้ พระเจ้ำข้ำ, แต่ในเรือนใคร ? จึงควร. พระศำสดำ. บุตรหรือธิดำไร ๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตำย, ได้ในเรือนของผู้นั้น จึงควร. นำงทูลรับว่ำ " ดีละ พระเจ้ำข้ำ " แล้วถวำยบังคมพระศำสดำ อุ้มบุตรผู้ตำยแล้วด้วยสะเอวเข้ำไปภำยในบ้ำน ยืนอยู่ที่ประตูเรือน หลังแรก กล่ำวว่ำ " เมล็ดพรรณผักกำดในเรือนนี้ มีบ้ำงไหม ? ทรำบว่ำนั่นเป็นยำเพื่อบุตรของฉัน. " เมื่อเขำตอบว่ำ " มี, "จึง กล่ำวว่ำ " ถ้ำอย่ำงนั้น จงให้เถิด, " เมื่อคนเหล่ำนั้นนำำเมล็ดพรรณ- ผักกำดมำให้, จึงถำมว่ำ " ในเรือนนี้ บุตรหรือธิดำเคยตำยไม่มี บ้ำงหรือ ? แม่ " เมื่อเขำตอบว่ำ " พูดอะไร ? แม่, เพรำะคนเป็น มีเล็กน้อย, คนตำยนั้นแหละมีมำก. " จึงกล่ำวว่ำ " ถ้ำอย่ำง นั้น จงรับเมล็ดพรรณผักกำดของท่ำนไปเถิด, นั่นไม่เป็นยำ เพื่อ บุตรของฉัน " แล้วได้ให้คืนไป; เที่ยวถำมโดยทำำนองนี้ ตังแต่เรือน ้ หลังต้น. นำงไม่รับเมล็ดพรรณผักกำดแม้ในเรือนหลังหนึ่ง ในเวลำ เย็นคิดว่ำ " โอ กรรมหนัก, เรำได้ทำำควำมสำำคัญว่ำ ' บุตรของ เรำเท่ำนั้นตำย, ' ก็ในบ้ำนทั้งสิ้น คนที่ตำยเท่ำนั้นมำกกว่ำคนเป็น. "
  • 222. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 220 เมื่อนำงคิดอยู่อย่ำงนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยควำมรักบุตร ได้ถึงควำมแข็ง แล้ว. นำงทิงบุตรไว้ในป่ำ ไปยังสำำนักพระศำสดำ ถวำยบังคมแล้ว ้ ได้ยืน ณ ที่สุดข้ำงหนึ่ง. ลำำดับนั้น พระศำสดำทรงตรัสกะนำงว่ำ " เธอได้เมล็ดพรรณ ผักกำดประมำณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ ?" นำงโคตมี. ไม่ได้ พระเจ้ำข้ำ, เพรำะในบ้ำนทั้งสิ้น คนตำย นั้นแหละมำกกว่ำคนเป็น. ลำำดับนั้น พระศำสดำตรัสกะนำงว่ำ " เธอเข้ำใจว่ำ ' บุตร ของเรำเท่ำนั้นตำย, ' ควำมตำยนั่นเป็นธรรมยังยืนสำำหรับสัตว์ทั้งหลำย, ่ ด้วยว่ำ มัจจุรำชฉุดคร่ำสัตว์ทั้งหมด ผูมีอัธยำศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแล ้ ลงในสมุทรคืออบำย ดุจห้วงนำ้ำใหญ่ฉะนั้น " เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " มฤตยู ย่อมพำชนผู้มัวเมำในบุตรและสัตว์ ของเลี้ยง ผูมีใจซ่ำนไปในอำรมณ์ต่ำง ๆ ไป ดุจ ้ ห้วงนำ้ำใหญ่ พัดชำวบ้ำนผู้หลับไหลไปฉะนั้น. " ในกำลจบคำถำ นำงกิสำโคตมีดำำรงอยู่ในโสดำปัตติผล , แม้ ชนเหล่ำอื่นเป็นอันมำก บรรลุอริยผลทังหลำยมีโสดำปัตติผลเป็นต้น ้ ดังนีแล. ้ [ นำงบวชในพุทธศำสนำ ] ฝ่ำยนำงกิสำโคตมีนั้นทูลขอบรรพชำกะพระศำสดำแล้ว. พระ ศำสดำทรงส่งไปยังสำำนักของนำงภิกษุณีให้บรรพชำแล้ว. นำงได้
  • 223. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 221 อุปสมบทแล้วปรำกฏชื่อว่ำ " กิสำโคตมีเถรี. " วันหนึ่ง นำงถึงวำระในโรงอุโบสถ นังตำมประทีปเห็นเปลว ่ ประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลงก็อย่ำงนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป , ผู้ ถึงพระ นิพพำน ไม่ปรำกฏอย่ำงนั้น. " พระศำสดำประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นแล ทรงแผ่พระรัศมี ไป ดังนั่งตรัสตรงหน้ำนำง ตรัสว่ำ " อย่ำงนั่นแหละ โคตมี สัตว์เหล่ำนั้น ย่อมเกิดและดับไปเหมือนเปลวประทีป, ถึงพระนิพพำน แล้ว ย่อมไม่ปรำกฏอย่ำงนั้น; ควำมเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของ ผู้เห็นพระนิพพำน ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็น พระนิพพำนอย่ำงนั้น " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใด ไม่เห็นบทอันไม่ตำย พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของผู้เห็นบท อันไม่ ตำย ประเสริฐกว่ำ ควำมเป็นอยู่ของผู้นั้น. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น สองบทว่ำ อมต ปท ควำมว่ำ อมตมหำ- นิพพำน อันเป็นส่วนที่เว้นจำกมรณะ. คำำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำำมีในก่อนนั้นแล. ๑. ภิชฺชนฺติโย
  • 224. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 222 ในกำลจบเทศนำ นำงกิสำโคตมีนั่งอยูตำมเดิมนั่นแล ดำำรง ่ อยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทำทั้งหลำย ดังนี้แล. เรื่องนำงกิสำโคตมี จบ.
  • 225. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 223 ๑๔. เรื่องพระพหุปุตติกำเถรี [ ข้อควำม เบื้องต้น ] พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรำรภพระ พหุปุตติกำเถรี ตรัสพระธรรมเทศนำนี้ว่ำ " โย จ วสฺสสต ชีเว " เป็นต้น. [ นำงมีลูกมำก ] ได้ยินว่ำ ในตระกูลหนึ่ง ณ กรุงสำวัตถี ได้มีบุตร ๗ คนและ ธิดำ ๗ คน. บุตรและธิดำแม้ทั้งหมดนั้นเจริญวัยแล้ว ดำำรงอยูใน ่ เรือน ได้ถึงควำมสุขตำมธรรมดำของตน. สมัยอื่น บิดำของชน เหล่ำนั้นได้ทำำกำละแล้ว. มหำอุบำสิกำ ถึงเมื่อสำมีล่วงลับไปแล้ว ก็ยงไม่แบ่งกองทรัพย์ ั ให้แก่บุตรทั้งหลำยก่อน. ครังนั้น บุตรทั้งหลำยกล่ำวกะมำรดำนั้นว่ำ ้ " เมื่อบิดำของฉันล่วงลับไปแล้ว, ประโยชน์อะไรของแม่ด้วยกองทรัพย์, พวกฉันไม่อำจบำำรุงแม่ได้หรือ ?. " นำงฟังคำำของบุตรเหล่ำนั้นแล้วก็ " พวกลูก ๆ จักบำำรุงเรำ, นิ่งเสีย ถูกบุตรเหล่ำนั้นพูดถึงบ่อย ๆ จึงคิดว่ำ ประโยชน์อะไรของเรำด้วยกองทรัพย์ส่วนหนึ่ง " ได้แบ่งสมบัติทงหมด ั้ ครึ่งหนึ่งให้ไป. ครังนั้น โดยกำลล่วงไป ๒ - ๓ วัน ภรรยำของบุตรคนใหญ่ ้ กล่ำวกะแม่ผัวนั้นว่ำ " โอ คุณแม่ของพวกเรำมำเรือนนี้เท่ำนั้น เหมือนกะให้ไว้ ๒ ส่วนว่ำ ' บุตรชำยคนใหญ่ของเรำ. ' แม้ภรรยำ * พระมหำโปร่ง ป.ธ. ๙ วัดบวรนิเวศวิหำร แปล.
  • 226. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 224 ของบุตรที่เหลือ ก็กล่ำวอย่ำงนั้นเหมือนกัน. ตังแต่ต้นธิดำคนใหญ่ก็กล่ำวกะนำงดุจเดียวกัน แม้ในเวลำที่ ้ นำงไปเรือนของธิดำเหล่ำนั้น. นำงถูกดูหมิ่น คิดว่ำ " ประโยชน์ อะไร ด้วยกำรอยู่ในสำำนักของคนเหล่ำนี้, เรำจักเป็นนำงภิกษุณี เป็นอยู่ " แล้วไปสูสำำนักของนำงภิกษุณีขอบรรพชำแล้ว. ่ นำง ภิกษุณีเหล่ำนั้นให้นำงบรรพชำแล้ว. นำงได้อุปสมบทแล้วปรำกฏ ชื่อว่ำ " พหุปุตติกำเถรี. " นำงคิดว่ำ " เรำบวชในเวลำแก่, เรำไม่ ควรเป็นคนประมำท " จึงทำำวัตตปฏิบัตแก่นำงภิกษุณีทั้งหลำย, คิด ิ ว่ำ " จักทำำสมณธรรมตลอดคืนยันรุ่ง " จึงเอำมือจับเสำต้นหนึ่งที่ ภำยใต้ปรำสำท เดินวนเวียนเสำนั้นทำำสมณธรรม, แม้เมื่อเดินจงกรม ก็เอำมือจับต้นไม้ด้วยคิดว่ำ " ศีรษะของเรำพึงกระทบต้นไม้หรือที่ ไหน ๆ ในที่มืด " ดังนีแล้ว เดินวนเวียนต้นไม้นั้น ทำำสมณธรรม, ้ นึกถึงธรรมด้วยคิดว่ำ " จักทำำตำมธรรมที่พระศำสดำทรงแสดง " ตำมระลึกถึงธรรมอยู่เทียวทำำสมณธรรม. ลำำดับนั้น พระศำสดำประทับนั่งในพระคันธกุฎีเทียว ทรง แผ่พระรัศมีไปดังประทับนั่งตรงหน้ำ เมื่อตรัสกับนำง ตรัสว่ำ " พหุ- ปุตติกำ ควำมเป็นอยูแม้ครู่เดียว ของผู้เห็นธรรมที่เรำแสดงประเสริฐ ่ กว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่นึกถึง ไม่เห็นธรรมที่เรำแสดง " เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคำถำนี้ว่ำ :- " ก็ผู้ใด ไม่เห็นธรรมอันยอดเยี่ยม พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ควำมเป็นอยู่วันเดียว ของผู้เห็นธรรม
  • 227. ประโยค๒ - พระธัมมปทัฏฐกถำแปล ภำค ๔ - หน้ำที่ 225 อันยอดเยียม ประเสริฐกว่ำ ควำมเป็นอยู่ ่ ของผู้นั้น. " [ แก้อรรถ ] บรรดำบทเหล่ำนั้น บทว่ำ ธมฺมมุตตม ได้แก่ โลกุตรธรรม ฺ ๙ อย่ำง. ก็โลกุตตรธรรมนั้น ชื่อว่ำ ธรรมอันยอดเยียม. ่ ก็ผู้ใด ไม่เห็นธรรมอันยอดเยียมนั้น. ่ ควำมเป็นอยู่แม้วันเดียว คือแม้ขณะ เดียว ของผู้เห็น คือแทงตลอดธรรมนั้น ประเสริฐกว่ำควำมเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้นั้น. ในกำลจบคำถำ พระพหุปุตติกำเถรีดำำรงอยู่ในพระอรหัตพร้อม ด้วยปฏิสัมภิทำทังหลำย ดังนี้แล. ้ เรื่องพระพหุปุตติกำเถรี จบ. สหัสวรรค วรรณนำ จบ. วรรคที่ ๘ จบ