ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 77
วิชาธรรมวิภาค
อริยบุคคล ๒
๑. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร ? ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะอะไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ
๒. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากำลังสอบธรรมอยู่นี้เรียก
ว่า พระเสขะได้หรือไม่ ? (๒๕๕๔)
ตอบ คือศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้อง
ปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ฯ
ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จำพวกเบื้องต้น ฯ
๓. พระอริยบุคคล ๘ จำพวก จำพวกไหนชื่อว่าพระเสขะ และพระอเสขะ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ พระอริยบุคคล๗เบื้องต้นชื่อว่าพระเสขะเพราะเป็นผู้ยังต้องปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูงฯ
พระอริยบุคคลผู้ต้องอยู่ในอรหัตตผล ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว
กัมมัฏฐาน ๒
๑. มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของ
วิปัสสนา ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือกัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์สอนก่อนบรรพชา
ถ้าเพ่งกำหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้นพิจารณาแยก
ออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ
๒. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา
นขา โลมา เกสา นั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๕)
ตอบ ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือมูลกัมมัฏฐาน ฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๓. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน
หรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๗, ๒๕๕๒, ๒๕๖๔)
ตอบ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทนฺตา ฟัน, และตโจ หนัง ฯ
เรียกอีกอย่างว่ามูลกัมมัฏฐาน ฯ
เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๔. สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕)
ตอบ สมถกรรมฐานมุ่งผล คือความสงบใจ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 78
ส่วนวิปัสสนากรรมฐานมุ่งผล คือความเรืองปัญญา ฯ
๕. การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์
อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๖)
ตอบ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ฯ
กาม ๒
๑. ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตถุกาม ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖)
ตอบ ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม
กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ
ทิฏฐิ ๒
๑. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จง
อธิบาย ? (๒๕๕๐)
ตอบ เห็นว่าเที่ยง คือ เห็นว่าคนและสัตว์ตายแล้วชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็น
อะไรก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป หรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น
ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือ เห็นว่าอัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาด
สูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ
พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิง
เหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่าคนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
๒. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ มี ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ
เทศนา ๒
๑. บุคคลาธิฏฐานาเทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒)
ตอบ มีอธิบายว่า การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความ
เพียรโดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลาง
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ และทรงถึง
ฝั่งได้ดังประสงค์ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 79
ธรรม ๒
๑. สังขตธรรม และอสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม เพราะมี
ลักษณะอย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ สังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนอสังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยไม่ได้ปรุงแต่ง
เพราะมีลักษณะ คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความดับในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ ความ
แปรผันปรากฏ ฯ
๒. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๕)
ตอบ คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ
มีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความดับ
ไปในที่สุด ฯ
บูชา ๒
๑. บูชา ๒ คืออะไรบ้าง ? การสมาทานศีล ๕ เป็นประจำ จัดเป็นบูชา ประเภทใด ? (๒๕๖๑)
ตอบ คืออามิสบูชา บูชาด้วยอามิสสิ่งของ ๑ ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม ๑ ฯ
เป็นปฏิบัติบูชา ฯ
ปฏิสันถาร ๒
๑. ปฏิสันถาร คืออะไร ? จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือการต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรองด้วยของ ต้อนรับ
ตามสมควรด้วยไมตรีจิต ฯ
ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี ๒ อย่าง คือ
๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุสิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว
น้ำ หรือที่พัก เป็นต้น
๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการต้อนรับตามความเหมาะสม
แก่ผู้มาเยือน หรือการให้คำแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ฯ
๒. ปฏิสันถาร มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๔)
ตอบ มี ๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ
๒. ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ
มีประโยชน์อย่างนี้ คือ
๑. เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน
๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 80
ปริเยสนา ๒
๑. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ? (๒๕๕๕)
ตอบ ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือคุณธรรมมีพระ
นิพพานเป็นอย่างสูง เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่า อริยปริเยสนา แสวงหาของมีชรา
พยาธิ มรณะ เช่น หาของเล่น เป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ เรียกว่า อนริยปริเยสนา ฯ
ปาพจน์ ๒
๑. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ ได้แก่ พระธรรมและพระวินัย ฯ
ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ
๒. ปาพจน์ ๒ คือธรรมและวินัย นั้นทราบแล้ว อยากทราบว่าความปฏิบัติอย่างไร จัดเป็นธรรม
ความปฏิบัติอย่างไร จัดเป็นวินัย ? (๒๕๕๘)
ตอบ ความปฏิบัติเป็นทางนำความประพฤติและอัธยาศัยให้ประณีตขึ้น จัดเป็นธรรม ความ
ปฏิบัติเนื่องด้วยระเบียบอันทรงตั้งไว้ด้วยพุทธอาณา เป็นสิกขาบทหรืออภิสมาจาร เป็นทางนำ
ความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือเป็นเครื่องบริหารคณะ จัดเป็นวินัย ฯ
รูป ๒
๑. รูปในขันธ์ ๕ แบ่งเป็น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? จงอธิบายมาสั้น ๆ พอเข้าใจ (๒๕๕๑)
ตอบ ได้แก่ มหาภูตรูปและอุปาทายรูป มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ อันได้แก่ ธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป คือ รูปอาศัย เป็นอาการของมหาภูตรูป เช่น ประสาท ๕ มีจักขุประสาท
เป็นต้น โคจร ๕ มีรูปารมณ์ เป็นต้น ฯ
๒. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย
อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น ฯ
๓. มหาภูตรูป คืออะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ คือรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วยธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ
เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งอุปาทายรูปหรือรูปย่อย เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป อุปาทายรูปที่อิง
อาศัยมหาภูตรูปนั้น ก็แตกทำลายไปด้วย ฯ
วิมุตติ ๒
๑. เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙)
ตอบ เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จึงบำเพ็ญวิปัสสนาต่อ
ส่วนปัญญาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุด้วยลำพังบำเพ็ญวิปัสสนาล้วน
อีกนัยหนึ่ง เรียกเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากราคะ เรียกปัญญาวิมุตติเพราะพ้นจากอวิชชา
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 81
อกุศลวิตก ๓
๑. อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ กามวิตก ทำใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ
พยาบาทวิตก ทำให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทำร้ายผู้อื่น
วิหิงสาวิตก ย่อมครอบงำจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ
กามวิตก แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน
พยาบาทวิตก แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร
วิหิงสาวิตก แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ
๒. ความตริในฝ่ายชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓, ๒๕๖๔)
ตอบ เรียกว่า อกุศลวิตก ฯ
มี ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม
๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท
๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ
กุศลวิตก ๓
๑. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้ ? (๒๕๕๖)
ตอบ มี ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม
๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท
๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ
สงเคราะห์เข้าในข้อสัมมาสังกัปปะ ฯ
อัคคิ (ไฟ) ๓
๑. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุ
ไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ
เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้
เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ
อธิปเตยยะ ๓
๑. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับ ผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทำงาน ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทำด้วยมุ่งให้สมภาวะของตน ผู้ทำมุ่งผล
อันจะได้แก่ตน หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 82
ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะ ทำด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร เห็นว่าถูกก็ทำ
หรือทำด้วยอำนาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ
๒. อธิปเตยยะ ๓ มีอะไรบ้าง ? บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา
เป็นต้น จัดเข้าในข้อไหน ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔)
ตอบ มี ๓ คือ
๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่
๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่
๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ
จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ
๓. บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยความเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ?
(๒๕๖๖)
ตอบ จัดเข้าใน ธัมมาธิปเตยยะ ฯ
อาสวะ ๓
๑. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิต
พ้นแล้ว จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
ทวาร ๓
๑. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร
ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ
ญาณ ๓
๑. ญาณ๓ที่เป็นไปในอริยสัจ๔มีอะไรบ้าง ? ญาณ๓ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?(๒๕๕๓)
ตอบ ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจที่ควรทำให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 83
๒. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้ ได้กำหนดรู้แล้ว จัดเป็นกตญาณ
๓. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัย มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๑)
ตอบ ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละ จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
กรรม ๓
๑. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง จงอธิบาย ? (๒๕๕๐)
ตอบ กรรม คือ การกระทำ
ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ
อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร
เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้
แล้วบ่นว่า ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ
ภพ ๓
๑. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ฯ
ภูมิ หมายถึงภาวะอันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ
วิโมกข์ ๓
๑. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ
มีสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ
ปาฏิหาริย์ ๓
๑. ปาฏิหาริย์ ๓ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนเป็นอัศจรรย์ที่สุด ? (๒๕๕๑)
ตอบ มี อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ที่สุด ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 84
๒. ปาฏิหาริย์มีอะไรบ้าง ? ทำไมจึงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าอัศจรรย์ ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ มี ๓ อย่าง คือ
๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้ใจเป็นอัศจรรย์
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ
เพราะอาจจูงใจผู้ฟังให้เห็นคล้อยตาม ละความชั่วทำความดีตั้งแต่ขั้นต่ำ คือการถึงสรณะ
และรักษาศีล ตลอดถึงขั้นสูงคือมรรคผลนิพพานได้ ฯ
ปิฎก ๓
๑. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ได้แก่พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ฯ
พระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องกฏระเบียบข้อบังคับที่นำความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือ
เป็นเรื่องบริหารคณะ
พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกธรรมล้วน ๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคลเป็นที่ตั้ง ฯ
พุทธจริยา ๓
๑. โลกัตถจริยา ที่พระพุทธองค์ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลกนั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ มีอธิบายว่า ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่มหาชนที่นับว่าสัตว์โลกทั่วไป เช่น ทรงแผ่
พระญาณตรวจดูสัตว์โลกทุกเช้าค่ำ ผู้ใดปรากฏในข่ายพระญาณ เสด็จไปโปรดผู้นั้น สรุปคือ ทรง
สงเคราะห์คนทั้งหลายโดยฐานเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ฯ
วัฏฏะ (วน) ๓
๑. กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๗,
๒๕๖๕, ๒๕๕๑, ๒๕๖๓)
ตอบ เพราะวน คือหมุนเวียนกันไป
อธิบายว่า กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อ
ได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
ด้วยอรหัตตมรรค ฯ
๒. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพเกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ?
ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ อย่างนี้ คือกิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อ
ได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 85
วิโมกข์ ๓
๑. วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจากราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ
มีอธิบายว่าความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจอริยมรรคกิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไปไม่กลับเกิดอีกฯ
วิเวก ๓
๑. กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๕)
ตอบ กายวิเวก หมายถึง สงัดกาย ได้แก่อยู่ในที่สงัด
จิตตวิเวก หมายถึง สงัดจิต ได้แก่ทำจิตให้สงบด้วยสมถภาวนา
อุปธิวิเวก หมายถึง สงัดกิเลส ได้แก่ทำใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสด้วยวิปัสสนาภาวนา ฯ
สังขตลักษณะ ๓
๑. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้น
หรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๒)
ตอบ เป็นลักษณะของสังขตธรรม ฯ
มีลักษณะเช่นนั้น คือเมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น ต่อมาก็เจริญเติบโต
ผ่านวัยทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไป ฯ
๒. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ
มีลักษณะ คือมีความเกิดขึ้น มีความดับไปในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ฯ
สังขาร ๓
๑. ในสังขาร ๓ อะไรชื่อว่ากายสังขารและวจีสังขาร ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่ออย่างนั้น ? (๒๕๕๘)
ตอบ ลมอัสสาสะปัสสาสะ ได้ชื่อว่ากายสังขาร เพราะปรนปรือกายให้เป็นอยู่ วิตกกับวิจาร ได้
ชื่อว่าวจีสังขาร เพราะตริแล้วตรองแล้วจึงพูด ไม่เช่นนั้นวาจานั้นจักไม่เป็นภาษา ฯ
โสดาบัน ๓
๑. คำว่า พระโสดาบันและสัตตักขัตตุปรมะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ พระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขั้นแรก
สัตตักขัตตุปรมะ คือพระโสดาบันผู้จะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ฯ
๒. คำว่า “โสดาบัน” แปลว่าอะไร ? ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๕๙)
ตอบ โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ
ท่านละสังโยชน์ได้เด็ดขาด ๓ อย่าง คือ
๑. สักกายทิฏฐิ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 86
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
อบาย ๔
๑. อบาย ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ ได้แก่ ภูมิ กำเนิดหรือพวก อันหาความเจริญมิได้ ฯ
มี นิรยะ คือ นรก
ติรัจฉานโยนิ คือ กำเนิดดิรัจฉาน
ปิตติวิสัย คือ ภูมิแห่งเปรต
อสุรกาย คือ พวกอสุระ ฯ
อปัสเสนธรรม ๔
๑. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่ ๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบาย
อย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคำ
เสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ
๒. อปัสเสนธรรมข้อว่า “พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง” ของอย่างหนึ่งนั้น คืออะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ คืออกุศลวิตกอันสัมปยุตด้วยกาม พยาบาท วิหิงสา ฯ
อัปปมัญญา ๔
๑. พรหมวิหาร กับ อัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทาโดยตรงของภิกษุในพระ
ธรรมวินัยนี้ (๒๕๔๙)
ตอบ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือแผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่ยังจำกัดหมู่นั้นหมู่นี้จัด
เป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ฯ
๒. เมตตากับปรานี มีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ? และอย่างไหนกำจัดวิตกอะไร ?(๒๕๕๔)
ตอบ เมตตา หมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี ปรานี หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้น
จากความทุกข์ เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ
เมตตากำจัดพยาบาทวิตก ปรานีกำจัดวิหิงสาวิตก ฯ
๓. การแผ่เมตตาในพรหมวิหาร กับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ในพรหมวิหาร เป็นการแผ่เมตตาโดยเจาะจงตัว หรือเจาะจงหมู่คณะ
ส่วนในอัปปมัญญา เป็นการแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงตัวไม่มีจำกัด ฯ
๔. เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวิหารและในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ มีความหมายว่า ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 87
ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ
แผ่โดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จัดเป็นพรหมวิหาร
ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
พระอริยบุคคล ๔
๑. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
๒. พระโสดาบัน แปลว่าอะไร ? หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ แปลว่าผู้แรกเข้าถึงกระแสพระนิพพาน ฯ
ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้ขาด ฯ
๓. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระอริยบุคคลประเภทใด ละอวิชชาได้เด็ดขาด ? (๒๕๖๓, ๒๕๖๕)
ตอบ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระอรหันต์ละอวิชชาได้เด็ดขาด ฯ
อริยวงศ์ ๔
๑. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ คือปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ
มี ๔ อย่าง ฯ
ข้อที่ ๔ ว่า ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ
๒. ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๖)
ตอบ เรียกว่า อริยวงศ์ ฯ
มี ๔ คือ ๑. สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด
๒. สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด
๓. สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด
๔. ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ
อุปาทาน ๔
๑. อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอำนาจมานะ จนเป็นเหตุถือพวก จัดเป็นอุปาทานอะไร
ในอุปาทาน ๔ ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ คือการถือมั่นข้างเลว ได้แก่ถือรั้น ฯ
จัดเป็นอัตตวาทุปาทาน ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 88
โอฆะ ๔
๑. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๗,
๒๕๖๐, ๒๕๖๖)
ตอบ ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์
ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ
ทักขิณาวิสุทธิ ๔
๑. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในฝ่ายทายก และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น
มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๔)
ตอบ คือของทำบุญ ฯ
มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าบริสุทธิ์
และมีความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า
ไม่บริสุทธิ์ ฯ
๒. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด ? (๒๕๕๖)
ตอบ ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
ทักขิณาบางอย่าง ไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
อย่างที่ ๔ คือทักขิณาที่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
กิจในอริยสัจ ๔
๑. กิจจญาณ คืออะไร ? เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ฯ
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นธรรมชาติที่ควรละ
ทุกขนิโรธเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด ฯ
๒. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยที่ควรละได้ละแล้ว
ทุกขนิโรธที่ควรทำให้แจ้งได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ควรเจริญได้เจริญแล้ว ฯ
๓. กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ มี ๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ
๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ
๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 89
๔. ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ
โยนิ ๔
๑. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดาและสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือกำเนิด ฯ
มี ชลาพุชะ เกิดในครรภ์
อัณฑชะ เกิดในไข่
สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล
โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ
จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ
มัจฉริยะ ๕
๑. ธรรมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ มีอธิบายว่า ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไม่ปรารถนาจะแสดงจะบอกแก่คนอื่น เกรง
ว่าเขาจะรู้เทียมตน ฯ
มาร ๕
๑. มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือสิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิด
กั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
หมายถึงอกุศลกรรม ฯ
๒. มาร มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ฯ
อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมาร ฯ
๓. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๐, ๒๕๖๓)
ตอบ เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี
๔. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คำว่า มาร หมายถึงอะไร ? กิเลสได้ชื่อว่า
มาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี
จนถึงปิดกั้น ไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 90
เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทำให้เสียคนบ้าง ฯ
๕. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๕)
ตอบ ได้แก่ความตาย ฯ
ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะทำประโยชน์ใด ๆ
อีกต่อไป ฯ
๖. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือปัญจขันธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และเทวบุตร ฯ
ได้ชื่อว่ามาร เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสแล้ว กิเลสย่อมผูกรัดไว้บ้าง ย่อมทำให้
เสียคนบ้าง ฯ
วิมุตติ ๕
๑. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ? (๒๕๖๐)
ตอบ ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยะ
ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตระ ฯ
วิญญาณ ๕
๑. ชิวหาวิญญาณ และกายวิญญาณ เกิดขึ้นได้เพราะอาศัยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยลิ้นกับรส (กระทบกัน) และกายวิญญาณเกิดขึ้น
เพราะอาศัยกายกับโผฏฐัพพะ (กระทบกัน) ฯ
เวทนา ๕
๑. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์
ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ
ในเวทนา ๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือ
โสมนัส ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์
ใจก็คือโทมนัส ส่วนในเวทนา ๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ
๒. ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย กับความรู้สึกเฉย ๆ ทางใจ จัดเข้าในเวทนา ๕ อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย จัดเป็นสุข
ความรู้สึกเฉยๆ ทางใจ จัดเป็นอุเบกขา ฯ
สังวร ๕
๑. สังวรคืออะไร ? สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖)
ตอบ คือการสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 91
มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรมเข้าครอบงำ เมื่อ
เห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนหลงลืม ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ
ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ
จริต ๖
๑. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต
๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต ฯ
พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ฯ
๒. จริต คืออะไร ? คนมีปกติเชื่อง่ายเป็นจริตอะไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ คือพื้นเพอัธยาศัยของบุคคลที่แสดงออกมาตามปกติเป็นประจำ ฯ
เป็นสัทธาจริต ฯ
๓. คนมีปกติรักสวยรักงามจัดเป็นจริตอะไร ? จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากรรมฐานข้อใดได้บ้าง ?(๒๕๖๓)
ตอบ จัดเป็นราคจริต ฯ
จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากายคตาสติ หรืออสุภกรรมฐาน ๆ
ธรรมคุณ ๖
๑. พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคำว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้” ? พระธรรมคุณบทนั้น มี
อธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๖)
ตอบ บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ
มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ได้ทุกเวลา และ
สามารถนำไปประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขได้ ฯ
๒. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺฃวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดี
เพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง
ที่สุด พร้อมทั้ง อรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะ
ปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
๓. คำว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” หมายถึงอะไร ?
(๒๕๕๖, ๒๕๖๑, ๒๕๖๕)
ตอบ หมายถึง ปริยัติธรรม กับ ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่ สัทธรรม ๑๐ คือ
โลกุตรธรรม ๙ กับ ปริยัติธรรม ๑) ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 92
สวรรค์ ๖ ชั้น
๑. สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒)
ตอบ มี ๖ ชั้น ฯ
ได้แก่ ๑. ชั้นจาตุมหาราชิก ๒. ชั้นดาวดึงส์ ๓. ชั้นยามา
๔. ชั้นดุสิต ๕. ชั้นนิมมานรดี ๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ
อนุสัย ๗
๑. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓)
ตอบ หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ
เพราะกิเลสชนิดนี้ บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้นในทันใด ฯ
๒. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ มัก
ไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น
กิเลสที่ได้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ
วิสุทธิ ๗
๑. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ? (๒๕๕๕)
ตอบ สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ พอเป็น
รากฐานแห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ
อวิชชา ๘
๑. ในอวิชชา ๘ ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ มีอธิบายว่า ไม่รู้จักคิดล่วงหน้า ไม่อาจปรารภการที่ทำ หรือเหตุอันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่า
จักมีผลเป็นอย่างนั้น ๆ ฯ
พุทธคุณ ๙
๑. พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร ถามว่า กำได้แก่อะไร ? สังสารจักร ได้แก่
อะไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๐, ๒๕๖๕)
ตอบ กำ ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ฯ
สังสารจักร ได้แก่ วัฏฏะ ๓ คือกิเลส กรรม วิบาก ฯ
๒. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ? (๒๕๕๓)
ตอบ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ,
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ
๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 93
๓. พระพุทธคุณว่า อรหํ ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคำอะไรมาประกอบ
ร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบทของพระศาสดาหรือของพระสาวก ? (๒๕๕๔)
ตอบ ได้ ฯ
สำหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง
สำหรับพระสาวกใช้ว่า อรหํ ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
๔. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ
พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
พุทธคุณ ๙ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ
๕. พระพุทธคุณบทว่า อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไรบ้าง ? เลือกตอบมา ๒ อย่าง
(๒๕๕๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔)
ตอบ มีความหมายได้ ๔ อย่าง ฯ คือ
๑. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม กล่าวคือเป็นผู้บริสุทธิ์
๒. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้หักกำสังสารจักร คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ได้
๓. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา หรือเป็นผู้ควรรับความ
เคารพนับถือ
๔. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไม่มีความลับ คือมิได้ทำความเสียหายอันใดที่จะ
พึงซ่อนเร้นฯ
มานะ ๙
๑. มานะ คืออะไร ? ว่าโดยย่อ ๓ อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือความสำคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ฯ
ได้แก่ ๑. สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
๒. สำคัญตัวว่าเสมอเขา
๓. สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ฯ
สังฆคุณ ๙
๑. คำว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจำแนกมาดู (๒๕๕๔, ๒๕๖๒)
ตอบ ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน มรรคผลทั้งสิ้น คือ
พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑
พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 94
พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ
๒. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
๓. ายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม
๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร
๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคำนับ
๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ
๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทำบุญ
๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทำอัญชลี [ประณมมือไหว้]
๙. อนุตฺตรํ ปุญฺญฃกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ
ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง
ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ
๓. พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ? คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง”
คือปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕)
ตอบ หมายถึงพระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษตั้งแต่โสดาปัตติมรรค เป็นต้น ฯ
คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวก
ด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่งอน ฯ
สัตตาวาส ๗
๑. วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้
ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ
ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส ฯ
บารมี ๑๐
๑. บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖)
ตอบ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ความดีที่บำเพ็ญอย่าง
พิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ
คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอนและ
ดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ
๒. ผู้บริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี ? (๒๕๕๗)
ตอบ บริจาคพัสดุภายนอก จัดเป็นทานบารมี
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 95
บริจาคอวัยวะ จัดเป็นทานอุปบารมี
บริจาคชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี ฯ
มิจฉัตตะ ๑๐
๑. มิจฉัตตะ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ
มี ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ ๕. มิจฉา
อาชีวะ
๖. มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณะ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ
มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ และในทางยัง
กุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไป ฯ
สังโยชน์ ๑๐
๑. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรเด็ดขาดบ้าง ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๑)
ตอบ คือกิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ
ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ขาด คือ
๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
ปัจจยาการ ๑๒
๑. สมุทัยวาร กับ นิโรธวาร ในปฏิจจสมุปบาท ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ สมุทัยวาร คือการแสดงความเกิดแห่งผล เพราะเกิดแห่งเหตุ
ส่วนนิโรธวาร คือการแสดงความดับแห่งผล เพราะดับแห่งเหตุ ฯ
๒. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คำว่า สังขาร
หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ
ได้แก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป
๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา ฯ
กรรม ๑๒
๑. คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ก. ชนกกรรม ข. อุปัตถัมภกกรรม ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 96
ง. อุปปัชชเวทนียกรรม จ. กตัตตากรรม
ตอบ ก. กรรมแต่งให้เกิด ข. กรรมสนับสนุน ค. กรรมให้ผลในภพนี้
ง. กรรมให้ผลในภพหน้า จ. กรรมสักว่าทำ คือกรรมที่ทำด้วยไม่จงใจ ฯ
๒. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐)
ตอบ อุปัตถัมภกกรรม ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ
๓. ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรมกับสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล หรืออกุศล ? (๒๕๕๔,
๒๕๖๑)
ตอบ คือกรรมหนัก ฯ
อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล
สมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ฯ
๔. กรรมที่บุคคลทำไว้ ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ทำหน้าที่ คือ
๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม
๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม
๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม
๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ
๕. อุปฆาตกกรรม คือกรรมตัดรอน ทำหน้าที่อะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ทำหน้าที่ตัดรอนผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมให้ขาดแล้ว เข้าให้ผลแทนที่
(ชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น) ฯ
ขบด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิยา สุปฏิวิทฺธา) ฯ
๖. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖)
๑. อโหสิกรรม ๒. กตัตตากรรม
ตอบ อโหสิกรรม คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือน
พืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น
กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ
ธุดงค์ ๑๓
๑. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์ คือการถือปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
คือการถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือบริเวณป่าและ
จะต้องห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 97
๒. ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือวัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็น
ไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อยารักษาโรค ฯ
๓. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฉันเอกา”
จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ? (๒๕๕๒)
ตอบ ได้แก่วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อย
สันโดษ ฯ
จัดเข้าในข้อเอกาสนิกังคะ คือถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ
๔. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกำหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ?
เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๓)
ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อรุกขมูลิกังคะ และอัพโภกาสิกังคะ ฯ
ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะ
เป็นที่อยู่อาศัยประจำตามพระวินัยนิยม ฯ
๕. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ คือวัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อย
สันโดษ ฯ
มี ๔ หมวด ฯ ดังนี้
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
๖. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง ท่านให้ถือ
ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
อย่างเคร่ง เมื่อเลิกบิณฑบาตนั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีก ก็ไม่รับ ฯ
จรณะ ๑๕
๑. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๗)
ตอบ ประกอบด้วย
๑. ได้ยินได้ฟังมาก (พหุสฺสุตา) ๒. ทรงจำได้ (ธตา)
๓. ท่องไว้ด้วยวาจา (วจสา ปริจิตา) ๔. เอาใจจดจ่อ (มนสานุเปกขิตา)
๕. ขบด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐฃิยา สุปฏิวิทฺธา) ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 98
วิชาอนุพุทธประวัติ
อนุพุทธบุคคล
๑. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสำคัญต่อพระศาสดาอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๖,
๒๕๖๑, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๕, ๒๕๖๖)
ตอบ คือสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
มีความสำคัญ คือ ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ในจริยาวัตร และคุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญ
มาตลอด จนถึงผลงานในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันทำให้เจริญสืบมาถึงทุกวันนี้ นำให้
เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็นทิฏฐานุคติ สามารถน้อมนำมาปฏิบัติตามได้ ฯ
๒. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? การเรียนอนุพุทธประวัติสำเร็จ
ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐, ๒๕๖๖)
ตอบ สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย
ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
อนุพุทธะ ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และสามารถสอนผู้อื่นให้
กระทำตามด้วย ฯ
เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ
จนเป็นเหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคงแล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ บำเพ็ญประโยชน์ตนและ
ประโยชน์ท่านโดยควรแก่ฐานะของตน ทั้งให้สำเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย ฯ
๓. ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน ? จงบอกมาสัก ๒ คู่ (๒๕๕๐)
ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร พระอัสสชิกับพระสารีบุตร
พระสารีบุตรกับพระราธะ พระสารีบุตรกับพระราหุล
พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ ฯ
๔. พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๓)
ตอบ มี ๓ ประเภท ฯ
คือ ๑. พระสัมมาสัมพุทธะ
๒. พระปัจเจกพุทธะ
๓. พระอนุพุทธะ ฯ
๕. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๙)
ตอบ มีความสำคัญ คือพระสาวกสงฆ์จัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะและรับปฏิบัติธรรม
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จประโยชน์ และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกำลังใหญ่ของพระ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 99
ศาสนา ในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็น
อันมาก ฯ
๖. พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเวฬุวันเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทาง
เป็นที่ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะพึงไปถึงกลางวัน ไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืน
เงียบเสียงที่จะอื้ออึงกึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้
ต้องการที่สงัด และควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดา
ทรงถวายด้วยการหลั่งน้ำจากพระเต้าทอง ฯ
๗. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละ
บริษัทนั้นคือใคร ? (๒๕๕๓)
ตอบ มีลำดับอย่างนี้ คือภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษุณี ฯ
พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัท
บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษัท
มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสิกาบริษัท
พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
๘. ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคำตำหนิว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะบวช
นาน ? (๒๕๕๕)
ตอบ ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัดอาจทำให้สำเร็จ
ด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนำผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ
๙. ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยงดับ
ไป ฯ
๑๐. การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับอนุตตริยะอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ
พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ
ได้ทรงสดับธรรม เป็นสวนานุตตริยะ
ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ
๑๑. การทำสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้ กำจัดและป้องกันอลัชชีได้ ทำความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูก
ต้องและปฏิบัติถูกต้องได้ และทำให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น ฯ
๑๒. อนุพุทธองค์แรก คือใคร ? สำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๘,
๒๕๖๑)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 100
ตอบ คือพระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ
ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ
๑๓. ใครคืออนุพุทธองค์แรก ? ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๖๕)
ตอบ คืออัญญาโกณฑัญญะ ฯ
เพราะฟังธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ
ประวัติพระอัญญาโกณฑัญญะ
๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่านหนักไปทางไหน ในตำรา
ทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ? ขอฟังเหตุผล (๒๕๔๙)
ตอบ เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตำราแน่ใจ จึงบวชตาม
และเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวังนี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยค
ปฏิบัติว่า เลิกเสียเป็นอันไม่สำเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สำเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการ
ที่คัดค้านและพูดถ้อยคำที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน ? เรียนจบอะไร ? ทำไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ
(๒๕๕๐)
ตอบ ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ
เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ
เรียนจบไตรเพทและรู้ตำราทำนายลักษณะ ฯ
เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺญฺาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่ง
เมื่อท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ
๓. ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนหลังกันอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก ต่อมาท่านวัปปะและท่านภัททิยะจึงได้
และต่อมาท่านมหานามะและท่านอัสสชิจึงได้ตามลำดับ ฯ
๔. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็น
ปฐมสาวก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน และได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น
๕. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร ? จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะ
บำเพ็ญทุกรกิริยา ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๓)
ตอบ เพราะได้เคยเข้าร่วมทำนายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ โดยเชื่อมั่นว่าจะตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้า จึงตามอุปัฏฐากด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนาโปรด ฯ
๖. พระอัญญาโกณฑัญญะสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้วกี่วัน ? สำเร็จเพราะ
ฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ ๕ วัน ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 101
ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ
๗. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะและพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ?
เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าว
ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดำรัสต่อท้ายว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ”
เพราะท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์
ส่วนพระยสะ ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว
๘. พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนา โดยมีมูลเหตุความเป็นมา
ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ที่ท่านกล่าวว่า
เป็นพระโสดาบัน มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้วจึงขอบวช
พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้ หลงถือตนว่าเป็นผู้
วิเศษ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึงลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช ฯ
๙. พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรก มีจำนวนเท่าไร ? ประกอบด้วย
ใครบ้าง ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๒)
ตอบ มี ๖๐ องค์ ฯ
ประกอบด้วยพระปัญจวัคคีย์ พระยสะ สหายพระยสะที่ปรากฏนาม ๔ องค์ และไม่
ปรากฏนามอีก ๕๐ องค์ ฯ
๑๐. พระปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? พระธรรมเทศนา
นั้นโดยย่อว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖)
ตอบ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ
ว่าด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
ประวัติพระยสเถระ
๑. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส เนื่องจากได้เห็นอาการของพวกชนบริวารอันวิปริต
ไปโดยอาการต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระ
พุทธองค์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ
๒. เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นำกลับไป
ตามความประสงค์เดิม ? (๒๕๕๐)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 102
ตอบ เพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือน
อีกต่อไป ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ
๓. พระสาวกผู้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องเดียวซ้ำ ๒ ครั้ง คือใคร ? ธรรม
เทศนาเรื่องอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือพระยสะ ฯ
เรื่อง อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
๔. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่ปัญจวัคคีย์และพระยสะต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ต่างกัน คือที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” ส่วนที่
ประทานแก่พระยสะไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” ฯ
เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
๕. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ ที่ไหน ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๒, ๒๕๖๕)
ตอบ ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ
๖. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก ? อนุปุพพีกถานั้น กล่าวถึงเรื่องอะไร ?
(๒๕๕๔, ๒๕๖๓)
ตอบ แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ
กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนา
สวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่ง
กาม และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ
๗. อุบาสกผู้ประกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือตปุสสะและภัลลิกะ
ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือบิดาของยสะ ฯ
๘. “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึงอุทานอย่างนั้น ?
(๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ ของยสกุลบุตร ฯ
เพราะเห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า เกิด
ความสลดใจ คิดเบื่อหน่าย ฯ
๙. อนุปุพพีกถา คืออะไร ? ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ คือถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ ฯ
ด้วยพระพุทธประสงค์จะฟอกจิตกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระ
ธรรมเทศนาให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 103
ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ
๑. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ? พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่อง
ว่าเลิศในทางนี้ ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒)
ตอบ เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
ดีอย่างนี้ คือภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อันบริษัทรักใคร่นับถือ
สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนาในสาวกมณฑล ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
๒. พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ทรงพา
ท่านไปกรุงราชคฤห์ด้วย เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของ
ตน เห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ จึงทูลขอ
อุปสมบท ฯ
ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน
๓. อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑)
ตอบ อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น
อนัตตา ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์
อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ
โมหะ ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ
๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเพราะเหตุใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ อุรุเวลกัสสปะ ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนา
ปาฏิหาริย์ ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็น
ผู้วิเศษแต่ประการใด ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ส่วนนทีกัสสปะและคยากัสสปะ เห็นพี่
ชายถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอ
อุปสมบท ฯ
๕. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓,
๒๕๕๙, ๒๕๖๐, ๒๕๖๔)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
เพราะท่านรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
๖. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
(๒๕๕๕, ๒๕๖๓)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 104
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ
ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ
๗. พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๕๘, ๒๕๖๖)
ตอบ เพราะเป็นพระสูตรที่เหมาะแก่บุรพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง ฯ
๘. ชฎิล ๓ พี่น้อง ตั้งอาศรมบูชาไฟอยู่ ณ สถานที่ใด ? (๒๕๖๑)
ตอบ ๑. อุรุเวลกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา
๒. นทีกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ลำน้ำอ้อมหรือคุ้งแห่งแม่คงคา
๓. คยากัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ ฯ
ประวัติพระสารีบุตรเถระ
๑. อุปติสสปริพาชกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? มีใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ จากพระอัสสชิ ฯ
มีใจความว่า พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้ ฯ
๒. “คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์
อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของใคร ? พูดกะใคร ? (๒๕๕๒,
๒๕๖๐, ๒๕๖๕)
ตอบ ของอุปติสสมาณพ ฯ
พูดกะโกลิตมาณพ ฯ
๓. พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่า เป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบสัก ๑ เรื่อง เพื่อ
ยืนยันคำกล่าวนี้ ? (๒๕๕๔)
ตอบ (ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง)
เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะ
นอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ
เรื่องที่ ๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตามปรารถนา พระ
ศาสดาทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง พระ
สารีบุตรทูลว่า ราธพราหมณ์เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้
กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ ฯ
๔. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒
เรื่อง (๒๕๕๖)
ตอบ พระสารีบุตรเถระ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 105
เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะ
นอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
เรื่องที่ ๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพี
หนึ่ง ฯ
๕. พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระ
โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมเลี้ยงทารกนั้นที่เกิดแล้ว ฯ
๖. ธรรมเสนาบดีและนวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไรจึงมีนามเช่นนั้น
? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระ เพราะท่านเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการประกาศ
พระพุทธศาสนา ฯ
นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคัลลานเถระ เพราะท่านเป็นผู้สามารถกำกับดูแล
การก่อสร้าง ฯ
๗. พระสาวกองค์ใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอยู่ในทิศใด ก็นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ? การ
ปฏิบัติเช่นนั้นจัดเป็นคุณธรรมอะไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๖)
ตอบ พระสารีบุตร ฯ
จัดเป็นกตัญญู
ประวัติพระมหาโมคคัลลานเถระ
๑. เมื่อเอ่ยถึงพระสารีบุตร ทำให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ? ท่านได้บรรลุพระอรหัต และ
นิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตรกี่วัน ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือพระโมคคัลลานะ ฯ
ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ฯ
ก่อนพระสารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตำบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน ฯ
๒. โกลิตะถามอุปติสสะว่า “ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น วันนี้ดูใจเศร้า ท่านเป็นอย่างไรหรือ?” อุ
ปติสสะตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ตอบว่า “โกลิตะ อะไรที่ควรดูในการเล่นนี้มีหรือ คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จัก
ไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” ฯ
๓. พระโอวาทว่า “เราจักไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกุล” พระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวกองค์ใด ? ที่ไหน ?
(๒๕๕๘, ๒๕๖๕)
ตอบ แก่พระมหาโมคคัลลานะ ฯ
ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 106
ประวัติพระมหากัสสปเถระ
๑. พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี” แล้วมี
ใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวชคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศใน
ทางไหน ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือพระมหากัสสปะ ฯ
ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะท่านถือธุดงค์ ๓
อย่างเป็นประจำ คือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑
ฯ
๒. พระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรกที่ไหน ? ใช้เวลานานเท่าไร ?
(๒๕๕๑, ๒๕๖๐)
ตอบ ที่ถ้ำสัตตบัณณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ฯ
ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ
๓. พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือ พิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ดังนี้ พระองค์
ตรัสกะสาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด ? (๒๕๕๓)
ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ
เป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์ ฯ
๔. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่
ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ ๘ วัน ฯ
สงเคราะห์เข้าในกายคตาสติ และวิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ
๕. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี
คือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๕)
ตอบ มี ฯ
คือพระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
๖. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ? (๒๕๕๖)
ตอบ บวชเพราะเบื่อหน่าย คือพระยสะ พระมหากัสสปะ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 107
บวชเพราะเพื่อน คือพระภัททิยศากยะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ
และเพื่อนชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ
(ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้ และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้)
๗. อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานให้แก่
ใคร ? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๖)
ตอบ การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะ
การรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ
พระมหากัสสปะ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงค์คุณ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ
๘. พระมหากัสสปเถระ ชักชวนภิกษุสงฆ์ทำสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้เป็นแบบฉบับ เพื่อสม
กับพระพุทธพจน์ที่ได้ประทานไว้เมื่อครั้งปรินิพพาน พระพุทธพจน์นั้นใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อย่างใด อันเราได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว ธรรมวินัยนั้นจัก
เป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงไปแล้ว ฯ
๙. พระสาวกองค์ใด เป็นผู้มักน้อยสันโดษอย่างยิ่ง ? ท่านทำใจอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕)
ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ
ทำใจอย่างนี้ คือเมื่อแสวงหาไม่ได้ ก็ไม่สะดุ้งตกใจ เมื่อแสวงหาได้แล้ว ก็ไม่กำหนัดยินดี
ในปัจจัย ๔ นั้น ฯ
๑๐. พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๔)
ตอบ ถือธุดงค์ ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. ใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร
๒. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ
๑๑. พระโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานในการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะมีกี่ข้อ ? อะไรบ้าง ?
(๒๕๖๒)
ตอบ มี ๓ ข้อ ฯ คือ
๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ ในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ
ปานกลาง และผู้ใหม่
๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรม อันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น
๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย ฯ
ประวัติพระมหากัจจายนเถระ
๑. พระสาวกผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือใคร ? ท่านได้รับการ
สรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๙)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 108
ตอบ คือพระมหากัจจายนะ ฯ
ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคำที่ย่อให้พิสดาร ฯ
๒. การบวชของพระมหากัจจายนะ มีความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ มีความเป็นมาอย่างนี้ ท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าจัณฑปัชโชต ให้ไปทูลเชิญ
พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงอุชเชนี จึงทูลลาบวชด้วย ครั้นได้เข้าเฝ้าฟังธรรมแล้ว บรรลุพระอรหัต จึง
ทูลขอบวช ฯ
๓. พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์
เมื่อครั้งไหน ? ได้ผลอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ เมื่อครั้งที่ท่านบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้
เสด็จไปกรุงอุชเชนี เพื่อประกาศพระศาสนาตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แต่
พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ท่านไปแทน ฯ
พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
๔. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตร
นั้นชื่ออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ
แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ
ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี ฯ
สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ
๕. พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแทนพระองค์
ณ เมืองใด และได้ผลเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ณ เมืองอุชเชนี ฯ
ได้รับผล คือพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
๖. พระเถระและพระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ก. พระมหากัจจายนะ ข. พระโมฆราช
ค. พระราหุล ง. ปฏาจาราเถรี จ. อุบลวรรณาเถรี
ตอบ ก. พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร
ข. พระโมฆราช เป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง
ค. พระราหุล เป็นเอตทัคคะในทางผู้ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมวินัย
ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทัคคะในทางทรงวินัย
จ. อุบลวรรณาเถรี เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ฯ
ประวัติพระปุณณกเถระ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 109
๑. “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา” นี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับ
พุทธพยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ฯ
ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชรา
ทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
ประวัติพระอานนทเถระ
๑. พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จ
ไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ ข้อต้น เพื่อป้องกันคำติเตียนว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ ข้อหลัง
เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาไปทำอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรง
อนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ
ประวัติพระอุบาลีเถระ
๑. การที่เจ้าศากยะทูลขอให้พระอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ เพราะประสงค์จะละมานะของตน ฯ
ประวัติพระปุณณมันตานีบุตรเถระ
๑. ภิกษุ ภิกษุณี ผู้เอตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ภิกษุ คือพระปุณณมันตานีบุตร ฯ
ภิกษุณี คือนางธรรมทินนาเถรี ฯ
ประวัติพระโสณโกฬิวิสะเถระ
๑. พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไป และหย่อนเกินไปแก่พระโสณโกฬิวิสะว่า
อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ทรงแสดงว่า ความเพียรที่ตึงเกินไปเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ที่หย่อนเกินไปเป็นเพื่อความ
เกียจคร้าน ฯ
๒. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงพระประสงค์ใด ? (๒๕๕๙,
๒๕๖๔)
ตอบ แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ
ด้วยทรงพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียร
อย่างยิ่ง เดินจงกรมจนเท้าแตก ฯ
ประวัติพระอัสสชิเถระ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 110
๑. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสำคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้น ชื่ออะไรและเป็นผู้
เลิศในทางใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณมันตานีบุตรเป็นศิษย์ ฯ
เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก พระอัสสชิ ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก
๒. มารยาทดีมีความสำรวมย่อมเป็นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น
นี่เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ (๒๕๕๓)
ตอบ ของพระอัสสชิเถระ ฯ
ท่านเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็น
กำลังในการประกาศพระศาสนา อุปติสสปริพาชกพบเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอฟังธรรมจาก
ท่านแล้วได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ฯ
๓. พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๔)
ตอบ มีใจความย่อว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับ
แห่งธรรมนั้น พระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้” ฯ
ประวัติพระราธเถระ
๑. พระสาวกผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นองค์แรกคือใคร ? ท่านได้รับยกย่อง
จากพระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายอย่างไร ?
ตอบ พระราธะ ฯ
ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในธรรมเทศนา ฯ
ประวัติพระรัฐบาลเถระ
๑. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐, ๒๕๖๖)
ตอบ มี ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ ฯ
๒. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา ๒. บวชเพราะจำใจ ๓. บวช
เพราะหลงใหลในรูป ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๑, ๒๕๖๖)
ตอบ ๑. บวชเพราะศรัทธา คือพระรัฐบาล
๒. บวชเพราะจำใจ คือพระนันทะ
๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป คือพระวักกลิ ฯ
๓. ข้อธรรมว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน” เรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร ?
(๒๕๕๕)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 111
ตอบ เรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ
ประวัติพระโมฆราชเถระ
๑. พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ เป็นคนที่ ๑๕ ฯ
เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน แต่เมื่อปรารภจะทูลถาม
เป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕
๒. คำถามว่า “ข้าพระเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็น” ใครเป็นผู้ทูลถาม ?
พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง
เปล่า ถอนความตายเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ ด้วยอุบาย
อย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงไม่แลเห็น ฯ
๓. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ด้วยเรื่องสุญญตานุปัสสนา ฯ
มีความหมายว่า ให้พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าเป็นตัวตน
ของเราเสีย ฯ
๔. พระโมฆราชและพระอุบาลี ได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางไหน ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๕)
ตอบ พระโมฆราช ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
พระอุบาลี ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงพระวินัย ฯ
ประวัติพระปิงคิยเถระ
๑. อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟัง
พุทธพยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ พราหมณ์พาวรี ฯ
ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม
ศิษย์อีก ๑๕ คน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 112
๒. มาณพทั้ง ๑๖ คนผู้ทูลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ? ท่านตั้งสานักอยู่
ที่ไหน ? (๒๕๕๗)
ตอบ ของพราหมณ์พาวรี ฯ
อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ฯ
๓. บรรดาศิษย์ ๑๖ คน ศิษย์คนใด นำพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ไปบอกแก่พราหมณ์พาวรีผู้
เป็นอาจารย์ ? พราหมณ์พาวรีฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? (๒๕๕๘)
ตอบ ปิงคิยมาณพ ฯ
ชั้นเสขภูมิ ฯ
๔. ปิงคิยมาณพฟังพยากรณ์ปัญหาจากพระบรมศาสดาแล้วได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? เพราะเหตุไร ?(๒๕๖๑)
ตอบ ได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ
เพราะความฟุ้งซ่านด้วยความคิดถึงอาจารย์ในขณะฟังพระธรรมเทศนา จึงไม่อาจทำจิต
ให้สิ้นอาสวะ
ประวัติพระอุทยเถระ
๑. “โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละ
อะไรได้ ?” ปัญหานี้ใครทูลถาม ? (๒๕๕๑)
ตอบ อุทยมาณพเป็นผู้ทูลถาม ฯ
ประวัติพระอชิตเถระ
๑. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? และพระศาสดา
ทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลง ดุจอยู่ในที่มืด
ประวัติพระราหุลเถระ
๑. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ได้บรรลุพระอรหัตเพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๗,
๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ สามเณรราหุล ฯ
จากพระพุทธองค์ ฯ
๒. พระสาวกองค์ใด กอบทรายเต็มมือแล้วปรารถนาว่า “ขอให้เราได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระ
ทศพลและพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เท่าเม็ดทรายในกำมือนี้เถิด” ? และท่านเป็นเลิศในด้านใด ? (๒๕๖๑)
ตอบ พระราหุล ฯ
เป็นเลิศในด้านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 113
ประวัติพระมหาปชาบดีโคตมี
๑. สตรีคนแรกที่ได้อุปสมบทในพุทธศาสนาคือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๕)
ตอบ คือพระมหาปชาบดีโคตมี ฯ
ด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
ศาสนพิธี
๑. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖)
ตอบ คือพิธีทางศาสนา ฯ
มีประโยชน์คือ
๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญไม่ไร้สาระ
๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
หมวดที่ ๑ กุศลพิธี
๑. การทำวัตร คืออะไร ? ทำวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๕)
ตอบ คือการทำกิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทำกิจที่ต้องทำประจำ
จนเป็นวัตรปฏิบัติ เรียกสั้น ๆ ว่า ทำวัตร ฯ
ความมุ่งหมายของการทำวัตรสวดมนต์นี้ บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิตไม่ให้คิดวุ่นวาย
ตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลาทั้งเช้าเย็น ครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
๒. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะรักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึง
ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า
อพฺฃรัหฺฃมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้ว
ก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
๓. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ ๓ ประเภท ฯ
คือสังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ
๔. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 114
ตอบ การเข้าพรรษา หมายถึงการที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดู
ฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ
การออกพรรษา หมายถึงกาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ
มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษาพระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำ
ปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ
๕. จงเขียนอุโบสถศีลข้อที่ ๓ มาดู ฯ (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ อพฺฃรหฺฃมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ฯ
๖. ธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติชอบต่อกันเพื่อความสามัคคี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ?
(๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ เรียกว่า สามีจิกรรม ฯ
หมายถึงการขอขมาโทษ และการให้อภัยกัน ฯ
๗. กุศลพิธี คืออะไร ? พิธีทำสามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ คือพิธีบำเพ็ญกุศล ฯ
หมายถึงการขอขมาโทษกัน ให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือ
ไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ
๘. สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีกี่แบบ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๖)
ตอบ หมายถึงการขอขมาโทษกันให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่
ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ
มี ๒ แบบ ฯ
คือ ๑. แบบขอขมาโทษ
๒. แบบถวายสักการะ ฯ
หมวดที่ ๒ บุญพิธี
๑. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทำกันมาจนถึงบัดนี้ (๒๕๕๐, ๒๕๖๐)
ตอบ คือวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ
ถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ฯ
มีการทำบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น จนเป็นประเพณี
ทำบุญตักบาตร ที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๒. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ บังสุกุลเป็น คือ บุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน โดย
เฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทำเมื่อป่วยหนัก เป็นการกำหนดมรณานุสสติวิธี
หนึ่ง ฯ
ว่า อจิรํ วตยํ กาโย ปวึ อธิเสสฺสติ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 115
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญฺาโณ นิรตฺถํ ว กลิงฺครํ ฯ
๓. ในงานมงคลที่ทำกันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วยบทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้น ๆ
ว่าอะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ เรียกว่า เจ็ดตำนาน ฯ
เรียกว่า ต้นสวดมนต์หรือต้นตำนาน และท้ายสวดมนต์ ฯ
๒. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์ ? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วย
เรื่องอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ เรื่องเวสสันดรชาดก ฯ
มี ๑๓ กัณฑ์ ฯ
เรื่อง จตุราริยสัจจกถา ฯ
๓. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ ไม่
ว่างานใดก็ใช้ อนุโมทนาอย่างนั้น
ส่วนวิเสสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะ
ทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง ฯ
๔. บท อทาสิ เม อกาสิ เม....และบท อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา.....ใช้ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ อทาสิ เม อกาสิ เม... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา...ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ ฯ
๕. คำว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทำบุญฉลองอัฐิจัดเข้าใน
อย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ? (๒๕๕๓)
ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงานมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงานอวมงคล ฯ
จัดเข้าในการเจริญพระพุทธมนต์ แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสายสิญจน์ ฯ
๖. งานทำบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทำบุญเช่นไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ คืองานทำบุญที่คณะญาติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหายป่วยและเพื่อให้ผู้
ป่วยได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลายแห่งชีวิตของตน หรือเป็นความประสงค์ของผู้จะทำบุญ
ต่ออายุเอง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ
๗. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทำกันมาจนถึงบัดนี้ ? (๒๕๕๔)
ตอบ คือวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ
ถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ฯ
มีการทำบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ จนเป็นประเพณีทำบุญตักบาตร
ที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๘. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺหํ ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวดเมื่อ
ใด ? (๒๕๕๔)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 116
ตอบ เมื่อทายกถวายเสนาสนะมีโบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ
๙. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙)
ตอบ มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือย
กายอาบน้ำ นางวิสาขามหาอุบาสิกาทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอ
พระพุทธานุญาตเพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ
นางวิสาขามหาอุบาสิกา ฯ
๑๐. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู (๒๕๕๕)
ตอบ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐฃานา เวรมณี สิกฺขาปทํ
สมาทิยามิ ฯ
๑๑. จงเขียนคาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู (๒๕๕๗)
ตอบ คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น ว่า
อจิรํ วตยํ กาโย ปฐฃวึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญฺาโณ นิรตฺถํ ว กลิงฺครํ
คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลตายว่า
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข ฯ
๑๒. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้มีในวันใดบ้าง ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕)
ตอบ คือวันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่า “วันพระ” ฯ
ในวัน ๘ ค่ำ และวัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ของปักษ์ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ฯ
หมวดที่ ๓ ทานพิธี
๑. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๕๘)
ก. ปาฏิปุคคลิกทาน ข. เภสัชทาน
ค. สลากภัต ง. ผ้าวัสสิกสาฎก
จ. ผ้าอัจเจกจีวร
ตอบ ก. ปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้
ข. เภสัชทาน คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ค. สลากภัต คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก
ง. ผ้าวัสสิกสาฎก คือผ้าที่อธิษฐานสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน หรืออาบน้ำทั่วไป
จ. ผ้าอัจเจกจีวร คือผ้าจำนำพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนวันออกพรรษา
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 117
วิชาวินัยบัญญัติ
สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์
๑. อภิสมาจารคืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๙,
๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ คือธรรมเนียมหรือมารยาทที่ดีงามของภิกษุ ฯ
มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ
๒. อภิสมาจาร มีรูปเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต อีกอย่างหนึ่งคืออะไร ? และปรับอาบัติ
อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ อีกอย่างหนึ่ง คือข้อห้าม ฯ
ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ ฯ
๓. อภิสมาจาร คืออะไร ? ปรับอาบัติได้กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๖)
ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
ปรับอาบัติได้ ๒ อย่าง ฯ
คือ ถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ
๔. สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็น ๒ คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต
๑ นั้น คืออย่างไร ? ปรับโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ที่เป็นข้อห้าม คือ กิริยาบางอย่างหรือบริขารประเภทไม่เหมาะแก่สมณสารูป จึงให้ไว้
หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น ที่เป็นข้ออนุญาต คือ เป็นการประทานประโยชน์พิเศษ
แก่พระภิกษุ เช่น ทรงอนุญาตวัสสิกสาฎกในฤดูฝน เป็นต้น ฯ
ปรับโทษโดยตรงมีเพียง ๒ คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฎ ๑ แม้ในข้อที่ทรงอนุญาต เมื่อไม่ทำ
ตาม ก็เป็นอาบัติทุกกฎ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ ฯ
๕. อาทิพรหมจริยกาสิกขากับอภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ อัน
ได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ตรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์ เป็นข้อ
บังคับโดยตรง ที่ภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 118
ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดีที่ทรง
บัญญัติหรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควร
ประพฤติ ฯ
๖. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ?
(๒๕๕๔, ๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จน
เป็นเหตุทำตนให้ลำบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่า
มักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
๗. ภิกษุแม้ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่ต้องอาบัติ ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท ได้แก่ภิกษุประเภทไหน
บ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ได้แก่ภิกษุบ้าคลั่งจนไม่มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุเพ้อจนไม่รู้สึกตัว ภิกษุกระสับกระส่าย
เพราะมีเวทนากล้าจนถึงไม่มีสติ ฯ
๘. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ฯ
คืออาทิพรหมจริยกาสิกขา ๑ อภิสมาจาริกาสิกขา ๑ ฯ
๙. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ ต้องอาบัติถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ
๑๐. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?(๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖)
ตอบ เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ
ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระ
ศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมระเบียบไว้รักษาเกียรติ และความเป็น
ผู้ดีของตระกูล ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร
๑. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตามวินัยแผนกอภิสมาจาร ?
(๒๕๔๙)
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บให้เกลี้ยงเกลาด้วย
มุ่งหมายให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่ นี้เป็นกิจควรทำ ฯ
๒. มีข้อกำหนดในการไว้ผมยาวของพระภิกษุอย่างไร ? ในการโกนผม ภิกษุใช้กรรไกรแทนมีดโกนได้
หรือไม่ ? (๒๕๕๑)
ตอบ ไว้ได้เพียง ๒ เดือน หรือ ๒ นิ้ว เป็นอย่างยิ่ง ฯ
ไม่ได้ เว้นไว้แต่อาพาธ ฯ
๓. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๒)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 119
ตอบ เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
เปลือยกายทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายใน
เวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
๔. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์นั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก หมวก ผ้านุ่ง
ผ้าห่มสีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ ฯ
๕. การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ? (๒๕๕๗)
ตอบ ทรงห้ามในกรณีที่ทาเพื่อให้สวยงาม ทรงอนุญาตในกรณีที่อาพาธ เช่น เป็นโรคผิวหนัง เป็นต้น
๖. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๗)
ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้
ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ
จ. เปลือยในน้ำ
ตอบ ก. ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ข. และ ค. ต้องอาบัติทุกกฏ
ง. และ จ. ไม่ต้องอาบัติ ฯ
๗. ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖)
ตอบ เกี่ยวกับหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่ง
หนวดและห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร
เกี่ยวกับคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยมโกนพร้อมกับผม ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค
๑. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใสของประชาชน ? (๒๕๔๙)
ตอบ การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า ภิกษุย่อมนิยม
ใช้สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบ ๆ ไม่ใช้ของดีที่กำลังตื่นกันในสมัย อันจะพึงเรียกว่า
โอ่โถง ความประพฤติปอนของภิกษุนี้ ย่อมทำให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า
ลูขประมาณ แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ
๒. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือผ้าสำหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดูหนาว ฯ
มีเรื่องเล่าว่า ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความ
หนาวได้ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้นจึงพอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ
๒ ชั้นเข้ากับอุตตราสงค์ ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 120
๓. ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีจีวร เช่น จีวรถูกไฟไหม้ ถูกโจรชิงไปหมด
นุ่งห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฎ แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่ง
ห่ม ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
๔. วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลง
ในบาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วให้
ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมดน้ำ
ก่อนจึงผึ่ง ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ
๕. จีวรผืนหนึ่ง มีกำหนดจำนวนขัณฑ์ไว้อย่างไร ? ใน ๑ ขัณฑ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ กำหนดจำนวนไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ขัณฑ์ แต่ให้เป็นขัณฑ์คี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ
ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล กุสิ อัฑฒกุสิ ฯ
๖. มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึ่งนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่าพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ในกรณีที่ภิกษุถูก
โจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๒)
ตอบ พึงปิดการด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้ ห้ามมิให้
เปลือยกาย ฯ
๗. ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๘)
ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ
มี ๑. โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้
๒. กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย
๓. โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม
๔. กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕. สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน
๖. ภังคะ ผ้าที่ทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
๘. สังฆาฏิ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้ำ อย่างไหนจัดเป็น บริขารบริโภค อย่าง
ไหนจัดเป็นบริขารอุปโภค ? (๒๕๕๖, ๒๕๕๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖)
ตอบ ไตรจีวร บาตร ประคดเอว จัดเป็นบริขารบริโภค
เข็ม มีดโกน ผ้ากรองน้ำ จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ
๙. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน
(๒๕๕๗, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ มี ๒ ชนิด คือบาตรดินเผาและบาตรเหล็ก ฯ
มี ๓ ขนาด คือขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 121
บาตรแสตนเลสจัดเข้าในบาตรเหล็ก ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสสัย
๑. พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความเจริญงอกงามในพระธรรม
วินัย ? (๒๕๔๙)
ตอบ พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริกตั้ง
จิตสนิทสนมในกันและกัน ให้พระอุปัชฌาย์สำคัญสัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระ
อุปัชฌาย์ฉันบิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญ
งอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย ฯ
๒. สัทธิวิหาริก คือใคร ? อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือภิกษุผู้ต้องพึ่งพิงในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริก
ของภิกษุรูปนั้น ฯ
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ
๑. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
๒. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้
๓. ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้วแก่สัทธิวิหาริก
๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทำการพยาบาล ฯ
๓. นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ นิสัยระงับ หมายถึง การที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง
นิสัยมุตตกะ หมายถึง ภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตน ผู้อยู่ตาม
ลำพังได้ ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ
๔. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทำการ
ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ
ผู้ประพฤติดังนี้
๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒. หาความเลื่อมใสมิได้
๓. หาความละอายมิได้
๔. หาความเคารพมิได้
๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 122
๕. ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คำขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ
คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ
ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
๖. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๘)
ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ
คืออุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
๗. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย ? (๒๕๕๕)
ตอบ อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่า ผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล
สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่า ผู้อยู่ด้วย
นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ
๘. คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร ?
(๒๕๕๖, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้
ยอมตนให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ
ต้องถือนิสัยเสมอไป แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือ ภิกษุเดินทาง
ภิกษุผู้เป็นไข้ ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้เพื่อให้อยู่ ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรม
ชั่วคราว และกรณีที่ในที่ใด หาท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ จะอยู่
ในที่นั้นด้วยผูกใจว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่าน ก็ใช้ได้ ฯ
๙. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ (๒๕๕๗)
ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์
ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก
จ. นิสสัยมุตตกะ
ตอบ ก. อาจารย์ผู้ให้อุปสมบท
ข. อาจารย์ผู้สอนธรรม
ค. ภิกษุผู้พึ่งพิงอุปัชฌาย์
ง. ภิกษุผู้อิงอาศัยอาจารย์
จ. ภิกษุผู้พ้นนิสสัยแล้ว ฯ
๑๐. ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 123
๑. เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยิน ได้ฟังมามาก มีปัญญา
๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยา ทั้งมีพรรษาพ้น ๕
กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร
๑. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธ
ไว้ว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ
ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดาของเธอทั้งหลายไม่มี
ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา
ขอให้ภิกษุนั้นพยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ
๒. วิธิวัตร คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือวินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่น แบบอย่างการห่มผ้า เป็นต้น ฯ
แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่ำเสมอกัน เช่น นุ่งห่มเป็นแบบเดียวกัน
อันโบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุด
ไปทีละอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือ เมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ
๓. วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า วัตตสัมปันโน นั้นคืออะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๔, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓)
ตอบ ได้แก่ ขนบ คือ แบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่
บุคคลนั้น ๆ ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะนั้นอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้
๑. ไม่ทำให้เปรอะเปื้อน
๒. ชำระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชำรุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านำไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕. ภิกษุผู้อาพาธควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงไม่เป็นภาระแก่ผู้พยาบาล ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 124
ตอบ ควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้พยาบาลง่าย คือทำความสบายให้แก่ตน (ไม่ฉันของแสลง) รู้จัก
ประมาณในการบริโภค ฉันยาง่าย บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาล เป็นผู้อดทนต่อ
ทุกขเวทนา ฯ
๖. วัตรคืออะไร ? อุปัชฌายวัตรและสัทธิวิหาริกวัตร ใครพึงทำแก่ใคร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖)
ตอบ คือแบบอย่างอันดีงามที่ภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ฯ
อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกพึงทำแก่อุปัชฌาย์
สัทธิวิหาริกวัตร อุปัชฌาย์พึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ
๗. ภัตตุทเทสกะ จีวรภาชกะ และอัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่อะไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ ภัตตุทเทสกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกภัตตาหาร ตลอดถึงรับนิมนต์ของทายกแล้วจัด
ส่งพระไปให้
จีวรภาชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกจีวร
อัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกเภสัชและบริขารเล็กน้อย ฯ
๘. ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ?
(๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖)
ตอบ พึงปฏิบัติตนอย่างนี้
๑. ทำความเคารพในท่าน
๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น
๓. แสดงอาการสุภาพ
๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น
๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น
๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ปัดกวาดให้สะอาดหมดจด ตั้งเครื่องเสนาสนะให้
เป็นระเบียบ ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ
๑. ภิกษุอยู่ในกุฎีเดียวกันกับภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า ควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงชื่อว่าแสดงความ
เคารพท่านตามพระวินัย ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖)
ตอบ ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือจะทำสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะ
อธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดับไฟ จะเปิดจะปิดหน้าต่าง ห้ามมิให้ทำตาม
อำเภอใจ ฯ
๒. กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกาลเทศะ
ในข้อนี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ (๒๕๕๓)
ตอบ ได้แก่ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 125
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ทำอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่และไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือ นอนหลับ หรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือส่งใจไปอื่น
แม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
๓. คารวะ คืออะไร ? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ?
(๒๕๕๔)
ตอบ คือกิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และบุคคล ฯ
ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสำนักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเข้าแถวใน
บ้าน ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ
๔. ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์
อะไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ
เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้ำก็จะหกเสีย
มารยาท พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา หรือด้วยมือลูบก่อน ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง
๕. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่า
เรียกผู้อ่อน พรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ
๖. การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ? (๒๕๕๘,
๒๕๖๓)
ตอบ นั่งอยู่ในสำนักผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ใน
อาราม ไม่ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๖ จำพรรษา
๑. การจำพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ (๒๕๔๙)
ตอบ การจำพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทำอาลัย คือผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ใน
บัดนี้มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคำอธิษฐานพร้อมกันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ
แปลความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
๒. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายในวันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มี
เหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้ พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๐)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 126
ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็น
สัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ
๓. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
(๒๕๕๓, ๒๕๕๖)
ตอบ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์
๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวด
ประกาศญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑ รูป พึงอธิษฐาน ฯ
๔. ภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณาย่อมได้อานิสงส์แห่งการจำพรรษาอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ
๕. วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง ในแต่ละอย่าง
กำหนดวันไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ วันเข้าพรรษาต้น กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง คือ
วันแรม ๑ ค่า เดือน ๘
วันเข้าพรรษาหลัง กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น ล่วงแล้วเดือน ๑
คือวันแรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ
๖. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ คือการหลีกไปในระหว่างอยู่จำพรรษาด้วยกรณียธุระและกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ
ให้ผูกใจว่าจะกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ
๗. ธุระเป็นเหตุไปด้วยสัตตาหกรณียะที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๐, ๒๕๖๔)
ตอบ มี ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้า ไปเพื่อรักษาพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้า ไปเพื่อระงับ
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เป็นต้นว่า วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพ
สัมภาระมาปฏิสังขรณ์
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 127
๔. ทายกต้องการจะบำเพ็ญกุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขา หรือแม้ธุระ
อื่นนอกจากนี้ ที่เป็นกิจลักษณะ อนุโลมตามนี้ ฯ
๘. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทัน เช่นนี้
พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖)
ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยังอยู่ในพระ
พุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด
๙. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? (๒๕๖๐)
ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ ชื่อว่า นวกะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย
ชื่อว่า มัชฌิมะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย ชื่อว่า เถระ ฯ
๑๐. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ สัตตาหกรณียะ คือกิจจำเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษา
ไปพักแรมคืนที่อื่น แต่ต้องกลับมาภายใน ๗ วัน
สัตตาหกาลิก คือเภสัช ๕ ที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ
๑๑. ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ กล่าวไว้ ๒ ฯ
คือ ๑. ปุริมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘
๒. ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา
๑. ในการทำอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์และการอธิษฐาน ทรงให้
ทำได้ในกรณีใด ? (๒๕๔๙)
ตอบ ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์ ถ้ามีเพียง ๓ รูป ๒ รูป
เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแก่กันและกัน ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้
อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ
๒. ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง ? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วย
เรื่องอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ มีดังนี้ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นำฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ สั่ง
สอนนางภิกษุณี ฯ
ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไรแล้ว
สวด ปรับอาบัติถุลลัจจัย ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 128
๓. ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทำปวารณาได้ ? และทำในวันไหน ?
(๒๕๕๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖)
ตอบ คือการบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสทำปวารณาแทนอุโบสถ ฯ
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือน แต่วันจำพรรษา ฯ
๔. การทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพ็ญและพระจันทร์ดับแล้ว ยังทรงอนุญาต
ให้ทำได้ในวันใดอีก ? อุโบสถเช่นนั้น เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ ในวันที่ภิกษุผู้แตกกันปรองดองกันได้ ฯ
เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ฯ
๕. ในวัดหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป เมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษาพึงทำอย่างไร ? ถ้ามีภิกษุ
อาคันตุกะสัตตาหะมาสมทบอีก ๕ รูป จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ ในวันมหาปวารณาพึงทำคณะปวารณา โดยรูปหนึ่งตั้งญัตติแล้วกล่าวปวารณาตามลำดับ
พรรษา ฯ ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะมาเพิ่มอีก ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นสังฆปวารณา แล้ว
กล่าวปวารณาตามลำดับพรรษา ฯ
๖. บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทำอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ
จะต้องทำบุพพกรณ์และบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๘)
ตอบ บุพพกรณ์ คือกรณียะอันจะพึงกระทำให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์
ส่วนบุพพกิจ เป็นธุระอันจะพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ
บุพพกรณ์นั้น เป็นกรณียะจะต้องทำ เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ
ส่วนบุพพกิจนั้น ไม่ต้องทำ เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ
๗. ภิกษุจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรืออยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติ
อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นการสงฆ์
อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงปวารณาเป็นการคณะ
อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
๘. ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจำปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จำได้ แล้วชักสุตบท (สวด
ย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๔)
ตอบ สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น ไม่ถูกต้อง ฯ
เพราะการสวดย่อเนื่องจากจำได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าใน
เหตุฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ
๙. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือการสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และอัพภาณกรรม มีจำกัดจำนวน
สงฆ์ อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๕)
ตอบ การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 129
อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศ ต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย
อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย
อัพภาณกรรม ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย ฯ
๑๐. ปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติ
อย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ
คือสังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ
พึงทำคณปวารณา ฯ
๑๑. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง (๒๕๕๗)
ตอบ ๑. พระราชาเสด็จมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้)
๒. โจรมาปล้น (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีภัยได้)
๓. ไฟไหม้ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อดับไฟหรือเพื่อป้องกันไฟได้)
๔. น้ำหลากมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีน้ำได้) สวดกลางแจ้งฝนตก (ก็เหมือนกัน)
๕. คนมามาก (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรู้เหตุ หรือเพื่อจะได้ทำปฏิสันถาร ได้อยู่)
๖. ผีเข้าภิกษุ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อขับผี ได้อยู่)
๗. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้น เข้ามาในอาราม (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อไล่สัตว์ ได้อยู่)
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ประชุม (ก็เหมือนกัน)
๙. ภิกษุอาพาธเกิดโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุม อันเป็นอันตรายแก่ชีวิต (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อ
ช่วยแก้ไขก็ได้) มีเรื่องเป็นตายในที่นั้นก็เหมือนกัน
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (เลิกสวดปาติโมกข์
เพราะความอลหม่านก็ได้) ฯ (เลือกตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑๒. สงฆ์กำลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ หากมีภิกษุอื่นเข้ามา จะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๐,
๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุม ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากัน
หรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา
๑. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒)
ตอบ เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้
หัดเพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ฯ
๒. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่าง
คฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 130
๓. การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ ความ
ประพฤติเช่นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๓)
ตอบ อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ
ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
รวมเรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ
๔. ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เพราะมีความประพฤติต่าง
กันอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบ
เขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกำนัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำ ยอมตนให้เขาใช้สอย
หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล
โดยฐานเป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทำให้เขาเลื่อมใส
นับถือตน
๕. อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ คือการทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
มี ๓ อย่าง ฯ คือ
อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
๖. อนาจาร หมายถึงอะไร ? เล่นอย่างไรบ้าง จัดเป็นอนาจาร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖)
ตอบ อนาจาร หมายถึงความประพฤติไม่ดีไม่งาม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ฯ
เล่นอย่างเด็ก เล่นคะนอง เล่นพนัน เล่นปู้ยี่ปู้ยำ เล่นอึงคะนึง จัดเป็นอนาจาร ฯ
๗. อเนสนา ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ตอบ อเนสนา ได้แก่กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ
มี ๒ อย่าง คือ
๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก
๒. การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ฯ
๘. ปาปสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุชื่อว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือความประพฤติเลวทราม เนื่องด้วยการคบคฤหัสถ์ด้วยการสมาคมอันมิชอบ ฯ
เพราะประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน เป็นศรีของพระศาสนา
๙. คำว่า วัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาส เป็นอาบัติอะไร ? (๒๕๕๕,
๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 131
ตอบ คือสิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ
ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค
จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกำหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย
นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ
๑๐. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส” เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๙,
๒๕๖๔)
ตอบ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล
โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดี
พองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๔
๑. กาลิก มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? กล้วยดองน้ำผึ้งเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ มี ๔ ฯ
ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก ฯ
เป็นยาวกาลิก ฯ
๒. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกระคนกันมีกำหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง (๒๕๕๒)
ตอบ ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป ฯ
มีดังนี้ คือยาวกาลิก, ยามกาลิก, สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก
กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นสุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จำกัด
อายุคลุกกับน้ำผึ้ง ที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกำหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์
๓. ยาวกาลิกกับยาวชีวิก ได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฎเกณฑ์กำหนดอายุไว้อย่างไร ? จง
ยกตัวอย่าง (๒๕๕๐, ๒๕๕๓)
ตอบ ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน
ยาวชีวิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดกาล
กฎเกณฑ์กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด เช่น ยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้ำผึ้งที่
เป็นสัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน เป็นเกณฑ์ ฯ
๔. คำว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ อันโตวุฏฐะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน
อันโตปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน)
สามปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุทำให้สุกเอง ฯ
๕. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ
จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 132
๖. อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ได้แก่ โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ
มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา ฯ
๗. กาลิก ๔ ได้แก่ อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ได้แก่ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ฯ
โภชนะ ๕ เป็นยาวกาลิก
เภสัช ๕ เป็นสัตตาหกาลิก ฯ
๘. ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ ฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฏ
ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
๙. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๒)
ตอบ ยาวกาลิก คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน
ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น ฯ
ส่วนยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดเวลา แต่เมื่อมี
เหตุจึงบริโภคได้ ได้แก่ รากไม้ น้ำฝาดใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ
กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ
๑. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสำคัญ ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๗, ๒๕๖๖)
ตอบ คือเป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าของ
นั้นเรา ถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ
เห็นว่าข้อสุดท้ายสำคัญ ฯ
๒. ภัณฑะของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ?
จงอธิบาย (๒๕๕๙, ๒๕๖๓, ๒๕๖๔)
ตอบ ตกเป็นของสงฆ์ ฯ
ไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่เจ้าของภัณฑะยังมีชีวิตอยู่ ฯ
๓. ลหุภัณฑ์และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหน แจกกันได้และไม่ได้ ? (๒๕๖๑)
ตอบ ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว คือบาตร จีวร
ประคดเอว เข็ม มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้
ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้ให้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็น
เครื่องใช้ในเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้ ฯ
กัณฑ์ที่ ๒๑ วินัยกรรม
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 133
๑. คำว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติ
อย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือการตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสำหรับภิกษุเอาไว้ใช้สำหรับตัว (เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น
ไม่ใช้ผืนอื่น) ฯ พึงทำพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ เราทำหมายด้วยจุดนี้ แล้ว
ปัจจุทธรณ์คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจาก
นั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐฃามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ
๒. การแสดงอาบัติ การอธิฐาน การทำวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทำกิจเหล่านี้ จำกัด
บุคคลไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ เรียกว่า วินัยกรรม ฯ
การแสดงอาบัติ จำกัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน
การอธิฐาน ให้ทำเอง
การทำวิกัป จำกัดผู้รับ ต้องทำกับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี
และสิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง ฯ
๓. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทำวินัยกรรมนั้น มีจำกัดบุคคล และ
สถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทำตามพระวินัย เช่น พินทุ
อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม
กรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ์ มีจำนวนอย่างต่ำตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทำ เช่น
อปโลกนกรรม เป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม ฯ
จำกัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑. แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒. อธิฐาน ต้องทำเอง
๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี รูป
ใดรูปหนึ่ง
๔. ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ทำในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ
๔. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๑)
ตอบ คืออาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน ให้
แสดงในสำนักภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่
เหลือจึงแสดงในสำนักของภิกษุนั้น ฯ
๕. ผ้าบริขารโจลได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐานด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?(๒๕๕๔)
ตอบ ได้แก่ ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรองน้ำ ถุงบาตร ย่าม ฯ
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 134
การอธิษฐานด้วยกาย คือการใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทำความผูกใจ
ตามคำอธิษฐานนั้น ๆ
ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือการเปล่งคำอธิษฐานนั้น ๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
๖. ผ้าต่อไปนี้ คือสังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร ผืนใดที่ทรง
อนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ? (๒๕๕๔)
ตอบ สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้ำฝน ฯ
๗. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลำดับอย่างไรบ้าง? (๒๕๕๗, ๒๕๖๖)
ตอบ ต้องปัจจุธรณ์ คือถอนอธิษฐานผืนเก่าก่อน แล้วทำพินทุและอธิษฐานผืนใหม่ ฯ
๘. จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องทำอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องขอให้ผู้รับถอนก่อน ฯ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณณกะ
๑. อโคจร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือบุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ
มีหญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ฯ
๒. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง (๒๕๕๒)
ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจาก
บุคคลและสถานที่ไม่สมควรไป คืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วย
มรรยาทและโคจร อันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ
๓. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า โคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เพราะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๐)
ตอบ เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควรไป
เป็นกิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่ำเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของ
เพื่อนสหธรรมมิก เพราะการไปเที่ยว ฯ
๔. ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคน
ก่อนก็ฉันได้ ? (๒๕๕๓)
ตอบ ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถ้า และดินได้
๕. ภิกษุได้ชื่อว่า อาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติ
เช่นไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจาก
อโคจร คือ บุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ
๖. มหาปเทส แปลว่าอะไร ? ทรงประทานไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๖)
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 135
ตอบ แปลว่า ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ
เพื่อเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยทั้งในทางธรรมทั้งในทางวินัย ฯ
๗. สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๖)
ตอบ มี ๔ ฯ คือ
๑. สีลสมบัติ ๒. อาจารสมบัติ
๓. ทิฏฐิสมบัติ ๔. อาชีวสมบัติ ฯ

ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท พ.ศ. 2544 - 2566.docx

  • 1.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 77 วิชาธรรมวิภาค อริยบุคคล๒ ๑. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร ? ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะอะไร ? (๒๕๕๐) ตอบ ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ ๒. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากำลังสอบธรรมอยู่นี้เรียก ว่า พระเสขะได้หรือไม่ ? (๒๕๕๔) ตอบ คือศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้อง ปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ฯ ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จำพวกเบื้องต้น ฯ ๓. พระอริยบุคคล ๘ จำพวก จำพวกไหนชื่อว่าพระเสขะ และพระอเสขะ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙) ตอบ พระอริยบุคคล๗เบื้องต้นชื่อว่าพระเสขะเพราะเป็นผู้ยังต้องปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูงฯ พระอริยบุคคลผู้ต้องอยู่ในอรหัตตผล ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว กัมมัฏฐาน ๒ ๑. มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของ วิปัสสนา ? (๒๕๔๙) ตอบ คือกัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์สอนก่อนบรรพชา ถ้าเพ่งกำหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้นพิจารณาแยก ออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ ๒. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๕) ตอบ ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือมูลกัมมัฏฐาน ฯ เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ ๓. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน หรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๗, ๒๕๕๒, ๒๕๖๔) ตอบ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทนฺตา ฟัน, และตโจ หนัง ฯ เรียกอีกอย่างว่ามูลกัมมัฏฐาน ฯ เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ ๔. สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕) ตอบ สมถกรรมฐานมุ่งผล คือความสงบใจ
  • 2.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 78 ส่วนวิปัสสนากรรมฐานมุ่งผลคือความเรืองปัญญา ฯ ๕. การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์ อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๖) ตอบ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ฯ กาม ๒ ๑. ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตถุกาม ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖) ตอบ ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ ทิฏฐิ ๒ ๑. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จง อธิบาย ? (๒๕๕๐) ตอบ เห็นว่าเที่ยง คือ เห็นว่าคนและสัตว์ตายแล้วชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็น อะไรก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป หรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือ เห็นว่าอัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาด สูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิง เหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่าคนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ๒. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ มี ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ เทศนา ๒ ๑. บุคคลาธิฏฐานาเทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ มีอธิบายว่า การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความ เพียรโดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลาง มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ และทรงถึง ฝั่งได้ดังประสงค์ ฯ
  • 3.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 79 ธรรม๒ ๑. สังขตธรรม และอสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม เพราะมี ลักษณะอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ สังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนอสังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยไม่ได้ปรุงแต่ง เพราะมีลักษณะ คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความดับในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ ความ แปรผันปรากฏ ฯ ๒. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๕) ตอบ คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ มีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความดับ ไปในที่สุด ฯ บูชา ๒ ๑. บูชา ๒ คืออะไรบ้าง ? การสมาทานศีล ๕ เป็นประจำ จัดเป็นบูชา ประเภทใด ? (๒๕๖๑) ตอบ คืออามิสบูชา บูชาด้วยอามิสสิ่งของ ๑ ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม ๑ ฯ เป็นปฏิบัติบูชา ฯ ปฏิสันถาร ๒ ๑. ปฏิสันถาร คืออะไร ? จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา ? (๒๕๔๙) ตอบ คือการต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรองด้วยของ ต้อนรับ ตามสมควรด้วยไมตรีจิต ฯ ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี ๒ อย่าง คือ ๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุสิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว น้ำ หรือที่พัก เป็นต้น ๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการต้อนรับตามความเหมาะสม แก่ผู้มาเยือน หรือการให้คำแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ฯ ๒. ปฏิสันถาร มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๔) ตอบ มี ๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ ๒. ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ มีประโยชน์อย่างนี้ คือ ๑. เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน ๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ
  • 4.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 80 ปริเยสนา๒ ๑. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ? (๒๕๕๕) ตอบ ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือคุณธรรมมีพระ นิพพานเป็นอย่างสูง เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่า อริยปริเยสนา แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่น หาของเล่น เป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ เรียกว่า อนริยปริเยสนา ฯ ปาพจน์ ๒ ๑. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ ได้แก่ พระธรรมและพระวินัย ฯ ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ ๒. ปาพจน์ ๒ คือธรรมและวินัย นั้นทราบแล้ว อยากทราบว่าความปฏิบัติอย่างไร จัดเป็นธรรม ความปฏิบัติอย่างไร จัดเป็นวินัย ? (๒๕๕๘) ตอบ ความปฏิบัติเป็นทางนำความประพฤติและอัธยาศัยให้ประณีตขึ้น จัดเป็นธรรม ความ ปฏิบัติเนื่องด้วยระเบียบอันทรงตั้งไว้ด้วยพุทธอาณา เป็นสิกขาบทหรืออภิสมาจาร เป็นทางนำ ความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือเป็นเครื่องบริหารคณะ จัดเป็นวินัย ฯ รูป ๒ ๑. รูปในขันธ์ ๕ แบ่งเป็น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? จงอธิบายมาสั้น ๆ พอเข้าใจ (๒๕๕๑) ตอบ ได้แก่ มหาภูตรูปและอุปาทายรูป มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ อันได้แก่ ธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม อุปาทายรูป คือ รูปอาศัย เป็นอาการของมหาภูตรูป เช่น ประสาท ๕ มีจักขุประสาท เป็นต้น โคจร ๕ มีรูปารมณ์ เป็นต้น ฯ ๒. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น ฯ ๓. มหาภูตรูป คืออะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ คือรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วยธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งอุปาทายรูปหรือรูปย่อย เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป อุปาทายรูปที่อิง อาศัยมหาภูตรูปนั้น ก็แตกทำลายไปด้วย ฯ วิมุตติ ๒ ๑. เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙) ตอบ เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จึงบำเพ็ญวิปัสสนาต่อ ส่วนปัญญาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุด้วยลำพังบำเพ็ญวิปัสสนาล้วน อีกนัยหนึ่ง เรียกเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากราคะ เรียกปัญญาวิมุตติเพราะพ้นจากอวิชชา
  • 5.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 81 อกุศลวิตก๓ ๑. อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ กามวิตก ทำใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ พยาบาทวิตก ทำให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทำร้ายผู้อื่น วิหิงสาวิตก ย่อมครอบงำจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ กามวิตก แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน พยาบาทวิตก แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร วิหิงสาวิตก แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ ๒. ความตริในฝ่ายชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓, ๒๕๖๔) ตอบ เรียกว่า อกุศลวิตก ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม ๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท ๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ กุศลวิตก ๓ ๑. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้ ? (๒๕๕๖) ตอบ มี ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท ๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ สงเคราะห์เข้าในข้อสัมมาสังกัปปะ ฯ อัคคิ (ไฟ) ๓ ๑. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุ ไร ? (๒๕๕๐) ตอบ กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้ เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ อธิปเตยยะ ๓ ๑. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับ ผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทำงาน ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทำด้วยมุ่งให้สมภาวะของตน ผู้ทำมุ่งผล อันจะได้แก่ตน หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน
  • 6.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 82 ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะทำด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร เห็นว่าถูกก็ทำ หรือทำด้วยอำนาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ ๒. อธิปเตยยะ ๓ มีอะไรบ้าง ? บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในข้อไหน ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔) ตอบ มี ๓ คือ ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ ๓. บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยความเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ? (๒๕๖๖) ตอบ จัดเข้าใน ธัมมาธิปเตยยะ ฯ อาสวะ ๓ ๑. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิต พ้นแล้ว จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ ทวาร ๓ ๑. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ? (๒๕๕๖) ตอบ ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ ญาณ ๓ ๑. ญาณ๓ที่เป็นไปในอริยสัจ๔มีอะไรบ้าง ? ญาณ๓ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?(๒๕๕๓) ตอบ ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจที่ควรทำให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
  • 7.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 83 ๒.ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้ ได้กำหนดรู้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ๓. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัย มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๑) ตอบ ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละ จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ กรรม ๓ ๑. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง จงอธิบาย ? (๒๕๕๐) ตอบ กรรม คือ การกระทำ ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้ แล้วบ่นว่า ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ ภพ ๓ ๑. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ฯ ภูมิ หมายถึงภาวะอันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ วิโมกข์ ๓ ๑. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ มีสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ ปาฏิหาริย์ ๓ ๑. ปาฏิหาริย์ ๓ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนเป็นอัศจรรย์ที่สุด ? (๒๕๕๑) ตอบ มี อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ที่สุด ฯ
  • 8.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 84 ๒.ปาฏิหาริย์มีอะไรบ้าง ? ทำไมจึงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าอัศจรรย์ ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ มี ๓ อย่าง คือ ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้ใจเป็นอัศจรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ เพราะอาจจูงใจผู้ฟังให้เห็นคล้อยตาม ละความชั่วทำความดีตั้งแต่ขั้นต่ำ คือการถึงสรณะ และรักษาศีล ตลอดถึงขั้นสูงคือมรรคผลนิพพานได้ ฯ ปิฎก ๓ ๑. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ได้แก่พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ฯ พระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องกฏระเบียบข้อบังคับที่นำความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือ เป็นเรื่องบริหารคณะ พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกธรรมล้วน ๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคลเป็นที่ตั้ง ฯ พุทธจริยา ๓ ๑. โลกัตถจริยา ที่พระพุทธองค์ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลกนั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ มีอธิบายว่า ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่มหาชนที่นับว่าสัตว์โลกทั่วไป เช่น ทรงแผ่ พระญาณตรวจดูสัตว์โลกทุกเช้าค่ำ ผู้ใดปรากฏในข่ายพระญาณ เสด็จไปโปรดผู้นั้น สรุปคือ ทรง สงเคราะห์คนทั้งหลายโดยฐานเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ฯ วัฏฏะ (วน) ๓ ๑. กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๗, ๒๕๖๕, ๒๕๕๑, ๒๕๖๓) ตอบ เพราะวน คือหมุนเวียนกันไป อธิบายว่า กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อ ได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ด้วยอรหัตตมรรค ฯ ๒. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพเกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ อย่างนี้ คือกิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อ ได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
  • 9.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 85 วิโมกข์๓ ๑. วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจากราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ มีอธิบายว่าความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจอริยมรรคกิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไปไม่กลับเกิดอีกฯ วิเวก ๓ ๑. กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๕) ตอบ กายวิเวก หมายถึง สงัดกาย ได้แก่อยู่ในที่สงัด จิตตวิเวก หมายถึง สงัดจิต ได้แก่ทำจิตให้สงบด้วยสมถภาวนา อุปธิวิเวก หมายถึง สงัดกิเลส ได้แก่ทำใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสด้วยวิปัสสนาภาวนา ฯ สังขตลักษณะ ๓ ๑. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้น หรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๒) ตอบ เป็นลักษณะของสังขตธรรม ฯ มีลักษณะเช่นนั้น คือเมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น ต่อมาก็เจริญเติบโต ผ่านวัยทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไป ฯ ๒. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ มีลักษณะ คือมีความเกิดขึ้น มีความดับไปในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ฯ สังขาร ๓ ๑. ในสังขาร ๓ อะไรชื่อว่ากายสังขารและวจีสังขาร ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่ออย่างนั้น ? (๒๕๕๘) ตอบ ลมอัสสาสะปัสสาสะ ได้ชื่อว่ากายสังขาร เพราะปรนปรือกายให้เป็นอยู่ วิตกกับวิจาร ได้ ชื่อว่าวจีสังขาร เพราะตริแล้วตรองแล้วจึงพูด ไม่เช่นนั้นวาจานั้นจักไม่เป็นภาษา ฯ โสดาบัน ๓ ๑. คำว่า พระโสดาบันและสัตตักขัตตุปรมะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ พระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขั้นแรก สัตตักขัตตุปรมะ คือพระโสดาบันผู้จะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ฯ ๒. คำว่า “โสดาบัน” แปลว่าอะไร ? ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๕๙) ตอบ โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ท่านละสังโยชน์ได้เด็ดขาด ๓ อย่าง คือ ๑. สักกายทิฏฐิ
  • 10.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 86 ๒.วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ อบาย ๔ ๑. อบาย ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? ตอบ ได้แก่ ภูมิ กำเนิดหรือพวก อันหาความเจริญมิได้ ฯ มี นิรยะ คือ นรก ติรัจฉานโยนิ คือ กำเนิดดิรัจฉาน ปิตติวิสัย คือ ภูมิแห่งเปรต อสุรกาย คือ พวกอสุระ ฯ อปัสเสนธรรม ๔ ๑. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่ ๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบาย อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคำ เสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ ๒. อปัสเสนธรรมข้อว่า “พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง” ของอย่างหนึ่งนั้น คืออะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ คืออกุศลวิตกอันสัมปยุตด้วยกาม พยาบาท วิหิงสา ฯ อัปปมัญญา ๔ ๑. พรหมวิหาร กับ อัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทาโดยตรงของภิกษุในพระ ธรรมวินัยนี้ (๒๕๔๙) ตอบ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือแผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่ยังจำกัดหมู่นั้นหมู่นี้จัด เป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ฯ ๒. เมตตากับปรานี มีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ? และอย่างไหนกำจัดวิตกอะไร ?(๒๕๕๔) ตอบ เมตตา หมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี ปรานี หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้น จากความทุกข์ เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตากำจัดพยาบาทวิตก ปรานีกำจัดวิหิงสาวิตก ฯ ๓. การแผ่เมตตาในพรหมวิหาร กับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ในพรหมวิหาร เป็นการแผ่เมตตาโดยเจาะจงตัว หรือเจาะจงหมู่คณะ ส่วนในอัปปมัญญา เป็นการแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงตัวไม่มีจำกัด ฯ ๔. เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวิหารและในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ มีความหมายว่า ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ฯ
  • 11.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 87 ต่างกันโดยวิธีแผ่คือ แผ่โดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ พระอริยบุคคล ๔ ๑. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ ๒. พระโสดาบัน แปลว่าอะไร ? หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ แปลว่าผู้แรกเข้าถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้ขาด ฯ ๓. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระอริยบุคคลประเภทใด ละอวิชชาได้เด็ดขาด ? (๒๕๖๓, ๒๕๖๕) ตอบ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ พระอรหันต์ละอวิชชาได้เด็ดขาด ฯ อริยวงศ์ ๔ ๑. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ คือปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ มี ๔ อย่าง ฯ ข้อที่ ๔ ว่า ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ ๒. ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๖) ตอบ เรียกว่า อริยวงศ์ ฯ มี ๔ คือ ๑. สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด ๒. สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด ๓. สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด ๔. ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ อุปาทาน ๔ ๑. อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอำนาจมานะ จนเป็นเหตุถือพวก จัดเป็นอุปาทานอะไร ในอุปาทาน ๔ ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ คือการถือมั่นข้างเลว ได้แก่ถือรั้น ฯ จัดเป็นอัตตวาทุปาทาน ฯ
  • 12.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 88 โอฆะ๔ ๑. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๗, ๒๕๖๐, ๒๕๖๖) ตอบ ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ๑. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในฝ่ายทายก และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๔) ตอบ คือของทำบุญ ฯ มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าบริสุทธิ์ และมีความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า ไม่บริสุทธิ์ ฯ ๒. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด ? (๒๕๕๖) ตอบ ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ทักขิณาบางอย่าง ไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ อย่างที่ ๔ คือทักขิณาที่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ กิจในอริยสัจ ๔ ๑. กิจจญาณ คืออะไร ? เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ คือปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ฯ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นธรรมชาติที่ควรละ ทุกขนิโรธเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด ฯ ๒. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยที่ควรละได้ละแล้ว ทุกขนิโรธที่ควรทำให้แจ้งได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ควรเจริญได้เจริญแล้ว ฯ ๓. กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ มี ๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ ๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ ๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ
  • 13.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 89 ๔.ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ โยนิ ๔ ๑. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดาและสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ? (๒๕๕๐) ตอบ คือกำเนิด ฯ มี ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ อัณฑชะ เกิดในไข่ สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ มัจฉริยะ ๕ ๑. ธรรมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ มีอธิบายว่า ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไม่ปรารถนาจะแสดงจะบอกแก่คนอื่น เกรง ว่าเขาจะรู้เทียมตน ฯ มาร ๕ ๑. มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือสิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิด กั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ หมายถึงอกุศลกรรม ฯ ๒. มาร มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ? (๒๕๕๒) ตอบ มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์ ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร ๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ ๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ฯ อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมาร ฯ ๓. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๐, ๒๕๖๓) ตอบ เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ๔. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คำว่า มาร หมายถึงอะไร ? กิเลสได้ชื่อว่า มาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖) ตอบ หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิดกั้น ไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
  • 14.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 90 เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสแล้วย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทำให้เสียคนบ้าง ฯ ๕. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๕) ตอบ ได้แก่ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะทำประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป ฯ ๖. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือปัญจขันธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และเทวบุตร ฯ ได้ชื่อว่ามาร เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสแล้ว กิเลสย่อมผูกรัดไว้บ้าง ย่อมทำให้ เสียคนบ้าง ฯ วิมุตติ ๕ ๑. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ? (๒๕๖๐) ตอบ ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยะ ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตระ ฯ วิญญาณ ๕ ๑. ชิวหาวิญญาณ และกายวิญญาณ เกิดขึ้นได้เพราะอาศัยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยลิ้นกับรส (กระทบกัน) และกายวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยกายกับโผฏฐัพพะ (กระทบกัน) ฯ เวทนา ๕ ๑. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ ในเวทนา ๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือ โสมนัส ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์ ใจก็คือโทมนัส ส่วนในเวทนา ๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ ๒. ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย กับความรู้สึกเฉย ๆ ทางใจ จัดเข้าในเวทนา ๕ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย จัดเป็นสุข ความรู้สึกเฉยๆ ทางใจ จัดเป็นอุเบกขา ฯ สังวร ๕ ๑. สังวรคืออะไร ? สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖) ตอบ คือการสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ
  • 15.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 91 มีอธิบายว่าสำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรมเข้าครอบงำ เมื่อ เห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนหลงลืม ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ จริต ๖ ๑. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต ๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต ฯ พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ฯ ๒. จริต คืออะไร ? คนมีปกติเชื่อง่ายเป็นจริตอะไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ คือพื้นเพอัธยาศัยของบุคคลที่แสดงออกมาตามปกติเป็นประจำ ฯ เป็นสัทธาจริต ฯ ๓. คนมีปกติรักสวยรักงามจัดเป็นจริตอะไร ? จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากรรมฐานข้อใดได้บ้าง ?(๒๕๖๓) ตอบ จัดเป็นราคจริต ฯ จะพึงแก้ได้ด้วยการพิจารณากายคตาสติ หรืออสุภกรรมฐาน ๆ ธรรมคุณ ๖ ๑. พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคำว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้” ? พระธรรมคุณบทนั้น มี อธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๖) ตอบ บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ได้ทุกเวลา และ สามารถนำไปประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขได้ ฯ ๒. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺฃวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดี เพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด พร้อมทั้ง อรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะ ปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ ๓. คำว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๑, ๒๕๖๕) ตอบ หมายถึง ปริยัติธรรม กับ ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่ สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙ กับ ปริยัติธรรม ๑) ฯ
  • 16.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 92 สวรรค์๖ ชั้น ๑. สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ มี ๖ ชั้น ฯ ได้แก่ ๑. ชั้นจาตุมหาราชิก ๒. ชั้นดาวดึงส์ ๓. ชั้นยามา ๔. ชั้นดุสิต ๕. ชั้นนิมมานรดี ๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ อนุสัย ๗ ๑. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓) ตอบ หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ เพราะกิเลสชนิดนี้ บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้นในทันใด ฯ ๒. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ มัก ไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น กิเลสที่ได้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ วิสุทธิ ๗ ๑. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ? (๒๕๕๕) ตอบ สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ พอเป็น รากฐานแห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ อวิชชา ๘ ๑. ในอวิชชา ๘ ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ มีอธิบายว่า ไม่รู้จักคิดล่วงหน้า ไม่อาจปรารภการที่ทำ หรือเหตุอันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่า จักมีผลเป็นอย่างนั้น ๆ ฯ พุทธคุณ ๙ ๑. พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร ถามว่า กำได้แก่อะไร ? สังสารจักร ได้แก่ อะไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๐, ๒๕๖๕) ตอบ กำ ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ฯ สังสารจักร ได้แก่ วัฏฏะ ๓ คือกิเลส กรรม วิบาก ฯ ๒. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ? (๒๕๕๓) ตอบ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ ๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
  • 17.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 93 ๓.พระพุทธคุณว่า อรหํ ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคำอะไรมาประกอบ ร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบทของพระศาสดาหรือของพระสาวก ? (๒๕๕๔) ตอบ ได้ ฯ สำหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง สำหรับพระสาวกใช้ว่า อรหํ ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ ๔. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ พุทธคุณ ๙ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ ๕. พระพุทธคุณบทว่า อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไรบ้าง ? เลือกตอบมา ๒ อย่าง (๒๕๕๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔) ตอบ มีความหมายได้ ๔ อย่าง ฯ คือ ๑. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม กล่าวคือเป็นผู้บริสุทธิ์ ๒. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้หักกำสังสารจักร คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ได้ ๓. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา หรือเป็นผู้ควรรับความ เคารพนับถือ ๔. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไม่มีความลับ คือมิได้ทำความเสียหายอันใดที่จะ พึงซ่อนเร้นฯ มานะ ๙ ๑. มานะ คืออะไร ? ว่าโดยย่อ ๓ อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ คือความสำคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ฯ ได้แก่ ๑. สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา ๒. สำคัญตัวว่าเสมอเขา ๓. สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ฯ สังฆคุณ ๙ ๑. คำว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจำแนกมาดู (๒๕๕๔, ๒๕๖๒) ตอบ ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน มรรคผลทั้งสิ้น คือ พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑
  • 18.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 94 พระอรหัตมรรคพระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ ๒. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ๓. ายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม ๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคำนับ ๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ ๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทำบุญ ๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทำอัญชลี [ประณมมือไหว้] ๙. อนุตฺตรํ ปุญฺญฃกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ ๓. พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ? คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕) ตอบ หมายถึงพระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษตั้งแต่โสดาปัตติมรรค เป็นต้น ฯ คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวก ด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่งอน ฯ สัตตาวาส ๗ ๑. วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส ฯ บารมี ๑๐ ๑. บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖) ตอบ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ความดีที่บำเพ็ญอย่าง พิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอนและ ดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ ๒. ผู้บริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี ? (๒๕๕๗) ตอบ บริจาคพัสดุภายนอก จัดเป็นทานบารมี
  • 19.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 95 บริจาคอวัยวะจัดเป็นทานอุปบารมี บริจาคชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี ฯ มิจฉัตตะ ๑๐ ๑. มิจฉัตตะ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ มี ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ ๕. มิจฉา อาชีวะ ๖. มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณะ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ และในทางยัง กุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไป ฯ สังโยชน์ ๑๐ ๑. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรเด็ดขาดบ้าง ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๑) ตอบ คือกิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ขาด คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ ปัจจยาการ ๑๒ ๑. สมุทัยวาร กับ นิโรธวาร ในปฏิจจสมุปบาท ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ สมุทัยวาร คือการแสดงความเกิดแห่งผล เพราะเกิดแห่งเหตุ ส่วนนิโรธวาร คือการแสดงความดับแห่งผล เพราะดับแห่งเหตุ ฯ ๒. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คำว่า สังขาร หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ ได้แก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ ๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป ๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา ฯ กรรม ๑๒ ๑. คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๔๙) ก. ชนกกรรม ข. อุปัตถัมภกกรรม ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
  • 20.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 96 ง.อุปปัชชเวทนียกรรม จ. กตัตตากรรม ตอบ ก. กรรมแต่งให้เกิด ข. กรรมสนับสนุน ค. กรรมให้ผลในภพนี้ ง. กรรมให้ผลในภพหน้า จ. กรรมสักว่าทำ คือกรรมที่ทำด้วยไม่จงใจ ฯ ๒. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐) ตอบ อุปัตถัมภกกรรม ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ ๓. ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรมกับสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล หรืออกุศล ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๑) ตอบ คือกรรมหนัก ฯ อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล สมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ฯ ๔. กรรมที่บุคคลทำไว้ ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ทำหน้าที่ คือ ๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม ๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม ๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม ๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ ๕. อุปฆาตกกรรม คือกรรมตัดรอน ทำหน้าที่อะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ทำหน้าที่ตัดรอนผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมให้ขาดแล้ว เข้าให้ผลแทนที่ (ชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น) ฯ ขบด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิยา สุปฏิวิทฺธา) ฯ ๖. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖) ๑. อโหสิกรรม ๒. กตัตตากรรม ตอบ อโหสิกรรม คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือน พืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ ธุดงค์ ๑๓ ๑. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์ คือการถือปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ คือการถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือบริเวณป่าและ จะต้องห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ
  • 21.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 97 ๒.ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ? (๒๕๕๑) ตอบ คือวัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็น ไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ ข้อยารักษาโรค ฯ ๓. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ? (๒๕๕๒) ตอบ ได้แก่วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ฯ จัดเข้าในข้อเอกาสนิกังคะ คือถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ ๔. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกำหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๓) ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ ข้อรุกขมูลิกังคะ และอัพโภกาสิกังคะ ฯ ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะ เป็นที่อยู่อาศัยประจำตามพระวินัยนิยม ฯ ๕. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ คือวัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ฯ มี ๔ หมวด ฯ ดังนี้ หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ ๖. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง ท่านให้ถือ ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ อย่างเคร่ง เมื่อเลิกบิณฑบาตนั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีก ก็ไม่รับ ฯ จรณะ ๑๕ ๑. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๗) ตอบ ประกอบด้วย ๑. ได้ยินได้ฟังมาก (พหุสฺสุตา) ๒. ทรงจำได้ (ธตา) ๓. ท่องไว้ด้วยวาจา (วจสา ปริจิตา) ๔. เอาใจจดจ่อ (มนสานุเปกขิตา) ๕. ขบด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐฃิยา สุปฏิวิทฺธา) ฯ
  • 22.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 98 วิชาอนุพุทธประวัติ อนุพุทธบุคคล ๑.อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสำคัญต่อพระศาสดาอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๖, ๒๕๖๑, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๕, ๒๕๖๖) ตอบ คือสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ มีความสำคัญ คือ ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ในจริยาวัตร และคุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญ มาตลอด จนถึงผลงานในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันทำให้เจริญสืบมาถึงทุกวันนี้ นำให้ เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็นทิฏฐานุคติ สามารถน้อมนำมาปฏิบัติตามได้ ฯ ๒. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? การเรียนอนุพุทธประวัติสำเร็จ ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐, ๒๕๖๖) ตอบ สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ อนุพุทธะ ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และสามารถสอนผู้อื่นให้ กระทำตามด้วย ฯ เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ จนเป็นเหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคงแล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ บำเพ็ญประโยชน์ตนและ ประโยชน์ท่านโดยควรแก่ฐานะของตน ทั้งให้สำเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย ฯ ๓. ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน ? จงบอกมาสัก ๒ คู่ (๒๕๕๐) ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร พระอัสสชิกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรกับพระราธะ พระสารีบุตรกับพระราหุล พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ ฯ ๔. พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๓) ตอบ มี ๓ ประเภท ฯ คือ ๑. พระสัมมาสัมพุทธะ ๒. พระปัจเจกพุทธะ ๓. พระอนุพุทธะ ฯ ๕. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๙) ตอบ มีความสำคัญ คือพระสาวกสงฆ์จัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะและรับปฏิบัติธรรม ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จประโยชน์ และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกำลังใหญ่ของพระ
  • 23.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 99 ศาสนาในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็น อันมาก ฯ ๖. พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเวฬุวันเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทาง เป็นที่ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะพึงไปถึงกลางวัน ไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืน เงียบเสียงที่จะอื้ออึงกึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ ต้องการที่สงัด และควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดา ทรงถวายด้วยการหลั่งน้ำจากพระเต้าทอง ฯ ๗. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละ บริษัทนั้นคือใคร ? (๒๕๕๓) ตอบ มีลำดับอย่างนี้ คือภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษุณี ฯ พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัท บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษัท มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสิกาบริษัท พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ ๘. ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคำตำหนิว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะบวช นาน ? (๒๕๕๕) ตอบ ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัดอาจทำให้สำเร็จ ด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนำผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ ๙. ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยงดับ ไป ฯ ๑๐. การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับอนุตตริยะอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ ได้ทรงสดับธรรม เป็นสวนานุตตริยะ ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ ๑๑. การทำสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้ กำจัดและป้องกันอลัชชีได้ ทำความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูก ต้องและปฏิบัติถูกต้องได้ และทำให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น ฯ ๑๒. อนุพุทธองค์แรก คือใคร ? สำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๑)
  • 24.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 100 ตอบคือพระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ ๑๓. ใครคืออนุพุทธองค์แรก ? ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๖๕) ตอบ คืออัญญาโกณฑัญญะ ฯ เพราะฟังธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ ประวัติพระอัญญาโกณฑัญญะ ๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่านหนักไปทางไหน ในตำรา ทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ? ขอฟังเหตุผล (๒๕๔๙) ตอบ เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตำราแน่ใจ จึงบวชตาม และเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวังนี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยค ปฏิบัติว่า เลิกเสียเป็นอันไม่สำเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สำเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการ ที่คัดค้านและพูดถ้อยคำที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ ๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน ? เรียนจบอะไร ? ทำไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ (๒๕๕๐) ตอบ ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ เรียนจบไตรเพทและรู้ตำราทำนายลักษณะ ฯ เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺญฺาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่ง เมื่อท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ ๓. ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนหลังกันอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก ต่อมาท่านวัปปะและท่านภัททิยะจึงได้ และต่อมาท่านมหานามะและท่านอัสสชิจึงได้ตามลำดับ ฯ ๔. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็น ปฐมสาวก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒) ตอบ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน และได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น ๕. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร ? จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะ บำเพ็ญทุกรกิริยา ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๓) ตอบ เพราะได้เคยเข้าร่วมทำนายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ โดยเชื่อมั่นว่าจะตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า จึงตามอุปัฏฐากด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนาโปรด ฯ ๖. พระอัญญาโกณฑัญญะสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้วกี่วัน ? สำเร็จเพราะ ฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ ๕ วัน ฯ
  • 25.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 101 ชื่ออนัตตลักขณสูตรฯ ๗. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะและพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าว ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดำรัสต่อท้ายว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์ ส่วนพระยสะ ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ๘. พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนา โดยมีมูลเหตุความเป็นมา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ที่ท่านกล่าวว่า เป็นพระโสดาบัน มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้วจึงขอบวช พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้ หลงถือตนว่าเป็นผู้ วิเศษ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึงลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช ฯ ๙. พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรก มีจำนวนเท่าไร ? ประกอบด้วย ใครบ้าง ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๒) ตอบ มี ๖๐ องค์ ฯ ประกอบด้วยพระปัญจวัคคีย์ พระยสะ สหายพระยสะที่ปรากฏนาม ๔ องค์ และไม่ ปรากฏนามอีก ๕๐ องค์ ฯ ๑๐. พระปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? พระธรรมเทศนา นั้นโดยย่อว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖) ตอบ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ ว่าด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ ประวัติพระยสเถระ ๑. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๙) ตอบ อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส เนื่องจากได้เห็นอาการของพวกชนบริวารอันวิปริต ไปโดยอาการต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระ พุทธองค์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ ๒. เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นำกลับไป ตามความประสงค์เดิม ? (๒๕๕๐)
  • 26.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 102 ตอบเพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือน อีกต่อไป ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ ๓. พระสาวกผู้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องเดียวซ้ำ ๒ ครั้ง คือใคร ? ธรรม เทศนาเรื่องอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ คือพระยสะ ฯ เรื่อง อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ ๔. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่ปัญจวัคคีย์และพระยสะต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ต่างกัน คือที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” ส่วนที่ ประทานแก่พระยสะไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” ฯ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ ๕. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ ที่ไหน ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๒, ๒๕๖๕) ตอบ ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ ๖. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก ? อนุปุพพีกถานั้น กล่าวถึงเรื่องอะไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๓) ตอบ แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนา สวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่ง กาม และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ ๗. อุบาสกผู้ประกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือตปุสสะและภัลลิกะ ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือบิดาของยสะ ฯ ๘. “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึงอุทานอย่างนั้น ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ ของยสกุลบุตร ฯ เพราะเห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า เกิด ความสลดใจ คิดเบื่อหน่าย ฯ ๙. อนุปุพพีกถา คืออะไร ? ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ คือถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ ฯ ด้วยพระพุทธประสงค์จะฟอกจิตกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระ ธรรมเทศนาให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ
  • 27.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 103 ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ ๑.ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ? พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่อง ว่าเลิศในทางนี้ ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒) ตอบ เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ ดีอย่างนี้ คือภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อันบริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนาในสาวกมณฑล ฯ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ ๒. พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ทรงพา ท่านไปกรุงราชคฤห์ด้วย เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของ ตน เห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ จึงทูลขอ อุปสมบท ฯ ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ๓. อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑) ตอบ อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น อนัตตา ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเพราะเหตุใด ? (๒๕๕๒) ตอบ อุรุเวลกัสสปะ ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนา ปาฏิหาริย์ ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็น ผู้วิเศษแต่ประการใด ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ส่วนนทีกัสสปะและคยากัสสปะ เห็นพี่ ชายถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอ อุปสมบท ฯ ๕. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๙, ๒๕๖๐, ๒๕๖๔) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพราะท่านรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ ๖. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๓)
  • 28.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 104 ตอบพระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ ๗. พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๕๘, ๒๕๖๖) ตอบ เพราะเป็นพระสูตรที่เหมาะแก่บุรพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง ฯ ๘. ชฎิล ๓ พี่น้อง ตั้งอาศรมบูชาไฟอยู่ ณ สถานที่ใด ? (๒๕๖๑) ตอบ ๑. อุรุเวลกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา ๒. นทีกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ลำน้ำอ้อมหรือคุ้งแห่งแม่คงคา ๓. คยากัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ ฯ ประวัติพระสารีบุตรเถระ ๑. อุปติสสปริพาชกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? มีใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ จากพระอัสสชิ ฯ มีใจความว่า พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้ ฯ ๒. “คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์ อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของใคร ? พูดกะใคร ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๐, ๒๕๖๕) ตอบ ของอุปติสสมาณพ ฯ พูดกะโกลิตมาณพ ฯ ๓. พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่า เป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบสัก ๑ เรื่อง เพื่อ ยืนยันคำกล่าวนี้ ? (๒๕๕๔) ตอบ (ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง) เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะ นอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ เรื่องที่ ๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตามปรารถนา พระ ศาสดาทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง พระ สารีบุตรทูลว่า ราธพราหมณ์เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้ กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ ฯ ๔. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่อง (๒๕๕๖) ตอบ พระสารีบุตรเถระ ฯ
  • 29.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 105 เรื่องที่๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะ นอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น เรื่องที่ ๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพี หนึ่ง ฯ ๕. พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระ โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมเลี้ยงทารกนั้นที่เกิดแล้ว ฯ ๖. ธรรมเสนาบดีและนวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไรจึงมีนามเช่นนั้น ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระ เพราะท่านเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการประกาศ พระพุทธศาสนา ฯ นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคัลลานเถระ เพราะท่านเป็นผู้สามารถกำกับดูแล การก่อสร้าง ฯ ๗. พระสาวกองค์ใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอยู่ในทิศใด ก็นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ? การ ปฏิบัติเช่นนั้นจัดเป็นคุณธรรมอะไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๖) ตอบ พระสารีบุตร ฯ จัดเป็นกตัญญู ประวัติพระมหาโมคคัลลานเถระ ๑. เมื่อเอ่ยถึงพระสารีบุตร ทำให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ? ท่านได้บรรลุพระอรหัต และ นิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตรกี่วัน ? (๒๕๔๙) ตอบ คือพระโมคคัลลานะ ฯ ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ฯ ก่อนพระสารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตำบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน ฯ ๒. โกลิตะถามอุปติสสะว่า “ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น วันนี้ดูใจเศร้า ท่านเป็นอย่างไรหรือ?” อุ ปติสสะตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ตอบว่า “โกลิตะ อะไรที่ควรดูในการเล่นนี้มีหรือ คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จัก ไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” ฯ ๓. พระโอวาทว่า “เราจักไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกุล” พระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวกองค์ใด ? ที่ไหน ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๕) ตอบ แก่พระมหาโมคคัลลานะ ฯ ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ฯ
  • 30.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 106 ประวัติพระมหากัสสปเถระ ๑.พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี” แล้วมี ใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวชคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศใน ทางไหน ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๔๙) ตอบ คือพระมหากัสสปะ ฯ ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะท่านถือธุดงค์ ๓ อย่างเป็นประจำ คือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ ๒. พระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรกที่ไหน ? ใช้เวลานานเท่าไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๐) ตอบ ที่ถ้ำสัตตบัณณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ฯ ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ ๓. พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือ พิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ดังนี้ พระองค์ ตรัสกะสาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด ? (๒๕๕๓) ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ เป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์ ฯ ๔. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่ ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ ๘ วัน ฯ สงเคราะห์เข้าในกายคตาสติ และวิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ ๕. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี คือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๕) ตอบ มี ฯ คือพระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ พระนางมหาปชาบดีโคตมี อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ ๖. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ? (๒๕๕๖) ตอบ บวชเพราะเบื่อหน่าย คือพระยสะ พระมหากัสสปะ
  • 31.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 107 บวชเพราะเพื่อนคือพระภัททิยศากยะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ และเพื่อนชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ (ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้ และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้) ๗. อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานให้แก่ ใคร ? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๖) ตอบ การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะ การรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ พระมหากัสสปะ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงค์คุณ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ ๘. พระมหากัสสปเถระ ชักชวนภิกษุสงฆ์ทำสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้เป็นแบบฉบับ เพื่อสม กับพระพุทธพจน์ที่ได้ประทานไว้เมื่อครั้งปรินิพพาน พระพุทธพจน์นั้นใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อย่างใด อันเราได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว ธรรมวินัยนั้นจัก เป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงไปแล้ว ฯ ๙. พระสาวกองค์ใด เป็นผู้มักน้อยสันโดษอย่างยิ่ง ? ท่านทำใจอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕) ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ ทำใจอย่างนี้ คือเมื่อแสวงหาไม่ได้ ก็ไม่สะดุ้งตกใจ เมื่อแสวงหาได้แล้ว ก็ไม่กำหนัดยินดี ในปัจจัย ๔ นั้น ฯ ๑๐. พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๔) ตอบ ถือธุดงค์ ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. ใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๒. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ ๑๑. พระโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานในการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะมีกี่ข้อ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ มี ๓ ข้อ ฯ คือ ๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ ในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ปานกลาง และผู้ใหม่ ๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรม อันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น ๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย ฯ ประวัติพระมหากัจจายนเถระ ๑. พระสาวกผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือใคร ? ท่านได้รับการ สรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๙)
  • 32.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 108 ตอบคือพระมหากัจจายนะ ฯ ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคำที่ย่อให้พิสดาร ฯ ๒. การบวชของพระมหากัจจายนะ มีความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ มีความเป็นมาอย่างนี้ ท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าจัณฑปัชโชต ให้ไปทูลเชิญ พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงอุชเชนี จึงทูลลาบวชด้วย ครั้นได้เข้าเฝ้าฟังธรรมแล้ว บรรลุพระอรหัต จึง ทูลขอบวช ฯ ๓. พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์ เมื่อครั้งไหน ? ได้ผลอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ เมื่อครั้งที่ท่านบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้ เสด็จไปกรุงอุชเชนี เพื่อประกาศพระศาสนาตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แต่ พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ท่านไปแทน ฯ พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ ๔. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตร นั้นชื่ออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี ฯ สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ ๕. พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแทนพระองค์ ณ เมืองใด และได้ผลเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ณ เมืองอุชเชนี ฯ ได้รับผล คือพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ ๖. พระเถระและพระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ก. พระมหากัจจายนะ ข. พระโมฆราช ค. พระราหุล ง. ปฏาจาราเถรี จ. อุบลวรรณาเถรี ตอบ ก. พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร ข. พระโมฆราช เป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง ค. พระราหุล เป็นเอตทัคคะในทางผู้ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมวินัย ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทัคคะในทางทรงวินัย จ. อุบลวรรณาเถรี เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ฯ ประวัติพระปุณณกเถระ
  • 33.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 109 ๑.“หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา” นี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับ พุทธพยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ฯ ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชรา ทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ ประวัติพระอานนทเถระ ๑. พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จ ไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๐) ตอบ ข้อต้น เพื่อป้องกันคำติเตียนว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ ข้อหลัง เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาไปทำอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรง อนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ ประวัติพระอุบาลีเถระ ๑. การที่เจ้าศากยะทูลขอให้พระอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗) ตอบ เพราะประสงค์จะละมานะของตน ฯ ประวัติพระปุณณมันตานีบุตรเถระ ๑. ภิกษุ ภิกษุณี ผู้เอตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ ภิกษุ คือพระปุณณมันตานีบุตร ฯ ภิกษุณี คือนางธรรมทินนาเถรี ฯ ประวัติพระโสณโกฬิวิสะเถระ ๑. พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไป และหย่อนเกินไปแก่พระโสณโกฬิวิสะว่า อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ทรงแสดงว่า ความเพียรที่ตึงเกินไปเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ที่หย่อนเกินไปเป็นเพื่อความ เกียจคร้าน ฯ ๒. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงพระประสงค์ใด ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ ด้วยทรงพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียร อย่างยิ่ง เดินจงกรมจนเท้าแตก ฯ ประวัติพระอัสสชิเถระ
  • 34.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 110 ๑.พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสำคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้น ชื่ออะไรและเป็นผู้ เลิศในทางใด ? (๒๕๕๒) ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณมันตานีบุตรเป็นศิษย์ ฯ เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก พระอัสสชิ ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ๒. มารยาทดีมีความสำรวมย่อมเป็นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น นี่เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ (๒๕๕๓) ตอบ ของพระอัสสชิเถระ ฯ ท่านเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็น กำลังในการประกาศพระศาสนา อุปติสสปริพาชกพบเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอฟังธรรมจาก ท่านแล้วได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ฯ ๓. พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๔) ตอบ มีใจความย่อว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับ แห่งธรรมนั้น พระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้” ฯ ประวัติพระราธเถระ ๑. พระสาวกผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นองค์แรกคือใคร ? ท่านได้รับยกย่อง จากพระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายอย่างไร ? ตอบ พระราธะ ฯ ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในธรรมเทศนา ฯ ประวัติพระรัฐบาลเถระ ๑. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐, ๒๕๖๖) ตอบ มี ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน ๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน ๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป ๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ ฯ ๒. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา ๒. บวชเพราะจำใจ ๓. บวช เพราะหลงใหลในรูป ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๑, ๒๕๖๖) ตอบ ๑. บวชเพราะศรัทธา คือพระรัฐบาล ๒. บวชเพราะจำใจ คือพระนันทะ ๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป คือพระวักกลิ ฯ ๓. ข้อธรรมว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน” เรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๕)
  • 35.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 111 ตอบเรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ ประวัติพระโมฆราชเถระ ๑. พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๐) ตอบ เป็นคนที่ ๑๕ ฯ เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน แต่เมื่อปรารภจะทูลถาม เป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ ๒. คำถามว่า “ข้าพระเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็น” ใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง เปล่า ถอนความตายเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ ด้วยอุบาย อย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงไม่แลเห็น ฯ ๓. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ด้วยเรื่องสุญญตานุปัสสนา ฯ มีความหมายว่า ให้พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าเป็นตัวตน ของเราเสีย ฯ ๔. พระโมฆราชและพระอุบาลี ได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางไหน ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๕) ตอบ พระโมฆราช ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง พระอุบาลี ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงพระวินัย ฯ ประวัติพระปิงคิยเถระ ๑. อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟัง พุทธพยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ พราหมณ์พาวรี ฯ ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม ศิษย์อีก ๑๕ คน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ
  • 36.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 112 ๒.มาณพทั้ง ๑๖ คนผู้ทูลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ? ท่านตั้งสานักอยู่ ที่ไหน ? (๒๕๕๗) ตอบ ของพราหมณ์พาวรี ฯ อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ฯ ๓. บรรดาศิษย์ ๑๖ คน ศิษย์คนใด นำพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ไปบอกแก่พราหมณ์พาวรีผู้ เป็นอาจารย์ ? พราหมณ์พาวรีฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ ปิงคิยมาณพ ฯ ชั้นเสขภูมิ ฯ ๔. ปิงคิยมาณพฟังพยากรณ์ปัญหาจากพระบรมศาสดาแล้วได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? เพราะเหตุไร ?(๒๕๖๑) ตอบ ได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ เพราะความฟุ้งซ่านด้วยความคิดถึงอาจารย์ในขณะฟังพระธรรมเทศนา จึงไม่อาจทำจิต ให้สิ้นอาสวะ ประวัติพระอุทยเถระ ๑. “โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละ อะไรได้ ?” ปัญหานี้ใครทูลถาม ? (๒๕๕๑) ตอบ อุทยมาณพเป็นผู้ทูลถาม ฯ ประวัติพระอชิตเถระ ๑. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? และพระศาสดา ทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ ทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลง ดุจอยู่ในที่มืด ประวัติพระราหุลเถระ ๑. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ได้บรรลุพระอรหัตเพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ สามเณรราหุล ฯ จากพระพุทธองค์ ฯ ๒. พระสาวกองค์ใด กอบทรายเต็มมือแล้วปรารถนาว่า “ขอให้เราได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระ ทศพลและพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เท่าเม็ดทรายในกำมือนี้เถิด” ? และท่านเป็นเลิศในด้านใด ? (๒๕๖๑) ตอบ พระราหุล ฯ เป็นเลิศในด้านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ฯ
  • 37.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 113 ประวัติพระมหาปชาบดีโคตมี ๑.สตรีคนแรกที่ได้อุปสมบทในพุทธศาสนาคือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๕) ตอบ คือพระมหาปชาบดีโคตมี ฯ ด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ ศาสนพิธี ๑. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖) ตอบ คือพิธีทางศาสนา ฯ มีประโยชน์คือ ๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง ๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญไม่ไร้สาระ ๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ หมวดที่ ๑ กุศลพิธี ๑. การทำวัตร คืออะไร ? ทำวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๕) ตอบ คือการทำกิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทำกิจที่ต้องทำประจำ จนเป็นวัตรปฏิบัติ เรียกสั้น ๆ ว่า ทำวัตร ฯ ความมุ่งหมายของการทำวัตรสวดมนต์นี้ บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิตไม่ให้คิดวุ่นวาย ตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลาทั้งเช้าเย็น ครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ ๒. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะรักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึง ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺฃรัหฺฃมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้ว ก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ ๓. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ ๓ ประเภท ฯ คือสังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ ๔. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓)
  • 38.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 114 ตอบการเข้าพรรษา หมายถึงการที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดู ฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ การออกพรรษา หมายถึงกาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษาพระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำ ปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ ๕. จงเขียนอุโบสถศีลข้อที่ ๓ มาดู ฯ (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ อพฺฃรหฺฃมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ฯ ๖. ธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติชอบต่อกันเพื่อความสามัคคี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ เรียกว่า สามีจิกรรม ฯ หมายถึงการขอขมาโทษ และการให้อภัยกัน ฯ ๗. กุศลพิธี คืออะไร ? พิธีทำสามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ คือพิธีบำเพ็ญกุศล ฯ หมายถึงการขอขมาโทษกัน ให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือ ไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ ๘. สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีกี่แบบ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๖) ตอบ หมายถึงการขอขมาโทษกันให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ มี ๒ แบบ ฯ คือ ๑. แบบขอขมาโทษ ๒. แบบถวายสักการะ ฯ หมวดที่ ๒ บุญพิธี ๑. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทำกันมาจนถึงบัดนี้ (๒๕๕๐, ๒๕๖๐) ตอบ คือวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ ถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ฯ มีการทำบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น จนเป็นประเพณี ทำบุญตักบาตร ที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ ๒. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ บังสุกุลเป็น คือ บุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน โดย เฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทำเมื่อป่วยหนัก เป็นการกำหนดมรณานุสสติวิธี หนึ่ง ฯ ว่า อจิรํ วตยํ กาโย ปวึ อธิเสสฺสติ
  • 39.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 115 ฉุฑฺโฑอเปตวิญฺญฺาโณ นิรตฺถํ ว กลิงฺครํ ฯ ๓. ในงานมงคลที่ทำกันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วยบทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้น ๆ ว่าอะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ เรียกว่า เจ็ดตำนาน ฯ เรียกว่า ต้นสวดมนต์หรือต้นตำนาน และท้ายสวดมนต์ ฯ ๒. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์ ? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วย เรื่องอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ เรื่องเวสสันดรชาดก ฯ มี ๑๓ กัณฑ์ ฯ เรื่อง จตุราริยสัจจกถา ฯ ๓. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ ไม่ ว่างานใดก็ใช้ อนุโมทนาอย่างนั้น ส่วนวิเสสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะ ทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง ฯ ๔. บท อทาสิ เม อกาสิ เม....และบท อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา.....ใช้ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ อทาสิ เม อกาสิ เม... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่ อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา...ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ ฯ ๕. คำว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทำบุญฉลองอัฐิจัดเข้าใน อย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ? (๒๕๕๓) ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงานมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงานอวมงคล ฯ จัดเข้าในการเจริญพระพุทธมนต์ แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสายสิญจน์ ฯ ๖. งานทำบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทำบุญเช่นไร ? (๒๕๕๓) ตอบ คืองานทำบุญที่คณะญาติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหายป่วยและเพื่อให้ผู้ ป่วยได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลายแห่งชีวิตของตน หรือเป็นความประสงค์ของผู้จะทำบุญ ต่ออายุเอง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ ๗. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทำกันมาจนถึงบัดนี้ ? (๒๕๕๔) ตอบ คือวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพ ถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ฯ มีการทำบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ จนเป็นประเพณีทำบุญตักบาตร ที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ ๘. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺหํ ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวดเมื่อ ใด ? (๒๕๕๔)
  • 40.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 116 ตอบเมื่อทายกถวายเสนาสนะมีโบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ ๙. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙) ตอบ มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือย กายอาบน้ำ นางวิสาขามหาอุบาสิกาทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอ พระพุทธานุญาตเพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ฯ ๑๐. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู (๒๕๕๕) ตอบ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐฃานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ฯ ๑๑. จงเขียนคาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู (๒๕๕๗) ตอบ คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น ว่า อจิรํ วตยํ กาโย ปฐฃวึ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญฺาโณ นิรตฺถํ ว กลิงฺครํ คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลตายว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข ฯ ๑๒. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้มีในวันใดบ้าง ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๕) ตอบ คือวันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่า “วันพระ” ฯ ในวัน ๘ ค่ำ และวัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ของปักษ์ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ฯ หมวดที่ ๓ ทานพิธี ๑. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๕๘) ก. ปาฏิปุคคลิกทาน ข. เภสัชทาน ค. สลากภัต ง. ผ้าวัสสิกสาฎก จ. ผ้าอัจเจกจีวร ตอบ ก. ปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้ ข. เภสัชทาน คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ค. สลากภัต คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก ง. ผ้าวัสสิกสาฎก คือผ้าที่อธิษฐานสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน หรืออาบน้ำทั่วไป จ. ผ้าอัจเจกจีวร คือผ้าจำนำพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนวันออกพรรษา
  • 41.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 117 วิชาวินัยบัญญัติ สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ๑.อภิสมาจารคืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๙, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ คือธรรมเนียมหรือมารยาทที่ดีงามของภิกษุ ฯ มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ ๒. อภิสมาจาร มีรูปเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต อีกอย่างหนึ่งคืออะไร ? และปรับอาบัติ อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ อีกอย่างหนึ่ง คือข้อห้าม ฯ ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ ฯ ๓. อภิสมาจาร คืออะไร ? ปรับอาบัติได้กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๖) ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ ปรับอาบัติได้ ๒ อย่าง ฯ คือ ถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ ๔. สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็น ๒ คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ นั้น คืออย่างไร ? ปรับโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ที่เป็นข้อห้าม คือ กิริยาบางอย่างหรือบริขารประเภทไม่เหมาะแก่สมณสารูป จึงให้ไว้ หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น ที่เป็นข้ออนุญาต คือ เป็นการประทานประโยชน์พิเศษ แก่พระภิกษุ เช่น ทรงอนุญาตวัสสิกสาฎกในฤดูฝน เป็นต้น ฯ ปรับโทษโดยตรงมีเพียง ๒ คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฎ ๑ แม้ในข้อที่ทรงอนุญาต เมื่อไม่ทำ ตาม ก็เป็นอาบัติทุกกฎ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ ฯ ๕. อาทิพรหมจริยกาสิกขากับอภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ อัน ได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ตรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์ เป็นข้อ บังคับโดยตรง ที่ภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด
  • 42.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 118 ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขาได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดีที่ทรง บัญญัติหรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควร ประพฤติ ฯ ๖. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จน เป็นเหตุทำตนให้ลำบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่า มักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ ๗. ภิกษุแม้ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่ต้องอาบัติ ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท ได้แก่ภิกษุประเภทไหน บ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ได้แก่ภิกษุบ้าคลั่งจนไม่มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุเพ้อจนไม่รู้สึกตัว ภิกษุกระสับกระส่าย เพราะมีเวทนากล้าจนถึงไม่มีสติ ฯ ๘. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ฯ คืออาทิพรหมจริยกาสิกขา ๑ อภิสมาจาริกาสิกขา ๑ ฯ ๙. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ ต้องอาบัติถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ ๑๐. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?(๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖) ตอบ เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระ ศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมระเบียบไว้รักษาเกียรติ และความเป็น ผู้ดีของตระกูล ฯ กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร ๑. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตามวินัยแผนกอภิสมาจาร ? (๒๕๔๙) ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บให้เกลี้ยงเกลาด้วย มุ่งหมายให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่ นี้เป็นกิจควรทำ ฯ ๒. มีข้อกำหนดในการไว้ผมยาวของพระภิกษุอย่างไร ? ในการโกนผม ภิกษุใช้กรรไกรแทนมีดโกนได้ หรือไม่ ? (๒๕๕๑) ตอบ ไว้ได้เพียง ๒ เดือน หรือ ๒ นิ้ว เป็นอย่างยิ่ง ฯ ไม่ได้ เว้นไว้แต่อาพาธ ฯ ๓. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๒)
  • 43.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 119 ตอบเปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ เปลือยกายทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายใน เวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ ๔. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์นั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก หมวก ผ้านุ่ง ผ้าห่มสีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ ฯ ๕. การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ? (๒๕๕๗) ตอบ ทรงห้ามในกรณีที่ทาเพื่อให้สวยงาม ทรงอนุญาตในกรณีที่อาพาธ เช่น เป็นโรคผิวหนัง เป็นต้น ๖. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๗) ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ จ. เปลือยในน้ำ ตอบ ก. ต้องอาบัติถุลลัจจัย ข. และ ค. ต้องอาบัติทุกกฏ ง. และ จ. ไม่ต้องอาบัติ ฯ ๗. ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖) ตอบ เกี่ยวกับหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่ง หนวดและห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร เกี่ยวกับคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยมโกนพร้อมกับผม ฯ กัณฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค ๑. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใสของประชาชน ? (๒๕๔๙) ตอบ การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า ภิกษุย่อมนิยม ใช้สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบ ๆ ไม่ใช้ของดีที่กำลังตื่นกันในสมัย อันจะพึงเรียกว่า โอ่โถง ความประพฤติปอนของภิกษุนี้ ย่อมทำให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า ลูขประมาณ แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ ๒. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือผ้าสำหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดูหนาว ฯ มีเรื่องเล่าว่า ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความ หนาวได้ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้นจึงพอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้ากับอุตตราสงค์ ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ
  • 44.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 120 ๓.ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีจีวร เช่น จีวรถูกไฟไหม้ ถูกโจรชิงไปหมด นุ่งห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฎ แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่ง ห่ม ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ ๔. วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ คือห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลง ในบาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วให้ ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมดน้ำ ก่อนจึงผึ่ง ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ ๕. จีวรผืนหนึ่ง มีกำหนดจำนวนขัณฑ์ไว้อย่างไร ? ใน ๑ ขัณฑ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ กำหนดจำนวนไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ขัณฑ์ แต่ให้เป็นขัณฑ์คี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล กุสิ อัฑฒกุสิ ฯ ๖. มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึ่งนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่าพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ในกรณีที่ภิกษุถูก โจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๒) ตอบ พึงปิดการด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้ ห้ามมิให้ เปลือยกาย ฯ ๗. ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๘) ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ มี ๑. โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้ ๒. กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย ๓. โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม ๔. กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์ ๕. สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน ๖. ภังคะ ผ้าที่ทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ ๘. สังฆาฏิ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้ำ อย่างไหนจัดเป็น บริขารบริโภค อย่าง ไหนจัดเป็นบริขารอุปโภค ? (๒๕๕๖, ๒๕๕๙, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖) ตอบ ไตรจีวร บาตร ประคดเอว จัดเป็นบริขารบริโภค เข็ม มีดโกน ผ้ากรองน้ำ จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ ๙. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน (๒๕๕๗, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ มี ๒ ชนิด คือบาตรดินเผาและบาตรเหล็ก ฯ มี ๓ ขนาด คือขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ฯ
  • 45.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 121 บาตรแสตนเลสจัดเข้าในบาตรเหล็กฯ กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสสัย ๑. พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความเจริญงอกงามในพระธรรม วินัย ? (๒๕๔๙) ตอบ พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริกตั้ง จิตสนิทสนมในกันและกัน ให้พระอุปัชฌาย์สำคัญสัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระ อุปัชฌาย์ฉันบิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย ฯ ๒. สัทธิวิหาริก คือใคร ? อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ คือภิกษุผู้ต้องพึ่งพิงในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริก ของภิกษุรูปนั้น ฯ อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ ๑. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก ๒. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้ ๓. ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้วแก่สัทธิวิหาริก ๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทำการพยาบาล ฯ ๓. นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ นิสัยระงับ หมายถึง การที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง นิสัยมุตตกะ หมายถึง ภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตน ผู้อยู่ตาม ลำพังได้ ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ ๔. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทำการ ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ ผู้ประพฤติดังนี้ ๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๒. หาความเลื่อมใสมิได้ ๓. หาความละอายมิได้ ๔. หาความเคารพมิได้ ๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
  • 46.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 122 ๕.ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คำขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา ๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท ๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย ๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ ๖. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๘) ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คืออุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ ๗. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย ? (๒๕๕๕) ตอบ อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่า ผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่า ผู้อยู่ด้วย นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ ๘. คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ ต้องถือนิสัยเสมอไป แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือ ภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้เป็นไข้ ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้เพื่อให้อยู่ ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรม ชั่วคราว และกรณีที่ในที่ใด หาท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ จะอยู่ ในที่นั้นด้วยผูกใจว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่าน ก็ใช้ได้ ฯ ๙. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ (๒๕๕๗) ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์ ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ ตอบ ก. อาจารย์ผู้ให้อุปสมบท ข. อาจารย์ผู้สอนธรรม ค. ภิกษุผู้พึ่งพิงอุปัชฌาย์ ง. ภิกษุผู้อิงอาศัยอาจารย์ จ. ภิกษุผู้พ้นนิสสัยแล้ว ฯ ๑๐. ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ
  • 47.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 123 ๑.เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ ๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยิน ได้ฟังมามาก มีปัญญา ๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยา ทั้งมีพรรษาพ้น ๕ กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร ๑. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธ ไว้ว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดาของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุนั้นพยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ ๒. วิธิวัตร คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือวินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่น แบบอย่างการห่มผ้า เป็นต้น ฯ แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่ำเสมอกัน เช่น นุ่งห่มเป็นแบบเดียวกัน อันโบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุด ไปทีละอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือ เมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ ๓. วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า วัตตสัมปันโน นั้นคืออะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๔, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓) ตอบ ได้แก่ ขนบ คือ แบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่ บุคคลนั้น ๆ ฯ มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ ๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ ๔. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะนั้นอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้ ๑. ไม่ทำให้เปรอะเปื้อน ๒. ชำระให้สะอาด ๓. ระวังไม่ให้ชำรุด ๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ ๕. ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ให้มีพร้อม ๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านำไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ ๕. ภิกษุผู้อาพาธควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงไม่เป็นภาระแก่ผู้พยาบาล ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
  • 48.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 124 ตอบควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้พยาบาลง่าย คือทำความสบายให้แก่ตน (ไม่ฉันของแสลง) รู้จัก ประมาณในการบริโภค ฉันยาง่าย บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาล เป็นผู้อดทนต่อ ทุกขเวทนา ฯ ๖. วัตรคืออะไร ? อุปัชฌายวัตรและสัทธิวิหาริกวัตร ใครพึงทำแก่ใคร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖) ตอบ คือแบบอย่างอันดีงามที่ภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ฯ อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกพึงทำแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกวัตร อุปัชฌาย์พึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ ๗. ภัตตุทเทสกะ จีวรภาชกะ และอัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่อะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ ภัตตุทเทสกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกภัตตาหาร ตลอดถึงรับนิมนต์ของทายกแล้วจัด ส่งพระไปให้ จีวรภาชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกจีวร อัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกเภสัชและบริขารเล็กน้อย ฯ ๘. ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖) ตอบ พึงปฏิบัติตนอย่างนี้ ๑. ทำความเคารพในท่าน ๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น ๓. แสดงอาการสุภาพ ๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น ๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น ๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ปัดกวาดให้สะอาดหมดจด ตั้งเครื่องเสนาสนะให้ เป็นระเบียบ ฯ กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๑. ภิกษุอยู่ในกุฎีเดียวกันกับภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า ควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงชื่อว่าแสดงความ เคารพท่านตามพระวินัย ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๖) ตอบ ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือจะทำสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะ อธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดับไฟ จะเปิดจะปิดหน้าต่าง ห้ามมิให้ทำตาม อำเภอใจ ฯ ๒. กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ในข้อนี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ (๒๕๕๓) ตอบ ได้แก่ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ) ๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
  • 49.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 125 ๒.ในเวลาถูกสงฆ์ทำอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส ๓. ในเวลาเปลือยกาย ๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่และไม่เห็นกัน ๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือ นอนหลับ หรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือส่งใจไปอื่น แม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ ๗. ในเวลาขบฉันอาหาร ๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ ๓. คารวะ คืออะไร ? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ คือกิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และบุคคล ฯ ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสำนักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเข้าแถวใน บ้าน ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ ๔. ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์ อะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้ำก็จะหกเสีย มารยาท พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา หรือด้วยมือลูบก่อน ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง ๕. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่า เรียกผู้อ่อน พรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ ๖. การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๓) ตอบ นั่งอยู่ในสำนักผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ใน อาราม ไม่ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ กัณฑ์ที่ ๑๖ จำพรรษา ๑. การจำพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ (๒๕๔๙) ตอบ การจำพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทำอาลัย คือผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ใน บัดนี้มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคำอธิษฐานพร้อมกันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ ๒. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายในวันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มี เหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้ พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๐)
  • 50.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 126 ตอบถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็น สัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ ๓. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๖) ตอบ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์ ๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวด ประกาศญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน ๑ รูป พึงอธิษฐาน ฯ ๔. ภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณาย่อมได้อานิสงส์แห่งการจำพรรษาอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ ๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ ๓. ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ ๕. วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง ในแต่ละอย่าง กำหนดวันไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ วันเข้าพรรษาต้น กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง คือ วันแรม ๑ ค่า เดือน ๘ วันเข้าพรรษาหลัง กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น ล่วงแล้วเดือน ๑ คือวันแรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ ๖. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ คือการหลีกไปในระหว่างอยู่จำพรรษาด้วยกรณียธุระและกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ ให้ผูกใจว่าจะกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ ๗. ธุระเป็นเหตุไปด้วยสัตตาหกรณียะที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๐, ๒๕๖๔) ตอบ มี ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้า ไปเพื่อรักษาพยาบาล ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้า ไปเพื่อระงับ ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เป็นต้นว่า วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพ สัมภาระมาปฏิสังขรณ์
  • 51.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 127 ๔.ทายกต้องการจะบำเพ็ญกุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขา หรือแม้ธุระ อื่นนอกจากนี้ ที่เป็นกิจลักษณะ อนุโลมตามนี้ ฯ ๘. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทัน เช่นนี้ พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖) ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยังอยู่ในพระ พุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ๙. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? (๒๕๖๐) ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ ชื่อว่า นวกะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย ชื่อว่า มัชฌิมะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย ชื่อว่า เถระ ฯ ๑๐. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ สัตตาหกรณียะ คือกิจจำเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษา ไปพักแรมคืนที่อื่น แต่ต้องกลับมาภายใน ๗ วัน สัตตาหกาลิก คือเภสัช ๕ ที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ ๑๑. ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ กล่าวไว้ ๒ ฯ คือ ๑. ปุริมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ๒. ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา ๑. ในการทำอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์และการอธิษฐาน ทรงให้ ทำได้ในกรณีใด ? (๒๕๔๙) ตอบ ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์ ถ้ามีเพียง ๓ รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแก่กันและกัน ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้ อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ ๒. ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง ? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วย เรื่องอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ มีดังนี้ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นำฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ สั่ง สอนนางภิกษุณี ฯ ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไรแล้ว สวด ปรับอาบัติถุลลัจจัย ฯ
  • 52.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 128 ๓.ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทำปวารณาได้ ? และทำในวันไหน ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔, ๒๕๖๖) ตอบ คือการบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสทำปวารณาแทนอุโบสถ ฯ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือน แต่วันจำพรรษา ฯ ๔. การทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพ็ญและพระจันทร์ดับแล้ว ยังทรงอนุญาต ให้ทำได้ในวันใดอีก ? อุโบสถเช่นนั้น เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ในวันที่ภิกษุผู้แตกกันปรองดองกันได้ ฯ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ฯ ๕. ในวัดหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป เมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษาพึงทำอย่างไร ? ถ้ามีภิกษุ อาคันตุกะสัตตาหะมาสมทบอีก ๕ รูป จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ในวันมหาปวารณาพึงทำคณะปวารณา โดยรูปหนึ่งตั้งญัตติแล้วกล่าวปวารณาตามลำดับ พรรษา ฯ ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะมาเพิ่มอีก ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นสังฆปวารณา แล้ว กล่าวปวารณาตามลำดับพรรษา ฯ ๖. บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทำอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องทำบุพพกรณ์และบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๘) ตอบ บุพพกรณ์ คือกรณียะอันจะพึงกระทำให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วนบุพพกิจ เป็นธุระอันจะพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ บุพพกรณ์นั้น เป็นกรณียะจะต้องทำ เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ ส่วนบุพพกิจนั้น ไม่ต้องทำ เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ ๗. ภิกษุจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรืออยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติ อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นการสงฆ์ อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงปวารณาเป็นการคณะ อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ ๘. ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจำปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จำได้ แล้วชักสุตบท (สวด ย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๔) ตอบ สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น ไม่ถูกต้อง ฯ เพราะการสวดย่อเนื่องจากจำได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าใน เหตุฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ ๙. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือการสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และอัพภาณกรรม มีจำกัดจำนวน สงฆ์ อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๕) ตอบ การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย
  • 53.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 129 อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย อัพภาณกรรม ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย ฯ ๑๐. ปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติ อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือสังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ พึงทำคณปวารณา ฯ ๑๑. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง (๒๕๕๗) ตอบ ๑. พระราชาเสด็จมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้) ๒. โจรมาปล้น (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีภัยได้) ๓. ไฟไหม้ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อดับไฟหรือเพื่อป้องกันไฟได้) ๔. น้ำหลากมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีน้ำได้) สวดกลางแจ้งฝนตก (ก็เหมือนกัน) ๕. คนมามาก (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรู้เหตุ หรือเพื่อจะได้ทำปฏิสันถาร ได้อยู่) ๖. ผีเข้าภิกษุ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อขับผี ได้อยู่) ๗. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้น เข้ามาในอาราม (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อไล่สัตว์ ได้อยู่) ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ประชุม (ก็เหมือนกัน) ๙. ภิกษุอาพาธเกิดโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุม อันเป็นอันตรายแก่ชีวิต (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อ ช่วยแก้ไขก็ได้) มีเรื่องเป็นตายในที่นั้นก็เหมือนกัน ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (เลิกสวดปาติโมกข์ เพราะความอลหม่านก็ได้) ฯ (เลือกตอบเพียง ๕ ข้อ) ๑๒. สงฆ์กำลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ หากมีภิกษุอื่นเข้ามา จะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๐, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุม ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากัน หรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา ๑. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒) ตอบ เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้ หัดเพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ฯ ๒. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่าง คฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
  • 54.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 130 ๓.การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ ความ ประพฤติเช่นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๓) ตอบ อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม อเนสนา ได้แก่ ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ รวมเรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ ๔. ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เพราะมีความประพฤติต่าง กันอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบ เขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกำนัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล โดยฐานเป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทำให้เขาเลื่อมใส นับถือตน ๕. อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ คือการทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คือ อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม อเนสนา ได้แก่ ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ ๖. อนาจาร หมายถึงอะไร ? เล่นอย่างไรบ้าง จัดเป็นอนาจาร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๖) ตอบ อนาจาร หมายถึงความประพฤติไม่ดีไม่งาม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ฯ เล่นอย่างเด็ก เล่นคะนอง เล่นพนัน เล่นปู้ยี่ปู้ยำ เล่นอึงคะนึง จัดเป็นอนาจาร ฯ ๗. อเนสนา ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖) ตอบ อเนสนา ได้แก่กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ มี ๒ อย่าง คือ ๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ๒. การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ฯ ๘. ปาปสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุชื่อว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือความประพฤติเลวทราม เนื่องด้วยการคบคฤหัสถ์ด้วยการสมาคมอันมิชอบ ฯ เพราะประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน เป็นศรีของพระศาสนา ๙. คำว่า วัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาส เป็นอาบัติอะไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๓, ๒๕๖๖)
  • 55.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 131 ตอบคือสิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกำหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ ๑๐. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส” เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดี พองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน ฯ กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๔ ๑. กาลิก มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? กล้วยดองน้ำผึ้งเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ มี ๔ ฯ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก ฯ เป็นยาวกาลิก ฯ ๒. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกระคนกันมีกำหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง (๒๕๕๒) ตอบ ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป ฯ มีดังนี้ คือยาวกาลิก, ยามกาลิก, สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นสุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จำกัด อายุคลุกกับน้ำผึ้ง ที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกำหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ๓. ยาวกาลิกกับยาวชีวิก ได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฎเกณฑ์กำหนดอายุไว้อย่างไร ? จง ยกตัวอย่าง (๒๕๕๐, ๒๕๕๓) ตอบ ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ยาวชีวิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดกาล กฎเกณฑ์กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด เช่น ยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้ำผึ้งที่ เป็นสัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน เป็นเกณฑ์ ฯ ๔. คำว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ อันโตวุฏฐะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน อันโตปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน) สามปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุทำให้สุกเอง ฯ ๕. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ
  • 56.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 132 ๖.อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ได้แก่ โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา ฯ ๗. กาลิก ๔ ได้แก่ อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ได้แก่ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ฯ โภชนะ ๕ เป็นยาวกาลิก เภสัช ๕ เป็นสัตตาหกาลิก ฯ ๘. ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ ฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฏ ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ ๙. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ ยาวกาลิก คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น ฯ ส่วนยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดเวลา แต่เมื่อมี เหตุจึงบริโภคได้ ได้แก่ รากไม้ น้ำฝาดใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ ๑. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสำคัญ ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๗, ๒๕๖๖) ตอบ คือเป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าของ นั้นเรา ถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ เห็นว่าข้อสุดท้ายสำคัญ ฯ ๒. ภัณฑะของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๙, ๒๕๖๓, ๒๕๖๔) ตอบ ตกเป็นของสงฆ์ ฯ ไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่เจ้าของภัณฑะยังมีชีวิตอยู่ ฯ ๓. ลหุภัณฑ์และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหน แจกกันได้และไม่ได้ ? (๒๕๖๑) ตอบ ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว คือบาตร จีวร ประคดเอว เข็ม มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้ ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้ให้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็น เครื่องใช้ในเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้ ฯ กัณฑ์ที่ ๒๑ วินัยกรรม
  • 57.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 133 ๑.คำว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติ อย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือการตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสำหรับภิกษุเอาไว้ใช้สำหรับตัว (เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น ไม่ใช้ผืนอื่น) ฯ พึงทำพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ เราทำหมายด้วยจุดนี้ แล้ว ปัจจุทธรณ์คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจาก นั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐฃามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ ๒. การแสดงอาบัติ การอธิฐาน การทำวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทำกิจเหล่านี้ จำกัด บุคคลไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ เรียกว่า วินัยกรรม ฯ การแสดงอาบัติ จำกัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน การอธิฐาน ให้ทำเอง การทำวิกัป จำกัดผู้รับ ต้องทำกับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี และสิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง ฯ ๓. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทำวินัยกรรมนั้น มีจำกัดบุคคล และ สถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทำตามพระวินัย เช่น พินทุ อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม กรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ์ มีจำนวนอย่างต่ำตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทำ เช่น อปโลกนกรรม เป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม ฯ จำกัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้ ๑. แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน ๒. อธิฐาน ต้องทำเอง ๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี รูป ใดรูปหนึ่ง ๔. ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ทำในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ ๔. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๑) ตอบ คืออาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน ให้ แสดงในสำนักภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่ เหลือจึงแสดงในสำนักของภิกษุนั้น ฯ ๕. ผ้าบริขารโจลได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐานด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?(๒๕๕๔) ตอบ ได้แก่ ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรองน้ำ ถุงบาตร ย่าม ฯ
  • 58.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 134 การอธิษฐานด้วยกายคือการใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทำความผูกใจ ตามคำอธิษฐานนั้น ๆ ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือการเปล่งคำอธิษฐานนั้น ๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ ๖. ผ้าต่อไปนี้ คือสังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร ผืนใดที่ทรง อนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ? (๒๕๕๔) ตอบ สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้ำฝน ฯ ๗. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลำดับอย่างไรบ้าง? (๒๕๕๗, ๒๕๖๖) ตอบ ต้องปัจจุธรณ์ คือถอนอธิษฐานผืนเก่าก่อน แล้วทำพินทุและอธิษฐานผืนใหม่ ฯ ๘. จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องทำอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องขอให้ผู้รับถอนก่อน ฯ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณณกะ ๑. อโคจร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ คือบุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ มีหญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ฯ ๒. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง (๒๕๕๒) ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจาก บุคคลและสถานที่ไม่สมควรไป คืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วย มรรยาทและโคจร อันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ ๓. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า โคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เพราะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๐) ตอบ เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควรไป เป็นกิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่ำเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของ เพื่อนสหธรรมมิก เพราะการไปเที่ยว ฯ ๔. ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคน ก่อนก็ฉันได้ ? (๒๕๕๓) ตอบ ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถ้า และดินได้ ๕. ภิกษุได้ชื่อว่า อาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติ เช่นไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจาก อโคจร คือ บุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ ๖. มหาปเทส แปลว่าอะไร ? ทรงประทานไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๖)
  • 59.
    ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท 135 ตอบแปลว่า ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ เพื่อเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยทั้งในทางธรรมทั้งในทางวินัย ฯ ๗. สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๖) ตอบ มี ๔ ฯ คือ ๑. สีลสมบัติ ๒. อาจารสมบัติ ๓. ทิฏฐิสมบัติ ๔. อาชีวสมบัติ ฯ