คำนำ
ประสบการณ์ของการทำหน้าที่ติวอบรมก่อนสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก และ
การทำหน้าที่คุมสอบนักธรรม ได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามการศึกษานักธรรมกับพระภิกษุสามเณร ผู้เข้าสอบ
นักธรรม ทำให้รับรู้ถึงสาเหตุที่ผู้เข้าสอบนักธรรมทำข้อสอบได้ และทำข้อสอบไม่ได้ พระภิกษุสามเณรที่เรียน
แต่นักธรรมอย่างเดียว ส่วนมากทำข้อสอบได้ เพราะมีเวลากับการเรียนมาก บางรูปเรียนอย่างอื่นควบคู่กัน
ด้วย จึงมีปัญหาเรื่องการอ่านท่องจำ ทำความเข้าใจในตำราเรียน หรืออาจจะมาเริ่มดูนักธรรมในช่วงที่มีการ
ติวอบรมก่อนสอบธรรมสนามหลวง
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท เป็นการกำหนดขอบเขตการศึกษานักธรรม เพื่อให้
เหมาะสมกับเวลาเรียน ไม่ได้เน้นในเรื่องการอธิบาย เป็นเพียงแนวข้อสอบ ทำให้เห็นความสำคัญใน
การศึกษาในแต่ละรายวิชา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ประกอบการเรียนการสอน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ
เล่มนี้ จะเกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาทุกรูป
พระมหามนตรี กตปุญฺโ
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕
สารบัญ
หน้า
วิชาธรรมวิภาค ๑
ทุกะ หมวด ๒ ๑
อริยบุคคล ๒ ๑
กัมมัฏฐาน ๒ ๑
กาม ๒ ๓
ทิฏฐิ ๒ ๓
เทสนา ๒ ๔
ธรรม ๒ ๔
บูชา ๒ ๕
ปฏิสันถาร ๒ ๕
ปริเยสนา ๒ ๖
ปาพจน์ ๒ ๖
รูป ๒ ๖
วิมุตติ ๒ ๗
ติกะ หมวด ๓ ๘
อกุศลวิตก ๓ ๘
กุศลวิตก ๓ ๘
อัคคิ ๓ ๙
อธิปเตยยะ ๓ ๙
อภิสังขาร ๓ ๑๐
ทวาร ๓ ๑๐
ญาณ ๓ ๑๐
ปาฏิหาริย์ ๓ ๑๒
ปิฎก ๓ ๑๒
พุทธจริยา ๓ ๑๒
ภพ ๓ ๑๓
วัฏฏะ ๓ ๑๓
วิชชา ๓ ๑๔
วิโมกข์ ๓ ๑๔
วิเวก ๓ ๑๔
สังขาร ๓ ๑๔
โสดาบัน ๓ ๑๔
จตุกกะ หมวด ๔ ๑๕
อบาย ๔ ๑๕
อปัสเสนธรรม ๔ ๑๕
อัปปมัญญา ๔ ๑๖
พระอริยบุคคล ๔ ๑๖
อริยวงศ์ ๔ ๑๗
อุปาทาน ๔ ๑๗
โอฆะ ๔ ๑๘
อริยสัจ ๔ ๑๘
ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ๑๙
โยนิ ๔ ๑๙
ปัญจกะ หมวด ๕ ๒๐
มัจฉริยะ ๕ ๒๐
มาร ๕ ๒๐
วิญญาณ ๕ ๒๒
วิมุตติ ๕ ๒๒
เวทนา ๕ ๒๒
สังวร ๕ ๒๓
สุทธาวาส ๕ ๒๓
ฉักกะ หมวด ๖ ๒๓
อภิฐาน ๖ ๒๓
จริต ๖ ๒๓
ธรรมคุณ ๖ ๒๔
ปิยรูป สาตรูป หมวดละหก ๑๐ หมวด ๒๕
สวรรค์ ๖ ชั้น ๒๕
สัตตกะ หมวด ๗ ๒๖
อนุสัย ๗ ๒๖
เมถุนสังโยค ๗ ๒๖
วิญญาณฐิติ ๗ ๒๗
วิสุทธิ ๗ ๒๗
อัฏฐกะ หมวด ๘ ๒๗
อริยบุคคล ๘ ๒๗
อวิชชา ๘ ๒๗
นวกะ หมวด ๙ ๒๘
อนุปุพพวิหาร ๙ ๒๘
พุทธคุณ ๙ ๒๘
มานะ ๙ ๓๐
ทสกะ หมวด ๑๐ ๓๑
บารมี ๑๐ ๓๑
มิจฉัตตะ ๑๐ ๓๒
เอกาทสกะ หมวด ๑๑ ๓๒
ปัจจยาการ ๑๑ ๓๒
ทวาทสกะ หมวด ๑๒ ๓๒
กรรม ๑๒ ๓๒
เตรสกะ หมวด ๑๓ ๓๔
ธุดงค์ ๑๓ ๓๔
ปัณณรสกะ หมวด ๑๕ ๓๖
จรณะ ๑๕ ๓๖
วิชาอนุพุทธประวัติ ๓๘
ประวัติพระปัญจวัคคีย์ ๔๐
ประวัติพระยสะและสหายพระยสะ ๕๔ องค์ ๔๔
ประวัติพระอุรุเวลกัสสปะ ๔๗
ประวัติพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ๕๐
ประวัติพระมหากัสสปะและพระมหากัจจายนะ ๕๔
ประวัติมาณพ ๑๖ คน ๕๗
ประวัติพระราธะและพระปุณณมันตานีบุตร ๕๙
ประวัติพระราหุล พระอุบาลี พระอนุรุทธะ และพระอานนท์ ๕๙
ประวัติพระโสณโกฬิวิสะ พระรัฐบาล และพระโสณกุฏิกัณณะ ๖๑
ประวัติภิกษุณี ๖๓
ศาสนพิธี ๖๔
หมวดที่ ๑ กุศลพิธี ๖๔
พิธีเข้าพรรษา ๖๔
พิธีสามีจิกรรม ๖๕
พิธีทําวัตรสวดมนต์ ๖๖
พิธีทําสังฆอุโบสถ ๖๖
พิธีกรรมวันธรรมสวนะ ๖๖
หมวดที่ ๒ บุญพิธี ๖๗
พิธีทําบุญตักบาตรเทโวโรหณะ ๖๗
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ๖๘
พิธีสวดพระพุทธมนต์ ๖๘
พิธีสวดพระอภิธรรม ๖๙
พิธีสวดมาติกา ๖๙
พิธีสวดแจง ๖๙
พิธีอนุโมทนากรณีต่าง ๆ ๖๙
พิธีแสดงพระธรรมเทศนา ๖๙
หมวดที่ ๓ ทานพิธี ๗๐
พิธีถวายเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ๗๐
พิธีถวายผ้าวัสสิกสาฎก ๗๑
พิธีถวายผ้าป่า ๗๑
หมวดที่ ๔ ปกิณกะ ๗๒
พิธีบังสุกุลเป็น ๗๒
วิชาวินัยบัญญัติ ๗๓
สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ๗๓
พระวินัย ๗๓
อภิสมาจาร ๗๔
กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร ๗๖
กัณฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค ๗๘
๑. จีวร ๗๘
๒. บาตร ๘๐
๓. เครื่องอุปโภค ๘๑
กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสสัย ๘๑
เหตุที่นิสสัยระงับจากอุปัชฌาย์ ๕ ประการ ๘๒
เหตุที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริก ๕ ประการ ๗๓
อาจารย์ตามนัยแห่งอรรถกถา มี ๔ ประเภท ๘๓
นิสสัยมุตตกะ ๘๔
กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร ๘๕
๑. กิจวัตร ๘๖
๒. จริยาวัตร ๘๘
๓. วิธีวัตร ๘๙
กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๘๙
เวลาที่อนุญาตให้งดไหว้กัน มี ๘ ประการ ๘๙
การลุกรับมีงดในบางโอกาส ๙๐
การทําความเคารพที่จัดไว้อีกส่วนหนึ่ง ๙๐
กัณฑ์ที่ ๑๖ จำพรรษา ๙๑
ดิถีที่กําหนดให้เข้าพรรษา มี ๒ ช่วง ๙๑
การอธิษฐานเข้าพรรษา ๙๑
สัตตาหกรณียะ ๙๒
อานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ ประการ ๙๔
กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา ๙๔
อุโบสถ ๙๔
การก คือ ภิกษุผู้ทําอุโบสถ ๙๕
อาการที่ทำอุโบสถ ๙๕
บุพพกิจ มี ๕ อยาง ๙๖
สังฆอุโบสถ ๙๖
เหตุฉุกเฉินที่เรียกว่าอันตราย มี ๑๐ อย่าง ๙๗
ปวารณา ๙๘
สังฆปวารณา ๙๙
กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา ๑๐๐
๑. อนาจาร ๑๐๑
๒. ปาปสมาจาร ๑๐๑
๓. อเนสนา ๑๐๓
กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๑๐๓
กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ ๑๐๕
กัณฑ์ที่ ๒๑ วินัยกรรม ๑๐๗
กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณณกะ ๑๐๕
มหาปเทส ๔ ๑๐๙
วิชาธรรมวิภาค
ทุกะ หมวด ๒
อริยบุคคล ๒
๑. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร ? ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะอะไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ
๒. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากำลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่า
พระเสขะได้หรือไม่ ? (๒๕๕๔)
ตอบ คือ ศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา
อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ฯ
ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จำพวกเบื้องต้น ฯ
๓. พระอริยบุคคล ๘ จำพวก จำพวกไหนชื่อว่าพระเสขะ และพระอเสขะ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ พระอริยบุคคล ๗ เบื้องต้นชื่อว่าพระเสขะ เพราะเป็นผู้ยังต้องปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง ฯ
พระอริยบุคคลผู้ต้องอยู่ในอรหัตตผล ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ
กัมมัฏฐาน ๒
๑. สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๓)
ตอบ สมถกรรมฐานมุ่งผล คือความสงบใจ
ส่วนวิปัสสนากรรมฐานมุ่งผล คือความเรืองปัญญา ฯ
๒. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน
หรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๗)
ตอบ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทนฺตา ฟัน และตโจ หนัง ฯ
เรียกอีกอย่างว่ามูลกัมมัฏฐาน ฯ
เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๓. ตจปัญจกกัมมัฏฐานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนา
กัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๒)
ตอบ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ
มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทันตา ฟัน และ ตโจ หนัง ฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๔. ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ? จงอธิบาย (๒๕๔๘)
ตอบ ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ
เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าเพ่งกำหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณา
ถึงความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อม
สลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ
๕. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน หรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
(๒๕๖๔)
ตอบ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทนฺตา ฟัน และตโจ หนัง ฯ
เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๖. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา
นขา โลมา เกสา นั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๕)
ตอบ ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือมูลกัมมัฏฐาน ฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๗. มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ?
(๒๕๔๙)
ตอบ คือ กัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์สอนก่อนบรรพชา ฯ
ถ้าเพ่งกำหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้นพิจารณาแยกออกเป็น
ส่วน ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ
๘. การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์อย่างไร ?
(๒๕๖๐)
ตอบ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๓
กาม ๒
๑. กามและกามคุณ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ กาม ได้แก่ความใคร่ ความน่าปรารถนา ความพอใจ แบ่งเป็นกิเลสกามและวัตถุกาม
ส่วนกามคุณ ได้แก่อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ซึ่งเป็นวัตถุกามนั่นเอง ฯ
๒. รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้ง ๕ นี้ เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า กามคุณ ? (๒๕๔๔)
ตอบ เพราะเป็นกลุ่มแห่งกาม และเป็นสิ่งที่ให้เกิดความสุข ความพอใจได้ ฯ
๓. ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตถุกาม ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม
กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ
ทิฏฐิ ๒
๑. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ มี ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ
๒. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จง
อธิบาย ? (๒๕๕๐)
ตอบ เห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็นอะไร
ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า
อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ
พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล
ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ
๓. ความเห็นว่า “ถึงคราวเคราะห์ดีก็ดีเอง ถึงคราวเคราะห์ร้ายก็ร้ายเอง” อย่างนี้เป็นทิฏฐิอะไร ? จง
อธิบาย คติทางพระพุทธศาสนาต่างจากความเห็นนี้อย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ เป็นอเหตุกทิฏฐิ คือเห็นว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย คนเราจะได้ดีหรือได้ร้าย ตามคราว
เคราะห์ ถึงคราวจะดีก็ดีเอง ถึงคราวจะร้ายก็ร้ายเอง ไม่มีเหตุปัจจัยอื่น ฯ
พระพุทธศาสนาถือว่าสังขตธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ฯ
๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
เทสนา ๒
๑. เทสนา ๒ มีอะไรบ้าง ? เทสนา ๒ อย่างนั้น ต่างกันอย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๔๖)
ตอบ มีปุคคลาธิฏฐานา มีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็นที่ตั้ง ๑ ฯ
ต่างกันอย่างนี้ การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความ
เพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลาง
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ เป็นปุคคลาธิฏฐานา
ส่วนการยกธรรมแต่ละข้อมาอธิบายความหมายอย่างเดียว เช่น สติ แปลว่าความระลึกได้
หมายความว่า ก่อนจะทำ ก่อนจะพูดอะไร ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงทำ จึงพูดออกไป เป็นต้น
เป็นธัมมาธิฏฐานา ฯ
๒. บุคคลาธิฏฐานาเทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒)
ตอบ มีอธิบายว่า การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความเพียร
โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลางมหาสมุทร
ที่กว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ และทรงถึงฝั่งได้ดังประสงค์ ฯ
ธรรม ๒
๑. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๒)
ตอบ คือ ธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ
มีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความดับไปใน
ที่สุด ฯ
๒. สังขตธรรมและอสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม เพราะมีลักษณะ
อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ สังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนอสังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยไม่ได้ปรุงแต่ง ฯ
เพราะมีลักษณะ คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความดับในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรผัน
ปรากฏ ฯ
๓. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้น
หรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๒)
ตอบ เป็นลักษณะของสังขตธรรม ฯ
มีลักษณะเช่นนั้น คือเมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น ต่อมาก็เจริญเติบโตผ่านวัย
ทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไป ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๕
๔. สังขารทั้งหลายไม่เป็นอนัตตาหรือ เพราะเหตุไรในธรรมนิยามจึงใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ?
จงอธิบาย ? (๒๕๔๗)
ตอบ สังขารทั้งหลายก็เป็นอนัตตา แต่ที่ใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้น เพราะธรรมนั้นหมาย
เอาธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม สังขตธรรมได้แก่สังขารนั่นเอง อสังขตธรรมได้แก่วิสังขารคือ
พระนิพพาน ฯ
บูชา ๒
๑. บูชา ๒ คืออะไรบ้าง ? การสมาทานศีล ๕ เป็นประจำจัดเป็นบูชา ประเภทใด ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ อามิสบูชา บูชาด้วยอามิสสิ่งของ ๑ ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม ๑ ฯ
เป็นปฏิบัติบูชา ฯ
ปฏิสันถาร ๒
๑. ปฏิสันถาร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์แก่ผู้ทำอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ คือ การต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น ฯ
มี ๒ อย่าง ๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ
๒. ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ
อย่างนี้คือ ๑. เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน
๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ
๒. ปฏิสันถาร มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๔)
ตอบ มี ๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ
๒. ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ
มีประโยชน์อย่างนี้ คือ
๑. เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้าใจกัน
๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ
๓. ปฏิสันถาร คืออะไร ? จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา (๒๕๔๙)
ตอบ คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรองด้วยของ ต้อนรับตามสมควร
ด้วยไมตรีจิต ฯ
ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี ๒ อย่าง คือ
๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุสิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว น้ำ
หรือที่พัก เป็นต้น
๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการต้อนรับตามความเหมาะสมแก่ผู้
มาเยือน หรือการให้คำแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ฯ
๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ปริเยสนา ๒
๑. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ? (๒๕๕๕)
ตอบ ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือคุณธรรมมีพระนิพพาน
เป็นอย่างสูง เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่า อริยปริเยสนา
แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่นหาของเล่น เป็นการแสวงหา ไม่ประเสริฐ เรียกว่า อนริย-
ปริเยสนา ฯ
ปาพจน์ ๒
๑. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ ได้แก่ พระธรรมและพระวินัย ฯ
ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ
๒. ปาพจน์ ๒ คือธรรมและวินัย นั้นทราบแล้ว อยากทราบว่าความปฏิบัติอย่างไร จัดเป็นธรรม ความ
ปฏิบัติอย่างไรจัดเป็นวินัย ? (๒๕๕๘)
ตอบ ความปฏิบัติเป็นทางนำความประพฤติและอัธยาศัยให้ประณีตขึ้น จัดเป็นธรรม
ความปฏิบัติเนื่องด้วยระเบียบอันทรงตั้งไว้ด้วยพุทธอาณา เป็นสิกขาบทหรืออภิสมาจาร เป็น
ทางนำความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือเป็นเครื่องบริหารคณะ จัดเป็นวินัย ฯ
รูป ๒
๑. มหาภูตรูป คืออะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๗)
ตอบ คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ
เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป อุปาทายรูปที่อิง
อาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทำลายไปด้วย ฯ
๒. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย
อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น ฯ
๓. รูปในขันธ์ ๕ แบ่งเป็น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? จงอธิบายมาสั้น ๆ พอเข้าใจ (๒๕๕๑)
ตอบ ได้แก่มหาภูตรูปและอุปาทายรูป
มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ อันได้แก่ธาตุ ๔ มีดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป คือรูปอาศัย เป็นอาการของมหาภูตรูป เช่น ประสาท ๕ มีจักขุประสาท เป็นต้น
โคจร ๕ มีรูปารมณ์ เป็นต้น ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๗
วิมุตติ ๒
๑. วิมุตติคืออะไร ? วิมุตติ ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ คือ ความหลุดพ้น ฯ
มี ๑. เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจ
๒. ปัญญาวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา ฯ
๒. วิมุตติ คืออะไร ? ตทังควิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ คือ ความทำจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ ฯ
มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว เช่นเกิดเหตุเป็นที่ตั้งแห่งสังเวชขึ้น หายกำหนัดใน
กาม เกิดเมตตาขึ้น หายโกรธ แต่ความกำหนัดและความโกรธนั้นไม่หายทีเดียว ทำในใจถึงอารมณ์
งาม ความกำหนัดกลับเกิดขึ้นอีก ทำในใจถึงวัตถุแห่งอาฆาต ความโกรธกลับเกิดขึ้นอีก อย่างนี้
จัดเป็นตทังควิมุตติ ฯ
๓. เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙)
ตอบ เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จึงบำเพ็ญวิปัสสนาต่อ
ส่วนปัญญาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุด้วยลำพังบำเพ็ญวิปัสสนาล้วน
อีกนัยหนึ่ง เรียกเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากราคะ เรียกปัญญาวิมุตติเพราะพ้นจากอวิชชา ฯ
๔. วิมุตติ ๒ กับ วิมุตติ ๕ จัดเป็นโลกิยะและโลกุตตระอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ วิมุตติ ๒ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว ส่วนวิมุตติ ๕ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ
๕. วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจากราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ
มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจอริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป ไม่กลับเกิดอีก ฯ
๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ติกะ หมวด ๓
อกุศลวิตก ๓
๑. ความตริในฝ่ายชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ เรียกว่า อกุศลวิตก ฯ
มี ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม
๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท
๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ
๒. ความคิดที่เป็นฝ่ายอกุศล มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๔)
ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม
๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท
๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ
๓. อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ กามวิตก ทำใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ
พยาบาทวิตก ทำให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทำร้ายผู้อื่น
วิหิงสาวิตก ย่อมครอบงำจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ
กามวิตก แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน
พยาบาทวิตก แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร
วิหิงสาวิตก แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ
กุศลวิตก ๓
๑. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้ ? (๒๕๕๖)
ตอบ มี ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม
๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท
๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ
สงเคราะห์เข้าในข้อสัมมาสังกัปปะ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๙
อัคคิ ๓
๑. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร ?
(๒๕๕๐)
ตอบ กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ
เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้เกิด
ความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ
อธิปเตยยะ ๓
๑. คำว่า อธิปเตยยะ แปลว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ แปลว่า ความเป็นใหญ่ ฯ
มี ๓ คือ ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่
๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่
๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ
๒. อธิปเตยยะ ๓ มีอะไรบ้าง ? บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา เป็นต้น
จัดเข้าในข้อไหน ? (๒๕๖๒)
ตอบ มี ๓ คือ
๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่
๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่
๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ
จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ
๓. บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหนได้
หรือไม่ ? (๒๕๔๔)
ตอบ จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ
๔. บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยความเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ?
(๒๕๖๔)
ตอบ จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ
๕. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับ ผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทำงาน ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทำด้วยมุ่งให้สมภาวะของตน ผู้ทำมุ่งผลอันจะ
ได้แก่ตน หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน
๑๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะ ทำด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร เห็นว่าถูกก็ทำ หรือทำ
ด้วยอำนาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ
อภิสังขาร ๓
๑. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คำว่า สังขาร
หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ
ได้แก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป
๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา
ทวาร ๓
๑. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง จงอธิบาย (๒๕๕๐)
ตอบ กรรม คือการกระทำ ส่วนทวาร คือทางเกิดของกรรม ฯ
อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร
เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้
แล้วบ่นว่า ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ ฯ
๒. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร
ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ
ญาณ ๓
๑. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในจตุราริยสัจ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัยมีอธิบายอย่างไร ?
(๒๕๔๕)
ตอบ ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละเสีย จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัยที่ควรละ ๆ ได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๑
๒. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
(๒๕๔๖, ๒๕๕๓)
ตอบ มี ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจที่ควรทำให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๓. กิจจญาณ คืออะไร ? เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ฯ
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นธรรมชาติที่ควรละ ทุกขนิโรธ
เป็นธรรมชาติที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด ฯ
๔. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยที่ควรละได้ละแล้ว ทุกขนิโรธที่ควร
ทำให้แจ้งได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ควรเจริญได้เจริญแล้ว ฯ
๕. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัย มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๑)
ตอบ มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละ จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๖. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้ ได้กำหนดรู้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๑๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ปาฏิหาริย์ ๓
๑. ปาฏิหาริย์คืออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงยกย่องปาฏิหาริย์อะไรว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น ?
(๒๕๔๔, ๒๕๖๒)
ตอบ คือ การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ฯ
ทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น ฯ
๒. ปาฏิหาริย์มีอะไรบ้าง ? ทำไมจึงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าอัศจรรย์ ? (๒๕๖๐)
ตอบ มี ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้ใจเป็นอัศจรรย์
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ
เพราะอาจจูงใจผู้ฟังให้เห็นคล้อยตาม ละความชั่วทำความดี ตั้งแต่ขั้นต่ำ คือการถึงสรณะและ
รักษาศีล ตลอดถึงขั้นสูงคือมรรคผลนิพพานได้ ฯ
๓. ปาฏิหาริย์ ๓ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนเป็นอัศจรรย์ที่สุด ? (๒๕๕๑)
ตอบ มี อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ที่สุด ฯ
ปิฎก ๓
๑. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ฯ
พระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องฎกระเบียบข้อบังคับที่นำความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือ
เป็นเรื่องบริหารคณะ
พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกธรรมล้วน ๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคลเป็นที่ตั้ง ฯ
พุทธจริยา ๓
๑. โลกัตถจริยา ที่พระพุทธองค์ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลกนั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ มีอธิบายว่า ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่มหาชนที่นับว่าสัตว์โลกทั่วไป เช่น ทรงแผ่พระญาณ
ตรวจดูสัตว์โลกทุกเช้าค่ำ ผู้ใดปรากฏในข่ายพระญาณ เสด็จไปโปรดผู้นั้น สรุปคือ ทรงสงเคราะห์คน
ทั้งหลายโดยฐานเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๓
๒. พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พุทธัตถจริยา คือทรงประพฤติ
อย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้บริษัททั้งคฤหัสถ์และ
บรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ
๓. พุทธจริยาและพุทธิจริต ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ พุทธจริยา คือพระจริยาของพระพุทธเจ้า พุทธิจริต คือผู้มีความรู้เป็นปกติ ฯ
ภพ ๓
๑. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓
ภูมิ หมายถึงภาวะอันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ
วัฏฏะ ๓
๑. กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๑)
ตอบ เพราะวน คือหมุนเวียนกันไป อธิบายว่า กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อม
ได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
๒. กิเลส กรรม วิบาก ได้ชื่อว่า วัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ เพราะหมุนเวียนกันไป คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับ
วิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสเกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
ด้วยอรหัตตมรรค ฯ
๓. กิเลส กรรม วิบาก ได้ชื่อว่า วัฏฏะ ที่แปลว่าความหมุนเวียน อยากทราบว่าหมุนเวียน อย่างไร ?
(๒๕๖๓)
ตอบ อย่างนี้ คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้ทํากรรม ครั้นทํากรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม
เมื่อได้รับวิบาก กิเลสเกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
๔. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพ เกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัด
ให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ อย่างนี้ คือกิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อ
ได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
๑๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
วิชชา ๓
๑. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิต
พ้นแล้ว จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
วิโมกข์ ๓
๑. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ
มีสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ
วิเวก ๓
๑. วิเวก ๓ คืออะไรบ้าง ? จงอธิบายแต่ละอย่างพอเข้าใจ (๒๕๕๘)
ตอบ คือ กายวิเวก สงัดกาย ได้แก่อยู่ในที่สงัด จิตตวิเวก สงัดจิต ได้แก่ทำจิตให้สงบด้วยสมถภาวนา
อุปธิวิเวก สงัดกิเลส ได้แก่ทำใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสด้วยวิปัสสนาภาวนา ฯ
สังขาร ๓
๑. ในสังขาร ๓ อะไรชื่อว่ากายสังขารและวจีสังขาร ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่ออย่างนั้น ? (๒๕๕๘)
ตอบ ลมอัสสาสะปัสสาสะ ได้ชื่อว่า กายสังขาร เพราะปรนปรือกายให้เป็นอยู่วิตกกับวิจาร ได้ชื่อว่า
วจีสังขาร เพราะตริแล้วตรองแล้วจึงพูด ไม่เช่นนั้นวาจานั้นจักไม่เป็นภาษา ฯ
โสดาบัน ๓
๑. คำว่า “โสดาบัน” แปลว่าอะไร ? พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันนี้ ท่านละกิเลสอะไรได้ขาดบ้าง ? (๒๕๔๖)
ตอบ โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องตรัสรู้ใน
ภายภาคหน้า ฯ
ท่านละสังโยชน์ได้ขาด ๓ อย่าง คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
๒. คำว่า “โสดาบัน” แปลว่าอะไร ? ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๕๙)
ตอบ โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ
ท่านละสังโยชน์ได้เด็ดขาด ๓ อย่าง คือ
๑. สกักายทฏิฐิ
๒. วิจกิจิฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๕
๓. คำว่า พระโสดาบัน และสัตตักขัตตุปรมะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ พระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขั้นแรก
สัตตักขัตตุปรมะ คือพระโสดาบันผู้จะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ฯ
จตุกกะ หมวด ๔
อบาย ๔
๑. อบาย ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ ได้แก่ ภูมิ กำเนิดหรือพวก อันหาความเจริญมิได้ ฯ
มี นิรยะ คือนรก
ติรัจฉานโยนิ คือกำเนิดดิรัจฉาน
ปิตติวิสัย คือภูมิแห่งเปรต
อสุรกาย คือพวกอสุระ ฯ
๒. อาหารของสัตว์นรกและเปรต คืออะไร ? คนจำพวกไหนเปรียบเหมือนอสุรกาย ในอบาย ๔ ? (๒๕๔๕)
ตอบ อาหารของสัตว์นรกคือกรรม ส่วนของเปรตคือกรรมและผลทานที่ญาติมิตรทำบุญอุทิศให้ ฯ
คนลอบทำโจรกรรม หลอกลวงฉกชิงเอาทรัพย์ของผู้อื่น เปรียบเหมือนอสุรกาย ฯ
อปัสเสนธรรม ๔
๑. ในอปัสเสนธรรม ข้อว่า “พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง” คำว่า “ของอย่างหนึ่ง” ในข้อนี้ได้แก่
อะไร ? ผู้พิจารณาตามนั้น ได้ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ ได้แก่ ปัจจัย ๔ บุคคลและธรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดความสบาย ฯ
ได้ประโยชน์อย่างนี้ คือ ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น ทำ
กิเลสและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมไป ฯ
๒. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่ ๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของ อย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
(๒๕๕๕)
ตอบ มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคำ
เสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ
๓. อปัสเสนธรรมข้อว่า “พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง” ของอย่างหนึ่งนั้น คืออะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ คือ อกุศลวิตกอันสัมปยุตด้วยกาม พยาบาท วิหิงสา ฯ
๑๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
อัปปมัญญา ๔
๑. เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวิหาร และในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ มีความหมายว่า ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ฯ
ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ
แผ่โดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จัดเป็นพรหมวิหาร
ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
๒. เมตตา กับ ปรานี มีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ? และอย่างไหน กำจัดวิตกอะไร ?
(๒๕๕๔)
ตอบ เมตตา หมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี
ปรานี หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ
เมตตา กำจัดพยาบาทวิตก
ปรานี กำจัดวิหิงสาวิตก ฯ
๓. การแผ่เมตตาในพรหมวิหารกับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ในพรหมวิหาร เป็นการแผ่เมตตาโดยเจาะจงตัว หรือเจาะจงหมู่คณะ
ส่วนในอัปปมัญญา เป็นการแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงตัวไม่มีจำกัด ฯ
๔. พรหมวิหารกับอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทาโดยตรงของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ?
(๒๕๔๙)
ตอบ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือแผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่ยังจำกัดหมู่นั้นหมู่นี้จัดเป็น
พรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ฯ
พระอริยบุคคล ๔
๑. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระอริยบุคคลประเภทใด ละอวิชชาได้เด็ดขาด ? (๒๕๖๓)
ตอบ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระอรหันต์ละอวิชชาได้เด็ดขาด ฯ
๒. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๗
อริยวงศ์ ๔
๑. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ คือ ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ
มี ๔ อย่าง ฯ
ข้อที่ ๔ ว่า ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ
๒. ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่าดำรงอยู่ในอริยวงศ์ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติอย่างไร ? เมื่อดำรงอยู่ในอริยวงศ์
ถูกต้องดีแล้วจะได้รับผลอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ เพราะเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะตามมีตามได้ และยินดีในการเจริญกุศลและ
ในการละอกุศล ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ฯ
ย่อมได้รับผลคือความสุขใจและปลอดโปร่งใจ เพราะความประพฤติดีปฏิบัติชอบของตน และไม่
ต้องเดือดร้อนใจเพราะความเดือดร้อน เนื่องด้วยการแสวงหาไม่สมควรและประพฤติเสียหายโดย
ประการต่าง ๆ ย่อมครอบงำความยินดีและความไม่ยินดีเสียได้ ความยินดีและความไม่ยินดีก็ไม่อาจ
ครอบงำท่านได้ และใคร ๆ ก็ไม่อาจติเตียนท่านได้ ฯ
๓. ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ เรียกว่า อริยวงศ์ ฯ
มี ๔ คือ ๑. สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด
๒. สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด
๓. สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด
๔. ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศลฯ
อุปาทาน ๔
๑. อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอำนาจมานะ จนเป็นเหตุถือพวก จัดเป็นอุปาทานอะไร
ในอุปาทาน ๔ ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ คือ การถือมั่นข้างเลว ได้แก่ถือรั้น ฯ
จัดเป็นอัตตวาทุปาทาน ฯ
๒. ทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทาน คืออะไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอำนาจหัวดื้อ จนเป็นเหตุเถียงกัน ทะเลาะกัน
สีลัพพตุปาทาน คือถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน ด้วยอำนาจความเชื่อว่าขลัง จน
เป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ
๑๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
โอฆะ ๔
๑. กิเลส ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ชื่อว่าโอฆะ เพราะดุจเป็นกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์
ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ
๒. ทิฏฐิ ความเห็นผิด ท่านเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ เพราะเหตุใด ? (๒๕๖๐)
ตอบ เรียกว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์
เรียกว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
เรียกว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในกระแสจิต ฯ
๓. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์
ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ
๔. กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ ? (๒๕๔๔)
ตอบ เรียกว่า โอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ เรียกว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ใน
ภพ เรียกว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน
อริยสัจ ๔
๑. กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ มี ๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ
๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ
๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ
๔. ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ
๒. กิจในอริยสัจแต่ละอย่างนั้นมีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ มี ๔ คือ
๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ
๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ
๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ
๔. ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๙
ทักขิณาวิสุทธิ ๔
๑. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด ? (๒๕๕๖)
ตอบ ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
ทักขิณาบางอย่าง ไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
อย่างที่ ๔ คือทักขิณาที่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
๒. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ ของทำบุญ ฯ
มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าบริสุทธิ์ และมี
ความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าไม่บริสุทธิ์ ฯ
๓. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในฝ่ายทายก และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น มี
อะไรเป็นเครื่องหมาย ? (๒๕๕๔)
ตอบ คือ ของทำบุญ ฯ
ทักขิณาจะบริสุทธิ์ มีศีลมีกัลยาณธรรมเป็นเครื่องหมาย
ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ มีทุศีลมีบาปธรรมเป็นเครื่องหมาย ฯ
๔. คำว่า ทักขิณา ในทักขิณาวิสุทธินั้น หมายถึงอะไร ? ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์และบริสุทธิ์ กำหนดรู้ได้
อย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ หมายถึงของทำบุญ ฯ
กำหนดรู้ได้อย่างนี้ ทั้งทายก ทั้งปฏิคาหกเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ทักขิณานั้น ชื่อว่าไม่บริสุทธิ์ทั้งสอง
ฝ่าย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว ทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฯ
โยนิ ๔
๑. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดา และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ กำเนิด ฯ
มีชลาพุชะ เกิดในครรภ์, อัณฑชะ เกิดในไข่, สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล, โอปปาติกะ เกิดผุด
ขึ้น ฯ
จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ
๒๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ปัญจกะ หมวด ๕
มัจฉริยะ ๕
๑. ธรรมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ มีอธิบายว่า ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไม่ปรารถนาจะแสดงจะบอกแก่คนอื่น เกรงว่าเขา
จะรู้เทียมตน ฯ
๒. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่ตระกูล คืออย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ คือ หวงแหนตระกูลไม่ยอมให้ตระกูลอื่นมาเกี่ยวดองด้วย ถ้าเป็นบรรพชิตก็หวงอุปัฏฐาก ไม่
พอใจให้ไปบำรุงภิกษุอื่น ฯ
๓. ครูสอนศิษย์ ปิดบังอำพรางความรู้ ไม่บอกให้สิ้นเชิง จัดเข้าในมัจฉริยะข้อไหน ? (๒๕๔๕)
ตอบ ธัมมมัจฉริยะ ฯ
มาร ๕
๑. มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ สิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้
เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
หมายถึงอกุศลกรรม ฯ
๒. มาร มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ มีดังนี้
๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ฯ
อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมาร ฯ
๓. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๓)
ตอบ คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร ฯ
เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทําความลําบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๒๑
๔. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ ปัญจขันธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และเทวบุตร ฯ
ได้ชื่อว่ามาร เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสแล้ว กิเลสย่อมผูกรัดไว้บ้าง ย่อมทำให้เสียคน
บ้าง ฯ
๕. ปัญจขันธ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นมาร มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ มีอธิบายว่า ปัญจขันธ์นั้น บางทีทำความลำบาก บางทีทำให้เกิดความเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัว
ตายก็มี ฯ
๖. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่ามาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
๗. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่ามาร เพราะเหตุไร ? กิเลสมารและมัจจุมาร จัดเข้าในอริยสัจข้อใดได้หรือไม่ ?
เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
ได้ ฯ
กิเลสมาร จัดเข้าในทุกขสมุทัยสัจ เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
มัจจุมาร จัดเข้าในทุกขสัจ เพราะเป็นตัวทุกข์ ฯ
๘. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๙)
ตอบ ได้แก่ความตาย ฯ
ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะทำประโยชน์ใด ๆ อีก
ต่อไป ฯ
๙. กรรมฝ่ายอกุศลจัดเป็นมารอะไรในมาร ๕ ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่อว่ามาร ? (๒๕๔๔)
ตอบ จัดเป็นอภิสังขารมาร ฯ
ที่ได้ชื่อว่ามารเพราะทำให้เป็นผู้ทุรพล ฯ
๑๐. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คำว่า มาร หมายถึงอะไร ? กิเลสได้ชื่อว่ามาร
เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิด
กั้น ไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทำให้เสียคนบ้าง ฯ
๒๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
วิญญาณ ๕
๑. วิญญาณกับสัญญา ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ ทำหน้าที่ต่างกันอย่างนี้ คือวิญญาณทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายในและ
อายตนะภายนอกมากระทบกัน เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการเห็นขึ้นเป็นต้น
ส่วนสัญญา ทำหน้าที่จำได้หมายรู้เท่านั้น คือหมายรู้ไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ
ธรรมารมณ์ ว่าเขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบา เป็นต้น ฯ
๒. ชิวหาวิญญาณและกายวิญญาณ เกิดขึ้นได้เพราะอาศัยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยลิ้นกับรส (กระทบกัน) และกายวิญญาณเกิดขึ้น เพราะ
อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ (กระทบกัน) ฯ
วิมุตติ ๕
๑. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ? (๒๕๔๘, ๒๕๖๐)
ตอบ ตทังควิมุตติและวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยะ
ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตระ ฯ
๒. วิมุตติ ๒ กับ วิมุตติ ๕ จัดเป็นโลกิยะและโลกุตตระอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ วิมุตติ ๒ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว ส่วนวิมุตติ ๕ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ
เวทนา ๕
๑. ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย กับความรู้สึกเฉย ๆ ทางใจ จัดเข้าในเวทนา ๕ อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย จัดเป็นสุข
ความรู้สึกเฉย ๆ ทางใจ จัดเป็นอุเบกขา ฯ
๒. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ เวทนา ๓ ได้แก่สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์
ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ
ในเวทนา ๓ สุข คือสุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์ใจก็คือ
โทมนัส ส่วนในเวทนา ๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๒๓
สังวร ๕
๑. สังวรคืออะไร ? สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔)
ตอบ คือ การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ
มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรมเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูป
เป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนหลงลืม ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่
ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ
สุทธาวาส ๕
๑. สุทธาวาสมีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ? เป็นที่เกิดของใคร ? (๒๕๔๔)
ตอบ มี ๕ ชั้น ฯ
คือ ๑. อวิหา ๒. อตัปปา ๓. สุทัสสา ๔. สุทัสสี ๕. อกนิฏฐา ฯ
เป็นที่เกิดของพระอนาคามี ฯ
ฉักกะ หมวด ๖
อภิฐาน ๖
๑. อัญญสัตถุทเทสคืออะไร ? หมายถึงผู้ประพฤติเช่นไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ คือ ถือศาสดาอื่น ฯ
หมายถึงภิกษุผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ คือหันเหไปนับถือศาสนาอื่นทั้งที่ยังถือเพศบรรพชิตอยู่ ต้อง
ห้ามมิให้อุปสมบทอีก ฯ
๒. อัญญสัตถุทเทสต่างจากสังฆเภทอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ ต่างกัน คืออัญญสัตถุทเทสนั้น ละทิ้งศาสนาเดิมของตน เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น แต่ไม่
ทำลายพวกเดิมของตน ส่วนสังฆเภทนั้น ยังอยู่ในศาสนาเดิมของตน แต่ทำลายพวกตนเองให้แตกแยก
เป็นพรรคเป็นพวก ฯ
จริต ๖
๑. จริต คืออะไร ? คนมีปกติเชื่อง่ายเป็นจริตอะไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ คือ พื้นเพอัธยาศัยของบุคคลที่แสดงออกมาตามปกติเป็นประจำ ฯ
เป็นสัทธาจริต ฯ
๒๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๒. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ได้แก่
๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต
๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต ฯ
พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ
๓. คนมีปกติรักสวยรักงาม จัดเป็นจริตอะไร ? จะพึ่งแก้ได้ด้วยการพิจารณากรรมฐานข้อใดได้บ้าง ?
(๒๕๖๓)
ตอบ จัดเป็นราคจริต ฯ
จะพึ่งแก้ได้ด้วยการพิจารณากายคตาสติ หรืออสุภกรรมฐาน ๆ
๔. บุคคลผู้มีปกติต่อไปนี้ จัดเข้าในจริตอะไร ? จะพึงแก้ด้วยธรรมข้อใด ? (๒๕๔๖)
ก. ผู้มีปกติรักสวยรักงาม ข. ผู้มีปกตินึกพล่าน
ตอบ ก. จัดเข้าในราคจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเจริญกายคตาสติ หรืออสุภกัมมัฏฐาน ฯ
ข. จัดเข้าในวิตักกจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ ฯ
ธรรมคุณ ๖
๑. พระธรรมคุณบทว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ดี
แล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดี เพราะ
ตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด มีทั้ง
อรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และเพราะประกาศพรหมจรรย์อย่างนั้น ส่วนในปฏิเวธนั้น ได้
ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
๒. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดีเพราะตรัส
ไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด พร้อมทั้ง
อรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพาน
ย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๒๕
๓. ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” พระธรรมนั้น หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ หมายถึงปริยัติธรรมกับปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดาร ได้แก่สัทธรรม ๑๐ คือโลกุตรธรรม ๙
กับปริยัติธรรม ๑) ฯ
๔. คำว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” หมายถึงอะไร ?
(๒๕๕๖)
ตอบ หมายถึงปริยัติธรรมกับปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่ สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙
กับปริยัติธรรม ๑) ฯ
๕. พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคำว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้” ? พระธรรมคุณบทนั้น มีอธิบายว่า
อย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ
มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ได้ทุกเวลา และสามารถ
นำไปประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขได้ ฯ
ปิยรูป สาตรูป หมวดละหก ๑๐ หมวด
๑. อายตนะภายใน อายตนะภายนอกเป็นต้น ได้ชื่อว่า ปิยรูป สาตรูป เพราะเหตุไร ? โดยตรงเป็นที่
เกิดเป็นที่ดับแห่งกิเลสอะไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ เพราะเป็นสภาวะที่รักที่ชื่นใจ ด้วยเพ่งอิฏฐารมณ์เป็นที่ตั้ง ฯ
เป็นที่เกิด เป็นที่ดับแห่งตัณหา ฯ
สวรรค์ ๖ ชั้น
๑. สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒)
ตอบ มี ๖ ชั้น ฯ
ได้แก่ ๑. ชั้นจาตุมหาราชิก
๒. ชั้นดาวดึงส์
๓. ชั้นยามา
๔. ชั้นดุสิต
๕. ชั้นนิมมานรดี
๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ
๒๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
สัตตกะ หมวด ๗
อนุสัย ๗
๑. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓)
ตอบ หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ
เพราะกิเลสชนิดนี้ บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้นในทันใด ฯ
๒. อะไรเรียกว่า อนุสัย ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่อเช่นนั้น ? (๒๕๔๔)
ตอบ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เรียกว่าอนุสัย ฯ
เพราะกิเลสทั้ง ๗ อย่างล้วนเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน บางทีไม่แสดง
อาการที่แท้จริงออกมาให้ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งมายั่วยวน ก็แสดงออกมา
ให้ปรากฏและทำจิตให้ขุ่นมัว เมื่อไม่มีอารมณ์มายั่วยวน ก็นอนสงบนิ่งอยู่ประหนึ่งว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลส
เป็นอยู่เช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าอนุสัย ฯ
๓. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ กิเลสทีได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ มักไม่
ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น
กิเลสทีได้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ
๔. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ
ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
เมถุนสังโยค ๗
๑. การจ้องตาต่อตากับหญิงสาวแล้วชื่นใจ จัดเป็นเมถุนสังโยคได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ ได้ ฯ
เพราะอาการเช่นนั้นอิงอาศัยกาม ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๒๗
วิญญาณฐิติ ๗
๑. วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๑)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ
ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส ฯ
วิสุทธิ ๗
๑. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ? (๒๕๕๕)
ตอบ สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ พอเป็นรากฐาน
แห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ
อัฏฐกะ หมวด ๘
อริยบุคคล ๘
๑. อริยบุคคล ๘ ได้แก่ใครบ้าง ? จัดเข้าในพระเสขะและพระอเสขะได้อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ ได้แก่ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ๑ ฯ
จัดเข้าได้อย่างนี้ อริยบุคคล ๗ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ อริยบุคคล ๑ ประเภทหลัง
เรียกว่า พระอเสขะ ฯ
อวิชชา ๘
๑. ในอวิชชา ๘ ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ มีอธิบายว่า ไม่รู้จักคิดล่วงหน้า ไม่อาจปรารภการที่ทำ หรือเหตุอันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่าจักมีผล
เป็นอย่างนั้น ๆ ฯ
๒๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
นวกะ หมวด ๙
อนุปุพพวิหาร ๙
๑. สัญญาเวทยิตนิโรธ กับ นิโรธสมาบัติ ต่างกันหรือเหมือนกัน ? (๒๕๔๕)
ตอบ ต่างกันโดยพยัญชนะ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน คือท่านผู้เข้าถึงสมาบัติชนิดนี้แล้วย่อมไม่มี
สัญญาและเวทนา ฯ
พุทธคุณ ๙
๑. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ? (๒๕๕๓)
ตอบ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ,
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ
๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
๒. พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ ที่แปลว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักรนั้น กำแห่งสังสารจักร ได้แก่อะไร ?
(๒๕๔๕, ๒๕๖๐)
ตอบ ได้แก่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ฯ
๓. พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ แปลว่าอย่างไรได้บ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๒)
ตอบ แปลว่า เป็นผู้เว้นไกลจากกิเลสและบาปธรรม
เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร
เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา
เป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือของเขา
เป็นผู้ไม่มีข้อลับ ไม่ได้ทำความเสียหายอันจะพึงซ่อนเพื่อมิให้คนอื่นรู้ ฯ
๔. พระพุทธคุณว่า อรหํ ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคำอะไรมาประกอบ
ร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบท ของพระศาสดาหรือของพระสาวก ? (๒๕๕๔)
ตอบ ได้ ฯ
สำหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง สำหรับ
พระสาวกใช้ว่า อรหํ ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๒๙
๕. พระพุทธคุณบทว่า อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไรบ้าง ? เลือกตอบมา ๒ อย่าง (๒๕๕๙,
๒๕๖๔)
ตอบ มีความหมายได้ ๔ อย่าง คือ
๑. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม กล่าวคือเป็นผู้บริสุทธิ์
๒. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้หักกำสังสารจักร คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ได้
๓. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา หรือเป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือ
๔. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไม่มีความลับ คือมิได้ทำความเสียหายอันใดทีจะพึงซ่อนเร้น ฯ
๖. พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร ถามว่ากำได้แก่อะไร ? สังสารจักรได้แก่อะไร ?
(๒๕๕๒)
ตอบ กำ ได้แก่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ฯ
สังสารจักร ได้แก่วัฏฏะ ๓ คือกิเลส กรรม วิบาก ฯ
๗. พระพุทธคุณบทว่า “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า” คำว่า
“บุรุษที่ควรฝึกได้” นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา แม้ฟังด้วยตั้งใจจะ
จับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ
๘. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง (๒๕๕๖)
ตอบ พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ
พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
พุทธคุณ ๙ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน, พุทฺโธ, ภควา ฯ
๙. พระพุทธคุณต่อไปนี้มีคำแปลว่าอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ก. สุคโต ข. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ
ตอบ ก. เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
ข. เป็นสารถีแห่งบุรุษพึงฝึกได้ ไม่มีบุรุษอื่นยิ่งไปกว่า ฯ
๓๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
มานะ ๙
๑. มานะ คืออะไร ? ว่าโดยย่อ ๓ อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือ ความสำคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ฯ
ได้แก่ ๑. สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
๒. สำคัญตัวว่าเสมอเขา
๓. สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ฯ
สังฆคุณ ๙
๑. พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ? คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง”
คือปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๔๖, ๒๕๖๐)
ตอบ หมายถึงพระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้น ฯ
คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน
ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่งอน ฯ
๒. คำว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจำแนกมาดู (๒๕๕๔, ๒๕๖๒)
ตอบ ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน มรรคผลทั้งสิ้น คือ
พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑
พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑
พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ
๓. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม
๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร
๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคำนับ
๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ
๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทำบุญ
๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทำอัญชลี (ประณมมือไหว้)
๙. อนุตฺตร ปุญฺญกฺเขตฺต โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ
ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง
ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๓๑
๔. พระสงฆ์ปฏิบัติอย่างไร จึงได้ชื่อว่า อุชุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง ? (๒๕๖๓)
ตอบ คือ ไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ๆ ต่อพระศาสดา และเพื่อนสาวกด้วยกัน
ไม่อําพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ
๕. คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ ไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรงต่อพระศาสดา และเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่
อำพรางความในใจ ฯ
๖. พระสงฆ์ดีอย่างไร จึงจัดว่าเป็นนาบุญของโลก ? (๒๕๔๔)
ตอบ พระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์ ทักขิณาที่บริจาคแก่ท่าน ย่อมมีผลานิสงส์ดุจนาที่มีดินดีและไถดี พืชที่
หว่านที่ปลูกลงย่อมเผล็ดผลไพบูลย์ จึงชื่อว่านาบุญของโลก ฯ
ทสกะ หมวด ๑๐
บารมี ๑๐
๑. บารมี คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ คือ คุณสมบัติหรือปฏิปทาอันยวดยิ่ง ฯ
มี ๑๐ อย่าง ฯ
คือ ทาน ๑ ศีล ๑ เนกขัมมะ ๑ ปัญญา ๑ วิริยะ ๑ ขันติ ๑ สัจจะ ๑ อธิษฐาน ๑ เมตตา ๑
อุเบกขา ๑ ฯ
๒. บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๔)
ตอบ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อ
บรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ
คือ ความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอนและดำเนิน
ตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ
๓. ผู้บริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี ? (๒๕๕๗)
ตอบ บริจาคพัสดุภายนอก จัดเป็นทานบารมี
บริจาคอวัยวะ จัดเป็นทานอุปบารมี
บริจาคชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี ฯ
๓๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
มิจฉัตตะ ๑๐
๑. มิจฉัตตะ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ
มี ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ
๕. มิจฉาอาชีวะ ๖. มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ
๙. มิจฉาญาณะ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ ฯ
มิจฉาวายามะ ได้แก่ พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ และในทางยังกุศล
ธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไป ฯ
เอกาทสกะ หมวด ๑๑
ปัจจยาการ ๑๑
๑. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คำว่า สังขาร
หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ
ได้แก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป
๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา ฯ
ทวาทสกะ หมวด ๑๒
กรรม ๑๒
๑. กรรมหมายถึงการกระทำเช่นไร ? ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมและอุปปัชชเวทนียกรรม คือกรรมเช่นไร ?
(๒๕๔๔)
ตอบ หมายถึงการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่มีเจตนาจงใจทำ เป็นได้ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่วหรือเป็น
กลาง ๆ ฯ
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือกรรมให้ผลในภพปัจจุบัน
อุปปัชชเวทนียกรรม คือกรรมให้ผลในภพที่จะเกิดถัดไป ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๓๓
๒. กรรมที่บุคคลทำไว้ ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ทำหน้าที่ คือ
๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม
๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม
๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม
๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ
๓. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐)
ตอบ อุปัตถัมภกกรรม ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ
๔. ในกรรม ๑๒ กรรมที่ให้ผลตามลำดับ ได้แก่กรรมอะไรบ้าง ? อุปฆาตกกรรม มีอธิบายอย่างไร ?
(๒๕๔๕)
ตอบ ได้แก่ ๑. ครุกรรม กรรมหนัก
๒. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมชิน
๓. อาสันนกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน
๔. กตัตตากรรม กรรมสักว่าทำ ฯ
อุปฆาตกกรรมเป็นกรรมที่แรง ซึ่งตรงกันข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการ
ให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูงมั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น ฯ
๕. อุปฆาตกกรรม คือกรรมตัดรอน ทำหน้าที่อะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ทำหน้าที่ตัดรอนผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมให้ขาดแล้ว เข้าให้ผล แทนที่ (ชนกกรรม
และอุปัตถัมภกกรรมนั้น) ฯ
ขบด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา) ฯ
๖. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๔๖, ๒๕๕๙)
๑. อโหสิกรรม ๒. กตัตตากรรม
ตอบ อโหสิกรรม คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้น
ยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น
กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ
๓๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๗. คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ก. ชนกกรรม ข. อุปัตถัมภกกรรม
ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม ง. อุปปัชชเวทนียกรรม
จ. กตัตตากรรม
ตอบ ก. กรรมแต่งให้เกิด ข. กรรมสนับสนุน
ค. กรรมให้ผลในภพนี้ ง. กรรมให้ผลในภพหน้า
จ. กรรมสักว่าทำ คือกรรมที่ทำด้วยไม่จงใจ ฯ
๘. ครุกรรม คืออะไร ? ในฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศลได้แก่อะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ คือ กรรมหนัก ฯ
ครุกรรมในฝ่ายอกุศล ได้แก่อนันตริยกรรม ๕
ครุกรรมในฝ่ายกุศล ได้แก่สมาบัติ ๘ ประการ ฯ
๙. พุทธภาษิตว่า ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่ปรากฏว่าผู้ทำกรรมชั่วยัง
ได้รับสุขก็มี ผู้ทำกรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด ? (๒๕๔๘)
ตอบ เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า หรือในภพต่อ ๆ ไปผู้ทำกรรมชั่ว
ได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขาทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ แต่กรรม
ชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทำกรรมดี ที่ไม่ได้รับ
สุขในขณะนั้น เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลำบากอยู่ ในขณะนั้น
แต่กรรมดีที่ทำไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงาตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผล
ทันที ฯ
เตรสกะ หมวด ๑๓
ธุดงค์ ๑๓
๑. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ คือ วัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
มี ๔ หมวด ฯ
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร
หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ
หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๓๕
๒. ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อ
ความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อยารักษาโรค ฯ
๓. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฉันเอกา” จัดเข้า
ในธุดงค์ข้อไหน ? (๒๕๕๒)
ตอบ ได้แก่วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
จัดเข้าในข้อเอกาสนิกังคะ คือถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ
๔. คำว่า “วัตร” ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ? ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่างเคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
(๒๕๔๘)
ตอบ หมายถึง ข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบาย
ขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก ย่อมใช้
อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ
๕. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง ท่านให้ถือปฏิบัติ
อย่างไร ? (๒๕๖๓)
ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
อย่างเคร่ง เมื่อเลิกบิณฑบาตนั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีก ก็ไม่รับ ฯ
๖. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกำหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะ
เหตุใด ? (๒๕๕๓)
ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อรุกขมูลิกังคะ และอัพโภกาสิกังคะ ฯ
ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่
อยู่อาศัยประจำตามพระวินัยนิยม ฯ
๗. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์ คือการถือปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
คือ การถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือบริเวณป่าและจะต้อง
ห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ
๓๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๘. ในธุดงค์ ๑๓ นั้น ธุดงค์ที่ถือได้เฉพาะกาลมีอะไรบ้าง ? การถือธุดงค์ ย่อมสำเร็จด้วยอาการอย่างไร ?
(๒๕๔๕)
ตอบ รุกขมูลิกังคะ ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร
อัพโภกาสิกังคะ ถืออยู่ในที่แจ้งๆ เป็นวัตร ฯ
สำเร็จด้วยการสมาทาน คือด้วยอธิษฐานใจหรือแม้ด้วยเปล่งวาจา ฯ
๙. ปังสุกูลิกังคะ องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คืออย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ คือ ไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาและใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรใช้เอง ฯ
๑๐. อัตตกิลมถานุโยค กับ การบำเพ็ญธุดงควัตร ต่างกันอย่างไร ? เตจีวริกังคธุดงค์ หมายความว่าอย่างไร ?
(๒๕๔๗)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนให้ลำบากเพื่อให้บาปกรรมหมดไป เพราะการ
ทรมานนั้น หรือเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งเมื่อทราบแล้วจะทรงโปรดให้ประสบผลที่น่าปรารถนา
ส่วนการบำเพ็ญธุดงควัตร บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมัก
น้อยสันโดษ ฯ
เตจีวริกังคธุดงค์ หมายถึงธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเตจีวริกังคะ ย่อมไม่ใช้จีวรผืนที่ ๔ นุ่งห่มเฉพาะ
ไตรจีวรอันเป็นผ้าอธิษฐาน ฯ
ปัณณรสกะ หมวด ๑๕
จรณะ ๑๕
๑. สัทธรรมในจรณะ ๑๕ คืออะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ คือ สัทธา ความเชื่อ
หิริ ความละอายแก่ใจ
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผิด
พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ฟังมาก
วิริยะ ความเพียร
สติ ความระลึกได้
ปัญญา ความรอบรู้ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๓๗
๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ฟังมาก หมายถึงฟังอะไร ? ประกอบด้วยองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ หมายถึง ฟังธรรมซึ่งไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกอบด้วย
อรรถ ด้วยพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ฯ
ประกอบด้วยองค์ ๕ ฯ
คือ ๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก
๒. ธตา ทรงจำได้
๓. วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา
๔. มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ
๕. ทิฏฺ ิิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ
๓. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๗)
ตอบ ประกอบด้วย
๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก
๒. ธตา ทรงจำได้
๓. วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา
๔. มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ
๕. ทิฏฺ ิิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ
๓๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
วิชาอนุพุทธประวัติ
๑. ประวัติอนุพุทธบุคคลมีความสำคัญต่อผู้ศึกษาอย่างไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๙)
ตอบ ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ในจริยาวัตร และคุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญมา ตลอดจนถึงผลงานใน
การช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาอันทำให้เจริญสืบมาถึงทุกวันนี้ นำให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือ
เป็นทิฏฐานุคติอันดี สามารถน้อมนำมาปฏิบัติตามได้ ฯ
๒. การศึกษาอนุพุทธประวัติมีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ ทำให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือ กำหนดและจดจำวัตรปฏิบัติอันงดงามของท่านมาเป็น
ปฏิปทาเครื่องดำเนินชีวิตของตน และเมื่อความดีของพระสาวกปรากฏแล้วจะเชิดชูเกียรติคุณของพระ
ศาสดาให้ยิ่งขึ้น ฯ
๓. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๑, ๒๕๖๔)
ตอบ คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
อนุพุทธบุคคลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ ๓ เป็นพยานยืนยันความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็น
กำลังใหญ่ของพระพุทธเจ้า ในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อ
ประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ
๔. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสำคัญต่อพระศาสดาอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
มีความสำคัญอย่างนี้ แม้พระศาสดาได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม แต่เมื่อขาดผู้รู้ธรรมและรับ
ปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ฯ
๕. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? เป็นได้เฉพาะบรรพชิตหรือเฉพาะคฤหัสถ์ ? (๒๕๔๗, ๒๕๖๒)
ตอบ คือ สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสรู้มรรคผลตามพระพุทธเจ้า ฯ
เป็นได้ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ฯ
๖. พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๓)
ตอบ มี ๓ ประเภท ฯ
คือ ๑. พระสัมมาสัมพุทธะ
๒. พระปัจเจกพุทธะ
๓. พระอนุพุทธะ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๓๙
๗. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? การเรียนอนุพุทธประวัติสำเร็จ
ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย
ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
อนุพุทธะ ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และสามารถสอนผู้อื่นให้กระทำตาม
ด้วย ฯ
เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ จนเป็น
เหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคงแล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านโดย
ควรแก่ฐานะของตน ทั้งให้สำเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย ฯ
๘. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ มีความสำคัญ คือพระสาวกสงฆ์จัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะและรับปฏิบัติธรรม ความ
ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จประโยชน์ และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกำลังใหญ่ของพระศาสนา ใน
อันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ
๙. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตาม
ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สอนผู้อื่นให้รู้ตาม
อนุพุทธะ ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และสามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ฯ
๑๐. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละบริษัท
นั้นคือใคร ? (๒๕๕๓)
ตอบ มีลำดับอย่างนี้ คือภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษุณี ฯ
พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัท
บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษัท
มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสิกาบริษัท
พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
๔๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ประวัติพระอรหันต์ ๖๐ องค์
ประวัติพระปัญจวัคคีย์
๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่านหนักไปทางไหน ในตำราทาย
ลักษณะ หรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ? ขอฟังเหตุผล (๒๕๔๙)
ตอบ เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตำราแน่ใจ จึงบวชตามและ
เฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวังนี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า เลิก
เสียเป็นอันไม่สำเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สำเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการที่คัดค้านและพูด
ถ้อยคำที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน ? เรียนจบอะไร ? ทำไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ ?
(๒๕๕๐)
ตอบ ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ
เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ
เรียนจบไตรเพทและรู้ตำราทำนายลักษณะ ฯ
เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺ าสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งเมื่อท่าน
โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ
๓. โกณทัญญพราหมณ์ มีเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามพระมหาบุรุษ ? (๒๕๖๓)
ตอบ เพราะเคยเข้าร่วมทํานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษโดยเชื่อมั่นว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
แน่นอน จึงออกบวชตามด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วจักทรงเทศนาโปรดตนให้รู้ตาม ฯ
๔. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา
? (๒๕๕๓)
ตอบ เพราะได้เคยเข้าร่วมทำนายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ โดยเชื่อมั่นว่าจะตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้า จึงตามอุปัฏฐากด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนาโปรด ฯ
๕. ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนหลังกันอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก ต่อมาท่านวัปปะและท่านภัททิยะจึงได้ และ
ต่อมาท่านมหานามะและท่านอัสสชิจึงได้ตามลำดับ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๔๑
๖. พระอนุพุทธองค์แรก คือใคร ? ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ
เพราะฟังธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ
๗. อนุพุทธองค์แรกสำเร็จเป็นพระภิกษุด้วยพระพุทธดำรัสว่าอย่างไร ? อนุพุทธองค์นั้นได้เป็นพระโสดาบัน
และได้เป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาอะไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ ด้วยพระพุทธดำรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ
พรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” ฯ
ได้เป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และได้เป็นพระอรหันต์ เพราะได้
ฟังอนัตตลักขณสูตร ฯ
๘. พระวาจาว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุด
ทุกข์โดยชอบเถิด ดังนี้ คำว่า ที่สุดทุกข์ คืออะไร ? ผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ก่อนกว่าผู้อื่นคือใคร ? ด้วย
พระธรรมเทศนาอะไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ คือ พระอรหัตผล ฯ
คือ พระภิกษุปัญจวัคคีย์ ฯ
ด้วยพระธรรมเทศนาชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร ฯ
๙. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่ปัญจวัคคีย์และพระยสะ ต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ต่างกัน คือที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” ส่วนที่ประทานแก่
พระยสะไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
๑๐. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะและพระยสะ ต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ?
(๒๕๖๔)
ตอบ ต่างกัน คือ ที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะมีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ
ส่วนที่ประทานแก่พระยสะไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
เพราะพระโกณฑัญญะยังไม่ถึงที่สุดทุกข์ ส่วนพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
๑๑. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะและพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ?
เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จง
ประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
๔๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดำรัสต่อท้ายว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะ
ท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์
ส่วนพระยสะ ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ฯ
๑๒. พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนา โดยมีมูลเหตุความเป็นมา
ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ที่ท่านกล่าวว่าเป็น
พระโสดาบัน มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้วจึงขอบวช
พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้ หลงถือตนว่าเป็นผู้วิเศษ แต่
หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึงลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช ฯ
๑๓. พระอัญญาโกณฑัญญะสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้วกี่วัน ? สำเร็จเพราะฟัง
พระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ ๕ วัน ฯ
ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ
๑๔. พระปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? พระธรรมเทศนานั้นโดย
ย่อว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ
ว่าด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
๑๕. อนุพุทธองค์แรก คือใคร ? สำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ
ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ
๑๖. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็นปฐม
สาวก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน และได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น ฯ
๑๗. ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคำตำหนิว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะบวชนาน ?
(๒๕๕๔)
ตอบ ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัดอาจทำให้สำเร็จด้วย
ตนเอง หรือบอกเล่าแนะนำผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๔๓
๑๘. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสำคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้น ชื่ออะไรและเป็นผู้เลิศ
ในทางใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณมันตานีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก ฯ
พระอัสสชิ ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ฯ
๑๙. คำที่มีอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรต่อไปนี้ ได้แก่อะไร ? (๒๕๔๘)
ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง ข. มัชฌิมาปฏิปทา
ตอบ ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง คือ
๑. กามสุขัลลิกานุโยค ความหมกมุ่นอยู่ในกาม
๒. อัตตกิลมถานุโยค ความทำตนให้ลำบาก
ข. มัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่ข้อปฏิบัติสายกลาง คือมรรคมีองค์ ๘ ฯ
๒๐. อนัตตลักขณสูตรและอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑)
ตอบ อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น
อนัตตา ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์
อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ
ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ
๒๑. พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ มีใจความย่อว่า “พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และ
ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้” ฯ
๒๒. ความเป็นผู้สำรวมกิริยาอาการให้เรียบร้อยดีงามสมความเป็นสมณะ เป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้
ทางหนึ่ง ในข้อนี้มีปฏิปทาของพระสาวกองค์ใดเป็นตัวอย่าง ? จงเล่าประวัติโดยสังเขปมาประกอบ
(๒๕๔๘)
ตอบ พระอรหันตสาวกทุกรูปล้วนเป็นผู้สำรวมกิริยาอาการเรียบร้อยดีงามทั้งสิ้น แต่ที่ได้รับยกย่องเป็น
พิเศษคือพระอัสสชิเถระ ท่านมีกิริยาอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นเหตุให้อุปติสสะปริพาชกเห็นแล้วเกิด
ศรัทธาเข้าไปหา ขอฟังธรรมจนได้บรรลุโสดาปัตติผล ภายหลังยังชักชวนสหายของตนเข้ามาบวชใน
พระธรรมวินัย ได้เป็นกำลังสำคัญช่วยพระศาสดาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองกว้างขวางและ
มั่นคงอย่างรวดเร็ว ฯ
๒๓. มารยาทดีมีความสำรวมย่อมเป็นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น นี่
เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ (๒๕๕๓)
ตอบ ของพระอัสสชิเถระ ฯ
๔๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ท่านเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นกำลัง
ในการประกาศพระศาสนา อุปติสสปริพาชกพบเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอฟังธรรมจากท่านแล้วได้
เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ฯ
ประวัติพระยสะและสหายพระยสะ ๕๔ องค์
๑. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส เนื่องจากได้เห็นอาการของพวกชนบริวารอันวิปริต
ไปโดยอาการต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธ
องค์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ
๒. “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึงอุทานอย่างนั้น ? (๒๕๕๘,
๒๕๖๔)
ตอบ ของยสกุลบุตร ฯ
เพราะเห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า เกิดความ
สลดใจ คิดเบื่อหน่าย ฯ
๓. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก ? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร ? (๒๕๕๔,
๒๕๖๓)
ตอบ แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ
กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรค์คือ
กามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม และ
พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ
๔. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ ที่ไหน ? (๒๕๕๓)
ตอบ ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ
๕. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ณ ที่ไหน ? ธรรมนั้นมีชื่อว่าอะไร ? (๒๕๖๒)
ตอบ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ
อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๔๕
๖. อนุปุพพีกถา คืออะไร ? ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๔๖, ๒๕๖๐)
ตอบ คือ ถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ ฯ
ด้วยพระพุทธประสงค์จะฟอกจิตกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระธรรม
เทศนาให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ
๗. พระสาวกผู้ได้ฟังอนุปุพพีกถา ครั้งแรกคือใคร ? ณ ที่ไหน ? (๒๕๔๖)
ตอบ คือ ยสกุลบุตร ฯ
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
๘. พระสาวกผู้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องเดียวซ้ำ ๒ ครั้ง คือใคร ? ธรรมเทศนา
เรื่องอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือ พระยสะ ฯ
เรื่องอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
๙. เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นำกลับไป ตาม
ความประสงค์เดิม ? (๒๕๕๐)
ตอบ เพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือนอีกต่อไป
ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ
๑๐. พระพุทธเจ้าทรงทำอิทธาภิสังขารแก่ใครเป็นครั้งแรก ? ทรงทำเช่นนั้นด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ?
(๒๕๔๗)
ตอบ ทรงทำแก่ยสกุลบุตรและบิดาของยสกุลบุตรเป็นครั้งแรก ฯ
ด้วยพระพุทธประสงค์เพื่อให้ยสกุลบุตร พิจารณาภูมิธรรมอันตนได้เห็นแล้ว จนถึงได้บรรลุพระ-
อรหัต และให้บิดาได้ฟังธรรมแล้วบรรลุพระโสดาปัตติผล ฯ
๑๑. อุบาสกผู้ประกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือตปุสสะและภัลลิกะ
ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือบิดาของยสะ ฯ
๑๒. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะ และพระยสะต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ?
(๒๕๕๙)
ตอบ ต่างกัน คือที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะมีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนทีประทานแก่
พระยสะไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
๔๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๑๓. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ และพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ?
เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จง
ประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดำรัสต่อท้ายว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะ
ท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์
ส่วนพระยสะ ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ฯ
๑๔. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ? (๒๕๕๖)
ตอบ บวชเพราะเบื่อหน่าย คือพระยสะ พระมหากัสสปะ
บวชเพราะเพื่อน คือพระภัททิยศากยะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ และ
เพื่อน ชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ (ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้ และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้)
๑๕. เมื่อครั้งที่พระอรหันต์ ๖๑ องค์ เกิดขึ้นในโลก มีใครบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ มีพระพุทธองค์ ๑ พระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะ ๑ สหายของพระยสะที่ปรากฏนาม ๔ และที่
ไม่ปรากฏนามอีก ๕๐ ฯ
๑๖. พระพุทธองค์ทรงส่งสาวกออกไปประกาศพระศาสนา เพราะทรงเห็นประโยชน์อะไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ ทรงเห็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน เพื่อให้เห็นธรรมและตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติอันเป็นปัจจัยแห่ง
ความสุขความสงบ ฯ
๑๗. พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรก มีจำนวนเท่าไร ? ประกอบด้วยใคร
บ้าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ มี ๖๐ องค์ ฯ
ประกอบด้วยพระปัญจวัคคีย์ พระยสะ สหายพระยสที่ปรากฏนาม ๔ องค์ และไม่ปรากฏ
นามอีก ๕๐ องค์ ฯ
๑๘. พระอรหันต์ ๖๐ องค์ ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรกมีใครบ้าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ มีพระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะ ๑ สหายของพระยสะที่ปรากฏนาม ๔ และที่ไม่ปรากฏนามอีก
๕๐ ฯ
๑๙. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละบริษัท
นั้นคือใคร ? (๒๕๕๓)
ตอบ มีลำดับอย่างนี้ คือภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษุณี ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๔๗
พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัท
บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษัท
มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสิกาบริษัท
พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
ประวัติพระอุรุเวลกัสสปะ
๑. ชฎิล ๓ พี่น้อง ตั้งอาศรมบูชาไฟอยู่ ณ สถานที่ใด ? (๒๕๖๑)
ตอบ ๑. อุรุเวลกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา
๒. นทีกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ลำน้ำอ้อมหรือคุ้งแห่งแม่คงคา
๓. คยากัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตาบลคยาสีสะ ฯ
๒. ชฎิล ๓ พี่น้อง ชื่ออะไรบ้าง ? ใครได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก ? ท่านเหล่านั้นพร้อมบริวารได้
บรรลุอรหัต เพราะฟังพระธรรมเทศนาอะไร ? ใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ ชื่ออุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ฯ
อุรุเวลกัสสปะ ฯ
เพราะฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ
ใจความย่อว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส
เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือความกำหนัด ความโกรธ ความหลง และร้อนเพราะความเกิด ความ
แก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ
๓. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๕,
๒๕๖๓)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ
ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ
๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเพราะเหตุใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ อุรุเวลกัสสปะ ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนา
ปาฏิหาริย์ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็น
ผู้วิเศษแต่ประการใด ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ส่วนนทีกัสสปะและคยากัสสปะ เห็นพี่ชาย
ถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขออุปสมบท ฯ
๔๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๕. พระธรรมเทศนาที่ได้ชื่อว่าอาทิตตปริยายสูตร เพราะเหตุไร ? พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๘)
ตอบ เพราะแสดงสภาวธรรมเป็นของร้อน อันเหมาะแก่บุรพจรรยาของผู้ฟัง ฯ
แก่พวกปุราณชฎิล ฯ
๖. พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ เพราะเป็นพระสูตรที่เหมาะแก่บุรพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง ฯ
๗. อนัตตลักขณสูตรและอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑)
ตอบ อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น
อนัตตา ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์
อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ
ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ
๘. พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ทรงพาท่านไป
กรุงราชคฤห์ด้วย เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของตน เห็น
ว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ฯ
ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ฯ
๙. พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก คือใคร ? เพราะท่านมีคุณธรรมอะไร ? (๒๕๔๘,
๒๕๖๔)
ตอบ คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
เพราะท่านรู้จักสงเคราะห์บริวารด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง จึงเป็นที่รักใคร่นับถือ สามารถ
ยึดเหนี่ยวน้ำใจบริวารไว้ได้ ฯ
๑๐. พระสาวกรูปใดที่ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นยอดแห่งภิกษุผู้มีบริวารมาก ? ความเป็นผู้มีบริวาร
มากนั้น เป็นผลเกิดจากอะไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
เกิดจากเหตุ คือความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
๑๑. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
เพราะท่านรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๔๙
๑๒. พระพุทธเจ้าทรงยกย่องใครว่าเป็นผู้มีบริวารมาก ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
เพราะเหตุทีท่านเป็นผู้รู้จักเอาใจบริวาร รู้จักสงเคราะห์ด้วยธรรมบ้าง ด้วยอามิสบ้าง ผู้
ประกอบด้วยคุณสมบัตินี้ ย่อมเป็นผู้สามารถควบคุมบริวารใหญ่ไว้ได้ ฯ
๑๓. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก คือใคร ? ท่านทาอย่างไร จึงมีบริวารมากอย่างนั้น ?
(๒๕๖๐)
ตอบ คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
ท่านรู้จักสงเคราะห์บริวารด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง จึงเป็นที่รักใคร่นับถือ สามารถยึด
เหนี่ยวน้ำใจบริวารไว้ได้ ฯ
๑๔. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ? พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่องว่า
เลิศในทางนี้ ? (๒๕๔๙)
ตอบ เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้างด้วยธรรมบ้าง ฯ
ดีอย่างนี้ คือภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อันบริษัทรักใคร่นับถือ สามารถ
ควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนาในสาวกมณฑล ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
๑๕. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? พระสาวกองค์ใด ได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางนี้ ?
(๒๕๖๒)
ตอบ เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
๑๖. ในคราวที่เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ณ ลัฏฐิวัน มีพระสาวกตามเสด็จไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่เป็น
หัวหน้าของพระสาวกเหล่านั้นคือใคร ? และท่านมีส่วนสำคัญในการประกาศพระศาสนาในครั้งนั้น
อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
ท่านเป็นที่เคารพนับถือของมหาชน ได้ประกาศความไม่มีแก่นสารแห่งลัทธิเก่าของตน และ
ความที่ตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ทำให้พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๒ ส่วน น้อมจิตลง
สดับพระธรรมเทศนาเรื่องอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วน
ได้ดวงตาเห็นธรรม อีก ๑ ส่วน ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ฯ
๕๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๑๗. พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวัน แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเวฬุวันเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทางเป็นที่
ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะพึงไปถึงกลางวันไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืนเงียบเสียงที่จะ
อื้ออึงกึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และควร
เป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดา ฯ
ทรงถวายด้วยการหลั่งน้ำจากพระเต้าทอง ฯ
๑๘. การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับ อนุตตริยะอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ
พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ
ได้ทรงสดับธรรม เป็นสวนานุตตริยะ
ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ
ประวัติพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ
๑. โกลิตะถามอุปติสสะว่า “ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น วันนี้ดูใจเศร้า ท่านเป็นอย่างไรหรือ ?” อุปติสสะ
ตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ตอบว่า “โกลิตะ อะไรที่ควรดูในการเล่นนี้มีหรือ คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จัก
ไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” ฯ
๒. “คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร
ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของใคร ? พูดกะใคร ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๐)
ตอบ ของอุปติสสมาณพ ฯ
พูดกะโกลิตมาณพ ฯ
๓. คำถามว่า “ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านหมดจดผ่องใส ท่านบวชจำเพาะใคร ใครเป็นศาสดาผู้สอนของ
ท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” เป็นคำถามของใคร ? ใครเป็นผู้ตอบ ? ตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ อุปติสสปริพาชก ฯ
พระอัสสชิเป็นผู้ตอบ ตอบว่า “ผู้มีอายุ เราบวชจำเพาะพระมหาสมณะ ผู้เป็นโอรสศากยราช
ออกจากศากยสกุล ท่านเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่าน”
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๕๑
๔ อุปติสสปริพาชกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? มีใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ จากพระอัสสชิ ฯ
มีใจความว่า พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และ
ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้ ฯ
๕. พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ มีใจความย่อว่า “พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และ
ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้” ฯ
๖. พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๖๔)
ตอบ มีใจความย่อว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่ง
ธรรมนั้น พระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้” ฯ
๗. พระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตผลช้ากว่าบริวาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก ต้องใช้บริกรรมใหญ่ ซึ่งเปรียบด้วยการเสด็จไปข้างไหน ๆ แห่ง
พระราชา ต้องตระเตรียมราชพาหนะและราชบริพารที่จำเป็น จึงช้ากว่าการไปของคนสามัญ ฯ
๘. เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ รับสั่งกับพระภิกษุผู้เข้าเฝ้าเพื่อทูลลาไปปัจฉาภูมิชนบท
ให้ไปลาพระเถระรูปใด ? และทรงยกย่องพระเถระรูปนั้นว่าอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ รับสั่งให้ไปลาพระสารีบุตรเถระ ฯ
ทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิต ฯ
๙. ธรรมเสนาบดีและนวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไรจึงมีนามเช่นนั้น ?
(๒๕๔๘, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระ เพราะท่านเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการประกาศ
พระพุทธศาสนา ฯ
นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคัลลานเถระ เพราะท่านเป็นผู้สามารถกำกับดูแลการ
ก่อสร้าง ฯ
๑๐. บุคคลประเภทที่ว่า ธัมมัปปมาณิกา ผู้ถือธรรมเป็นประมาณ มีอธิบายอย่างไร ? ในข้อนี้มีตัวอย่าง
แสดงไว้อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ มีอธิบายว่า บุคคลประเภทนี้ถือธรรมเป็นสำคัญ ชอบใจเฉพาะข้อปฏิบัติ เห็นผู้ที่ตั้งอยู่ในสังวรมี
มรรยาทเรียบร้อย และได้ฟังธรรมอันท่านแสดงมุ่งกล่าวเฉพาะข้อปฏิบัติ ย่อมเลื่อมใสฯ
ตัวอย่างเช่นพระสารีบุตรได้เห็นพระอัสสชิ และได้ฟังธรรมของท่านแล้ว จึงเกิดความเลื่อมใส ฯ
๕๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๑๑. พระสาวกองค์ใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอยู่ในทิศใด ก็นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ? การ
ปฏิบัติเช่นนั้นจัดเป็นคุณธรรมอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ พระสารีบุตร ฯ
จัดเป็นกตัญญู ฯ
๑๒. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่อง
(๒๕๕๖)
ตอบ พระสารีบุตรเถระ ฯ
เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะนอน
ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
เรื่องที่ ๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ
๑๓. พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่า เป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบสัก ๑ เรื่อง เพื่อ
ยืนยันคำกล่าวนี้ ? (๒๕๕๔)
ตอบ (ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง) เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ใน
ทิศใด ก่อนจะนอนท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ
เรื่องที่ ๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตามปรารถนา พระศาสดา
ทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง พระสารีบุตรทูล
ว่า ราธพราหมณ์เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญูดีนัก
อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ ฯ
๑๔. ปัญหาว่า “พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร” ใครเป็นผู้ถาม ? ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ?
(๒๕๔๕)
ตอบ พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม ฯ
พระยมกะเป็นผู้ตอบ ฯ
และตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้ว ฯ
๑๕. ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยง
ดับไป ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๕๓
๑๖. ทิฏฐิแสดงความเห็นว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจทั้งหมด” ใครพูดกับใคร ?
ตามทิฏฐิแสดงความเห็นนั้น มีคำกล่าวตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ ปริพาชกทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ทูลกับพระศาสดา ฯ
มีพระดำรัสตอบว่า “อัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่าน
ก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น” ฯ
๑๗. พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด
พระโมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมเลี้ยงทารกนั้นที่เกิดแล้ว ฯ
๑๘. พระโอวาทว่า “เราจักไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกุล” พระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวกองค์ใด ? ที่ไหน ?
(๒๕๕๘)
ตอบ แก่พระมหาโมคคัลลานะ ฯ
ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ฯ
๑๙. ข้อความว่า “ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกัน” ใคร
พูดกับใคร ? ที่ไหน ? (๒๕๔๕)
ตอบ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระโมคคัลลานะ ฯ
ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ฯ
๒๐. เมื่อเอ่ยถึงพระสารีบุตร ทำให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ? ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพาน
ที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตรกี่วัน ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ พระโมคคัลลานะ ฯ
ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ก่อนพระสารีบุตร ๘ วัน และนิพพาน
ที่ตำบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน ฯ
๒๑. พระโมคคัลลานะ นิพพานที่ไหน ? อัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ที่ไหน ? (๒๕๔๖)
ตอบ นิพพานที่ตำบลกาฬสิลา แขวงมคธ ฯ
อัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ที่เจดีย์ใกล้ซุ้มประตูแห่งเวฬุวนาราม ฯ
๕๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ประวัติพระมหากัสสปะและพระมหากัจจายนะ
๑. พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี” แล้วมีใจ
เบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวชคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางไหน ?
เพราะเหตุใด ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ พระมหากัสสปะ ฯ
ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะท่านถือธุดงค์ ๓ อย่าง
เป็นประจำ คือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ
๒. พระมหากัสสปะออกบวชเพราะมีความเห็นอย่างไร ? ท่านได้รับยกย่องว่าเลิศในทางไหน ? (๒๕๔๗)
ตอบ เพราะมีความเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาปเพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี และเห็นว่า
ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งกิเลสธุลี จึงมีใจเบื่อหน่ายสละสมบัติออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก ฯ
ได้รับยกย่องว่า เป็นเลิศแห่งภิกษุผู้ทรงธุดงค์ ฯ
๓. พระศาสดาทรงประทานพระโอวาทเป็นการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะไว้กี่ข้อ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๘,
๒๕๖๒)
ตอบ ๓ ข้อ ฯ
คือ ๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ปานกลาง
และผู้ใหม่
๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรมอันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น
๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย ฯ
๔. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่ละสติ
ที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ ๘ วัน ฯ
สงเคราะห์เข้าในกายคตาสติ และวิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ
๕. พระมหากัสสปะได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีใด ? พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ ด้วยวิธีรับพุทธโอวาท ๓ ข้อ ฯ
ถือธุดงค์ ๓ อย่าง คือ
๑. ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร
๒. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๕๕
๖. พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ดังนี้ พระองค์ตรัสกะ
สาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด ? (๒๕๕๓)
ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ
เป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์ ฯ
๗. อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานให้แก่
ใคร ? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๖)
ตอบ การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะ
การรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ
พระมหากัสสปะ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงค์คุณ
พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ
๘. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี คือ
ใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๕)
ตอบ มี ฯ
คือ พระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
๙. พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๔)
ตอบ ถือธุดงค์ ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. ใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร
๒. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ
๑๐. พระสาวกองค์ใด เป็นผู้มักน้อยสันโดษอย่างยิ่ง ? ท่านทำใจอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ
ทำใจอย่างนี้ คือเมื่อแสวงหาไม่ได้ ก็ไม่สะดุ้งตกใจ เมื่อแสวงหาได้แล้ว ก็ไม่กำหนัดยินดี ใน
ปัจจัย ๔ นั้น ฯ
๑๑. พระศาสดาทรงยกย่องพระสาวกรูปใดว่า มีธรรมเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์ ? พระองค์ทรงปฏิบัติต่อ
พระสาวกรูปนั้นโดยพระอาการอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ
ทรงรับผ้าสังฆาฏิของท่านไปทรง และประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ให้แก่ท่าน ฯ
๕๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๑๒. พระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรกที่ไหน ? ใช้เวลานานเท่าไร ? (๒๕๕๑,
๒๕๖๐)
ตอบ ที่ถ้ำสัตตบัณณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ฯ
ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ
๑๓. พระมหากัสสปเถระ ชักชวนภิกษุสงฆ์ทำสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัย ตั้งไว้เป็นแบบฉบับ เพื่อ
สมกับพระพุทธพจน์ที่ได้ประทานไว้เมื่อครั้งปรินิพพาน พระพุทธพจน์นั้นใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อย่างใด อันเราได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว ธรรมวินัยนั้นจักเป็น
ศาสดาของท่านทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงไปแล้ว ฯ
๑๔. การทำสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้ กำจัดและป้องกันอลัชชีได้ ทำความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูกต้องและ
ปฏิบัติถูกต้องได้ และทำให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น ฯ
๑๕. การบวชของพระมหากัจจายนะ มีความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ มีความเป็นมาอย่างนี้ ท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าจัณฑปัชโชต ให้ไปทูลเชิญพระพุทธเจ้า
เสด็จกรุงอุชเชนี จึงทูลลาบวชด้วย ครั้นได้เข้าเฝ้าฟังธรรมแล้ว บรรลุพระอรหัต จึงทูลขอบวช ฯ
๑๖. พระสาวกผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจาก
พระศาสดาว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๙)
ตอบ คือ พระมหากัจจายนะ ฯ
ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคำที่ย่อให้พิสดาร ฯ
๑๗. พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์ เมื่อครั้ง
ไหน ? ได้ผลอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ เมื่อครั้งที่ท่านบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้เสด็จไป
กรุงอุชเชนี เพื่อประกาศพระศาสนาตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แต่พระพุทธเจ้า
รับสั่งให้ท่านไปแทน ฯ
พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
๑๘. พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแทนพระองค์ ณ เมือง
ใด และได้ผลเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ณ เมืองอุชเชนี ฯ
ได้รับผล คือพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๕๗
๑๙. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตรนั้น
ชื่ออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ
แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ
ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี ฯ
สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ
๒๐. พระมหากัจจายนะ นิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธเจ้า ? มีอะไรเป็นข้ออ้าง ? (๒๕๔๘)
ตอบ พระมหากัจจายนะ นิพพานหลังพระพุทธเจ้า ฯ
มีมธุรสูตรเป็นข้ออ้าง โดยมีใจความตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นว่า พระเจ้ามธุรราชตรัสถามว่า
เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จอยู่ ณ ที่ไหน พระมหากัจจายนะทูลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปรินิพพานแล้ว ฯ
ประวัติมาณพ ๑๖ คน
๑. อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟังพุทธ
พยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ พราหมณ์พาวรี ฯ
ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม
ศิษย์อีก ๑๕ คน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ
๒. มาณพทั้ง ๑๖ คนผู้ทูลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ? ท่านตั้งสำนักอยู่ที่ไหน ?
(๒๕๕๗)
ตอบ ของพราหมณ์พาวรี ฯ
อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ฯ
๓. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? และพระศาสดาทรง
พยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
๕๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๔. “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา” นี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับพุทธ
พยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ฯ
ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุด
โทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
๕. “โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละ
อะไรได้ ?” ปัญหานี้ใครทูลถาม ? (๒๕๕๑)
ตอบ อุทยมาณพเป็นผู้ทูลถาม ฯ
๖. พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ เป็นคนที่ ๑๕ ฯ
เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน แต่เมื่อปรารภจะทูลถาม
เป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ ฯ
๗. คำถามว่า “ข้าพระเจ้าจักพิจาณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่และเห็น” ใครเป็นผู้ทูลถาม ?
พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า
ถอนความตายเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่าน
พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงไม่แลเห็น ฯ
๘. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ด้วยเรื่องสุญญตานุปัสสนา ฯ
มีความหมายว่า ให้พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าเป็นตัวตนของ
เราเสีย ฯ
๙. พระโมฆราชและพระอุบาลี ได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางไหน ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๒)
ตอบ พระโมฆราช ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
พระอุบาลี ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงพระวินัย ฯ
๑๐. ปิงคิยมาณพฟังพยากรณ์ปัญหาจากพระบรมศาสดาแล้ว ได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? เพราะเหตุไร ?
(๒๕๖๑)
ตอบ ได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๕๙
เพราะความฟุ้งซ่านด้วยความคิดถึงอาจารย์ในขณะฟังพระธรรมเทศนา จึงไม่อาจทำจิตให้สิ้นอาสวะฯ
๑๑. บรรดาศิษย์ ๑๖ คน ศิษย์คนใด นำพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ไปบอกแก่พราหมณ์พาวรีผู้เป็น
อาจารย์ ? พราหมณ์พาวรีฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? (๒๕๕๘)
ตอบ ปิงคิยมาณพ ฯ
ชั้นเสขภูมิ ฯ
ประวัติพระราธะและพระปุณณมันตานีบุตร
๑. พระสาวกผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นองค์แรกคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจาก
พระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายอย่างไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๓)
ตอบ พระราธะ ฯ
ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในธรรมเทศนา ฯ
๒. ภิกษุ ภิกษุณี ผู้เอตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ภิกษุ คือพระปุณณมันตานีบุตร ฯ
ภิกษุณี คือนางธรรมทินนาเถรี ฯ
ประวัติพระราหุล พระอุบาลี พระอนุรุทธะ และพระอานนท์
๑. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ได้บรรลุพระอรหัต เพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๗,
๒๕๖๓)
ตอบ สามเณรราหุล ฯ
จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ
๒. ราหุลกุมารได้บรรพชาเป็นสามเณรเพราะเหตุใด ? พระราหุลได้รับยกย่องว่าเลิศในทางใด ? (๒๕๔๕)
ตอบ เพราะพระมารดาให้ไปขอราชสมบัติกับพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ดังนั้น พระองค์จึง
ทรงประทานทรัพย์อันเป็นโลกุตตระ โดยมอบหมายให้พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาให้ราหุล
กุมาร ด้วยการรับสรณคมน์ ๓ ฯ
ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่ศึกษาพระธรรมวินัย ฯ
๖๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๓. พระสาวกองค์ใด กอบทรายเต็มมือแล้วปรารถนาว่า “ขอให้เราได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระทศพล
และพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เท่าเม็ดทรายในกฎมือนี้เถิด” ? และท่านเป็นเลิศในด้านใด ? (๒๕๖๑)
ตอบ พระราหุล ฯ
เป็นเลิศในด้านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ฯ
๔. การศึกษาเป็นการพัฒนาชีวิตและสังคมให้ก้าวหน้าและก้าวไกล จึงอยากทราบว่า พระเถระองค์ใด
ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา ? ท่านได้รับการยกย่องเช่นนั้น เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ?
(๒๕๔๖)
ตอบ พระราหุลเถระ ฯ
มีปฏิปทาอย่างนี้คือ ท่านตื่นขึ้นแต่เช้าแล้วกอบเอาทรายมาเต็มกำมือแล้วปรารถนาว่า ขอให้เรา
ได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระทศพล และพระอุปัชฌาย์อาจารย์เท่าเม็ดทรายในกำมือเถิด แล้ว
ตั้งใจศึกษา ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยปฏิปทาเช่นนี้แล จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ใฝ่ใจใน
การศึกษา ฯ
๕. พระเถระและพระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๘)
ก. พระมหากัจจายนะ ข. พระโมฆราช ค. พระราหุล
ง. ปฏาจาราเถรี จ. อุบลวรรณาเถรี
ตอบ ก. พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร
ข. พระโมฆราช เป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง
ค. พระราหุล เป็นเอตทัคคะในทางผู้ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมวินัย
ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทัคคะในทางทรงวินัย
จ. อุบลวรรณาเถรี เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ฯ
๖. การที่เจ้าศากยะทูลขอให้พระอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ เพราะประสงค์จะละมานะของตน ฯ
๗. จงตอบคำถามเกี่ยวกับพระอนุรุทธเถระ ดังต่อไปนี้ (๒๕๔๖)
ก. ท่านเป็นโอรสของใคร ข. เกี่ยวเนื่องกับพระบรมศาสดาอย่างไร
ค. ท่านออกบวชพร้อมกับใครบ้าง ง. ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาอย่างไร
ตอบ ก. ของพระเจ้าศากยะพระนามว่า อมิโตทนะ พระมารดาไม่ปรากฏพระนาม ฯ
ข. เป็นพระโอรสของพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา จึงนับเป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา ฯ
ค. พร้อมกับพระอุบาลี พระภัททิยะ พระภคุ พระกิมพิละ พระอานนท์ และพระเทวทัต ฯ
ง. เป็นผู้เลิศในทางมีจักษุทิพย์ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๖๑
๘. พระอานนท์ได้บรรลุโสดาปัตติผลเพราะได้ฟังโอวาทจากใคร ? และได้บรรลุอรหัตผลเมื่อไร ? ท่าน
บรรลุอรหัตผลและนิพพาน ต่างจากพระสาวกองค์อื่นอย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ จากพระปุณณมันตานีบุตร ฯ
บรรลุอรหัตผลก่อนวันรุ่งขึ้นจะทำปฐมสังคายนา ฯ
การบรรลุอรหัตผลของท่านไม่ปรากฏว่าได้ในขณะยืน หรือเดิน หรือนั่ง หรือนอน ปรากฏว่า
ท่านได้ในระหว่างอิริยาบถ ๔ ท่านนิพพานบนอากาศ กลางแม่น้ำโรหิณีแล้วอธิษฐานให้สรีระของท่าน
แยกเป็น ๒ ภาค ให้ตกลงที่ฝั่งแม่น้ำฝั่งละภาค ฯ
๙. พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จไปสู่ที่
นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ ข้อต้น เพื่อป้องกันคำติเตียนว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ
ข้อหลัง เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาไปทำอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรง
อนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ
ประวัติพระโสณโกฬิวิสะ พระรัฐบาล และพระโสณกุฏิกัณณะ
๑. พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไป และหย่อนเกินไปแก่พระโสณโกฬิวิสะว่า
อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ทรงแสดงว่า ความเพียรที่ตึงเกินไปเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ที่หย่อนเกินไปเป็นเพื่อความเกียจ
คร้าน ฯ
๒. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงพระประสงค์ใด ? (๒๕๕๙)
ตอบ แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ
ด้วยทรงพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียรอย่างยิ่ง
เดินจงกรมจนเท้าแตก ฯ
๓. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงมีพระประสงค์ใด ? (๒๕๖๔)
ตอบ แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ
ด้วยมีพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียรอย่างยิ่ง เป็น
เหตุให้เกิดทุกขเวทนา ทำให้ไม่บรรลุธรรม ฯ
๔. พระรัฐบาลและพระนันทะ ออกบวชเพราะเหตุใด ? (๒๕๔๔)
ตอบ พระรัฐบาล ออกบวชเพราะศรัทธา พระนันทะ ออกบวชเพราะจำใจ ฯ
๖๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๕. ข้อธรรมว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน” เรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร ?
(๒๕๕๕)
ตอบ เรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ
๖. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐)
ตอบ มี ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ ฯ
๗. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา ๒. บวชเพราะจำใจ ๓. บวช
เพราะหลงไหลในรูป ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๑)
ตอบ ๑. บวชเพราะศรัทธา คือพระรัฐบาล
๒. บวชเพราะจำใจ คือพระนันทะ
๓. บวชเพราะหลงใหลในรูป คือพระวักกลิ ฯ
๘. พระศาสดาทรงทราบความขัดข้องจากพระสาวกรูปใด จึงได้ทรงพระอนุญาตให้สงฆ์ปัญจวรรคทำการ
อุปสมบทในปัจจันตชนบทได้ ? ท่านได้รับยกย่องว่าเลิศทางไหน ? (๒๕๔๔)
ตอบ พระโสณกุฏิกัณณะ ฯ
เป็นผู้มีวาจาไพเราะ ฯ
๙. ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน ? จงบอกมาสัก ๒ คู่ (๒๕๕๐)
ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร
พระอัสสชิกับพระสารีบุตร
พระสารีบุตรกับพระราธะ
พระสารีบุตรกับพระราหุล
พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๖๓
ประวัติภิกษุณี
๑. สตรีคนแรกที่ได้อุปสมบทในพุทธศาสนาคือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๙)
ตอบ คือ พระมหาปชาบดีโคตมี ฯ
ด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
๒. พระนางปชาบดีโคตมี ยินดีรับครุธรรม ๘ ข้อมาปฏิบัติ อุปมาเหมือนอะไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ เปรียบเหมือนหญิงหรือชายที่ยังรุ่นสาวรุ่นหนุ่ม กำลังรักแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้าแล้วได้พวงดอก
อุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว จะพึงรับด้วยมือทั้ง ๒ แล้วตั้งไว้บนศีรษะด้วยความยินดีฉันนั้น ฯ
๓. พระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๔๕)
ก. กิสาโคตรมีเถรี ข. กุณฑลเกสีเถรี ค. ภัททกาปิลานีเถรี
ง. ภัททากัจจานาเถรี จ. โสณาเถรี
ตอบ ก. ในทางทรงไว้ซึ่งจีวรอันเศร้าหมอง
ข. ในทางขิปปาภิญญา หรือ ตรัสรู้เร็ว
ค. ในทางระลึกได้ซึ่งปุพเพนิวาส
ง. ในทางถึงซึ่งอภิญญาอันใหญ่แล้ว
จ. ในทางมีความเพียรปรารภแล้ว ฯ
๖๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ศาสนพิธี
๑. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ พิธีทางศาสนา ฯ
มีประโยชน์คือ
๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญไม่ไร้สาระ
๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
๒. การศึกษาให้เข้าใจในศาสนพิธี มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๒)
ตอบ ๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ทำให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ไร้สาระ
๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
หมวดที่ ๑ กุศลพิธี
๑. กุศลพิธีและบุญพิธี คือพิธีเช่นไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ กุศลพิธี คือพิธีกรรมต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรมความดีงามทาง พระพุทธศาสนาเฉพาะตัว
บุคคล เช่น พิธีรักษาอุโบสถศีล เป็นต้น
บุญพิธี คือพิธีทำบุญงานมงคล และงานอวมงคล
๒. กุศลพิธี คืออะไร ? พิธีทำสามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ คือ พิธีบำเพ็ญกุศล ฯ
หมายถึง การขอขมาโทษกัน ให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม
ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ
พิธีเข้าพรรษา
๑. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ (๒๕๔๖)
ก. การเข้าพรรษา ข. การออกพรรษา
ตอบ ก. การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่า จะอยู่ประจำเสนาสนะในวัดใดวัดหนึ่ง ตลอดเวลา
๓ เดือนในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาห-
กรณียะ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๖๕
ข. การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มี
พิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษาพระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำ
ปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ
๒. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓)
ตอบ การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน
ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ
การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มีพิธี
เป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษา พระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำปวารณาของ
สงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ
พิธีสามีจิกรรม
๑. สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖)
ตอบ หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกัน ทุกโอกาสไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม
ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ
มี ๒ แบบ ฯ
คือ ๑. แบบขอขมาโทษ
๒. แบบถวายสักการะ ฯ
๒. สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีกี่แบบ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑)
ตอบ หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม
ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ
มี ๒ แบบ ฯ
คือ ๑. แบบขอขมาโทษ
๒. แบบถวายสักการะ ฯ
๓. ธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติชอบต่อกันเพื่อความสามัคคี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๙,
๒๕๖๔)
ตอบ เรียกว่า สามีจิกรรม ฯ
หมายถึง การขอขมาโทษ และการให้อภัยกัน ฯ
๖๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
พิธีทําวัตรสวดมนต์
๑. การทำวัตร คืออะไร ? ทำวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ การทำกิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทำกิจที่ต้องทำประจำจนเป็น
วัตรปฏิบัติ เรียกสั้น ๆ ว่า ทำวัตร ฯ
ความมุ่งหมายของการทำวัตรสวดมนต์นี้ บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิตไม่ให้คิดวุ่นวายตาม
อารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมง
เป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
๒. การทำวัตรสวดมนต์ มีประโยชน์อย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๖๒)
ตอบ เป็นอุบายสงบใจ ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลา ทั้ง
เช้าเย็น ครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้ วันละไม่ต่ำกว่า
๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
๓. การทำวัตรและการสวดมนต์ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ การทำวัตร คือการทำกิจวัตรที่ต้องทำประจำ วันละ ๒ เวลา คือเช้า-เย็น จนเป็นวัตรปฏิบัติ
มีการสวดบูชาพระรัตนตรัย และสวดพิจารณาปัจจัยที่บริโภคเป็นต้น
ส่วนการสวดมนต์ คือการสวดพระพุทธมนต์ต่าง ๆ นอกเหนือจากบทสวดทำวัตรที่เป็นส่วนพระ
สูตรก็มี ที่เป็นส่วนพระปริตรก็มี ที่เป็นส่วนเฉพาะคาถาอันนิยมกำหนดให้นำมาสวดประกอบในการสวด
มนต์เป็นประจำก็มี ฯ
พิธีกรรมวันธรรมสวนะ
๑. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้มีในวันใดบ้าง ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๗, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓)
ตอบ คือ วันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่า “วันพระ” ฯ
ในวัน ๘ ค่ำ และวัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ของปักษ์ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ฯ
พิธีทําสังฆอุโบสถ
๑. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน
อย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ มี ๓ ประเภท คือสังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ
มีความแตกต่างกันดังนี้
๑. สังฆอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ประชุมสวดพระปาฏิโมกข์
๒. ปาริสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป
ร่วมกันทำเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน ๆ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๖๗
๓. อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทำเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐาน
ความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ฯ
๒. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะรักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึง
ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า
อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็
กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
๓. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ ๓ ประเภท ฯ
คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ
๔. จงเขียนอุโบสถศีลข้อที่ ๓ มาดู (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
๕. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู (๒๕๕๕)
ตอบ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺ านา เวรมณี สิกฺขาปทํ
สมาทิยามิ ฯ
หมวดที่ ๒ บุญพิธี
พิธีทําบุญตักบาตรเทโวโรหณะ
๑. วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกว่าวันอะไร ? ตรงกับวันอะไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ เรียกว่า วันเทโวโรหณะ ฯ
ตรงกับวันมหาปวารณา เพ็ญเดือน ๑๑ ฯ
๒. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทำกันมาจนถึงบัดนี้ ? (๒๕๕๐, ๒๕๕๔)
ตอบ คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพถ้วน
ไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ฯ
๖๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
มีการทำบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ จนเป็นประเพณีทำบุญตักบาตรที่เรียกว่า
ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๓. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันอะไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ คือ วันที่พระองค์เสด็จลงจากเทวโลก ฯ
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ฯ
๔. ในพิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ พระพุทธรูปที่จะประดิษฐานบนรถทรงหรือคานหาม นิยมพระพุทธรูป
ปางอะไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ นิยมพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ถ้าไม่มีจะเป็นพระพุทธรูปปางอะไรก็ได้ ฯ
พิธีเจริญพระพุทธมนต์
๑. คำว่า เจริญพระพุทธมนต์ กับ สวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทำบุญฉลองอัฐิจัดเข้าใน
อย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ? (๒๕๕๓)
ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงานมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงานอวมงคล ฯ
จัดเข้าในการเจริญพระพุทธมนต์ แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสายสิญจน์ ฯ
๒. ในงานมงคลที่ทำกันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วยบทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้น ๆ ว่า
อะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ เรียกว่า เจ็ดตำนาน ฯ
เรียกว่า ต้นสวดมนต์หรือต้นตำนาน และท้ายสวดมนต์ ฯ
๓. งานทำบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทำบุญเช่นไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๕๓)
ตอบ คือ งานทำบุญที่คณะญาติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหายป่วยและเพื่อให้ผู้ป่วยได้มี
โอกาสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลายแห่งชีวิตของตน หรือเป็นความประสงค์ของผู้จะทำบุญต่ออายุเอง เพื่อ
ความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ
พิธีสวดพระพุทธมนต์
๑. บท อทาสิ เม อกาสิ เม....และบท อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา.....ใช้ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ อทาสิ เม อกาสิ เม... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา... ใช้ในกรณีทำบุญอัฐิ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๖๙
พิธีสวดพระอภิธรรม
๑. พิธีสวดพระอภิธรรมมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ มี ๒ อย่าง ฯ
คือ ๑. สวดประจำยามหน้าศพ
๒. สวดหน้าไฟในขณะฌาปนกิจ ฯ
พิธีสวดมาติกา
๑. การสวดมาติกา คือการสวดเรื่องอะไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ คือ การสวดบทมาติกาของพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์หรือที่เรียกว่า “สัตตัปปกรณาภิธรรม” ซึ่งมี
การบังสุกุลเป็นที่สุด เป็นประเพณีนิยมจัดให้พระสงฆ์สวดในงานทำบุญหน้าศพอย่างหนึ่ง เรียกโดย
โวหาร ทางราชการในงานหลวงว่า “สดับปกรณ์” แต่ราษฎรสามัญทั่วไปเรียกว่า “สวดมาติกา” ฯ
พิธีสวดแจง
๑. ประเพณีการเทศน์แจง และการสวดแจงอาศัยเค้ามูลมาจากเรื่องอะไร ? นิยมเทศน์ในงานอะไร ?
(๒๕๔๗)
ตอบ อาศัยเค้ามูลมาจากเรื่องการทำปฐมสังคายนา ซึ่งเป็นการรวบรวมพระธรรมวินัย จัดไว้เป็น
หมวดหมู่ เรียกว่า พระไตรปิฎก ดังนั้นการเทศน์แจงจึงเป็นการแสดงธรรมแจกแจงวัตถุและหัวข้อใน
พระไตรปิฎก ในการทำปฐมสังคายนา มีการกสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป การสวดแจงจึงนิยมนิมนต์
พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ให้เท่าจำนวนการกสงฆ์ในครั้งนั้น ฯ
นิยมเทศน์ในงานฌาปนกิจศพ ฯ
พิธีอนุโมทนากรณีต่าง ๆ
๑. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ ไม่ว่างาน
ใดก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้น
ส่วนวิเสสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน
เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง ฯ
พิธีแสดงพระธรรมเทศนา
๑. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์ ? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วยเรื่อง
อะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ เรื่องเวสสันดรชาดก ฯ
๗๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
มี ๑๓ กัณฑ์ ฯ
เรื่องจตุราริยสัจจกถา ฯ
๒. การเทศน์ในปัจจุบันนิยมทำกันกี่ลักษณะ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖)
ตอบ นิยมทำกัน ๔ ลักษณะ ฯ
คือ ๑. เทศน์ในงานทำบุญ
๒. เทศน์ตามกาลนิยม
๓. เทศน์พิเศษ
๔. เทศน์มหาชาติ ฯ
๓. คำต่อไปนี้หมายถึงอะไร ? (๒๕๔๗)
ก. เทศน์มหาชาติ ข. ทำบุญอัฐิ ค. สามัญอนุโมทนา
ง. วิเสสอนุโมทนา จ. สลากภัต
ตอบ ก. หมายถึง เทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดก
ข. หมายถึง ทำบุญหลังจากการปลงศพปรารภผู้ล่วงลับแล้ว
ค. หมายถึง การอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ
ง. หมายถึง การอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล
เฉพาะเรื่อง
จ. หมายถึง ภัตตาหารที่ทายก ทายิกาถวายตามสลาก ฯ
หมวดที่ ๓ ทานพิธี
พิธีถวายเสนาสนะ กุฏิ วิหาร
๑. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีตํ อุณฺหํ ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวดเมื่อใด ?
(๒๕๕๔)
ตอบ เมื่อทายกถวายเสนาสนะมีโบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๗๑
พิธีถวายผ้าวัสสิกสาฎก
๑. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙)
ตอบ มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือยกายอาบน้ำ
นางวิสาขามหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอพระพุทธานุญาต
เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ
นางวิสาขามหาอุบาสิกา ฯ
๒. ผ้าวัสสิกสาฎก ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ? การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ฯ
มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าอาบน้ำฝน ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือยกายอาบ
น้ำ นางวิสาขามหาอุบาสิกาทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะจึงทูลขอพระพุทธานุญาต
เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ
พิธีถวายผ้าป่า
๑. ผ้าป่า คือผ้าอะไร ? คำพิจารณาผ้าป่าว่าอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ คือ ผ้าบังสุกุลจีวร ได้แก่ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้างตามป่าช้าบ้าง
ตามถนนหนทางและห้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง ที่สุดจนกระทั่งที่เขาอุทิศไว้แทบเท้า รวมเรียกว่า “ผ้าป่า” ฯ
คำพิจารณาผ้าป่าว่า อิมํ ปํสุกูลจีวรํ อสฺสามิกํ มยฺหํ ปาปุณาติ หรือว่า อิมํ วตฺถํ อสฺสามิกํ
ปํสุกูลจีวรํ มยฺหํ ปาปุณาติ ฯ
๒. ผ้าป่าและผ้าอัจเจกจีวร ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การทอดผ้าป่ากำหนดกาลเวลาทอดไว้หรือไม่ ? (๒๕๔๔)
ตอบ ผ้าป่า หมายถึงผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงเเหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้าง ตามป่าช้าบ้าง ตามถนน
หนทางและห้อยย้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง
ผ้าอัจเจกจีวร หมายถึงผ้าจำนำพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกำหนดกาล คือถวายก่อนออก
พรรษา ฯ
ไม่มีกำหนดกาลเวลา มีศรัทธาเมื่อไรก็ถวายได้ ฯ
๓. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๘)
ก. ปาฏิปุคคลิกทาน ข. เภสัชทาน ค. สลากภัต
ง. ผ้าวัสสิกสาฎก จ. ผ้าอัจเจกจีวร
ตอบ ก. ปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้
ข. เภสัชทาน คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ค. สลากภัต คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก
๗๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ง. ผ้าวัสสิกสาฎก คือผ้าที่อธิษฐานสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน หรืออาบน้ำทั่วไป
จ. ผ้าอัจเจกจีวร คือผ้าจำนำพรรษา
หมวดที่ ๔ ปกิณกะ
พิธีบังสุกุลเป็น
๑. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน โดยเฉพาะผ้า
อุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทำเมื่อป่วยหนัก เป็นการกำหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง ฯ
ว่า อจิรํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺ าโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ
๒. จงเขียนคาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู (๒๕๕๗)
ตอบ คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น ว่า
อจิรํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺ าโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ
คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลตายว่า
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข ฯ
๓. จงเขียนคำบังสุกุลเป็น มาดู (๒๕๔๕)
ตอบ อจิรํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺ าโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๗๓
วิชาวินัย
สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์
๑. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖)
ตอบ เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ
มี ๒ อย่าง คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ
๒. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ
ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา
เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของ
ตระกูล ฯ
๓. สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจาร แบ่งเป็น ๒ คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑
นั้น คืออย่างไร ? ปรับโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ ที่เป็นข้อห้าม คือกิริยาบางอย่างหรือบริขารประเภทไม่เหมาะแก่สมณสารูป จึงให้ไว้หนวดเครายาว
ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น
ที่เป็นข้ออนุญาต คือเป็นการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่น ทรงอนุญาตวัสสิกสาฎก
ในฤดูฝน เป็นต้น ฯ
ปรับโทษโดยตรงมีเพียง ๒ คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฎ ๑ แม้ในข้อที่ทรงอนุญาต เมื่อไม่ทำตาม
ก็เป็นอาบัติทุกกฎ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ ฯ
พระวินัย
๑. พระวินัย แบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? จะปฏิบัติพระวินัยอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม ?
(๒๕๔๔)
ตอบ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ฯ
คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขาบท ๑ อภิสมาจาร ๑ ฯ
ต้องปฏิบัติพระวินัยโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุต้องทำตนให้เป็น
คนลำบาก เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อ
ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม จึงจะเรียกได้ว่าพอดีพองาม ฯ
๗๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๒. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ฯ
คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ๑ อภิสมาจาริกาสิกขา ๑ ฯ
๓. อาทิพรหมจริยกาสิกขา กับ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ อันได้แก่
พระพุทธบัญญัติที่ตรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์ เป็นข้อบังคับ
โดยตรง ที่ภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด
ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติ
หรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรพฤติ ฯ
อภิสมาจาร
๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? แบ่งเป็นกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
แบ่งเป็น ๒ ประเภท ฯ
คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ
๒. อภิสมาจาร คืออะไร ? ปรับอาบัติได้กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
ปรับอาบัติได้ ๒ อย่าง ฯ
คือ ถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ
๓. อภิสมาจาร คืออะไร ? เป็นเหตุให้ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ คือ ขนบธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
อาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฎ ฯ
๔. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฎเป็นพื้น ฯ
๕. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารท่านปรับอาบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ ธรรมเนียมหรือมารยาทที่ดีงามของภิกษุ ฯ
ปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๗๕
๖. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุล่วงละเมิดจะเกิดความเสียหายอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
ถ้าล่วงละเมิดแต่บางอย่างหรือบางครั้งก็เสียหายน้อย แต่ถ้าล่วงละเมิดมากอย่างหรือเป็นนิตย์
ธรรมเนียมย่อมกลายไปหรือเสื่อมไป ภิกษุจะแตกเป็น ๒ พวก คือเคร่งและไม่เคร่ง ฯ
๗. อภิสมาจาร มีรูปเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต อีกอย่างหนึ่งคืออะไร ? และปรับอาบัติ
อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ อีกอย่างหนึ่ง คือข้อห้าม ฯ
ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ ฯ
๘. ภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์นั้น ต้องอาบัติโดยตรงอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๖)
ตอบ ต้องอาบัติโดยตรง ๒ อย่าง คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฏ ๑ ฯ
๙. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๘)
ตอบ ต้องอาบัติถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ
๑๐. ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ
๑๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุ
ทำตนให้ลำบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลย
ต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
๑๒. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุทำตนให้ลำบากเพราะเหตุ
ธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ
จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
๗๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร
๑. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติให้รักษาความสะอาดเกี่ยวกับร่างกายไว้อย่างไร ? การ
เคี้ยวไม้ชำระฟันมีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ มีพระพุทธบัญญัติว่าด้วยกายบริหารไว้ว่า ห้ามไว้ผมยาว ๑ ห้ามไว้หนวดเครา ๑ ห้ามไว้เล็บยาว ๑
ห้ามไว้ขนจมูกยาว ๑ เมื่อถ่ายอุจจาระแล้ว น้ำมีอยู่ไม่ชำระไม่ได้ ๑ อนุญาตให้ใช้ไม้ชำระฟัน ๑ น้ำดื่ม
ให้กรองก่อน ๑ ฯ
มีประโยชน์ คือ
๑. ฟันไม่สกปรก ๒. ปากไม่เหม็น
๓. เส้นประสาทรับรสหมดจดดี ๔. เสมหะไม่หุ้มอาหาร
๕. ฉันอาหารมีรส ฯ
๒. พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ
ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ
๓. มีข้อกำหนดในการไว้ผมยาวของพระภิกษุอย่างไร ? ในการโกนผม ภิกษุใช้กรรไกรแทนมีดโกนได้
หรือไม่ ? (๒๕๕๑)
ตอบ ไว้ได้เพียง ๒ เดือน หรือ ๒ นิ้ว เป็นอย่างยิ่ง ฯ
ไม่ได้ เว้นไว้แต่อาพาธ ฯ
๔. ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ เกี่ยวกับหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่งหนวด
และห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร
เกี่ยวกับคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยมโกนพร้อมกับผม ฯ
๕. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตามวินัยแผนกอภิสมาจาร ? (๒๕๔๙)
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้คือ ไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บให้เกลี้ยงเกลาด้วยมุ่งหมาย
ให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่ นี้เป็นกิจควรทำ ฯ
๖. การผัดหน้า ไล้หน้า ทำหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ? (๒๕๕๗)
ตอบ ทรงห้ามในกรณีที่ทำเพื่อให้สวยงาม
ทรงอนุญาตในกรณีที่อาพาธ เช่น เป็นโรคผิวหนัง เป็นต้น ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๗๗
๗. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๒)
ตอบ เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
เปลือยกายทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายใน
เวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ
๘. ภิกษุเปลือยกายด้วยอาการอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติและไม่ต้องอาบัติ ? (๒๕๔๔)
ตอบ ถ้าเปลือยกายเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ถ้าเปลือยกายทำกิจแก่กัน คือไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ เปลือยกายในเวลาฉัน
และดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ
ในเรือนไฟและในน้ำ ไม่ต้องอาบัติ ฯ
๙. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๗)
ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทำกิจแก่กัน เช่นไหว้ รับไหว้
ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ
จ. เปลือยในน้ำ
ตอบ ก. ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ข. และ ค. ต้องอาบัติทุกกฏ
ง. และ จ. ไม่ต้องอาบัติ ฯ
๑๐. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก หมวก ผ้านุ่งผ้าห่ม
สีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ ฯ
๑๑. มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึ่งนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่าพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ในกรณีที่ภิกษุถูกโจร
ชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๒)
ตอบ พึงปิดการด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้ ห้ามมิให้เปลือย
กาย ฯ
๑๒. ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีจีวร เช่น จีวรถูกไฟไหม้ ถูกโจรชิงไปหมด นุ่ง
ห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฏ แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่งห่มต้อง
อาบัติทุกกฎ ฯ
๗๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
กัณฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค
๑. จีวร
๑. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ ผ้าสำหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดูหนาว ฯ
มีเรื่องเล่าว่า ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความหนาวได้
ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้น จึงพอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒ ชั้น
เข้ากับอุตตราสงค์ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ
๒. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลำดับอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ ต้องปัจจุธรณ์ คือถอนอธิษฐานผืนเก่าก่อน แล้วทำพินทุและอธิษฐานผืนใหม่ ฯ
๓. ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๕๒, ๒๕๕๘)
ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ
มี ๑. โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้
๒. กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย
๓. โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม
๔. กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕. สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน
๖. ภังคะ ผ้าที่ทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
๔. ขันธ์แห่งจีวรประกอบด้วยอะไรบ้าง ? ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ ฯ
ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ว่า จีวรผืนหนึ่งให้มีขันธ์ไม่น้อยกว่า ๕ เกินกว่านั้นใช้ได้ แต่ให้เป็นขันธ์
ที่เป็นคี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ
๕. จีวรผืนหนึ่ง มีกำหนดจำนวนขัณฑ์ไว้อย่างไร ? ใน ๑ ขัณฑ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ กำหนดจำนวนไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ขัณฑ์ แต่ให้เป็นขัณฑ์คี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ
ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล กุสิ อัฑฒกุสิ ฯ
๖. สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว เข็ม มีดโกน อย่างไหนจัดเป็นบริขารบริโภค อย่างไหนจัดเป็นบริขาร
อุปโภค ? (๒๕๕๙)
ตอบ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว จัดเป็นบริขารบริโภค
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๗๙
เข็ม มีดโกน จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ
๗. บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง ? ที่จัดเป็นบริขารบริโภคและบริขารอุปโภคมีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ มีไตรจีวร คือผ้านุ่งผ้าห่มและผ้าทาบ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้ำ ฯ
ไตรจีวร บาตร ประคดเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภค
เข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้ำ จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ
๘. บริขาร ๘ อย่างไหนจัดเป็นบริขารบริโภค อย่างไหนจัดเป็นบริขารอุปโภค ? (๒๕๖๒)
ตอบ ไตรจีวร บาตร ประคตเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภค ฯ
เข็ม มีดโกน และผ้ากรอกน้ำ จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ
๙. บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร ฟูกเตียง (ที่นอน) หมอนหนุนศีรษะ เตียง ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า ฟูกตั่ง
(เบาะ) ผ้านิสีทนะ อย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค อย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ ?
(๒๕๔๗)
ตอบ ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้านิสีทนะ จัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค
ฟูกเตียง (ที่นอน) หมอนหนุนศีรษะ เตียง ฟูกตั่ง (เบาะ) จัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ ฯ
๑๐. ผ้าต่อไปนี้ คือสังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร ผืนใดที่ทรง
อนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ? (๒๕๕๔)
ตอบ สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้ำฝน ฯ
๑๑. บริขารต่อไปนี้ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖)
ก. บริขารเครื่องบริโภค ข. บริขารเครื่องอุปโภค
ตอบ ก. ได้แก่ ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก ผ้านิสีทนะ บาตร ฯ
ข. ได้แก่ กล่องเข็ม เครื่องกรองน้ำ มีดโกนพร้อมทั้งฝัก หินสำหรับลับ กับเครื่องสะบัด ร่ม
รองเท้า ฯ
๑๒. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐาน ด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?
(๒๕๕๔)
ตอบ ได้แก่ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรองน้ำ ถุงบาตร ย่าม ฯ
การอธิษฐานด้วยกาย คือการใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทำความผูกใจตามคำ
อธิษฐานนั้น ๆ
ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือการเปล่งคำอธิษฐานนั้น ๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
๘๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๑๓. วัสสิกสาฎกได้แก่ผ้าเช่นไร ? มีจำกัดประมาณ กว้าง ยาว ไว้อย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ ได้แก่ผ้าอาบน้ำฝน ฯ
มีจำกัดประมาณยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง แห่งคืบพระสุคต ฯ
๑๔. ภิกษุไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง ? (๒๕๔๘)
ตอบ ใน ๒ กรณี คือ
๑. ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑. คราวเจ็บไข้
๒. สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
๓. ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ
๔. วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
๕. ได้รับอานิสงส์พรรษา
๖. ได้กรานกฐิน
๒. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑. ได้รับอานิสงส์พรรษา
๒. ได้กรานกฐิน ฯ
๒. บาตร
๑. ในพระวินัย ทรงอนุญาตบาตรไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? และมีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขันไว้
อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด ฯ
คือ บาตรดินเผา (สุมดำสนิท) ๑ บาตรเหล็ก ๑ ฯ
มีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขัน คือห้ามไม่ให้วางบาตร เก็บบาตรไว้ในที่ ๆ บาตรจะ
ตกแตก และในที่จะประทุษร้ายบาตร ห้ามคว่ำบาตรไว้ที่พื้นคมแข็งอันจะประทุษร้ายบาตร ห้ามไม่ให้
แขวนบาตร และห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก มีบาตรอยู่ในมือห้ามไม่ให้
ผลักบานประตู เป็นต้น ฯ
๒. บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน ? (๒๕๖๑)
ตอบ มี ๒ ชนิด คือ ๑. บาตรดินเผา ๒. บาตรเหล็ก ฯ
บาตรแสตนเลส จัดเข้าในบาตรเหล็ก ฯ
๓. บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๓)
ตอบ มี ๒ ชนิด ฯ
คือ ๑. บาตรดินเผา ๒. บาตรเหล็ก ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๘๑
๔. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ มี ๒ ชนิด คือบาตรดินเผาและบาตรเหล็ก ฯ
มี ๓ ขนาด คือขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ฯ
๕. วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลงใน
บาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วให้ล้างบาตร
ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมดน้ำก่อนจึงผึ่ง ห้าม
ไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ
๓. เครื่องอุปโภค
๑. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใสของประชาชน ? (๒๕๔๙)
ตอบ การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า ภิกษุย่อมนิยมใช้
สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบ ๆ ไม่ใช้ของดีที่กำลังตื่นกันในสมัยอันจะพึงเรียกว่าโอ่โถง
ความประพฤติปอนของภิกษุนี้ ย่อมทำให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า ลูขประมาณ
แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสัย
๑. คําว่า ถือนิสัย หมายความว่าอะไร ? (๒๕๖๓)
ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระ ผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตน
ให้ท่านปกครองพึ่งพิงพํานักอาศัยท่าน ฯ
๒. คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร ?
(๒๕๕๖)
ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตน
ให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ
ต้องถือนิสัยเสมอไป แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้
เป็นไข้ ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้ เพื่อให้อยู่ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรมชั่วคราว และ
กรณีที่ในที่ใด หากท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ จะอยู่ในที่นั้นด้วยผูกใจ
ว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่านก็ใช้ได้ ฯ
๘๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๓. คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอะไร ? จงเขียนคำขอนิสัยอาจารย์พร้อมทั้งคำแปล (๒๕๔๔)
ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตน
ให้ท่านปกครองพึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ
คำขอนิสัยอาจารย์ว่าดังนี้ “อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ” ซึ่งแปลว่า
“ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอยู่อาศัยท่าน” ฯ
เหตุที่นิสสัยระงับจากอุปัชฌาย์ ๕ ประการ
๑. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ
คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
๒. ในบาลีแสดงเหตุนิสสัยระงับจากอุปัชฌายะไว้ ๕ ประการ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ มีอุปัชฌายะหลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์เสีย ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
๓. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ
คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑
๔. พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความเจริญงอกงามในพระธรรมวินัย ?
(๒๕๔๙)
ตอบ พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริกตั้งจิตสนิท
สนมในกันและกัน ให้พระอุปัชฌาย์สำคัญสัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระอุปัชฌาย์ฉัน
บิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระ
ธรรมวินัย ฯ
๕. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย ? (๒๕๕๕)
ตอบ อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่า ผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล
สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่า ผู้อยู่ด้วย
นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ
๖. จงให้ความหมายของคำดังต่อไปนี้ (๒๕๔๗)
ก. นิสสัย ข. วัตร ค. อุปัชฌายะ
ง. อาจารย์ จ. สัทธิวิหาริกวัตร
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๘๓
ตอบ ก. นิสสัย คือกิริยาที่พึ่งพิง
ข. วัตร หมายถึงขนบคือแบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น
แก่บุคคลนั้น ๆ
ค. อุปัชฌายะ คือภิกษุผู้รับให้สัทธิวิหาริกพึ่งพิง
ง. อาจารย์ คือภิกษุผู้รับให้อันเตวาสิกพึ่งพิง
จ. สัทธิวิหาริกวัตร คือหน้าที่อันอุปัชฌายะจะพึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ
เหตุที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริก ๕ ประการ
๑. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทำการประณาม
สัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรือันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ
ผู้ประพฤติดังนี้
๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒. หาความเลื่อมใสมิได้
๓. หาความละอายมิได้
๔. หาความเคารพมิได้
๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
๒. อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบด้วยเหตุอะไรบ้าง ? อาการที่อุปัชฌาย์ประณาม
สัทธิวิหาริกพึงทำอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ ด้วยเหตุดังนี้คือ หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑ หาความเลื่อมใสมิได้ ๑ หาความละอายมิได้ ๑
หาความเคารพมิได้ ๑ หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ
พึงพูดให้รู้ว่าตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามา ณ ที่นี้ จงขนบาตร
จีวรของเธอออกไปเสีย หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้ หรือแสดงอาการทางกายให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ
อาจารย์ตามนัยแห่งอรรถกถา มี ๔ ประเภท
๑. ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คำขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ
คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ
ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
๘๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๒. อาจารย์ทางพระวินัยตามนัยอรรถกถามีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? อาจารย์เหล่านั้นทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
(๒๕๔๔)
ตอบ มี ๔ คือ ปัพพชาจารย์ ๑ อุปสัมปทาจารย์ ๑ นิสสยาจารย์ ๑ อุทเทสาจารย์ ๑
ทำหน้าที่ต่างกัน คือ
ปัพพชาจารย์ ทำหน้าที่ให้สรณคมน์เมื่อบรรพชา
อุปสัมปทาจารย์ ทำหน้าที่สวดกรรมวาจาเมื่ออุปสมบท
นิสสยาจารย์ ทำหน้าที่ให้นิสัย
อุทเทสาจารย์ ทำหน้าที่สอนธรรม
๓. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ (๒๕๕๗)
ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์ ค. สัทธิวิหาริก
ง. อันเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ
ตอบ ก. อาจารย์ผู้ให้อุปสมบท ข. อาจารย์ผู้สอนธรรม
ค. ภิกษุผู้พึ่งพิงอุปัชฌาย์ ง. ภิกษุผู้อิงอาศัยอาจารย์
จ. ภิกษุผู้พ้นนิสสัยแล้ว ฯ
นิสัยมุตตกะ
๑. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? (๒๕๔๔)
ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ เรียกว่า นวกะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ เรียกว่า มัชฌิมะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป เรียกว่า เถระ
๒. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? (๒๕๖๐)
ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ ชื่อว่า นวกะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัยชื่อว่า
มัชฌิมะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย ชื่อว่า เถระ ฯ
๓. ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัยมุตตกะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ มีคุณสมบัติ คือ
๑. เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีสติ
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมาก มีปัญญา
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๘๕
๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ ทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือ
ยิ่งกว่า ฯ
๔. ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒)
ตอบ ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ
๑. เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยิน ได้ฟังมามาก มีปัญญา
๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ ทั้งมีพรรษาพ้น ๕ ฯ
๕. นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ นิสัยระงับ หมายถึงการที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง เช่น อุปัชฌาย์มรณภาพ เป็นต้น
นิสัยมุตตกะ หมายถึงภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตนได้เมื่ออยู่ตามลำพัง
ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร
๑. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ วัตร คือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๒. วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า วตฺตสมฺปนฺโน นั้นคืออะไรบ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๐, ๒๕๖๓)
ตอบ คือ ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๓. ในคำว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ ได้แก่ ขนบ คือ แบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่
บุคคลนั้น ๆ ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๘๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๔. วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน ? มีโทษให้เกิดความ
เสียหายอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ
ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ
มีโทษให้เกิดความเสียหาย คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทำให้ผ้าขาวมีรอย
เปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง เป็นที่ตำหนิของบัณฑิต
ทั้งหลาย ฯ
๕. วัตร คืออะไร ? อุปัชฌายวัตรและสัทธิวิหาริกวัตร ใครพึงทำแก่ใคร ? (๒๕๕๙)
ตอบ คือ แบบอย่างอันดีงามที่ภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ฯ
อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกพึงทำแก่อุปัชฌาย์
สัทธิวิหาริกวัตร อุปัชฌาย์พึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ
๑. กิจวัตร
อุปัชฌายวัตร
๑. กิจวัตรที่สัทธิวิหาริกควรกระทำแก่พระอุปัชฌายะในข้อว่า เคารพในท่านนั้น ในบาลีท่านแสดงไว้อย่างไร
? (๒๕๔๗)
ตอบ ในบาลีแสดงการเดินตามท่าน ไม่ให้ชิดนัก ไม่ให้ห่างนัก และไม่พูดสอดในขณะที่ท่านกำลังพูด
เมื่อท่านพูดผิด ไม่ทักหรือค้านอย่างจัง ๆ พูดอ้อมพอท่านได้สติรู้สึกตัว จึงจะเป็นการดี ฯ
สัทธิวิหาริกวัตร
๑. สัทธิวิหาริก คือใคร ? อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ ภิกษุผู้พึ่งพิงในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูป
นั้น ฯ
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ
๑. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
๒. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้
๓. ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้วแก่สัทธิวิหาริก
๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทำการพยาบาล ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๘๗
อาคันตุกวัตร
๑. ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ? (๒๕๔๕,
๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔)
ตอบ พึงประพฤติดังนี้
๑. ทำความเคารพในท่าน
๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น
๓. แสดงอาการสุภาพ
๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น
๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น
๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้งเครื่องเสนาสนะให้เป็น
ระเบียบ ฯ
ปิณฑจาริกวัตร
๑. ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ พึงประพฤติอย่างนี้
๑. นุ่งห่มให้เรียบร้อย
๒. ถือบาตรในภายในจีวร
๓. สำรวมกิริยาให้เรียบร้อย
๔. กำหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน
๕. รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม ฯ
เสนาสนคาหกวัตร
๑. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะ นั้นอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้
๑. ไม่ทำให้เปรอะเปื้อน
๒. ชำระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชำรุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านำไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๘๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๒. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสำหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะของสงฆ์ ควรเอาใจใส่
รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๘)
ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑. อย่าทำเปรอะเปื้อน
๒. ชำระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชำรุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
คิลานุปัฏฐากวัตร
๑. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า
อย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ
ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดาของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้า
พวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุ
นั้นพยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ
คิลานวัตร
๑. ภิกษุผู้อาพาธควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงไม่เป็นภาระแก่ผู้พยาบาล ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔)
ตอบ ควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้พยาบาลง่าย คือทำความสบายให้แก่ตน (ไม่ฉันของแสลง) รู้จักประมาณ
ในการบริโภค ฉันยาง่าย บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาล เป็นผู้อดทนต่อทุกขเวทนา ฯ
๒. จริยาวัตร
๑. ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ?
(๒๕๕๖)
ตอบ ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ
เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้ำก็จะหกเสียมารยาท
พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา หรือด้วยมือลูบก่อน ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง ฯ
๒. คำว่า วัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาส เป็นอาบัติอะไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๓)
ตอบ คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ
ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๘๙
จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกำหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย
นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ
๓. วิธีวัตร
๑. วิธีวัตร คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่น แบบอย่างการห่มผ้า เป็นต้น ฯ
แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่ำเสมอกัน เช่น นุ่งห่มเป็นแบบเดียวกันอัน
โบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุดไปทีละ
อย่าง จนไม่มีอะไรเหลือเมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ
๑. การแสดงความเคารพได้แก่กิริยาเช่นไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ ได้แก่การกราบไหว้ การลุกรับ การทำอัญชลี การทำสามีจิกรรม ฯ
๒. คารวะ คืออะไร ? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ?
(๒๕๕๔)
ตอบ คือ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และบุคคล ฯ
ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสำนักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเข้าแถวในบ้าน ใน
เวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ
เวลาที่อนุญาตให้งดไหว้กัน มี ๘ ประการ
๑. ภิกษุควรงดทำความเคารพกันในเวลาใดบ้าง ? จงตอบมา ๕ ข้อ (๒๕๔๖)
ตอบ ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบมา ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรมเพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดแลไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ฯ
๙๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๒. กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ในข้อ
นี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ (๒๕๕๓)
ตอบ ได้แก่ ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ทำอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่และไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือนอนหลับ หรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือส่งใจไปอื่นแม้ไหว้
ท่านก็คงไม่ใส่ใจ
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
การลุกรับมีงดในบางโอกาส
๑. ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ
๒. การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ? (๒๕๕๘,
๒๕๖๓)
ตอบ นั่งอยู่ในสำนักผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ ในอาราม ไม่
ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ
การทําความเคารพที่จัดไว้อีกส่วนหนึ่ง
๑. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่าเรียกผู้
อ่อนพรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ
๒. เพื่อแสดงความเคารพในภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า เมื่ออยู่ในกุฎีเดียวกับท่าน ควรปฏิบัติตนอย่างไร ?
(๒๕๕๑)
ตอบ ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือจะทำสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบาย
ความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดับไฟ จะเปิดจะปิดหน้าต่าง ห้ามมิให้ทำตามอำเภอใจ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๙๑
๓. เมื่ออยู่ในกุฎีเดียวกันกับพระเถระผู้มีพรรษามากกว่า ตามพระวินัยท่านให้ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๐,
๒๕๖๒)
ตอบ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ คือจะทำสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบายความ
จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะเปิดจะปิดไฟ จะเปิดจะปิดประตูหน้าต่าง ห้ามมิให้ทำตามอำเภอใจ ฯ
๔. ภิกษุผู้เข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดงอาการดูหมิ่นต่าง ๆ
เช่นพูดเสียงดัง และนั่งเหยียดเท้าเป็นต้น ไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะในลานพระเจดีย์ ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๖ จำพรรษา
ดิถีที่กําหนดให้เข้าพรรษา มี ๒ ช่วง
๑. ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๒)
ตอบ กล่าวไว้ ๒ คือ
๑. ปุริมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘
๒. ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ
๒. วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง ในแต่ละอย่าง
กำหนดวันไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ วันเข้าพรรษาต้น กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง คือวันแรม
๑ ค่ำ เดือน ๘
วันเข้าพรรษาหลัง กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น ล่วงแล้วเดือน ๑ คือวัน
แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ
การอธิษฐานเข้าพรรษา
๑. การจำพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ (๒๕๔๙)
ตอบ การจำพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทำอาลัย คือผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ในบัดนี้
มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคำอธิษฐานพร้อมกันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปล
ความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
๙๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๒. การอธิษฐานเข้าพรรษา กับ การปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกำหนดด้วยสงฆ์เท่าไร ?
และกำหนดเขตอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กำหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐาน
เข้าพรรษาพร้อม ๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น
ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่ม หรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ และให้กำหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯ
ส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม กำหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ และ
กำหนดให้ทำภายในเขตสีมา ถ้าต่ำกว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะถ้ารูปเดียวให้อธิษฐาน
เป็นการบุคคล ฯ
๓. ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาตลอด ๔ เดือนฤดูฝนนั้น เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ เพราะต้องการเดือนท้ายฤดูฝนไว้เป็นจีวรกาล คราวแสวงหาจีวร คราวทำจีวร เพื่อผลัดผ้าไตร
จีวรเดิม ฯ
สัตตาหกรณียะ
๑. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๓)
ตอบ คือ การหลีกไปในระหว่างอยู่จำพรรษาด้วยกรณียธุระและกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ
ให้ผูกใจว่าจะกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ
๒. ธุระเป็นเหตุไปด้วยสัตตาหกรณียะที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ มี ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้า ไปเพื่อรักษาพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้า ไปเพื่อระงับ
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เป็นต้นว่า วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมา
ปฏิสังขรณ์
๔. ทายกต้องการจะบำเพ็ญกุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขา หรือแม้ธุระอื่น
นอกจากนี้ ที่เป็นกิจลักษณะ อนุโลมตามนี้ ฯ
๓. ธุระเป็นเหตุให้ไปค้างแรมที่อื่นด้วยสัตตาหกรณียะ ที่กล่าวไว้ในบาลี มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๐)
ตอบ มี ๔ อย่าง ฯ
คือ ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าแล้วไปเพื่อพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าแล้วไปเพื่อระงับ
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุด ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมาซ่อมแซม
๔. ทายกต้องการจะทำบุญ ส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธา แม้กิจอื่นที่อนุโลมตามนี้ ท่าน
ก็อนุญาต ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๙๓
๔. ธุระเป็นเหตุให้ไปค้างแรมที่อื่นด้วยสัตตาหกรณียะ ที่กล่าวไว้ในบาลี มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๔)
ตอบ มี ๔ อย่าง คือ
๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าแล้วไปเพื่อพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าแล้วไปเพื่อระงับ
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุด ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมาซ่อมแซม
๔. ทายกต้องการจะทำบุญ ส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธา แม้กิจอื่นที่อนุโลมตามนี้ ท่าน
ก็อนุญาต ฯ
๕. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายใน วันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มี
เหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๐)
ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาห-
กรณียะ พรรษาขาด ฯ
๖. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทัน เช่นนี้พรรษา
ขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๙)
ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุ-
ญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ
๗. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง แต่กลับมาภายใน
๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ
สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ
๘. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ สัตตาหกรณียะ คือกิจจำเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปพัก
แรมคืนที่อื่น แต่ต้องกลับมาภายใน ๗ วัน
สัตตาหกาลิก คือเภสัช ๕ ที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ
๙. อีก ๗ วันจะถึงวันปวารณา ภิกษุทำสัตตาหกรณียะไปปวารณาที่วัดอื่น เธอจะได้รับอานิสงส์การจำ-
พรรษาหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ ได้รับอานิสงส์การจำพรรษาเหมือนกัน เพราะวันสุดท้ายแห่งวันจำพรรษาตกอยู่ในวันที่ ๗ ในที่
อื่นบ่งให้กลับใน ๗ วันนั้นเพราะยังไม่สิ้นกำหนดวันจำพรรษา ฯ
๙๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
อานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ ประการ
๑. ภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณา ย่อมได้อานิสงส์แห่งการจำพรรษาอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕)
ตอบ ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ
๒. ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ ได้อานิสงส์ ๕ คือ
๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ
กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา
อุโบสถ
๑. ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๔๖)
ตอบ ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔ ค่ำ)
และวันสามัคคี ฯ
๒. การทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพ็ญและพระจันทร์ดับแล้ว ยังทรงอนุญาตให้ทำได้
ในวันใดอีก ? อุโบสถเช่นนั้น เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ ในวันที่ภิกษุผู้แตกกันปรองดองกันได้ ฯ
เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๙๕
การก คือ ภิกษุผู้ทําอุโบสถ
๑. ผู้ทำและอาการที่ทำ ในการทำอุโบสถ มีอะไรบ้าง ? การทำอุโบสถต้องพร้อมด้วยองค์อย่างไรบ้าง ?
(๒๕๔๕)
ตอบ ผู้ทำมี ๓ คือ สงฆ์ คณะ และบุคคล
อาการที่ทำมี ๓ คือสวดปาฏิโมกข์ บอกความบริสุทธิ์ และอธิษฐาน
พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ
๑. วันนั้นเป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง
๒. ภิกษุผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม คือตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป
๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ
๔. บุคคลที่จำต้องเว้น ไม่มีในที่ประชุมนั้น ฯ
อาการที่ทําอุโบสถ
๑. ในการทำอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์และการอธิษฐาน ทรงให้ทำได้ใน
กรณีใด ? (๒๕๔๙)
ตอบ ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์
ถ้ามีเพียง ๓ รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแก่กันและกัน
ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ
๒. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
(๒๕๕๓)
ตอบ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์
๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศ
ญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑ รูป พึงอธิษฐาน ฯ
๓. ในวัดหนึ่ง มีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถ สวดปาติโมกข์
มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้วแต่ละรูป พึง
บอกความบริสุทธิ์ของตน
มีภิกษุ ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐาน หรือมีภิกษุต่ำกว่า ๔ รูป จะไปทำสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่น
ก็ควร ฯ
๙๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
บุพพกิจ มี ๕ อย่าง
๑. ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง ? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่อง
อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ มีดังนี้ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นำฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ สั่งสอน
นางภิกษุณี ฯ
ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไร แล้วสวด
ปรับอาบัติถุลลัจจัย ฯ
๒. บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการทำอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ
จะต้องทำบุพพกรณืและบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ บุพพกรณ์ คือกรณียะอันจะพึงกระทำให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์
ส่วนบุพพกิจ เป็นธุระอันจะพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ
บุพพกรณ์นั้น เป็นกรณียะจะต้องทำ เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ
ส่วนบุพพกิจนั้น ไม่ต้องทำ เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ
๓. บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้
บุพพกรณ์ เป็นกิจที่ภิกษุพึงทำก่อนแต่ประชุมสงฆ์ มีกวาดบริเวณที่ประชุม เป็นต้น
ส่วนบุพพกิจ เป็นกิจที่ภิกษุพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ มีนำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา เป็นต้น ฯ
สังฆอุโบสถ
๑. การตั้งญัตติกรรม ในเวลาทำอุโบสถ มีคำว่า ปตฺตกลฺลํ แปลว่า ความพรั่งพร้อมนั้น หมายความว่า
อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ หมายความว่า การทำอุโบสถกรรมนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. วันนั้น เป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง
๒. ภิกษุประชุมครบองค์ประชุม
๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ
๔. บุคคลที่ควรเว้นไม่มีในที่ประชุม ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๙๗
เหตุฉุกเฉินที่เรียกว่าอันตราย มี ๑๐ อย่าง
๑. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง (๒๕๕๗)
ตอบ ๑. พระราชาเสด็จมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้)
๒. โจรมาปล้น (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีภัยได้)
๓. ไฟไหม้ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อดับไฟหรือเพื่อป้องกันไฟได้)
๔. น้ำหลากมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีน้ำได้) สวดกลางแจ้งฝนตก (ก็เหมือนกัน)
๕. คมมามาก (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรู้เหตุ หรือเพื่อจะได้ทำปฏิสันถาร ได้อยู่)
๖. ผีเข้าภิกษุ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อขับผี ได้อยู่)
๗. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้น เข้ามาในอาราม (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อไล่สัตว์ ได้อยู่)
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ประชุม (ก็เหมือนกัน)
๙. ภิกษุอาพาธเกิดโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุม อันเป็นอันตรายแก่ชีวิต (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อช่วย
แก้ไข ก็ได้) มีอันเป็นตายในที่นั้นก็เหมือนกัน
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (เลิกสวดปาติโมกข์ เพราะ
ความอลหม่านก็ได้) ฯ (เลือกตอบเพียง ๕ ข้อ)
๒. ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจำปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จำได้ แล้วชักสุตบท (สวดย่อ)
โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๔)
ตอบ สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น ไม่ถูกต้อง ฯ
เพราะการสวดย่อเนื่องจากจำได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าในเหตุ
ฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ
๓. กำลังสวดพระปาฏิโมกข์ค้างอยู่ หากมีภิกษุอื่นมาถึงเข้าจะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุม ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากัน หรือ
น้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟัง ส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ
๔. สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือถ้าภิกษุมาใหม่มากกว่า ภิกษุที่ประชุมกันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้า
เท่ากัน หรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ ถ้าสวดจบแล้ว
จะมามากกว่าหรือน้อยกว่า ก็ไม่ต้องสวดซ้ำอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่บอกปาริสุทธิในสำนัก ภิกษุผู้ฟังปาฏิ-
โมกข์แล้ว ฯ
๙๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๕. กำลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ มีภิกษุอื่นเข้ามา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๓)
ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มีจำนวนมากกว่า ต้องเริ่มสวดใหม่ตั้งแต่ต้น ถ้ามีจำนวน
เท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ
๖. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือการสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และอัพภาณกรรม มีจำกัดจำนวนสงฆ์
อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๕)
ตอบ การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย
อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศ ต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย
อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย
อัพภาณกรรม ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย ฯ
ปวารณา
๑. ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทำปวารณาได้ ? และทำในวันไหน ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสทำปวารณาแทนอุโบสถ ฯ
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ
๒. ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันไหน ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔)
ตอบ คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ
มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ
๓. ปวารณา มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติ
อย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ
คือ สังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ
พึงทำคณปวารณา ฯ
๔. วันปวารณา และอาการที่กระทำ คืออะไรบ้าง ? การตั้งญัตติในสังฆปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
(๒๕๔๕)
ตอบ วันปวารณามี ๓ คือ จาตุททสี ที่ ๑๔ ค่ำ ๑ ปัณณรสี ที่ ๑๕ ค่ำ ๑ สามัคคีวันที่ภิกษุ
สงฆ์พร้อมเพรียงกัน ๑
อาการที่กระทำมี ๓ คือ ปวารณาต่อที่ประชุม ๑ ปวารณากันเอง ๑ อธิษฐานใจ ๑ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๙๙
มี ๕ อย่าง คือ เตวาจิกาญัตติ ๑ เทววาจิกาญัตติ ๑ เอกวาจิกาญัตติ ๑ สมานวัสสิกาญัตติ ๑
สัพพสังคาหิกาญัตติ ๑ ฯ
สังฆปวารณา
๑. สังฆปวารณา คืออะไร ? คำบอกปาริสุทธิว่าอย่างไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ คือ ปวารณาเป็นการสงฆ์ มีภิกษุประชุมตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ
ว่าดังนี้ สำหรับผู้แก่พรรษากว่าว่า “ปริสุทฺโธ อหํ อาวุโส ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรหิ” ว่า ๓ หน
สำหรับผู้อ่อนพรรษากว่าว่า “ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ” ว่า ๓ หน ฯ
๒. ภิกษุจำพรรษา ๑ รูป ๒, ๓, ๔, ๕ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ? เหตุที่ทำให้เลื่อน
ปวารณาได้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔)
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ ภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล, ภิกษุ ๒, ๓, ๔ รูป พึงทำคณะ
ปวารณา, ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไปพึงทำสังฆปวารณา ฯ
มี ๒ อย่างคือ
๑. ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย ด้วยหมายจะคัดค้านผู้นั้นผู้นี้ ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น
๒. อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสีย ฯ
๓. ภิกษุจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรืออยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติ
อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นการสงฆ์
อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงปวารณาเป็นการคณะ
อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
๔. ในอาวาสแห่งหนึ่งมีภิกษุจำพรรษาแรก ๔ รูป พรรษาหลัง ๒ รูป เมื่อถึงวันปวารณาแรก (เพ็ญเดือน
๑๑) และวันปวารณาหลัง (เพ็ญเดือน ๑๒) เธอทั้ง ๖ รูปนั้น จะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ เมื่อถึงวันปวารณาแรก พึงประชุมกันทั้ง ๖ รูปแล้ว ตั้งสังฆญัตติ ภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูป
พึงปวารณา เมื่อเสร็จแล้วภิกษุอีก ๒ รูป พึงทำปาริสุทธิอุโบสถ ในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น เมื่อถึงวัน
ปวารณาหลัง พึงประชุมกัน ๖ รูปเช่นเดียวกันแล้ว ภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูป พึงตั้งญัตติสวด
ปาฏิโมกข์ เมื่อจบแล้วภิกษุ ๒ รูป พึงปวารณาในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น ฯ
๕. ในวัดหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป เมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษาพึงทำอย่างไร ? ถ้ามีภิกษุ
อาคันตุกะสัตตาหะมาสมทบอีก ๕ รูป จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ ในวันมหาปวารณาพึงทำคณะปวารณา โดยรูปหนึ่งตั้งญัตติแล้วกล่าวปวารณาตามลำดับพรรษา ฯ
๑๐๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะมาเพิ่มอีก ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นสังฆปวารณา แล้วกล่าว
ปวารณา ตามลำดับพรรษา ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา
๑. อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
มี ๓ อย่าง ฯ
คือ อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
๒. อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๔)
ตอบ คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
มี ๓ อย่าง คือ อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติ
เลวทราม และอเนสนา ได้แก่ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
๓. อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจาร ปาปสมาจาร อเนสนา ? (๒๕๕๓)
ตอบ คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร
ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร
ความเลี้ยงชีพไม่สมควร จัดเข้าในอเนสนา ฯ
๔. การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? จงบอกความหมายของแต่
ละอย่างด้วย (๒๕๔๔)
ตอบ เรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ
มี ๓ อย่าง ฯ
คือ อนาจาร ๑ ปาปสมาจาร ๑ อเนสนา ๑
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร
ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร
ความเลี้ยงชีพไม่สมควร จัดเข้าในอเนสนา
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๐๑
๕. การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ความประพฤติ
เช่นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ
ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
รวมเรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ
๑. อนาจาร
๑. อนาจาร หมายถึงอะไร ? เล่นอย่างไรบ้าง จัดเป็นอนาจาร ? (๒๕๕๙)
ตอบ อนาจาร หมายถึงความประพฤติไม่ดีไม่งาม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ฯ
เล่นอย่างเด็ก เล่นคะนอง เล่นพนัน เล่นปู้ยี่ปู้ยำ เล่นอึงคะนึง จัดเป็นอนาจาร ฯ
๒. ความรู้ในการทำเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็นความรู้ที่ทำให้เขาสงสัยว่าลวง ทำให้
เขาหลงงมงาย ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียนเป็นผู้หัดเพื่อลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฯ
๓. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒)
ตอบ เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้หัด
เพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ฯ
๒. ปาปสมาจาร
๑. ปาปสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุชื่อว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ ความประพฤติเลวทราม เนื่องด้วยการคบคฤหัสถ์ด้วยการสมาคมอันมิชอบ ฯ
เพราะประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน เป็นศรีของพระศาสนา ฯ
๒. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์
ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ
๓. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส” เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔)
ตอบ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล โดยฐาน
เป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยัง
ความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน ฯ
๑๐๒ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๔. ภิกษุได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส กับ ภิกษุผู้ได้รับการตำหนิว่า กุลทูสโก
ผู้ประทุษร้ายตระกูล เพราะมีความประพฤติเช่นไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก เพราะถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิท
ของสกุลโดยฐานเป็นคนเลว ไม่รุกรานตัดรอนเขาแสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทำให้เขา
เลื่อมใสนับถือตน
ส่วนภิกษุผู้ได้รับการตำหนิว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธา
เลื่อมใส ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกำนัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำกัน ยอมตน
ให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ
๕. ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับ ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เพราะมีความประพฤติต่างกัน
อย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบเขาด้วย
กิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกำนัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วย
อาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกลุ โดยฐาน
เป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทำให้เขาเลื่อมใสนับถือตน ฯ
๖. ความประพฤติต่อไปนี้ จัดเข้าในอุปปถกิริยาข้อไหน ? (๒๕๔๖)
ก. ชอบเล่นคะนอง ร้องรำทำเพลง
ข. ชอบด่าว่า เสียดสี เปรียบเปรยเขา ยุยงให้เขาแตกกัน
ตอบ ก. จัดเข้าในข้ออนาจาร ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
ข. จัดเข้าในข้อปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ฯ
๓. อเนสนา
๑. อเนสนา ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๓)
ตอบ อเนสนา ได้แก่กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ
มี ๒ อย่าง คือ
๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก
๒. การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ฯ
๒. อเนสนา คืออะไร ? ภิกษุทำอเนสนา ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๔๘)
ตอบ คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ
ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ และทุกกฏ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๐๓
๓. อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ ได้แก่ โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ
มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา ฯ
๔. ภิกษุไม่สังวรในอุปปถกิริยา จะพึงได้รับโทษอย่างไรบ้าง ? การแสวงหาเช่นไรจัดเป็นโลกวัชชะ มีโทษ
ทางโลก ? เช่นไรจัดเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ? (๒๕๔๕)
ตอบ ปรับเป็นอาบัติทุกกฏ และเป็นฐานที่สงฆ์จะพึงลงโทษ ๔ สถาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม
โทษานุโทษ คือ
๑. ตัชชนียกรรม ตำหนิโทษ
๒. นิยสกรรม ถอดยศ คือถอดความเป็นผู้ใหญ่
๓. ปัพพาชนียกรรม ขับไล่จากวัด
๔. ปฏิสารณียกรรม ให้หวนระลึกถึงความผิด ฯ
การแสวงหาในทางบาป เช่น ทำโจรกรรมและหลอกลวงให้เขาเชื่อถือ และในทางที่โลกเขาดู
หมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ
การแสวงหาในทางผิดธรรมเนียมของภิกษุ แม้ไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ ฯ
กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๔
๑. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกระคนกันมีกำหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง (๒๕๕๒)
ตอบ ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป ฯ
มีดังนี้ คือยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก
กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นสุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จำกัดอายุคลุก
กับน้ำผึ้ง ที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกำหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ฯ
๒. กาลิก มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? กล้วยดองน้ำผึ้งเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ มี ๔ ฯ
ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก ฯ
เป็นยาวกาลิก ฯ
๓. กาลิก ๔ ได้แก่ อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ ได้แก่ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ฯ
โภชนะ ๕ เป็นยาวกาลิก เภสัช ๕ เป็นสัตตาหกาลิก ฯ
๑๐๔ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๔. ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ ฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฏ
ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
๕. อุททิสมังสะ ได้แก่เนื้อเช่นไร ? ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๖)
ตอบ อุททิสมังสะ ได้แก่เนื้อที่เป็นกัปปิยะโดยกำเนิดและเขาทำให้สุกแล้ว แต่เป็นของที่เขาฆ่าเพื่อทำ
เป็นอาหารถวายพระภิกษุโดยตรง ฯ
ภิกษุฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฎ ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
๖. คำว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ อันโตวุฏฐะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน
อันโตปักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน)
สามปักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุทำให้สุกเอง ฯ
๗. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฏเกณฑ์กำหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยก
ตัวอย่าง (๒๕๕๓)
ตอบ ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน
ยาวชีวิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดกาล ฯ
กฏเกณฑ์กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด เช่น ยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้ำผึ้งที่เป็น
สัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน เป็นเกณฑ์ ฯ
๘. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒)
ตอบ ยาวกาลิก คือของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่
โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น
ส่วนยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดเวลา แต่เมื่อมีเหตุจึง
บริโภคได้ ได้แก่รากไม้ น้ำฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ
๙. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ
จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ
๑๐. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๕)
ตอบ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง แต่กลับมาภายใน
๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๐๕
สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ
๑๑. ภิกษุบิณฑบาตได้สับปะรดแล้ว นำมาฉันรวมกับน้ำตาลทรายและเกลือซึ่งรับประเคนไว้แล้ว ๒ วัน
จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะน้ำตาลทรายเป็นสัตตาหกาลิก เกลือเป็นยาวชีวิก เมื่อนำมาฉันรวมกับ
สับปะรดซึ่งเป็นยาวกาลิก จึงมีคติเป็นยาวกาลิก ทำให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันของเป็นสันนิธิ ฯ
กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ
๑. ลหุภัณฑ์และครุภัณฑ์ ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้ และไม่ได้ ? (๒๕๔๔,
๒๕๖๑)
ตอบ ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว คือบาตร จีวร ประคด
เอว เข็ม มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้
ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่องใช้ใน
เสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้ ฯ
๒. ภัตตุทเทสกะ จีวรภาชกะ และอัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุ ผู้มีหน้าที่อะไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ ภัตตุทเทสกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกภัตตาหาร ตลอดถึงรับนิมนต์ของทายกแล้วจัดส่งพระ
ไปให้
จีวรภาชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกจีวร
อัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกเภสัชและบริขารเล็กน้อย ฯ
๓. ภัณฑะเช่นไรที่จัดเป็นของสงฆ์ ? กำหนดไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? บิณฑบาต กุฎี ที่ดิน จีวร
ประคดเอว และเสนาสนะ เป็นภัณฑะประเภทไหน ? (๒๕๔๗)
ตอบ ภัณฑะที่เขาถวายเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ ไม่เฉพาะตัว หรือภัณฑะอันภิกษุรับก็ดี ปกครองหวง
ห้ามไว้ก็ดีด้วยความเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ จัดเป็นของสงฆ์ ฯ
กำหนดไว้ ๒ ประเภท คือครุภัณฑ์ ๑ ลหุภัณฑ์ ๑ ฯ
บิณฑบาต จีวร ประคดเอว จัดเป็นลหุภัณฑ์ กุฎี ที่ดิน และเสนาสนะ จัดเป็นครุภัณฑ์ ฯ
๔. ภัณฑะของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ? จง
อธิบาย (๒๕๕๙, ๒๕๖๓)
ตอบ ตกเป็นของสงฆ์ ฯ
ไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่เจ้าของภัณฑะยังมีชีวิตอยู่ ฯ
๑๐๖ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๕. สมบัติของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ? จง
อธิบาย (๒๕๖๔)
ตอบ ตกเป็นของสงฆ์ ฯ
ไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ฯ
๖. ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง? (๒๕๕๗)
ตอบ มี ๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา
๒. เป็นผู้เคยคบกันมา
๓. ได้พูดกันไว้
๔. ยังมีชีวิตอยู่
๕. รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ฯ
๗. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสำคัญ (๒๕๕๕)
ตอบ คือ เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าของนั้น
เราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ
เห็นว่าข้อสุดท้ายสำคัญ ฯ
๘. ในบาลีแสดงลักษณะการถือวิสาสะไว้อย่างไรบ้าง ? เหตุที่ควรถือเป็นประมาณ ๕ ประการให้บริขาร
ขาดอธิษฐาน มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๕)
ตอบ แสดงไว้อย่างนี้ คือ
๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๒. เป็นผู้เคยคบกันมา
๓. ได้พูดกันไว้ ๔. ยังมีชีวิตอยู่
๕. รู้ว่าของนั้น เราถือเอาแล้วเจ้าของจักพอใจ ฯ
มีดังนี้ คือ
๑. ให้แก่ผู้อื่น ๒. ถูกโจรชิงเอาไปหรือลักเอาไป
๓. มิตรถือเอาด้วยวิสาสะ ๔. ถอนเสียจากอธิษฐาน
๕. เป็นช่องทะลุ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๐๗
กัณฑ์ที่ ๒๑ วินัยกรรม
๑. วินัยกรรม คืออะไร ? มีกี่อย่าง อะไรบ้าง ? การทำวินัยกรรมมีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ไว้อย่างไรบ้าง ?
(๒๕๔๖)
ตอบ คือ การทำกิจตามพระวินัย ฯ
มี ๓ อย่าง ฯ
คือ ๑. การแสดงอาบัติ
๒. การอธิษฐาน
๓. การวิกัป ฯ
มีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ดังนี้
๑. แสดงอาบัติต้องแสดงแก่ภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน
๒. อธิษฐานต้องทำเอง
๓. วิกัปต้องทำแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี รูปใด
รูปหนึ่ง
ส่วนสถานที่ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ในที่นอกสีมา ก็ทำได้ ฯ
๒. การแสดงอาบัติ การอธิฐาน การทำวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทำกิจเหล่านี้ จำกัด
บุคคลไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ เรียกว่า วินัยกรรม ฯ
การแสดงอาบัติ จำกัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน
การอธิฐาน ให้ทำเอง
การทำวิกัป จำกัดผู้รับ ต้องทำกับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี
และสิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง ฯ
๓. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๔)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงกระทำตามพระวินัย เช่น การแสดง
อาบัติ อธิษฐาน วิกัป เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม
กรรมที่ภิกษุครบองค์สงฆ์จตุวรรคเป็นต้น พึงทำเป็นการสงฆ์ เช่น อปโลกนกรรม ญัตติกรรม
เป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม
๔. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทำวินัยกรรมนั้น มีจำกัดบุคคล และ
สถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทำตามพระวินัย เช่น พินทุ อธิษฐาน
วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม
๑๐๘ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
กรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ์ มีจำนวนอย่างต่ำตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทำ เช่น อปโลกนกรรม
เป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม ฯ
จำกัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑. แสดงอาบัติ ตั้งแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒. อธิฐาน ต้องทำเอง
๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี
รูปใดรูปหนึ่ง
๔. ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ทำในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ
๕. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน ให้แสดงใน
สำนักภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดง
ในสำนักของภิกษุนั้น ฯ
๖. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
๗. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ห้ามไม่ให้แสดง ห้ามไม่ให้รับ
ให้แสดงในสำนักของภิกษุอื่น ฯ
๘. คำว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติ
อย่างไร? (๒๕๔๙)
ตอบ คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสำหรับภิกษุเอาไว้ใช้สำหรับตัว (เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น ไม่ใช้
ผืนอื่น) ฯ
พึงทำพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ เราทำหมายด้วยจุดนี้ แล้วปัจจุทธรณ์คือ
ยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้า
สังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺ ามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ
๙. จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องทำอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องขอให้ผู้รับถอนก่อน ฯ
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท } ๑๐๙
กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณกะ มหาปเทส ๔
๑. มหาปเทส คืออะไร ? น้ำตาลสด มิได้ทรงอนุญาตไว้โดยตรงให้ภิกษุฉันได้เหมือนน้ำอ้อย แต่ฉันได้
เพราะอะไร ? จงตอบให้มีหลัก (๒๕๔๗)
ตอบ คือ ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ
แม้มิได้ทรงอนุญาตโดยตรงให้ภิกษุฉันได้ก็จริง แต่เพราะน้ำตาลสดเป็นของมีรสหวาน สำเร็จ
ประโยชน์เช่นเดียวกันกับรสหวานแห่งอ้อย ชื่อว่าเป็นของเข้ากันกับรสหวานแห่งอ้อย ดังมีระบุไว้ใน
มหาปเทส ๔ ข้อว่า สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดกันต่อสิ่งเป็น
อกัปปิยะ สิ่งนั้นควร ฯ
๒. มหาปเทส แปลว่าอะไร ? ทรงประทานไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ แปลว่า ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ
เพื่อเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยทั้งในทางธรรมทั้งในทางวินัย ฯ
๓. ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉัน
ได้ ? (๒๕๕๓)
ตอบ ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถ้า และดินได้ ฯ
๔. วิบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? จงให้ความหมายของวิบัติแต่ละอย่างนั้นพอได้
ใจความ (๒๕๔๖)
ตอบ มี ๔ ฯ
คือ ๑. สีลวิบัติ ๒. อาจารวิบัติ ๓. ทิฏฐิวิบัติ ๔. อาชีววิบัติ ฯ
ความเสียแห่งศีล ชื่อว่าสีลวิบัติ
ความเสียมารยาท ชื่อว่าอาจารวิบัติ
ความเห็นผิดธรรมผิดวินัย ชื่อว่าทิฏฐิวิบัติ
ความเสียแห่งการเลี้ยงชีพ ชื่อว่าอาชีววิบัติ ฯ
๕. สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑)
ตอบ มี ๔ ฯ
คือ ๑. สีลสมบัติ ๒. อาจารสมบัติ ๓. ทิฏฐิสมบัติ ๔. อาชีวสมบัติ ฯ
๖. อโคจร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ คือ บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ
มีหญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ฯ
๑๑๐ { ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก
๗. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง (๒๕๕๒)
ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากบุคคลและ
สถานที่ไม่สมควรไป คืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร
อันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ
๘. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า โคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เพราะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็น
กิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่ำเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อน
สหธรรมมิก เพราะการไปเที่ยว ฯ
๙. ภิกษุได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ?
(๒๕๕๕)
ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากอโคจร คือ
บุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ
๑๐. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า โคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เพราะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๐)
ตอบ เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็น
กิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่ำเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อน
สหธรรมิก ฯ
จัดทำโดย
พระมหำมนตรี กตปุญฺโ
วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดำรำม ต.อุ้มผำง อ.อุ้มผำง จ.ตำก

ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdf

  • 2.
    คำนำ ประสบการณ์ของการทำหน้าที่ติวอบรมก่อนสอบธรรมสนามหลวง นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก และ การทำหน้าที่คุมสอบนักธรรมได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามการศึกษานักธรรมกับพระภิกษุสามเณร ผู้เข้าสอบ นักธรรม ทำให้รับรู้ถึงสาเหตุที่ผู้เข้าสอบนักธรรมทำข้อสอบได้ และทำข้อสอบไม่ได้ พระภิกษุสามเณรที่เรียน แต่นักธรรมอย่างเดียว ส่วนมากทำข้อสอบได้ เพราะมีเวลากับการเรียนมาก บางรูปเรียนอย่างอื่นควบคู่กัน ด้วย จึงมีปัญหาเรื่องการอ่านท่องจำ ทำความเข้าใจในตำราเรียน หรืออาจจะมาเริ่มดูนักธรรมในช่วงที่มีการ ติวอบรมก่อนสอบธรรมสนามหลวง ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นโท เป็นการกำหนดขอบเขตการศึกษานักธรรม เพื่อให้ เหมาะสมกับเวลาเรียน ไม่ได้เน้นในเรื่องการอธิบาย เป็นเพียงแนวข้อสอบ ทำให้เห็นความสำคัญใน การศึกษาในแต่ละรายวิชา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ประกอบการเรียนการสอน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ เล่มนี้ จะเกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาทุกรูป พระมหามนตรี กตปุญฺโ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕
  • 3.
    สารบัญ หน้า วิชาธรรมวิภาค ๑ ทุกะ หมวด๒ ๑ อริยบุคคล ๒ ๑ กัมมัฏฐาน ๒ ๑ กาม ๒ ๓ ทิฏฐิ ๒ ๓ เทสนา ๒ ๔ ธรรม ๒ ๔ บูชา ๒ ๕ ปฏิสันถาร ๒ ๕ ปริเยสนา ๒ ๖ ปาพจน์ ๒ ๖ รูป ๒ ๖ วิมุตติ ๒ ๗ ติกะ หมวด ๓ ๘ อกุศลวิตก ๓ ๘ กุศลวิตก ๓ ๘ อัคคิ ๓ ๙ อธิปเตยยะ ๓ ๙ อภิสังขาร ๓ ๑๐ ทวาร ๓ ๑๐ ญาณ ๓ ๑๐ ปาฏิหาริย์ ๓ ๑๒ ปิฎก ๓ ๑๒ พุทธจริยา ๓ ๑๒ ภพ ๓ ๑๓ วัฏฏะ ๓ ๑๓ วิชชา ๓ ๑๔ วิโมกข์ ๓ ๑๔ วิเวก ๓ ๑๔
  • 4.
    สังขาร ๓ ๑๔ โสดาบัน๓ ๑๔ จตุกกะ หมวด ๔ ๑๕ อบาย ๔ ๑๕ อปัสเสนธรรม ๔ ๑๕ อัปปมัญญา ๔ ๑๖ พระอริยบุคคล ๔ ๑๖ อริยวงศ์ ๔ ๑๗ อุปาทาน ๔ ๑๗ โอฆะ ๔ ๑๘ อริยสัจ ๔ ๑๘ ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ๑๙ โยนิ ๔ ๑๙ ปัญจกะ หมวด ๕ ๒๐ มัจฉริยะ ๕ ๒๐ มาร ๕ ๒๐ วิญญาณ ๕ ๒๒ วิมุตติ ๕ ๒๒ เวทนา ๕ ๒๒ สังวร ๕ ๒๓ สุทธาวาส ๕ ๒๓ ฉักกะ หมวด ๖ ๒๓ อภิฐาน ๖ ๒๓ จริต ๖ ๒๓ ธรรมคุณ ๖ ๒๔ ปิยรูป สาตรูป หมวดละหก ๑๐ หมวด ๒๕ สวรรค์ ๖ ชั้น ๒๕ สัตตกะ หมวด ๗ ๒๖ อนุสัย ๗ ๒๖ เมถุนสังโยค ๗ ๒๖ วิญญาณฐิติ ๗ ๒๗ วิสุทธิ ๗ ๒๗
  • 5.
    อัฏฐกะ หมวด ๘๒๗ อริยบุคคล ๘ ๒๗ อวิชชา ๘ ๒๗ นวกะ หมวด ๙ ๒๘ อนุปุพพวิหาร ๙ ๒๘ พุทธคุณ ๙ ๒๘ มานะ ๙ ๓๐ ทสกะ หมวด ๑๐ ๓๑ บารมี ๑๐ ๓๑ มิจฉัตตะ ๑๐ ๓๒ เอกาทสกะ หมวด ๑๑ ๓๒ ปัจจยาการ ๑๑ ๓๒ ทวาทสกะ หมวด ๑๒ ๓๒ กรรม ๑๒ ๓๒ เตรสกะ หมวด ๑๓ ๓๔ ธุดงค์ ๑๓ ๓๔ ปัณณรสกะ หมวด ๑๕ ๓๖ จรณะ ๑๕ ๓๖ วิชาอนุพุทธประวัติ ๓๘ ประวัติพระปัญจวัคคีย์ ๔๐ ประวัติพระยสะและสหายพระยสะ ๕๔ องค์ ๔๔ ประวัติพระอุรุเวลกัสสปะ ๔๗ ประวัติพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ๕๐ ประวัติพระมหากัสสปะและพระมหากัจจายนะ ๕๔ ประวัติมาณพ ๑๖ คน ๕๗ ประวัติพระราธะและพระปุณณมันตานีบุตร ๕๙ ประวัติพระราหุล พระอุบาลี พระอนุรุทธะ และพระอานนท์ ๕๙ ประวัติพระโสณโกฬิวิสะ พระรัฐบาล และพระโสณกุฏิกัณณะ ๖๑ ประวัติภิกษุณี ๖๓ ศาสนพิธี ๖๔
  • 6.
    หมวดที่ ๑ กุศลพิธี๖๔ พิธีเข้าพรรษา ๖๔ พิธีสามีจิกรรม ๖๕ พิธีทําวัตรสวดมนต์ ๖๖ พิธีทําสังฆอุโบสถ ๖๖ พิธีกรรมวันธรรมสวนะ ๖๖ หมวดที่ ๒ บุญพิธี ๖๗ พิธีทําบุญตักบาตรเทโวโรหณะ ๖๗ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ๖๘ พิธีสวดพระพุทธมนต์ ๖๘ พิธีสวดพระอภิธรรม ๖๙ พิธีสวดมาติกา ๖๙ พิธีสวดแจง ๖๙ พิธีอนุโมทนากรณีต่าง ๆ ๖๙ พิธีแสดงพระธรรมเทศนา ๖๙ หมวดที่ ๓ ทานพิธี ๗๐ พิธีถวายเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ๗๐ พิธีถวายผ้าวัสสิกสาฎก ๗๑ พิธีถวายผ้าป่า ๗๑ หมวดที่ ๔ ปกิณกะ ๗๒ พิธีบังสุกุลเป็น ๗๒ วิชาวินัยบัญญัติ ๗๓ สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ๗๓ พระวินัย ๗๓ อภิสมาจาร ๗๔ กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร ๗๖ กัณฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค ๗๘ ๑. จีวร ๗๘ ๒. บาตร ๘๐ ๓. เครื่องอุปโภค ๘๑ กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสสัย ๘๑ เหตุที่นิสสัยระงับจากอุปัชฌาย์ ๕ ประการ ๘๒
  • 7.
    เหตุที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริก ๕ ประการ๗๓ อาจารย์ตามนัยแห่งอรรถกถา มี ๔ ประเภท ๘๓ นิสสัยมุตตกะ ๘๔ กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร ๘๕ ๑. กิจวัตร ๘๖ ๒. จริยาวัตร ๘๘ ๓. วิธีวัตร ๘๙ กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๘๙ เวลาที่อนุญาตให้งดไหว้กัน มี ๘ ประการ ๘๙ การลุกรับมีงดในบางโอกาส ๙๐ การทําความเคารพที่จัดไว้อีกส่วนหนึ่ง ๙๐ กัณฑ์ที่ ๑๖ จำพรรษา ๙๑ ดิถีที่กําหนดให้เข้าพรรษา มี ๒ ช่วง ๙๑ การอธิษฐานเข้าพรรษา ๙๑ สัตตาหกรณียะ ๙๒ อานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ ประการ ๙๔ กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา ๙๔ อุโบสถ ๙๔ การก คือ ภิกษุผู้ทําอุโบสถ ๙๕ อาการที่ทำอุโบสถ ๙๕ บุพพกิจ มี ๕ อยาง ๙๖ สังฆอุโบสถ ๙๖ เหตุฉุกเฉินที่เรียกว่าอันตราย มี ๑๐ อย่าง ๙๗ ปวารณา ๙๘ สังฆปวารณา ๙๙ กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา ๑๐๐ ๑. อนาจาร ๑๐๑ ๒. ปาปสมาจาร ๑๐๑ ๓. อเนสนา ๑๐๓ กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๑๐๓ กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ ๑๐๕ กัณฑ์ที่ ๒๑ วินัยกรรม ๑๐๗
  • 8.
    กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณณกะ๑๐๕ มหาปเทส ๔ ๑๐๙
  • 9.
    วิชาธรรมวิภาค ทุกะ หมวด ๒ อริยบุคคล๒ ๑. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร ? ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะอะไร ? (๒๕๕๐) ตอบ ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ ๒. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากำลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่า พระเสขะได้หรือไม่ ? (๒๕๕๔) ตอบ คือ ศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ฯ ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จำพวกเบื้องต้น ฯ ๓. พระอริยบุคคล ๘ จำพวก จำพวกไหนชื่อว่าพระเสขะ และพระอเสขะ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙) ตอบ พระอริยบุคคล ๗ เบื้องต้นชื่อว่าพระเสขะ เพราะเป็นผู้ยังต้องปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง ฯ พระอริยบุคคลผู้ต้องอยู่ในอรหัตตผล ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ กัมมัฏฐาน ๒ ๑. สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๓) ตอบ สมถกรรมฐานมุ่งผล คือความสงบใจ ส่วนวิปัสสนากรรมฐานมุ่งผล คือความเรืองปัญญา ฯ ๒. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน หรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๗) ตอบ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทนฺตา ฟัน และตโจ หนัง ฯ เรียกอีกอย่างว่ามูลกัมมัฏฐาน ฯ เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
  • 10.
    ๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๓. ตจปัญจกกัมมัฏฐานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนา กัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๒) ตอบ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทันตา ฟัน และ ตโจ หนัง ฯ เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ ๔. ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ? จงอธิบาย (๒๕๔๘) ตอบ ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าเพ่งกำหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณา ถึงความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อม สลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ ๕. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน หรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๖๔) ตอบ มีเกสา ผม, โลมา ขน, นขา เล็บ, ทนฺตา ฟัน และตโจ หนัง ฯ เป็นอารมณ์ได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ ๖. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๕๕) ตอบ ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือมูลกัมมัฏฐาน ฯ เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ ๗. มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ กัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์สอนก่อนบรรพชา ฯ ถ้าเพ่งกำหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้นพิจารณาแยกออกเป็น ส่วน ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ ๘. การพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ จัดเป็นกัมมัฏฐานอะไร ? มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ มีประโยชน์ คือทำให้รู้จักสภาพที่เป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ฯ
  • 11.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๓ กาม ๒ ๑. กามและกามคุณ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ กาม ได้แก่ความใคร่ ความน่าปรารถนา ความพอใจ แบ่งเป็นกิเลสกามและวัตถุกาม ส่วนกามคุณ ได้แก่อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นวัตถุกามนั่นเอง ฯ ๒. รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้ง ๕ นี้ เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า กามคุณ ? (๒๕๔๔) ตอบ เพราะเป็นกลุ่มแห่งกาม และเป็นสิ่งที่ให้เกิดความสุข ความพอใจได้ ฯ ๓. ราคะ โลภะ อิสสา กลิ่น รส อย่างไหนเป็นกิเลสกาม อย่างไหนเป็นวัตถุกาม ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ ราคะ โลภะ อิสสา เป็นกิเลสกาม กลิ่น รส เป็นวัตถุกาม ฯ ทิฏฐิ ๒ ๑. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ มี ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ ๒. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จง อธิบาย ? (๒๕๕๐) ตอบ เห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ ๓. ความเห็นว่า “ถึงคราวเคราะห์ดีก็ดีเอง ถึงคราวเคราะห์ร้ายก็ร้ายเอง” อย่างนี้เป็นทิฏฐิอะไร ? จง อธิบาย คติทางพระพุทธศาสนาต่างจากความเห็นนี้อย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ เป็นอเหตุกทิฏฐิ คือเห็นว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย คนเราจะได้ดีหรือได้ร้าย ตามคราว เคราะห์ ถึงคราวจะดีก็ดีเอง ถึงคราวจะร้ายก็ร้ายเอง ไม่มีเหตุปัจจัยอื่น ฯ พระพุทธศาสนาถือว่าสังขตธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ฯ
  • 12.
    ๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก เทสนา ๒ ๑. เทสนา ๒ มีอะไรบ้าง ? เทสนา ๒ อย่างนั้น ต่างกันอย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๔๖) ตอบ มีปุคคลาธิฏฐานา มีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็นที่ตั้ง ๑ ฯ ต่างกันอย่างนี้ การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความ เพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลาง มหาสมุทรที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ เป็นปุคคลาธิฏฐานา ส่วนการยกธรรมแต่ละข้อมาอธิบายความหมายอย่างเดียว เช่น สติ แปลว่าความระลึกได้ หมายความว่า ก่อนจะทำ ก่อนจะพูดอะไร ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงทำ จึงพูดออกไป เป็นต้น เป็นธัมมาธิฏฐานา ฯ ๒. บุคคลาธิฏฐานาเทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ มีอธิบายว่า การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความเพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลางมหาสมุทร ที่กว้างใหญ่ มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ และทรงถึงฝั่งได้ดังประสงค์ ฯ ธรรม ๒ ๑. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๒) ตอบ คือ ธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯ มีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความดับไปใน ที่สุด ฯ ๒. สังขตธรรมและอสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม เพราะมีลักษณะ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ สังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนอสังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยไม่ได้ปรุงแต่ง ฯ เพราะมีลักษณะ คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความดับในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรผัน ปรากฏ ฯ ๓. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้น หรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๒) ตอบ เป็นลักษณะของสังขตธรรม ฯ มีลักษณะเช่นนั้น คือเมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น ต่อมาก็เจริญเติบโตผ่านวัย ทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไป ฯ
  • 13.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๕ ๔. สังขารทั้งหลายไม่เป็นอนัตตาหรือ เพราะเหตุไรในธรรมนิยามจึงใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ? จงอธิบาย ? (๒๕๔๗) ตอบ สังขารทั้งหลายก็เป็นอนัตตา แต่ที่ใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้น เพราะธรรมนั้นหมาย เอาธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม สังขตธรรมได้แก่สังขารนั่นเอง อสังขตธรรมได้แก่วิสังขารคือ พระนิพพาน ฯ บูชา ๒ ๑. บูชา ๒ คืออะไรบ้าง ? การสมาทานศีล ๕ เป็นประจำจัดเป็นบูชา ประเภทใด ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ อามิสบูชา บูชาด้วยอามิสสิ่งของ ๑ ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม ๑ ฯ เป็นปฏิบัติบูชา ฯ ปฏิสันถาร ๒ ๑. ปฏิสันถาร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์แก่ผู้ทำอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ คือ การต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น ฯ มี ๒ อย่าง ๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ ๒. ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ อย่างนี้คือ ๑. เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน ๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ ๒. ปฏิสันถาร มีอะไรบ้าง ? มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๔) ตอบ มี ๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ ๒. ธัมมปฏิสันถาร ต้อนรับโดยธรรม ฯ มีประโยชน์อย่างนี้ คือ ๑. เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้าใจกัน ๒. เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ ๓. ปฏิสันถาร คืออะไร ? จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา (๒๕๔๙) ตอบ คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรองด้วยของ ต้อนรับตามสมควร ด้วยไมตรีจิต ฯ ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี ๒ อย่าง คือ ๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุสิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว น้ำ หรือที่พัก เป็นต้น ๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการต้อนรับตามความเหมาะสมแก่ผู้ มาเยือน หรือการให้คำแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ฯ
  • 14.
    ๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ปริเยสนา ๒ ๑. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ? (๒๕๕๕) ตอบ ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือคุณธรรมมีพระนิพพาน เป็นอย่างสูง เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่า อริยปริเยสนา แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่นหาของเล่น เป็นการแสวงหา ไม่ประเสริฐ เรียกว่า อนริย- ปริเยสนา ฯ ปาพจน์ ๒ ๑. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ ได้แก่ พระธรรมและพระวินัย ฯ ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ ๒. ปาพจน์ ๒ คือธรรมและวินัย นั้นทราบแล้ว อยากทราบว่าความปฏิบัติอย่างไร จัดเป็นธรรม ความ ปฏิบัติอย่างไรจัดเป็นวินัย ? (๒๕๕๘) ตอบ ความปฏิบัติเป็นทางนำความประพฤติและอัธยาศัยให้ประณีตขึ้น จัดเป็นธรรม ความปฏิบัติเนื่องด้วยระเบียบอันทรงตั้งไว้ด้วยพุทธอาณา เป็นสิกขาบทหรืออภิสมาจาร เป็น ทางนำความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือเป็นเครื่องบริหารคณะ จัดเป็นวินัย ฯ รูป ๒ ๑. มหาภูตรูป คืออะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๗) ตอบ คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป อุปาทายรูปที่อิง อาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทำลายไปด้วย ฯ ๒. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น ฯ ๓. รูปในขันธ์ ๕ แบ่งเป็น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? จงอธิบายมาสั้น ๆ พอเข้าใจ (๒๕๕๑) ตอบ ได้แก่มหาภูตรูปและอุปาทายรูป มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ อันได้แก่ธาตุ ๔ มีดิน น้ำ ไฟ ลม อุปาทายรูป คือรูปอาศัย เป็นอาการของมหาภูตรูป เช่น ประสาท ๕ มีจักขุประสาท เป็นต้น โคจร ๕ มีรูปารมณ์ เป็นต้น ฯ
  • 15.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๗ วิมุตติ ๒ ๑. วิมุตติคืออะไร ? วิมุตติ ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ คือ ความหลุดพ้น ฯ มี ๑. เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจ ๒. ปัญญาวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา ฯ ๒. วิมุตติ คืออะไร ? ตทังควิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ คือ ความทำจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ ฯ มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว เช่นเกิดเหตุเป็นที่ตั้งแห่งสังเวชขึ้น หายกำหนัดใน กาม เกิดเมตตาขึ้น หายโกรธ แต่ความกำหนัดและความโกรธนั้นไม่หายทีเดียว ทำในใจถึงอารมณ์ งาม ความกำหนัดกลับเกิดขึ้นอีก ทำในใจถึงวัตถุแห่งอาฆาต ความโกรธกลับเกิดขึ้นอีก อย่างนี้ จัดเป็นตทังควิมุตติ ฯ ๓. เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙) ตอบ เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จึงบำเพ็ญวิปัสสนาต่อ ส่วนปัญญาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุด้วยลำพังบำเพ็ญวิปัสสนาล้วน อีกนัยหนึ่ง เรียกเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากราคะ เรียกปัญญาวิมุตติเพราะพ้นจากอวิชชา ฯ ๔. วิมุตติ ๒ กับ วิมุตติ ๕ จัดเป็นโลกิยะและโลกุตตระอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ วิมุตติ ๒ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว ส่วนวิมุตติ ๕ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ ๕. วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจากราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจอริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป ไม่กลับเกิดอีก ฯ
  • 16.
    ๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ติกะ หมวด ๓ อกุศลวิตก ๓ ๑. ความตริในฝ่ายชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ เรียกว่า อกุศลวิตก ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม ๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท ๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ ๒. ความคิดที่เป็นฝ่ายอกุศล มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๔) ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม ๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท ๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน ฯ ๓. อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ กามวิตก ทำใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ พยาบาทวิตก ทำให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทำร้ายผู้อื่น วิหิงสาวิตก ย่อมครอบงำจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ กามวิตก แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน พยาบาทวิตก แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร วิหิงสาวิตก แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ กุศลวิตก ๓ ๑. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้ ? (๒๕๕๖) ตอบ มี ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท ๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ สงเคราะห์เข้าในข้อสัมมาสังกัปปะ ฯ
  • 17.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๙ อัคคิ ๓ ๑. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๐) ตอบ กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้เกิด ความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ อธิปเตยยะ ๓ ๑. คำว่า อธิปเตยยะ แปลว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ แปลว่า ความเป็นใหญ่ ฯ มี ๓ คือ ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ ๒. อธิปเตยยะ ๓ มีอะไรบ้าง ? บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในข้อไหน ? (๒๕๖๒) ตอบ มี ๓ คือ ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ ฯ จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ ๓. บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหนได้ หรือไม่ ? (๒๕๔๔) ตอบ จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ ๔. บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยความเมตตา กรุณา เป็นต้น จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหน ? (๒๕๖๔) ตอบ จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้ ฯ ๕. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับ ผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทำงาน ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทำด้วยมุ่งให้สมภาวะของตน ผู้ทำมุ่งผลอันจะ ได้แก่ตน หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน
  • 18.
    ๑๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะ ทำด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร เห็นว่าถูกก็ทำ หรือทำ ด้วยอำนาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ อภิสังขาร ๓ ๑. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คำว่า สังขาร หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ ได้แก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ ๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป ๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา ทวาร ๓ ๑. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง จงอธิบาย (๒๕๕๐) ตอบ กรรม คือการกระทำ ส่วนทวาร คือทางเกิดของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้ แล้วบ่นว่า ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ ฯ ๒. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ? (๒๕๕๖) ตอบ ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ ญาณ ๓ ๑. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในจตุราริยสัจ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัยมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละเสีย จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัยที่ควรละ ๆ ได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
  • 19.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๑ ๒. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๖, ๒๕๕๓) ตอบ มี ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจที่ควรทำให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ ๓. กิจจญาณ คืออะไร ? เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ คือ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ฯ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นธรรมชาติที่ควรละ ทุกขนิโรธ เป็นธรรมชาติที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด ฯ ๔. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยที่ควรละได้ละแล้ว ทุกขนิโรธที่ควร ทำให้แจ้งได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ควรเจริญได้เจริญแล้ว ฯ ๕. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัย มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓, ๒๕๖๑) ตอบ มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละ จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ ๖. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้ ได้กำหนดรู้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
  • 20.
    ๑๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ปาฏิหาริย์ ๓ ๑. ปาฏิหาริย์คืออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงยกย่องปาฏิหาริย์อะไรว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๒) ตอบ คือ การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ฯ ทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น ฯ ๒. ปาฏิหาริย์มีอะไรบ้าง ? ทำไมจึงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าอัศจรรย์ ? (๒๕๖๐) ตอบ มี ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้ใจเป็นอัศจรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ เพราะอาจจูงใจผู้ฟังให้เห็นคล้อยตาม ละความชั่วทำความดี ตั้งแต่ขั้นต่ำ คือการถึงสรณะและ รักษาศีล ตลอดถึงขั้นสูงคือมรรคผลนิพพานได้ ฯ ๓. ปาฏิหาริย์ ๓ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนเป็นอัศจรรย์ที่สุด ? (๒๕๕๑) ตอบ มี อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ที่สุด ฯ ปิฎก ๓ ๑. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ฯ พระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องฎกระเบียบข้อบังคับที่นำความประพฤติให้สม่ำเสมอกัน หรือ เป็นเรื่องบริหารคณะ พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยคำสอนยกธรรมล้วน ๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคลเป็นที่ตั้ง ฯ พุทธจริยา ๓ ๑. โลกัตถจริยา ที่พระพุทธองค์ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลกนั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ มีอธิบายว่า ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่มหาชนที่นับว่าสัตว์โลกทั่วไป เช่น ทรงแผ่พระญาณ ตรวจดูสัตว์โลกทุกเช้าค่ำ ผู้ใดปรากฏในข่ายพระญาณ เสด็จไปโปรดผู้นั้น สรุปคือ ทรงสงเคราะห์คน ทั้งหลายโดยฐานเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ฯ
  • 21.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๓ ๒. พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พุทธัตถจริยา คือทรงประพฤติ อย่างไร ? (๒๕๔๘) ตอบ ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้บริษัททั้งคฤหัสถ์และ บรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ ๓. พุทธจริยาและพุทธิจริต ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ พุทธจริยา คือพระจริยาของพระพุทธเจ้า พุทธิจริต คือผู้มีความรู้เป็นปกติ ฯ ภพ ๓ ๑. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ภูมิ หมายถึงภาวะอันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ วัฏฏะ ๓ ๑. กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๑) ตอบ เพราะวน คือหมุนเวียนกันไป อธิบายว่า กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อม ได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ๒. กิเลส กรรม วิบาก ได้ชื่อว่า วัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ เพราะหมุนเวียนกันไป คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับ วิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสเกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ด้วยอรหัตตมรรค ฯ ๓. กิเลส กรรม วิบาก ได้ชื่อว่า วัฏฏะ ที่แปลว่าความหมุนเวียน อยากทราบว่าหมุนเวียน อย่างไร ? (๒๕๖๓) ตอบ อย่างนี้ คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้ทํากรรม ครั้นทํากรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสเกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ๔. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพ เกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัด ให้ขาดได้ด้วยอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ อย่างนี้ คือกิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม ครั้นทำกรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อ ได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
  • 22.
    ๑๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก วิชชา ๓ ๑. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิต พ้นแล้ว จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ วิโมกข์ ๓ ๑. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ มีสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ วิเวก ๓ ๑. วิเวก ๓ คืออะไรบ้าง ? จงอธิบายแต่ละอย่างพอเข้าใจ (๒๕๕๘) ตอบ คือ กายวิเวก สงัดกาย ได้แก่อยู่ในที่สงัด จิตตวิเวก สงัดจิต ได้แก่ทำจิตให้สงบด้วยสมถภาวนา อุปธิวิเวก สงัดกิเลส ได้แก่ทำใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสด้วยวิปัสสนาภาวนา ฯ สังขาร ๓ ๑. ในสังขาร ๓ อะไรชื่อว่ากายสังขารและวจีสังขาร ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่ออย่างนั้น ? (๒๕๕๘) ตอบ ลมอัสสาสะปัสสาสะ ได้ชื่อว่า กายสังขาร เพราะปรนปรือกายให้เป็นอยู่วิตกกับวิจาร ได้ชื่อว่า วจีสังขาร เพราะตริแล้วตรองแล้วจึงพูด ไม่เช่นนั้นวาจานั้นจักไม่เป็นภาษา ฯ โสดาบัน ๓ ๑. คำว่า “โสดาบัน” แปลว่าอะไร ? พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันนี้ ท่านละกิเลสอะไรได้ขาดบ้าง ? (๒๕๔๖) ตอบ โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องตรัสรู้ใน ภายภาคหน้า ฯ ท่านละสังโยชน์ได้ขาด ๓ อย่าง คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ ๒. คำว่า “โสดาบัน” แปลว่าอะไร ? ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๕๙) ตอบ โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ท่านละสังโยชน์ได้เด็ดขาด ๓ อย่าง คือ ๑. สกักายทฏิฐิ ๒. วิจกิจิฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
  • 23.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๕ ๓. คำว่า พระโสดาบัน และสัตตักขัตตุปรมะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ พระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขั้นแรก สัตตักขัตตุปรมะ คือพระโสดาบันผู้จะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ฯ จตุกกะ หมวด ๔ อบาย ๔ ๑. อบาย ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ ได้แก่ ภูมิ กำเนิดหรือพวก อันหาความเจริญมิได้ ฯ มี นิรยะ คือนรก ติรัจฉานโยนิ คือกำเนิดดิรัจฉาน ปิตติวิสัย คือภูมิแห่งเปรต อสุรกาย คือพวกอสุระ ฯ ๒. อาหารของสัตว์นรกและเปรต คืออะไร ? คนจำพวกไหนเปรียบเหมือนอสุรกาย ในอบาย ๔ ? (๒๕๔๕) ตอบ อาหารของสัตว์นรกคือกรรม ส่วนของเปรตคือกรรมและผลทานที่ญาติมิตรทำบุญอุทิศให้ ฯ คนลอบทำโจรกรรม หลอกลวงฉกชิงเอาทรัพย์ของผู้อื่น เปรียบเหมือนอสุรกาย ฯ อปัสเสนธรรม ๔ ๑. ในอปัสเสนธรรม ข้อว่า “พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง” คำว่า “ของอย่างหนึ่ง” ในข้อนี้ได้แก่ อะไร ? ผู้พิจารณาตามนั้น ได้ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ ได้แก่ ปัจจัย ๔ บุคคลและธรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดความสบาย ฯ ได้ประโยชน์อย่างนี้ คือ ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น ทำ กิเลสและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมไป ฯ ๒. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่ ๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของ อย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคำ เสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ ๓. อปัสเสนธรรมข้อว่า “พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง” ของอย่างหนึ่งนั้น คืออะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ คือ อกุศลวิตกอันสัมปยุตด้วยกาม พยาบาท วิหิงสา ฯ
  • 24.
    ๑๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก อัปปมัญญา ๔ ๑. เมตตา มีความหมายว่าอย่างไร ? เมตตาในพรหมวิหาร และในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ มีความหมายว่า ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ฯ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงก็ดี โดยไม่เจาะจงก็ดี จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ ๒. เมตตา กับ ปรานี มีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ? และอย่างไหน กำจัดวิตกอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ เมตตา หมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี ปรานี หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตา กำจัดพยาบาทวิตก ปรานี กำจัดวิหิงสาวิตก ฯ ๓. การแผ่เมตตาในพรหมวิหารกับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ในพรหมวิหาร เป็นการแผ่เมตตาโดยเจาะจงตัว หรือเจาะจงหมู่คณะ ส่วนในอัปปมัญญา เป็นการแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงตัวไม่มีจำกัด ฯ ๔. พรหมวิหารกับอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทาโดยตรงของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ? (๒๕๔๙) ตอบ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือแผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่ยังจำกัดหมู่นั้นหมู่นี้จัดเป็น พรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ฯ พระอริยบุคคล ๔ ๑. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระอริยบุคคลประเภทใด ละอวิชชาได้เด็ดขาด ? (๒๕๖๓) ตอบ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ พระอรหันต์ละอวิชชาได้เด็ดขาด ฯ ๒. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
  • 25.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๗ อริยวงศ์ ๔ ๑. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ คือ ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ มี ๔ อย่าง ฯ ข้อที่ ๔ ว่า ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ ๒. ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่าดำรงอยู่ในอริยวงศ์ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติอย่างไร ? เมื่อดำรงอยู่ในอริยวงศ์ ถูกต้องดีแล้วจะได้รับผลอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ เพราะเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะตามมีตามได้ และยินดีในการเจริญกุศลและ ในการละอกุศล ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ฯ ย่อมได้รับผลคือความสุขใจและปลอดโปร่งใจ เพราะความประพฤติดีปฏิบัติชอบของตน และไม่ ต้องเดือดร้อนใจเพราะความเดือดร้อน เนื่องด้วยการแสวงหาไม่สมควรและประพฤติเสียหายโดย ประการต่าง ๆ ย่อมครอบงำความยินดีและความไม่ยินดีเสียได้ ความยินดีและความไม่ยินดีก็ไม่อาจ ครอบงำท่านได้ และใคร ๆ ก็ไม่อาจติเตียนท่านได้ ฯ ๓. ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ เรียกว่า อริยวงศ์ ฯ มี ๔ คือ ๑. สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด ๒. สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด ๓. สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด ๔. ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศลฯ อุปาทาน ๔ ๑. อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอำนาจมานะ จนเป็นเหตุถือพวก จัดเป็นอุปาทานอะไร ในอุปาทาน ๔ ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ คือ การถือมั่นข้างเลว ได้แก่ถือรั้น ฯ จัดเป็นอัตตวาทุปาทาน ฯ ๒. ทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทาน คืออะไร ? (๒๕๔๘) ตอบ ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอำนาจหัวดื้อ จนเป็นเหตุเถียงกัน ทะเลาะกัน สีลัพพตุปาทาน คือถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน ด้วยอำนาจความเชื่อว่าขลัง จน เป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ
  • 26.
    ๑๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก โอฆะ ๔ ๑. กิเลส ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ชื่อว่าโอฆะ เพราะดุจเป็นกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ ๒. ทิฏฐิ ความเห็นผิด ท่านเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ เพราะเหตุใด ? (๒๕๖๐) ตอบ เรียกว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ เรียกว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ เรียกว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในกระแสจิต ฯ ๓. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน ฯ ๔. กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ ? (๒๕๔๔) ตอบ เรียกว่า โอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์ เรียกว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ใน ภพ เรียกว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน อริยสัจ ๔ ๑. กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ มี ๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ ๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ ๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ ๔. ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ ๒. กิจในอริยสัจแต่ละอย่างนั้นมีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ มี ๔ คือ ๑. ปริญญา กำหนดรู้ทุกขสัจ ๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ ๓. สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งนิโรธสัจ ๔. ภาวนา ทำมัคคสัจให้เกิด ฯ
  • 27.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๙ ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ๑. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด ? (๒๕๕๖) ตอบ ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ทักขิณาบางอย่าง ไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ อย่างที่ ๔ คือทักขิณาที่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ ๒. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ ของทำบุญ ฯ มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าบริสุทธิ์ และมี ความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าไม่บริสุทธิ์ ฯ ๓. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในฝ่ายทายก และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น มี อะไรเป็นเครื่องหมาย ? (๒๕๕๔) ตอบ คือ ของทำบุญ ฯ ทักขิณาจะบริสุทธิ์ มีศีลมีกัลยาณธรรมเป็นเครื่องหมาย ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ มีทุศีลมีบาปธรรมเป็นเครื่องหมาย ฯ ๔. คำว่า ทักขิณา ในทักขิณาวิสุทธินั้น หมายถึงอะไร ? ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์และบริสุทธิ์ กำหนดรู้ได้ อย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ หมายถึงของทำบุญ ฯ กำหนดรู้ได้อย่างนี้ ทั้งทายก ทั้งปฏิคาหกเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ทักขิณานั้น ชื่อว่าไม่บริสุทธิ์ทั้งสอง ฝ่าย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว ทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฯ โยนิ ๔ ๑. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดา และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ กำเนิด ฯ มีชลาพุชะ เกิดในครรภ์, อัณฑชะ เกิดในไข่, สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล, โอปปาติกะ เกิดผุด ขึ้น ฯ จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ
  • 28.
    ๒๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ปัญจกะ หมวด ๕ มัจฉริยะ ๕ ๑. ธรรมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ มีอธิบายว่า ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไม่ปรารถนาจะแสดงจะบอกแก่คนอื่น เกรงว่าเขา จะรู้เทียมตน ฯ ๒. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่ตระกูล คืออย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ คือ หวงแหนตระกูลไม่ยอมให้ตระกูลอื่นมาเกี่ยวดองด้วย ถ้าเป็นบรรพชิตก็หวงอุปัฏฐาก ไม่ พอใจให้ไปบำรุงภิกษุอื่น ฯ ๓. ครูสอนศิษย์ ปิดบังอำพรางความรู้ ไม่บอกให้สิ้นเชิง จัดเข้าในมัจฉริยะข้อไหน ? (๒๕๔๕) ตอบ ธัมมมัจฉริยะ ฯ มาร ๕ ๑. มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ สิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้ เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ หมายถึงอกุศลกรรม ฯ ๒. มาร มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ? (๒๕๕๒) ตอบ มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์ ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร ๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ ๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ฯ อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมาร ฯ ๓. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๓) ตอบ คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร ฯ เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทําความลําบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
  • 29.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๒๑ ๔. มาร ๕ คืออะไรบ้าง ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ ปัญจขันธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และเทวบุตร ฯ ได้ชื่อว่ามาร เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสแล้ว กิเลสย่อมผูกรัดไว้บ้าง ย่อมทำให้เสียคน บ้าง ฯ ๕. ปัญจขันธ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นมาร มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ มีอธิบายว่า ปัญจขันธ์นั้น บางทีทำความลำบาก บางทีทำให้เกิดความเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัว ตายก็มี ฯ ๖. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่ามาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ ๗. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่ามาร เพราะเหตุไร ? กิเลสมารและมัจจุมาร จัดเข้าในอริยสัจข้อใดได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖) ตอบ เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ ได้ ฯ กิเลสมาร จัดเข้าในทุกขสมุทัยสัจ เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มัจจุมาร จัดเข้าในทุกขสัจ เพราะเป็นตัวทุกข์ ฯ ๘. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๙) ตอบ ได้แก่ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะทำประโยชน์ใด ๆ อีก ต่อไป ฯ ๙. กรรมฝ่ายอกุศลจัดเป็นมารอะไรในมาร ๕ ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่อว่ามาร ? (๒๕๔๔) ตอบ จัดเป็นอภิสังขารมาร ฯ ที่ได้ชื่อว่ามารเพราะทำให้เป็นผู้ทุรพล ฯ ๑๐. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คำว่า มาร หมายถึงอะไร ? กิเลสได้ชื่อว่ามาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖) ตอบ หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำความดี จนถึงปิด กั้น ไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทำให้เสียคนบ้าง ฯ
  • 30.
    ๒๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก วิญญาณ ๕ ๑. วิญญาณกับสัญญา ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ทำหน้าที่ต่างกันอย่างนี้ คือวิญญาณทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายในและ อายตนะภายนอกมากระทบกัน เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการเห็นขึ้นเป็นต้น ส่วนสัญญา ทำหน้าที่จำได้หมายรู้เท่านั้น คือหมายรู้ไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ ว่าเขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบา เป็นต้น ฯ ๒. ชิวหาวิญญาณและกายวิญญาณ เกิดขึ้นได้เพราะอาศัยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยลิ้นกับรส (กระทบกัน) และกายวิญญาณเกิดขึ้น เพราะ อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ (กระทบกัน) ฯ วิมุตติ ๕ ๑. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ? (๒๕๔๘, ๒๕๖๐) ตอบ ตทังควิมุตติและวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยะ ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตระ ฯ ๒. วิมุตติ ๒ กับ วิมุตติ ๕ จัดเป็นโลกิยะและโลกุตตระอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ วิมุตติ ๒ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว ส่วนวิมุตติ ๕ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ เวทนา ๕ ๑. ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย กับความรู้สึกเฉย ๆ ทางใจ จัดเข้าในเวทนา ๕ อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ความรู้สึกเฉย ๆ ทางกาย จัดเป็นสุข ความรู้สึกเฉย ๆ ทางใจ จัดเป็นอุเบกขา ฯ ๒. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ เวทนา ๓ ได้แก่สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ ในเวทนา ๓ สุข คือสุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์ใจก็คือ โทมนัส ส่วนในเวทนา ๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ
  • 31.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๒๓ สังวร ๕ ๑. สังวรคืออะไร ? สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔) ตอบ คือ การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ฯ มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรมเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูป เป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนหลงลืม ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ ประมาทหลงทำกรรมชั่ว ฯ สุทธาวาส ๕ ๑. สุทธาวาสมีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ? เป็นที่เกิดของใคร ? (๒๕๔๔) ตอบ มี ๕ ชั้น ฯ คือ ๑. อวิหา ๒. อตัปปา ๓. สุทัสสา ๔. สุทัสสี ๕. อกนิฏฐา ฯ เป็นที่เกิดของพระอนาคามี ฯ ฉักกะ หมวด ๖ อภิฐาน ๖ ๑. อัญญสัตถุทเทสคืออะไร ? หมายถึงผู้ประพฤติเช่นไร ? (๒๕๔๔) ตอบ คือ ถือศาสดาอื่น ฯ หมายถึงภิกษุผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ คือหันเหไปนับถือศาสนาอื่นทั้งที่ยังถือเพศบรรพชิตอยู่ ต้อง ห้ามมิให้อุปสมบทอีก ฯ ๒. อัญญสัตถุทเทสต่างจากสังฆเภทอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ ต่างกัน คืออัญญสัตถุทเทสนั้น ละทิ้งศาสนาเดิมของตน เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น แต่ไม่ ทำลายพวกเดิมของตน ส่วนสังฆเภทนั้น ยังอยู่ในศาสนาเดิมของตน แต่ทำลายพวกตนเองให้แตกแยก เป็นพรรคเป็นพวก ฯ จริต ๖ ๑. จริต คืออะไร ? คนมีปกติเชื่อง่ายเป็นจริตอะไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ คือ พื้นเพอัธยาศัยของบุคคลที่แสดงออกมาตามปกติเป็นประจำ ฯ เป็นสัทธาจริต ฯ
  • 32.
    ๒๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๒. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต ๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต ฯ พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ ๓. คนมีปกติรักสวยรักงาม จัดเป็นจริตอะไร ? จะพึ่งแก้ได้ด้วยการพิจารณากรรมฐานข้อใดได้บ้าง ? (๒๕๖๓) ตอบ จัดเป็นราคจริต ฯ จะพึ่งแก้ได้ด้วยการพิจารณากายคตาสติ หรืออสุภกรรมฐาน ๆ ๔. บุคคลผู้มีปกติต่อไปนี้ จัดเข้าในจริตอะไร ? จะพึงแก้ด้วยธรรมข้อใด ? (๒๕๔๖) ก. ผู้มีปกติรักสวยรักงาม ข. ผู้มีปกตินึกพล่าน ตอบ ก. จัดเข้าในราคจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเจริญกายคตาสติ หรืออสุภกัมมัฏฐาน ฯ ข. จัดเข้าในวิตักกจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ ฯ ธรรมคุณ ๖ ๑. พระธรรมคุณบทว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ดี แล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดี เพราะ ตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด มีทั้ง อรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และเพราะประกาศพรหมจรรย์อย่างนั้น ส่วนในปฏิเวธนั้น ได้ ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ ๒. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดีเพราะตรัส ไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด พร้อมทั้ง อรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพาน ย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
  • 33.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๒๕ ๓. ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” พระธรรมนั้น หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ หมายถึงปริยัติธรรมกับปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดาร ได้แก่สัทธรรม ๑๐ คือโลกุตรธรรม ๙ กับปริยัติธรรม ๑) ฯ ๔. คำว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว” หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ หมายถึงปริยัติธรรมกับปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่ สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙ กับปริยัติธรรม ๑) ฯ ๕. พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคำว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้” ? พระธรรมคุณบทนั้น มีอธิบายว่า อย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ได้ทุกเวลา และสามารถ นำไปประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขได้ ฯ ปิยรูป สาตรูป หมวดละหก ๑๐ หมวด ๑. อายตนะภายใน อายตนะภายนอกเป็นต้น ได้ชื่อว่า ปิยรูป สาตรูป เพราะเหตุไร ? โดยตรงเป็นที่ เกิดเป็นที่ดับแห่งกิเลสอะไร ? (๒๕๔๗) ตอบ เพราะเป็นสภาวะที่รักที่ชื่นใจ ด้วยเพ่งอิฏฐารมณ์เป็นที่ตั้ง ฯ เป็นที่เกิด เป็นที่ดับแห่งตัณหา ฯ สวรรค์ ๖ ชั้น ๑. สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ มี ๖ ชั้น ฯ ได้แก่ ๑. ชั้นจาตุมหาราชิก ๒. ชั้นดาวดึงส์ ๓. ชั้นยามา ๔. ชั้นดุสิต ๕. ชั้นนิมมานรดี ๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ
  • 34.
    ๒๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก สัตตกะ หมวด ๗ อนุสัย ๗ ๑. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓) ตอบ หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ เพราะกิเลสชนิดนี้ บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้นในทันใด ฯ ๒. อะไรเรียกว่า อนุสัย ? เพราะเหตุไรจึงได้ชื่อเช่นนั้น ? (๒๕๔๔) ตอบ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เรียกว่าอนุสัย ฯ เพราะกิเลสทั้ง ๗ อย่างล้วนเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน บางทีไม่แสดง อาการที่แท้จริงออกมาให้ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งมายั่วยวน ก็แสดงออกมา ให้ปรากฏและทำจิตให้ขุ่นมัว เมื่อไม่มีอารมณ์มายั่วยวน ก็นอนสงบนิ่งอยู่ประหนึ่งว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลส เป็นอยู่เช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าอนุสัย ฯ ๓. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ กิเลสทีได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ มักไม่ ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น กิเลสทีได้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ ๔. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้เด็ดขาด ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ฯ เมถุนสังโยค ๗ ๑. การจ้องตาต่อตากับหญิงสาวแล้วชื่นใจ จัดเป็นเมถุนสังโยคได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๔) ตอบ ได้ ฯ เพราะอาการเช่นนั้นอิงอาศัยกาม ฯ
  • 35.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๒๗ วิญญาณฐิติ ๗ ๑. วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๑) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส ฯ วิสุทธิ ๗ ๑. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ? (๒๕๕๕) ตอบ สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ พอเป็นรากฐาน แห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ อัฏฐกะ หมวด ๘ อริยบุคคล ๘ ๑. อริยบุคคล ๘ ได้แก่ใครบ้าง ? จัดเข้าในพระเสขะและพระอเสขะได้อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ได้แก่ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ๑ พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ๑ ฯ จัดเข้าได้อย่างนี้ อริยบุคคล ๗ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ อริยบุคคล ๑ ประเภทหลัง เรียกว่า พระอเสขะ ฯ อวิชชา ๘ ๑. ในอวิชชา ๘ ข้อที่ว่า ไม่รู้จักอนาคต มีอธิบายว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ มีอธิบายว่า ไม่รู้จักคิดล่วงหน้า ไม่อาจปรารภการที่ทำ หรือเหตุอันเกิดขึ้นในปัจจุบันว่าจักมีผล เป็นอย่างนั้น ๆ ฯ
  • 36.
    ๒๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก นวกะ หมวด ๙ อนุปุพพวิหาร ๙ ๑. สัญญาเวทยิตนิโรธ กับ นิโรธสมาบัติ ต่างกันหรือเหมือนกัน ? (๒๕๔๕) ตอบ ต่างกันโดยพยัญชนะ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน คือท่านผู้เข้าถึงสมาบัติชนิดนี้แล้วย่อมไม่มี สัญญาและเวทนา ฯ พุทธคุณ ๙ ๑. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ? (๒๕๕๓) ตอบ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา ฯ ๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ ๒. พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ ที่แปลว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักรนั้น กำแห่งสังสารจักร ได้แก่อะไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๐) ตอบ ได้แก่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ฯ ๓. พระพุทธคุณ บทว่า อรหํ แปลว่าอย่างไรได้บ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๒) ตอบ แปลว่า เป็นผู้เว้นไกลจากกิเลสและบาปธรรม เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา เป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือของเขา เป็นผู้ไม่มีข้อลับ ไม่ได้ทำความเสียหายอันจะพึงซ่อนเพื่อมิให้คนอื่นรู้ ฯ ๔. พระพุทธคุณว่า อรหํ ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคำอะไรมาประกอบ ร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบท ของพระศาสดาหรือของพระสาวก ? (๒๕๕๔) ตอบ ได้ ฯ สำหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง สำหรับ พระสาวกใช้ว่า อรหํ ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
  • 37.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๒๙ ๕. พระพุทธคุณบทว่า อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไรบ้าง ? เลือกตอบมา ๒ อย่าง (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ มีความหมายได้ ๔ อย่าง คือ ๑. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม กล่าวคือเป็นผู้บริสุทธิ์ ๒. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้หักกำสังสารจักร คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ได้ ๓. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา หรือเป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือ ๔. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไม่มีความลับ คือมิได้ทำความเสียหายอันใดทีจะพึงซ่อนเร้น ฯ ๖. พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร ถามว่ากำได้แก่อะไร ? สังสารจักรได้แก่อะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ กำ ได้แก่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ฯ สังสารจักร ได้แก่วัฏฏะ ๓ คือกิเลส กรรม วิบาก ฯ ๗. พระพุทธคุณบทว่า “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า” คำว่า “บุรุษที่ควรฝึกได้” นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ? (๒๕๔๘) ตอบ หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา แม้ฟังด้วยตั้งใจจะ จับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ ๘. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง (๒๕๕๖) ตอบ พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ พุทธคุณ ๙ คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน, พุทฺโธ, ภควา ฯ ๙. พระพุทธคุณต่อไปนี้มีคำแปลว่าอย่างไร ? (๒๕๔๕) ก. สุคโต ข. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ตอบ ก. เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ข. เป็นสารถีแห่งบุรุษพึงฝึกได้ ไม่มีบุรุษอื่นยิ่งไปกว่า ฯ
  • 38.
    ๓๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก มานะ ๙ ๑. มานะ คืออะไร ? ว่าโดยย่อ ๓ อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ คือ ความสำคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ฯ ได้แก่ ๑. สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา ๒. สำคัญตัวว่าเสมอเขา ๓. สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ฯ สังฆคุณ ๙ ๑. พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ? คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๔๖, ๒๕๖๐) ตอบ หมายถึงพระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้น ฯ คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่งอน ฯ ๒. คำว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจำแนกมาดู (๒๕๕๔, ๒๕๖๒) ตอบ ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน มรรคผลทั้งสิ้น คือ พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑ พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ ๓. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม ๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคำนับ ๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ ๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทำบุญ ๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทำอัญชลี (ประณมมือไหว้) ๙. อนุตฺตร ปุญฺญกฺเขตฺต โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ
  • 39.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๓๑ ๔. พระสงฆ์ปฏิบัติอย่างไร จึงได้ชื่อว่า อุชุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง ? (๒๕๖๓) ตอบ คือ ไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ๆ ต่อพระศาสดา และเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อําพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ ๕. คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ ไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรงต่อพระศาสดา และเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่ อำพรางความในใจ ฯ ๖. พระสงฆ์ดีอย่างไร จึงจัดว่าเป็นนาบุญของโลก ? (๒๕๔๔) ตอบ พระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์ ทักขิณาที่บริจาคแก่ท่าน ย่อมมีผลานิสงส์ดุจนาที่มีดินดีและไถดี พืชที่ หว่านที่ปลูกลงย่อมเผล็ดผลไพบูลย์ จึงชื่อว่านาบุญของโลก ฯ ทสกะ หมวด ๑๐ บารมี ๑๐ ๑. บารมี คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ คือ คุณสมบัติหรือปฏิปทาอันยวดยิ่ง ฯ มี ๑๐ อย่าง ฯ คือ ทาน ๑ ศีล ๑ เนกขัมมะ ๑ ปัญญา ๑ วิริยะ ๑ ขันติ ๑ สัจจะ ๑ อธิษฐาน ๑ เมตตา ๑ อุเบกขา ๑ ฯ ๒. บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๖๔) ตอบ ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อ บรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ คือ ความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอนและดำเนิน ตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ ๓. ผู้บริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี ? (๒๕๕๗) ตอบ บริจาคพัสดุภายนอก จัดเป็นทานบารมี บริจาคอวัยวะ จัดเป็นทานอุปบารมี บริจาคชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี ฯ
  • 40.
    ๓๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก มิจฉัตตะ ๑๐ ๑. มิจฉัตตะ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ มี ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ ๕. มิจฉาอาชีวะ ๖. มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณะ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ ฯ มิจฉาวายามะ ได้แก่ พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ และในทางยังกุศล ธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไป ฯ เอกาทสกะ หมวด ๑๑ ปัจจยาการ ๑๑ ๑. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คำว่า สังขาร หมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ ได้แก่ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ ๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป ๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา ฯ ทวาทสกะ หมวด ๑๒ กรรม ๑๒ ๑. กรรมหมายถึงการกระทำเช่นไร ? ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมและอุปปัชชเวทนียกรรม คือกรรมเช่นไร ? (๒๕๔๔) ตอบ หมายถึงการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่มีเจตนาจงใจทำ เป็นได้ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่วหรือเป็น กลาง ๆ ฯ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือกรรมให้ผลในภพปัจจุบัน อุปปัชชเวทนียกรรม คือกรรมให้ผลในภพที่จะเกิดถัดไป ฯ
  • 41.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๓๓ ๒. กรรมที่บุคคลทำไว้ ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ทำหน้าที่ คือ ๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม ๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม ๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม ๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ ๓. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐) ตอบ อุปัตถัมภกกรรม ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ ๔. ในกรรม ๑๒ กรรมที่ให้ผลตามลำดับ ได้แก่กรรมอะไรบ้าง ? อุปฆาตกกรรม มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ได้แก่ ๑. ครุกรรม กรรมหนัก ๒. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมชิน ๓. อาสันนกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน ๔. กตัตตากรรม กรรมสักว่าทำ ฯ อุปฆาตกกรรมเป็นกรรมที่แรง ซึ่งตรงกันข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการ ให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูงมั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น ฯ ๕. อุปฆาตกกรรม คือกรรมตัดรอน ทำหน้าที่อะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ทำหน้าที่ตัดรอนผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมให้ขาดแล้ว เข้าให้ผล แทนที่ (ชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมนั้น) ฯ ขบด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา) ฯ ๖. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๔๖, ๒๕๕๙) ๑. อโหสิกรรม ๒. กตัตตากรรม ตอบ อโหสิกรรม คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้น ยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ
  • 42.
    ๓๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๗. คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๔๙) ก. ชนกกรรม ข. อุปัตถัมภกกรรม ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม ง. อุปปัชชเวทนียกรรม จ. กตัตตากรรม ตอบ ก. กรรมแต่งให้เกิด ข. กรรมสนับสนุน ค. กรรมให้ผลในภพนี้ ง. กรรมให้ผลในภพหน้า จ. กรรมสักว่าทำ คือกรรมที่ทำด้วยไม่จงใจ ฯ ๘. ครุกรรม คืออะไร ? ในฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศลได้แก่อะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ คือ กรรมหนัก ฯ ครุกรรมในฝ่ายอกุศล ได้แก่อนันตริยกรรม ๕ ครุกรรมในฝ่ายกุศล ได้แก่สมาบัติ ๘ ประการ ฯ ๙. พุทธภาษิตว่า ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่ปรากฏว่าผู้ทำกรรมชั่วยัง ได้รับสุขก็มี ผู้ทำกรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด ? (๒๕๔๘) ตอบ เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า หรือในภพต่อ ๆ ไปผู้ทำกรรมชั่ว ได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขาทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ แต่กรรม ชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทำกรรมดี ที่ไม่ได้รับ สุขในขณะนั้น เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลำบากอยู่ ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทำไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงาตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผล ทันที ฯ เตรสกะ หมวด ๑๓ ธุดงค์ ๑๓ ๑. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ คือ วัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ มี ๔ หมวด ฯ หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
  • 43.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๓๕ ๒. ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ? (๒๕๕๑) ตอบ คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อ ความมักน้อยสันโดษ ฯ ข้อยารักษาโรค ฯ ๓. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฉันเอกา” จัดเข้า ในธุดงค์ข้อไหน ? (๒๕๕๒) ตอบ ได้แก่วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ จัดเข้าในข้อเอกาสนิกังคะ คือถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ ๔. คำว่า “วัตร” ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ? ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่างเคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๘) ตอบ หมายถึง ข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบาย ขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก ย่อมใช้ อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ ๕. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่ง ท่านให้ถือปฏิบัติ อย่างไร ? (๒๕๖๓) ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ อย่างเคร่ง เมื่อเลิกบิณฑบาตนั่งลงแล้ว แม้มีผู้มาใส่บาตรอีก ก็ไม่รับ ฯ ๖. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกำหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะ เหตุใด ? (๒๕๕๓) ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ ข้อรุกขมูลิกังคะ และอัพโภกาสิกังคะ ฯ ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่ อยู่อาศัยประจำตามพระวินัยนิยม ฯ ๗. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์ คือการถือปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ คือ การถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือบริเวณป่าและจะต้อง ห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ
  • 44.
    ๓๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๘. ในธุดงค์ ๑๓ นั้น ธุดงค์ที่ถือได้เฉพาะกาลมีอะไรบ้าง ? การถือธุดงค์ ย่อมสำเร็จด้วยอาการอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ รุกขมูลิกังคะ ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร อัพโภกาสิกังคะ ถืออยู่ในที่แจ้งๆ เป็นวัตร ฯ สำเร็จด้วยการสมาทาน คือด้วยอธิษฐานใจหรือแม้ด้วยเปล่งวาจา ฯ ๙. ปังสุกูลิกังคะ องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คืออย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ คือ ไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาและใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรใช้เอง ฯ ๑๐. อัตตกิลมถานุโยค กับ การบำเพ็ญธุดงควัตร ต่างกันอย่างไร ? เตจีวริกังคธุดงค์ หมายความว่าอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนให้ลำบากเพื่อให้บาปกรรมหมดไป เพราะการ ทรมานนั้น หรือเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งเมื่อทราบแล้วจะทรงโปรดให้ประสบผลที่น่าปรารถนา ส่วนการบำเพ็ญธุดงควัตร บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมัก น้อยสันโดษ ฯ เตจีวริกังคธุดงค์ หมายถึงธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเตจีวริกังคะ ย่อมไม่ใช้จีวรผืนที่ ๔ นุ่งห่มเฉพาะ ไตรจีวรอันเป็นผ้าอธิษฐาน ฯ ปัณณรสกะ หมวด ๑๕ จรณะ ๑๕ ๑. สัทธรรมในจรณะ ๑๕ คืออะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ คือ สัทธา ความเชื่อ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผิด พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ฟังมาก วิริยะ ความเพียร สติ ความระลึกได้ ปัญญา ความรอบรู้ ฯ
  • 45.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๓๗ ๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ฟังมาก หมายถึงฟังอะไร ? ประกอบด้วยองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ หมายถึง ฟังธรรมซึ่งไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกอบด้วย อรรถ ด้วยพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ฯ ประกอบด้วยองค์ ๕ ฯ คือ ๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก ๒. ธตา ทรงจำได้ ๓. วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา ๔. มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ ๕. ทิฏฺ ิิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ ๓. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓, ๒๕๕๗) ตอบ ประกอบด้วย ๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก ๒. ธตา ทรงจำได้ ๓. วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา ๔. มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ ๕. ทิฏฺ ิิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ
  • 46.
    ๓๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก วิชาอนุพุทธประวัติ ๑. ประวัติอนุพุทธบุคคลมีความสำคัญต่อผู้ศึกษาอย่างไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๙) ตอบ ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ในจริยาวัตร และคุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญมา ตลอดจนถึงผลงานใน การช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาอันทำให้เจริญสืบมาถึงทุกวันนี้ นำให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือ เป็นทิฏฐานุคติอันดี สามารถน้อมนำมาปฏิบัติตามได้ ฯ ๒. การศึกษาอนุพุทธประวัติมีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ทำให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือ กำหนดและจดจำวัตรปฏิบัติอันงดงามของท่านมาเป็น ปฏิปทาเครื่องดำเนินชีวิตของตน และเมื่อความดีของพระสาวกปรากฏแล้วจะเชิดชูเกียรติคุณของพระ ศาสดาให้ยิ่งขึ้น ฯ ๓. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๑, ๒๕๖๔) ตอบ คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ อนุพุทธบุคคลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ ๓ เป็นพยานยืนยันความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็น กำลังใหญ่ของพระพุทธเจ้า ในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อ ประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ ๔. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสำคัญต่อพระศาสดาอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ มีความสำคัญอย่างนี้ แม้พระศาสดาได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม แต่เมื่อขาดผู้รู้ธรรมและรับ ปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ฯ ๕. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? เป็นได้เฉพาะบรรพชิตหรือเฉพาะคฤหัสถ์ ? (๒๕๔๗, ๒๕๖๒) ตอบ คือ สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสรู้มรรคผลตามพระพุทธเจ้า ฯ เป็นได้ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ฯ ๖. พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๓) ตอบ มี ๓ ประเภท ฯ คือ ๑. พระสัมมาสัมพุทธะ ๒. พระปัจเจกพุทธะ ๓. พระอนุพุทธะ ฯ
  • 47.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๓๙ ๗. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? การเรียนอนุพุทธประวัติสำเร็จ ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ อนุพุทธะ ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และสามารถสอนผู้อื่นให้กระทำตาม ด้วย ฯ เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ จนเป็น เหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคงแล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านโดย ควรแก่ฐานะของตน ทั้งให้สำเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย ฯ ๘. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ มีความสำคัญ คือพระสาวกสงฆ์จัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะและรับปฏิบัติธรรม ความ ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จประโยชน์ และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกำลังใหญ่ของพระศาสนา ใน อันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ ๙. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สอนผู้อื่นให้รู้ตาม อนุพุทธะ ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และสามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ฯ ๑๐. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละบริษัท นั้นคือใคร ? (๒๕๕๓) ตอบ มีลำดับอย่างนี้ คือภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษุณี ฯ พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัท บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษัท มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสิกาบริษัท พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
  • 48.
    ๔๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประวัติพระอรหันต์ ๖๐ องค์ ประวัติพระปัญจวัคคีย์ ๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่านหนักไปทางไหน ในตำราทาย ลักษณะ หรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ? ขอฟังเหตุผล (๒๕๔๙) ตอบ เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตำราแน่ใจ จึงบวชตามและ เฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวังนี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า เลิก เสียเป็นอันไม่สำเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สำเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการที่คัดค้านและพูด ถ้อยคำที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ ๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน ? เรียนจบอะไร ? ทำไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ ? (๒๕๕๐) ตอบ ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ เรียนจบไตรเพทและรู้ตำราทำนายลักษณะ ฯ เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺ าสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งเมื่อท่าน โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ ๓. โกณทัญญพราหมณ์ มีเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามพระมหาบุรุษ ? (๒๕๖๓) ตอบ เพราะเคยเข้าร่วมทํานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษโดยเชื่อมั่นว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แน่นอน จึงออกบวชตามด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วจักทรงเทศนาโปรดตนให้รู้ตาม ฯ ๔. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา ? (๒๕๕๓) ตอบ เพราะได้เคยเข้าร่วมทำนายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ โดยเชื่อมั่นว่าจะตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า จึงตามอุปัฏฐากด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนาโปรด ฯ ๕. ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนหลังกันอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก ต่อมาท่านวัปปะและท่านภัททิยะจึงได้ และ ต่อมาท่านมหานามะและท่านอัสสชิจึงได้ตามลำดับ ฯ
  • 49.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๔๑ ๖. พระอนุพุทธองค์แรก คือใคร ? ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ เพราะฟังธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ ๗. อนุพุทธองค์แรกสำเร็จเป็นพระภิกษุด้วยพระพุทธดำรัสว่าอย่างไร ? อนุพุทธองค์นั้นได้เป็นพระโสดาบัน และได้เป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาอะไร ? (๒๕๔๖) ตอบ ด้วยพระพุทธดำรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ พรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” ฯ ได้เป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และได้เป็นพระอรหันต์ เพราะได้ ฟังอนัตตลักขณสูตร ฯ ๘. พระวาจาว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุด ทุกข์โดยชอบเถิด ดังนี้ คำว่า ที่สุดทุกข์ คืออะไร ? ผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ก่อนกว่าผู้อื่นคือใคร ? ด้วย พระธรรมเทศนาอะไร ? (๒๕๔๗) ตอบ คือ พระอรหัตผล ฯ คือ พระภิกษุปัญจวัคคีย์ ฯ ด้วยพระธรรมเทศนาชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร ฯ ๙. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่ปัญจวัคคีย์และพระยสะ ต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ต่างกัน คือที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” ส่วนที่ประทานแก่ พระยสะไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ ๑๐. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะและพระยสะ ต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๖๔) ตอบ ต่างกัน คือ ที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะมีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนที่ประทานแก่พระยสะไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ เพราะพระโกณฑัญญะยังไม่ถึงที่สุดทุกข์ ส่วนพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ ๑๑. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะและพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จง ประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
  • 50.
    ๔๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดำรัสต่อท้ายว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะ ท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์ ส่วนพระยสะ ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ฯ ๑๒. พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนา โดยมีมูลเหตุความเป็นมา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ที่ท่านกล่าวว่าเป็น พระโสดาบัน มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้วจึงขอบวช พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้ หลงถือตนว่าเป็นผู้วิเศษ แต่ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึงลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช ฯ ๑๓. พระอัญญาโกณฑัญญะสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้วกี่วัน ? สำเร็จเพราะฟัง พระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ ๕ วัน ฯ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ ๑๔. พระปัญจวัคคีย์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? พระธรรมเทศนานั้นโดย ย่อว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ ว่าด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ ๑๕. อนุพุทธองค์แรก คือใคร ? สำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ ชื่ออนัตตลักขณสูตร ฯ ๑๖. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็นปฐม สาวก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒) ตอบ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน และได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น ฯ ๑๗. ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคำตำหนิว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะบวชนาน ? (๒๕๕๔) ตอบ ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัดอาจทำให้สำเร็จด้วย ตนเอง หรือบอกเล่าแนะนำผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ
  • 51.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๔๓ ๑๘. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสำคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้น ชื่ออะไรและเป็นผู้เลิศ ในทางใด ? (๒๕๕๒) ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณมันตานีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก ฯ พระอัสสชิ ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ฯ ๑๙. คำที่มีอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรต่อไปนี้ ได้แก่อะไร ? (๒๕๔๘) ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง ข. มัชฌิมาปฏิปทา ตอบ ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ความหมกมุ่นอยู่ในกาม ๒. อัตตกิลมถานุโยค ความทำตนให้ลำบาก ข. มัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่ข้อปฏิบัติสายกลาง คือมรรคมีองค์ ๘ ฯ ๒๐. อนัตตลักขณสูตรและอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑) ตอบ อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น อนัตตา ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ๒๑. พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ มีใจความย่อว่า “พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และ ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้” ฯ ๒๒. ความเป็นผู้สำรวมกิริยาอาการให้เรียบร้อยดีงามสมความเป็นสมณะ เป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ ทางหนึ่ง ในข้อนี้มีปฏิปทาของพระสาวกองค์ใดเป็นตัวอย่าง ? จงเล่าประวัติโดยสังเขปมาประกอบ (๒๕๔๘) ตอบ พระอรหันตสาวกทุกรูปล้วนเป็นผู้สำรวมกิริยาอาการเรียบร้อยดีงามทั้งสิ้น แต่ที่ได้รับยกย่องเป็น พิเศษคือพระอัสสชิเถระ ท่านมีกิริยาอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นเหตุให้อุปติสสะปริพาชกเห็นแล้วเกิด ศรัทธาเข้าไปหา ขอฟังธรรมจนได้บรรลุโสดาปัตติผล ภายหลังยังชักชวนสหายของตนเข้ามาบวชใน พระธรรมวินัย ได้เป็นกำลังสำคัญช่วยพระศาสดาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองกว้างขวางและ มั่นคงอย่างรวดเร็ว ฯ ๒๓. มารยาทดีมีความสำรวมย่อมเป็นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น นี่ เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ (๒๕๕๓) ตอบ ของพระอัสสชิเถระ ฯ
  • 52.
    ๔๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ท่านเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นกำลัง ในการประกาศพระศาสนา อุปติสสปริพาชกพบเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอฟังธรรมจากท่านแล้วได้ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ฯ ประวัติพระยสะและสหายพระยสะ ๕๔ องค์ ๑. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๙) ตอบ อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส เนื่องจากได้เห็นอาการของพวกชนบริวารอันวิปริต ไปโดยอาการต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธ องค์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ ๒. “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? เพราะเหตุใดจึงอุทานอย่างนั้น ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ ของยสกุลบุตร ฯ เพราะเห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับมีอาการพิกลต่าง ๆ ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า เกิดความ สลดใจ คิดเบื่อหน่าย ฯ ๓. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก ? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๓) ตอบ แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรค์คือ กามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม และ พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ ๔. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ ที่ไหน ? (๒๕๕๓) ตอบ ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ ๕. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ณ ที่ไหน ? ธรรมนั้นมีชื่อว่าอะไร ? (๒๕๖๒) ตอบ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
  • 53.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๔๕ ๖. อนุปุพพีกถา คืออะไร ? ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๔๖, ๒๕๖๐) ตอบ คือ ถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ ฯ ด้วยพระพุทธประสงค์จะฟอกจิตกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระธรรม เทศนาให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ ๗. พระสาวกผู้ได้ฟังอนุปุพพีกถา ครั้งแรกคือใคร ? ณ ที่ไหน ? (๒๕๔๖) ตอบ คือ ยสกุลบุตร ฯ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ ๘. พระสาวกผู้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องเดียวซ้ำ ๒ ครั้ง คือใคร ? ธรรมเทศนา เรื่องอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ คือ พระยสะ ฯ เรื่องอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ ๙. เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นำกลับไป ตาม ความประสงค์เดิม ? (๒๕๕๐) ตอบ เพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือนอีกต่อไป ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ ๑๐. พระพุทธเจ้าทรงทำอิทธาภิสังขารแก่ใครเป็นครั้งแรก ? ทรงทำเช่นนั้นด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ทรงทำแก่ยสกุลบุตรและบิดาของยสกุลบุตรเป็นครั้งแรก ฯ ด้วยพระพุทธประสงค์เพื่อให้ยสกุลบุตร พิจารณาภูมิธรรมอันตนได้เห็นแล้ว จนถึงได้บรรลุพระ- อรหัต และให้บิดาได้ฟังธรรมแล้วบรรลุพระโสดาปัตติผล ฯ ๑๑. อุบาสกผู้ประกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือตปุสสะและภัลลิกะ ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือบิดาของยสะ ฯ ๑๒. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะ และพระยสะต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙) ตอบ ต่างกัน คือที่ประทานแก่พระโกณฑัญญะมีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนทีประทานแก่ พระยสะไม่มีคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
  • 54.
    ๔๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๑๓. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ และพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จง ประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดำรัสต่อท้ายว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะ ท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์ ส่วนพระยสะ ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ฯ ๑๔. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ? (๒๕๕๖) ตอบ บวชเพราะเบื่อหน่าย คือพระยสะ พระมหากัสสปะ บวชเพราะเพื่อน คือพระภัททิยศากยะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ และ เพื่อน ชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ (ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้ และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้) ๑๕. เมื่อครั้งที่พระอรหันต์ ๖๑ องค์ เกิดขึ้นในโลก มีใครบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ มีพระพุทธองค์ ๑ พระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะ ๑ สหายของพระยสะที่ปรากฏนาม ๔ และที่ ไม่ปรากฏนามอีก ๕๐ ฯ ๑๖. พระพุทธองค์ทรงส่งสาวกออกไปประกาศพระศาสนา เพราะทรงเห็นประโยชน์อะไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ทรงเห็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน เพื่อให้เห็นธรรมและตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติอันเป็นปัจจัยแห่ง ความสุขความสงบ ฯ ๑๗. พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรก มีจำนวนเท่าไร ? ประกอบด้วยใคร บ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ มี ๖๐ องค์ ฯ ประกอบด้วยพระปัญจวัคคีย์ พระยสะ สหายพระยสที่ปรากฏนาม ๔ องค์ และไม่ปรากฏ นามอีก ๕๐ องค์ ฯ ๑๘. พระอรหันต์ ๖๐ องค์ ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครั้งแรกมีใครบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ มีพระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะ ๑ สหายของพระยสะที่ปรากฏนาม ๔ และที่ไม่ปรากฏนามอีก ๕๐ ฯ ๑๙. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละบริษัท นั้นคือใคร ? (๒๕๕๓) ตอบ มีลำดับอย่างนี้ คือภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา และภิกษุณี ฯ
  • 55.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๔๗ พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัท บิดาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสกบริษัท มารดาและภรรยาของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบาสิกาบริษัท พระนางปชาบดีโคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ ประวัติพระอุรุเวลกัสสปะ ๑. ชฎิล ๓ พี่น้อง ตั้งอาศรมบูชาไฟอยู่ ณ สถานที่ใด ? (๒๕๖๑) ตอบ ๑. อุรุเวลกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา ๒. นทีกัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ลำน้ำอ้อมหรือคุ้งแห่งแม่คงคา ๓. คยากัสสปะ ตั้งอาศรมอยู่ที่ตาบลคยาสีสะ ฯ ๒. ชฎิล ๓ พี่น้อง ชื่ออะไรบ้าง ? ใครได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก ? ท่านเหล่านั้นพร้อมบริวารได้ บรรลุอรหัต เพราะฟังพระธรรมเทศนาอะไร ? ใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ ชื่ออุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ฯ อุรุเวลกัสสปะ ฯ เพราะฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ ใจความย่อว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือความกำหนัด ความโกรธ ความหลง และร้อนเพราะความเกิด ความ แก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ ๓. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๓) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ ๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเพราะเหตุใด ? (๒๕๕๒) ตอบ อุรุเวลกัสสปะ ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนา ปาฏิหาริย์ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็น ผู้วิเศษแต่ประการใด ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ส่วนนทีกัสสปะและคยากัสสปะ เห็นพี่ชาย ถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขออุปสมบท ฯ
  • 56.
    ๔๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๕. พระธรรมเทศนาที่ได้ชื่อว่าอาทิตตปริยายสูตร เพราะเหตุไร ? พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๘) ตอบ เพราะแสดงสภาวธรรมเป็นของร้อน อันเหมาะแก่บุรพจรรยาของผู้ฟัง ฯ แก่พวกปุราณชฎิล ฯ ๖. พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖) ตอบ เพราะเป็นพระสูตรที่เหมาะแก่บุรพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง ฯ ๗. อนัตตลักขณสูตรและอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๑) ตอบ อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น อนัตตา ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ทรงแสดงแก่ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ๘. พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ทรงพาท่านไป กรุงราชคฤห์ด้วย เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของตน เห็น ว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ฯ ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ฯ ๙. พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก คือใคร ? เพราะท่านมีคุณธรรมอะไร ? (๒๕๔๘, ๒๕๖๔) ตอบ คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพราะท่านรู้จักสงเคราะห์บริวารด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง จึงเป็นที่รักใคร่นับถือ สามารถ ยึดเหนี่ยวน้ำใจบริวารไว้ได้ ฯ ๑๐. พระสาวกรูปใดที่ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นยอดแห่งภิกษุผู้มีบริวารมาก ? ความเป็นผู้มีบริวาร มากนั้น เป็นผลเกิดจากอะไร ? (๒๕๔๔) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เกิดจากเหตุ คือความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ ๑๑. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพราะท่านรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
  • 57.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๔๙ ๑๒. พระพุทธเจ้าทรงยกย่องใครว่าเป็นผู้มีบริวารมาก ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙) ตอบ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพราะเหตุทีท่านเป็นผู้รู้จักเอาใจบริวาร รู้จักสงเคราะห์ด้วยธรรมบ้าง ด้วยอามิสบ้าง ผู้ ประกอบด้วยคุณสมบัตินี้ ย่อมเป็นผู้สามารถควบคุมบริวารใหญ่ไว้ได้ ฯ ๑๓. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก คือใคร ? ท่านทาอย่างไร จึงมีบริวารมากอย่างนั้น ? (๒๕๖๐) ตอบ คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ ท่านรู้จักสงเคราะห์บริวารด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง จึงเป็นที่รักใคร่นับถือ สามารถยึด เหนี่ยวน้ำใจบริวารไว้ได้ ฯ ๑๔. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ? พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่องว่า เลิศในทางนี้ ? (๒๕๔๙) ตอบ เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้างด้วยธรรมบ้าง ฯ ดีอย่างนี้ คือภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อันบริษัทรักใคร่นับถือ สามารถ ควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนาในสาวกมณฑล ฯ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ ๑๕. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? พระสาวกองค์ใด ได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางนี้ ? (๒๕๖๒) ตอบ เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ ๑๖. ในคราวที่เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ณ ลัฏฐิวัน มีพระสาวกตามเสด็จไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่เป็น หัวหน้าของพระสาวกเหล่านั้นคือใคร ? และท่านมีส่วนสำคัญในการประกาศพระศาสนาในครั้งนั้น อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ ท่านเป็นที่เคารพนับถือของมหาชน ได้ประกาศความไม่มีแก่นสารแห่งลัทธิเก่าของตน และ ความที่ตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ทำให้พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๒ ส่วน น้อมจิตลง สดับพระธรรมเทศนาเรื่องอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม อีก ๑ ส่วน ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ฯ
  • 58.
    ๕๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๑๗. พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวัน แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเวฬุวันเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทางเป็นที่ ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะพึงไปถึงกลางวันไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืนเงียบเสียงที่จะ อื้ออึงกึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และควร เป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดา ฯ ทรงถวายด้วยการหลั่งน้ำจากพระเต้าทอง ฯ ๑๘. การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับ อนุตตริยะอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ ได้ทรงสดับธรรม เป็นสวนานุตตริยะ ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ ประวัติพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ๑. โกลิตะถามอุปติสสะว่า “ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น วันนี้ดูใจเศร้า ท่านเป็นอย่างไรหรือ ?” อุปติสสะ ตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ตอบว่า “โกลิตะ อะไรที่ควรดูในการเล่นนี้มีหรือ คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จัก ไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” ฯ ๒. “คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” นี้เป็นคำพูดของใคร ? พูดกะใคร ? (๒๕๕๒, ๒๕๖๐) ตอบ ของอุปติสสมาณพ ฯ พูดกะโกลิตมาณพ ฯ ๓. คำถามว่า “ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านหมดจดผ่องใส ท่านบวชจำเพาะใคร ใครเป็นศาสดาผู้สอนของ ท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” เป็นคำถามของใคร ? ใครเป็นผู้ตอบ ? ตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ อุปติสสปริพาชก ฯ พระอัสสชิเป็นผู้ตอบ ตอบว่า “ผู้มีอายุ เราบวชจำเพาะพระมหาสมณะ ผู้เป็นโอรสศากยราช ออกจากศากยสกุล ท่านเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่าน”
  • 59.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๕๑ ๔ อุปติสสปริพาชกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? มีใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ จากพระอัสสชิ ฯ มีใจความว่า พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และ ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้ ฯ ๕. พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ มีใจความย่อว่า “พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ และ ความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้” ฯ ๖. พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ? (๒๕๖๔) ตอบ มีใจความย่อว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่ง ธรรมนั้น พระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้” ฯ ๗. พระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตผลช้ากว่าบริวาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖) ตอบ เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก ต้องใช้บริกรรมใหญ่ ซึ่งเปรียบด้วยการเสด็จไปข้างไหน ๆ แห่ง พระราชา ต้องตระเตรียมราชพาหนะและราชบริพารที่จำเป็น จึงช้ากว่าการไปของคนสามัญ ฯ ๘. เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ รับสั่งกับพระภิกษุผู้เข้าเฝ้าเพื่อทูลลาไปปัจฉาภูมิชนบท ให้ไปลาพระเถระรูปใด ? และทรงยกย่องพระเถระรูปนั้นว่าอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ รับสั่งให้ไปลาพระสารีบุตรเถระ ฯ ทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิต ฯ ๙. ธรรมเสนาบดีและนวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไรจึงมีนามเช่นนั้น ? (๒๕๔๘, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระ เพราะท่านเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการประกาศ พระพุทธศาสนา ฯ นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคัลลานเถระ เพราะท่านเป็นผู้สามารถกำกับดูแลการ ก่อสร้าง ฯ ๑๐. บุคคลประเภทที่ว่า ธัมมัปปมาณิกา ผู้ถือธรรมเป็นประมาณ มีอธิบายอย่างไร ? ในข้อนี้มีตัวอย่าง แสดงไว้อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ มีอธิบายว่า บุคคลประเภทนี้ถือธรรมเป็นสำคัญ ชอบใจเฉพาะข้อปฏิบัติ เห็นผู้ที่ตั้งอยู่ในสังวรมี มรรยาทเรียบร้อย และได้ฟังธรรมอันท่านแสดงมุ่งกล่าวเฉพาะข้อปฏิบัติ ย่อมเลื่อมใสฯ ตัวอย่างเช่นพระสารีบุตรได้เห็นพระอัสสชิ และได้ฟังธรรมของท่านแล้ว จึงเกิดความเลื่อมใส ฯ
  • 60.
    ๕๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๑๑. พระสาวกองค์ใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอยู่ในทิศใด ก็นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ? การ ปฏิบัติเช่นนั้นจัดเป็นคุณธรรมอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ พระสารีบุตร ฯ จัดเป็นกตัญญู ฯ ๑๒. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่อง (๒๕๕๖) ตอบ พระสารีบุตรเถระ ฯ เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะนอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น เรื่องที่ ๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ ๑๓. พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่า เป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบสัก ๑ เรื่อง เพื่อ ยืนยันคำกล่าวนี้ ? (๒๕๕๔) ตอบ (ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง) เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ใน ทิศใด ก่อนจะนอนท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ เรื่องที่ ๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตามปรารถนา พระศาสดา ทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง พระสารีบุตรทูล ว่า ราธพราหมณ์เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ ฯ ๑๔. ปัญหาว่า “พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร” ใครเป็นผู้ถาม ? ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม ฯ พระยมกะเป็นผู้ตอบ ฯ และตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้ว ฯ ๑๕. ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยง ดับไป ฯ
  • 61.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๕๓ ๑๖. ทิฏฐิแสดงความเห็นว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจทั้งหมด” ใครพูดกับใคร ? ตามทิฏฐิแสดงความเห็นนั้น มีคำกล่าวตอบว่าอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ ปริพาชกทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ทูลกับพระศาสดา ฯ มีพระดำรัสตอบว่า “อัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่าน ก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น” ฯ ๑๗. พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระโมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมเลี้ยงทารกนั้นที่เกิดแล้ว ฯ ๑๘. พระโอวาทว่า “เราจักไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกุล” พระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวกองค์ใด ? ที่ไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ แก่พระมหาโมคคัลลานะ ฯ ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ฯ ๑๙. ข้อความว่า “ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกัน” ใคร พูดกับใคร ? ที่ไหน ? (๒๕๔๕) ตอบ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระโมคคัลลานะ ฯ ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ฯ ๒๐. เมื่อเอ่ยถึงพระสารีบุตร ทำให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ? ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพาน ที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตรกี่วัน ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ พระโมคคัลลานะ ฯ ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ก่อนพระสารีบุตร ๘ วัน และนิพพาน ที่ตำบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน ฯ ๒๑. พระโมคคัลลานะ นิพพานที่ไหน ? อัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ที่ไหน ? (๒๕๔๖) ตอบ นิพพานที่ตำบลกาฬสิลา แขวงมคธ ฯ อัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ที่เจดีย์ใกล้ซุ้มประตูแห่งเวฬุวนาราม ฯ
  • 62.
    ๕๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประวัติพระมหากัสสปะและพระมหากัจจายนะ ๑. พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี” แล้วมีใจ เบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวชคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางไหน ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ พระมหากัสสปะ ฯ ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะท่านถือธุดงค์ ๓ อย่าง เป็นประจำ คือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ ๒. พระมหากัสสปะออกบวชเพราะมีความเห็นอย่างไร ? ท่านได้รับยกย่องว่าเลิศในทางไหน ? (๒๕๔๗) ตอบ เพราะมีความเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาปเพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี และเห็นว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งกิเลสธุลี จึงมีใจเบื่อหน่ายสละสมบัติออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก ฯ ได้รับยกย่องว่า เป็นเลิศแห่งภิกษุผู้ทรงธุดงค์ ฯ ๓. พระศาสดาทรงประทานพระโอวาทเป็นการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะไว้กี่ข้อ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๘, ๒๕๖๒) ตอบ ๓ ข้อ ฯ คือ ๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ปานกลาง และผู้ใหม่ ๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรมอันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น ๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย ฯ ๔. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่ละสติ ที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ ๘ วัน ฯ สงเคราะห์เข้าในกายคตาสติ และวิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ ๕. พระมหากัสสปะได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีใด ? พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ ด้วยวิธีรับพุทธโอวาท ๓ ข้อ ฯ ถือธุดงค์ ๓ อย่าง คือ ๑. ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๒. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ
  • 63.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๕๕ ๖. พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ดังนี้ พระองค์ตรัสกะ สาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด ? (๒๕๕๓) ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ เป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์ ฯ ๗. อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานให้แก่ ใคร ? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๖) ตอบ การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะ การรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ พระมหากัสสปะ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงค์คุณ พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ ๘. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี คือ ใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๕) ตอบ มี ฯ คือ พระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ พระนางมหาปชาบดีโคตมี อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ ๙. พระมหากัสสปะโดยปกติถือธุดงค์กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๖๔) ตอบ ถือธุดงค์ ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. ใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๒. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯ ๑๐. พระสาวกองค์ใด เป็นผู้มักน้อยสันโดษอย่างยิ่ง ? ท่านทำใจอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ ทำใจอย่างนี้ คือเมื่อแสวงหาไม่ได้ ก็ไม่สะดุ้งตกใจ เมื่อแสวงหาได้แล้ว ก็ไม่กำหนัดยินดี ใน ปัจจัย ๔ นั้น ฯ ๑๑. พระศาสดาทรงยกย่องพระสาวกรูปใดว่า มีธรรมเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์ ? พระองค์ทรงปฏิบัติต่อ พระสาวกรูปนั้นโดยพระอาการอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ พระมหากัสสปะ ฯ ทรงรับผ้าสังฆาฏิของท่านไปทรง และประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ให้แก่ท่าน ฯ
  • 64.
    ๕๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๑๒. พระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรกที่ไหน ? ใช้เวลานานเท่าไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๐) ตอบ ที่ถ้ำสัตตบัณณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ฯ ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ ๑๓. พระมหากัสสปเถระ ชักชวนภิกษุสงฆ์ทำสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัย ตั้งไว้เป็นแบบฉบับ เพื่อ สมกับพระพุทธพจน์ที่ได้ประทานไว้เมื่อครั้งปรินิพพาน พระพุทธพจน์นั้นใจความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อย่างใด อันเราได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว ธรรมวินัยนั้นจักเป็น ศาสดาของท่านทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงไปแล้ว ฯ ๑๔. การทำสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้ กำจัดและป้องกันอลัชชีได้ ทำความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูกต้องและ ปฏิบัติถูกต้องได้ และทำให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น ฯ ๑๕. การบวชของพระมหากัจจายนะ มีความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ มีความเป็นมาอย่างนี้ ท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าจัณฑปัชโชต ให้ไปทูลเชิญพระพุทธเจ้า เสด็จกรุงอุชเชนี จึงทูลลาบวชด้วย ครั้นได้เข้าเฝ้าฟังธรรมแล้ว บรรลุพระอรหัต จึงทูลขอบวช ฯ ๑๖. พระสาวกผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจาก พระศาสดาว่าอย่างไร ? (๒๕๔๙, ๒๕๕๙) ตอบ คือ พระมหากัจจายนะ ฯ ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคำที่ย่อให้พิสดาร ฯ ๑๗. พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์ เมื่อครั้ง ไหน ? ได้ผลอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ เมื่อครั้งที่ท่านบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้เสด็จไป กรุงอุชเชนี เพื่อประกาศพระศาสนาตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แต่พระพุทธเจ้า รับสั่งให้ท่านไปแทน ฯ พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ ๑๘. พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแทนพระองค์ ณ เมือง ใด และได้ผลเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ณ เมืองอุชเชนี ฯ ได้รับผล คือพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
  • 65.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๕๗ ๑๙. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตรนั้น ชื่ออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี ฯ สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ ๒๐. พระมหากัจจายนะ นิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธเจ้า ? มีอะไรเป็นข้ออ้าง ? (๒๕๔๘) ตอบ พระมหากัจจายนะ นิพพานหลังพระพุทธเจ้า ฯ มีมธุรสูตรเป็นข้ออ้าง โดยมีใจความตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นว่า พระเจ้ามธุรราชตรัสถามว่า เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จอยู่ ณ ที่ไหน พระมหากัจจายนะทูลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ปรินิพพานแล้ว ฯ ประวัติมาณพ ๑๖ คน ๑. อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟังพุทธ พยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ พราหมณ์พาวรี ฯ ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม ศิษย์อีก ๑๕ คน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ ๒. มาณพทั้ง ๑๖ คนผู้ทูลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ? ท่านตั้งสำนักอยู่ที่ไหน ? (๒๕๕๗) ตอบ ของพราหมณ์พาวรี ฯ อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ฯ ๓. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? และพระศาสดาทรง พยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ ทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
  • 66.
    ๕๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๔. “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา” นี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับพุทธ พยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ฯ ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุด โทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ ๕. “โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละ อะไรได้ ?” ปัญหานี้ใครทูลถาม ? (๒๕๕๑) ตอบ อุทยมาณพเป็นผู้ทูลถาม ฯ ๖. พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๐) ตอบ เป็นคนที่ ๑๕ ฯ เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน แต่เมื่อปรารภจะทูลถาม เป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ ฯ ๗. คำถามว่า “ข้าพระเจ้าจักพิจาณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่และเห็น” ใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความตายเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่าน พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงไม่แลเห็น ฯ ๘. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ด้วยเรื่องสุญญตานุปัสสนา ฯ มีความหมายว่า ให้พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าเป็นตัวตนของ เราเสีย ฯ ๙. พระโมฆราชและพระอุบาลี ได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางไหน ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๒) ตอบ พระโมฆราช ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง พระอุบาลี ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงพระวินัย ฯ ๑๐. ปิงคิยมาณพฟังพยากรณ์ปัญหาจากพระบรมศาสดาแล้ว ได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๖๑) ตอบ ได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ
  • 67.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๕๙ เพราะความฟุ้งซ่านด้วยความคิดถึงอาจารย์ในขณะฟังพระธรรมเทศนา จึงไม่อาจทำจิตให้สิ้นอาสวะฯ ๑๑. บรรดาศิษย์ ๑๖ คน ศิษย์คนใด นำพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ไปบอกแก่พราหมณ์พาวรีผู้เป็น อาจารย์ ? พราหมณ์พาวรีฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ ปิงคิยมาณพ ฯ ชั้นเสขภูมิ ฯ ประวัติพระราธะและพระปุณณมันตานีบุตร ๑. พระสาวกผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นองค์แรกคือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจาก พระศาสดาว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายอย่างไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๓) ตอบ พระราธะ ฯ ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในธรรมเทศนา ฯ ๒. ภิกษุ ภิกษุณี ผู้เอตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ ภิกษุ คือพระปุณณมันตานีบุตร ฯ ภิกษุณี คือนางธรรมทินนาเถรี ฯ ประวัติพระราหุล พระอุบาลี พระอนุรุทธะ และพระอานนท์ ๑. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ได้บรรลุพระอรหัต เพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๓) ตอบ สามเณรราหุล ฯ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ ๒. ราหุลกุมารได้บรรพชาเป็นสามเณรเพราะเหตุใด ? พระราหุลได้รับยกย่องว่าเลิศในทางใด ? (๒๕๔๕) ตอบ เพราะพระมารดาให้ไปขอราชสมบัติกับพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ดังนั้น พระองค์จึง ทรงประทานทรัพย์อันเป็นโลกุตตระ โดยมอบหมายให้พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาให้ราหุล กุมาร ด้วยการรับสรณคมน์ ๓ ฯ ได้รับยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่ศึกษาพระธรรมวินัย ฯ
  • 68.
    ๖๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๓. พระสาวกองค์ใด กอบทรายเต็มมือแล้วปรารถนาว่า “ขอให้เราได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระทศพล และพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เท่าเม็ดทรายในกฎมือนี้เถิด” ? และท่านเป็นเลิศในด้านใด ? (๒๕๖๑) ตอบ พระราหุล ฯ เป็นเลิศในด้านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ฯ ๔. การศึกษาเป็นการพัฒนาชีวิตและสังคมให้ก้าวหน้าและก้าวไกล จึงอยากทราบว่า พระเถระองค์ใด ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา ? ท่านได้รับการยกย่องเช่นนั้น เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ พระราหุลเถระ ฯ มีปฏิปทาอย่างนี้คือ ท่านตื่นขึ้นแต่เช้าแล้วกอบเอาทรายมาเต็มกำมือแล้วปรารถนาว่า ขอให้เรา ได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระทศพล และพระอุปัชฌาย์อาจารย์เท่าเม็ดทรายในกำมือเถิด แล้ว ตั้งใจศึกษา ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยปฏิปทาเช่นนี้แล จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ใฝ่ใจใน การศึกษา ฯ ๕. พระเถระและพระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๕๘) ก. พระมหากัจจายนะ ข. พระโมฆราช ค. พระราหุล ง. ปฏาจาราเถรี จ. อุบลวรรณาเถรี ตอบ ก. พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายคำย่อให้พิสดาร ข. พระโมฆราช เป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง ค. พระราหุล เป็นเอตทัคคะในทางผู้ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมวินัย ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทัคคะในทางทรงวินัย จ. อุบลวรรณาเถรี เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ฯ ๖. การที่เจ้าศากยะทูลขอให้พระอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗) ตอบ เพราะประสงค์จะละมานะของตน ฯ ๗. จงตอบคำถามเกี่ยวกับพระอนุรุทธเถระ ดังต่อไปนี้ (๒๕๔๖) ก. ท่านเป็นโอรสของใคร ข. เกี่ยวเนื่องกับพระบรมศาสดาอย่างไร ค. ท่านออกบวชพร้อมกับใครบ้าง ง. ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาอย่างไร ตอบ ก. ของพระเจ้าศากยะพระนามว่า อมิโตทนะ พระมารดาไม่ปรากฏพระนาม ฯ ข. เป็นพระโอรสของพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา จึงนับเป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา ฯ ค. พร้อมกับพระอุบาลี พระภัททิยะ พระภคุ พระกิมพิละ พระอานนท์ และพระเทวทัต ฯ ง. เป็นผู้เลิศในทางมีจักษุทิพย์ ฯ
  • 69.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๖๑ ๘. พระอานนท์ได้บรรลุโสดาปัตติผลเพราะได้ฟังโอวาทจากใคร ? และได้บรรลุอรหัตผลเมื่อไร ? ท่าน บรรลุอรหัตผลและนิพพาน ต่างจากพระสาวกองค์อื่นอย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ จากพระปุณณมันตานีบุตร ฯ บรรลุอรหัตผลก่อนวันรุ่งขึ้นจะทำปฐมสังคายนา ฯ การบรรลุอรหัตผลของท่านไม่ปรากฏว่าได้ในขณะยืน หรือเดิน หรือนั่ง หรือนอน ปรากฏว่า ท่านได้ในระหว่างอิริยาบถ ๔ ท่านนิพพานบนอากาศ กลางแม่น้ำโรหิณีแล้วอธิษฐานให้สรีระของท่าน แยกเป็น ๒ ภาค ให้ตกลงที่ฝั่งแม่น้ำฝั่งละภาค ฯ ๙. พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จไปสู่ที่ นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๐) ตอบ ข้อต้น เพื่อป้องกันคำติเตียนว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ ข้อหลัง เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า พระอานนท์บำรุงพระศาสดาไปทำอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรง อนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ ประวัติพระโสณโกฬิวิสะ พระรัฐบาล และพระโสณกุฏิกัณณะ ๑. พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไป และหย่อนเกินไปแก่พระโสณโกฬิวิสะว่า อย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ทรงแสดงว่า ความเพียรที่ตึงเกินไปเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ที่หย่อนเกินไปเป็นเพื่อความเกียจ คร้าน ฯ ๒. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงพระประสงค์ใด ? (๒๕๕๙) ตอบ แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ ด้วยทรงพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียรอย่างยิ่ง เดินจงกรมจนเท้าแตก ฯ ๓. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยพิณ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงมีพระประสงค์ใด ? (๒๕๖๔) ตอบ แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ ด้วยมีพระประสงค์จะให้ท่านทำความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทำความเพียรอย่างยิ่ง เป็น เหตุให้เกิดทุกขเวทนา ทำให้ไม่บรรลุธรรม ฯ ๔. พระรัฐบาลและพระนันทะ ออกบวชเพราะเหตุใด ? (๒๕๔๔) ตอบ พระรัฐบาล ออกบวชเพราะศรัทธา พระนันทะ ออกบวชเพราะจำใจ ฯ
  • 70.
    ๖๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๕. ข้อธรรมว่า “โลกคือหมู่สัตว์อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน” เรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๕) ตอบ เรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ ๖. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๐) ตอบ มี ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน ๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน ๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป ๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ ฯ ๗. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา ๒. บวชเพราะจำใจ ๓. บวช เพราะหลงไหลในรูป ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๑) ตอบ ๑. บวชเพราะศรัทธา คือพระรัฐบาล ๒. บวชเพราะจำใจ คือพระนันทะ ๓. บวชเพราะหลงใหลในรูป คือพระวักกลิ ฯ ๘. พระศาสดาทรงทราบความขัดข้องจากพระสาวกรูปใด จึงได้ทรงพระอนุญาตให้สงฆ์ปัญจวรรคทำการ อุปสมบทในปัจจันตชนบทได้ ? ท่านได้รับยกย่องว่าเลิศทางไหน ? (๒๕๔๔) ตอบ พระโสณกุฏิกัณณะ ฯ เป็นผู้มีวาจาไพเราะ ฯ ๙. ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน ? จงบอกมาสัก ๒ คู่ (๒๕๕๐) ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร พระอัสสชิกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรกับพระราธะ พระสารีบุตรกับพระราหุล พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ ฯ
  • 71.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๖๓ ประวัติภิกษุณี ๑. สตรีคนแรกที่ได้อุปสมบทในพุทธศาสนาคือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ? (๒๕๕๙) ตอบ คือ พระมหาปชาบดีโคตมี ฯ ด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ ๒. พระนางปชาบดีโคตมี ยินดีรับครุธรรม ๘ ข้อมาปฏิบัติ อุปมาเหมือนอะไร ? (๒๕๔๕) ตอบ เปรียบเหมือนหญิงหรือชายที่ยังรุ่นสาวรุ่นหนุ่ม กำลังรักแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้าแล้วได้พวงดอก อุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว จะพึงรับด้วยมือทั้ง ๒ แล้วตั้งไว้บนศีรษะด้วยความยินดีฉันนั้น ฯ ๓. พระเถรีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๔๕) ก. กิสาโคตรมีเถรี ข. กุณฑลเกสีเถรี ค. ภัททกาปิลานีเถรี ง. ภัททากัจจานาเถรี จ. โสณาเถรี ตอบ ก. ในทางทรงไว้ซึ่งจีวรอันเศร้าหมอง ข. ในทางขิปปาภิญญา หรือ ตรัสรู้เร็ว ค. ในทางระลึกได้ซึ่งปุพเพนิวาส ง. ในทางถึงซึ่งอภิญญาอันใหญ่แล้ว จ. ในทางมีความเพียรปรารภแล้ว ฯ
  • 72.
    ๖๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ศาสนพิธี ๑. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ พิธีทางศาสนา ฯ มีประโยชน์คือ ๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง ๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญไม่ไร้สาระ ๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ ๒. การศึกษาให้เข้าใจในศาสนพิธี มีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๒) ตอบ ๑. ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง ๒. ทำให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ไร้สาระ ๓. ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ หมวดที่ ๑ กุศลพิธี ๑. กุศลพิธีและบุญพิธี คือพิธีเช่นไร ? (๒๕๔๔) ตอบ กุศลพิธี คือพิธีกรรมต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรมความดีงามทาง พระพุทธศาสนาเฉพาะตัว บุคคล เช่น พิธีรักษาอุโบสถศีล เป็นต้น บุญพิธี คือพิธีทำบุญงานมงคล และงานอวมงคล ๒. กุศลพิธี คืออะไร ? พิธีทำสามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ คือ พิธีบำเพ็ญกุศล ฯ หมายถึง การขอขมาโทษกัน ให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ พิธีเข้าพรรษา ๑. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ (๒๕๔๖) ก. การเข้าพรรษา ข. การออกพรรษา ตอบ ก. การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่า จะอยู่ประจำเสนาสนะในวัดใดวัดหนึ่ง ตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาห- กรณียะ
  • 73.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๖๕ ข. การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มี พิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษาพระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำ ปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ ๒. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ? (๒๕๕๖, ๒๕๖๓) ตอบ การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มีพิธี เป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษา พระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำปวารณาของ สงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ พิธีสามีจิกรรม ๑. สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖) ตอบ หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกัน ทุกโอกาสไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ มี ๒ แบบ ฯ คือ ๑. แบบขอขมาโทษ ๒. แบบถวายสักการะ ฯ ๒. สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ? มีกี่แบบ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกันทุกโอกาส ไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูปไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ มี ๒ แบบ ฯ คือ ๑. แบบขอขมาโทษ ๒. แบบถวายสักการะ ฯ ๓. ธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติชอบต่อกันเพื่อความสามัคคี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ เรียกว่า สามีจิกรรม ฯ หมายถึง การขอขมาโทษ และการให้อภัยกัน ฯ
  • 74.
    ๖๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก พิธีทําวัตรสวดมนต์ ๑. การทำวัตร คืออะไร ? ทำวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ การทำกิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทำกิจที่ต้องทำประจำจนเป็น วัตรปฏิบัติ เรียกสั้น ๆ ว่า ทำวัตร ฯ ความมุ่งหมายของการทำวัตรสวดมนต์นี้ บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิตไม่ให้คิดวุ่นวายตาม อารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ ๒. การทำวัตรสวดมนต์ มีประโยชน์อย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๖๒) ตอบ เป็นอุบายสงบใจ ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลา ทั้ง เช้าเย็น ครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้ วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ ๓. การทำวัตรและการสวดมนต์ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ การทำวัตร คือการทำกิจวัตรที่ต้องทำประจำ วันละ ๒ เวลา คือเช้า-เย็น จนเป็นวัตรปฏิบัติ มีการสวดบูชาพระรัตนตรัย และสวดพิจารณาปัจจัยที่บริโภคเป็นต้น ส่วนการสวดมนต์ คือการสวดพระพุทธมนต์ต่าง ๆ นอกเหนือจากบทสวดทำวัตรที่เป็นส่วนพระ สูตรก็มี ที่เป็นส่วนพระปริตรก็มี ที่เป็นส่วนเฉพาะคาถาอันนิยมกำหนดให้นำมาสวดประกอบในการสวด มนต์เป็นประจำก็มี ฯ พิธีกรรมวันธรรมสวนะ ๑. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้มีในวันใดบ้าง ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๗, ๒๕๖๑, ๒๕๖๓) ตอบ คือ วันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่า “วันพระ” ฯ ในวัน ๘ ค่ำ และวัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ของปักษ์ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ฯ พิธีทําสังฆอุโบสถ ๑. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน อย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ มี ๓ ประเภท คือสังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ มีความแตกต่างกันดังนี้ ๑. สังฆอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ประชุมสวดพระปาฏิโมกข์ ๒. ปาริสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป ร่วมกันทำเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน ๆ
  • 75.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๖๗ ๓. อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทำเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐาน ความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ฯ ๒. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะรักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึง ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็ กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ ๓. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ ๓ ประเภท ฯ คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ ๔. จงเขียนอุโบสถศีลข้อที่ ๓ มาดู (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ๕. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู (๒๕๕๕) ตอบ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺ านา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ฯ หมวดที่ ๒ บุญพิธี พิธีทําบุญตักบาตรเทโวโรหณะ ๑. วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกว่าวันอะไร ? ตรงกับวันอะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ เรียกว่า วันเทโวโรหณะ ฯ ตรงกับวันมหาปวารณา เพ็ญเดือน ๑๑ ฯ ๒. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทำกันมาจนถึงบัดนี้ ? (๒๕๕๐, ๒๕๕๔) ตอบ คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงส์พิภพถ้วน ไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ฯ
  • 76.
    ๖๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก มีการทำบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ จนเป็นประเพณีทำบุญตักบาตรที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ ๓. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันอะไร ? (๒๕๔๔) ตอบ คือ วันที่พระองค์เสด็จลงจากเทวโลก ฯ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ฯ ๔. ในพิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ พระพุทธรูปที่จะประดิษฐานบนรถทรงหรือคานหาม นิยมพระพุทธรูป ปางอะไร ? (๒๕๔๕) ตอบ นิยมพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ถ้าไม่มีจะเป็นพระพุทธรูปปางอะไรก็ได้ ฯ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ๑. คำว่า เจริญพระพุทธมนต์ กับ สวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทำบุญฉลองอัฐิจัดเข้าใน อย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ? (๒๕๕๓) ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงานมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงานอวมงคล ฯ จัดเข้าในการเจริญพระพุทธมนต์ แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสายสิญจน์ ฯ ๒. ในงานมงคลที่ทำกันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วยบทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้น ๆ ว่า อะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ เรียกว่า เจ็ดตำนาน ฯ เรียกว่า ต้นสวดมนต์หรือต้นตำนาน และท้ายสวดมนต์ ฯ ๓. งานทำบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทำบุญเช่นไร ? (๒๕๔๕, ๒๕๕๓) ตอบ คือ งานทำบุญที่คณะญาติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหายป่วยและเพื่อให้ผู้ป่วยได้มี โอกาสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลายแห่งชีวิตของตน หรือเป็นความประสงค์ของผู้จะทำบุญต่ออายุเอง เพื่อ ความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ พิธีสวดพระพุทธมนต์ ๑. บท อทาสิ เม อกาสิ เม....และบท อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา.....ใช้ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ อทาสิ เม อกาสิ เม... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่ อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา... ใช้ในกรณีทำบุญอัฐิ ฯ
  • 77.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๖๙ พิธีสวดพระอภิธรรม ๑. พิธีสวดพระอภิธรรมมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ มี ๒ อย่าง ฯ คือ ๑. สวดประจำยามหน้าศพ ๒. สวดหน้าไฟในขณะฌาปนกิจ ฯ พิธีสวดมาติกา ๑. การสวดมาติกา คือการสวดเรื่องอะไร ? (๒๕๔๔) ตอบ คือ การสวดบทมาติกาของพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์หรือที่เรียกว่า “สัตตัปปกรณาภิธรรม” ซึ่งมี การบังสุกุลเป็นที่สุด เป็นประเพณีนิยมจัดให้พระสงฆ์สวดในงานทำบุญหน้าศพอย่างหนึ่ง เรียกโดย โวหาร ทางราชการในงานหลวงว่า “สดับปกรณ์” แต่ราษฎรสามัญทั่วไปเรียกว่า “สวดมาติกา” ฯ พิธีสวดแจง ๑. ประเพณีการเทศน์แจง และการสวดแจงอาศัยเค้ามูลมาจากเรื่องอะไร ? นิยมเทศน์ในงานอะไร ? (๒๕๔๗) ตอบ อาศัยเค้ามูลมาจากเรื่องการทำปฐมสังคายนา ซึ่งเป็นการรวบรวมพระธรรมวินัย จัดไว้เป็น หมวดหมู่ เรียกว่า พระไตรปิฎก ดังนั้นการเทศน์แจงจึงเป็นการแสดงธรรมแจกแจงวัตถุและหัวข้อใน พระไตรปิฎก ในการทำปฐมสังคายนา มีการกสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป การสวดแจงจึงนิยมนิมนต์ พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ให้เท่าจำนวนการกสงฆ์ในครั้งนั้น ฯ นิยมเทศน์ในงานฌาปนกิจศพ ฯ พิธีอนุโมทนากรณีต่าง ๆ ๑. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ ไม่ว่างาน ใดก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้น ส่วนวิเสสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง ฯ พิธีแสดงพระธรรมเทศนา ๑. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์ ? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วยเรื่อง อะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ เรื่องเวสสันดรชาดก ฯ
  • 78.
    ๗๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก มี ๑๓ กัณฑ์ ฯ เรื่องจตุราริยสัจจกถา ฯ ๒. การเทศน์ในปัจจุบันนิยมทำกันกี่ลักษณะ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖) ตอบ นิยมทำกัน ๔ ลักษณะ ฯ คือ ๑. เทศน์ในงานทำบุญ ๒. เทศน์ตามกาลนิยม ๓. เทศน์พิเศษ ๔. เทศน์มหาชาติ ฯ ๓. คำต่อไปนี้หมายถึงอะไร ? (๒๕๔๗) ก. เทศน์มหาชาติ ข. ทำบุญอัฐิ ค. สามัญอนุโมทนา ง. วิเสสอนุโมทนา จ. สลากภัต ตอบ ก. หมายถึง เทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดก ข. หมายถึง ทำบุญหลังจากการปลงศพปรารภผู้ล่วงลับแล้ว ค. หมายถึง การอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ ง. หมายถึง การอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล เฉพาะเรื่อง จ. หมายถึง ภัตตาหารที่ทายก ทายิกาถวายตามสลาก ฯ หมวดที่ ๓ ทานพิธี พิธีถวายเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ๑. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีตํ อุณฺหํ ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวดเมื่อใด ? (๒๕๕๔) ตอบ เมื่อทายกถวายเสนาสนะมีโบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ
  • 79.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๗๑ พิธีถวายผ้าวัสสิกสาฎก ๑. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙) ตอบ มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือยกายอาบน้ำ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอพระพุทธานุญาต เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ฯ ๒. ผ้าวัสสิกสาฎก ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ? การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? (๒๕๔๕) ตอบ นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ฯ มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าอาบน้ำฝน ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือยกายอาบ น้ำ นางวิสาขามหาอุบาสิกาทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะจึงทูลขอพระพุทธานุญาต เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ พิธีถวายผ้าป่า ๑. ผ้าป่า คือผ้าอะไร ? คำพิจารณาผ้าป่าว่าอย่างไร ? (๒๕๔๘) ตอบ คือ ผ้าบังสุกุลจีวร ได้แก่ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้างตามป่าช้าบ้าง ตามถนนหนทางและห้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง ที่สุดจนกระทั่งที่เขาอุทิศไว้แทบเท้า รวมเรียกว่า “ผ้าป่า” ฯ คำพิจารณาผ้าป่าว่า อิมํ ปํสุกูลจีวรํ อสฺสามิกํ มยฺหํ ปาปุณาติ หรือว่า อิมํ วตฺถํ อสฺสามิกํ ปํสุกูลจีวรํ มยฺหํ ปาปุณาติ ฯ ๒. ผ้าป่าและผ้าอัจเจกจีวร ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การทอดผ้าป่ากำหนดกาลเวลาทอดไว้หรือไม่ ? (๒๕๔๔) ตอบ ผ้าป่า หมายถึงผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงเเหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้าง ตามป่าช้าบ้าง ตามถนน หนทางและห้อยย้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง ผ้าอัจเจกจีวร หมายถึงผ้าจำนำพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกำหนดกาล คือถวายก่อนออก พรรษา ฯ ไม่มีกำหนดกาลเวลา มีศรัทธาเมื่อไรก็ถวายได้ ฯ ๓. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๘) ก. ปาฏิปุคคลิกทาน ข. เภสัชทาน ค. สลากภัต ง. ผ้าวัสสิกสาฎก จ. ผ้าอัจเจกจีวร ตอบ ก. ปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้ ข. เภสัชทาน คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ค. สลากภัต คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก
  • 80.
    ๗๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ง. ผ้าวัสสิกสาฎก คือผ้าที่อธิษฐานสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน หรืออาบน้ำทั่วไป จ. ผ้าอัจเจกจีวร คือผ้าจำนำพรรษา หมวดที่ ๔ ปกิณกะ พิธีบังสุกุลเป็น ๑. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน โดยเฉพาะผ้า อุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทำเมื่อป่วยหนัก เป็นการกำหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง ฯ ว่า อจิรํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺ าโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ ๒. จงเขียนคาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู (๒๕๕๗) ตอบ คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลเป็น ว่า อจิรํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺ าโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ คาถาที่ใช้ในการบังสุกุลตายว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข ฯ ๓. จงเขียนคำบังสุกุลเป็น มาดู (๒๕๔๕) ตอบ อจิรํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺ าโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ
  • 81.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๗๓ วิชาวินัย สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ๑. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖) ตอบ เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ มี ๒ อย่าง คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ ๒. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ เรียกว่า อภิสมาจาร ฯ ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของ ตระกูล ฯ ๓. สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจาร แบ่งเป็น ๒ คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ นั้น คืออย่างไร ? ปรับโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ ที่เป็นข้อห้าม คือกิริยาบางอย่างหรือบริขารประเภทไม่เหมาะแก่สมณสารูป จึงให้ไว้หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น ที่เป็นข้ออนุญาต คือเป็นการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่น ทรงอนุญาตวัสสิกสาฎก ในฤดูฝน เป็นต้น ฯ ปรับโทษโดยตรงมีเพียง ๒ คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฎ ๑ แม้ในข้อที่ทรงอนุญาต เมื่อไม่ทำตาม ก็เป็นอาบัติทุกกฎ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ ฯ พระวินัย ๑. พระวินัย แบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? จะปฏิบัติพระวินัยอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม ? (๒๕๔๔) ตอบ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ฯ คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขาบท ๑ อภิสมาจาร ๑ ฯ ต้องปฏิบัติพระวินัยโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุต้องทำตนให้เป็น คนลำบาก เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อ ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม จึงจะเรียกได้ว่าพอดีพองาม ฯ
  • 82.
    ๗๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๒. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง ฯ คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ๑ อภิสมาจาริกาสิกขา ๑ ฯ ๓. อาทิพรหมจริยกาสิกขา กับ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ อันได้แก่ พระพุทธบัญญัติที่ตรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์ เป็นข้อบังคับ โดยตรง ที่ภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติ หรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรพฤติ ฯ อภิสมาจาร ๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? แบ่งเป็นกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ฯ คือ เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ ๒. อภิสมาจาร คืออะไร ? ปรับอาบัติได้กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ ปรับอาบัติได้ ๒ อย่าง ฯ คือ ถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ ๓. อภิสมาจาร คืออะไร ? เป็นเหตุให้ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ คือ ขนบธรรมเนียมของภิกษุ ฯ อาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฎ ฯ ๔. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฎเป็นพื้น ฯ ๕. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารท่านปรับอาบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ ธรรมเนียมหรือมารยาทที่ดีงามของภิกษุ ฯ ปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ
  • 83.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๗๕ ๖. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุล่วงละเมิดจะเกิดความเสียหายอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ ถ้าล่วงละเมิดแต่บางอย่างหรือบางครั้งก็เสียหายน้อย แต่ถ้าล่วงละเมิดมากอย่างหรือเป็นนิตย์ ธรรมเนียมย่อมกลายไปหรือเสื่อมไป ภิกษุจะแตกเป็น ๒ พวก คือเคร่งและไม่เคร่ง ฯ ๗. อภิสมาจาร มีรูปเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต อีกอย่างหนึ่งคืออะไร ? และปรับอาบัติ อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ อีกอย่างหนึ่ง คือข้อห้าม ฯ ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ ฯ ๘. ภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์นั้น ต้องอาบัติโดยตรงอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๖) ตอบ ต้องอาบัติโดยตรง ๒ อย่าง คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฏ ๑ ฯ ๙. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๔๘, ๒๕๕๘) ตอบ ต้องอาบัติถุลลัจจัยและทุกกฎ ฯ ๑๐. ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง แต่มีน้อย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น ฯ ๑๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุ ทำตนให้ลำบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลย ต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ ๑๒. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุทำตนให้ลำบากเพราะเหตุ ธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
  • 84.
    ๗๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร ๑. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติให้รักษาความสะอาดเกี่ยวกับร่างกายไว้อย่างไร ? การ เคี้ยวไม้ชำระฟันมีประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ มีพระพุทธบัญญัติว่าด้วยกายบริหารไว้ว่า ห้ามไว้ผมยาว ๑ ห้ามไว้หนวดเครา ๑ ห้ามไว้เล็บยาว ๑ ห้ามไว้ขนจมูกยาว ๑ เมื่อถ่ายอุจจาระแล้ว น้ำมีอยู่ไม่ชำระไม่ได้ ๑ อนุญาตให้ใช้ไม้ชำระฟัน ๑ น้ำดื่ม ให้กรองก่อน ๑ ฯ มีประโยชน์ คือ ๑. ฟันไม่สกปรก ๒. ปากไม่เหม็น ๓. เส้นประสาทรับรสหมดจดดี ๔. เสมหะไม่หุ้มอาหาร ๕. ฉันอาหารมีรส ฯ ๒. พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ? (๒๕๔๘) ตอบ ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ ๓. มีข้อกำหนดในการไว้ผมยาวของพระภิกษุอย่างไร ? ในการโกนผม ภิกษุใช้กรรไกรแทนมีดโกนได้ หรือไม่ ? (๒๕๕๑) ตอบ ไว้ได้เพียง ๒ เดือน หรือ ๒ นิ้ว เป็นอย่างยิ่ง ฯ ไม่ได้ เว้นไว้แต่อาพาธ ฯ ๔. ในกายบริหาร มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหนวดและคิ้วไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ เกี่ยวกับหนวด มีข้อปฏิบัติไว้ว่า อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา คือต้องโกนเสมอ ห้ามไม่ให้แต่งหนวด และห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยกรรไกร เกี่ยวกับคิ้ว ไม่ได้วางหลักปฏิบัติไว้ แต่พระสงฆ์ไทยนิยมโกนพร้อมกับผม ฯ ๕. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตามวินัยแผนกอภิสมาจาร ? (๒๕๔๙) ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้คือ ไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บให้เกลี้ยงเกลาด้วยมุ่งหมาย ให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่ นี้เป็นกิจควรทำ ฯ ๖. การผัดหน้า ไล้หน้า ทำหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ? (๒๕๕๗) ตอบ ทรงห้ามในกรณีที่ทำเพื่อให้สวยงาม ทรงอนุญาตในกรณีที่อาพาธ เช่น เป็นโรคผิวหนัง เป็นต้น ฯ
  • 85.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๗๗ ๗. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ? (๒๕๕๔, ๒๕๖๒) ตอบ เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ เปลือยกายทำกิจแก่กัน เช่น ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายใน เวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ ๘. ภิกษุเปลือยกายด้วยอาการอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติและไม่ต้องอาบัติ ? (๒๕๔๔) ตอบ ถ้าเปลือยกายเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าเปลือยกายทำกิจแก่กัน คือไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ เปลือยกายในเวลาฉัน และดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ในเรือนไฟและในน้ำ ไม่ต้องอาบัติ ฯ ๙. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๗) ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทำกิจแก่กัน เช่นไหว้ รับไหว้ ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ จ. เปลือยในน้ำ ตอบ ก. ต้องอาบัติถุลลัจจัย ข. และ ค. ต้องอาบัติทุกกฏ ง. และ จ. ไม่ต้องอาบัติ ฯ ๑๐. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก หมวก ผ้านุ่งผ้าห่ม สีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ ฯ ๑๑. มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึ่งนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่าพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ในกรณีที่ภิกษุถูกโจร ชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๒) ตอบ พึงปิดการด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้ ห้ามมิให้เปลือย กาย ฯ ๑๒. ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีจีวร เช่น จีวรถูกไฟไหม้ ถูกโจรชิงไปหมด นุ่ง ห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฏ แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่งห่มต้อง อาบัติทุกกฎ ฯ
  • 86.
    ๗๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก กัณฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค ๑. จีวร ๑. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ ผ้าสำหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดูหนาว ฯ มีเรื่องเล่าว่า ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความหนาวได้ ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้น จึงพอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒ ชั้น เข้ากับอุตตราสงค์ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ ๒. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลำดับอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ ต้องปัจจุธรณ์ คือถอนอธิษฐานผืนเก่าก่อน แล้วทำพินทุและอธิษฐานผืนใหม่ ฯ ๓. ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๕๒, ๒๕๕๘) ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ มี ๑. โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้ ๒. กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย ๓. โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม ๔. กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์ ๕. สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน ๖. ภังคะ ผ้าที่ทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ ๔. ขันธ์แห่งจีวรประกอบด้วยอะไรบ้าง ? ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ ฯ ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ว่า จีวรผืนหนึ่งให้มีขันธ์ไม่น้อยกว่า ๕ เกินกว่านั้นใช้ได้ แต่ให้เป็นขันธ์ ที่เป็นคี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ ๕. จีวรผืนหนึ่ง มีกำหนดจำนวนขัณฑ์ไว้อย่างไร ? ใน ๑ ขัณฑ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ กำหนดจำนวนไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ขัณฑ์ แต่ให้เป็นขัณฑ์คี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล กุสิ อัฑฒกุสิ ฯ ๖. สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว เข็ม มีดโกน อย่างไหนจัดเป็นบริขารบริโภค อย่างไหนจัดเป็นบริขาร อุปโภค ? (๒๕๕๙) ตอบ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว จัดเป็นบริขารบริโภค
  • 87.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๗๙ เข็ม มีดโกน จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ ๗. บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง ? ที่จัดเป็นบริขารบริโภคและบริขารอุปโภคมีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ มีไตรจีวร คือผ้านุ่งผ้าห่มและผ้าทาบ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้ำ ฯ ไตรจีวร บาตร ประคดเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภค เข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้ำ จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ ๘. บริขาร ๘ อย่างไหนจัดเป็นบริขารบริโภค อย่างไหนจัดเป็นบริขารอุปโภค ? (๒๕๖๒) ตอบ ไตรจีวร บาตร ประคตเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภค ฯ เข็ม มีดโกน และผ้ากรอกน้ำ จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ ๙. บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร ฟูกเตียง (ที่นอน) หมอนหนุนศีรษะ เตียง ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า ฟูกตั่ง (เบาะ) ผ้านิสีทนะ อย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค อย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ ? (๒๕๔๗) ตอบ ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้านิสีทนะ จัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค ฟูกเตียง (ที่นอน) หมอนหนุนศีรษะ เตียง ฟูกตั่ง (เบาะ) จัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ ฯ ๑๐. ผ้าต่อไปนี้ คือสังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร ผืนใดที่ทรง อนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ? (๒๕๕๔) ตอบ สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้ำฝน ฯ ๑๑. บริขารต่อไปนี้ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๔๖) ก. บริขารเครื่องบริโภค ข. บริขารเครื่องอุปโภค ตอบ ก. ได้แก่ ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก ผ้านิสีทนะ บาตร ฯ ข. ได้แก่ กล่องเข็ม เครื่องกรองน้ำ มีดโกนพร้อมทั้งฝัก หินสำหรับลับ กับเครื่องสะบัด ร่ม รองเท้า ฯ ๑๒. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐาน ด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ ได้แก่ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรองน้ำ ถุงบาตร ย่าม ฯ การอธิษฐานด้วยกาย คือการใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทำความผูกใจตามคำ อธิษฐานนั้น ๆ ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือการเปล่งคำอธิษฐานนั้น ๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
  • 88.
    ๘๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๑๓. วัสสิกสาฎกได้แก่ผ้าเช่นไร ? มีจำกัดประมาณ กว้าง ยาว ไว้อย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ ได้แก่ผ้าอาบน้ำฝน ฯ มีจำกัดประมาณยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง แห่งคืบพระสุคต ฯ ๑๔. ภิกษุไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง ? (๒๕๔๘) ตอบ ใน ๒ กรณี คือ ๑. ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ ๑. คราวเจ็บไข้ ๒. สังเกตเห็นว่าฝนจะตก ๓. ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ๔. วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล ๕. ได้รับอานิสงส์พรรษา ๖. ได้กรานกฐิน ๒. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ ๑. ได้รับอานิสงส์พรรษา ๒. ได้กรานกฐิน ฯ ๒. บาตร ๑. ในพระวินัย ทรงอนุญาตบาตรไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? และมีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขันไว้ อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด ฯ คือ บาตรดินเผา (สุมดำสนิท) ๑ บาตรเหล็ก ๑ ฯ มีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขัน คือห้ามไม่ให้วางบาตร เก็บบาตรไว้ในที่ ๆ บาตรจะ ตกแตก และในที่จะประทุษร้ายบาตร ห้ามคว่ำบาตรไว้ที่พื้นคมแข็งอันจะประทุษร้ายบาตร ห้ามไม่ให้ แขวนบาตร และห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก มีบาตรอยู่ในมือห้ามไม่ให้ ผลักบานประตู เป็นต้น ฯ ๒. บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน ? (๒๕๖๑) ตอบ มี ๒ ชนิด คือ ๑. บาตรดินเผา ๒. บาตรเหล็ก ฯ บาตรแสตนเลส จัดเข้าในบาตรเหล็ก ฯ ๓. บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๓) ตอบ มี ๒ ชนิด ฯ คือ ๑. บาตรดินเผา ๒. บาตรเหล็ก ฯ
  • 89.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๘๑ ๔. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ มี ๒ ชนิด คือบาตรดินเผาและบาตรเหล็ก ฯ มี ๓ ขนาด คือขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ฯ ๕. วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลงใน บาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วให้ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมดน้ำก่อนจึงผึ่ง ห้าม ไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ ๓. เครื่องอุปโภค ๑. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใสของประชาชน ? (๒๕๔๙) ตอบ การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า ภิกษุย่อมนิยมใช้ สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบ ๆ ไม่ใช้ของดีที่กำลังตื่นกันในสมัยอันจะพึงเรียกว่าโอ่โถง ความประพฤติปอนของภิกษุนี้ ย่อมทำให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า ลูขประมาณ แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสัย ๑. คําว่า ถือนิสัย หมายความว่าอะไร ? (๒๕๖๓) ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระ ผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตน ให้ท่านปกครองพึ่งพิงพํานักอาศัยท่าน ฯ ๒. คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร ? (๒๕๕๖) ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตน ให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ ต้องถือนิสัยเสมอไป แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้ เป็นไข้ ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้ เพื่อให้อยู่ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรมชั่วคราว และ กรณีที่ในที่ใด หากท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ จะอยู่ในที่นั้นด้วยผูกใจ ว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่านก็ใช้ได้ ฯ
  • 90.
    ๘๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๓. คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอะไร ? จงเขียนคำขอนิสัยอาจารย์พร้อมทั้งคำแปล (๒๕๔๔) ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตน ให้ท่านปกครองพึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ คำขอนิสัยอาจารย์ว่าดังนี้ “อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ” ซึ่งแปลว่า “ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอยู่อาศัยท่าน” ฯ เหตุที่นิสสัยระงับจากอุปัชฌาย์ ๕ ประการ ๑. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ ๒. ในบาลีแสดงเหตุนิสสัยระงับจากอุปัชฌายะไว้ ๕ ประการ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ มีอุปัชฌายะหลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์เสีย ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ ๓. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ๔. พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความเจริญงอกงามในพระธรรมวินัย ? (๒๕๔๙) ตอบ พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริกตั้งจิตสนิท สนมในกันและกัน ให้พระอุปัชฌาย์สำคัญสัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระอุปัชฌาย์ฉัน บิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระ ธรรมวินัย ฯ ๕. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย ? (๒๕๕๕) ตอบ อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่า ผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่า ผู้อยู่ด้วย นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ ๖. จงให้ความหมายของคำดังต่อไปนี้ (๒๕๔๗) ก. นิสสัย ข. วัตร ค. อุปัชฌายะ ง. อาจารย์ จ. สัทธิวิหาริกวัตร
  • 91.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๘๓ ตอบ ก. นิสสัย คือกิริยาที่พึ่งพิง ข. วัตร หมายถึงขนบคือแบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น แก่บุคคลนั้น ๆ ค. อุปัชฌายะ คือภิกษุผู้รับให้สัทธิวิหาริกพึ่งพิง ง. อาจารย์ คือภิกษุผู้รับให้อันเตวาสิกพึ่งพิง จ. สัทธิวิหาริกวัตร คือหน้าที่อันอุปัชฌายะจะพึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ เหตุที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริก ๕ ประการ ๑. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทำการประณาม สัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรือันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ ผู้ประพฤติดังนี้ ๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๒. หาความเลื่อมใสมิได้ ๓. หาความละอายมิได้ ๔. หาความเคารพมิได้ ๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ ๒. อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบด้วยเหตุอะไรบ้าง ? อาการที่อุปัชฌาย์ประณาม สัทธิวิหาริกพึงทำอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ด้วยเหตุดังนี้คือ หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑ หาความเลื่อมใสมิได้ ๑ หาความละอายมิได้ ๑ หาความเคารพมิได้ ๑ หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ พึงพูดให้รู้ว่าตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามา ณ ที่นี้ จงขนบาตร จีวรของเธอออกไปเสีย หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้ หรือแสดงอาการทางกายให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ อาจารย์ตามนัยแห่งอรรถกถา มี ๔ ประเภท ๑. ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คำขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา ๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท ๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย ๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
  • 92.
    ๘๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๒. อาจารย์ทางพระวินัยตามนัยอรรถกถามีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? อาจารย์เหล่านั้นทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ มี ๔ คือ ปัพพชาจารย์ ๑ อุปสัมปทาจารย์ ๑ นิสสยาจารย์ ๑ อุทเทสาจารย์ ๑ ทำหน้าที่ต่างกัน คือ ปัพพชาจารย์ ทำหน้าที่ให้สรณคมน์เมื่อบรรพชา อุปสัมปทาจารย์ ทำหน้าที่สวดกรรมวาจาเมื่ออุปสมบท นิสสยาจารย์ ทำหน้าที่ให้นิสัย อุทเทสาจารย์ ทำหน้าที่สอนธรรม ๓. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ (๒๕๕๗) ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์ ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ ตอบ ก. อาจารย์ผู้ให้อุปสมบท ข. อาจารย์ผู้สอนธรรม ค. ภิกษุผู้พึ่งพิงอุปัชฌาย์ ง. ภิกษุผู้อิงอาศัยอาจารย์ จ. ภิกษุผู้พ้นนิสสัยแล้ว ฯ นิสัยมุตตกะ ๑. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? (๒๕๔๔) ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ เรียกว่า นวกะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ เรียกว่า มัชฌิมะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป เรียกว่า เถระ ๒. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ? (๒๕๖๐) ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ ชื่อว่า นวกะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัยชื่อว่า มัชฌิมะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย ชื่อว่า เถระ ฯ ๓. ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัยมุตตกะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ มีคุณสมบัติ คือ ๑. เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีสติ ๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมาก มีปัญญา
  • 93.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๘๕ ๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ ทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือ ยิ่งกว่า ฯ ๔. ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ ๑. เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ ๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยิน ได้ฟังมามาก มีปัญญา ๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ ทั้งมีพรรษาพ้น ๕ ฯ ๕. นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑, ๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ นิสัยระงับ หมายถึงการที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง เช่น อุปัชฌาย์มรณภาพ เป็นต้น นิสัยมุตตกะ หมายถึงภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตนได้เมื่ออยู่ตามลำพัง ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร ๑. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ วัตร คือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ ฯ มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ ๓. วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ ๒. วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า วตฺตสมฺปนฺโน นั้นคืออะไรบ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๐, ๒๕๖๓) ตอบ คือ ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ ๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ ๓. ในคำว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ ได้แก่ ขนบ คือ แบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่ บุคคลนั้น ๆ ฯ มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทำ ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ ๓. วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
  • 94.
    ๘๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๔. วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน ? มีโทษให้เกิดความ เสียหายอย่างไร ? (๒๕๔๘) ตอบ คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ มีโทษให้เกิดความเสียหาย คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทำให้ผ้าขาวมีรอย เปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง เป็นที่ตำหนิของบัณฑิต ทั้งหลาย ฯ ๕. วัตร คืออะไร ? อุปัชฌายวัตรและสัทธิวิหาริกวัตร ใครพึงทำแก่ใคร ? (๒๕๕๙) ตอบ คือ แบบอย่างอันดีงามที่ภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ฯ อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกพึงทำแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกวัตร อุปัชฌาย์พึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ ๑. กิจวัตร อุปัชฌายวัตร ๑. กิจวัตรที่สัทธิวิหาริกควรกระทำแก่พระอุปัชฌายะในข้อว่า เคารพในท่านนั้น ในบาลีท่านแสดงไว้อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ในบาลีแสดงการเดินตามท่าน ไม่ให้ชิดนัก ไม่ให้ห่างนัก และไม่พูดสอดในขณะที่ท่านกำลังพูด เมื่อท่านพูดผิด ไม่ทักหรือค้านอย่างจัง ๆ พูดอ้อมพอท่านได้สติรู้สึกตัว จึงจะเป็นการดี ฯ สัทธิวิหาริกวัตร ๑. สัทธิวิหาริก คือใคร ? อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ ภิกษุผู้พึ่งพิงในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูป นั้น ฯ อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ ๑. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก ๒. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้ ๓. ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้วแก่สัทธิวิหาริก ๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทำการพยาบาล ฯ
  • 95.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๘๗ อาคันตุกวัตร ๑. ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒, ๒๕๖๔) ตอบ พึงประพฤติดังนี้ ๑. ทำความเคารพในท่าน ๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น ๓. แสดงอาการสุภาพ ๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น ๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น ๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้งเครื่องเสนาสนะให้เป็น ระเบียบ ฯ ปิณฑจาริกวัตร ๑. ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ พึงประพฤติอย่างนี้ ๑. นุ่งห่มให้เรียบร้อย ๒. ถือบาตรในภายในจีวร ๓. สำรวมกิริยาให้เรียบร้อย ๔. กำหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน ๕. รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม ฯ เสนาสนคาหกวัตร ๑. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะ นั้นอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้ ๑. ไม่ทำให้เปรอะเปื้อน ๒. ชำระให้สะอาด ๓. ระวังไม่ให้ชำรุด ๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ ๕. ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ให้มีพร้อม ๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านำไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
  • 96.
    ๘๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๒. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสำหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะของสงฆ์ ควรเอาใจใส่ รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๘) ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ ๑. อย่าทำเปรอะเปื้อน ๒. ชำระให้สะอาด ๓. ระวังไม่ให้ชำรุด ๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ ๕. ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ให้มีพร้อม ๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ คิลานุปัฏฐากวัตร ๑. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า อย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดาของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้า พวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุ นั้นพยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ คิลานวัตร ๑. ภิกษุผู้อาพาธควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงไม่เป็นภาระแก่ผู้พยาบาล ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๔) ตอบ ควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้พยาบาลง่าย คือทำความสบายให้แก่ตน (ไม่ฉันของแสลง) รู้จักประมาณ ในการบริโภค ฉันยาง่าย บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาล เป็นผู้อดทนต่อทุกขเวทนา ฯ ๒. จริยาวัตร ๑. ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้ำก็จะหกเสียมารยาท พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา หรือด้วยมือลูบก่อน ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง ฯ ๒. คำว่า วัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาส เป็นอาบัติอะไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๓) ตอบ คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค
  • 97.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๘๙ จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกำหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ ๓. วิธีวัตร ๑. วิธีวัตร คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ? (๒๕๔๙) ตอบ คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่น แบบอย่างการห่มผ้า เป็นต้น ฯ แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่ำเสมอกัน เช่น นุ่งห่มเป็นแบบเดียวกันอัน โบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุดไปทีละ อย่าง จนไม่มีอะไรเหลือเมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๑. การแสดงความเคารพได้แก่กิริยาเช่นไร ? (๒๕๔๖) ตอบ ได้แก่การกราบไหว้ การลุกรับ การทำอัญชลี การทำสามีจิกรรม ฯ ๒. คารวะ คืออะไร ? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ คือ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และบุคคล ฯ ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสำนักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเข้าแถวในบ้าน ใน เวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ เวลาที่อนุญาตให้งดไหว้กัน มี ๘ ประการ ๑. ภิกษุควรงดทำความเคารพกันในเวลาใดบ้าง ? จงตอบมา ๕ ข้อ (๒๕๔๖) ตอบ ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบมา ๕ ข้อ) ๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรมเพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ๒. ในเวลาถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ๓. ในเวลาเปลือยกาย ๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดแลไม่เห็นกัน ๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ ๗. ในเวลาขบฉันอาหาร ๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ฯ
  • 98.
    ๙๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๒. กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ในข้อ นี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ (๒๕๕๓) ตอบ ได้แก่ ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ) ๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ๒. ในเวลาถูกสงฆ์ทำอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส ๓. ในเวลาเปลือยกาย ๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่และไม่เห็นกัน ๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือนอนหลับ หรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือส่งใจไปอื่นแม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ ๗. ในเวลาขบฉันอาหาร ๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ การลุกรับมีงดในบางโอกาส ๑. ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๘) ตอบ ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ ๒. การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทำแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๓) ตอบ นั่งอยู่ในสำนักผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ ในอาราม ไม่ ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ การทําความเคารพที่จัดไว้อีกส่วนหนึ่ง ๑. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่าเรียกผู้ อ่อนพรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ ๒. เพื่อแสดงความเคารพในภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า เมื่ออยู่ในกุฎีเดียวกับท่าน ควรปฏิบัติตนอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือจะทำสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบาย ความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดับไฟ จะเปิดจะปิดหน้าต่าง ห้ามมิให้ทำตามอำเภอใจ ฯ
  • 99.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๙๑ ๓. เมื่ออยู่ในกุฎีเดียวกันกับพระเถระผู้มีพรรษามากกว่า ตามพระวินัยท่านให้ปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ คือจะทำสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะเปิดจะปิดไฟ จะเปิดจะปิดประตูหน้าต่าง ห้ามมิให้ทำตามอำเภอใจ ฯ ๔. ภิกษุผู้เข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดงอาการดูหมิ่นต่าง ๆ เช่นพูดเสียงดัง และนั่งเหยียดเท้าเป็นต้น ไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะในลานพระเจดีย์ ฯ กัณฑ์ที่ ๑๖ จำพรรษา ดิถีที่กําหนดให้เข้าพรรษา มี ๒ ช่วง ๑. ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕, ๒๕๖๒) ตอบ กล่าวไว้ ๒ คือ ๑. ปุริมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ๒. ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ ๒. วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง ในแต่ละอย่าง กำหนดวันไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ วันเข้าพรรษาต้น กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ วันเข้าพรรษาหลัง กำหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น ล่วงแล้วเดือน ๑ คือวัน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ การอธิษฐานเข้าพรรษา ๑. การจำพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ (๒๕๔๙) ตอบ การจำพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทำอาลัย คือผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ในบัดนี้ มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคำอธิษฐานพร้อมกันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปล ความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
  • 100.
    ๙๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๒. การอธิษฐานเข้าพรรษา กับ การปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกำหนดด้วยสงฆ์เท่าไร ? และกำหนดเขตอย่างไร ? (๒๕๔๘) ตอบ การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กำหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐาน เข้าพรรษาพร้อม ๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่ม หรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ และให้กำหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯ ส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม กำหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ และ กำหนดให้ทำภายในเขตสีมา ถ้าต่ำกว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะถ้ารูปเดียวให้อธิษฐาน เป็นการบุคคล ฯ ๓. ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาตลอด ๔ เดือนฤดูฝนนั้น เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖) ตอบ เพราะต้องการเดือนท้ายฤดูฝนไว้เป็นจีวรกาล คราวแสวงหาจีวร คราวทำจีวร เพื่อผลัดผ้าไตร จีวรเดิม ฯ สัตตาหกรณียะ ๑. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๗, ๒๕๖๓) ตอบ คือ การหลีกไปในระหว่างอยู่จำพรรษาด้วยกรณียธุระและกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ ให้ผูกใจว่าจะกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ ๒. ธุระเป็นเหตุไปด้วยสัตตาหกรณียะที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ มี ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้า ไปเพื่อรักษาพยาบาล ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้า ไปเพื่อระงับ ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เป็นต้นว่า วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมา ปฏิสังขรณ์ ๔. ทายกต้องการจะบำเพ็ญกุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขา หรือแม้ธุระอื่น นอกจากนี้ ที่เป็นกิจลักษณะ อนุโลมตามนี้ ฯ ๓. ธุระเป็นเหตุให้ไปค้างแรมที่อื่นด้วยสัตตาหกรณียะ ที่กล่าวไว้ในบาลี มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๐) ตอบ มี ๔ อย่าง ฯ คือ ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าแล้วไปเพื่อพยาบาล ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าแล้วไปเพื่อระงับ ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุด ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมาซ่อมแซม ๔. ทายกต้องการจะทำบุญ ส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธา แม้กิจอื่นที่อนุโลมตามนี้ ท่าน ก็อนุญาต ฯ
  • 101.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๙๓ ๔. ธุระเป็นเหตุให้ไปค้างแรมที่อื่นด้วยสัตตาหกรณียะ ที่กล่าวไว้ในบาลี มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๔) ตอบ มี ๔ อย่าง คือ ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าแล้วไปเพื่อพยาบาล ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าแล้วไปเพื่อระงับ ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุด ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมาซ่อมแซม ๔. ทายกต้องการจะทำบุญ ส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธา แม้กิจอื่นที่อนุโลมตามนี้ ท่าน ก็อนุญาต ฯ ๕. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายใน วันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มี เหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๐) ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาห- กรณียะ พรรษาขาด ฯ ๖. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทัน เช่นนี้พรรษา ขาดหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๙) ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุ- ญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ ๗. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง แต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ ๘. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ สัตตาหกรณียะ คือกิจจำเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปพัก แรมคืนที่อื่น แต่ต้องกลับมาภายใน ๗ วัน สัตตาหกาลิก คือเภสัช ๕ ที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ ๙. อีก ๗ วันจะถึงวันปวารณา ภิกษุทำสัตตาหกรณียะไปปวารณาที่วัดอื่น เธอจะได้รับอานิสงส์การจำ- พรรษาหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๖) ตอบ ได้รับอานิสงส์การจำพรรษาเหมือนกัน เพราะวันสุดท้ายแห่งวันจำพรรษาตกอยู่ในวันที่ ๗ ในที่ อื่นบ่งให้กลับใน ๗ วันนั้นเพราะยังไม่สิ้นกำหนดวันจำพรรษา ฯ
  • 102.
    ๙๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก อานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ ประการ ๑. ภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณา ย่อมได้อานิสงส์แห่งการจำพรรษาอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ ๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ ๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ ๒. ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ ได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ ๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา อุโบสถ ๑. ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง ? (๒๕๔๔, ๒๕๔๖) ตอบ ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔ ค่ำ) และวันสามัคคี ฯ ๒. การทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพ็ญและพระจันทร์ดับแล้ว ยังทรงอนุญาตให้ทำได้ ในวันใดอีก ? อุโบสถเช่นนั้น เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ในวันที่ภิกษุผู้แตกกันปรองดองกันได้ ฯ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ฯ
  • 103.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๙๕ การก คือ ภิกษุผู้ทําอุโบสถ ๑. ผู้ทำและอาการที่ทำ ในการทำอุโบสถ มีอะไรบ้าง ? การทำอุโบสถต้องพร้อมด้วยองค์อย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ ผู้ทำมี ๓ คือ สงฆ์ คณะ และบุคคล อาการที่ทำมี ๓ คือสวดปาฏิโมกข์ บอกความบริสุทธิ์ และอธิษฐาน พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้นเป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง ๒. ภิกษุผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม คือตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ ๔. บุคคลที่จำต้องเว้น ไม่มีในที่ประชุมนั้น ฯ อาการที่ทําอุโบสถ ๑. ในการทำอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์และการอธิษฐาน ทรงให้ทำได้ใน กรณีใด ? (๒๕๔๙) ตอบ ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์ ถ้ามีเพียง ๓ รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแก่กันและกัน ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ ๒. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์ ๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศ ญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน ๑ รูป พึงอธิษฐาน ฯ ๓. ในวัดหนึ่ง มีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถ สวดปาติโมกข์ มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้วแต่ละรูป พึง บอกความบริสุทธิ์ของตน มีภิกษุ ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐาน หรือมีภิกษุต่ำกว่า ๔ รูป จะไปทำสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่น ก็ควร ฯ
  • 104.
    ๙๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก บุพพกิจ มี ๕ อย่าง ๑. ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง ? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่อง อะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ มีดังนี้ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นำฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ สั่งสอน นางภิกษุณี ฯ ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไร แล้วสวด ปรับอาบัติถุลลัจจัย ฯ ๒. บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการทำอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องทำบุพพกรณืและบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒) ตอบ บุพพกรณ์ คือกรณียะอันจะพึงกระทำให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วนบุพพกิจ เป็นธุระอันจะพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ บุพพกรณ์นั้น เป็นกรณียะจะต้องทำ เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ ส่วนบุพพกิจนั้น ไม่ต้องทำ เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ ๓. บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ บุพพกรณ์ เป็นกิจที่ภิกษุพึงทำก่อนแต่ประชุมสงฆ์ มีกวาดบริเวณที่ประชุม เป็นต้น ส่วนบุพพกิจ เป็นกิจที่ภิกษุพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ มีนำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา เป็นต้น ฯ สังฆอุโบสถ ๑. การตั้งญัตติกรรม ในเวลาทำอุโบสถ มีคำว่า ปตฺตกลฺลํ แปลว่า ความพรั่งพร้อมนั้น หมายความว่า อย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ หมายความว่า การทำอุโบสถกรรมนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้น เป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง ๒. ภิกษุประชุมครบองค์ประชุม ๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ ๔. บุคคลที่ควรเว้นไม่มีในที่ประชุม ฯ
  • 105.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๙๗ เหตุฉุกเฉินที่เรียกว่าอันตราย มี ๑๐ อย่าง ๑. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง (๒๕๕๗) ตอบ ๑. พระราชาเสด็จมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้) ๒. โจรมาปล้น (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีภัยได้) ๓. ไฟไหม้ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อดับไฟหรือเพื่อป้องกันไฟได้) ๔. น้ำหลากมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีน้ำได้) สวดกลางแจ้งฝนตก (ก็เหมือนกัน) ๕. คมมามาก (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรู้เหตุ หรือเพื่อจะได้ทำปฏิสันถาร ได้อยู่) ๖. ผีเข้าภิกษุ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อขับผี ได้อยู่) ๗. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้น เข้ามาในอาราม (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อไล่สัตว์ ได้อยู่) ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ประชุม (ก็เหมือนกัน) ๙. ภิกษุอาพาธเกิดโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุม อันเป็นอันตรายแก่ชีวิต (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อช่วย แก้ไข ก็ได้) มีอันเป็นตายในที่นั้นก็เหมือนกัน ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (เลิกสวดปาติโมกข์ เพราะ ความอลหม่านก็ได้) ฯ (เลือกตอบเพียง ๕ ข้อ) ๒. ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจำปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จำได้ แล้วชักสุตบท (สวดย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๔) ตอบ สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น ไม่ถูกต้อง ฯ เพราะการสวดย่อเนื่องจากจำได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าในเหตุ ฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ ๓. กำลังสวดพระปาฏิโมกข์ค้างอยู่ หากมีภิกษุอื่นมาถึงเข้าจะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุม ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากัน หรือ น้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟัง ส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ ๔. สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือถ้าภิกษุมาใหม่มากกว่า ภิกษุที่ประชุมกันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้า เท่ากัน หรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ ถ้าสวดจบแล้ว จะมามากกว่าหรือน้อยกว่า ก็ไม่ต้องสวดซ้ำอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่บอกปาริสุทธิในสำนัก ภิกษุผู้ฟังปาฏิ- โมกข์แล้ว ฯ
  • 106.
    ๙๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๕. กำลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ มีภิกษุอื่นเข้ามา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๓) ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มีจำนวนมากกว่า ต้องเริ่มสวดใหม่ตั้งแต่ต้น ถ้ามีจำนวน เท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ ๖. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือการสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และอัพภาณกรรม มีจำกัดจำนวนสงฆ์ อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ? (๒๕๕๕) ตอบ การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศ ต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย อัพภาณกรรม ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย ฯ ปวารณา ๑. ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทำปวารณาได้ ? และทำในวันไหน ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสทำปวารณาแทนอุโบสถ ฯ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ ๒. ปวารณา คืออะไร ? มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันไหน ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๔) ตอบ คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ มีพระพุทธานุญาตให้ทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ ๓. ปวารณา มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติ อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ มี ๓ อย่าง ฯ คือ สังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ พึงทำคณปวารณา ฯ ๔. วันปวารณา และอาการที่กระทำ คืออะไรบ้าง ? การตั้งญัตติในสังฆปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ วันปวารณามี ๓ คือ จาตุททสี ที่ ๑๔ ค่ำ ๑ ปัณณรสี ที่ ๑๕ ค่ำ ๑ สามัคคีวันที่ภิกษุ สงฆ์พร้อมเพรียงกัน ๑ อาการที่กระทำมี ๓ คือ ปวารณาต่อที่ประชุม ๑ ปวารณากันเอง ๑ อธิษฐานใจ ๑ ฯ
  • 107.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๙๙ มี ๕ อย่าง คือ เตวาจิกาญัตติ ๑ เทววาจิกาญัตติ ๑ เอกวาจิกาญัตติ ๑ สมานวัสสิกาญัตติ ๑ สัพพสังคาหิกาญัตติ ๑ ฯ สังฆปวารณา ๑. สังฆปวารณา คืออะไร ? คำบอกปาริสุทธิว่าอย่างไร ? (๒๕๔๖) ตอบ คือ ปวารณาเป็นการสงฆ์ มีภิกษุประชุมตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ ว่าดังนี้ สำหรับผู้แก่พรรษากว่าว่า “ปริสุทฺโธ อหํ อาวุโส ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรหิ” ว่า ๓ หน สำหรับผู้อ่อนพรรษากว่าว่า “ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ” ว่า ๓ หน ฯ ๒. ภิกษุจำพรรษา ๑ รูป ๒, ๓, ๔, ๕ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ? เหตุที่ทำให้เลื่อน ปวารณาได้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๔) ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ ภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล, ภิกษุ ๒, ๓, ๔ รูป พึงทำคณะ ปวารณา, ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไปพึงทำสังฆปวารณา ฯ มี ๒ อย่างคือ ๑. ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย ด้วยหมายจะคัดค้านผู้นั้นผู้นี้ ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น ๒. อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสีย ฯ ๓. ภิกษุจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรืออยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติ อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นการสงฆ์ อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงปวารณาเป็นการคณะ อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ ๔. ในอาวาสแห่งหนึ่งมีภิกษุจำพรรษาแรก ๔ รูป พรรษาหลัง ๒ รูป เมื่อถึงวันปวารณาแรก (เพ็ญเดือน ๑๑) และวันปวารณาหลัง (เพ็ญเดือน ๑๒) เธอทั้ง ๖ รูปนั้น จะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๔๗) ตอบ เมื่อถึงวันปวารณาแรก พึงประชุมกันทั้ง ๖ รูปแล้ว ตั้งสังฆญัตติ ภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูป พึงปวารณา เมื่อเสร็จแล้วภิกษุอีก ๒ รูป พึงทำปาริสุทธิอุโบสถ ในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น เมื่อถึงวัน ปวารณาหลัง พึงประชุมกัน ๖ รูปเช่นเดียวกันแล้ว ภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูป พึงตั้งญัตติสวด ปาฏิโมกข์ เมื่อจบแล้วภิกษุ ๒ รูป พึงปวารณาในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น ฯ ๕. ในวัดหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป เมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษาพึงทำอย่างไร ? ถ้ามีภิกษุ อาคันตุกะสัตตาหะมาสมทบอีก ๕ รูป จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ ในวันมหาปวารณาพึงทำคณะปวารณา โดยรูปหนึ่งตั้งญัตติแล้วกล่าวปวารณาตามลำดับพรรษา ฯ
  • 108.
    ๑๐๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะมาเพิ่มอีก ๕ รูป พึงทำปวารณาเป็นสังฆปวารณา แล้วกล่าว ปวารณา ตามลำดับพรรษา ฯ กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา ๑. อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คือ อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติเลวทราม อเนสนา ได้แก่ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ ๒. อุปปถกิริยา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๔) ตอบ คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ มี ๓ อย่าง คือ อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติ เลวทราม และอเนสนา ได้แก่ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ ๓. อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจาร ปาปสมาจาร อเนสนา ? (๒๕๕๓) ตอบ คือ การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร ความเลี้ยงชีพไม่สมควร จัดเข้าในอเนสนา ฯ ๔. การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? จงบอกความหมายของแต่ ละอย่างด้วย (๒๕๔๔) ตอบ เรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คือ อนาจาร ๑ ปาปสมาจาร ๑ อเนสนา ๑ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร ความเลี้ยงชีพไม่สมควร จัดเข้าในอเนสนา
  • 109.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๐๑ ๕. การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ความประพฤติ เช่นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ อนาจาร ได้แก่ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ ปาปสมาจาร ได้แก่ความประพฤติเลวทราม อเนสนา ได้แก่ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ รวมเรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ ๑. อนาจาร ๑. อนาจาร หมายถึงอะไร ? เล่นอย่างไรบ้าง จัดเป็นอนาจาร ? (๒๕๕๙) ตอบ อนาจาร หมายถึงความประพฤติไม่ดีไม่งาม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ฯ เล่นอย่างเด็ก เล่นคะนอง เล่นพนัน เล่นปู้ยี่ปู้ยำ เล่นอึงคะนึง จัดเป็นอนาจาร ฯ ๒. ความรู้ในการทำเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘) ตอบ เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็นความรู้ที่ทำให้เขาสงสัยว่าลวง ทำให้ เขาหลงงมงาย ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียนเป็นผู้หัดเพื่อลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฯ ๓. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒) ตอบ เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้หัด เพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ฯ ๒. ปาปสมาจาร ๑. ปาปสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุชื่อว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ ความประพฤติเลวทราม เนื่องด้วยการคบคฤหัสถ์ด้วยการสมาคมอันมิชอบ ฯ เพราะประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน เป็นศรีของพระศาสนา ฯ ๒. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ ๓. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส” เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? (๒๕๕๙, ๒๕๖๔) ตอบ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล โดยฐาน เป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยัง ความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน ฯ
  • 110.
    ๑๐๒ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๔. ภิกษุได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส กับ ภิกษุผู้ได้รับการตำหนิว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายตระกูล เพราะมีความประพฤติเช่นไร ? (๒๕๕๔) ตอบ ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก เพราะถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิท ของสกุลโดยฐานเป็นคนเลว ไม่รุกรานตัดรอนเขาแสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทำให้เขา เลื่อมใสนับถือตน ส่วนภิกษุผู้ได้รับการตำหนิว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธา เลื่อมใส ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกำนัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำกัน ยอมตน ให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ ๕. ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับ ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เพราะมีความประพฤติต่างกัน อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบเขาด้วย กิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกำนัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วย อาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกลุ โดยฐาน เป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทำให้เขาเลื่อมใสนับถือตน ฯ ๖. ความประพฤติต่อไปนี้ จัดเข้าในอุปปถกิริยาข้อไหน ? (๒๕๔๖) ก. ชอบเล่นคะนอง ร้องรำทำเพลง ข. ชอบด่าว่า เสียดสี เปรียบเปรยเขา ยุยงให้เขาแตกกัน ตอบ ก. จัดเข้าในข้ออนาจาร ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ข. จัดเข้าในข้อปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ฯ ๓. อเนสนา ๑. อเนสนา ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๓) ตอบ อเนสนา ได้แก่กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ มี ๒ อย่าง คือ ๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ๒. การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ฯ ๒. อเนสนา คืออะไร ? ภิกษุทำอเนสนา ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๔๘) ตอบ คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ และทุกกฏ ฯ
  • 111.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๐๓ ๓. อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ ได้แก่ โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา ฯ ๔. ภิกษุไม่สังวรในอุปปถกิริยา จะพึงได้รับโทษอย่างไรบ้าง ? การแสวงหาเช่นไรจัดเป็นโลกวัชชะ มีโทษ ทางโลก ? เช่นไรจัดเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ? (๒๕๔๕) ตอบ ปรับเป็นอาบัติทุกกฏ และเป็นฐานที่สงฆ์จะพึงลงโทษ ๔ สถาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม โทษานุโทษ คือ ๑. ตัชชนียกรรม ตำหนิโทษ ๒. นิยสกรรม ถอดยศ คือถอดความเป็นผู้ใหญ่ ๓. ปัพพาชนียกรรม ขับไล่จากวัด ๔. ปฏิสารณียกรรม ให้หวนระลึกถึงความผิด ฯ การแสวงหาในทางบาป เช่น ทำโจรกรรมและหลอกลวงให้เขาเชื่อถือ และในทางที่โลกเขาดู หมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ การแสวงหาในทางผิดธรรมเนียมของภิกษุ แม้ไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ ฯ กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๔ ๑. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกระคนกันมีกำหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง (๒๕๕๒) ตอบ ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป ฯ มีดังนี้ คือยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นสุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จำกัดอายุคลุก กับน้ำผึ้ง ที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกำหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ฯ ๒. กาลิก มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? กล้วยดองน้ำผึ้งเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ มี ๔ ฯ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก ฯ เป็นยาวกาลิก ฯ ๓. กาลิก ๔ ได้แก่ อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ ได้แก่ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ฯ โภชนะ ๕ เป็นยาวกาลิก เภสัช ๕ เป็นสัตตาหกาลิก ฯ
  • 112.
    ๑๐๔ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๔. ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ ฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฏ ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ ๕. อุททิสมังสะ ได้แก่เนื้อเช่นไร ? ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๖) ตอบ อุททิสมังสะ ได้แก่เนื้อที่เป็นกัปปิยะโดยกำเนิดและเขาทำให้สุกแล้ว แต่เป็นของที่เขาฆ่าเพื่อทำ เป็นอาหารถวายพระภิกษุโดยตรง ฯ ภิกษุฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฎ ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ ๖. คำว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ อันโตวุฏฐะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน อันโตปักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน) สามปักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุทำให้สุกเอง ฯ ๗. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฏเกณฑ์กำหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยก ตัวอย่าง (๒๕๕๓) ตอบ ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ยาวชีวิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดกาล ฯ กฏเกณฑ์กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด เช่น ยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้ำผึ้งที่เป็น สัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน เป็นเกณฑ์ ฯ ๘. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๐, ๒๕๖๒) ตอบ ยาวกาลิก คือของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น ส่วนยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดเวลา แต่เมื่อมีเหตุจึง บริโภคได้ ได้แก่รากไม้ น้ำฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ ๙. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ ๑๐. สัตตาหกรณียะ และสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๕) ตอบ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง แต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ ฯ
  • 113.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๐๕ สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ ๑๑. ภิกษุบิณฑบาตได้สับปะรดแล้ว นำมาฉันรวมกับน้ำตาลทรายและเกลือซึ่งรับประเคนไว้แล้ว ๒ วัน จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๗) ตอบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะน้ำตาลทรายเป็นสัตตาหกาลิก เกลือเป็นยาวชีวิก เมื่อนำมาฉันรวมกับ สับปะรดซึ่งเป็นยาวกาลิก จึงมีคติเป็นยาวกาลิก ทำให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันของเป็นสันนิธิ ฯ กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ ๑. ลหุภัณฑ์และครุภัณฑ์ ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้ และไม่ได้ ? (๒๕๔๔, ๒๕๖๑) ตอบ ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว คือบาตร จีวร ประคด เอว เข็ม มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้ ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่องใช้ใน เสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้ ฯ ๒. ภัตตุทเทสกะ จีวรภาชกะ และอัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุ ผู้มีหน้าที่อะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ ภัตตุทเทสกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกภัตตาหาร ตลอดถึงรับนิมนต์ของทายกแล้วจัดส่งพระ ไปให้ จีวรภาชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกจีวร อัปปมัตตกวิสัชชกะ หมายถึงภิกษุผู้มีหน้าที่แจกเภสัชและบริขารเล็กน้อย ฯ ๓. ภัณฑะเช่นไรที่จัดเป็นของสงฆ์ ? กำหนดไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? บิณฑบาต กุฎี ที่ดิน จีวร ประคดเอว และเสนาสนะ เป็นภัณฑะประเภทไหน ? (๒๕๔๗) ตอบ ภัณฑะที่เขาถวายเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ ไม่เฉพาะตัว หรือภัณฑะอันภิกษุรับก็ดี ปกครองหวง ห้ามไว้ก็ดีด้วยความเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ จัดเป็นของสงฆ์ ฯ กำหนดไว้ ๒ ประเภท คือครุภัณฑ์ ๑ ลหุภัณฑ์ ๑ ฯ บิณฑบาต จีวร ประคดเอว จัดเป็นลหุภัณฑ์ กุฎี ที่ดิน และเสนาสนะ จัดเป็นครุภัณฑ์ ฯ ๔. ภัณฑะของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ? จง อธิบาย (๒๕๕๙, ๒๕๖๓) ตอบ ตกเป็นของสงฆ์ ฯ ไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่เจ้าของภัณฑะยังมีชีวิตอยู่ ฯ
  • 114.
    ๑๐๖ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๕. สมบัติของภิกษุผู้มรณภาพ จะตกเป็นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือไม่ ? จง อธิบาย (๒๕๖๔) ตอบ ตกเป็นของสงฆ์ ฯ ไม่ได้ เพราะการจะถือเอาด้วยวิสาสะ ต้องถือเอาในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ฯ ๖. ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง? (๒๕๕๗) ตอบ มี ๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๒. เป็นผู้เคยคบกันมา ๓. ได้พูดกันไว้ ๔. ยังมีชีวิตอยู่ ๕. รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ฯ ๗. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสำคัญ (๒๕๕๕) ตอบ คือ เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าของนั้น เราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ เห็นว่าข้อสุดท้ายสำคัญ ฯ ๘. ในบาลีแสดงลักษณะการถือวิสาสะไว้อย่างไรบ้าง ? เหตุที่ควรถือเป็นประมาณ ๕ ประการให้บริขาร ขาดอธิษฐาน มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๕) ตอบ แสดงไว้อย่างนี้ คือ ๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๒. เป็นผู้เคยคบกันมา ๓. ได้พูดกันไว้ ๔. ยังมีชีวิตอยู่ ๕. รู้ว่าของนั้น เราถือเอาแล้วเจ้าของจักพอใจ ฯ มีดังนี้ คือ ๑. ให้แก่ผู้อื่น ๒. ถูกโจรชิงเอาไปหรือลักเอาไป ๓. มิตรถือเอาด้วยวิสาสะ ๔. ถอนเสียจากอธิษฐาน ๕. เป็นช่องทะลุ ฯ
  • 115.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๐๗ กัณฑ์ที่ ๒๑ วินัยกรรม ๑. วินัยกรรม คืออะไร ? มีกี่อย่าง อะไรบ้าง ? การทำวินัยกรรมมีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ไว้อย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๖) ตอบ คือ การทำกิจตามพระวินัย ฯ มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑. การแสดงอาบัติ ๒. การอธิษฐาน ๓. การวิกัป ฯ มีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ดังนี้ ๑. แสดงอาบัติต้องแสดงแก่ภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน ๒. อธิษฐานต้องทำเอง ๓. วิกัปต้องทำแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี รูปใด รูปหนึ่ง ส่วนสถานที่ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ในที่นอกสีมา ก็ทำได้ ฯ ๒. การแสดงอาบัติ การอธิฐาน การทำวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทำกิจเหล่านี้ จำกัด บุคคลไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ เรียกว่า วินัยกรรม ฯ การแสดงอาบัติ จำกัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน การอธิฐาน ให้ทำเอง การทำวิกัป จำกัดผู้รับ ต้องทำกับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี และสิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง ฯ ๓. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๔) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงกระทำตามพระวินัย เช่น การแสดง อาบัติ อธิษฐาน วิกัป เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม กรรมที่ภิกษุครบองค์สงฆ์จตุวรรคเป็นต้น พึงทำเป็นการสงฆ์ เช่น อปโลกนกรรม ญัตติกรรม เป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม ๔. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทำวินัยกรรมนั้น มีจำกัดบุคคล และ สถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทำตามพระวินัย เช่น พินทุ อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม
  • 116.
    ๑๐๘ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก กรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ์ มีจำนวนอย่างต่ำตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทำ เช่น อปโลกนกรรม เป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม ฯ จำกัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้ ๑. แสดงอาบัติ ตั้งแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน ๒. อธิฐาน ต้องทำเอง ๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี รูปใดรูปหนึ่ง ๔. ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ทำในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ ๕. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน ให้แสดงใน สำนักภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดง ในสำนักของภิกษุนั้น ฯ ๖. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? (๒๕๔๘) ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ ๗. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? (๒๕๖๑) ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ห้ามไม่ให้แสดง ห้ามไม่ให้รับ ให้แสดงในสำนักของภิกษุอื่น ฯ ๘. คำว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติ อย่างไร? (๒๕๔๙) ตอบ คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสำหรับภิกษุเอาไว้ใช้สำหรับตัว (เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น ไม่ใช้ ผืนอื่น) ฯ พึงทำพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ เราทำหมายด้วยจุดนี้ แล้วปัจจุทธรณ์คือ ยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้า สังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺ ามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ ๙. จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องทำอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้นต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนำมาใช้ต้องขอให้ผู้รับถอนก่อน ฯ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
  • 117.
    วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท } ๑๐๙ กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณกะ มหาปเทส ๔ ๑. มหาปเทส คืออะไร ? น้ำตาลสด มิได้ทรงอนุญาตไว้โดยตรงให้ภิกษุฉันได้เหมือนน้ำอ้อย แต่ฉันได้ เพราะอะไร ? จงตอบให้มีหลัก (๒๕๔๗) ตอบ คือ ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ แม้มิได้ทรงอนุญาตโดยตรงให้ภิกษุฉันได้ก็จริง แต่เพราะน้ำตาลสดเป็นของมีรสหวาน สำเร็จ ประโยชน์เช่นเดียวกันกับรสหวานแห่งอ้อย ชื่อว่าเป็นของเข้ากันกับรสหวานแห่งอ้อย ดังมีระบุไว้ใน มหาปเทส ๔ ข้อว่า สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดกันต่อสิ่งเป็น อกัปปิยะ สิ่งนั้นควร ฯ ๒. มหาปเทส แปลว่าอะไร ? ทรงประทานไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ แปลว่า ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ เพื่อเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยทั้งในทางธรรมทั้งในทางวินัย ฯ ๓. ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉัน ได้ ? (๒๕๕๓) ตอบ ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถ้า และดินได้ ฯ ๔. วิบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? จงให้ความหมายของวิบัติแต่ละอย่างนั้นพอได้ ใจความ (๒๕๔๖) ตอบ มี ๔ ฯ คือ ๑. สีลวิบัติ ๒. อาจารวิบัติ ๓. ทิฏฐิวิบัติ ๔. อาชีววิบัติ ฯ ความเสียแห่งศีล ชื่อว่าสีลวิบัติ ความเสียมารยาท ชื่อว่าอาจารวิบัติ ความเห็นผิดธรรมผิดวินัย ชื่อว่าทิฏฐิวิบัติ ความเสียแห่งการเลี้ยงชีพ ชื่อว่าอาชีววิบัติ ฯ ๕. สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ มี ๔ ฯ คือ ๑. สีลสมบัติ ๒. อาจารสมบัติ ๓. ทิฏฐิสมบัติ ๔. อาชีวสมบัติ ฯ ๖. อโคจร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐) ตอบ คือ บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ มีหญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ฯ
  • 118.
    ๑๑๐ { ประมวลปัญหาและเฉลยนักธรรมชั้นโท วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดาราม จังหวัดตาก ๗. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง (๒๕๕๒) ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากบุคคลและ สถานที่ไม่สมควรไป คืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร อันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ ๘. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า โคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เพราะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็น กิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่ำเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อน สหธรรมมิก เพราะการไปเที่ยว ฯ ๙. ภิกษุได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๕๕) ตอบ เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากอโคจร คือ บุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ ๑๐. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า โคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เพราะปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็น กิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่ำเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อน สหธรรมิก ฯ จัดทำโดย พระมหำมนตรี กตปุญฺโ วัดอนุกูลพัชรสิงหศักดำรำม ต.อุ้มผำง อ.อุ้มผำง จ.ตำก