สมิทธิสูตร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
๑๐. สมิทธิสูตร
ว่าด้วยพระสมิทธิ
[๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตโปทาราม เขตกรุง
ราชคฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระสมิทธิลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ไปที่แม่น้ำตโปทาเพื่อ
สรงน้ำ เสร็จแล้วขึ้นมา มีจีวรผืนเดียว (มีจีวรผืนเดียว หมายถึงนุ่งสบงผูก
ประคตเอวเรียบร้อยแล้วยืนถือจีวรไว้) ได้ยืนรอให้ตัวแห้งอยู่ ครั้นเมื่อราตรี
ผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแม่น้ำต
โปทา เข้าไปหาท่านพระสมิทธิถึงที่อยู่แล้วยืนอยู่ในอากาศได้กล่าวกับท่าน
พระสมิทธิด้วยคาถาว่า
ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแต่ยังขออยู่
ท่านบริโภคแล้วก็ต้องไม่ขอเลย
ภิกษุ ท่านบริโภคแล้วจงขอเถิด
กาล (กาล ในที่นี้หมายถึงเวลาที่ยังเป็นหนุ่ม-สาว ควรแก่
การเสพเมถุน) อย่าได้ล่วงท่านไปเลย
ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า
ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักกาลเลย
เพราะกาลถูกปกปิดอยู่ยังไม่ปรากฏ
ฉะนั้น ถึงข้าพเจ้าไม่บริโภคแต่ก็ยังขออยู่
1
กาล (กาล ในที่นี้หมายถึงเวลาสำหรับบำเพ็ญสมณธรรม)
อย่าได้ล่วงข้าพเจ้าไปเลย
ครั้งนั้น เทวดานั้นลงมายืนอยู่ที่พื้นดินแล้วได้กล่าวกับท่านพระสมิ
ทธิว่า
“ภิกษุ ท่านเป็นนักบวชที่ยังหนุ่มแน่นมีผมดำสนิท อยู่ในวัยแรกรุ่น
อันเจริญ ไม่เพลิดเพลินในกามทั้งหลาย ขอท่านจงบริโภคกามทั้งหลายอัน
เป็นของมนุษย์เถิด อย่าละกามที่เห็นเฉพาะหน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมีอยู่
ตามกาล (กามอันมีอยู่ตามกาล หมายถึงกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
และโผฏฐัพพะ ที่เป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์) เลย”
ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า “เทวดา ข้าพเจ้ามิได้ละกามที่เห็นเฉพาะ
หน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมีอยู่ตามกาลเลย ข้าพเจ้าละกามอันมีอยู่ตามกาล
แล้ววิ่งไปหาธรรมที่เห็นเฉพาะหน้า กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มี
พระภาคตรัสว่า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก ธรรม
นี้เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควร
เรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน”
เทวดากล่าวว่า “ภิกษุ ก็กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มีพระ
ภาคตรัสว่ามีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก เป็น
อย่างไร ธรรมนี้เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบ
ด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะ
ตน เป็นอย่างไร”
ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า “เทวดา ข้าพเจ้าเองเป็นพระใหม่ บวชมา
ไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกท่านโดยพิสดารได้
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่
ณ ตโปทาราม เขตกรุงราชคฤห์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูล
ถามข้อความนั้นเถิด พึงจำข้อความนั้นตามที่พระองค์ทรงเฉลยเถิด”
2
เทวดากล่าวว่า “ภิกษุ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พวกเทวดาผู้มีศักดิ์
ใหญ่ทั้งหลายเหล่าอื่นแวดล้อมอยู่ พวกข้าพเจ้าจะเข้าไปเฝ้าไม่ได้ง่ายนัก
หากท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามเนื้อความนี้ แม้พวกข้าพเจ้า
ก็จะมาฟังธรรมด้วย”
ท่านพระสมิทธิรับคำของเทวดานั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์ลุกขึ้นแต่
เช้าตรู่ไปที่แม่น้ำตโปทาเพื่อสรงน้ำ เสร็จแล้วขึ้นมา มีจีวรผืนเดียวได้ยืนรอ
ให้ตัวแห้งอยู่ ครั้นเมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก
เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแม่น้ำตโปทา เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่แล้วยืนอยู่
ในอากาศ ได้กล่าวคาถานี้ว่า
ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแต่ยังขออยู่
ท่านบริโภคแล้วก็ต้องไม่ขอเลย
ภิกษุ ท่านบริโภคแล้วจงขอเถิด
กาลอย่าได้ล่วงท่านไปเลย
เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกับเทวดานั้นด้วย
คาถาว่า
ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักกาลเลย
เพราะกาลถูกปกปิดอยู่ยังไม่ปรากฏ
ฉะนั้น ถึงข้าพเจ้าไม่บริโภคแต่ก็ยังขออยู่
กาลอย่าได้ล่วงข้าพเจ้าไปเลย
ครั้งนั้น เทวดานั้นลงมายืนอยู่ที่พื้นดินแล้วได้กล่าวกับข้าพระองค์
ดังนี้ว่า
3
“ภิกษุ ท่านเป็นนักบวชที่ยังหนุ่มแน่นมีผมดำสนิท อยู่ในวัยแรกรุ่นอัน
เจริญ ไม่เพลิดเพลินในกามทั้งหลาย ขอท่านจงบริโภคกามทั้งหลายอันเป็น
ของมนุษย์เถิด อย่าละกามที่เห็นเฉพาะหน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมีอยู่ตาม
กาลเลย”
เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์จึงได้กล่าวกับเทวดานั้น
ดังนี้ว่า
“เทวดา ข้าพเจ้ามิได้ละกามที่เห็นเฉพาะหน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมี
อยู่ตามกาลเลย ข้าพเจ้าละกามอันมีอยู่ตามกาลแล้ววิ่งไปหาธรรมที่เห็น
เฉพาะหน้า กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีทุกข์
มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก ธรรมนี้เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติ
จะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อม
เข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน”
เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวกับข้าพระองค์
ดังนี้ว่า
“ภิกษุ ก็กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มี
ทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก เป็นอย่างไร ธรรมนี้
เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียก
ให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน เป็นอย่างไร”
เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกับเทวดานั้นดังนี้
ว่า “เทวดา ข้าพเจ้าเองเป็นพระใหม่ บวชมาไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัย
นี้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกท่านโดยพิสดารได้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ตโปทาราม เขตกรุง
ราชคฤห์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามข้อความนั้นเถิด
พึงจำข้อความนั้นตามที่พระองค์ทรงเฉลยเถิด”
4
เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวกับข้าพระองค์
ดังนี้ว่า
“ภิกษุ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พวกเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้ง
หลายเหล่าอื่นแวดล้อมอยู่ พวกข้าพเจ้าจะเข้าไปเฝ้าไม่ได้ง่ายนัก หากท่าน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามข้อความนี้แทน แม้พวกข้าพเจ้าก็จะ
มาฟังธรรมด้วย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าคำของเทวดานั้นเป็นจริง เทวดา
นั้นก็พึงมาใกล้ตโปทารามนี้”
เมื่อท่านพระสมิทธิกราบทูลอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวกับท่าน
พระสมิทธิดังนี้ว่า “ทูลถามเถิด ทูลถามเถิด ภิกษุ ข้าพเจ้าตามมาถึงที่นี้แล้ว”
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกเทวดานั้น ด้วยคาถาทั้งหลายว่า
สัตว์ทั้งหลายมีความหมายรู้ในสิ่งที่เรียกขาน (สิ่งที่เรียก
ขาน หมายถึงชื่อที่ใช้เรียกขันธ์ ๕ ในลักษณะต่างๆ มีเทวดา มนุษย์ สัตว์
บุคคล เป็นต้น)
ติดอยู่ในสิ่งที่เรียกขาน (ติดอยู่ในสิ่งที่เรียกขาน หมายถึง
ติดอยู่ในขันธ์ ๕ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ด้วยอาการ ๘
คือ (๑) ราคะ (๒) โทสะ (๓) โมหะ (๔) ทิฏฐิ (๕) อนุสัย (๖) มานะ (๗)
วิจิกิจฉา (๘) อุทธัจจะ)
ไม่กำหนดรู้สิ่งที่เรียกขาน
จึงตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความตาย
ส่วนภิกษุกำหนดรู้สิ่งที่เรียกขานแล้ว (กำหนดรู้...แล้ว
หมายถึงกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ ประการ คือ (๑) ญาตปริญญา (๒) ตีรณ
ปริญญา (๓) ปหานปริญญา)
ไม่กำหนดหมายสิ่งที่เรียกขาน
เพราะสิ่งที่เรียกขานนั้นไม่มีแก่ภิกษุนั้น
5
ฉะนั้น เหตุที่จะเรียกขานท่านจึงไม่มี
ยักษ์ (คำว่า ยักษ์ นี้เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
เทวดา) ถ้าท่านรู้ชัดก็จงบอกมาเถิด
เทวดานั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ทั่ว
ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดาร
ได้ ขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดตรัสให้ข้าพระองค์รู้ทั่ว
ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดารเถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสคาถานี้ว่า
บุคคลใดถือตัวว่าเราเสมอเขา
เราเลิศกว่าเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
บุคคลนั้นก็พึงทะเลาะกับเขา เพราะความถือตัวนั้น
บุคคลผู้ไม่หวั่นไหวในความถือตัวทั้ง ๓ นั้น
ย่อมไม่มีความถือตัวว่าเราเสมอเขา
เราเลิศกว่าเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
ยักข์ ถ้าท่านรู้ชัดก็จงบอกมาเถิด
เทวดานั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ทั่ว
ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดาร
ได้ ขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดตรัสให้ข้าพระองค์รู้ทั่ว
ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดารเถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสคาถานี้ว่า
บุคคลละบัญญัติได้แล้ว ไม่เข้าถึงวิมาน (วิมานมี ๒ ความ
หมาย คือ (๑) มานะ (๒) ครรภ์มารดา)
ตัดตัณหาในนามรูปนี้ได้แล้ว
6
เทวดาและมนุษย์ในโลกนี้ หรือในโลกอื่น
ในสวรรค์ หรือในสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์ทุกจำพวก
(สถานที่อยู่อาศัยของสัตว์ทุกจำพวก หมายถึงภพ ๓ กำเนิด ๔ คติ ๕
วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙)
ถึงจะเที่ยวค้นหาก็ไม่พบบุคคลนั้น
ผู้ตัดกิเลสเครื่องผูกได้แล้ว ไร้ทุกข์หมดความกระหาย
ยักข์ ถ้าท่านรู้ชัดก็จงบอกมาเถิด
เทวดานั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ทั่วถึง
เนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดาร
อย่างนี้ว่า บุคคลไม่ควรทำบาปทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ทางใดทาง
หนึ่งในโลกทั้งปวง ควรละกามทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ไม่พึงเสวยทุกข์
อันประกอบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์”
สมิทธิสูตรที่ ๑๐ จบ
นันทนวรรคที่ ๒ จบ
---------------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนี้ ดัดแปลงมาจาก
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นันทนวรรคที่ ๒
สมิทธิสูตรที่ ๑๐
อรรถกถาสมิทธิสูตรที่ ๑๐
ตโปทาราม คือพระอารามที่มีชื่ออันได้แล้วอย่างนี้ เพราะห้วงน้ำลึกมี
น้ำอันร้อน (ภพของนาคตั้งอยู่ที่แผ่นดินใต้ภูเขาเวภารบรรพต มีปริมณฑล
ประมาณ ๕๐๐ โยชน์ เช่นกับเทวโลก ซึ่งมีพื้นอันสำเร็จแล้วด้วยแก้วมณี
และประกอบด้วยอุทยานอันเป็นที่รื่นรมย์ ในที่นั้น มีห้วงน้ำใหญ่สำหรับ
7
เป็นที่เล่นของพวกนาค. ลำแม่น้ำชื่อตโปทานี้ เป็นน้ำร้อนเดือดพล่านไหล
มาจากห้วงน้ำใหญ่นั้น. โลกของเปรตจำนวนมากแวดล้อมเมืองราชคฤห์.
ในที่นั้น แม่น้ำตโปทานี้ย่อมมาในระหว่างแห่งนรกชื่อว่า มหาโลหกุมภีทั้ง
๒ เพราะฉะนั้น แม่น้ำตโปทานี้จึงเดือดพล่าน ไหลมาอยู่. แม่น้ำตโปทาของ
มหานรกทั้งสองนี้ย่อมไหลมาโดยไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ ลำแม่น้ำตโปทานี้
จึงเดือดพล่านไหลอยู่ ดังนี้.)
อัตภาพของพระเถระสำเร็จแล้ว (ด้วยผลกรรม) มีรูปงาม น่า
เลื่อมใส พระเถระผู้บำเพ็ญเพียรนั้นลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งได้ให้บุคคลถือเอา
เสนาสนะออกมาภายนอกแล้วเดิน (จงกรม) ไปๆ มาๆ ในที่จงกรมใหญ่
ประมาณ ๖๐ ศอก มีความสำคัญว่า เสนาสนะอันเราบริโภคอยู่ด้วยตัวอัน
ชุ่มด้วยเหงื่อจักเศร้าหมอง จึงเข้าไปที่ลำน้ำตโปทาเพื่อจะล้างตัว. ครั้นท่าน
อาบเสร็จแล้วก็ทำกิจที่ควรทำแล้ว กลับขึ้นมายืนอยู่. กายซึ่งมีน้ำยังไม่
แห้ง. แม้โดยปกติกายของพระเถระก็ผ่องใส เมื่อน้อมกายนำมาโดยชอบ
คืออาบน้ำอุ่น สีแห่งหน้าจึงรุ่งโรจน์เกินเปรียบ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรัศมี
ราวกะผลตาลที่หลุดจากขั้ว ราวกะพระจันทร์เต็มดวง ในขณะนั้น หน้าของ
ท่านก็เป็นไปกับด้วยสิริ ดุจดอกปทุมกำลังแย้ม แม้ผิวพรรณแห่งสรีระก็
ผ่องใส.
สมัยนั้น ภุมมเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ป่าชัฏแลดูภิกษุสมิทธิผู้น่าเลื่อมใส
แล้ว ไม่อาจข่มใจไว้ได้ เป็นผู้น้อมไปในกาม ถูกความโลภครอบงำแล้ว คิด
ว่าเราจักเล้าโลมพระเถระ จึงประดับอัตภาพด้วยเครื่องประดับอันโอฬาร
แล้วทำพระอารามทั้งสิ้นให้สว่างทั่ว (ให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน) ราวกะ
ประทีปโคมไฟมีไส้ตั้งพัน ดุจเอาดวงจันทร์มาตั้งไว้. ครั้นแล้วก็เข้าไปหา
พระเถระ มิได้ไหว้ ยืนอยู่ในเวหา (ลอยอยู่ในอากาศ) แล้วกล่าวคาถา. ก็
เทวดาโดยมากไม่เห็นสัจจะ ยังมีราคะ ไม่รู้จิตของผู้อื่น เห็นภิกษุทั้งหลาย
ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ไม่ขาดตลอด ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ฯลฯ ๖๐
ปีบ้าง จึงเกิดความสำคัญว่า ภิกษุเหล่านี้ละกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์
ปรารถนากามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ จึงกระทำสมณธรรมดังนี้ แม้เทวดานี้ก็
8
คิดเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เธอจึงกล่าวถึงกามทั้งหลายอัน
เป็นของมนุษย์ กระทำให้เป็นกามที่เห็นประจักษ์ และกล่าวกามอันเป็นทิพย์
กระทำให้เป็นกามอันมีโดยกาล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโลกุตรธรรมอันบุคคลพึงเห็นได้นั่นแหละ.
เทวดาแม้นั้น ครั้นฟังพระคาถาแล้ว จึงกำหนดเนื้อความได้ ด้วย
เหตุนั้นนั่นแหละ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทราบ
เนื้อความแห่งธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้พิสดารอย่างนี้. ไม่
ควรทำบาปนั้น สมควรที่จะกล่าวแม้ด้วยสามารถแห่งกุศลกรรมบถ ๑๐ แม้
ด้วยสามารถแห่งมรรคประกอบด้วยองค์ ๘. จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มี
พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทราบกุศลกรรมบถ ๑๐ กับด้วยสติสัมปชัญญะซึ่ง
เป็นผู้กระทำที่พระองค์ตรัสแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ ก็นัยนี้แหละว่าด้วย
อำนาจแห่งมรรคประกอบด้วยองค์ ๘.
ได้ยินว่า พระธรรมเทศนามีประโยชน์ใหญ่ได้มีแล้วในที่นั้นแล.
ในเวลาจบเทศนา เทวดานั้นกำลังยืนอยู่อย่างไรนั่นแหละ ส่ง
ญาณไปตามกระแสแห่งเทศนา เห็นอยู่ซึ่งมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ที่
ตนบรรลุแล้ว เพราะความตั้งมั่นในโสดาปัตติผล จึงกราบทูลความนั้นแก่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
เทวดานั้น ครั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์
ย่อมทราบมัชฌิมาปฏิปทาอันไม่อาศัยส่วนสุด ๒ เหล่านี้ ตามที่พระองค์ตรัส
แล้วด้วยประการฉะนี้ ดังนี้ แล้วทำการบูชาพระตถาคตเจ้าด้วยเครื่องสักกา
ระทั้งหลายมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น กระทำประทักษิณเสร็จแล้ว ก็
หลีกไปดังนี้แล.
จบอรรถกถาสมิทธิสูตรที่ ๑๐
จบนันทนวรรคที่ ๒
-----------------------------------------------------
9

More Related Content

DOCX
๓๖. สัทธาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๐๑. โอฆตรณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๓๒. มัจฉริสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
08. ตายนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๓๑. สัพภิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๓๔. นสันติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๓๕. อุชฌานสัญญิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
DOCX
21. สิวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๖. สัทธาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๐๑. โอฆตรณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๒. มัจฉริสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
08. ตายนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๑. สัพภิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๔. นสันติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๕. อุชฌานสัญญิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
21. สิวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

Similar to ๒๐. สมิทธิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

DOCX
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
๐๒. นิโมกขสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๔๘. เชตวนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
DOCX
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
DOCX
156 อลีนจิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
01. ปฐมกัสสปสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
308 ชวสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๓๐. เอณิชังฆสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
DOCX
06. สัปปสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
PDF
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
DOCX
๕๓. ฉัตตมาณวกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
DOCX
๖๒. ตติยนาควิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
DOCX
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
PDF
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
DOCX
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
480 อกิตติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
๓๘. สกลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
006 เทวธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๐๒. นิโมกขสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๘. เชตวนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
156 อลีนจิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
01. ปฐมกัสสปสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
308 ชวสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๐. เอณิชังฆสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
040 ขทิรังคารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
06. สัปปสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๕๓. ฉัตตมาณวกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๖๒. ตติยนาควิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
405 พกพรหมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
480 อกิตติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๓๘. สกลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
Ad

More from maruay songtanin (20)

DOCX
12. อุทยสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
11. กสิภารทวาชสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
DOCX
10. พหุธิติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
09. สุนทริกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
08. อัคคิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
07. สุทธิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
06. ชฏาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
05. อหิงสกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
04. พิลังคิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
03. อสุรินทกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
02. อักโกสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
01. ธนัญชานีสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
15. ปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
14. อรุณวตีสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
13. อันธกวินทสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
12. เทวทัตตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
11. สนังกุมารสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
10. โกกาลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
09. ตุทุพรหมสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
DOCX
08. กตโมรกติสสกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
12. อุทยสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
11. กสิภารทวาชสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
10. พหุธิติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
09. สุนทริกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
08. อัคคิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
07. สุทธิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
06. ชฏาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
05. อหิงสกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
04. พิลังคิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
03. อสุรินทกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
02. อักโกสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
01. ธนัญชานีสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
15. ปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
14. อรุณวตีสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
13. อันธกวินทสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
12. เทวทัตตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
11. สนังกุมารสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
10. โกกาลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
09. ตุทุพรหมสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
08. กตโมรกติสสกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
Ad

Recently uploaded (19)

DOCX
12. สีหสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
05. อปราทิฏฐิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
17. อายตนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
04. วิชยาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
07. โกกาลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
06. จาลาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
01. พรหมายาจนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
11. ปาสาณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
16. ปัตตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
25. มารธีตุสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
04. พกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
03. พรหมเทวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
23. โคธิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
02. คารวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
07. อุปจาลาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
06. ปมาทสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
05. อุปปลวัณณาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
DOCX
13. สกลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
10. วชิราสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
12. สีหสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
05. อปราทิฏฐิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
17. อายตนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
04. วิชยาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
07. โกกาลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
06. จาลาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
01. พรหมายาจนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
11. ปาสาณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
16. ปัตตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
25. มารธีตุสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
04. พกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
03. พรหมเทวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
23. โคธิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
02. คารวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
07. อุปจาลาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
06. ปมาทสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
05. อุปปลวัณณาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
13. สกลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
10. วชิราสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

๒๐. สมิทธิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. สมิทธิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๑๐. สมิทธิสูตร ว่าด้วยพระสมิทธิ [๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตโปทาราม เขตกรุง ราชคฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระสมิทธิลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ไปที่แม่น้ำตโปทาเพื่อ สรงน้ำ เสร็จแล้วขึ้นมา มีจีวรผืนเดียว (มีจีวรผืนเดียว หมายถึงนุ่งสบงผูก ประคตเอวเรียบร้อยแล้วยืนถือจีวรไว้) ได้ยืนรอให้ตัวแห้งอยู่ ครั้นเมื่อราตรี ผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแม่น้ำต โปทา เข้าไปหาท่านพระสมิทธิถึงที่อยู่แล้วยืนอยู่ในอากาศได้กล่าวกับท่าน พระสมิทธิด้วยคาถาว่า ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแต่ยังขออยู่ ท่านบริโภคแล้วก็ต้องไม่ขอเลย ภิกษุ ท่านบริโภคแล้วจงขอเถิด กาล (กาล ในที่นี้หมายถึงเวลาที่ยังเป็นหนุ่ม-สาว ควรแก่ การเสพเมถุน) อย่าได้ล่วงท่านไปเลย ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักกาลเลย เพราะกาลถูกปกปิดอยู่ยังไม่ปรากฏ ฉะนั้น ถึงข้าพเจ้าไม่บริโภคแต่ก็ยังขออยู่ 1
  • 2. กาล (กาล ในที่นี้หมายถึงเวลาสำหรับบำเพ็ญสมณธรรม) อย่าได้ล่วงข้าพเจ้าไปเลย ครั้งนั้น เทวดานั้นลงมายืนอยู่ที่พื้นดินแล้วได้กล่าวกับท่านพระสมิ ทธิว่า “ภิกษุ ท่านเป็นนักบวชที่ยังหนุ่มแน่นมีผมดำสนิท อยู่ในวัยแรกรุ่น อันเจริญ ไม่เพลิดเพลินในกามทั้งหลาย ขอท่านจงบริโภคกามทั้งหลายอัน เป็นของมนุษย์เถิด อย่าละกามที่เห็นเฉพาะหน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมีอยู่ ตามกาล (กามอันมีอยู่ตามกาล หมายถึงกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่เป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์) เลย” ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า “เทวดา ข้าพเจ้ามิได้ละกามที่เห็นเฉพาะ หน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมีอยู่ตามกาลเลย ข้าพเจ้าละกามอันมีอยู่ตามกาล แล้ววิ่งไปหาธรรมที่เห็นเฉพาะหน้า กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มี พระภาคตรัสว่า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก ธรรม นี้เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควร เรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน” เทวดากล่าวว่า “ภิกษุ ก็กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มีพระ ภาคตรัสว่ามีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก เป็น อย่างไร ธรรมนี้เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบ ด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะ ตน เป็นอย่างไร” ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า “เทวดา ข้าพเจ้าเองเป็นพระใหม่ บวชมา ไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกท่านโดยพิสดารได้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ ตโปทาราม เขตกรุงราชคฤห์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูล ถามข้อความนั้นเถิด พึงจำข้อความนั้นตามที่พระองค์ทรงเฉลยเถิด” 2
  • 3. เทวดากล่าวว่า “ภิกษุ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พวกเทวดาผู้มีศักดิ์ ใหญ่ทั้งหลายเหล่าอื่นแวดล้อมอยู่ พวกข้าพเจ้าจะเข้าไปเฝ้าไม่ได้ง่ายนัก หากท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามเนื้อความนี้ แม้พวกข้าพเจ้า ก็จะมาฟังธรรมด้วย” ท่านพระสมิทธิรับคำของเทวดานั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์ลุกขึ้นแต่ เช้าตรู่ไปที่แม่น้ำตโปทาเพื่อสรงน้ำ เสร็จแล้วขึ้นมา มีจีวรผืนเดียวได้ยืนรอ ให้ตัวแห้งอยู่ ครั้นเมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแม่น้ำตโปทา เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่แล้วยืนอยู่ ในอากาศ ได้กล่าวคาถานี้ว่า ภิกษุ ท่านไม่บริโภคแต่ยังขออยู่ ท่านบริโภคแล้วก็ต้องไม่ขอเลย ภิกษุ ท่านบริโภคแล้วจงขอเถิด กาลอย่าได้ล่วงท่านไปเลย เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกับเทวดานั้นด้วย คาถาว่า ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักกาลเลย เพราะกาลถูกปกปิดอยู่ยังไม่ปรากฏ ฉะนั้น ถึงข้าพเจ้าไม่บริโภคแต่ก็ยังขออยู่ กาลอย่าได้ล่วงข้าพเจ้าไปเลย ครั้งนั้น เทวดานั้นลงมายืนอยู่ที่พื้นดินแล้วได้กล่าวกับข้าพระองค์ ดังนี้ว่า 3
  • 4. “ภิกษุ ท่านเป็นนักบวชที่ยังหนุ่มแน่นมีผมดำสนิท อยู่ในวัยแรกรุ่นอัน เจริญ ไม่เพลิดเพลินในกามทั้งหลาย ขอท่านจงบริโภคกามทั้งหลายอันเป็น ของมนุษย์เถิด อย่าละกามที่เห็นเฉพาะหน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมีอยู่ตาม กาลเลย” เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์จึงได้กล่าวกับเทวดานั้น ดังนี้ว่า “เทวดา ข้าพเจ้ามิได้ละกามที่เห็นเฉพาะหน้าแล้ววิ่งไปหากามอันมี อยู่ตามกาลเลย ข้าพเจ้าละกามอันมีอยู่ตามกาลแล้ววิ่งไปหาธรรมที่เห็น เฉพาะหน้า กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีทุกข์ มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก ธรรมนี้เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติ จะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อม เข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน” เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวกับข้าพระองค์ ดังนี้ว่า “ภิกษุ ก็กามทั้งหลายอันมีอยู่ตามกาลพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มี ทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษยิ่งนัก เป็นอย่างไร ธรรมนี้ เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียก ให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน เป็นอย่างไร” เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกับเทวดานั้นดังนี้ ว่า “เทวดา ข้าพเจ้าเองเป็นพระใหม่ บวชมาไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัย นี้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกท่านโดยพิสดารได้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ตโปทาราม เขตกรุง ราชคฤห์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามข้อความนั้นเถิด พึงจำข้อความนั้นตามที่พระองค์ทรงเฉลยเถิด” 4
  • 5. เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวกับข้าพระองค์ ดังนี้ว่า “ภิกษุ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พวกเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้ง หลายเหล่าอื่นแวดล้อมอยู่ พวกข้าพเจ้าจะเข้าไปเฝ้าไม่ได้ง่ายนัก หากท่าน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามข้อความนี้แทน แม้พวกข้าพเจ้าก็จะ มาฟังธรรมด้วย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าคำของเทวดานั้นเป็นจริง เทวดา นั้นก็พึงมาใกล้ตโปทารามนี้” เมื่อท่านพระสมิทธิกราบทูลอย่างนี้แล้ว เทวดานั้นได้กล่าวกับท่าน พระสมิทธิดังนี้ว่า “ทูลถามเถิด ทูลถามเถิด ภิกษุ ข้าพเจ้าตามมาถึงที่นี้แล้ว” ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกเทวดานั้น ด้วยคาถาทั้งหลายว่า สัตว์ทั้งหลายมีความหมายรู้ในสิ่งที่เรียกขาน (สิ่งที่เรียก ขาน หมายถึงชื่อที่ใช้เรียกขันธ์ ๕ ในลักษณะต่างๆ มีเทวดา มนุษย์ สัตว์ บุคคล เป็นต้น) ติดอยู่ในสิ่งที่เรียกขาน (ติดอยู่ในสิ่งที่เรียกขาน หมายถึง ติดอยู่ในขันธ์ ๕ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ด้วยอาการ ๘ คือ (๑) ราคะ (๒) โทสะ (๓) โมหะ (๔) ทิฏฐิ (๕) อนุสัย (๖) มานะ (๗) วิจิกิจฉา (๘) อุทธัจจะ) ไม่กำหนดรู้สิ่งที่เรียกขาน จึงตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความตาย ส่วนภิกษุกำหนดรู้สิ่งที่เรียกขานแล้ว (กำหนดรู้...แล้ว หมายถึงกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ ประการ คือ (๑) ญาตปริญญา (๒) ตีรณ ปริญญา (๓) ปหานปริญญา) ไม่กำหนดหมายสิ่งที่เรียกขาน เพราะสิ่งที่เรียกขานนั้นไม่มีแก่ภิกษุนั้น 5
  • 6. ฉะนั้น เหตุที่จะเรียกขานท่านจึงไม่มี ยักษ์ (คำว่า ยักษ์ นี้เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก เทวดา) ถ้าท่านรู้ชัดก็จงบอกมาเถิด เทวดานั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ทั่ว ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดาร ได้ ขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดตรัสให้ข้าพระองค์รู้ทั่ว ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดารเถิด” พระผู้มีพระภาคตรัสคาถานี้ว่า บุคคลใดถือตัวว่าเราเสมอเขา เราเลิศกว่าเขา หรือเราด้อยกว่าเขา บุคคลนั้นก็พึงทะเลาะกับเขา เพราะความถือตัวนั้น บุคคลผู้ไม่หวั่นไหวในความถือตัวทั้ง ๓ นั้น ย่อมไม่มีความถือตัวว่าเราเสมอเขา เราเลิศกว่าเขา หรือเราด้อยกว่าเขา ยักข์ ถ้าท่านรู้ชัดก็จงบอกมาเถิด เทวดานั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ทั่ว ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดาร ได้ ขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดตรัสให้ข้าพระองค์รู้ทั่ว ถึงเนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดารเถิด” พระผู้มีพระภาคตรัสคาถานี้ว่า บุคคลละบัญญัติได้แล้ว ไม่เข้าถึงวิมาน (วิมานมี ๒ ความ หมาย คือ (๑) มานะ (๒) ครรภ์มารดา) ตัดตัณหาในนามรูปนี้ได้แล้ว 6
  • 7. เทวดาและมนุษย์ในโลกนี้ หรือในโลกอื่น ในสวรรค์ หรือในสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์ทุกจำพวก (สถานที่อยู่อาศัยของสัตว์ทุกจำพวก หมายถึงภพ ๓ กำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙) ถึงจะเที่ยวค้นหาก็ไม่พบบุคคลนั้น ผู้ตัดกิเลสเครื่องผูกได้แล้ว ไร้ทุกข์หมดความกระหาย ยักข์ ถ้าท่านรู้ชัดก็จงบอกมาเถิด เทวดานั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ทั่วถึง เนื้อความแห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อนี้โดยพิสดาร อย่างนี้ว่า บุคคลไม่ควรทำบาปทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ทางใดทาง หนึ่งในโลกทั้งปวง ควรละกามทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ไม่พึงเสวยทุกข์ อันประกอบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์” สมิทธิสูตรที่ ๑๐ จบ นันทนวรรคที่ ๒ จบ --------------------------------------------- คำอธิบายเพิ่มเติมนี้ ดัดแปลงมาจาก อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นันทนวรรคที่ ๒ สมิทธิสูตรที่ ๑๐ อรรถกถาสมิทธิสูตรที่ ๑๐ ตโปทาราม คือพระอารามที่มีชื่ออันได้แล้วอย่างนี้ เพราะห้วงน้ำลึกมี น้ำอันร้อน (ภพของนาคตั้งอยู่ที่แผ่นดินใต้ภูเขาเวภารบรรพต มีปริมณฑล ประมาณ ๕๐๐ โยชน์ เช่นกับเทวโลก ซึ่งมีพื้นอันสำเร็จแล้วด้วยแก้วมณี และประกอบด้วยอุทยานอันเป็นที่รื่นรมย์ ในที่นั้น มีห้วงน้ำใหญ่สำหรับ 7
  • 8. เป็นที่เล่นของพวกนาค. ลำแม่น้ำชื่อตโปทานี้ เป็นน้ำร้อนเดือดพล่านไหล มาจากห้วงน้ำใหญ่นั้น. โลกของเปรตจำนวนมากแวดล้อมเมืองราชคฤห์. ในที่นั้น แม่น้ำตโปทานี้ย่อมมาในระหว่างแห่งนรกชื่อว่า มหาโลหกุมภีทั้ง ๒ เพราะฉะนั้น แม่น้ำตโปทานี้จึงเดือดพล่าน ไหลมาอยู่. แม่น้ำตโปทาของ มหานรกทั้งสองนี้ย่อมไหลมาโดยไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ ลำแม่น้ำตโปทานี้ จึงเดือดพล่านไหลอยู่ ดังนี้.) อัตภาพของพระเถระสำเร็จแล้ว (ด้วยผลกรรม) มีรูปงาม น่า เลื่อมใส พระเถระผู้บำเพ็ญเพียรนั้นลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งได้ให้บุคคลถือเอา เสนาสนะออกมาภายนอกแล้วเดิน (จงกรม) ไปๆ มาๆ ในที่จงกรมใหญ่ ประมาณ ๖๐ ศอก มีความสำคัญว่า เสนาสนะอันเราบริโภคอยู่ด้วยตัวอัน ชุ่มด้วยเหงื่อจักเศร้าหมอง จึงเข้าไปที่ลำน้ำตโปทาเพื่อจะล้างตัว. ครั้นท่าน อาบเสร็จแล้วก็ทำกิจที่ควรทำแล้ว กลับขึ้นมายืนอยู่. กายซึ่งมีน้ำยังไม่ แห้ง. แม้โดยปกติกายของพระเถระก็ผ่องใส เมื่อน้อมกายนำมาโดยชอบ คืออาบน้ำอุ่น สีแห่งหน้าจึงรุ่งโรจน์เกินเปรียบ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรัศมี ราวกะผลตาลที่หลุดจากขั้ว ราวกะพระจันทร์เต็มดวง ในขณะนั้น หน้าของ ท่านก็เป็นไปกับด้วยสิริ ดุจดอกปทุมกำลังแย้ม แม้ผิวพรรณแห่งสรีระก็ ผ่องใส. สมัยนั้น ภุมมเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ป่าชัฏแลดูภิกษุสมิทธิผู้น่าเลื่อมใส แล้ว ไม่อาจข่มใจไว้ได้ เป็นผู้น้อมไปในกาม ถูกความโลภครอบงำแล้ว คิด ว่าเราจักเล้าโลมพระเถระ จึงประดับอัตภาพด้วยเครื่องประดับอันโอฬาร แล้วทำพระอารามทั้งสิ้นให้สว่างทั่ว (ให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน) ราวกะ ประทีปโคมไฟมีไส้ตั้งพัน ดุจเอาดวงจันทร์มาตั้งไว้. ครั้นแล้วก็เข้าไปหา พระเถระ มิได้ไหว้ ยืนอยู่ในเวหา (ลอยอยู่ในอากาศ) แล้วกล่าวคาถา. ก็ เทวดาโดยมากไม่เห็นสัจจะ ยังมีราคะ ไม่รู้จิตของผู้อื่น เห็นภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ไม่ขาดตลอด ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ฯลฯ ๖๐ ปีบ้าง จึงเกิดความสำคัญว่า ภิกษุเหล่านี้ละกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์ ปรารถนากามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ จึงกระทำสมณธรรมดังนี้ แม้เทวดานี้ก็ 8
  • 9. คิดเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เธอจึงกล่าวถึงกามทั้งหลายอัน เป็นของมนุษย์ กระทำให้เป็นกามที่เห็นประจักษ์ และกล่าวกามอันเป็นทิพย์ กระทำให้เป็นกามอันมีโดยกาล. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโลกุตรธรรมอันบุคคลพึงเห็นได้นั่นแหละ. เทวดาแม้นั้น ครั้นฟังพระคาถาแล้ว จึงกำหนดเนื้อความได้ ด้วย เหตุนั้นนั่นแหละ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทราบ เนื้อความแห่งธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อให้พิสดารอย่างนี้. ไม่ ควรทำบาปนั้น สมควรที่จะกล่าวแม้ด้วยสามารถแห่งกุศลกรรมบถ ๑๐ แม้ ด้วยสามารถแห่งมรรคประกอบด้วยองค์ ๘. จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มี พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทราบกุศลกรรมบถ ๑๐ กับด้วยสติสัมปชัญญะซึ่ง เป็นผู้กระทำที่พระองค์ตรัสแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ ก็นัยนี้แหละว่าด้วย อำนาจแห่งมรรคประกอบด้วยองค์ ๘. ได้ยินว่า พระธรรมเทศนามีประโยชน์ใหญ่ได้มีแล้วในที่นั้นแล. ในเวลาจบเทศนา เทวดานั้นกำลังยืนอยู่อย่างไรนั่นแหละ ส่ง ญาณไปตามกระแสแห่งเทศนา เห็นอยู่ซึ่งมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ ตนบรรลุแล้ว เพราะความตั้งมั่นในโสดาปัตติผล จึงกราบทูลความนั้นแก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า. เทวดานั้น ครั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ ย่อมทราบมัชฌิมาปฏิปทาอันไม่อาศัยส่วนสุด ๒ เหล่านี้ ตามที่พระองค์ตรัส แล้วด้วยประการฉะนี้ ดังนี้ แล้วทำการบูชาพระตถาคตเจ้าด้วยเครื่องสักกา ระทั้งหลายมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น กระทำประทักษิณเสร็จแล้ว ก็ หลีกไปดังนี้แล. จบอรรถกถาสมิทธิสูตรที่ ๑๐ จบนันทนวรรคที่ ๒ ----------------------------------------------------- 9