คู่มือทำวัตรเช้า เย็น แปลไทย
คู่มือทําวัตรเช้า-เย็น                         เมตตาพรหมวิหารภาวนา



ประธานกิตติมศักดิ์ :      พระครูวุฒิวชิรสาร
รวบรวมเรียบเรียง :        พระสายัณห ติกฺขปฺโ
ถ่ายภาพ :                 ธีรวุฒิ รุจิมตริ
ออกแบบปก :                พระสายัณห ติกฺขปฺโ, ธีรวุฒิ รุจิมิตร
ออกแบบรูปเล่ม :           พระสายัณห ติกฺขปฺโ, อรรถนิติ ลาภากรณ,
                          ปริญญา หิรณยฐิติมา, เพียรพร พรหมโชติ
                                           ั
กราฟฟิก :                 ธีรวุฒิ รุจิมตร, อรรถนิติ ลาภากรณ, ปริญญา หิรัณยฐิติมา
                                       ิ
จัดรูปเล่ม :              เพียรพร พรหมโชติ, วุฒิพงษ อัชฌากรลักษณ

พิมพ์ครั้งที่ ๑ :         กุมภาพันธ ๒๕๕๓ จํานวน ๒,๐๐๐ เลม
ผู้จัดพิมพ์ :             พระสายัณห ติกฺขปฺโ

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data.
วัดศรีโยธิน.
   คู่มือทําวัตรเช้า-เย็น วัดศรีโยธิน.-- กําแพงเพชร : วัดศรีโยธิน, 2553.
   208 หน้า.
1. บทสวดมนต์. 2. วัดศรีโยธิน. I. ชื่อเรื่อง.
294.313
ISBN : 978-974-401- 392-7


กองบรรณาธิการ :           พระสายัณห ติกฺขปฺโ
พิมพ์ท่ี :                อุษาการพิมพ กรุงเทพฯ โทร. ๐๒-๖๕๖-๓๔๗๐
หนังสือสวดมนตทําวัตรแปลเลมนี้ ไดรับความอนุเคราะหจากทานพระอาจารย
สายัณห ติกฺขปฺโญ เปนผูตรวจสอบทุกขั้นตอนมาโดยตลอด จึงเปนหนังสือเลมหนึ่งที่
ถูกตองสมบูรณ
          ในการสวดมนตทําวัตรเปนหนาที่ของชาวพุทธผูนับถือพระพุทธศาสนาทุก ๆ คน พึง
มีไวเพื่อเปนบรรทัดฐาน ทานพระอาจารยฯ จึงมาปรึกษากับอาตมา อาตมาเห็นชอบดวย
จึงมอบ ภาระใหทานจัดการหาทุนทรัพยในการจัดพิมพในครั้งนี้และอาตมาไดอาราธนา
นิมนตทาน ฯ มาอบรมสอนวิปสสนากัมมัฏฐานดวย เพื่อเผยแผพระพุทธศาสนานําคําสอน
ของพระพุทธเจามา แนะแนวใหญาติโยมไดเขาใจ
          พรอมกันนี้ ญาติโยมก็ไดบริจาคทรัพย เพื่อสมทบทุนในการจัดพิมพครั้งนี้เปนธรรม
ทาน ดังคําพุทธภาษิตที่วา “ธรรมะทานัง ชินาติ” การใหธรรมะเปนทาน จึงมีอานิสงส
มากกวาการใหทานทั้งปวง
          อาตมาขอขอบคุณและขออนุโมทนาในสวนธรรมทานนี้โดยทั่วกัน ขอใหญาติโยมจง
มีความสุขความเจริญ ดวยจตุรพิธพรชัย อันมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสาร
สมบัตตลอดกาลนาน...เทอญฯ
       ิ

                                                              ขอเจริ ญ พร



                                                           พระครูวฒวชิรสาร
                                                                  ุ ิ
                                                       (หลวงพอทํานอง คุณงฺกโร)
                                                          เจาอาวาสวัดศรีโยธิน
ส า ร บั ญ

              เกี่ยวกับวัดศรีโยธิน ๑
                ประวัติ วัดศรีโยธิน ๒
             ประวัติ หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ ๕

   ระเบียบปฏิบัติสําหรับผู้ปฏิบัติธรรม ๑๑
ระเบียบปฏิบัติของผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม ณ วัดศรีโยธิน ๑๒
            กําหนดเวลาการปฏิบติธรรม ๑๔
                                   ั

    การอาราธนาศีล และสมาทานศีล ๑๕
                คําบูชาพระรัตนตรัย ๑๖
                 คําอาราธนาศีลห้า ๑๗
                คําอาราธนาศีลแปด ๑๗
                    ไตรสรณคมน์ ๑๘
                   คําสมาทานศีล ๑๙
                พิธีรักษาอุโบสถศีล ๒๐

           พิธีสมาทานกรรมฐาน ๒๗
บทสวดมนต์ทําวัตรเช้า (แปล) ๓๑
        คําบูชาพระรัตนตรัย ๓๒
      ปุพพะภาคะนะมะการ ๓๓
             พุทธาภิถุติง ๓๔
             ธัมมาภิถุติง ๓๖
             สังฆาภิถุติง ๓๗
   ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา ๓๙
     สังเวคะปริกิตตะนะปาฐะ ๔๐
        ทวัตติงสาการะปาฐะ ๔๖
         บทพิจารณาสังขาร ๔๘
          สัจจะกิรยะคาถา ๕๐
                   ิ
    นมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ ๕๑
    ตังขณิกปัจจะเวกขณปาฐะ ๕๒
    ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ ๕๕
               วันทามิ ๕๙
          กรวดน้ําตอนเช้า ๖๐
        สัพพปัตติทานคาถา ๖๐
           ปัตติทานคาถา ๖๑
              กราบพระ ๖๔
บทสวดมนต์ทําวัตรเย็น (แปล) ๖๕
      คําบูชาพระรัตนตรัย ๖๖
     ปุพพะภาคะนะมะการ ๖๗
          พุทธานุสสติ ๖๘
          พุทธาภิคีติง ๖๙
          ธัมมานุสสติ ๗๒
          ธัมมาภิคีติง ๗๓
          สังฆานุสสติ ๗๕
           สังฆาภิคีติง ๗๖

    บทสวดมนต์พิเศษ ๗๙
      ปุพพะภาคะนะมะการ ๘๐
          สรณคมนปาฐะ ๘๐
       อัฏฐสิกขาปทปาฐะ ๘๑
     เขมาเขมสรณทีปิกคาถา ๘๓
           อริยธนคาถา ๘๔
         ติลักขณาทิคาถา ๘๔
           ภารสุตคาถา ๘๖
         ภัทเทกรัตตคาถา ๘๗
        ธัมมคารวาทิคาถา ๘๘
      โอวาทปาฏิโมกขคาถา ๘๙
       ปฐมพุทธภาสิตคาถา ๙๑
      ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ ๙๒
อภิณหะปัจจะเวกขะณะปาฐะ ๙๓
                 ปราภวสุตตปาฐะ ๙๕
                   สีลุทเทสปาฐะ ๙๘
               อริยมรรคมีองค์แปด ๑๐๐
             อตีตปัจจเวกขณปาฐะ ๑๐๙
                กรวดน้ําตอนเย็น ๑๑๒
             อุททิสสนาธิฏฐานคาถา ๑๑๒
                    กราบพระ ๑๑๔

           บทสวดมนต์วันพระ ๑๑๕
                 บทถวายพรพระ ๑๑๖
            สวดพระพุทธคุณ ๑๐๘ จบ ๑๒๐
     เมตตาพรหมะวิหารภาวนา (มหาเมตตาใหญ่) ๑๒๐
                 บารมี ๓๐ ทัศน์ ๑๓๖
       คําถวายกุศลแด่พระธรรมสิงหบุราจารย์ ๑๓๙
คําถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ๑๓๙
                   บทแผ่เมตตา ๑๔๐
                 บทอุทิศส่วนกุศล ๑๔๐
                 กรวดน้ําตอนเย็น ๑๔๒
              อุททิสสนาธิฏฐานคาถา ๑๔๒
                    กราบพระ ๑๔๔
บทสวดมนต์วันอาทิตย์ ๑๔๕
                 ชุมนุมเทวดา ๑๔๖
      บทขัดธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร ๑๕๑
      บทธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ๑๕๑
                คาถาโพธิบาท ๑๕๙
             คาถาสวดนพเคราะห์ ๑๖๐
              คาถาบูชาดวงชาตา ๑๖๑
         คาถามงคลจักรวาฬแปดทิศ ๑๖๑
            อุณหิสสะวิชะยะคาถา ๑๖๒
              พระคาถาชินบัญชร ๑๖๓
           เทวะตาอุยโยชะนะคาถา ๑๖๖
บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (ทํานองสรภัญญะ) ๑๖๗
          คําไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ๑๗๐
   คําอธิษฐานสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ๑๗๐
         คําบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ๑๗๑
               กราบพระ ๕ ครั้ง ๑๗๒
พิธีลากรรมฐาน ๑๗๓
                 คําอาราธนาพระปริตร ๑๗๖
                    คําอาราธนาธรรม ๑๗๗
           คําถวายสังฆทาน (ประเภทสามัญ) ๑๗๗
    คําถวายสังฆทาน (ประเภทอุทิศให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ๑๗๘
                  คําอปโลกน์สังฆทาน ๑๗๙
                 คําถวายข้าวพระพุทธ ๑๘๐
                   คําลาข้าวพระพุทธ ๑๘๐
             คําถวายผ้าป่า (ผ้าบังสุกุลจีวร) ๑๘๑
                  คําถวายพระพุทธรูป ๑๘๒
                 คําถวายเทียนพรรษา ๑๘๒
                 คําถวายผ้าอาบน้ําฝน ๑๘๓
                   คําถวายทานทั่วไป ๑๘๓
              คําสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ ๑๘๔
              คําแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ๑๘๖
                   คําลาพระกลับบ้าน ๑๘๗
รายนามผู้ร่วมบริจาคพิมพ์หนังสือสวดมนต์ ท้ายเล่ม
วิธีอานภาษาบาลี
     
ทุกแหงที่มเครื่องหมาย ๎ อักษรตัวนั้นตองวาใหเร็ว เพราะอักษรตัวนั้น เปนตัวสะกดกึ่งเสียง
           ี
ตัวอยาง คําวา “สุตวา” อักษร ต ออกเสียง ตะ กึ่งหนึ่ง ฉะนั้น ตองออกเสียงเร็วประมาณ
                     ๎
ครึ่งเสียง ถาวาชา จะออกเสียงเปน ต สองตัว เปนการอานผิด
เกี่ยวกับวัดศรีโยธิน




        ๑
ประวัตวัดศรีโยธิน
                                            ิ
         ที่ตั้งของวัด ตั้งอยูที่หมูที่ ๗ ตําบลหนองปลิง อําเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร
ตั้งอยูหางจากศาลากลางจังหวัดหลังเกาหรือสี่แยกตนโพธิ์ประมาณ ๓ กิโลเมตร สภาพ
พื้นดินเปนดินลูกรัง มีปาไมขึ้นอยูเปนสภาพปาโปรง
                                 
         บางพื้ น ที่ เ ป น พื้ น ที่ ทํ า ไร เ ลื่ อ นลอยไม ถ าวร เนื่ อ งจากสภาพดิ น เป น ดิ น ลู ก รั ง
ผลผลิตไมไดผล การคมนาคมเดิมเปนถนนลูกรังจากกําแพงเพชรผานไปอําเภอพราน
กระตาย จังหวัดกําแพงเพชร การคมนาคมยังไมสะดวกประชาชนยังไมนิยมเขาไป
ประกอบอาชีพ เนื่องจากสภาพพื้นดินไมอํานวยตอการประกอบการเกษตร ประชาชน
สวนใหญพักอาศัยอยูในเมือง ยังไมมีหมูบานอยูอาศัยเปนหลักแหลง และยังมีโจร
ผูรายสรางความเดือดรอนอยูเนืองๆ จึงทําใหเปนพื้นที่รกรางและวางเปลา
     
         ต อ มา ร.อ.ทํ า นอง โยธิ น ธนสมบั ติ เป นผู ม องเห็ น การณ ไ กล เนื่ อ งจากเป น
ขาราชการรับราชการมานาน
         เห็ น ว า ต อ ไปในอนาคตข า งหน า จะต อ งมี ค วามเจริ ญ จึ ง ได ซื้ อ ที่ ดิ น จากเจ า
ของเดิม ทําการปลูกมะมวง มะขามหวาน เพื่อเปนตัวอยางแกชาวไร แลวทําการตัด
ถนนแยกจากถนนสายกําแพงเพชร-พรานกระตาย ไปทางทิศตะวันออก จัดสรรที่ดิน
เปนแปลงสําหรับที่อยูอาศัยแบงขายในราคาถูก ผูใดยากจนไมมีเงิน ก็ยกใหอยูอาศัย
โดยไม คิ ด มู ล ค า ก็ มี ทั้ ง นี้ เพื่ อ ต อ งการให ป ระชาชนเข า มาอยู อ าศั ย และขอจั ด ตั้ ง
หมูบานขึ้น โดยตั้งชื่อหมูบานวา “หมูบานศรีโยธิน” โดยใชชื่อนามสกุลตัวหนาของตน
เปนชื่อหมูบานจึงถึงปจจุบันนี้
         พ.ศ. ๒๕๒๐ ร.อ.ทํ า นอง เห็ นว า มี ป ระชากรเข า มาอยู อ าศั ย พอสมควรแล ว
จึงคิดที่จะสรางวัดใหประชาชนไดทําบุญสรางกุศล ประกอบกับที่ตนเองมีจิตศรัทธา
เลื่ อ มใสในพระพุ ท ธศาสนาและเคยสร า งวั ด มาก อ นจึ ง ได ย กที่ ดิ น ของตนเอง
จํานวน ๓๐ ไร เพื่อทําการสรางวัดขึ้น พอที่คณะสงฆพาประชาชาชนประกอบศาสนกิจ
ไดและนิมนตพระมาจําพรรษาและเปลี่ยนหมุนเวียนไป
         พ.ศ. ๒๕๓๐ เริ่มดําเนินการกอสรางวิหารหลวงปูพระศรีสรรเพชญ ฯ ซึ่งเปน


                                                  ๒
พระพุทธรูปเกาแก เปนเนื้อศิลาแลง สรางขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนตน อายุประมาณ
๑,๐๐๐ ป โดย ร.อ.ทํานอง เปนผูสละทรัพยของตนเอง เพื่อสรางจนหมดถึงขนาดตอง
เอาหลักฐานที่ดินเปนหลักทรัพยค้ําประกันเงินกูเพื่อมาสรางวัด ตอมาไดญาติ พี่นอง
และผูมีจิตศรัทธารวมสรางทั้งจากกรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี กําแพงเพชร และ
จั ง หวั ด อื่ น ๆ มากมายที่ จ ะกล า วถึ ง ได ม าร ว มกั น บริ จ าคทรั พ ย ส มทบทุ น สร า ง
โดยจํ าลองแบบใหค ลา ยกับวัดพระพุทธชิ นราชที่ จั งหวัด พิษณุโลก เพื่อให เกิด ขึ้นใน
จังหวัดกําแพงเพชรจนสําเร็จ ดังที่ปรากฏอยูในปจจุบัน
          พ.ศ. ๒๕๓๘ ร.อ.ทํานอง ผูไดลงทุนลงแรงและตั้งใจอยางแรงกลาที่จะสรางวัด
ให สํ า เร็ จ จงได เห็ น ว า การพั ฒ นาวั ด ดํ า เนิ น ไปอย า งล า ช า จึ ง ตั ด สิ น ใจอุ ป สมบท
(หลวงพอทํานอง คุณงฺกโร) เพื่อสะดวกในการสรางวัดและเผยแผพระศาสนาอยางเต็ม
กําลังและไดนําทรัพยสินสวนตัวมาพัฒนาวัด พรอมกันนี้ก็มุงเผยแผหลักธรรมคําสอน
ของพระพุทธเจาสูประชาชน เพื่อใหรูจักการดําเนินชีวิตที่ดี รูจักใชหลักธรรมในการ
แกปญหาชีวิต
          ปจจุบัน วัดศรีโยธิน ตั้งอยูกึ่งกลางระหวางศูนยราชการจังหวัดกําแพงเพชรกับ
หมูบานศรีโยธิน ในอนาคตประชาชนและชุมชนจะสรางบานเรือนหนาแนนเพิ่มขึ้นอยาง
แน น อน มี ถ นนลาดยางสายกํ า แพงเพชร-สุ โ ขทั ย แยกเข า วั ด ศรี โ ยธิ น ได ส ะดวก
จึงมีความจําเปนที่จะตองพัฒนาวัดใหทันตอความเจริญที่กําลังเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว ทาง
คณะสงฆจังหวัดกําแพงเพชรจึงแตงตั้งให วัดศรีโยธิน เปนวัดวิปสสนากรรมฐานประจํา
จังหวัด
          แตทั้งนี้ ทางวัดยังขาดศาสนสถานที่จําเปนหลายอยาง ไดแก ศาลาการเปรียญ
จํานวน ๑ หลัง เพื่อประกอบศาสนกิจและการประชุมอบรมของสวนราชการตางๆ และ
การปฏิบัติธรรม เพื่อรองรับการบวชศีลจารินี ปฏิบัติกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน
เมื่อป พ.ศ. ๒๕๔๒ ไดบวชศีลจารินีเปนรุนที่ ๑ และบังเกิดผลดีมีประชาชนใหความ
สนใจบวชปฏิบัติธรรมเปนจํานวนมาก แตยังมีขอบกพรองและปญหาเรื่องที่พักอาศัยยัง
ไมพอเพียง ทางวัดจึงไดสรางศาลาปฏิบัติธรรมขึ้นอีก ๑ หลัง เพื่อสนองความตองการ
และอํ า นวยความสะดวก ให แ ก ท า นที่ ม าปฏิ บั ติ ธ รรม เพื่ อ ให เ กิ ด ประโยชน แ ก
พุทธศาสนิกชนสืบไป

                                                ๓
๔
ประวัตหลวงปูพระศรีสรรเพชญ์
                         ิ     ่

            พระประธานในอุโบสถ วัดศรีโยธิน อ.เมือง จ.กําแพงเพชร

         หลวงปูพระศรีสรรเพชญ เปนพระพุทธรูปโบราณปางมารวิชัย เนื้อศิลาแลง
สรางสมัยใดนั้นไมปรากฏ แตสันนิษฐานวา เปนสมัยสุโขทัยยุคตน อายุประมาณ
๑,๐๐๐ ป ขนาดหนาตักกวาง ๖ ศอก
         เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๑ พ.ศ.๒๕๒๕ เปนวันออกพรรษา มีผูใจบุญไดมาทําบุญ
ตักบาตรที่วัดฯ บางทานก็มาถือศีลอุโบสถ ในจํานวนนี้มี ร.อ.ทํานอง ไดมารักษา
ศีลและนอนคางที่วัดดวย ตอนเย็นหลังจากทําวัตรเย็น สวดมนตเรียบรอยแลว ก็มี
การพูดคุยสนทนาธรรมกันวา วันนี้เปนวันออกพรรษา พรุงนี้พระที่จําพรรษาอยูนี้ก็จะ
กลั บ ภู มิ ลํ า เนาเดิ ม กั น หมด จะไปหาพระที่ ไ หนมาเฝ า วั ด ได เพราะวั ด ของเรา
สรางใหมอยูในปา พระที่ไหนจะมาอยูให เมื่อพูดคุยกันแลว ก็ไมมีใครคิดอะไร
แยกยายหลับนอนในที่ของตน
         ปรากฏวา ในคืนนั้นเอง ร.อ.ทํานอง ก็นิมิตฝนวา “มีพระภิกษุสงฆรูปหนึ่ง
แกชรามาก หนังยน ผิวคล้ํา มานั่งที่ศาลาที่ญาติโยมมารักษาศีลนอนอยู โดยที่ผูฝน
ไมรูวาทานมาจากไหนอยางไร?...”
         เมื่อทานมานั่งแลว ก็ยกมือขึ้นแลวก็บอกวา “โยมไมตองวิตก ฉันจะมาเฝาวัด
มาชวยกอสรางวัดสรางบานเมืองใหเจริญ” ในฝน ร.อ.ทํานองก็ไมคอยจะเชื่อถือไม
เลื่อมใส เพราะเคยหาพระมาเฝาวัดมากตอมากแลว ไมไดดีสักหน แตก็จําใจพูดไป
วา “หลวงพอแกแลวมาสรางวัดไหวหรือ อยางดีก็พอเฝาวัดไดเทานั้น” พระภิกษุ
ชรารูปนั้นจึงพูดขึ้นวา “ไหวซิ ถามาแลวก็จะหนุมขึ้น” ผูฝนจึงตอบไปวา “คนแกแลว
จะใหหนุมไดอยางไร? หลวงพอมียาดีหรือ” ทานบอกวา “มี” ผูฝนก็รบเราทานให
บอกสูตรยา ทานก็บอกให และบอกวา “ยานี้เมื่อกินเขาไปแลว มันไมหนุมเหมือน
คนหนุมทั้งหลายนะ แตแข็งแรงทํางานไหว”
         ในตอนที่ไดพูดคุยกันในฝนนั้น ผูฝนสนใจมาก อยากจะไดทานมาอยูดวย จึง

                                       ๕
ถามทานวา “หลวงพออยูที่ไหน? ชื่ออะไร? ผมจะไดไปรับทานมา” ทานก็บอกใหวา
“ทานชื่อพระศรีสรรเพชญ อยูองคเดียวมานานแลวทางทิศตะวันออกเมืองกําแพง”
         พอถึงตี ๕ ตางคนตางลุกจากที่นอนเพื่อเตรียมตัวที่จะไปทําวัตรเชา เมื่อพระ
มารวมกันที่ศาลาครบแลว กอนทําวัตรเชา ผูฝนก็ไดเลานิมิตใหพระภิกษุสงฆและทุก
คนไดฟงกัน เมื่อทุกคนไดฟงแลวก็บอกวา “ฝนดีจะมีโชค”
         เมื่อทําวัตรสวดมตแลว ก็ทําบุญตักบาตรตามประเพณี เสร็จแลว พระทุกรูป
ต า งก็ ก ลั บ ภู มิ ลํ า เนาเดิ ม กั น หมด เนื่ อ งจากที่ วั ด ไม มี ผู ใ ดเป น เจ า ภาพทอดกฐิ น
เมื่อพระตางกลับภูมิลําเนากันหมด ที่วัดก็เลยไมมีผูใดอยูเฝาวัด ร.อ.ทํานองจึงจาง
คนมานอนเฝาวัดตอไป
         ขณะที่จางคนมาเฝาวัดนั้น ผู ฝนก็คิดถึ งคํา พูดที่ พูดกั น และใบหนาของทา น
เสมอ จึงอยากจะไปพบทานตามที่ไดนิมิตฝนแตก็สุดความสามารถที่จะไปติดตามหา
ทานได เพราะไมวาจะไปถามใคร ก็ไมมีใครรูจักชื่อเสียงเรียงนามของทานเลย
         ผูฝน คือ ร.อ.ทํานอง ก็ไมวายที่จะนึกถึงทาน จึงเดินทางเขาบานที่กรุงเทพฯ
เพื่อพบพระครูรูปหนึ่งที่ชอบพอกัน ทานอยูที่บุคคโล เมื่อไปถึงก็เลาความฝนใหทาน
ฟงทั้งหมด ทานฟงแลว ก็บอกวา “โยม ฉันทํานายฝนไมเปน ฝนแปลกดี ฉันจะพา
ไปพบอาจารยของฉัน ทานทํานายฝนแมนมาก” ทานจึงพาผูฝนไปหาอาจารยทานที่
วัดสามปลื้ม ไปพบสมเด็จ ฯ วัดสามปลื้ม เลาความฝนใหทานฟง เมื่อทานฟงแลวก็
บอกวา “โชคดีมาก ฝนดี ที่วัดและบานเมืองแถวถิ่นนั้นจะเจริญรุงเรือง กลับไปให
ไปรับทานตามที่ฝนนะ” แลวผูฝนก็กลับบานที่กําแพงเพชรดวยความมืดมน ไมรูจะไป
ทางไหน? ไมไดถามใครอีก เพราะไมรูจะถามใคร แตจิตใจก็ยงพะวงคิดอยูเสมอ         ั
         อยู ม าวั น หนึ่ ง จึ ง ได ช วนนายไฉน ไปเที ย วในเมื อ งเพื่ อ หาอาหารทานกั น
ขณะนั้นที่วัดคูยางกําลังสรางเมรุ แตแปลกเมรุที่สรางขึ้นเปนเมรุแฝด คือในปลอง
เดียวกันมีเตาเผาคู คือ มีสองเตา จึ งเขาไปดู เมื่อ ดูเสร็จแลวก็เตรียมจะกลับบา น
เผอิญสายตามอไปพบตนไมใหญตนหนึ่ง ไมทราบวาเปนตนอะไร?                                    แตตรงยอด
ตนไมนั้นแกวงไปรอบ ๆ สวนกิ่งอื่น ๆ นั้นไมไหวติงแมแตนอย
         ขณะนั้น เวลา ๕ โมงเช า ไม มี ล มเลย จึ งได ช วนนายไฉนเข าไปดู นายไฉน
บอกว า “น า แปลก ! ทํ า ไมจึ ง หมุ น อยู ก่ิ ง เดี ย ว กิ่ ง อื่ น ๆ ทํ า ไมไม ห มุ น ด ว ย”

                                              ๖
เมื่อชวนนายไฉนไปดู นายไฉนบอกวา “แกแลว เดินไมไหวเพราะปารกมาก มีกอ
ไผหนามทุกชนิด รวมทั้งตนหมามุยก็มากดวย”              แตดวยความอยากรูอยากเห็น
จึงไดบอกลุงไฉนไปวา “ตามผมมา ผมจะเปนผูแหวกปาเขาไปเอง ใหตามมา โชคดี
อาจจะจับชะนีได เพราะตองเปนชะนีหรือลิงแน”
        แตพอเขาไปถึงใกล ๆ กิ่งไมก็เงียบไมไหวติงแตอยางใด เมื่อเดินออมไปก็พบ
เนินดินใหญมีปารกมาก เมื่อขึ้นไปถึงเนินดินแลวก็ไปสะดุดเหยียบตรงไหลของทานเขา
พอดี จึงกมลงแหวกกอหญาดู พบเศียรและไหลของทานอยูในทานอนตะแคงเอียง
เล็กนอย โผลขึ้นมาจากดินไมมากนัก เมื่อแรกพบเห็นองคทานเหมือนกับใจถูกไฟฟา
ช็อตวูบรอนผาวไปทั้งตัว และดีใจเหมือนไดพบกันตอนที่ฝน พรอมกับกําชับนายไฉน
วา อยาไปบอกใครเปนอันขาด ใหปดไวกอน แลวคิดวาทําอยางไร? จึงจะนําทานมา
ได
        ตอมา ไดพยายามหาบุคคลอื่นที่แข็งแรงไปชวยกันขุดอยู ๓ วัน จึงสําเร็จ
มีนายเสา หมอมา และบุคคลอื่นรวม ๘ คน แตกอนจะลงมือขุดก็จุดธูปเทียนบอก
นิมนตทาน พอจะลงมือขุดครั้งแรกก็ไมมีใครลงมือขุดกอน เพราะกลัวจะมีอันเปนไป
คณะขุดจึงยกใหผูกองทํานองเปนผูลงมือขุดกอน เพราะเปนผูฝน ตกลงผูฝนจึงตองขุด
เปนคนแรก
        เปนที่นาอัศจรรยอยางยิ่ง ขณะยกจอบขึ้นจะลงดินนั้น ไดมีแมงปองชางตัว
เทาปูนาโผลมายกกามชูหางขึ้น (แมในขณะที่ยกองคทานขึ้นสูบัลลังกประดิษฐานที่วัด
ศรีโยธิน ซึ่งในขณะนั้นเปนที่พักสงฆ ก็มองเห็นแมงปองชางตัวใหญสีขาวจํานวน ๓ ตัว
อยูใตที่ ๆ องคทานนั่งอยู) ผูขดจึงหยุดจอบ แลวบอกวา “ไป ๆ หลวงพอทานบอกให
                                   ุ
มารับทานไปที่วัด ขอใหหลีกไป” แมงปองชางตัวใหญสีขาวนั้นจึงเดินหายเขาไปในปา
จึงทําการขุดกันไดโดยสะดวก ขณะที่ขุดเอาทานขึ้นมานั้นลักษณะองคทานสมบูรณ
๘๐% แตพวกเราก็ขุดจอบ ทําชะแลงไปถูกองคทาน ทําใหเกิดแตกบิ่นผุพังไปก็มาก
เพราะลักษณะศิลาแลงเมื่อจมอยูในดินอยูนาน ๆ จะเกิดการออนตัวผุยุย จึงใหชาง
ซอมแซมดังที่เห็นอยูจนถึงปจจุบนนี้ ั




                                      ๗
ทําวัตร   ในที่นี้หมายถึง การกระทําโดยตอเนื่องเปนกิจวัตร ซึ่งเปนการ
ฝกหัด อันจะมีผลตอการเปลี่ยนแปลงทางจริตนิสัย และเปนหนทางใหเกิด
คุณธรรมที่จําเปนตอการดําเนินชีวิตเชนความขยัน ความอดทน ความสํารวม
ระมัดระวัง ความตั้งมั่นแหงจิตและความรูแจงในสัจธรรม เปนตน
                                          

       สวดมนต หมายถึง "การศึกษาเลาเรียน" คําวา "ศึกษา" ในทาง
พระพุทธศาสนาครอบคลุมไปถึงการปฏิบัติดวย คือ เมือยังไมรู ก็เรียนใหรู
                                                 ่
ฟงใหมาก ทองจํา พิจารณาไตรตรองสิ่งที่เรียน ลงความเห็นวาสิงใดถูกตอง
                                                             ่
สิ่งใดดีงาม แลวก็ตั้งใจปฎิบติตามนั้นไป
                            ั

       การทําวัตรสวดมนต ที่จะใหผลดีแกผูทํานั้น ตองระลึกใหถกตองวา
                                                                ู
ไมใชเปนการบรวงสรวงออนวอน หรือไปคิดแตงตั้งใหพระพุทธองค ตลอดจน
พระธรรม และพระสงฆเปนผูรับรู และเปนผูท่จะดลบันดาลสิ่งทีตนปรารถนา
                                           ี              ่
ซึ่งจะกลายเปนการกระทําทีใกลตอความงมงายไรเหตุผล อันมิใชวิสัยทีแทจริง
                         ่                                       ่
ของชาวพุทธ การทําวัตรสวดมนต ควรกระทําในลักษณะของการศึกษาเรือง       ่
ศีล สมาธิ ปญญา


                                  ๘
การทําวัตรสวดมนต เมือทําดวยความเคารพสํารวมระวัง บังคับกาย
                             ่
กิริยามารยาทใหเรียบรอยเปนปกติ     วาจากลาวในสิ่งที่ถูกตองดีงามสวนนี้
จัดเปน "ศีล"

      ขณะสวดมนต ตังจิตจดจออยูในเนื้อหา และความหมายของบทธรรม
                        ้
ทําใหจิตทิงอารมณตางๆ มาสูอารมณเดียวที่แนวแน ขณะนั้นจัดเปน "สมาธิ"
           ้                 
การมีความรูสึกตัวทัวพรอม มีสติสัมปชัญญะซาบซึ้งอยูในบทธรรม และเกิด
                  ่
ความเขาใจแจมแจงสวนนี้คือ "ปญญา"

       ขณะทําวัตรสวดมนต เมือตั้งใจศึกษา แกใขปรับปรุง เปลียนความคิด
                            ่                                ่
ความเห็นใหเปนไปตามธรรมะที่ทองบนอยู จนในขณะนั้น จิตใจเกิดความ
                              
ผองใส สงบ เยือกเย็น เปนสภาวะของธรรมปรากฏขึ้นในใจของเรา ปรากฏ
ขึ้นในใจของเรา ปรากฏการณเชนนี้ก็จะคลายกับวาเราไดพบกับพระพุทธองคที่
แทจริง คือธรรมะ ดังที่ทานตรัสไววา "ผูใดเห็นธรรมผูนนเห็นเรา"
                                                 ้ั

        ดังนั้น การศึกษาธรรมะในขณะทําวัตรสวดมนต หากไมทําดวยใจที่เลื่อน
ลอยหรือจําใจทําแลว หากกระทําดวยสติปญญา ตั้งใจเรียนรู ไตรตรองตาม
เหตุผลแลวนําไปปฏิบัติอยางจริงจัง ยอมเปนบอเกิดแหงการเปลี่ยนแปลงทาง
จิตใจ จากใจทีสกปรกไปสูใจที่สะอาด จากใจทีมดมัวไปสูใจที่สวาง และจาก
                 ่                          ่ ื         
ใจที่เรารอนไปสูใจทีสงบในทีสด อันเปนสภาวะจิตใจทีพนทุกข ดังเชนที่
                      ่      ่ ุ                      ่ 
พระพุทธองคไดทรงกระทําใหเราไดเห็นเปนตัวอยางแลว

         (คัดลอกจากหนังสือ ทําวัตรสวดมนต วัดหนองปาพง จ.อุบลราชธานี)



                                    ๙
สอบถามกําหนดการปฏิบตธรรม ณ วัดศรีโยธิน โทรศัพท ๐๕๕-๗๑๐-๒๘๐
                   ั ิ
การเตรียมตัว จัดเตรียมขาวของเครื่องใชสวนตัวเทาที่จําเปน ไมควรนําของมีคาติดตัวไป
การแตงกาย บุรษแตงชุดขาวสุภาพ สุภาพสตรีแตงชุดขาว นุงผาถุง หมสไบ




                                         ๑๐
ระเบียบปฏิบัติ
สําหรับผู้ปฏิบัติธรรม




         ๑๑
ระเบียบปฏิบัติของผู้ท่เข้ามาปฏิบัติธรรม ณ วัดศรีโยธิน
                      ี

๑. ใหยนดีในเสนาสนะทีจดให และใหทําความสะอาดเก็บกวาดที่พัก
         ิ                    ่ั
    ถนนทางเขาออกใหสะอาด
๒. เมื่อกิจของผูปฏิบัตธรรมเกิดขึน เชน ทําวัตรเชา – เย็น ฯลฯ
                          ิ          ้
    ใหพรอมกันทํา เมือเลิกใหพรอมกันเลิก อยาทําตนใหเปนทีรงเกียจของ
                        ่                                      ่ั
    หมูคณะ คือ เปนผูมายาสาไถย หลีกเลี่ยง แกตว
                                                     ั
๓. เวลารับประทานอาหาร ลางภาชนะ ทําความสะอาดใหเรียบรอย
    ใหทําดวยความมีสติ
๔. ใหทําตนเปนผูมักนอยในการพูด กิน นอน ราเริง จงเปนผูตื่นอยูดวย -
                                                                   
    ความเพียร
๕. หามคุยกันเปนกลุมกอนทั้งกลางวันและกลางคืนในที่ทั่วไป หรือทีพัก ่
    เวนแตมีเหตุจําเปน ถึงกระนันก็อยาเปนผูคลุกคลีและเอิกเกริกเฮฮา
                                 ้
๖. หามสูบบุหรี่ กินหมาก และสิงเสพติดทุกชนิด
                                   ่
๗. หามเรียไร บอกบุญตาง ๆ โดยเด็ดขาด
              ่
๘. ใหตั้งใจในการประพฤติปฏิบัติ
๙. ไมมกจจําเปน หามเขาไปคลุกคลีในกุฏิกบภิกษุและสามเณร โดยเด็ดขาด
           ีิ                                ั
๑๐. หามเปดวิทยุ และ การละเลนตางๆ ภายในบริเวณวัด
๑๑. เมื่อจะทําอะไรนอกเหนือจากหนาที่ใหปรึกษาสงฆ หรือ ผูเปนประธานใน
    สงฆเสียกอน เมือเห็นวาเปนธรรม เปนวินัย และจึงทํา อยาทําตามใจ -
                     ่
    ของตัวเองฯ



                                ๑๒
ขอกติกาทังหมดนี้ เปนไปเพื่อความเปนระเบียบเรียบรอยของหมูคณะ
                    ้
ขอใหผูปฏิบัติธรรม พึงสังวรไววา เรามาปฏิบตธรรมเพือขัดเกลาจิตใจ และ
                                                ั ิ       ่
เพื่อสรางจริตนิสยทีดีงามใหเกิดขึ้นแกตน มิใชมาเพื่อทําตามใจตนเอง แตมา
                   ั ่
ทําใจตนเองใหถกตองดวยการประพฤติปฏิบติเจริญสติ เพราะฉะนั้น หากทาน
                 ู                         ั
ผูใดไมสามารถทําตามขอกติกาที่กําหนดไว หรือทําตนเปนคนมีปญหา เรื่อง
มากในการกินการอยู ไมปฏิบติตามกฎกติกานี้ คณะสงฆมอํานาจเต็มที่ใน
                                   ั                          ี
การบริหารเพื่อใหเกิดความเรียบรอยแกหมูคณะตอไป

ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒




                                 ๑๓
กํา หนดเวลาการปฏิ บั ติ ธ รรม


  เวลา                         การปฏิบติ ั
๐๓.๓๐ น.                 ตื่นนอนทํากิจสวนตัว
๐๔.๐๐ น.          สวดมนตทําวัตรเชา – ปฏิบัตธรรม
                                                ิ
๐๗.๐๐ น.                รับประทานอาหารเชา
๐๗.๓๐ น.               พักผอนดวยความมีสติ
๐๘.๓๐ น.                       ปฏิบติธรรม
                                    ั
๑๑.๐๐ น.               รับประทานอาหารเที่ยง
๑๒.๓๐ น.                       ปฏิบติธรรม
                                      ั
๑๕.๓๐ น.            ทําความสะอาด กวาดลานวัด
                            ทําสรีรกิจสวนตัว
๑๗.๐๐ น.          สวดมนตทาวัตรเย็น – ปฏิบติธรรม
                             ํ                ั
๑๙.๐๐ น.                     พักดืมน้ําปานะ
                                  ่
๑๙.๓๐ น.             สอบอารมณ – ปฏิบติธรรมั
๒๑.๐๐ น.               พักผอนดวยความมีสติ

     *** ตารางอาจเปลี่ยนแปลงไดตามความเหมาะสม ***




                      ๑๔
การอาราธนาศีลและสมาทานศีล




            ๑๕
เมื่อพระคุณเจามาถึง ผูปฏิบตธรรมพึงนั่งคุกเขาประนมมือกราบ ๓ ครัง
                            ั ิ                                  ้
          เสร็จแลว กลาวคําบูชาพระ กราบพระ วาดังนี้...


                    คําบูชาพระรัตนตรัย

            อิมนา สักกาเรนะ, พุทธัง อะภิปชะยามิ,
                 ิ                         ู
            อิมนา สักกาเรนะ, ธัมมัง อะภิปชะยามิ,
               ิ                             ู
            อิมนา สักกาเรนะ, สังฆัง อะภิปชะยามิ,
                   ิ                     ู

                กราบพระรัตนตรัย วาพรอมกันดังนี้
                 อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
                  พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ,
                               (กราบ)
                  ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
                         ธัมมัง นะมัสสามิ,
                               (กราบ)
              สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
                      
                           สังฆัง นะมามิ.
                               (กราบ)



                             ๑๖
ตอไปกลาวคําอาราธนาศีล วาพรอมกันดังนี้


                   คําอาราธนาศีล ๕

              มะยัง ภันเต, วิสง วิสุง รักขะนัตถายะ,
                              ุ
         ติสะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ,
       ทุติยมป มะยัง ภันเต, วิสง วิสุง รักขะนัตถายะ,
            ั                     ุ
         ติสะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ,
       ตะติยมป มะยัง ภันเต, วิสง วิสง รักขะนัตถายะ,
              ั                     ุ    ุ
         ติสะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ,


                   คําอาราธนาศีล ๘

                มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ,
                     อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ,
         ทุติยมป มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ,
              ั
                     อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ,
         ตะติยมป มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ,
                ั
                     อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ,
               เสร็จแลวกราบ ๑ ครั้ง นั่งพับเพียบพนมมือ
(ถาคนเดียววา อะหัง ภันเต แทน มะยัง ภันเต, ยาจามิ แทน ยาจามะ.)

                              ๑๗
ลําดับนั้น พระคุณเจากลาวคํานมัสการ ฯ นําผูปฏิบติ ใหวาตาม ดังนี้
                                               ั        
      นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
                              (วา ๓ ครัง)
                                        ้
ครั้นแลวพระคุณเจานําเปลงวาจาวาไตรสรณคมนตามไปทีละพากยวา ดังนี้
                                                              


                                 ไตรสรณคมน์

                                 พุทธัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
                                 ธัมมัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
                                 สังฆัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
              ทุติยมป   ั       พุทธัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
              ทุติยมป
                     ั           ธัมมัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
              ทุติยมป       ั   สังฆัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
             ตะติยมป  ั         พุทธัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
             ตะติยมป
                   ั             ธัมมัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
             ตะติยมป      ั     สังฆัง    สะระณัง   คัจฉามิ,

   เมื่อจบแลว พระคุณเจาบอกวา “ ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ”
                ผูปฏิบัตพงรับวา “ อามะ ภันเต ”
                         ิ ึ

       ลําดับนั้นพึงสมาทานสิกขาบท ๕ ประการ หรือ ๘ ประการ
                        วาตามพระคุณเจาดังนี้



                                          ๑๘
คําสมาทานศีล

๑. ปาณาติปาตา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๒. อะทินนาทานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๓. อะพ๎รหมะจะริยา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
         ั ๎
๔. มุสาวาทา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๖. วิกาละโภชะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๗. นัจจะคีตะวาทิตะ วิสกะทัสสะนะ, มาลาคันธะ วิเลปะนะ, ธาระณะ
                      ู
   มัณฑะนะ วิภสะนัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
                ู
๘. อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.

           สําหรับผูทสมาทานศีล ๕ ใหสมาทานศีล ถึงขอที่ ๕
                      ่ี
                         และเปลี่ยนขอที่ ๓ วาดังนี้
        กาเมสุมจฉาจารา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
               ิ

                 ลําดับตอจากนั้น พระคุณเจาจะกลาววา
     อิมานิ อัฏฐะ (ปญจะ*) สิกขาปะทานิ, สีเลนะ สุคะติง ยันติ,
            สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
                        ตัสมา สีลง วิโสทะเย.
                           ๎       ั

      ผูสมาทานศีลพึงรับวา “สาธุ” เสร็จแลวนั่งคุกเขา กราบ ๓ ครั้ง
                หมายเหตุ: * ใชสาหรับสมาทานศีล ๕
                                    ํ


                                   ๑๙
พิธีรกษาอุโบสถศีล
                               ั

          เมื่อพระสงฆสามเณรทําวัตรเชาเสร็จแลวอุบาสก-อุบาสิกา
                    พึงทําวัตรเชา โดยเริ่มคําบูชาพระ วา

        ยะมะหัง สัมมาสัมพุทธัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะโต, (หญิงวา คะตา)
พระผูมพระภาค, พระองคตรัสรูดีแลวโดยชอบพระองคใด, ขาพเจาถึงแลววา
        ี                         
เปนที่พึ่งกําจัดภัยจริง, อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ภะคะวันตัง, อะภิปูชะยามิ,
ขาพเจาบูชา, ซึ่งพระผูมีพระภาคนั้น, ดวยเครื่องสักการะอันนี้.
                         
       ยะมะหัง ส๎วากขาตัง, ธัมมัง สะระณัง คะโต, (หญิงวา คะตา)
พระธรรมที่พระผูมพระภาค, พระองคตรัสไวดีแลวสิ่งใด, ขาพเจาถึงแลววา
                    ี
เปนที่พึงกําจัดภัยจริง, อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ธัมมัง, อะภิปูชะยามิ,
ขาพเจาบูชา, ซึ่งพระธรรมนัน, ดวยเครื่องสักการะอันนี้.
                              ้
      ยะมะหัง สุปะฏิบันนัง, สังฆัง สะระณัง คะโต (หญิงวา คะตา)
พระสงฆททานเปนผูปฏิบติดีแลวหมูใด, ขาพเจาถึงแลววา เปนที่พึ่งกําจัดภัยจริง,
           ่ี      ั
อิมินา สักกาเรนะ, ตัง สังฆัง, อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชา, ซึ่งพระสงฆหมูนั้น,
ดวยเครื่องสักการะอันนี้.

                    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,
                 พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
        ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
     สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบ)
             


                                   ๒๐
(ต อ จากนี้ ทํ า วั ต รเช า จบแล ว หั ว หน า อุ บ าสกหรื อ อุ บ าสิ ก าพึ ง คุ ก เข า
ประนมมือประกาศองคอุโบสถ ทั้งคําบาลีและคําไทย ดังนี้)
      อัชชะ โภนโต ปกขัสสะ อัฏฐะมีทวะโส (ถาวันพระ ๑๕ ค่ํา วา
                                     ิ
ปณณะระสีทวะโส ถา ๑๔ ค่ําวา จาตุททะสีทวะโส) เอวะรูโป โข โภนโต
             ิ                             ิ
ทิวะโส พุทเธนะ ภะคะวะตา ปญญัตตัสสะ ธัมมัสสะวะนัสสะ เจวะ
ตะทัตถายะ อุปาสะกะอุปาสิกานัง อุโปสะถัสสะ จะ กาโล โหติ หันทะ
มะยัง โภนโต สัพเพ อิธะ สะมาคะตา ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมานุธัมมะ
ปะฏิปตติยา ปูชะนัตถายะ อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง อัฏฐังคะ
สะมันนาคะตัง อุโปสะถัง อุปะวะสิสสามาติ กาละปะริจเฉทัง กัต๎วา
ตัง ตัง เวระมะณิง อารัมมะณัง กะริต๎วา อะวิกขิตตะจิตตา หุตวา  ๎
สักกัจจัง อุโปสะถัง สะมาทิเยยยามะ อีทสง หิ อุโปสะถัง สัมปตตานัง
                                       ิ ั
อัมหากัง ชีวิตง มา นิรัตถะกัง โหตุ ฯ
               ั

                                         คําแปล
        ขอประกาศเริ่มเรืองความที่จะสมาทานรักษาอุโบสถ อันพรอมไปดวย
                        ่
องคแปดประการ ใหสาธุชนทีไดตั้งจิตสมาทานทราบทั่วกันกอน แตสมาทาน
                               ่
ณ บัดนี้ ดวยวันนี้ เปนวันอัฏฐะมีดถทแปด (ถาวันพระ ๑๕ ค่ําวา วันปณณะ
                                    ิ ี ี่
ระสีดถทสบหา ถา ๑๔ ค่ําวา วันจาตุททะสีดถทสบสี) แหงปกษมาถึงแลว
      ิ ี ี่ ิ                                 ิ ี ี่ ิ ่
ก็แหละวันเชนนี้ เปนกาลทีสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาทรงบัญญัตแตงตั้งไวให
                             ่                              ิ
ประชุมกันฟงธรรม และเปนกาลที่จะรักษาอุโบสถของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย
เพื่อประโยชนแกการฟงธรรมนั้นดวย เชิญเถิดเราทั้งหลายทั้งปวง ที่ไดมา
ประชุมพรอมกัน ณ ที่นี้ พึงกําหนดกาลวาจะรักษาอุโบสถตลอดวันหนึ่งกับคืน
หนึ่งนี้ แลวพึงทําความเวนโทษนั้นๆเปนอารมณ คือ


                                             ๒๑
o เวนจากการฆาสัตว ๑
     o เวนจากลักฉอ, ถือเอาสิ่งของที่เจาของเขาไมให ๑
     o เวนจากประพฤติกรรมที่เปนขาศึกแกพรหมจรรย ๑
     o เวนจากเจรจาคําเท็จลอลวงผูอื่น ๑
     o เวนจากดื่มสุราเมรัยอันเปนเหตุท่ตั้งแหงความประมาท ๑
                                         ี
     o เวนจากบริโภคอาหาร ตั้งแตเวลาพระอาทิตยเที่ยงแลวไปจนถึงเวลา
       อรุณขึ้นมาใหม ๑
     o เวนจากฟอนรําขับรองและประโคมเครื่องดนตรีตางๆ แตบรรดาที่
       เปนขาศึกแกบุญกุศลทั้งสิ้น และทัดทรงประดับตกแตงรางกายดวย
       ดอกไมของหอม เครื่องประดับ เครื่องทาเครื่องยอม ผัดผิวทํากาย
       ใหวิจิตรงดงามตางๆ อันเปนเหตุที่ตั้งแหงความกําหนัดยินดี ๑
     o เวน จากการนั่ ง นอนเหนือ เตียงตั่ ง มา ที่มี เทา สูง เกิน ประมาณและ
       ที่นั่งที่นอนใหญ ภายในมีนุนและสําลี และเครื่องปูลาดที่วิจิตรดวย
       เงินและทองตางๆ ๑
    อยาใหมีจิตฟุงซานสงไปทีอื่น พึงสมาทานเอาองคอุโบสถทั้งแปดประการ
                               ่
โดยเคารพ เพื่อจะบูชาสมเด็จพระผูมีพระภาค พระพุทธเจานั้นดวยธรรมมานุ-
                                    
ธรรมะปฏิบติ อนึ่ง ชีวิตของเราทั้งหลาย ที่ไดเปนอยูรอดมาถึงวันอุโบสถเชนนี้
            ั
จงอยาไดลวงไปเสียเปลาจากประโยชนเลย

    (เมื่อหัวหนาประกาศจบแลว พระสงฆผแสดงธรรมขึ้นนั่งบนธรรมาสน
                                            ู
             อุบาสก อุบาสิกา พึงนั่งคุกเขากราบพรอมกัน ๓ ครั้ง
              แลวกลาวคําอาราธนาอุโบสถศีลพรอมกัน วาดังนี้)




                                 ๒๒
มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ,
                อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
                                 (วา ๓ จบ)
               ตอนี้ คอยตั้งใจรับสรณคมนและศีลโดยเคารพ
            คือ ประนมมือวาตามคําที่พระสงฆบอกเปนตอนๆ วา
      นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
                                พุทธัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
                                ธัมมัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
                                สังฆัง    สะระณัง   คัจฉามิ,
               ทุติยมป พุทธัง
                      ั                   สะระณัง   คัจฉามิ,
               ทุติยมป ธัมมัง
                    ั                     สะระณัง   คัจฉามิ,
               ทุติยมป สังฆัง
                        ั                 สะระณัง   คัจฉามิ,
               ตะติยมป พุทธัง
                            ั             สะระณัง   คัจฉามิ,
               ตะติยมป ธัมมัง
                          ั               สะระณัง   คัจฉามิ,
               ตะติยมป สังฆังั           สะระณัง   คัจฉามิ,
             เมื่อพระสงฆวา ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตง
                                                   ั
                   พึงรับพรอมกันวา อามะ ภันเต
๑.   ปาณาติปาตา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๒.   อะทินนาทานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๓.   อะพ๎รหมะจะริยา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
           ั ๎
๔.   มุสาวาทา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๕.   สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๖.   วิกาละโภชะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,

                                         ๒๓
๗. นัจจะคีตะวาทิตะ วิสกะทัสสะนะ, มาลาคันธะ วิเลปะนะ, ธาระณะ
                      ู
   มัณฑะนะ วิภสะนัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
                 ู
๘. อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.

      อิมง, อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง, พุทธะปญญัตตัง, อุโปสะถัง,
         ั
อิมญจะ รัตติง, อิมญจะ ทิวะสัง, สัมมะเทวะ, อะภิรกขิตุง, สะมาทิยามิ.
   ั              ั                            ั
  ขาพเจาขอสมาทาน, ซึ่งอุโบสถศีล, อันประกอบไปดวยองคแปดประการ,
       เพื่อจะรักษาไวใหด, มิใหขาด, มิใหทําลาย, มิใหดางพรอย,
                          ี                              
                   ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่ง, ในเวลานี้
                         (หยุดรับเพียงเทานี)
                                            ้
                        ตอนนี้ พระสงฆจะวา
            อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อุโปสะถะวะเสนะ
         มะนะสิกะริตวา สาธุกง อัปปะมาเทนะ รักขิตพพานิ
                    ๎       ั                   ั
                         (พึงรับพรอมกันวา)
                            อามะ ภันเต
                           (พระสงฆวาตอ)
          สีเลนะ สุคะติง ยันติ,        สีเลนะ โภคะสัมปะทา,
          สีเลนะ นิพพุตง ยันติ,
                        ิ              ตัสมา สีลง วิโสธะเย.
                                           ๎    ั
    พึงกราบพรอมกัน ๓ ครั้ง ตอนี้นั่งราบพับเพียบ ประนมมือฟงธรรม
        เมื่อจบแลวพึงใหสาธุการและสวดประกาศตนพรอมกัน ดังนี้
                          สาธุ สาธุ สาธุ

                              ๒๔
อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต (หญิงวา คะตา)
อุปาสะกัตตัง (หญิงวา อุปาสิกตตัง) เทเสสิง ภิกขุสงฆัสสะ สัมมุขา
                             ั                   ั

          เอตัง เม สะระณัง เขมัง        เอตัง สะระณะมุตตะมัง
          เอตัง สะระณะมาคัมมะ           สัพพะทุกขา ปะมุจจะเย
          ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง          สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง

ทุกขะนิสสะระณัสเสวะ ภาคี อัสสัง (หญิงวา ภาคินสสัง) อะนาคะเตฯ
                                              ิ

                กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
                พุทเธ กุกมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง
                         ั
                พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง
                กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ ฯ
                กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
                ธัมเม กุกมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง
                         ั
                ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง
                กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม ฯ
                กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
                สังเฆ กุกมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง
                         ั
                สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง
                กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ ฯ




                                   ๒๕
คติกรรมฐาน
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทําความเพียรมาก
    พระธรรมสิงหบุราจารย (หลวงพอจรัญ ตธมฺโม)
              วัดอัมพวัน จังหวัดสิงหบุรี




                    ๒๖
พิธีสมาทานกรรมฐาน




        ๒๗
เมื่อพระคุณเจาผูเปนประธานฝายสงฆมาถึง ผูปฏิบัติธรรมนั่งคุกเขา
ประนมมือ ผูเปนประธาน ฯ กราบพระนั่งลง ผูปฏิบัติธรรมกราบ ๓ ครั้ง
พรอมเพรียงกัน
       ตั ว แทนผู ป ฏิ บั ติ ธ รรมจุ ด เที ย นธู ป ผู ป ฏิ บั ติ ธ รรมกล า วคํ า บู ช าพระ
กราบพระ อาราธนาศีล สมาทานศีล เมื่อสมาทานศีลเสร็จแลว ตอไปพึง
ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐาน


                         สมาทานพระกรรมฐาน

         นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
                       (วา ๓ จบ) พรอมกัน
                     ตอไปพึงวาตามผูนํา ดังนี้

อิมาหัง ภะคะวา, อัตตะภาวัง, ตุม๎หากัง, ปะริจจะชามิ,
     ขาแตองคสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา, ขาพเจาขอมอบกายถวายชีวิต,
                            
     ตอพระรัตนตรัย, คือพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ
อิมาหัง อาจะริยะ, อัตตะภาวัง, ตุม๎หากัง, ปะริจจะชามิ,
     ขาแตพระอาจารยผูเจริญ, ขาพเจาขอมอบกายถวายตัว,
     ตอครูบาอาจารย, เพื่อเจริญวิปสสนากรรมฐาน
นิพพานัสสะ, เม ภันเต, สัจฉิกะระณัตถายะ, กัมมัฏฐานังเทหิ,
     ขาแตทานผูเจริญ, ขอทานจงใหกรรมฐานแกขาพเจา,
             
     เพื่อทําใหแจง, ซึ่งมรรคผลนิพพานตอไป


                                         ๒๘
อะหัง สุขโต โหมิ,
            ิ
      ขอใหขาพเจาถึงสุข, ปราศจากทุกข, ไมมีเวร, ไมมภัย, ไมมีความ-
                                                          ี
      ลําบาก, ไมมีความเดือดรอน, ขอใหมความสุข, รักษาตนอยูเถิด
                                              ี
สัพเพ สัตตา, สุขิตา โหนตุ,
      ขอใหสัตวทั้งหลายทุกตัวตน, ตลอดเทพบุตร, เทพธิดาทุกพระองค,
      พระภิกษุ, สามเณร, และผูปฏิบติธรรมทุกทาน,
                                     ั
      ขอทานจงมีความสุข, รักษาตนอยูเถิด
อัทธุวัง เม ชีวิตตัง,
      ชีวิตของเราไมแนนอน, ความตายของเราแนนอน, เราตองตายแน,
      เพราะชีวิตของเรา, มีความตายเปนที่สุด, นับวาเปนโชคอันดีแลว,
      ที่เราไดเขามาปฏิบติ, วิปสสนากรรมฐาน, ณ โอกาสบัดนี,
                          ั                                   ้
      ไมเสียทีทไดเกิดมา, พบพระพุทธศาสนา
                  ี่
เยเนวะ ยันติ, นิพพานัง,
      พระพุทธเจา, และพระอรหันตสาวก, ไดดําเนินไปสูพระนิพพาน,
                                                            
      ดวยหนทางเสนนี้, ขาพเจาขอตั้งสัจจะอธิษฐาน, ปฏิญาณตน,
      ตอพระรัตนตรัย, และครูบาอาจารยวา, ตั้งแตนตอไป,
                                                       ี้
      ขาพเจาจะตั้งอกตั้งใจ, ประพฤติและปฏิบัต, เพือใหบรรลุมรรคผล,
                                                ิ ่
      ดําเนินรอยตามพระองคทาน
อิมายะ, ธัมมานุธมมะ, ปะฏิปตติยา, ระตะนัตตะยัง, ปูเชมิ,
                     ั
      ขาพเจาขอบูชาพระรัตนตรัย, ดวยการปฏิบติธรรม,
                                                 ั
      สมควรแกมรรคผลนิพพานนี้, ดวยสัจจะวาจา, ที่กลาวอางมานี้,
      ขอใหขาพเจาไดบรรลุ, มรรคผลนิพพานดวยเทอญ ฯ
              สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
                      (จบแลวกราบ ๓ ครั้ง)

                                   ๒๙
ผูแทนนําเครื่องสักการะเขาไปถวายพระผูเปนอาจารย เสร็จแลว
                    กราบ ๓ ครั้ง พรอมกัน
      นั่งพับเพียบประนมมือ ฟงโอวาทจากพระอาจารย...




                          ๓๐
บทสวดมนต์ทาวัตรเช้า
          ํ




        ๓๑
เมื่อประธานจุดเทียน ธูป พึงพรอมกันนั่งคุกเขาประนมมือ
                     คําบูชาพระรัตนตรัย

(นํา) โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,
(รับ) พระผูมพระภาคเจา พระองคใด, เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ,
             ี
ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม.
   พระธรรมอันพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ตรัสสอนดีแลว,
                      ี
สุปะฏิปนโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
   พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ปฏิบัติดีแลว
                           ี
ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง,
    ขาพเจาทั้งหลาย, ขอบูชาอยางยิ่ง, ซึ่งพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น,
                                                
    พรอมดวยพระธรรม, พรอมดวยพระสงฆ,
อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปูชะยามะ,
   ดวยเครื่องสักการะเหลานี, ที่ยกขึ้นแลวตามสมควร,
                             ้
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป,
   พระผูมพระภาคเจา, แมปรินพพานนานแลว, ขอไดทรงกรุณาโปรดเถิด,
          ี                    ิ
ปจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา,
   ขอไดมน้ําพระทัย, อนุเคราะหแกหมูชนที่เกิดมาในภายหลัง,
            ี
อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ,
   ขอจงทรงรับเครืองสักการะทั้งหลายเหลานี, อันเปนบรรณาการของคนยาก,
                   ่                        ้
อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ,
    เพื่อประโยชนและความสุข, แกพวกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญฯ


                                ๓๒
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา,
      พระผูมีพระภาคเจา, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง,
             
      ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ,
      ขาพเจาอภิวาทพระผูมพระภาคเจา, ผูร, ผูตื่น, ผูเบิกบาน (กราบ)
                           ี               ู
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
      พระธรรมเปนธรรมที่พระผูมพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว,
                                 ี
ธัมมัง นะมัสสามิ,
      ขาพเจานมัสการพระธรรม (กราบ)
สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
      พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา, ปฏิบัติดแลว,
                              ี                       ี
สังฆัง นะมามิ,
      ขาพเจานอบนอมพระสงฆ (กราบ)


                       ปุพพะภาคะนะมะการ
(หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา, พระองคนั้น,
                                         
อะระหะโต,            เปนผูไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทธัสสะ,    ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
                               (วา ๓ ครั้ง)



                                    ๓๓
พุทธาภิถุติง
              (หันทะ มะยัง พุทธาภิถุตง กะโรมะ เส.)
                                     ิ

โย โส ตะถาคะโต,                 พระตถาคตเจานั้นพระองคใด,
อะระหัง,                        เปนผูไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทโธ,                  เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ,
สุคะโต,                         เปนผูไปแลวดวยดี,
โลกะวิท,ู                       เปนผูรูโลกอยางแจมแจง,
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ,
     เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได, อยางไมมีใครยิ่งกวา,
สัตถา เทวะมะนุสสานัง,
     เปนครูผูสอนของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย,
พุทโธ,                 เปนผูรู, ผูตื่น, ผูเบิกบานดวยธรรม,
ภะคะวา,                เปนผูมีความจําเริญ, จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว,
โย อิมง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง
       ั
ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ,
     พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด, ไดทรงทําความดับทุกขใหแจง,
     ดวยพระปญญาอันยิ่งเองแลว, ทรงสอนโลกนี้, พรอมทั้งเทวดา,
     มาร, พรหม, และหมูสตว, พรอมทั้งสมณะพราหมณ,
                              ั
     พรอมทั้งเทวดาและมนุษยใหรูตาม

                              ๓๔
โย ธัมมัง เทเสสิ,
     พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด, ทรงแสดงธรรมแลว,
            
อาทิกัล๎ยาณัง,                  ไพเราะในเบื้องตน,
มัชเฌกัลยาณัง,
         ๎                      ไพเราะในทามกลาง,
ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง,            ไพเราะในที่สุด
สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสทธัง พ๎รัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ,
                                                 ุ       ๎
     ทรงประกาศพรหมจรรย, คือแบบแหงการปฏิบตอนประเสริฐ, บริสทธิ,
                                                   ั ิ ั           ุ ์
     บริบรณสนเชิง, พรอมทั้งอรรถะ(คําอธิบาย), พรอมทั้งพยัญชนะ (หัวขอ),
           ู ิ้
ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ,
     ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระผูมพระภาคเจา, พระองคนั้น,
                                           ี
ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ,
     ขาพเจานอบนอมพระผูมพระภาคเจา, พระองคนน, ดวยเศียรเกลา.
                             ี                     ั้

                        (กราบระลึกพระพุทธคุณ)




                                  ๓๕
ธัมมาภิถุติง
              (หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุตง กะโรมะ เส.)
                                     ิ

โย โส ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
      พระธรรมนั้นใด, เปนสิ่งทีพระผูมีพระภาคเจา, ไดตรัสไวดแลว,
                                        ่                   ี
สันทิฏฐิโก,
      เปนสิ่งทีผศึกษาและปฏิบต, พึงเห็นไดดวยตนเอง,
                  ่ ู              ั ิ
อะกาลิโก,
      เปนสิ่งที่ปฏิบติได, และใหผลได, ไมจํากัดกาล.
                       ั
เอหิปสสิโก,
      เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอ่นวา, ทานจงมาดูเถิด,
                                 ื
โอปะนะยิโก,
      เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว,
ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิ,
      เปนสิ่งทีผรูก็รูไดเฉพาะตน.
                 ่ ู
ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ,
      ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระธรรมนั้น,
ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ,
      ขาพเจานอบนอมพระธรรมนัน, ดวยเศียรเกลา
                                          ้

                       (กราบระลึกพระธรรมคุณ)


                                ๓๖
สังฆาภิถุติง
                    (หันทะ มะยัง สังฆาภิถุตง กะโรมะ เส.)
                                           ิ

โย โส สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
      สงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจานั้น หมูใด, ปฏิบัติดแลว,
                             ี                            ี
อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
      สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบติตรงแลว,
                                                        ั
ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
              
      สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด,
                             
      ปฏิบติเพือรูธรรมเปนเครื่องออกจากทุกขแลว,
            ั ่
สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
      สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบติสมควรแลว,
                                                      ั
ยะทิทง,
      ั
      ไดแกบุคคลเหลานี้คอ,     ื
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
                        ๑
      คูแหงบุรุษ ๔ คู , นับเรียงตัวบุรษได ๘ บุรุษ,
                                         ุ
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
      นั่นแหละสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา,
                                   

๑
    สี่คูคือ : โสดาปตติมรรค-โสดาปตติผล,        สกิทาคามิมรรค-สกิทาคามิผล,
                อนาคามิมรรค-อนาคามิผล,            อรหัตตมรรค-อรหัตผล


                                             ๓๗
อาหุเนยโย,
      เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา,
ปาหุเนยโย,
      เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ,
ทักขิเณยโย,
      เปนผูควรรับทักษิณาทาน,
อัญชะลีกะระณีโย,
      เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี,
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ,
      เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา,
ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ,
      ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระสงฆหมูนั้น,
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ,
      ขาพเจานอบนอมพระสงฆหมูนั้น, ดวยเศียรเกลา

                        (กราบระลึกพระสังฆคุณ)

                          เสร็จแลวนั่งพับเพียบ




                                ๓๘
ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา
     (หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ
           สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส.)
พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว,
     พระพุทธเจาผูบริสทธิ, มีพระกรุณาดุจหวงมหรรณพ,
                         ุ ์
โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน,
     พระองคใด, มีตาคือญาณอันประเสริฐ, หมดจดถึงที่สุด,
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก,
     เปนผูฆาเสียซึ่งบาป, และอุปกิเลสของโลก,
วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,
     ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น, โดยใจเคารพเอือเฟอ,
                                                        ้ 
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน,
     พระธรรมของพระศาสดา, สวางรุงเรืองเปรียบดวงประทีป,
โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก,
     จําแนกประเภทคือ, มรรค, ผล, นิพพานสวนใด,
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน,
     ซึ่งเปนตัวโลกุตตระ, และสวนใดที่ชี้แนวแหงโลกุตตระนั้น,
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,
     ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น, โดยใจเคารพเอือเฟอ.
                                              ้ 




                                ๓๙
สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต,
      พระสงฆเปนนาบุญอันยิ่งใหญ, กวานาบุญอันดีทั้งหลาย,
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก,
      เปนผูเห็นพระนิพพาน, ตรัสรูตามพระสุคตหมูใด,
โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส,
      เปนผูละกิเลสเครื่องโลเล, เปนพระอริยเจามีปญญาดี,
วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,
      ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น, โดยใจเคารพเอื้อเฟอ,
อิจเจวะเมกันตะภิปชะเนยยะกัง, วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง, ปุญญัง-
                    ู
มะยา ยัง มะมะ สัพพุปททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะ สิทธิยา ฯ
      บุญใดที่ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งวัตถุสาม, คือ พระรัตนตรัย
      อันควรบูชายิ่งโดยสวนเดียว, ไดกระทําแลวเปนอยางยิ่งเชนนี้นี้,
      ขออุปททะวะ (ความชั่ว) ทั้งหลาย, จงอยาไดมีแกขาพเจาเลย,
      ดวยอํานาจความสําเร็จอันเกิดจากบุญนั้น

                  สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปนโน,
     พระตถาคตเจาเกิดขึ้นแลวในโลกนี้,
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,
     เปนผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก,
     และพระธรรมที่ทรงแสดง, เปนธรรมเครื่องออกจากทุกข,
                                ๔๐
อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก,
      เปนเครื่องสงบกิเลส, เปนไปเพื่อปรินิพพาน,
สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต,
      เปนไปเพื่อความรูพรอม, ไปธรรมที่พระสุคตประกาศ,
มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ,
      พวกเราเมื่อไดฟงธรรมนั้นแลว, จึงไดรูอยางนี้วา,
ชาติป ทุกขา,                 แมความเกิดก็เปนทุกข,
ชะราป ทุกขา,                 แมความแกก็เปนทุกข.
มะระณัมป ทุกขัง,             แมความตายก็เปนทุกข,
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา,
      แมความโศก, ความร่ําไรรําพัน, ความไมสบายกาย,
      ความไมสบายใจ, ความคับแคนใจ, ก็เปนทุกข
อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข,
      ความประสบกับสิ่งไมเปนที่รักที่พอใจ, ก็เปนทุกข,
ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข,
      ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักที่พอใจ, ก็เปนทุกข,
ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง
      มีความปรารถนาสิ่งใด, ไมไดสิ่งนั้น, นั่นก็เปนทุกข,
สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา,
      วาโดยยอ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข,
เสยยะถีทัง,
      ไดแกสิ่งเหลานี้คือ,

                                    ๔๑
รูปูปาทานักขันโธ,
      ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ รูป,
เวทะนูปาทานักขันโธ,
      ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ เวทนา,
สัญูปาทานักขันโธ,
      ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ สัญญา,
สังขารูปาทานักขันโธ,
      ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ สังขาร,
วิญญาณูปาทานักขันโธ,
      ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ วิญญาณ,
เยสัง ปะริญญายะ,
      เพื่อใหสาวกกําหนดรอบรูอุปาทานขันธเหลานี้เอง,
                                   
ธะระมาโน โส ภะคะวา,
      จึงพระผูมพระภาคเจานั้น, เมื่อยังทรงพระชนมอยู,
                   ี
เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ,
      ยอมทรงแนะนําสาวกทั้งหลาย, เชนนี้เปนสวนมาก,
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี,
พะหุลา ปะวัตตะติ,
      อนึ่ง คําสังสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น, ยอมเปนไปในสาวก-
                 ่               
      ทั้งหลาย, สวนมาก, มีสวนคือการจําแนกอยางนี้วา,
รูปง อะนิจจัง,                        รูปไมเที่ยง,
เวทะนา อะนิจจา,                        เวทนาไมเที่ยง,

                             ๔๒
สัญญา อะนิจจา,                   สัญญาไมเที่ยง,
สังขารา อะนิจจา,                 สังขารไมเที่ยง,
วิญญาณัง อะนิจจัง,               วิญญาณไมเที่ยง,
รูปง อะนัตตา,                   รูปไมใชตวตน,
                                             ั
เวทะนา อะนัตตา,                  เวทนาไมใชตัวตน,
สัญญา อะนัตตา,                   สัญญาไมใชตัวตน,
สังขารา อะนัตตา,                 สังขารไมใชตัวตน,
วิญญาณัง อะนัตตา,                วิญญาณไมใชตัวตน,
สัพเพ สังขารา อะนิจจา,           สังขารทั้งหลายทั้งปวงไมเที่ยง,
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ,           ธรรมทั้งหลายทั้งปวง, ไมใชตวตน ดังนี,
                                                                ั        ้
เต (ตา)๑ มะยัง โอติณณาม๎หะ, พวกเราทั้งหลาย, เปนผูถูกครอบงําแลว,
ชาติยา,                          โดยความเกิด,
ชะรามะระเณนะ,                    โดยความแกและความตาย,
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ,
      โดยความโศก, ความร่ําไรรําพัน, ความไมสบายกาย,
      ความไมสบายใจ, ความคับแคนใจทั้งหลาย,
ทุกโขติณณา,                      เปนผูถูกความทุกขหยั่งเอาแลว,
ทุกขะปะเรตา,                     เปนผูมีความทุกขเปนเบื้องหนาแลว,
อัปเปวะนา มิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปญญาเยถาติ,
      ทําไฉน, การทําทีสดแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฏชัดแกเราได,
                      ่ ุ




                                    ๔๓
( สําหรับพระภิกษุ – สามเณรสวด )

จิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง,
       เราทั้งหลาย, อุทิศเฉพาะพระผูมีพระภาคเจา, ผูไกลจากกิเลส,
       ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, แมปรินิพพานนานแลวพระองคนั้น,
สัทธา อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปพพะชิตา,
       เปนผูมีศรัทธาออกบวชจากเรือน, ไมเกี่ยวของดวยเรือนแลว,
ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรามะ,
       ประพฤติอยูซึ่งพรหมจรรย, ในพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น,
๑
   ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา,
       ถึงพรอมดวยสิกขาและธรรม, เปนเครื่องเลี้ยงชีวิต, ของภิกษุทั้งหลาย,
ตังโน พ๎รัห๎มะจะริยัง อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ
สังวัตตะตูต.ิ
       ขอใหพรหมจรรยของเราทั้งหลายนั้น, จงเปนไปเพื่อการทําที่สุด,
       แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้เทอญ ฯ....




๑
    สามเณรไมตองสวดคําวา ภิกขูนง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา พรอมคําแปล
                                 ั


                                          ๔๔
( สําหรับอุบาสก – อุบาสิกา )

จิระปะรินิพพุตมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคะตา,
                ั
      เราทั้งหลาย, ผูถึงแลวซึ่งพระผูมพระภาคเจา,
                                        ี
      แมปรินพพานนานแลว, พระองคนั้น, เปนสรณะ,
              ิ
ธัมมัญจะ สังฆัญจะ,
      ถึงพระธรรมดวย, ถึงพระสงฆดวย,
ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ,
อะนุปะฏิปชชามะ,
      จักทําในใจอยู, ปฏิบัติตามอยู, ซึ่งคําสังสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น,
                                               ่            
      ตามสติกําลัง,
สา สา โน ปะฏิปตติ,
      ขอใหความปฏิบัตินน ๆ, ของเราทั้งหลาย,
                          ั้
อิมสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อัตตะกิริยายะ สังวัตตะตูติ,
   ั
      จงเปนไปเพื่อการทําที่สุด, แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้เทอญ ฯ




                                    ๔๕
ท๎วัตติงสาการปาฐะ
       (หันทะ มะยัง ท๎วัตติงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส.)
อะยัง โข เม กาโย, กายของเรานี้แล,
อุทธัง ปาทะตะลา,         เบื้องบนแตพ้นเทาขึ้นมา,
                                        ื
อะโธ เกสะมัตถะกา, เบื้องต่ําแตปลายผมลงไป,
ตะจะปะริยันโต,           มีหนังหุมอยูเปนที่สดรอบ,
                                               ุ
ปูโรนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน,
           เต็มไปดวยของไมสะอาด มีประการตางๆ,
อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย,    มีอยูในกายนี้,
เกสา,                    คือ...ผมทั้งหลาย,
โลมา,                    คือ...ขนทั้งหลาย,
นะขา,                    คือ...เล็บทั้งหลาย,
ทันตา,                   คือ...ฟนทั้งหลาย,
ตะโจ,                    หนัง,
มังสัง,                  เนื้อ,
นะหารู,                  เอ็นทั้งหลาย,
อัฏฐี,                   กระดูกทั้งหลาย,
อัฏฐิมิญชัง,             เยื่อในกระดูก,
วักกัง,                  ไต,
หะทะยัง,                 หัวใจ,
ยะกะนัง,                 ตับ,

                                ๔๖
กิโลมะกัง,                 พังผืด,
ปหะกัง,                   มาม,
ปปผาสัง,                  ปอด,
อันตัง,                    ไสใหญ,
อันตะคุณัง,                สายรัดไส,
อุทะริยัง,                 อาหารใหม,
กะรีสัง,                   อาหารเกา,
ปตตัง,                    น้ําดี,
เสมหัง,                    น้ําเสลด,
ปุพโพ,                     น้ําเหลือง,
โลหิตัง,                   น้ําเลือด,
เสโท,                      น้ําเหงื่อ,
เมโท,                      น้ํามันขน,
อัสสุ,                     น้ําตา,
วะสา,                      น้ํามันเหลว,
เขโฬ,                      น้ําลาย,
สิงฆาณิกา,                 น้ํามูก,
ละสิกา,                    น้ํามันไขขอ,
มุตตัง,                    น้ํามูตร,
มัตถะเกมัตถะลุงคัง,        เยื่อในสมอง,
เอวะ มะยัง เม กาโย,        กายของเรานี้อยางนี้,
อุทธังปาทะตะลา,            เบื้องบนแตพื้นเทาขึ้นมา,

                      ๔๗
อะโธเกสะมัตถะกา,         เบื้องต่ําแตปลายผมลงไป,
ตะจะปะริยันโต,           มีหนังหุมอยูเปนที่สุดรอบ,
ปูโรนานัปปะการัสสะ อะสุจโน.
                          ิ
     เต็มไปดวยของไมสะอาด, มีประการตางๆ อยางนี้แลฯ


                          บทพิจารณาสังขาร
                (ทุกเวลาทําวัตรเชาและเวลาเขานอน)
   (หันทะ มะยัง ธัมมะสังเวคะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)

สัพเพ สังขารา อะนิจจา,
      สังขารคือรางกายจิตใจ, แลรูปธรรมนามธรรมทังหมดทั้งสิน, ้     ้
      มันไมเที่ยง, เกิดขึ้นแลวดับไปมีแลวหายไป,
สัพเพ สังขารา ทุกขา,
      สังขารคือรางกายจิตใจ, แลรูปธรรมนามธรรมทังหมดทั้งสิน,
                                                          ้         ้
      มันเปนทุกขทนยาก, เพราะเกิดขึ้นแลวแกเจ็บตายไป,
สัพเพ ธัมมา อะนัตตา,
      สิ่งทั้งหลายทั้งปวง, ทั้งที่เปนสังขาร, แลมิใชสังขารทั้งหมดทั้งสิ้น,
      ไมใชตัวไมใชตน, ไมควรถือวาเรา, วาของเราวาตัววาตนของเรา,
อะธุวัง ชีวิตัง,                          ชีวิตเปนของไมยั่งยืน,
ธุวัง มะระณัง,                            ความตายเปนของยั่งยืน,
อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง,                 อันเราจะพึงตายเปนแท,

                                    ๔๘
มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง,   ชีวิตของเรามีความตายเปนที่สดรอบ,
                                                              ุ
ชีวิตัง เม อะนิยะตัง,           ชีวิตของเราเปนของไมเที่ยง,
มะระณัง เม นิยะตัง,             ความตายของเราเปนของเที่ยง,
วะตะ,                           ควรที่จะสังเวช,
อะยัง กาโย,                     รางกายนี้,
อะจิรัง,                        มิไดตั้งอยูนาน,
อะเปตะวิญญาโณ,                  ครั้นปราศจากวิญญาณ,
ฉุฑโฑ,                          อันเขาทิ้งเสียแลว,
อะธิเสสสะติ,                    จักนอนทับ,
ปะฐะวิง,                        ซึ่งแผนดิน,
กะลิงคะรัง อิวะ,                ประดุจดังวาทอนไมและทอนฟน,
นิรัตถัง,                       หาประโยชนมิได,
อะนิจจา วะตะ สังขารา,           สังขารทั้งหลายไมเที่ยงหนอ,
อุปปาทะวะยะธัมมิโน,             มีความเกิดขึ้นแลวมีความเสื่อมไป -
                                เปนธรรมดา,
อุปปชชิต๎วา นิรุชฌันติ,        ครั้นเกิดขึนแลวก็ยอมดับไป,
                                           ้
เตสัง วูปะสะโม สุโข.            ความเขาไปสงบระงับสังขารทั้งหลาย,
                                เปนสุขอยางยิ่ง, ดังนี้.




                                ๔๙
สัจจะกิริยะคาถา
        (หันทะ มะยัง สัจจะกิริยะคาถาโย ภะณามะ เส.)


      นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, พุทโธ เม สะระณัง วะรัง,
ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมม, พระพุทธเจาเปนที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา,
                          ี
            เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, โหตุ เม ชะยะมังคะลัง,
ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอความสุขสวัสดี, จงมีแกขาพเจาทั้งหลาย,
      นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, ธัมโม เม สะระณัง วะรัง,
ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมม, พระธรรมเปนที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา,
                            ี
            เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, โหตุ เม ชะยะมังคะลัง,
ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอความสุขสวัสดี, จงมีแกขาพเจาทั้งหลาย,
      นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง,
 ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมม, พระสงฆเปนที่พ่งอันประเสริฐของขาพเจา,
                              ี               ึ
            เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, โหตุ เม ชะยะมังคะลัง,
ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอความสุขสวัสดี, จงมีแกขาพเจาทั้งหลาย,




                                ๕๐
นมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ
(หันทะ มะยัง สะระภัญเญนะ พุทธะมังคะละคาถาโย ภะณามะ เส.)


    สัมพุทโธ ทิปะทังเสฏโฐ        นิสนโน เจวะ มัชฌิเม
                                    ิ
    โกณฑัญโญ ปุพพะภาเค จะ        อาคะเนยเย จะ กัสสะโป
    สารีปตโต จะ ทักขิเณ
          ุ                      หะระติเย อุปาลี จะ
    ปจฉิเมป จะ อานันโท         พายัพเพ จะ คะวัมปะติ
    โมคคัลลาโน จะ อุตตะเร        อิสาเนป จะ ราหุโล
    อิเม โข มังคะลา พุทธา        สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา
    วันทิตา เต จะ อัมเหหิ        สักกาเรหิ จะ ปูชิตา
    เอเตสัง อานุภาเวนะ           สัพพะโสตถี ภะวันตุ โน ฯ

             อิจเจวะมัจจัน ตะนะมัสสะเนยยัง
             นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยัง ยัง
             ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง
             ตัสสานุภาเวนะหะตันตะราโย ฯ




                            ๕๑
ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ
  (หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)
                       (ข้อว่าด้วยจีวร)

ปะฏิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ,
       เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวจึงนุงหมจีวร,
                                            
ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ,
       เพียงเพื่อบําบัดความหนาว,
อุณ๎หสสะ ปะฏิฆาตายะ,
     ั
       เพื่อบําบัดความรอน,
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ,
       เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด,
       และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย,
ยาวะเทวะ หิริโกปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง ฯ
       และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะอันใหเกิดความละอาย.

                        (ขอวาดวยบิณฑบาต)
ปะฏิสังขา โยนิโส ปณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ,
     เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวฉันบิณฑบาต,
เนวะ ทวายะ,
     ไมใหเปนไปเพือความเพลิดเพลินสนุกสนาน,
                    ่

                          ๕๒
นะ มะทายะ,
       ไมใหเปนไปเพื่อความเมามันเกิดกําลังพลังทางกาย,
นะ มัณฑะนายะ,
       ไมใชเปนไปเพื่อประดับ,
นะ วิภูสะนายะ,
       ไมใชเปนไปเพื่อตกแตง,
ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา,
       แตใหเปนไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไดแหงกายนี้,
ยาปะนายะ,
       เพื่อความเปนไปไดของอัตภาพ,
วิหิงสุปะระติยา,
       เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบากทางกาย,
พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ,
       เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติพรหมจรรย,
อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ,
       ดวยการทําอยางนี, เรายอมระงับเสียไดซึ่งทุกขเวทนาเกาคือ ความหิว,
                         ้
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ,
       และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น,
ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ ฯ
       อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพนี้ดวย, ความเปนผูหาโทษ-
       มิไดดวย, และความเปนอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้.
                                  


                                    ๕๓
(ขอวาดวยเสนาสนะ)
ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ,
      เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวใชสอยเสนาสนะ,
ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ,
      เพียงเพื่อบําบัดความหนาว,
อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆาตายะ,
      เพื่อบําบัดความรอน,
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ,
      เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด,
      และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย,
ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง ฯ
      เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟาอากาศ,
      และเพือความเปนผูยินดีอยูไดในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา.
              ่           

                            (ขอวาดวยคิลานเภสัช)
ปะฏิสังขา โยนิโส คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง ปะฏิเสวามิ,
      เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวบริโภคเภสัชบริขารอันเกื้อกูลแกคนไข
ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ,
      เพียงเพื่อบําบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแลว, มีอาพาธตางๆ เปนมูล,
อัพ๎ยาปชฌะปะระมะตายาติ.
      เพื่อความเปนผูไมมโรคเบียดเบียนเปนอยางยิ่ง, ดังนี้.
                          ี


                               ๕๔
ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ
(หันทะ มะยัง ธาตุปะฏิกูละปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)

                                (ขอวาดวยจีวร)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
     สิ่งเหลานี้นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
     กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ,
ยะทิทง จีวะรัง ฯ ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
     ั
      สิ่งเหลานี้คือ จีวร, และคนผูใชสอยจีวรนั้น,
ธาตุมัตตะโก,          เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ,
นิสสัตโต,             มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน,
นิสชีโว,              มิใชชีวะอันเปนบุรุษบุคคล,
สุญโญ,                วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน,
สัพพานิ ปะนะ อิมานิ จีวะรานิ อะชิคุฉะนียานิ,
      ก็จีวรทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม,
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
      ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว,
อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ ฯ
      ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้.



                                 ๕๕
(ขอวาดวยบิณฑบาต)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
      สิ่งเหลานี้นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
      กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ,
ยะทิทัง ปณฑะปาโต ฯ ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
      สิ่งเหลานี้คือ บิณฑบาต, และคนผูบริโภคบิณฑบาตนั้น,
ธาตุมัตตะโก,                 เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ,
นิสสัตโต,                    มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน,
นิสชีโว,                     มิใชชวะอันเปนบุรษบุคคล,
                                   ี           ุ
สุญโญ,                       วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน,
สัพโพ ปะนะยัง ปณฑะปาโต อะชิคุฉะนีโย,
      ก็บิณฑบาตทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม,
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
      ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว,
อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายันติ ฯ
      ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้.

                            (ขอวาดวยเสนาสนะ)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
    สิ่งเหลานี้นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
    กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ,

                                  ๕๖
ยะทิทัง เสนาสะนัง ฯ ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
      สิ่งเหลานี้คือ เสนาสนะ, และคนผูใชสอยเสนาสนะนั้น,
ธาตุมัตตะโก,              เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ,
นิสสัตโต,                 มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน,
นิสชีโว,                  มิใชชีวะอันเปนบุรุษบุคคล,
สุญโญ,                    วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน,
สัพพานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชิคุฉะนียานิ,
      ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม,
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
      ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว,
อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ ฯ
      ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้.

                        (ขอวาดวยคิลานะเภสัช)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
      สิ่งเหลานีนี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น,
                    ้
      กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ,
ยะทิทัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
      สิ่งเหลานีคือ คิลานะเภสัชบริขารอันเกือกูลแกคนไข,
                  ้                         ้
      และคนผูบริโภคคิลานะเภสัชบริขารนั้น,
                



                                  ๕๗
ธาตุมัตตะโก,            เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ,
นิสสัตโต,               มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน,
นิสชีโว,                มิใชชวะอันเปนบุรษบุคคล,
                              ี            ุ
สุญโญ,                  วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน,
สัพโพ ปะนายัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร อะชิคุฉะนีโย,
      ก็คิลานะเภสัชบริขารทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม,
อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา,
      ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว,
อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ ฯ
      ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้.




                                ๕๘
วันทามิ

  วันทามิ พุทธัง ภะวะปาระติณณัง,
  ตีโลกะเกตุง ติภะเวกะนาถัง,
  โย โลกะเสฏโฐ สะกะลัง กิเลสัง,
  เฉต๎วานะ โพเธสิ ชะนัง อะนันตัง ฯ
  ยัง นัมมะทายะ นะทิยา ปุลิเน จะ ตีเร,
  ยัง สัจจะพันธะคิริเก สุมะนาจะลัคเค,
  ยัง ตัตถะ โยนะกะปุเร มุนิโน จะ ปาทัง
  ตัง ปาทะลัญชะนะมะหัง สิระสา นะมามิ ฯ
  สุวัณณะมาลิเก สุวัณณะปพพะเต,
  สุมะนะกูเฏ โยนะกะปุเร, นัมมะทายะ นะทิยา
  ปญจะปาทะวะรัง ฐานัง, อะหัง วันทามิ ทูระโต ฯ
        อิจเจวะมัจจันตะนะมัสสะเนยยัง
        นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยัง ยัง
        ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง
        ตัสสานุภาเว นะหะตันตะราโย ฯ
อามันตะยามิโว ภิกขะเว,        ปะฏิเวทะยามิ โว ภิกขะเว
ขะยะวะยะธัมมา สังขารา,        อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ ฯ



                         ๕๙
กรวดน้ํา ตอนเช้ า

                  สัพพปัตติทานคาถา
   (หันทะ มะยัง สัพพะปตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.)

 ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ               ยานัญญานิ กะตานิ เม,
 เตสัญจะ ภาคิโน โหนตุ               สัตตานันตาปปะมาณะกา,
           สัตวทั้งหลาย, ไมมที่สุด, ไมมีประมาณ,
                              ี
            จงมีสวนแหงบุญที่ขาพเจาไดทาในบัดนี,
                                          ํ      ้
              และแหงบุญอื่นที่ไดทําไวกอนแลว,

 เย ปยา คุณะวันตา จะ                   มัยหัง มาตาปตาทะโย,
 ทิฏฐา เม จาป๎ยะทิฏฐา วา                อัญเญ มัชฌัตตะเวริโน,
       คือจะเปนสัตวเหลาใด, ซึ่งเปนที่รกใครและมีบญคุณ,
                                           ั          ุ
    เชนมารดาบิดาของขาพเจาเปนตน ก็ด, ที่ขาพเจาเห็นแลว,
                                             ี
หรือไมไดเห็นก็ด, สัตวเหลาอื่นที่เปนกลางๆ, หรือเปนคูเวรกัน ก็ด,
                 ี                                                  ี

 สัตตา ติฏฐันติ โลกัส๎มิง               เต ภุมมา จะ ตุโยนิกา,
 ปญเจกะจะตุโวการา                      สังสะรันตา ภะวาภะเว,
 สัตวทั้งหลายตั้งอยูในโลก, อยูในภูมิทั้งสาม, อยูในกําเนิดทั้งสี,
                                                                   ่
           มีขันธหาขันธ, มีขันธขันธเดียว, มีขันธสี่ขันธ,
                   
               กําลังทองเที่ยวอยูในภพนอยภพใหญกด,  ็ ี

                              ๖๐
ญาตัง เย ปตติทานัมเม                อะนุโมทันตุ เต สะยัง,
   เย จิมัง นัปปะชานันติ                เทวา เตสัง นิเวทะยุง,
    สัตวเหลาใด, รูสวนบุญที่ขาพเจาแผใหแลว, สัตวเหลานัน,
                                                               ้
    จงอนุโมทนาเองเถิด, สวนสัตวเหลาใด, ยังไมรูสวนบุญนี้,
                                                       
            ขอเทวดาทั้งหลาย, จงบอกสัตวเหลานั้นใหรู

   มะยา ทินนานะ ปุญญานัง               อะนุโมทะนะเหตุนา,
   สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ              อะเวรา สุขะชีวิโน,
   เขมัปปะทัญจะ ปปโปนตุ               เตสาสา สิชฌะตัง สุภา
        เพราะเหตุที่ไดอนุโมทนาสวนบุญที่ขาพเจาแผใหแลว,
     สัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงเปนผูไมมีเวร, อยูเปนสุขทุกเมือ,
                                                             ่
               จงถึงบทอันเกษม, กลาวคือ พระนิพพาน,
      ความปรารถนาที่ดีงามของสัตวเหลานั้น, จงสําเร็จเถิด.

                       ปัตติทานคาถา
         (หันทะ มะยัง ปตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.)

ยา เทวะตา สันติวิหาระวาสินี,
    เทวดาเหลาใด, ที่อยูประจําในวัด,
ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง,
    สิงสถิตอยู่ที่เรือนสถูป, ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์, และที่นั้น ๆ,
ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา,
    เทวดาเหล่านั้น, เป็นผู้ที่เราบูชาด้วยธรรมทาน,
                                   ๖๑
โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล,
      ขอจงทําความสวัสดี, ใหเกิดมีในบริเวณวัดนี้,
เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว,
      ภิกษุทั้งหลาย, ที่เปนพระเถระ, เปนมัชฌิมะ, เปนนวกะ,
สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา,
      ชาววัด อุบาสก อุบาสิกา, ผูเปนทานะบดี,
คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อิสสะรา,
      ชาวบาน ชาวนิคม ชาวตางประเทศก็ด, และผูเปนอิสระเปนใหญ,
                                             ี
สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต,
      ขอใหผูมีชีวิตเหลานั้น, จงมีความสุขเถิด,
ชะลาพุชา เยป จะ อัณฑะสัมภะวา,
      สัตวทั้งหลาย, ที่เกิดในครรภ, เกิดในไข, เกิดในไคล,
สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา,
      เกิดเปนพรหม, เทวดา, และเกิดในนรก,
นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต,
      จงอาศัยธรรมอันประเสริฐ, เปนทางออกนําออกจากทุกข,
สัพเพป ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง,
      สัตวท้งหลาย, จงทําความสิ้นไปแหงทุกขทั้งปวง,
             ั
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม,
      ขอพระธรรมของสัตบุรุษ, จงดํารงอยูตลอดกาลนาน,
ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา,
      ขอบุคคลทั้งหลาย, ผูทรงไวซึ่งความเปนธรรม, จงมีอายุยืน,

                             ๖๒
สังโฆ โหตุ สะมัคโค วะ,
     ขอพระสงฆจงมีความพรอมเพรียงกัน,
อัตถายะ จะ หิตายะ จะ,
     เพื่อประกอบสิ่งอันเปนประโยชน, และความเกื้อกูล,
อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม สัพเพป ธัมมะจาริโน,
     ขอพระสัทธรรมจงรักษาเราทั้งหลาย, ผูประพฤติธรรมทั้งปวง,
วุฑฒิง สัมปาปุเนยยามะ ธัมเม อะริยปปะเวทิเต ฯ
                                         ั
     ขอใหเราทั้งหลาย, พึงประสบความเจริญในพระธรรมวินัย,
     ที่พระอริยเจ้าประกาศไว้แล้ว,
ปะสันนา โหนตุ สัพเพป ปาณิโน พุทธะสาสะเน,
     ขอสรรพสัตวทั้งปวง, จงเปนผูเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา,
สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต กาเล เทโว ปะวัสสะตุ,
     ขอฝนเมื่อจะหลั่งลงมา, จงตกตองตามฤดูกาล,
วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง,
     ขอฝนจงนําความสําเร็จมาสูแผนดิน,
     เพื่อความเจริญแกสรรพสัตวทั้งหลาย,
มาตา ปตา จะ อัตระชัง นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง,
                      ๎
     มารดาบิดายอมรักษาบุตรที่เกิดในตนเปนนิจ ฉันใด,
เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน, ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา,
     ขอพระราชาจงปกครองประชาชนโดยธรรม,
     ในกาลทุกเมื่อฉันนั้น เทอญ ฯ


                            ๖๓
กราบพระ

                   อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา,
                     พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ,
                        ( กราบระลึกคุณพระพุทธ )

                      ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
                             ธัมมัง นะมัสสามิ,
                         ( กราบระลึกคุณพระธรรม )

                 สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
                            สังฆัง นะมามิ,
                        ( กราบระลึกคุณพระสงฆ )

                      มาตาปตคุณัง, อะหัง วันทามิ,
                             ุ
                       ( กราบระลึกคุณบิดา มารดา )

                ครูอุปชฌาอาจาริยะคุณัง, อะหัง วันทามิ,
                       ( กราบระลึกคุณครูบาอาจารย )


ประธาน ดับเทียน กราบพระรัตนตรัย...
อุบาสก – อุบาสิกา พนมมือ กราบพระรัตนตรัยตอจาก...พระภิกษุ – สามเณร



                                   ๖๔
บทสวดมนต์ทาวัตรเย็น
          ํ




         ๖๕
เมื่อประธานจุดเทียน ธูป พึงพรอมกันนั่งคุกเขาประนมมือ
                      คําบูชาพระรัตนตรัย

(นํา) โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,
(รับ) พระผูมพระภาคเจา พระองคใด, เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ,
             ี
ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม.
   พระธรรมอันพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ตรัสสอนดีแลว,
                       ี
สุปะฏิปนโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
   พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ปฏิบัติดีแลว
                           ี
ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง,
     ขาพเจาทั้งหลาย, ขอบูชาอยางยิ่ง, ซึ่งพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น,
                                                 
     พรอมดวยพระธรรม, พรอมดวยพระสงฆ,
อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปูชะยามะ,
   ดวยเครื่องสักการะเหลานี, ที่ยกขึ้นแลวตามสมควร,
                             ้
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป,
   พระผูมพระภาคเจา, แมปรินพพานนานแลว, ขอไดทรงกรุณาโปรดเถิด,
           ี                   ิ
ปจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา,
   ขอไดมีน้ําพระทัย, อนุเคราะหแกหมูชนที่เกิดมาในภายหลัง,
อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ,
   ขอจงทรงรับเครืองสักการะทั้งหลายเหลานี, อันเปนบรรณาการของคนยาก,
                    ่                        ้
อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ,
    เพือประโยชนและความสุข, แกพวกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญฯ
       ่


                                 ๖๖
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา,
      พระผูมีพระภาคเจา, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง,
             
      ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ,
      ขาพเจาอภิวาทพระผูมพระภาคเจา, ผูร, ผูตื่น, ผูเบิกบาน (กราบ)
                           ี               ู
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
      พระธรรมเปนธรรมที่พระผูมพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว,
                                 ี
ธัมมัง นะมัสสามิ,
      ขาพเจานมัสการพระธรรม (กราบ)
สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
      พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา, ปฏิบัติดแลว,
                              ี                       ี
สังฆัง นะมามิ,
      ขาพเจานอบนอมพระสงฆ (กราบ)


                       ปุพพะภาคะนะมะการ
(หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมพระภาคเจา, พระองคนั้น,
                                          ี
อะระหะโต,            เปนผูไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทธัสสะ,    ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
                               (วา ๓ ครั้ง)




                                    ๖๗
๑.พุทธานุสสติ
            (หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.)

ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต,
                                                     ๎
       ก็กตติศพทอันงามของพระผูมพระภาคเจานั้น, ไดฟงไปแลวอยางนี้วา,
          ิ ั                             ี                     ุ
อิตปโส ภะคะวา,
   ิ 
       เพราะเหตุอยางนี้ๆ, พระผูมีพระภาคเจานั้น,
อะระหัง,                              เปนผูไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทโธ,                        เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ,
สุคะโต,                               เปนผูไปแลวดวยดี,
โลกะวิทู,                             เปนผูรูโลกอยางแจมแจง,
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ,
       เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได, อยางไมมีใครยิ่งกวา,
สัตถา เทวะมะนุสสานัง,
       เปนครูผูสอนของเทวดาและมนุษยท้งหลาย,      ั
พุทโธ,
       เปนผูรู, ผูตื่น, ผูเบิกบานดวยธรรม,
ภะคะวาติ.
       เปนผูมีความจําเริญ, จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว ดังนี้.


                                  ๖๘
๒.พุทธาภิคีติ
                      (หันทะ มะยัง พุทธาภิคีตง กะโรมะ เส.)
                                             ิ

พุทธ๎วาระหันตะวะระตาทิคณาภิยตโต,
                              ุ       ุ
      พระพุทธเจาประกอบดวยคุณ, มีความประเสริฐแหงอรหันตคุณเปนตน,
สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต,
      มีพระองคอนประกอบดวยพระญาณ, และพระกรุณาอันบริสทธิ,
                    ั                                             ุ ์
โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลัง วะ สูโร,
      พระองคใด, ทรงกระทําชนทีดใหเบิกบาน, ดุจอาทิตยทําบัวใหบาน,
                                    ่ ี
วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง,
      ขาพเจาไหวพระชินสีห, ผูไมมกิเลส, พระองคนั้น, ดวยเศียรเกลา,
                                        ี
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
      พระพุทธเจาพระองคใด, เปนสรณะอันเกษมสูงสุด, ของสัตวทั้งหลาย,
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง,
      ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น, อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก,
      องคที่หนึ่ง, ดวยเศียรเกลา,
พุทธัสสาหัส๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ พุทโธ เม สามีกิสสะโร,
      ขาพเจาเปนทาสของพระพุทธเจา, พระพุทธเจาเปนนาย,
      มีอสระเหนือขาพเจา,
         ิ
๑
    สตรีพึงวา ทาสี

                                      ๖๙
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม,
      พระพุทธเจาเปนเครืองกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา,
                              ่
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง,
      ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระพุทธเจา,
วันทันโตหัง (ตีหัง)๒ จะริสสามิ, พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง,
      ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความตรัสรูดีของพระพุทธเจา,
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, พุทโธ เม สะระณัง วะรัง,
      สรณะอื่นของขาพเจาไมม, พระพุทธเจาเปนสรณะอันประเสริฐ -
                                  ี
      ของขาพเจา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน,
      ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนา,
      ของพระศาสดา,
พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ,
      ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระพุทธเจา, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี,
                                                                ้
สัพเพป อันตะรายา เม..., มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
      อันตรายทังปวง, อยาไดมแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น.
                  ้                 ี 




๒                            ๓
    สตรีพึงวา วันทันตีหัง       สตรีพึงวา มานายะ

                                         ๗๐
(หมอบกราบลง แลวกลาวพรอมกันวา...)


กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
     ดวยกายก็ดี, ดวยวาจาก็ด, ดวยใจก็ด,
                               ี          ี
พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง,
     กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจาไดกระทําแลว, ในพระพุทธเจา,
พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง,
     ขอพระพุทธเจา, จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น,
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ,
     เพื่อการสํารวมระวัง, ในพระพุทธเจา, ในกาลตอไป.




บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียงการเปดเผย ยอมรับในความผิดของตนเอง
และคําวา ”โทษ” ในที่นี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายเพียงโทษเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว” ระหวาง
กันที่พึงอโหสิกรรมกันได การขอขมาชนิดนี้จะสําเร็จได เมื่อผูขอตั้งใจทําจริง ๆ และเปนเพียง
ศีลธรรม เปนสิ่งที่ควรประพฤติ

                                           ๗๑
๓.ธัมมานุสสติ
           (หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.)
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
        พระธรรมใด, เปนสิ่งที่พระผูมพระภาคเจา, ไดตรัสไวดีแลว,
                                          ี
สันทิฏฐิโก,
        เปนสิ่งทีผศึกษาและปฏิบต, พึงเห็นไดดวยตนเอง,
                    ่ ู            ั ิ
อะกาลิโก,
        เปนสิ่งที่ปฏิบัติได, และใหผลได, ไมจํากัดกาล.
เอหิปสสิโก,
      
        เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอื่นวา, ทานจงมาดูเถิด,
                                  
โอปะนะยิโก,
        เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว,
ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ (อานวา วิญ – ู – ฮี – ติ)
        เปนสิ่งทีผรูก็รูไดเฉพาะตน ดังนี้
                   ่ ู




                                 ๗๒
๔. ธัมมาภิคติ
                                       ี
                (หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส.)
ส๎วากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะเสยโย,
      พระธรรมเปนสิ่งที่ประเสริฐ, เพราะประกอบดวยคุณ,
      คือความทีพระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดแลวเปนตน
                 ่                            ี
โย มัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท,
      มีธรรมอันจําแนกเปน, มรรค, ผล, ปริยัติ, และนิพพาน,
ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี,
      เปนธรรมทรงไวซึ่งผูทรงธรรม, จากการตกไปสูโลกที่ชว,  ั่
วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง,
      ขาพเจาไหวพระธรรมอันประเสริฐนั้น, อันเปนเครื่องขจัดเสียซึ่งความมืด,
ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
      พระธรรมใด, เปนสรณะอันเกษมสูงสุด, ของสัตวทั้งหลาย,
ทุตยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง,
   ิ
      ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น, อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก, องคที่สอง,
      ดวยเศียรเกลา,
ธัมมัสสาหัส๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ ธัมโม เม สามีกิสสะโร,
      ขาพเจาเปนทาสของพระธรรม, พระธรรมเปนนาย,
      มีอสระเหนือขาพเจา
          ิ
ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม,
      พระธรรมเปนเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา,

                                     ๗๓
ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง,
      ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระธรรม,
วันทันโตหัง (ตีหัง)๒ จะริสสามิ, ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง,
      ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความเปนธรรมดีของพระธรรม,
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, ธัมโม เม สะระณัง วะรัง,
      สรณะอื่นของขาพเจาไมม, พระธรรมเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา,
                                  ี
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน,
      ดวยการกลาวคําสัตยน้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนา,
                                ี
      ของพระศาสดา,
ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ,
      ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระธรรม, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้,
สัพเพป อันตะรายา เม..., มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
      อันตรายทังปวง, อยาไดมแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น.
                  ้                 ี 
                 (หมอบกราบลง แลวกลาวพรอมกันวา...)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
     ดวยกายก็ดี, ดวยวาจาก็ด, ดวยใจก็ด,
                               ี          ี
ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง,
     กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจาไดกระทําแลว, ในพระธรรม,
ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง,
     ขอพระธรรมจงงดซึงโทษลวงเกินอันนั้น,
                        ่
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม,
     เพื่อการสํารวมระวัง, ในพระธรรม, ในกาลตอไป.
๑                     ๒                           ๓
    สตรีพึงวา ทาสี       สตรีพงวา วันทันตีหัง
                               ึ                      สตรีพึงวา มานายะ
                                          ๗๔
๕. สังฆานุสสติ
                   (หันทะ มะยัง สังฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.)
    สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
             
          สงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัตดีแลว,
                                    ี                       ิ
    อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัตตรงแลว,
                                     ี                        ิ
    ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด,
                                 
          ปฏิบติเพือรูธรรมเปนเครื่องออกจากทุกขแลว,
                ั ่
    สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัตสมควรแลว,
                                                          ิ
    ยะทิทัง,
          ไดแกบคคลเหลานี้คอ,
                  ุ                  ื
    จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
                            ๑
          คูแหงบุรุษ ๔ คู , นับเรียงตัวบุรษได ๘ บุรุษ,
                                             ุ
    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          นั่นแหละสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา,
                                        
    อาหุเนยโย,
          เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา,
๑
    สี่คูคือ :   โสดาปตติมรรค-โสดาปตติผล,        สกิทาคามิมรรค-สกิทาคามิผล,
                   อนาคามิมรรค-อนาคามิผล,           อรหัตตมรรค-อรหัตผล

                                               ๗๕
ปาหุเนยโย,
      เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ,
ทักขิเณยโย,
      เปนผูควรรับทักษิณาทาน,
อัญชะลีกะระณีโย,
      เปนผูทบุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี,
               ี่
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ.
      เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมนาบุญอื่นยิ่งกวา ดังนี้.
                                  ี

                            ๖. สังฆาภิคติ
                                       ี
                (หันทะ มะยัง สังฆาภิคีตง กะโรมะ เส.)
                                       ิ
สัทธัมมะโช สุปะฏิปตติคุณาทิยุตโต,
      พระสงฆทเกิดโดยพระสัทธรรม, ประกอบดวยคุณ,
                ี่
      มีความปฏิบัติดีเปนตน,
โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ,
      เปนหมูแหงพระอริยบุคคลอันประเสริฐ, แปดจําพวก,
              
สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต,
      มีกายและจิตอันอาศัยธรรม, มีศีลเปนตน, อันบวร,
วันทามะหัง ตะมะริยา นะคะณัง สุสทธัง,    ุ
      ขาพเจาไหวหมูแหงพระอริยเจาเหลานั้น, อันบริสุทธิดวยดี,
                                                         ์
สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
      พระสงฆหมูใด, เปนสรณะอันเกษมสูงสุด, ของสัตวทั้งหลาย,
                                   ๗๖
ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง,
      ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น, อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก,
      องคทสาม, ดวยเศียรเกลา,
            ี่
สังฆัสสาหัส๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ สังโฆ เม สามีกสสะโร,      ิ
      ขาพเจาเปนทาสของพระสงฆ, พระสงฆเปนนาย, มีอสระเหนือขาพเจา,
                                                             ิ
สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม,
      พระสงฆเปนเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา,
สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง,
      ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระสงฆ,
วันทันโตหัง (ตีหัง)๒ จะริสสามิ, สังฆัสโสปะฏิปนนะตัง,
      ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งประพฤติตาม, ซึ่งความปฏิบัติดของพระสงฆ,
                                                           ี
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง,
      สรณะอื่นของขาพเจาไมม, พระสงฆเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา,
                                  ี
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน,
      ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนา,
      ของพระศาสดา
สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ,
      ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระสงฆ, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้,
สัพเพป อันตะรายา เม..., มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา.
      อันตรายทังปวง, อยาไดมแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น.
                  ้                 ี 

๑                     ๒                            ๓
    สตรีพึงวา ทาสี       สตรีพงวา วันทันตีหัง
                               ึ                       สตรีพึงวา มานายะ

                                                  ๗๗
(หมอบกราบลง แลวกลาวพรอมกันวา...)

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา,
     ดวยกายก็ดี, ดวยวาจาก็ดี, ดวยใจก็ดี,
สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง,
     กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจาไดกระทําแลว, ในพระสงฆ,
สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง,
     ขอพระสงฆจงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น,
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ,
     เพื่อการสํารวมระวัง, ในพระสงฆ, ในกาลตอไป.




                                ๗๘
บทสวดมนต์พิเศษ




      ๗๙
ปุพพะภาคะนะมะการ
 (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา, พระองคนั้น,
อะระหะโต,            เปนผูไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทธัสสะ,    ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง,
                               (วา ๓ ครั้ง)


                           สรณคมนปาฐะ
             (หันทะ มะยัง ติสะระณะคะมะนะปาฐัง เส.)

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,
       ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ,
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ,
       ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ,
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ,
       ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ,
ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,
       แมครั้งที่สอง, ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ,


                                 ๘๐
ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ,
       แมครั้งที่สอง, ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ,
ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ,
       แมครั้งที่สอง, ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ,
ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ,
       แมครั้งที่สาม, ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ,
ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ,
       แมครั้งที่สาม, ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ,
ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ,
       แมครั้งที่สาม, ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ,


                        อัฏฐสิกขาปทปาฐะ
         (หันทะ มะยัง อัฏฐะสิกขาปะทะปาฐัง ภะณามะ เส.)

ปาณาติปาตา, เวระมะณี,
       เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา,
อะทินนาทานา, เวระมะณี,
       เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของ, ที่เจาของไมไดใหแลว,
อะพ๎รห๎มจะริยา เวระมะณี,
     ั
       เจตนาเปนเครื่องเวนจากการกระทํา, อันมิใชพรหมจรรย,
มุสาวาทา, เวระมะณี
       เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง,


                                     ๘๑
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี,
      เจตนาเปนเครื่องเวนจากการดืมสุราและเมรัย,
                                    ่
      อันเปนที่ตงของความประมาท,
                 ั้
วิกาละโภชะนา, เวระมะณี,
      เจตนาเปนเครื่องเวนจากการบริโภคอาหาร, ในเวลาวิกาล,
นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกะ ทัสสะนะ, มาลา คันธะ วิเลปะนะ,
ธาระณะ มัณฑะณะ วิภสะนัฏฐานา, เวระมะณี,
                          ู
      เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฟอนรํา, การขับเพลง, การดนตรี,
      การดูการเลน, ชนิดเปนขาศึกตอกุศล, การทัดทรงสวมใส,
      การประดับ, การตกแตงตนดวยพวงมาลา, ดวยเครื่องกลิน -่
      และเครืองผัดทา,
               ่
อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา, เวระมะณี.
      เจตนาเปนเครื่องเวนจากการนังนอนบนทีนอนสูง, และที่นอนใหญ,
                                  ่        ่
      ดังนี้แล.




                              ๘๒
เขมาเขมสรณทีปิกคาถา
 (หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปกะคาถาโย ภะณามะ เส.)
พะหุง เว สะระณัง ยันติ              ปพพะตานิ วะนานิ จะ,
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ                 มะนุสสา ภะยะตัชชิตา,
      มนุษยเปนอันมาก, เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแลว, ก็ถือเอาภูเขาบาง,
      ปาไมบาง, อารามและรุกขเจดียบางเปนสรณะ
เนตัง โข สะระณัง เขมัง              เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
เนตัง สะระณะมาคัมมะ                 สัพพะ ทุกขา ปะมุจจะติ,
      นั่นมิใชสรณะอันเกษมเลย, นั่นมิใชสรณะอันสูงสุด,
      เขาอาศัยสรณะนั่นแลว, ยอมไมพนจากทุกขทั้งปวงได
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ             สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ               สัมมัปปญญายะ ปสสะติ,
      สวนผูใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะแลว,
             
      เห็นอริยสัจจ, คือความจริงอันประเสริฐสี่ดวยปญญาอันชอบ,
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง              ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง           ทุกขูปะสะมะคามินัง
      คือเห็นความทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความกาวลวงพนทุกขเสียได,
      และหนทางมีองคแปดอันประเสริฐเครืองถึงความระงับทุกข,
                                          ่
เอตัง โข สะระณัง เขมัง              เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
เอตัง สะระณะมาคัมมะ                 สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
      นั่นแหละเปนสรณะอันเกษม, นั่นเปนสรณะอันสูงสุด,
      เขาอาศัยสรณะนั่นแลว, ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได.

                                    ๘๓
อริยธนคาถา
        (หันทะ มะยัง อะริยะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส.)
ยัสสะ สัทธา ตะถาคะเต อะจะลา สุปะติฏฐิตา,
      ศรัทธาในพระตถาคตของผูใด, ตั้งมั่นอยางดีไมหวั่นไหว,
สีลญจะ ยัสสะ กัลยาณัง อะริยะกันตัง ปะสังสิตัง
   ั                ๎
      และศีลของผูใดงดงาม, เปนที่สรรเสริญที่พอใจของพระอริยเจา,
สังเฆ ปะสาโท ยัสสัตถิ อุชุภูตัญจะ ทัสสะนัง,
      ความเลือมใสของผูใดมีในพระสงฆ, และความเห็นของผูใดตรง,
              ่                                             
อะทะลิทโทติ ตัง อาหุ อะโมฆันตัสสะ ชีวิตัง,
      บัณฑิตกลาวเรียกเขาผูนั้นวาคนไมจน, ชีวิตของเขาไมเปนหมัน,
ตัส๎มา สัทธัญจะ สีลัญจะ ปะสาทัง ธัมมะทัสสะนัง, อะนุยุญเชถะ
เมธาวี สะรัง พุทธานะ สาสะนัง
      เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกไดถงคําสั่งสอนของพระพุทธเจาอยู,
                                   ึ
      ผูมปญญาควรสรางศรัทธา, ศีล, ความเลื่อมใส,
          ี
      และความเห็นธรรมใหเนืองๆ.


                        ติลักขณาทิคาถา
        (หันทะ มะยัง ติลกขะณาคาถาโย ภะณามะ เส.)
                        ั

สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ,
     เมื่อใดบุคคลเห็นดวยปญญาวา, สังขารทั้งปวงไมเที่ยง,

                                 ๘๔
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา,
     เมื่อนั้นยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกขท่ตนหลง,
                                                   ี
     นั่นแหละเปนทางแหงพระนิพพาน, อันเปนธรรมหมดจด,
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ,
     เมื่อใดบุคคลเห็นดวยปญญาวา, สังขารทั้งปวงเปนทุกข
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา,
     เมื่อนั้นยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกขที่ตนหลง,
     นั่นแหละเปนทางแหงพระนิพพาน, อันเปนธรรมหมดจด,
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ,
     เมื่อใดบุคคลเห็นดวยปญญาวา, ธรรมทั้งปวงเปนอนัตตา,
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา,
     เมื่อนั้นยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกขที่ตนหลง,
     นั่นแหละเปนทางแหงพระนิพพาน, อันเปนธรรมหมดจด,
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน,
     ในหมูมนุษยทั้งหลาย, ผูที่ถึงฝงแหงพระนิพพานมีนอยนัก,
             
อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ,
     หมูมนุษยนอกนั้น, ยอมวิ่งเลาะอยูตามฝงในนี่เอง,
เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน,
     ก็ชนเหลาใดประพฤติสมควรแกธรรม, ในธรรมทีตรัสไวชอบแลว,
                                                          ่
เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง,
     ชนเหลาใดจักถึงฝงแหงพระนิพพาน,
     ขามพนบวงแหงมัจจุราชที่ขามไดยากนัก,

                                ๘๕
กัณ๎หัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปณฑิโต,
      จงเปนบัณฑิตละธรรมดําเสีย, แลวเจริญธรรมขาว,
โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง, ตัต๎ราภิระติมิจเฉยยะ
หิต๎วา กาเม อะกิญจะโน.
      จงมาถึงทีไมมีน้ํา, จากทีมีน้ํา, จงละกามเสีย, เปนผูไมมความกังวล,
               ่               ่                               ี
      จงยินดีเฉพาะตอพระนิพพาน, อันเปนทีสงัดซึ่งสัตวยินดีไดโดยยาก.
                                             ่


                          ภารสุตตคาถา
          (หันทะ มะยัง ภาระสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส.)

ภารา หะเว ปญจักขันธา,        ขันธทั้งหา เปนของหนักเนอ,
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล,          บุคคลแหละเปนผูแบกของหนักพาไป,
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก,        การแบกถือของหนักเปนความทุกขในโลก,
ภาระนิกเขปะนัง สุขัง,         การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเปนความสุข,
นิกขิปต๎วา คะรุง ภารัง,
                             พระอริยเจาสลัดทิ้งของหนักลงเสียแลว,
อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ,        ทั้งไมหยิบฉวยเอาของหนักอันอืนขึ้นมาอีก,
                                                             ่
สะมูลัง ตัณ๎หัง อัพพุย๎หะ,    เปนผูถอนตัณหาขึ้นไดกระทั่งราก,
นิจฉาโต ปะรินิพพุโต.          เปนผูหมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไมมสวนเหลือ.
                                                              ี




                                 ๘๖
ภัทเทกรัตตคาถา
         (หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส.)

อะตีตง นาน๎วาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง,
      ั
      บุคคลไมควรตามคิดถึงสิ่งทีลวงไปแลวดวยอาลัย,
                                  ่ 
      และไมพึงพะวงถึงสิงที่ยังไมมาถึง,
                           ่
ยะทะตีตม ปะหีนนตัง (อานวา ปะ-ฮี-นัน-ตัง) อัปปตตัญจะ อะนาคะตัง,
           ั        ั
      สิ่งเปนอดีตก็ละไปแลว, สิ่งเปนอนาคตก็ยังไมมา,
ปจจุปปนนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปสสะติ, อะสังหิรัง
อะสังกุปปง ตัง วิทธา มะนุพ๎รูหะเย,
      ผูใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหนาที่นั้นๆ อยางแจมแจง,
      ไมงอนแงนคลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเชนนั้นไว
อัชเชวะ กิจจะมาตัปปง โก ชัญญา มะระณัง สุเว,
      ความเพียรเปนกิจทีตองทําวันนี้, ใครจะรูความตายแมพรุงนี้,
                         ่
นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา,
      เพราะการผัดเพี้ยนตอมัจจุราชซึ่งมีเสนามากยอมไมมสําหรับเรา,
                                                           ี
เอวัง วิหาริมาตาปง อะโหรัตตะมะตันทิตัง, ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ
สันโต อาจิกขะเต มุนิ.
      มุนีผสงบยอมกลาวเรียกผูมีความเพียรอยูเชนนั้น, ไมเกียจครานทั้ง-
             ู
      กลางวันกลางคืนวา, "ผูเปนอยูแมเพียงราตรีเดียว ก็นาชม".


                                    ๘๗
ธัมมคารวาทิคาถา
        (หันทะ มะยัง ธัมมะคาระวาทิคาถาโย ภะณามะ เส.)

เย จะ อะตีตา สัมพุทธา เย จะ พุทธา อะนาคะตา,
โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน,
      พระพุทธเจาบรรดาที่ลวงไปแลวดวย, ที่ยังไมมาตรัสรูดวย,
      และพระพุทธเจาผูขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ดวย,
สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติ จะ,
อะถาป วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะ ธัมมะตา,
      พระพุทธเจาทั้งปวงนั้นทุกพระองค, เคารพพระธรรม,
      ไดเปนมาแลวดวย, กําลังเปนอยูดวย, และจักเปนดวย,
      เพราะธรรมดาของพระพุทธเจาทั้งหลายเปนเชนนั้นเอง,
ตัส๎มา หิ อัตตะกาเมนะ มะหัตตะ มะภิกังขะตา,
สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะ สาสะนัง,
      เพราะฉะนั้นบุคคลผูรักตน, หวังอยูเฉพาะคุณเบืองสูง,
                                                    ้
      เมื่อระลึกไดถึงคําสังสอนของพระพุทธเจาอยู,
                           ่                     
      จงทําความเคารพพระธรรม,
นะ หิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน,
      ธรรมและอธรรม, จะมีผลเหมือนกันทั้งสองอยางหามิได,
อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง,
      อธรรมยอมนําไปนรก, ธรรมยอมนําใหถึงสุคติ,

                                  ๘๘
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง,
     ธรรมแหละยอมรักษาผูประพฤติธรรมเปนนิตย,
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ,
     ธรรมที่ประพฤติดีแลว, ยอมนําสุขมาใหตน,
เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ.
     นี่เปนอานิสงสในธรรมที่ตนประพฤติดีแลว.


                    โอวาทปาฏิโมกขคาถา
      (หันทะ มะยัง โอวาทะปาติโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส.)

สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง,
      การไมทําบาปทั้งปวง,
กุสะลัสสูปะสัมปะทา,
      การทํากุศลใหถึงพรอม,
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง,
      การชําระจิตของตนใหขาวรอบ,
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง,
      ธรรม ๓ อยางนี้, เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย,
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา,
      ขันติ คือความอดกลั้น, เปนธรรมเครื่องเผากิเลสอยางยิ่ง,


                                   ๘๙
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา,
      ผูรูทั้งหลาย, กลาวพระนิพพานวาเปนธรรมอันยิ่ง,
นะ หิ ปพพะชิโต ปะรูปะฆาตี,
      ผูกําจัดสัตวอื่นอยู, ไมช่อวาเปนบรรพชิตเลย,
                                 ื
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต,
      ผูทําสัตวอนใหลาบากอยู, ไมชื่อวาเปนสมณะเลย,
                    ื่   ํ          
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต,
      การไมพูดราย, การไมทําราย,
ปาติโมกเข จะ สังวะโร,
      การสํารวมในปาติโมกข,
มัตตัญุตา จะ ภัตตัส๎มิง,
      ความเปนผูรูประมาณในการบริโภค,
ปนตัญจะ สะยะนาสะนัง,
      การนอนการนั่งในทีอันสงัด,
                             ่
อะธิจิตเต จะ อาโยโค,
      ความหมันประกอบในการทําจิตใหยิ่ง,
                  ่
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง.
      ธรรม ๖ อยางนี้, เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย.




                                ๙๐
ปฐมพุทธภาสิตคาถา
     (หันทะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย ภะณามะ เส.)

อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง,
      เมื่อเรายังไมพบญาณ, ไดแลนทองเที่ยวไปในสงสารอันเปนอเนกชาติ,
คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง,
      แสวงหาอยูซึ่งนายชางปลูกเรือน, คือตัณหาผูสรางภพ,
                                                    
      การเกิดทุกคราวเปนทุกขรําไป,
                                ่
คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ
      นี่แนะนายชางปลูกเรือน, เรารูจักเจาเสียแลว,
      เจาจะทําเรือนใหเราไมไดอีกตอไป,
สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง,
      โครงเรือนทั้งหมดของเจาเราหักเสียแลว, ยอดเรือนเราก็รอเสียแลว,
                                                            ื้
วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณ๎หานัง ขะยะมัชฌะคา,
      จิตของเราถึงแลวซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแตงไมไดอกตอไป,
                                                      ี
      มันไดถึงแลวซึ่งความสิ้นไปแหงตัณหา (คือ ถึงนิพพาน).




                                  ๙๑
ปัจฉิมพุทธภาสิตคาถา
     (หันทะ มะยัง ปจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง ภะณามะ เส.)

หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว,
     ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, บัดนี้ เราขอเตือนทานทั้งหลายวา,
         
วะยะธัมมา สังขารา,
     สังขารทั้งหลาย, มีความเสือมไปเปนธรรมดา,
                                 ่
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ,
     ทานทั้งหลาย, จงทําความไมประมาทใหถึงพรอมเถิด,
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปจฉิมา วาจา.
     นี้เปนพระวาจามีในครั้งสุดทาย, ของพระตถาคตเจา.




                           ๙๒
อภิณหะปัจจะเวกขะณะปาฐะ
   (หันทะ มะยัง อะภิณหะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)
     ชะราธัมโมม๎หิ,                  เรามีความแกเปนธรรมดา,
     ชะรัง อะนะตีโต (ตา)๑,           เราไมลวงพนความแกไปได,
     พะยาธิธมโมม๎หิ,
              ั                      เรามีความเจ็บไขเปนธรรมดา,
     ชะรัง อะนะตีโต (ตา)๑,           เราไมลวงพนความเจ็บไขไปได,
     มะระณะธัมโมม๎หิ,                เรามีความตายเปนธรรมดา,
     มะระณัง อะนะตีโต (ตา)๑,         เราไมลวงพนความตายไปได,
     สัพเพหิ เม ปเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว,
           เรามีความเปนตาง ๆ และมีความละเวน,
           คือเราจะตองพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น,
     กัมมัสสะโกม๎หิ,                 เรามีกรรมเปนของของตน,
     กัมมะทายาโท (ทา)๒,              เราจะตองรับผลของกรรม,
     กัมมะโยนิ (ทา)๒,                เรามีกรรมนํามาเกิด,
     กัมมะพันธุ,                     เรามีกรรมเปนเผาพันธุพวกพอง,
     กัมมะปะฏิสะระโณ (ณา)๓,          เรามีกรรมเปนที่พึ่งที่อาศัย,
     ยัง กัมมัง กะริสสามิ,           เราจักทํากรรมอันใดไว,
     กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา, เปนบุญหรือเปนบาป,
     ตัสสะ ทายาโท (ทา)๒ ภะวิสสามิ, เราจะตองไดรับผลของกรรมนั้น,
     อะภิณ๎หัง ปจจะเวกขิตัพพัง, เราพึงพิจารณาเห็นเนือง ๆ ดังนี้,
๑สตรีพึงวา “ตา”   ๒   สตรีพึงวา “ทา        ๓สตรีพึงวา   “ณา”

                                        ๙๓
(นํา) อะยัง กาโย อันวารางกายของเรานี้, อะจิรัง วะตะ ไมนานหนอ,
อะเปตะวิญญาโณ มีวิญญาณอันไปปราศแลว, ฉุฑโฑ เปนของสูญเปลา,
อะธิเสสสะติ จักนอนทับ, ปะฐะวิง ซึ่งแผนดิน, นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง
เปรียบประดุจดังวาทอนฝนอันผุไมมีประโยชนเปนแท,

     (นํา) สังขารา อันวาสังขารธรรมทั้งหลาย, อะนิจจา วะตะ ไมเที่ยงหนอ,
อุปปาทะวะยะธัมมิโน บังเกิดขึ้นแลวก็ยอมเสือมไป, อุปปชชิต๎วา นิรุชฌันติ
                                       ่
บังเกิดขึ้นแลวก็ยอมดับไป, เตสัง วูปะสะโม สุโข พระนิพพานเปนทีดับเพลิง
                                                               ่
กิเลสและกองทุกข, เปนบรมสุขอันใหญยิ่ง,

         (นํา) สัพเพ สัตตา สัตวทั้งหลายทั้งปวง, มะรันติ จะ มะริงสุ จะ
มะริสะเร ตายอยูดวย, ตายแลวดวย, จักตายดวย, ตะเถวาหัง มะริสสามิ
                     
เราก็จักตายอยางนั้นเหมือนกัน, นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย ความสงสัยใน -
เรื่องตายนี้ไมมแกเรา.
                ี




                               ๙๔
ปราภวสุตตปาฐะ
 (หันทะ มะยัง ปะราภะวะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.)

  สุวิชาโน ภะวัง โหติ,          อันบุคคลผูรูไดโดยงายเปนผูเจริญ,
  ทุวิชาโน ปะราภาโว,            อันบุคคลผูรูไดโดยยากเปนผูเสื่อม,
  ธัมมะกาโม ภะวัง โหติ,         ผูใครธรรมเปนผูเจริญ,
  ธัมมะเทสสี ปะราภะโว,          ผูเกลียดชังธรรมเปนผูเสื่อม,

      อะสันตัสสะ ปยา โหนติ นะ สันเต กุรุเต ปยัง,
    อะสะตัง ธัมมัง โรเจติ ตัง ปะราภะวะโต มุขง,       ั
     เขานั้นทําความรักในอสัตบุรุษ, ไมทาความรักในสัตบุรุษ,
                                       ํ
   เขาชอบในธรรมของอสัตบุรุษ, ขอนั้นเปนทางแหงความเสื่อม,

      นิททาสีลี สะภาสีลี อะนุฏฐาตา จะ โย นะโร,
      อะละโส โกธะปญญาโน ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
ผูใดเปนผูชอบนอนหลับ, ชอบพูดคุย, ไมขยัน เกียจครานการงาน,
           
        และเปนคนมักโกรธ, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                                                   ่

    โย มาตะรัง ปตะรัง วา ชิณณะกัง คะตะโยพพะนัง,
      ปะหุสันโต นะ ภะระติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
          ผูใดมีความสามารถอยู, ไมเลียงดูบิดามารดา,
                                        ้
ผูชราอันมีวัยหนุมสาวผานไปแลว, ขอนั้นเปนทางแหงความเสื่อม,



                             ๙๕
โย พราหมะณัง สะมะณัง วา อัญญัง วาป วะณิพพะกัง,
           มุสาวาเทนะ วัญเจติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
ผูใดหลอกลวงสมณะพราหมณ, หลอกแมวณิพกคนขอทานอื่นใดดวยมุสาวาท,
                     ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                                              ่

            ปะหุตะวิตโต ปุริโส สะหิรัญโญ สะโภชะโน,
         เอโก ภุญชะติ สาธูนิ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
               ผูใดมีทรัพยมีเงิน, มีของเหลือกินเหลือใช,
     เขาบริโภคสิ่งที่ดๆ นั้นแตผูเดียว, ขอนั้นเปนทางแหงความเสื่อม,
                      ี

           ชาติถัทโธ ธะนะถัทโธ โคตตะถัทโธ จะ โย นะโร,
              สัญญามะติมัญเญติ ตัง ปะราภะวะโต มุขง,         ั
      ผูใดหยิ่งเพราะชาติกําเนิด, หยิ่งเพราะทรัพย, หยิ่งเพราะโคตร,
          แลวดูหมินซึ่งญาติของตน, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                   ่                                          ่

         อิตถีธตโต สุราธุตโต อักขะธุตโต จะ โย นะโร,
                 ุ
         ลัทธัง ลัทธัง วินาเสติ ตัง ปะราภะวะโต มุขง,      ั
        ผูใดเปนนักเลงหญิง, นักเลงสุรา, และนักเลงเลนการพนัน,
             เขาไดทําลายทรัพยทหาไดมาใหพินาศฉิบหายไป,
                                  ี่
                      ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                                               ่

             เสหิ ทาเรหิ อะสันตุฏโฐ เวสิยาสุ ปะทุสสะติ,
            ทุสสะติ ปะระทาเรสุ ตัง ปะราภะวะโต มุขง,        ั
   ผูใดไมพอใจรักใครในภรรยาตน, กลับไปเที่ยวซุกซนกับหญิงแพศยา,
       และลอบทําชูกับภรรยาของผูอื่น, ขอนันเปนทางแหงความเสื่อม,
                                          ้

                                 ๙๖
อะตีตะโยพพะโน โปโส อาเนติ ติมพะรุตถะนิง,
   ตัสสา อิสสา นะ สุปปะติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
ชายแกผมวัยหนุมผานไปแลว, ไดนําหญิงสาวนอยมาเปนภรรยา,
        ู ี
 เขานอนไมหลับ, เพราะความหึงหวงและหวงอาลัยในหญิงนั้น,
                ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                                         ่

    อิตถิง โสณฑิง วิกริณิง ปุริสง วาป ตาทิสัง,
                          ิ            ั
    อิสสะริยัส๎มง ฐะเปติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
                ิ
    ชายใดตั้งหญิงนักเลงใชจายสุรยสุรายมาเปนแมเรือน,
                                 ุ
 และหรือหญิงใดตั้งชายนักเลงใชจายสุรุยสุรายมาเปนพอเรือน,
               ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                                          ่

      อัปปะโภโค มะหาตัณโห ขัตติเย ชายะเต กุเล,
    โส จะ รัชชัง ปตถะยะติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง,
ผูใดมีโภคะนอย, แตมีความอยากใหญ, ปรารถนาราชสมบัต,
                                                   ิ
                ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม,
                                         ่

    เอเต ปะราภะเว โลเก ปณฑิโต สะมะเวกขิยะ,
   อะริโย ทัสสะนะสัมปนโน สะ โลเก ภะชะเต สิวัง,
        ผูเปนบัณฑิตสมบูรณดวยทัสสนะอันประเสริฐ,
     ไดเห็นเหตุแหงความเสื่อมทั้งหลายเหลานั้นชัดแลว,
         ทานยอมเวนสิ่งเหลานี้เสีย, เมื่อเปนเชนนั้น,
         ทานจึงพบและเสพแตโลกซึ่งมีแตความเจริญ,

                  อิติ. ดวยประการฉะนี้แล.

                             ๙๗
สีลุทเทสปาฐะ
        (หันทะ มะยัง สีลทเทสะ ปาฐัง ภะณามะ เส.)
                        ุ

ภาสิตะมิทัง เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปสสะตา อะระหะตา
สัมมาสัมพุทเธนะ,
      พระผูมีพระภาคเจา, ผูรูเห็น, เปนพระอรหันต,
             
      ตรัสรูเองโดยถูกตองพระองคนน, ไดตรัสคํานี้ไวแลววา,
                                     ั้
สัมปนนะสีลา ภิกขะเว วิหะระถะ สัมปนนะปาฏิโมกขา,
      ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เธอทั้งหลาย, จงเปนผูมศีลสมบูรณ,
                                                 ี
      มีพระปาฏิโมกขสมบูรณ,
ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะระถะ อาจาระโคจะระสัมปนนา,
      จงเปนผูสารวมแลว, ดวยความสํารวมในพระปาฏิโมกข,
                ํ
      สมบูรณดวยอาจาระและโคจร, คือมารยาทและสถานที่ทภกษุควรไป,
                                                             ี่ ิ
อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะถะ สิกขาปะเทสูติ ฯ
      จงเปนผูมปรกติเห็นความนากลัวในโทษแมเพียงเล็กนอย,
                  ี
      สมาทานศึกษาสําเหนียกในสิกขาบททั้งหลายเถิด,
ตัส๎มาติหมเหหิ สิกขิตัพพัง,
           ั
      เพราะเหตุนั้นแล, เราทั้งหลาย, พึงทําความศึกษาสําเหนียกวา,
สัมปนนะสีลา วิหะริสสามะ สัมปนนะปาฏิโมกขา,
      เราจักเปนผูมีศลสมบูรณ, มีพระปาฏิโมกขสมบูรณ,
                      ี

                             ๙๘
ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะริสสามะ อาจาระโคจะระสัมปนนา,
       จงเปนผูสารวมแลว, ดวยความสํารวมในพระปาฏิโมกข,
                  ํ
       สมบูรณดวยอาจาระและโคจร, คือมารยาทและสถานที่ทภกษุควรไป,
                                                          ี่ ิ
อะนุมตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขิสสามะ สิกขาปะเทสูติ ฯ
     ั
       จักเปนผูมปรกติเห็นความนากลัวในโทษแมเพียงเล็กนอย,
                 ี
       สมาทานศึกษาสําเหนียกในสิกขาบททั้งหลาย,
เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง ฯ
       เราทั้งหลาย, พึงทําความศึกษาสําเหนียกอยางนี้แล.




                               ๙๙
อริยมรรคมีองค์แปด
  (หันทะ มะยัง อะริยฏฐังคิกะมัคคะปาฐัง ภะณามะ เส)
                    ั

           อะยะเมวะ อะริโย อัฎฐังคิโก มัคโค,
หนทางนี้แล, เปนหนทางอันประเสริฐ ซึงประกอบดวยองคแปด,
                                      ่
                      เสยยะถีทง,ั
                  ไดแกส่งเหลานี้คอ:-
                          ิ         ื
      สัมมาทิฎฐิ,                ความเห็นชอบ,
      สัมมาสังกัปโป,             ความดําริชอบ,
      สัมมาวาจา,                 การพูดจาชอบ,
      สัมมากัมมันโต,             การทําการงานชอบ,
      สัมมาอาชีโว,               การเลี้ยงชีวิตชอบ,
      สัมมาวายาโม,               ความพากเพียรชอบ,
      สัมมาสติ,                  ความระลึกชอบ,
      สัมมาสมาธิ,                ความตั้งใจมั่นชอบ,

                      (องคมรรคที่ 1)
           กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ,
    ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความเห็นชอบเปนอยางไรเลา?
            ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง,
   ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความรูอันใด เปนความรูในทุกข,
                              

                        ๑๐๐
ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง,
            เปนความรูในเหตุใหเกิดทุกข,
              ทุกขะนิโรเธ ญาณัง,
          เปนความรูในความดับแหงทุกข,
  ทุกขะนิโรธะคามินยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง,
                   ิ
  เปนความรูในทางดําเนินใหถึงความดับแหงทุกข
       อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความเห็นชอบ,

                  (องคมรรคที่ 2)
      กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความดําริชอบ เปนอยางไรเลา?
               เนกขัมมะสังกัปโป,
           ความดําริในการออกจากกาม,
              อะพยาปาทะสังกัปโป,
             ความดําริในการไมมุงราย,
               อะวิหิงสาสังกัปโป,
           ความดําริในการไมเบียดเบียน,
      อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความดําริชอบ,


                        ๑๐๑
(องคมรรคที่ 3)
            กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา,
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย, การพูดจาชอบ เปนอยางไรเลา?
                  มุสาวาทา เวระมะณี,
            เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง
              ปสุณายะ วาจายะ เวระมะณี,
           เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดสอเสียด,
              ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี,
            เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดหยาบ,
               สัมผัปปะลาปา เวระมะณี,
           เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดเพอเจอ,
          อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา,
    ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การพูดจาชอบ,

                       (องคมรรคที่ 4)
          กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต,
   ดูกอนภิกษุท้งหลาย การทําการงานชอบ เปนอยางไรเลา?
                ั
                 ปาณาติปาตา เวระมะณี,
               เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา,
                 อะทินนาทานา เวระมะณี,
เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของที่เจาของไมไดใหแลว,

                          ๑๐๒
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี,
 เจตนาเปนเครื่องเวนจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย,
       อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การทําการงานชอบ

                    (องคมรรคที่ 5)
         กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว,
 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, การเลี้ยงชีวิตชอบ เปนอยางไรเลา?
            อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก,
ดูกอนภิกษุท้งหลาย, สาวกของพระอริยเจาในธรรมวินัยนี้
             ั
                มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ,
                ละการเลียงชีวิตที่ผดเสีย,
                        ้          ิ
          สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกง กัปเปติ,
                                 ั
     ยอมสําเร็จความเปนอยูดวยการเลี้ยงชีวตที่ชอบ
                                            ิ
        อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การเลี้ยงชีวิตชอบ,

                    (องคมรรคที่ 6)
         กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม,
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความพากเพียรชอบเปนอยางไรเลา?

                          ๑๐๓
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ,
                ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
 อะนุปปนนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ,
            ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ,
                     จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ,
     ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร,
ประคองตังจิตไว, เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเปนบาปที่ยังไมเกิด ไมใหเกิดขึ้น,
         ้
     อุปปนนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ,
             ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ,
                     จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ,
    ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร,
     ประคองตังจิตไว, เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเปนบาปที่เกิดขึนแลว,
              ้                                               ้
         อะนุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ,
             ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ,
                     จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ,
     ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร,
        ประคองตังจิตไว, เพื่อจะยังกุศลธรรมทียังไมเกิดใหเกิดขึ้น
                   ้                           ่
      อุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิตยา, อะสัมโมสายะ,
                                                 ิ
  ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ, ปาริปูริยา, ฉันทัง ชะเนติ,
     วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ,
     ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร,
        ประคองตังจิตไว, เพื่อจะยังกุศลธรรมทียังไมเกิดใหเกิดขึ้น
                 ้                           ่
                                ๑๐๔
อุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา, อะสัมโมสายะ,
  ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ, ปาริปูริยา, ฉันทัง ชะเนติ,
     วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ,
     ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร,
ประคองตังจิตไว, เพื่อความตั้งอยู, ความไมเลอะเลือน, ความงอกงามยิ่งขึ้น,
         ้
  ความไพบูลย, ความเจริญ, ความเต็มรอบ, แหงกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแลว,
                อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม,
          ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความเพียรชอบ,


                             (องคมรรคที่ 7)
                  กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ,
          ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความระลึกชอบ เปนอยางไรเลา?
                          อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ,
                 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
                     กาเย กายานุปสสี วิหะระติ,
             ยอมเปนผูพิจารณาเห็นกายในกายอยูเปนประจํา,
                       
 อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง,
          มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสมปชัญญะ มีสติ,
                                         ั
        ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได,
                   เวทะนาสุ เวทะนานุปสสี วิหะระติ,
       ยอมเปนผูพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูเปนประจํา,
                 
                                   ๑๐๕
อาตาป สัมปะชาโน สะติมา,
              วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง,
         มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ,
        ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได,
                 จิตเต จิตตานุปสสี วิหะระติ,
           ยอมเปนผูพิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเปนประจํา,
                     
อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง,
         มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสมปชัญญะ มีสติ,
                                        ั
       ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได,
                   ธัมเมสุ ธัมมานุปสสี วิหะระติ,
                                   
     ยอมเปนผูพจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยูเปนประจํา,
                ิ
อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง,
         มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสมปชัญญะ มีสติ,
                                        ั
       ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได,
              อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ,
      ดูกอนภิกษุท้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความระลึกชอบ,
                   ั

                         (องคมรรคที่ 8)
              กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ,
     ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความตั้งใจมั่นชอบ เปนอยางไรเลา?
                      อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ,
             ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้
                            ๑๐๖
วิวิจเจวะ กาเมหิ,
                       สงัดแลวจากกามทั้งหลาย,
                    วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ,
               สงัดแลวจากธรรมทีเปนอกุศลทั้งหลาย,
                                     ่
                          สะวิตักกัง สะวิจารัง,
วิเวกะชัง ปติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ,
              เขาถึงปฐมฌาน, ประกอบดวยวิตกวิจาร,
               มีปตและสุขอันเกิดจากวิเวกแลวแลอยู,
                     ิ
                    วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา,
               เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง
               อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส,
                เอโกทิภาวัง, อะวิตักกัง อะวิจารัง,
  สะมาธิชัง ปติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ,
       เขาถึงทุตยฌาน, เปนเครื่องผองใสแหงใจในภายใน,
                  ิ
      ใหสมาธิเปนธรรมอันเอกผุดมีขึ้น, ไมมวิตก ไมมวิจาร,
                                               ี     ี
            มีแตปติและสุขอันเกิดจากสมาธิแลวแลอยู,
                           ปติยา จะ วิราคา,
               อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแหงปต,  ิ
      อุเปกขะโก จะ วิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน,
           ยอมเปนผูอยูอุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ,
                        
                 สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ,
                และยอมเสวยความสุขดวยนามกาย,
                           ๑๐๗
ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ,
            อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีต,ิ
 ชนิดที่พระอริยเจาทั้งหลาย, ยอมกลาวสรรเสริญผูนั้นวา,
                                                    
      “เปนผูอยูอุเบกขา มีสติ อยูเปนปรกติสุข” ดังนี้
                 
        ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ,
               เขาถึงตติยฌาน แลวแลอยู,
                 สุขัสสะ จะ ปะหานา,
                    เพราะละสุขเสียได,
                ทุกขัสสะ จะ ปะหานา,
                และเพราะละทุกขเสียได,
   ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา,
เพราะความดับไปแหงโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลกอน,
         อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง,
       จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ,
             เขาถึงจตุตฌาน, ไมมีทุกขไมมีสุข,
มีแตความทีสติเปนธรรมชาติบริสทธิ์เพราะอุเบกขาแลวแลอยู,
           ่                    ุ
         อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ,
 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความตั้งใจมั่นชอบ,
                อิติ. ดวยประการฉะนี้แล.




                        ๑๐๘
อตีตปัจจเวกขณปาฐะ
    (หันทะ มะยัง อะตีตะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.)

                            (ขอวาดวยจีวร)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา ยัง จีวะรัง ปะริภุตตัง,
       จีวรใดอันเรานุงหมแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้,
ตัง ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ,
       จีวรนั้นเรานุงหมแลวเพียงเพื่อบําบัดความหนาว,
อุณ๎หสสะ ปะฏิฆาตายะ,
     ั
       เพื่อบําบัดความรอน,
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ,
       เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด,
       และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย
ยาวะเทวะ หิริโกปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง ฯ
       และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะอันใหเกิดความละอาย.

                         (ขอวาดวยบิณฑบาต)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา โย ปณฑะปาโต ปะริภุตโต,
     บิณฑบาตใดอันเราฉันแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้,
โส เนวะ ท๎วายะ,
     บิณฑบาตนั้นเราฉันแลว, ไมใชเปนไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน,

                                 ๑๐๙
นะ มะทายะ,
       ไมใชเปนไปเพื่อความเมามันเกิดกําลังพลังทางกาย,
นะ มัณฑะนายะ,
       ไมใชเปนไปเพื่อประดับ,
นะ วิภูสะนายะ,
       ไมใชเปนไปเพื่อตกแตง,
ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิตยา,       ิ
       แตใหเปนไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไดแหงกายนี้,
ยาปะนายะ,
       เพื่อความเปนไปไดของอัตภาพ,
วิหิงสุปะระติยา,
       เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบากทางกาย,
พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ,
       เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติพรหมจรรย,
อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ,
       ดวยการทําอยางนี้, เรายอมระงับเสียไดซึ่งทุกขเวทนาเกาคือ ความหิว,
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ,
       และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น,
ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ ฯ
       อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพนี้ดวย,
       ความเปนผูหาโทษมิไดดวย, และความเปนอยูโดยผาสุกดวย,
       จักมีแกเรา, ดังนี้.

                                 ๑๑๐
(ขอวาดวยเสนาสนะ)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา ยัง เสนาสะนัง ปะริภุตตัง,
      เสนาสนะใดอันเราใชสอยแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้,
ตัง ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ,
      เสนาสนะนั้นเราใชสอยแลวเพียงเพื่อบําบัดความหนาว,
อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆาตายะ,
      เพื่อบําบัดความรอน,
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ,
      เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด,
      และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย,
ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง ฯ
      เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟาอากาศ,
      และเพื่อความเปนผูยินดีอยูได, ในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา

                          (ขอวาดวยคิลานเภสัช)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา โย คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร
ปะริภุตโต,
      คิลานะเภสัชบริขารใดอันเราบริโภคแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้,
โส ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ,
      คิลานะเภสัชบริขารนั้นเราบริโภคแลว,
      เพียงเพื่อบําบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแลว, มีอาพาธตาง ๆ เปนมูล
อัพ๎ยาปชฌะปะระมะตายาติ.
      เพื่อความเปนผูไมมโรคเบียดเบียนเปนอยางยิ่ง, ดังนี้
                          ี



                                   ๑๑๑
กรวดน้ํา ตอนเย็ น

                 อุททิสสนาธิฏฐานคาถา
     (หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.)
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,       ดวยบุญนี้อุทิศให,
อุปชฌายา คุณุตตะรา,       อุปชฌายผูเลิศคุณ,
อาจะริยปะการา จะ,
         ู                 แลอาจารยผูเกื้อหนุน,
มาตา ปตา จะ ญาตะกา (ปยา มะมัง), ทั้งพอแมแลปวงญาติ,
สุริโย จันทิมา ราชา,       สูรยจันทรและราชา,
คุณะวันตา นะราป จะ,       ผูทรงคุณหรือสูงชาติ,
พ๎รัห๎มะมารา จะ อินทา จะ, พรหมมารและอินทราช,
โลกะปาลา จะ เทวะตา,        ทั้งทวยเทพและโลกบาล,
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ, ยมราชมนุษยมิตร,
มัชฌัตตา เวริกาป จะ,      ผูเปนกลาง, ผูจองผลาญ,
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ,    ขอใหเปนสุขศานติ์,
                           ทุกทั่วหนาอยาทุกขทน,
ปุญญานิ ปะกะตานิ เม,       บุญผองที่ขาทํา, จงชวยอํานวยศุภผล,
สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ,    ใหสุขสามอยางลน,
ขิปปง ปาเปถะ โว มะตัง,    ใหลุถึงนิพพานพลัน,
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,       ดวยบุญนี้ที่เราทํา,
อิมินา อุททิเสนะ จะ,       แลอุทิศใหปวงสัตว,
ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ,      เราพลันไดซึ่งการตัด,
                            ๑๑๒
ตัณหุปาทานะเฉทะนัง,                        ตัวตัณหาอุปาทาน,
เย สันตาเน หินา ธัมมา,                     สิ่งชั่วในดวงใจ,
ยาวะ นิพพานะโต มะมัง,                      กวาเราจะถึงนิพพาน,
นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ,                     มลายสิ้นจากสันดาน,
ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว,                      ทุกๆ ภพที่เราเกิด,
อุชุจิตตัง สะติปญญา,                      มีจิตตรงและสติ, ทั้งปญญาอันประเสริฐ,
สัลเลโข วิริยัม๎หินา,                      พรอมทั้งความเพียรเลิศ,
                                           เปนเครื่องขูดกิเลสหาย,
มารา ละภันตุ โนกาสัง,                      โอกาสอยาพึงมี, แกหมูมารสิ้นทั้งหลาย,
กาตุญจะ วิริเยสุ เม,                       เปนชองประทุษราย,
                                           ทําลายลางความเพียรจม,
พุทธาธิปะวะโร นาโถ,                        พระพุทธผูบวรนาถ,
ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม,                      พระธรรมที่พึ่งอุดม,
นาโถ ปจเจกะพุทโธ จะ,                      พระปจเจกะพุทธสม,
สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง,                     ทบพระสงฆที่พึ่งผยอง,
เตโสตตะมานุภาเวนะ,                         ดวยอานุภาพนั้น,
มาโรกาสัง ละภันตุ มา ๑,                    ขอหมูมารอยาไดชอง,
                                                              
ทะสะปุญญานุภาเวนะ,                         ดวยเดชบุญทั้งสิบปอง,
มาโรกาสัง ละภันตุ มา,                      อยาเปดโอกาสแกมาร... เทอญ ฯ



๑ กรณีทไมไดสวดมนตแปล ใหสวดถึงบรรทัดนี้เปนบรรทัดสุดทาย
       ี่


                                            ๑๑๓
กราบพระ

                      อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา,
                        พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ,
                           ( กราบระลึกคุณพระพุทธ )

                        ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
                               ธัมมัง นะมัสสามิ,
                           ( กราบระลึกคุณพระธรรม )

                    สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
                               สังฆัง นะมามิ,
                           ( กราบระลึกคุณพระสงฆ )

                         มาตาปตคุณัง, อะหัง วันทามิ,
                                ุ
                         ( กราบระลึกคุณบิดา มารดา )

                    ครูอุปชฌาอาจาริยะคุณัง, อะหัง วันทามิ,
                          
                            ( กราบระลึกคุณครูบาอาจารย )


ประธาน ดับเทียน กราบพระรัตนตรัย...
อุบาสก – อุบาสิกา     พนมมือ กราบพระรัตนตรัยตอจาก...พระภิกษุ – สามเณร


                                    ๑๑๔
บทสวดมนต์วันพระ




     ๑๑๕
บทถวายพรพระ

(นํา) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ
      นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ
      นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ

                   พุทธัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
                   ธัมมัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
                   สังฆัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
         ทุติยัมป พุทธัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
         ทุติยัมป ธัมมัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
         ทุติยัมป สังฆัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
         ตะติยัมป พุทธัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
         ตะติยัมป ธัมมัง   สะระณัง   คัจฉามิ,
         ตะติยัมป สังฆัง   สะระณัง   คัจฉามิ,

      อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน
สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง
พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
    ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก     
โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ (อานวา วิญ-ู-ฮี-ติ)


                               ๑๑๖
สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ
ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี -
กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ

      (นํา) พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
          ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
          ทานาทิธัมมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
          ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
               มาราติเรกะมะภิยตฌิตะสัพพะรัตติง
                                ุ
         โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
         ขันตีสุทันตะวิธินา ชิต๎วา มุนนโท
                                      ิ
         ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
              นาฬาคิรง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
                      ิ
         ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
         เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
         ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
               อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
         ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
         อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิต๎วา มุนินโท
         ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

                                ๑๑๗
กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
     สัจจัง วิหายะ มะติสจจะกะวาทะเกตุง
                         ั
วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอันธะภูตง
                              ั
ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
      นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
       ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
      เอตาปพุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิต๎วานะเนกะวิวิธานิ จุปททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ ฯ


                      ๑๑๘
(นํา) มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณีนง   ั
     ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตโต สัมโพธิมุตตะมัง
     เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ   โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ
          ชะยันโต โพธิยา มูเล      สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน
    เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ        ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
    อะปะราชิตะปลลังเก             สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
    อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง         อัคคัปปตโต ปะโมทะติ ฯ
    สุนักขัตตัง สุมงคะลัง
                   ั               สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
    สุขะโณ สุมุหุตโต จะ            สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ
    ปะทักขิณัง กายะกัมมัง          วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
    ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง          ปะณิธี เต ปะทักขิณา
    ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ           ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ

     ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง          รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ                 สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
     ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง          รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ                 สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
      ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง         รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ                 สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ


                             ๑๑๙
สวดพระพุทธคุณ ๑๐๘ จบ
            อิตป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
               ิ
        วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร
   ปุรสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
      ิ

    เมตตาพรหมะวิหาระภาวนา (มหาเมตตาใหญ่)
     เอวัมเม สุตง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ
                   ั
เชตะวะเน อะนาถะปณฑิกัสสะ อาราเม ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขู
อามันเตสิ ภิกขะโวติ ฯ ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปจจัสโสสุง
ภะคะวา เอตะทะโว...จะ (หยุด)
     (นํา) เมตตายะ ภิกขะเว
     (รับ) เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ
ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ
เอกา ทะสานิสงสา ปาฏิกังขา ฯ กะตะเม เอกาทะสะ ฯ
               ั
     (๑) สุขัง สุปะติ
     (๒) สุขัง ปะฏิพุชฌะติ
     (๓) นะ ปาปะกัง สุปนัง ปสสะติ
     (๔) มะนุสสานัง ปโย โหติ
     (๕) อะมะนุสสานัง ปโย โหติ
     (๖) เทวะตา รักขันติ
     (๗) นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ
     (๘) ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ
     (๙) มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ
                            ๑๒๐
(๑๐) อะสัมมุฬ๎โห กาลัง กะโรติ
     (๑๑) อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พ๎รัห๎มะโลกูปะโค โหติ ฯ

     เมตตายะ ภิ ก ขะเว เจโตวิ มุ ต ติ ย า อาเสวิ ต ายะ ภาวิ ต ายะ
พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ
สุสะมารัทธายะ อิเม เอกา ทะสานิสังสา ปาฏิกังขา ฯ
     อัตถิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ
     อัตถิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ
     อัตถิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
     กะตีหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
     กะตีหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
     กะตีหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
     ปญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมตติ ฯ
                                                 ุ
     สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
     ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
     กะตะเมหิ    ปญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโต
      วิมุตติ ฯ
(๑) สัพเพ สัตตา   อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปาณา    อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ ภูตา    อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ



                                  ๑๒๑
(๔) สัพเพ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติ ฯ
 อิเมหิ ปญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ

 กะตะเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ
(๑) สัพพา อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ เทวา อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
                             ๎
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง
    ปะริหะรันตูติ ฯ
 อิเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ

   กะตะเมหิ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ


                           ๑๒๒
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
               ั
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                            ๑๒๓
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
              ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                          ๑๒๔
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
              ั
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา
                                            ๎
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา
     สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                           ๑๒๕
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
              ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                           ๑๒๖
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา
              ั
     อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
         ๎
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรตถิมายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา
                ั
     อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา
     อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา
     อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา
                              ิ
     อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
                  ๎
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา
     อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา
     อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                            ๑๒๗
(๑) สัพพา ปุรัตถิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพพา ปจฉิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพพา อุตตะรายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพพา ทักขิณายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพพา ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพพา ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพพา อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพพา ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพพา เหฏฐิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพพา อุปะริมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                            ๑๒๘
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
              ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                            ๑๒๙
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
              ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพยาปชฌา
                                              ๎
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                           ๑๓๐
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
               ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                           ๑๓๑
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
              ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                          ๑๓๒
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
               ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรตถิมายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพยาปชฌา
             ั                                    ๎
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ


                           ๑๓๓
(๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
               ั
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา
     อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา
     อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ
(๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา
     อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตู...ติ ฯ
        ๎


                            ๑๓๔
    อิเมหิ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ

     สัพเพสัง สัตตานัง ปฬะนัง วัชเชต๎วา อะปฬะนายะ อุปะฆาตัง
วัชเชต๎วา อะนุปะฆาเตนะ สันตาปง วัชเชต๎วา อะสันตาเปนะ ปะริยาทานัง
วัชเชต๎วา อะปะริยาทาเนนะ วิเหสัง วัชเชต๎วา อะวิเหสายะ สัพเพ สัตตา
อะเวริโน โหนตุ มา เวริโน สุขิโน โหนตุ มา ทุกขิโน สุขิตัตตา โหนตุ
มา ทุกขิตัตตาติ อิเมหิ อัฏฐะหากาเรหิ สัพเพ สัตเต เมตตายะตีติ
เมตตา ตัง ธัมมัง เจตะยะตีติ เจโต สัพพะพ๎ยาปาทะปะริยุฏฐาเนหิ
มุจจะตีติ วิมุตติ เมตตา จะ เจโตวิมุตติ จาติ เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ


               เมตตาพ๎รหมะวิหาระภาวนา นิฏฐิตา...
                       ั ๎




                               ๑๓๕
บารมี ๓๐ ทัศน์
   (นํา) หันทะ มะยัง มะหาปาระมียง กะโรมะ เส ฯ
                                ั

ทานะ ปาระมี สัมปนโน
ทานะ อุปะปาระมี สัมปนโน
ทานะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิตปโส ภะคะวา ฯ
   ิ 
สีละ ปาระมี สัมปนโน
สีละ อุปะปาระมี สัมปนโน
สีละ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิติปโส ภะคะวา ฯ
เนกขัมมะ ปาระมี สัมปนโน
เนกขัมมะ อุปะปาระมี สัมปนโน
เนกขัมมะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิติปโส ภะคะวา ฯ
ปญญา ปาระมี สัมปนโน
ปญญา อุปะปาระมี สัมปนโน
ปญญา ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน

                     ๑๓๖
เมตตา ไมตรี กะรุณา    มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิติปโส ภะคะวา ฯ
วิริยะ ปาระมี สัมปนโน
วิริยะ อุปะปาระมี สัมปนโน
วิริยะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิติปโส ภะคะวา ฯ
ขันติ ปาระมี สัมปนโน
ขันติ อุปะปาระมี สัมปนโน
ขันติ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิติปโส ภะคะวา ฯ
สัจจะ ปาระมี สัมปนโน
สัจจะ อุปะปาระมี สัมปนโน
สัจจะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิตปโส ภะคะวา ฯ
   ิ 
อธิษฐานะ ปาระมี สัมปนโน
อธิษฐานะ อุปะปาระมี สัมปนโน
อธิษฐานะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิตปโส ภะคะวา ฯ
   ิ 
                     ๑๓๗
เมตตา      ปาระมี สัมปนโน
เมตตา      อุปะปาระมี สัมปนโน
เมตตา      ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา       ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิติปโส    ภะคะวา ฯ
อุเบกขา    ปาระมี สัมปนโน
อุเบกขา    อุปะปาระมี สัมปนโน
อุเบกขา    ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา      ไมตรี กะรุณา มุทตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
                               ิ
อิตปโส
   ิ       ภะคะวา ฯ
ทะสะ ปาระมี สัมปนโน
ทะสะ อุปะปาระมี สัมปนโน
ทะสะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน
อิตปโส ภะคะวา ฯ
   ิ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ...นะมามิหัง ฯ




                          ๑๓๘
คําถวายกุศลแด่พระธรรมสิงหบุราจารย์
                      (หลวงพ่อจรัญ ฐิตฺธมฺโม)

        อิทง, ฐิตะธัมมัสสะ โหตุ, สุขิโต โหตุ, ฐิตะธัมโม.
           ั
           ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แดหลวงพอจรัญ ฐิตธัมโม,
                                                    ฺ
             ขอใหหลวงพอจรัญ ฐิตฺธมโม, จงมีความสุข.
                                      ั


คําถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
            และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ

อิทง, มหาราชะ, ภูมิพะลัสสะ, สะราชินยา โหตุ, สุขิโต โหตุ,
   ั                               ี
อะโรโค โหตุ, ทีฆายุโก โหตุ, มหาราชะ, ภูมิพะโล, สะราชินี.

ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แดพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ฯ, ภูมิพลมหาราช,
              และสมเด็จพระนางเจาฯ, พระบรมราชินนาถ, ี
        ขอใหพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ฯ, ภูมพลมหาราช,
                                                  ิ
 และสมเด็จพระนางเจาฯ, พระบรมราชินีนาถ, จงทรงพระเกษมสําราญ,
       ปราศจากโรคาพยาธิแผวพาน, มีพระชนมมายุยิ่งยืนนาน,
                            ชั่วนิรันดร เทอญฯ



                                ๑๓๙
บทแผ่เมตตา
                     (ตั้งกัลยาณจิต ไวท่ี ลิ้นป)

สัพเพ สัตตา
     สัตวทั้งหลาย, ที่เปนเพื่อนทุกข, เกิดแกเจ็บตาย,
     ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา
     จงเปนสุขเปนสุขเถิด, อยาไดมีเวรแกกันและกันเลย
อัพ๎ยาปชฌา
     จงเปนสุขเปนสุขเถิด, อยาไดพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา
     จงเปนสุขเปนสุขเถิด, อยาไดมีความทุกขกายทุกใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
     จงมีความสุขกายสุขใจ, รักษาตน, ใหพนจากทุกขภยทั้งสิ้นเถิด ฯ
                                                       ั


                      บทอุทศส่วนกุศล
                           ิ
                  (ยกจิตจาก ลิ้นป สู หนาผาก)

อิทัง เม, มาตาปตูนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, มาตา ปตะโร,
     ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกมารดาบิดาของขาพเจา,
     ขอใหมารดาบิดาของขาพเจา, จงมีความสุข



                                  ๑๔๐
อิทัง เม, ญาตีนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, ญาตะโย,
      ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกญาติทั้งหลายของขาพเจา,
      ขอใหญาติทั้งหลายของขาพเจา, จงมีความสุข
อิทัง เม, คุรูปชฌายาจะริยานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, คุรูปชฌายาจะริยา,
           ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกครูอุปชฌาอาจารยของขาพเจา,
           ขอใหครูอุปชฌาอาจารยของขาพเจา, จงมีความสุข
อิทง, สัพพะเทวานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ เทวา,
         ั
           ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกเทวดาทั้งหลายทั้งปวง,
           ขอใหเทวดาทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข
อิทง, สัพพะเปตานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ เปตา,
     ั
           ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกเปรตทั้งหลายทั้งปวง,
           ขอใหเปรตทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข
อิทง, สัพพะเวรีนง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ เวรี,
       ั                  ั
           ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกเจากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง,
           ขอใหเจากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข
อิทง, สัพพะสัตตานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ สัตตา,
   ั
           ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกสัตวทั้งหลายทั้งปวง,
           ขอใหสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข




                                   ๑๔๑
กรวดน้ํา ตอนเย็ น

                 อุททิสสนาธิฏฐานคาถา
     (หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.)

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,       ดวยบุญนี้อุทิศให,
อุปชฌายา คุณุตตะรา,       อุปชฌายผูเลิศคุณ,
อาจะริยปะการา จะ,
        ู                  แลอาจารยผูเกื้อหนุน,
มาตา ปตา จะ ญาตะกา (ปยา มะมัง), ทั้งพอแมแลปวงญาติ,
สุริโย จันทิมา ราชา,       สูรยจันทรและราชา,
คุณะวันตา นะราป จะ,       ผูทรงคุณหรือสูงชาติ,
พ๎รัหมะมารา จะ อินทา จะ, พรหมมารและอินทราช,
      ๎
โลกะปาลา จะ เทวะตา,        ทั้งทวยเทพและโลกบาล,
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ, ยมราชมนุษยมิตร,
มัชฌัตตา เวริกาป จะ,      ผูเปนกลาง, ผูจองผลาญ,
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ,    ขอใหเปนสุขศานติ์,
                           ทุกทั่วหนาอยาทุกขทน,
ปุญญานิ ปะกะตานิ เม,       บุญผองที่ขาทํา, จงชวยอํานวยศุภผล,
สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ,    ใหสุขสามอยางลน,
ขิปปง ปาเปถะ โว มะตัง,    ใหลุถึงนิพพานพลัน,
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ,       ดวยบุญนี้ที่เราทํา,
อิมินา อุททิเสนะ จะ,       แลอุทิศใหปวงสัตว,

                             ๑๔๒
ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ,                      เราพลันไดซึ่งการตัด,
ตัณหุปาทานะเฉทะนัง,                        ตัวตัณหาอุปาทาน,
เย สันตาเน หินา ธัมมา,                     สิ่งชั่วในดวงใจ,
ยาวะ นิพพานะโต มะมัง,                      กวาเราจะถึงนิพพาน,
นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ,                     มลายสิ้นจากสันดาน,
ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว,                      ทุกๆ ภพที่เราเกิด,
อุชุจิตตัง สะติปญญา,                      มีจิตตรงและสติ, ทั้งปญญาอันประเสริฐ,
สัลเลโข วิริยม๎หนา,
             ั ิ                           พรอมทั้งความเพียรเลิศ,
                                           เปนเครื่องขูดกิเลสหาย,
มารา ละภันตุ โนกาสัง,                      โอกาสอยาพึงมี, แกหมูมารสิ้นทั้งหลาย,
กาตุญจะ วิริเยสุ เม,                       เปนชองประทุษราย,
                                           ทําลายลางความเพียรจม,
พุทธาธิปะวะโร นาโถ,                        พระพุทธผูบวรนาถ,
ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม,                      พระธรรมที่พึ่งอุดม,
นาโถ ปจเจกะพุทโธ จะ,                      พระปจเจกะพุทธสม,
สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง,                     ทบพระสงฆที่พึ่งผยอง,
เตโสตตะมานุภาเวนะ,                         ดวยอานุภาพนั้น,
มาโรกาสัง ละภันตุ มา,                      ขอหมูมารอยาไดชอง,
ทะสะปุญญานุภาเวนะ,                         ดวยเดชบุญทั้งสิบปอง,
มาโรกาสัง ละภันตุ มา,                      อยาเปดโอกาสแกมาร... เทอญ ฯ

๑ กรณีทไมไดสวดมนตแปล ใหสวดถึงบรรทัดนี้เปนบรรทัดสุดทาย
       ี่


                                            ๑๔๓
กราบพระ

                      อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา,
                        พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ,
                           ( กราบระลึกคุณพระพุทธ )

                        ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
                               ธัมมัง นะมัสสามิ,
                           ( กราบระลึกคุณพระธรรม )

                    สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
                               สังฆัง นะมามิ,
                           ( กราบระลึกคุณพระสงฆ )

                         มาตาปตคุณัง, อะหัง วันทามิ,
                                ุ
                         ( กราบระลึกคุณบิดา มารดา )

                    ครูอปชฌาอาจาริยะคุณัง, อะหัง วันทามิ,
                        ุ
                          ( กราบระลึกคุณครูบาอาจารย )


ประธาน ดับเทียน กราบพระรัตนตรัย...
อุบาสก – อุบาสิกา     พนมมือ กราบพระรัตนตรัยตอจาก...พระภิกษุ – สามเณร


                                      ๑๔๔
บทสวดมนต์วันอาทิตย์




        ๑๔๕
ชุมนุมเทวดา


              สะรัชชัง สะเสนัง   สะพันธุง นะรินทัง
                 ปะริตตานุภาโว   สะทา รักขะตูติ
             ผะริตวานะ เมตตัง
                  ๎              สะเมตตา ภะทันตา
               อะวิกขิตตะจิตตา   ปะริตตัง ภะณันตุ

      สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน,
   ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต,
   ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา,
   ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณนตุ ฯ
                                                       ั
               ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
               ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
               ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ฯ

(นํา) นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ
      นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ
      นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ




                            ๑๔๖
พุทธัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
         ธัมมัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
         สังฆัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
 ทุติยัมป พุทธัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
 ทุตยัมป ธัมมัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
     ิ
 ทุตยัมป สังฆัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
       ิ
ตะติยัมป พุทธัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
ตะติยัมป ธัมมัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,
ตะติยัมป สังฆัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,

      อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน
สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง
พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
    ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก
โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ (อานวา วิญ-ู-ฮี-ติ)
      สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน
ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะ-
ปุคคะลา เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย
ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ


                                ๑๔๗
(นํา) พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธมมะวิธินา ชิต๎วา มุนนโท
         ั                  ิ
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
       มาราติเรกะมะภิยตฌิตะสัพพะรัตติง
                        ุ
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
     นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
        อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
     กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

                      ๑๔๘
สัจจัง วิหายะ มะติสจจะกะวาทะเกตุง
                         ั
วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
      นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
       ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
     
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิต๎วา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
      เอตาปพุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิต๎วานะเนกะวิวิธานิ จุปททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ ฯ

(นํา) มะหาการุณิโก นาโถ       หิตายะ สัพพะปาณีนง ั
 ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา        ปตโต สัมโพธิมุตตะมัง
 เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ          โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ

                       ๑๔๙
ชะยันโต โพธิยา มูเล     สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน
    เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ       ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
    อะปะราชิตะปลลังเก            สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
    อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง        อัคคัปปตโต ปะโมทะติ ฯ
    สุนักขัตตัง สุมังคะลัง        สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
    สุขะโณ สุมุหุตโต จะ           สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ
    ปะทักขิณัง กายะกัมมัง         วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
    ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง         ปะณิธี เต ปะทักขิณา
    ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ          ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ

     ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง         รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ                สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
     ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง         รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ                สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
     ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง         รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ                สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ




                            ๑๕๐
บทขัดธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง

       อะนุตตะรัง อะภิสมโพธิง
                         ั            สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต
       ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ           ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง
       สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต           โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
       ยัตถากขาตา อุโภ อันตา          ปะฏิปตติ จะ มัชฌิมา
       จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ            วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง
       เทสิตัง ธัมมะราเชนะ            สัมมาสัมโพธิกตตะนัง
                                                   ิ
       นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง         ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง
       เวยยากะระณะปาเฐนะ              สังคีตันตัมภะณามะ เส ฯ


                  ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง

     เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสปตะเน
                                                                 ิ
มิคะทาเย ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ปญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
                ๎
     เท๎วเม ภิกขะเว อันตา ปพพะชิเตนะ นะ เสวิตพพา โย จายัง กาเมสุ
                                                ั
กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
     เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ
อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

                                ๑๕๑
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ
อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ
สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
      อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทง ฯ สัมมาทิฏฐิ
                                                     ั
สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฯ
      อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ
อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ
สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
      อิทง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ฯ ชาติป ทุกขา
          ั
ชะราป ทุกขา มะระณัมป ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป
ทุกขา อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปจฉัง
นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ
      อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง
ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัต๎ระ ตัต๎ราภินนทินี ฯ  ั
เสยยะถีทง ฯ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ
            ั
      อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง ฯ โย ตัสสาเยวะ
ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
                                         ิ
      อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ฯ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฯ

                               ๑๕๒
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     อิทง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
        ั
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม
ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนนติ เม  ั
ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ


                                ๑๕๓
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม
ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
      ตัง โข ปะนิทง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม
                     ั
ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
      อิทง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
         ั
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
      ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเว -
ตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ
ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
      ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตนติ
                                                                    ั
เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
      ยาวะกีวญ จะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ
              ั
ปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
      เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รหมะเก    ั ๎
สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะ มะนุสสายะ อะนุตตะรัง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจจัญญาสิง ฯ
      ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ
ปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ

                               ๑๕๔
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัหมะเก      ๎
สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจจัญญาสิง ฯ
     ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ
อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ
     อิทะมะโว จะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปญจะวัคคิยา ภิกขู
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ๎
ภัญญะมาเน อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง
อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯ
     ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
     เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง
ธัมมะจักกัง ปะวัตติตง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ
                    ั
วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ
                                 ๎                         ๎
     ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
     จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
     จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
     ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
     ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
     ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
     ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
     ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
     ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา

                              ๑๕๕
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา      ๎
       ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา        ๎
(เมื่อจะสวดยอเพียงสวรรค ๖ ชั้น ครั้นสวดมาถึงตรงนี้แลวสวด พ๎รัห๎มะกายิกา
เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง แลวลง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยง                   ั
อิสปะตะเน มิคะทาเย ฯลฯ เหมือนกันไปจนจบ)
   ิ
       พ๎รัห๎มะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       พ๎รัห๎มะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา      ๎
       พ๎รัห๎มะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       พ๎รัห๎มะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
       มะหาพ๎รัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
                  ๎
       มะหาพ๎รัห๎มานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
       ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา      ๎
       อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
       อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
       ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
       ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
       อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ

                                  ๑๕๖
อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    สุภะกิณ๎หะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    สุภะกิณ๎หะกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    (อะสัญญิสัตตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    อะสัญญิสัตตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา)
    เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
    อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
      เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง
ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ
วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ ฯ
      อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท
อัพภุคคัจฉิ ฯ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมป สัมปะกัมป


                             ๑๕๗
สัมปะเวธิ ฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ
อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ
     อะถะโข ภะคะวา อุ ท านั ง อุ ท าเนสิ อั ญ ญาสิ วะตะ โภ
โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ ฯ
     อิ ติ หิ ทั ง อายั ส๎ ม ะโต โกณฑั ญ ญั ส สะ อั ญ ญาโกณฑั ญ โญ เต๎ ว วะ
นามัง อะโหสีติ ฯ




                                  ๑๕๘
คาถาโพธิบาท

                                   แบบที่ ๑
       บูระพารัส๎มิง พระพุทธะคุณัง บูระพารัส๎มิง พระธัมเมตัง บูระพารัส๎มิง
พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข สัพพะโศก สัพพะโรค
สั พ พะภั ย สั พ พะเคราะห ตั ว นอก สั พ พะเคราะห ตั ว ใน สั พ พะเคราะห
กลางวั น สั พ พะเคราะห ก ลางคื น สั พ พะเคราะห ข า งขึ้ น สั พ พะเคราะห
ขางแรม เคราะหวันเดือนป เคราะหดีเขามา เคราะหรายออกไป หายทุกข
หายโศก หายโรค หายภัย หายเคราะห เสนียดจัญไร หายไปทันที
สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เต (เม) รักขันตุ สุรักขันตุ ฯ
                                   แบบที่ ๒
     บูระพารัสมิง พระพุทธะคุณัง บูระพารัส๎มง พระธัมเมตัง บูระพารัสมิง
              ๎                            ิ                         ๎
พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข สัพพะโศก สัพพะโรค
สัพพะภัย สัพพะเคราะหตัวนอก สัพพะเคราะหตัวใน สัพพะเคราะหใด ๆ
ขอใหกลายเปนดี เคราะหป เคราะหเดือน เคราะหวัน เคราะหปขอใหเคลื่อน
เคราะหเดือนขอใหคลาย เคราะหวันขอใหหาย เหมือนน้ําดับไฟ วิวัญชัยเย
สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เต (เม) รักขันตุ สุรกขันตุฯ
                                                    ั


หมายเหตุ –เที่ยวตอไปใหเปลี่ยน บูรพารัส๎มิง เปน อาคะเนยรัส๎มง
                                                               ิ
                                                             – ทักษิณรัส๎มิง
– หรดีรัสมง – ปจจิมรัส๎มิง – พายัพรัส๎มิง – อุดรรัส๎มิง – อิสานรัส๎มิง
           ๎ ิ
นอกนั้นเหมือนกันหมด , ๑ สวดใหคนอื่น เปลี่ยน เม เปน เต


                                       ๑๕๙
คาถาสวดนพเคราะห์

        อิติป โส ภะคะวา ฯ ขาจะขอไหว พระอาทิตย๑ สะเทวา
ขอเชิญ พระอาทิตย๑ เสด็จลงมารักษาอายุได ๖ ป๒ มาเวียนรอบในราศี
ในเที่ยงคืน ในราตรี ตองลัคนตองจันทน สัพพะเคราะหตัวนอก สัพพะ -
เคราะหตัวใน สารพัดทุกข สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัด
เคราะหเสนียดจัญไร ขออยาใหมีภัย ใหมีแตชัยยะมงคล คุมโทษที่โทษา
วิญญาณะสัมปนโน ฯ อิติป โส ภะคะวา ฯ


หมายเหตุ : สวดรอบตอไปใหเปลียน ๑ และ ๒ ตามนี้ (รวมเปน ๙ รอบ)
                             ่
 ๑
   พระจันทร ๒ อายุได ๑๕ ป, ๑ พระอังคาร ๒ อายุได ๘ ป,
 ๑            ๒
   พระพุธ       อายุได ๑๗ ป, ๑ พระเสาร ๒ อายุได ๑๐ ป,
 ๑
   พระพฤหัส ๒ อายุได ๑๙ ป, ๑ พระราหู ๒ อายุได ๑๒ ป
 ๑
   พระศุกร ๒ อายุได ๒๑ ป, ๑ พระเกตุ ๒ อายุได ๙ ป,




                              ๑๖๐
คาถาบูชาดวงชาตา

      นะโม เม สัพพะเทวานัง                      สัพพะคะระหะ จะ เทวานัง
สุรยัญจะ ปะมุญจะถะ
   ิ                                            สะสิ ภุมโม จะ เทวานัง
วุโธ ลาภัง ภะวิสสะติ                            ชีโว สุกะโร จะ มะหาลาภัง
โสโร ราหูเกตุ จะ มะหาลาภัง                      สัพพะ ภะยัง นาสสันติ
สัพพะทุกขัง วินาสสันติ                          สัพพะโรคัง วินาสสันติ
ลักขะณา อะหัง วันทามิ สัพพะทา                   สัพเพ เทวา มัง ปาละยันตุ
สัพพะทา เอเตนะ มังคะละเตเชนะ                    สัพพะโสตถี ภะวันตุ เม ฯ
ปจจุบันนิยมการผูกดวงชาตาของตน เอาไวสาหรับสักการะบูชา เรียกกันวา “ดวงพิชัยสงคราม”
                                        ํ
หรือมิฉะนั้นก็เอาดวงชาตาบรรจุไวในฐานพระ เมื่อจะบูชาดวงชาตาพึงวา คาถานี้เพื่อจะไดเกิด
ลาภสักการะ เปนสุขสวัสดิ์พิพัฒน มงคลเลิศลนดีนักแล ฯ


                      คาถามงคลจักรวาฬแปดทิศ
       อิมัส๎มิงมงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิ จงมาเปนกําแพงแกว
ทั้งเจ็ดชั้น มาปองกันหอมลอมรอบครอบทั่วอนัตตา ราชะเสมานาเขตเต
สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ
สุรกขันตุ ฯ
    ั


หมายเหตุ - เที่ยวตอไปใหเปลี่ยน พุทธะชาละปะริกเขตเต เปน ธัมมะชาละปะริกเขตเต
– ปจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต – สังฆะชาละปะริกเขตเต


                                         ๑๖๑
อุณหิสสะวิชะยะคาถา

             อัตถิ อุณ๎หิสสะ วิชะโย              ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
       สัพพะสัตตะหิตัตถายะ                       ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต
       ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ                       อะมะนุสเสหิ ปาวะเก
       พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต                    อะกาละมะระเณนะ วา
       สัพพัส๎มา มะระณา มุตโต                    ฐะเปต๎วา กาละมาริตัง
        ตัสเสวะ อานุภาเวนะ                       โหตุ เทโว สุขี สะทา
        สุทธะสีลัง สะมาทายะ                      ธัมมัง สุจะริตตัง จะเร
        ตัสเสวะ อานุภาเวนะ                       โหตุ เทโว สุขี สะทา
        ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง                  ธาระณัง วาจะนัง คะรุง
        ปะเรสัง เทสะนัง สุต๎วา                   ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ

      พระคาถาบทนี้ อยูในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจาไดทรงเมตตาใหเทวดาองคหนึ่งที่
กําลังหมดอายุขัยจะตองลงไปเสวยกรรมในนรก แตเทวดาองคนี้ มีความกลัวมากที่จะตองลง
ไปเกิดในเมืองนรก จึงดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะไมไป แตก็ไมมีใครจะชวยเหลือได แมแตองค
พระอินทร แตยังโชคดีที่ไดพบพระพุทธเจา และทรงแนะใหภาวนาคาถาบทนี้ จะไดมีอายุยืน
ยาวนานตอไป เพื่อที่จะไดใชเวลาที่เหลืออยูนี้ บําเพ็ญภาวนา ใชหนี้กรรมที่มีอยู ใหหมดไป

       พระคาถาบทนี้ จึงมีพุทธานุภาพมาก ในเรื่องของการมีอายุยืนยาวและยังทําใหสุขภาพ
แข็งแรง ไมเจ็บไขไดปวยอยางงาย ๆ อีกดวย ผูที่มีสุขภาพไมดี หรือขี้โรค หรือปวยเปนโรค
ที่รักษายากแลว ควรหมั่นทองภาวนาเปนประจํา จะหายไดโดยเร็ววัน




                                          ๑๖๒
พระคาถาชินบัญชร

        เพื่อใหเกิดอานุภาพยิงขึ้น กอนเจริญภาวนาพระคาถาชินบัญชร
                             ่
  ตั้งนะโม ๓ จบกอน แลวระลึกถึง และบูชาเจาประคุณสมเด็จ ฯ วาดังนี้
                               ตั้ง นะโม ฯ ๓ จบ
             ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
            อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานัง ปยะตัง สุต๎วา
          อิตปโส ภะคะวา ยะมะราชาโน ทาวเวสสุวณโณ
             ิ                                  ั
          มะระณัง สุขง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ
                       ั
                         (แลวจึงเจริญภาวนา)
๑. ชะยาสะนาคะตา พุทธา            เชต๎วา มารัง สะวาหะนัง
   จะตุสัจจาสะภัง ระสัง          เย ปวิงสุ นะราสะภา.
๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา          อัฏฐะวีสะติ นายะกา
   สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง        มัตถะเก เต มุนิสสะรา.
๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง         พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
   สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง        อุเร สัพพะคุณากะโร
๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ           สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
   โกณทัญโญ ปฏฐิภาคัส๎มิง       โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง         อาสุง อานันทะราหุโล
   กัสสะโป จะ มะหานาโม           อุภาสุง วามะโสตะเก


                                 ๑๖๓
๖. เกสันเต * ปฏฐิภาคัส๎มิง    สุริโยวะ ปะภังกะโร
    นิสินโน สิริสัมปนโน       โสภีโต มุนิปุงคะโว
๗. กุมาระกัสสะโป เถโร          มะเหสี จิตตะวาทะโก
    โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร
๘. ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ        อุปาลี นันทะสีวลี
    เถรา ปญจะ อิเม ชาตา       นะลาเฏ ติละกา มะมะ.
๙. เสสาสีติ มะหาเถรา           วิชิตา ชินะสาวะกา**
    เอเตสีติ มะหาเถรา**        ชิตะวันโต ชิโนระสา
    ชะลันตา สีละเตเชนะ         อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ        ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
    ธะชัคคัง ปจฉะโต อาสิ      วาเม อังคุลิมาละกัง
๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ        อาฏานาฏิยะสุตตะกัง
    อากาเส ฉะทะนัง อาสิ        เสสา ปาการะสัณฐิตา
๑๒. ชินะนานาวะระสังยุตตา       สัตตะปาการะลังกะตา
    วาตะปตตาทิสัญชาตา         พาหิรัชฌัตตุปททะวา.
๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ       อะนันตะชินะเตชะสา
    วะสะโต เม สะกิจเจนะ        สะทา สัมพุทธะปญชะเร
๑๔. ชินะปญชะระมัชฌัมหิ        วิหะรันตัง มะหีตะเล***
    สะทา ปาเลนตุ มัง           สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.


                              ๑๖๔
๑๕. อิจเจวะ มันโต                        สุคุตโต สุรักโข
      ชินานุภาเวนะ                       ชิตปททะโว
                                             ู
      ธัมมานุภาเวนะ                      ชิตาริสังโค
      สังฆานุภาเวนะ                      ชิตันตะราโย
      สัทธัมมานุภาวะปาลิโต               จะรามิ ชินะปญชะเรติ.

    พระคาถาชินบัญชรนี้เปนคาถาทีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ตกทอดมาจากลังกาเจาประคุณสมเด็จ ฯ
                                ่
คนพบในคัมภีรโบราณไดดัดแปลงแกไขแตงเติมใหดีขึ้นเปนเอกลักษณพเศษได เนื้อถอยกระทง
                                                                 ิ
ความสมบูรณแปลออกมาแลวมีแตสิ่งสิริมงคลแกผูสวดภาวนาทุกประการ

     พระคาถานี้เปนการอัญเชิญพระพุทธานุภาพแหงพระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัม -
พุทธเจาและพระพุทธเจาที่ไดเคยมาตรัสรูกอนหนานั้น   จากนันเปนการอัญเชิญพระอรหันต
                                                            ้
ขีณาสพ อันสําเร็จคุณธรรมวิเศษแตละองคไมเหมือนกัน นอกนั้นยังอัญเชิญพระสูตรตาง ๆ
อันโบราณาจารยถือวา       เปนพระพุทธมนตอนวิเศษแตละสูตรมารวมกันสอดคลองเปนกําแพง
                                             ั
แกวคุมกันตังแตกระหมอมจอมขวัญของผูภาวนาพระคาถาลงมาจนลอมรอบตัว จนกระทั่งหา
              ้
ชองโหวใหอนตรายสอดแทรกเขามามิได
            ั

      ผูใดไดสวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรนี้ เปนประจําอยูสม่ําเสมอ จะทําใหเกิดความสิริ
มงคลสมบูรณพูนผล ศัตรูหมูพาลไมกลํ้ากราย ไปทางใด ยอมเกิดเมตตามหานิยม เกิดลาภผล
พูนทวี ขจัดภัยจากภูตผีปศาจ ตลอดจนคุณไสยตาง ๆ ทําน้ํามนตรดแกวิกลจริตแกสรรพโรคภัย
หายสิ้น เปนสิริมงคลแกชีวิต มีคุณานุภาพตามแตจะปรารถนา ดังคําโบราณวา "ฝอยทวมหลัง
ชาง" จะเดินทางไปที่ใด ๆ สวด ๑๐ จบ แลวอธิษฐานจะสําเร็จสมดังใจ


* บางตําราใช เกเสนเต, เกสะโต ก็มี
** ฉบับสิงหลไมมีวรรคนี้
*** มะหีตะเล บาลีออกเสียงเปน มะฮีตะเล

                                         ๑๖๕
เทวะตาอุยโยชะนะคาถา


     ทุกขัปปตตา จะ นิททุกขา       ภะยัปปตตา จะ นิพภะยา
โสกัปปตตา จะ นิสโสกา              โหนตุ สัพเพป ปาณิโน
เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ               สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง
สัพเพ เทวานุโมทันตุ                สัพพะสัมปตติสิทธิยา
ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ              สีลัง รักขันตุ สัพพะทา
ภาวะนา ภิระตา โหนตุ                คัจฉันตุ เทวะตาคะตา ฯ
                 (สวดขณะทีพรมน้ําพระพุทธมนต)
                          ่
    สัพเพ พุทธา พะลัปปตตา ปจเจกานัญจะ ยัง พะลัง
อะระหันตานัญจะ เตเชนะ      รักขัง พันธามิ สัพพะโสฯ

     ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง          รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ                 สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง           รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ                 สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง           รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ                 สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ




                            ๑๖๖
บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
                            (ทํานองสรภัญญะ)

                   บทสรรเสริญพระพุทธคุณ

      (นํา) อิตป โส ภะคะวา (รับพรอมกัน) อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
               ิ
วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสะทัมมะสาระถิ
                                                  ิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
    (นํา) องคใดพระสัมพุทธ (รับพรอมกัน)      สุวิสทธสันดาน
                                                   ุ
    ตัดมูลเกลศมาร                             บ มิหมนมิหมองมัว
          หนึ่งในพระทัยทาน                   ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคี บ พันพัว                             สุวคนธกําจร
          องคใดประกอบดวย                    พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมูประชากร                           มละโอฆกันดาร
          ชี้ทางบรรเทาทุกข                   และชี้สุขเกษมสานต
    ชี้ทางพระนฤพาน                            อันพนโศกวิโยคภัย
          พรอมเบญจพิธจัก-                    ษุจรัสวิมลใส
    เห็นเหตุทใกลไกล
              ี่                              ก็เจนจบประจักษจริง
          กําจัดน้ําใจหยาบ                    สันดานบาปแหงชายหญิง
    สัตวโลกไดพึ่งพิง                        มละบาปบําเพ็ญบุญ
          ขาขอประณตนอม                      ศิรเกลาบังคมคุณ
    สัมพุทธการุญ-                             ญภาพนั้นนิรันดร ฯ
                               (กราบ)

                                 ๑๖๗
บทสรรเสริญพระธรรมคุณ

      (นํา) ส๎วากขาโต (รับพรอมกัน) ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก
อะกาลิโก เอหิปสสิโก โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตพโพ วิญูหีต.
                                               ั           ิ
(อานวา วิญ-ู-ฮี-ติ)
    (นํา) ธรรมะคือคุณากร (รับพรอมกัน)   สวนชอบสาธร
         ดุจดวงประทีปชัชวาล
                แหงองคพระศาสดาจารย    สองสัตวสนดาน
                                                   ั
         สวางกระจางใจมล
                ธรรมใดนับโดยมรรคผล       เปนแปดพึงยล
         และเกานับทั้งนฤพาน
                สมญาโลกอุดรพิสดาร        อันลึกโอฬาร
         พิสุทธิ์พิเศษสุกใส
                อีกธรรมตนทางครรไล       นามขนานขานไข
         ปฏิบติปริยัติเปนสอง
              ั
                คือทางดําเนินดุจครอง     ใหลวงลุปอง
                                             
         ยังโลกอุดรโดยตรง
                ขา ฯ ขอโอนออนอุตมงค   นบธรรมจํานง
         ดวยจิตและกายวาจา ฯ
                               (กราบ)




                             ๑๖๘
บทสรรเสริญพระสังฆคุณ

      (นํา) สุปะฏิปนโน (รับพรอมกัน) ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ
อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง
จัตตาริ ปุริสะยุคคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ
(นํา) สงฆใดสาวกศาสดา     รับปฏิบตมา
                                  ั ิ      แตองคสมเด็จภควันต
เห็นแจงจตุสัจเสร็จบรร-   ลุทางที่อัน      ระงับและดับทุกขภยั
โดยเสด็จพระผูตรัสไตร     ปญญาผองใส      สะอาดและปราศมัวหมอง
เหินหางทางขาศึกปอง      บ มิลําพอง      ดวยกายและวาจาใจ
เปนเนื้อนาบุญอันไพ-      ศาลแดโลกัย      และเกิดพิบูลยพูนผล
สมญาเอารสทศพล             มีคุณอนนต       อเนกจะนับเหลือตรา
ขา ฯ ขอนบหมูพระศรา-
                         พกทรงคุณา-       นุคุณประดุจรําพัน
ดวยเดชบุญขาอภิวนท
                   ั      พระไตรรัตนอัน   อุดมดิเรกนิรัติศย
                                                           ั
จงชวยขจัดโพยภัย          อันตรายใดใด      จงดับและกลับเสื่อมสูญ ฯ
                            (กราบ)




                              ๑๖๙
คําไหว้พระบรมสารีรกธาตุ
                              ิ

     วันทามิ เจติยง, สัพพัง, สัพพัฏฐาเน, สุปะติฏฐิตา,
                  ั
   สารีรกะธาตุ, มหาโพธิง, พุทธะรูปง, สะกะลัง สะทา ฯ
        ิ                          



    คําอธิษฐานสักการะพระบรมสารีริกธาตุ

           ขาพระพุทธเจา, ขอนอมถวายสักการะบูชา,
 พระบรมสารีรกธาตุ, พระอรหันตธาตุ, ทีประดิษฐานอยู ณ ที่น,
              ิ                       ่                   ี้
     ทีประดิษฐานอยูทวโลก, ทีประดิษฐานอยูทวมหาจักรวาล,
       ่             ั่     ่            ั่
ดวยธรรมะปฏิบต, และการบําเพ็ญบุญ, ของขาพระพุทธเจาในครังนี,
                ั ิ                                     ้ ้
      ขออานิสงสผลบุญทังหลายเหลานี, จงเปนพลวปจจัย,
                         ้         ้
             ใหถึงซึงพระนิพพาน, ในปจจุบนชาติ,
                     ่                   ั
     หากขาพระพุทธเจา, ไมสามารถเขาถึง, ซึ่งพระนิพพาน,
    ในปจจุบนชาตินี้เพียงใด, เกิดภพใดชาติใด, ขอความไมม,
             ั                                            ี
ไมสามารถ, ไมสาเร็จ, ไมสมหวัง, จงอยาไดมแกขาพระพุทธเจา,
                ํ                             ี 
    ในทุกภพทุกชาติ, ทีขาพระพุทธเจาไดเกิด, จนกวาจะไดถง,
                         ่                             ึ
       ทีสดแหงกองทุกข, คือพระนิพพาน, ในอนาคตกาล,
         ่ ุ
                        เบืองหนาโนนเทอญ ฯ
                           ้


                           ๑๗๐
คําบูชาพระบรมสารีรกธาตุ
                          ิ

 อะหัง วันทามิ สารีรกธาตุ
                     ิ        อะหัง วันทามิ ทูระโต
อะหัง วันทามิ ธาตุโย          อะหัง วันทามิ สัพพะโส
         อิตปโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
            ิ 
       อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปตอิ
                                            ิ




                        ๑๗๑
กราบพระ ๕ ครั้ง


ยกมือขึ้นเถิดหนา ไหวบูชาพระรัตนตรัย

บูชา       คุณพระพุทธ ที่บริสุทธิ์และผองใส
บูชา       คุณพระธรรม ที่ทานนอมนําเชิดชูไว
บูชา       คุณพระสงฆ ที่ทานดํารงพระศาสนา
                               
บูชา       บิดามารดา ที่เลี้ยงเรามาจึงเติบใหญ
บูชา       ครูบา – อาจารย ที่ทานบันดาลวิชาใหไว
บูชา       หาอยางนี้จําใหดีนะทานเอย....

เตรียมตัวกราบเถิดหนา ทานที่มาในกองทัพธรรม
กราบหนึง คุณพระพุทธ ที่บริสุทธิ์และผองใส
        ่
กราบสอง คุณพระธรรม ที่ทานนอมนําเชิดชูไว
กราบสาม คุณพระสงฆ ที่ทานดํารงพระศาสนา
กราบสี่      บิดามารดา ที่เลี้ยงเรามาจึงเติบใหญ
กราบหา      ครูบา - อาจารย ที่ทานบันดาลวิชาใหไว

กราบไหวใหได ๕ ครั้ง     เพื่อพลังพระศาสนา
ตอไปในภายภาคหนา          เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน
เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน      เราจะถึง...ซึ่งพระนิพพาน




                     ๑๗๒
พิธีลากรรมฐาน




     ๑๗๓
๑. เมื่อประธานมาถึง ผูปฏิบัติธรรมนั่งคุกเขาประนมมือ เมื่อผูเปนประธาน
กราบพระเสร็จแลวนั่งลง ผูปฏิบัติธรรมกราบพรอมกัน ๓ ครั้ง
๒. ตัวแทนผูปฏิบัติธรรม จุดเทียน ธูป กลาวคําบูชาพระ
                            (อิมนา สักกาเรนะ ฯ)
                                ิ
              กราบพระ (อะระหัง สัมมา ฯ) อาราธนาศีล ๕
            (จบแลว กราบ ๑ ครั้ง) นั่งพับเพียบ สมาทานศีล ๕
                     (เสร็จแลว นั่งคุกเขา กราบ ๓ ครั้ง)
๓. กลาวคําขอขมา ตั้ง นะโม ฯ พรอมกัน ๓ จบ (แลวกลาวตามผูนําดังนี้)

       วันทามิ พุทธัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต,
       วันทามิ ธัมมัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต,
       วันทามิ สังฆัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต,
    วันทามิ กัมมัฏฐานัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต,
  วันทามิ อาราเม, พัทธะเสมายัง, โพธิรุกขัง, เจติยัง, พุทธะรูปง,
               สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต.

ขาพเจาขอวันทา, พระพุทธเจา, พระธรรมเจา, พระสงฆเจา, ขอพระพุทธเจา,
          พระธรรมเจา, พระสงฆเจา, จงงดโทษ, ของขาพเจาทั้งปวง,
  ขาพเจาขอวันทา, พระกัมมัฏฐาน, ครูอปชฌาอาจารย, ขอพระกัมมัฏฐาน,
                                     ุ
             ครูอปชฌาอาจารย, จงงดโทษ, ของขาพเจาทั้งปวง,
                 ุ
ขาพเจาขอวันทา, พระอาราม, พัทธเสมา, ตนโพธิ, พระเจดีย, พระพุทธรูป,
                                                ์
   ในอารามนี้, ขอพระอาราม, พัทธเสมา, ตนโพธิ์, พระเจดีย, ในอารามนี้,
                       จงงดโทษ, ของขาพเจาทั้งปวง


                                 ๑๗๔
อาจะริเย ปะมาเทนะ, ทะวาระตะเยนะ กะตัง,
               สัพพัง, อะปะราธัง, ขะมะตุ โน ภันเต,

  ความผิดพลาดทั้งปวง, ที่ขาพเจาทั้งหลาย, ไดกระทําแลว, ดวยกายก็ด,
                                                                    ี
          ดวยวาจาก็ดี, ดวยใจก็ดี, ตอหนาก็ดี, ลับหลังก็ดี,
         โดยเจตนาก็ตาม, ไมเจตนาก็ตาม, ในพระอาจารย,
                 ขอพระอาจารย, จงงดโทษเหลานั้น,
               ใหแกพวกขาพเจา, ทั้งหลายดวยเทอญฯ

    (กราบพรอมกัน ๓ ครั้ง ตัวแทนนําธูปเทียนแพ ดอกไม เขาไปถวาย ฯ)

๔. ผูปฏิบัติธรรม หรือตัวแทน กลาวแสดงความรูสึก หรือผลที่ไดรับจาก
    การปฏิบัติธรรม
๕. รับวุฒิบัตร อนุโมทนาบัตร หรือหนังสือแจก หรือรางวัล ของที่ระลึก
๖. รับฟงโอวาท หรือรับพร จบแลว กราบ ๓ ครั้ง
๗. นั่งสมาธิ ประมาณ ๑-๒ นาที (นั่งพับเพียบ) แผเมตตา – อุทิศสวน
    กุศล เสร็จแลว นั่งคุกเขาประนมมือกราบพระ
๘. ตัวแทนผูปฏิบัติธรรม ดับเทียน
๙. ถวายความเคารพ พระบรมฉายาลั ก ษณ หรื อ พระสาทิ ส ลั ก ษณ
    พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พระเจ า อ ยู หั ว ฯ แ ล ะ ส ม เ ด็ จพระนางเจ า ฯ
    พระบรมราชินีนาถ
๑๐. รองเพลงสรรเสริญพระบารมี

หมายเหตุ - ถามีการถวายจตุปจจัย ผาปา หรือของที่ระลึก ควรกระทํา
           เมื่อเสร็จขั้นตอนที่ ๕
                             เสร็ จ พิ ธี

                                    ๑๗๕
คําอาราธนาพระปริตร

    วิปตติปะฏิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสิทธิยา,
สัพพะ ทุกขะ วินาสายะ, ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง
             ปะริตตัง พ๎รูถะมังคะลัง ฯ
    วิปตติปะฏิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสิทธิยา,
สัพพะ ภะยะ วินาสายะ, ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง
             ปะริตตัง พ๎รูถะมังคะลัง ฯ
     วิปตติปะฏิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสทธิยา,
                                       ิ
สัพพะ โรคะ วินาสายะ, ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง
             ปะริตตัง พ๎รถะมังคะลัง ฯ
                         ู

                      (แปล)
       เพื่อกันความวิบต, เพื่อสมบัตไดเพิ่มพูน,
                      ั ิ          ิ
   เพื่อทุกขพนาศสูญ, พระธัมมะจักร ฯ อันมงคล ฯ
              ิ
       เพื่อกันความวิบต, เพื่อสมบัตไดเพิ่มพูน,
                      ั ิ          ิ
   เพื่อภัยพินาศสูญ, พระธัมมะจักร ฯ อันมงคล ฯ
       เพื่อกันความวิบต, เพื่อสมบัตไดเพิ่มพูน,
                      ั ิ          ิ
   เพื่อโรคพินาศสูญ, พระธัมมะจักร ฯ อันมงคล ฯ



                        ๑๗๖
คําอาราธนาธรรม
                     พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะตี,
                     กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ,
                     สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา,
                     เทเสตุ ธัมมัง อะนุกมปมง ปะชังฯ
                                         ั ั
ทาวสหัมบดีแหงโลก ไดประคองอัญชลี ทูลวิงวอนพระพุทธเจาผูประเสริฐวา
    สัตวผูมธุลในดวงตานอยมีอยูในโลกนี้ ขอพระคุณเจาโปรดแสดงธรรม
             ี ี
                            อนุเคราะหดวยเถิด
                                         

                    คําถวายภัตตาหาร (สังฆทาน)
                                  (ประเภทสามัญ)
    อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ๑, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ,
               โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ,
           อิมานิ, ภัตตานิ๑, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ,
              อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ ฯ
  ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, ซึ่งภัตตาหาร๒,
          กับทั้งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, แดพระภิกษุสงฆ,
ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งภัตตาหาร๒, กับทั้งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้
           ของขาพเจาทั้งหลาย, เพื่อประโยชน, และความสุข,
                  แกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ ฯ
๑ ถาถวายเปนเครื่องสังฆทาน ใชคําวา “สังฆทานานิ” บางแหงอาจใชคําวา “สังฆทานิ”
๒ ใชคําวา “สังฆทาน”
                                         ๑๗๗
คําถวายสังฆทาน
                    (ประเภทอุทศใหผลวงลับไปแลว)
                              ิ    ู 

 อิมานิ, มะยัง ภันเต, มะตะกะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ,
             โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ,
       อิมานิ, มะตะกะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ,
อัมหากัญ เจวะ, มาตาปตุ, อาทีนัญจะ, ญาตะกานัญจะ, เทวะตานัญจะ,
       สัพพะเปตานัญจะ, สัพพะเวรีนัญจะ, สัพพะสัตตานัญจะ,
            กาละกะตานัง , ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ ฯ


          ขาแตพระภิกษุสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย,
        ซึ่งมะตะกะภัตตาหาร, กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้,
       แกพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งมะตะกะภัตตาหาร,
        กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย,
เพื่อประโยชน, และความสุข, เพือความพนทุกข, เพื่อความเจริญรุงเรือง,
                                       ่
       แกขาพเจาทั้งหลาย, และแกปยะชนทั้งหลาย, แกญาติทั้งหลาย,
  มีมารดาบิดา, ญาติสนิทมิตรสหายครูอุปชฌายอาจารย, ผูมบุญคุณ,       ี
 ผูมพระคุณทุกทาน, ที่ลวงลับไปแลว, เทวดาทังหลาย, เปรตทั้งหลาย,
     ี                                                ้
เจากรรมนายเวรทั้งหลาย, สัพพะสัตวท้งหลาย, ตลอดกาลนาน...เทอญ ฯ
                                            ั



                                 ๑๗๘
คําอปโลกน์สังฆทาน

           ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ ขอพระสงฆทั้งปวงจงฟงคําขาพเจา
       บัดนี้ ทายก ทายิกา ผูมจิตศรัทธา ไดนอมนํามาซึ่งภัตตาหาร มาถวาย
                               ี
เปนสังฆทานแกพระภิกษุสงฆ อันวา สังฆทานนี้ ยอมมีอานิสงสอันยิ่งใหญ
สมเด็จพระพุทธองคจะไดจาเพาะเจาะจงวา เปนของภิกษุรปหนึ่งรูปใดก็หามิได
                          ํ                            ู
เพราะเปนของไดแกสงฆทั่วทั้งสังฆมณฑล พระพุทธองคตรัสวา ใหแจกกันตาม
บรรดาทีมาถึง
          ่
       ฉะนั้น บัดนี้ ขาพเจา จะสมมติตนเปนผูแจกของสงฆ พระสงฆท้งปวงจะ
                                                                     ั
เห็นสมควรหรือไมเห็นสมควร ถาเห็นวาไมเปนการสมควรแลวไซร ขอจงได
ทักทวงขึ้นในทามกลางสงฆอยาไดเกรงใจ ถาเห็นวาเปนการสมควรแลว ก็จง
เปนผูนิ่งอยู (หยุดนิดหนึ่ง) บัดนี้ พระสงฆทงปวงนิ่งอยู ขาพเจาจักรูไดวา
                                                ั้
เปนการสมควรแลว จะไดทําการแจกของสงฆตอไป ณ กาลบัดนี้
                                              
                     อะยัง ปะฐะมะ ภาโค มะหาเถรัสสะ ปาปุณาติ
                  สวนที่ ๑ ยอมถึงแกพระเถระผูใหญผูอยูเหนือขาพเจา
                            อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณาติ
        สวนที่เหลือจากพระเถระผูใหญแลว ยอมถึงแกขาพเจาทั้งหลาย
                                                     
     ตามบรรดาที่มาถึงพรอมกันทุก ๆ รูป (ตลอดถึงสามเณรดวย) เทอญ ฯ

หมายเหตุ       มะหาเถรัสสะ นั้น เปลี่ยนเปน เถรัสสะ บาง มัชฌิมะบาง ตามฐานะของหัวหนาในที่น้น
                                                                                             ั
ตลอดถึงสามเณรดวย ถาไมมีสามเณรอยูดวย ก็ไมตองวา คําอปโลกนนี้เปนหนาที่ของรูปที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็ได



                                                       ๑๗๙
คําถวายข้าวพระพุทธ

      อิมัง, สูปะ, พยัญชะนะ, สัมปนนัง, สาลีนัง, โภชะนัง,
                 อุทะกังวะรัง, พุทธัสสะ, ปูเชมิ ฯ

         ขาพเจาขอบูชา, องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา,
                     ดวยโภชนาอาหารและน้ํานี้


                   คําลาข้าวพระพุทธ

                   เสสัง, มังคะลัง, ยาจามิ ฯ

     ขาพเจาไดบชาแลว, ขออนุญาตรับประทาน, เพื่อเปนมงคล,
                  ู
    อาหารนี, ขาพเจาจะรับประทาน, เพื่อบํารุงรางกายใหแข็งแรง,
             ้
ปราศจากโรคภัยไขเจ็บ, ใหมชีวิตอยู, ไดทําความดี, ไดปฏิบติธรรมะ,
                            ี                             ั
     ขาพเจาจะไมรบประทาน, เพื่อบํารุงกิเลส, ตัณหา, อุปาทาน,
                    ั
 ขอใหทานผูบริจาค, และบริการทุกทาน, จงมีอายุ, วรรณะ, สุขะ, พละ,
                                 
                 ปราศจากโรคภัยอันตรายทงปวงเทอญ ฯ




                              ๑๘๐
คําถวายผ้าป่า (ผ้าบังสุกุลจีวร)
                          (ตั้ง นะโม ฯ ๓ จบ)
       อิมานิ, มะยัง ภันเต, ปงสะกุละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ,
     ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ,
     อิมานิ, ปงสะกุละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ,
อัมหากัญ เจวะ, มาตาปตุ, อาทีนญจะ, ญาตะกานัญจะ, เทวะตานัญจะ,
                                ั
สัพพะเปตานัญจะ, สัพพะเวรีนัญจะ, สัพพะสัตตานัญจะ, กาละกะตานัง,
                   ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ ฯ

         ขาแตพระภิกษุสงฆผเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย,
                                ู
            ผาบังสกุลจีวร, กับทังสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้,
                                  ้
         แกพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งผาบังสกุลจีวร,
       กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย,
 เพื่อประโยชน, และความสุข, เพือความพนทุกข, เพื่อความเจริญรุงเรือง,
                                      ่
        แกขาพเจาทั้งหลาย, แกปยะชนทั้งหลาย, แกญาติทั้งหลาย,
                                        
  มีมารดาบิดา, ญาติสนิทมิตรสหายครูอุปชฌายอาจารย, ผูมบุญคุณ,      ี
          ผูมพระคุณทุกทาน, ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู, หรือลวงลับไปแลว,
               ี
         เทวดาทั้งหลาย, เปรตทั้งหลาย, เจากรรมนายเวรทั้งหลาย,
                  สัพพะสัตวทั้งหลาย, ตลอดกาลนาน...เทอญ ฯ



                                  ๑๘๑
คําถวายพระพุทธรูป
          อิมานิ มะยัง ภันเต, พุทธะรูปง, ภิกขุสังฆัสสะ,
            โอโณชะยามะ, สาธุโน ภันเต, ภิกขุสังโฆ,
          อิมานิ, พุทธะรูปง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง,
                          
                  ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.
         ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย,
       พระพุทธปฏิมากร, แดพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ,
  ซึ่งพระพุทธปฏิมากร, ของขาพเจาทั้งหลาย, จงเปนไปเพือประโยชน,
                                                         ่
         เพื่อความสุข, แกขาพเจาทั้งหลาย, สินกาลนานเทอญ .
                                              ้

                    คําถวายเทียนพรรษา
           ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ปะฏิชานาตุ, มะยัง ภันเต,
       เอตัง, ปะทีปะยุคัง, สะปะริวารัง, เตมาสัง, พุทธัสสะ,
       อิมัสมิง, อุโปสะถาคาเร, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต,
อะยัง, เตมาสัง, พุทธัสสะ, ปูชะนัตถายะ, ปะทีปะยุคัสสะ, ทานัสสะ,
 อานิสงโส, อัมหากัญเจวะ, มาตาปตุ, อาทีนัญจะ, ปยะชะนานัง,
       ั
              ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ, สังวัตตะตุ ฯ
      ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขอพระสงฆจงรับทราบ, ขาพเจาทั้งหลาย,
ขอนอมถวาย, เทียนพรรษา, พรอมกับของบริวาร, ไว ณ พระอุโบสถนี้,
 เพื่อเปนพุทธบูชาตลอดพรรษา, ขออานิสงสแหงการถวาย, เทียนพรรษา,
           เพื่อเปนพุทธบูชาตลอดพรรษานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย,
      จงเปนไปเพื่อประโยชน, เพือความสุข, แกขาพเจาทั้งหลายดวย,
                                ่
     แกปยชนทั้งหลาย, มีมารดาบิดาเปนตน, ตลอดกาลนานเทอญ ฯ
                              ๑๘๒
คําถวายผ้าอาบน้ําฝน

 อิมานิ มะยัง ภันเต, วัสสิกะสาฏิกานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ,
 โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, วัสสิกะสาฏิกานิ,
สะปะริวารานิ, ปะฏิคคันหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.
        ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย,
        ผาอาบน้ําฝน, กับทังสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้,
                               ้
        แดพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ผาอาบน้าฝน,    ํ
     กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย,
เพื่อประโยชน, และความสุข, แกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ ฯ

                      คําถวายทานทั่วไป

         สุทินนัง, วะตะ เม ทานัง, ปะระมัตถะ ทานัง,
       ปาริสุทธิ ทานัง, อาสะวักขะยาวะหัง, นิพพานังโหตุ,
  ทานของเรานี้, ใหดแลวหนอ, เปนทานอันเลิศ, เปนทานทีบริสทธิ์,
                    ี                                   ่ ุ
     เปนไปเพือพระนิพพาน, อันเปนที่สิ้นไปแหงกิเลส เทอญ ฯ
               ่




                                 ๑๘๓
คําสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ

 ...(เมื่อพระแสดงธรรมจบ ใหรับสาธุการพรอมกันดวยถอยคําขางลางนี้
             วาเปนวรรค เปนตอน หยุดตามที่จุดไวทุกๆ จุด)

 สาธุ พุทธะสุโพธิตา,         สาธุ ความตรัสรูดีจริงของพระพุทธเจา,
 สาธุ ธัมมะสุธัมมะตา,        สาธุ ความเปนธรรมดีจริงของพระธรรม,
 สาธุ สังฆัสสุปะฏิปตติ,     สาธุ ความปฏิบัติความดีจริงของพระสงฆ,
 อะโห พุทโธ,                 พระพุทธเจา นาอัศจรรยจริง,
 อะโห ธัมโม,                 พระธรรมเจา นาอัศจรรยจริง,
 อะโห สังโฆ,                 พระสงฆเจา นาอัศจรรยจริง,
อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะตา (คะโต)๑
      ขาพเจาถึงแลว, ซึ่งพระพุทธเจา, พระธรรมเจา, พระสงฆเจา,
                        วาเปนทีพงที่ระลึกถึง
                                 ่ ึ่
   อุปาสิกัตตัง (อุปาสะกัตตัง)๑ เทเสสิง ภิกขุสังฆัสสะ สัมมุขา,
           ขาพเจาขอแสดงตนวา, เปนอุบาสิกา(อุบาสก)๑
                    ในที่จําเพาะหนาพระภิกษุสงฆ
         เอตัง เม สะระณัง เขมัง, เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
             พระรัตนตรัยนี้เปนทีพึ่งอันเกษมของขาพเจา,
                                 ่
                   พระรัตนตรัยนี้เปนทีพึ่งอันสูงสุด
                                        ่


๑ สตรีพงวา (คําในวงเล็บ)
       ึ

                              ๑๘๔
ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง
      ขาพเจาจักประพฤติซงพระธรรมคําสั่งสอน, ของพระสัมมาสัมพุทธเจา,
                         ึ่
                            โดยสมควรแกกําลัง
          ทุกขะนิสสะระณัสเสวะ ภาคีนิสสัง (ภาคีอัสสัง)๑ อะนาคะเต
         ขอขาพเจาพึงมีสวนแหงพระนิพพาน, อันเปนที่ยกตนออกจากทุกข,
                         
                       ในอนาคตกาลเบืองหนาโนน เทอญ ฯ
                                     ้




๑
    สตรีพงวา (คําในวงเล็บ)
         ึ


                                    ๑๘๕
คําแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

              เอสาหัง ภันเต๑, สุจิระปะรินิพพุตัมป, ตัง ภะคะวันตัง,
                   สะระณัง คัจฉามิ๒, ธัมมัญจะ, สังฆัญจะ,
                      พุทธะมามะโกติ มัง๓, สังโฆ ธาเรตุ.
                      "ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย,
             ขอถึงพระผูมภาคเจาพระองคนั้น, แมเสด็จปรินพพานแลว,
                            ี                                ิ
             พรอมดวยพระธรรม, และพระสงฆ, เปนสรณะ, เปนทีพึ่ง,   ่
             ที่ระลึก, ที่นับถือ, ขอพระสงฆจงจําขาพเจาทั้งหลายไววา,
                                                                     
                     เปนพุทธมามะกะ, ตังแตบัดนี้, เปนตนไป”
                                          ้


                                 พระสงฆ์ประนมมือรับ
                                   "สาธุ" พรอมกัน




๑
    ถาปฏิญาณพรอมกันหลายคน ใหเปลี่ยนคําดังนี้ เอสาหัง
    ผูชายวา เอเต มะยัง ผูหญิงวา เอตา มะยัง
๒
    คําวา คัจฉามิ เปลี่ยนเปน คัจฉามะ
๓
    คําวา พุทธะมามะโกติ เปน พุทธะมามะกาติ, คําวา มัง เปน โน สามคําหลังนี้วา 
    เหมือนกัน
     (สําหรับคําวา พุทธะมามะโกติ ถาผูหญิงกลาวแมคนเดียวก็เปลี่ยนเปน พุทธะมามะกาติ)
                                       


                                          ๑๘๖
คําลาพระกลับบ้าน

                         หันทะทานิ, มะยัง ภันเต, อาปุจฉามะ,
                           พะหุกิจจา มะยัง, พะหุกะระณียา.
                      บัดนี้ไดเวลาแลวขอรับ, พวกกระผม (ดิฉัน)๑
                         มีกิจที่จะตองทําอีกมาก, จึงขอกราบลา

                              พระสงฆผรับลากลาวคําวา
                                      ู
                       “ ยัสสะทานิ ตุมเห กาลัง มัญญะถะ ”
                                ผูลาพึงรับพรอมกันวา
                      “ สาธุ ภันเต, สาธุ ภันเต, สาธุ ภันเต, ”
                                เสร็จแลว กราบ ๓ ครั้ง




๑
    สตรีพงวา (คําในวงเล็บ)
         ึ


                                         ๑๘๗
รายนามผูรวมบริจาคพิมพหนังสือสวดมนต
                         
ทําบุญรายละ ๑๐,๐๐๐.- บาท
พลเอกวัฒนะ - นภาพร กาญจนะวสิต (รานบุญอัมพวัน), ครอบครัวจังตระกูล - ครอบครัวปญญาบัณฑิต (นางจอย
จังตระกูล - นายสุรศักดิ์ ปญญาบัณฑิต - นางสาวจตุพร จังตระกูล - ด.ญ.สุรภา - ด.ช.พงศพิสทธิ์ ปญญาบัณฑิต)
                                                                                      ุ

ทําบุญรายละ ๕,๐๐๐.- บาท
ครอบครัวศิริจิต (คุณประสพสันต ศิริจิต - คุณรัตนา ศิริจิต - คุณจิรภัทร ศิริจิตร - คุณจิรวรรณ ศิริจิตร - คุณจิรพร
ศิริจิตร), คุณอุไรวรรณ พันธุสภะ, คุณนิธนทรา กําปนทอง, คุณมนัส - คุณกชพรรณ - ด.ช.กวิน - ด.ช.ธนัช
                              ุ         ิ
วัฒนศิลป

ทําบุญรายละ ๓,๐๐๐.- บาท
นางสาวเฉลิมขวัญ พุทธิวงศ, คุณมานพ - นางภารวี - ดช.กูลคูณโชคจ - ดญ.ชันญา - น.ส.ภัคจิรา ศิริเต็มกุล

ทําบุญรายละ ๒,๒๔๐.- บาท
ไมประสงคออกนาม

ทําบุญรายละ ๒,๐๐๐.- บาท
พระสมุหสุบิน จนทาโภ (วัดวุฒาราม ขอนแกน), พระสุระ ปฺญาธโร, คุณเบญจพร นันทพงษ, คุณพอซือกุง แซลี้
- คุณแมลเู หี้ยง แซเตียว, คุณพนิดา พัฒนดารงจิตร และครอบครัว, คุณชื่นฤดี สกุลชัยพรเลิศ
                                            ํ

ทําบุญรายละ ๑,๓๒๐.- บาท
คุณสมประสงค สีลาดเลา

ทําบุญรายละ ๑,๒๐๐.- บาท
คุณแมแสง นกเทียน - คุณสมศักดิ์ อมรฤทธิ์ - นางสายัณห นกเทียน พรอมบุตร และญาติ

ทําบุญรายละ ๑,๑๕๐.- บาท
คุณศุภรัตน ปรศุพัฒนา - คุณวิไล ตระกูลโอสถ - คุณอรนุช วงศวัฒนาเสถียร - คุณอภิญญา ชุมวรฐายี -
คุณมนตรา พึงเทศ
             ่

ทําบุญรายละ ๑,๐๐๐.- บาท
พระบรรหาญ ปภาธโร, นางวันดี กอนแกว, นางจําปา ประจัญบาน, นางสงา ใจแสน, คุณสมรัก รุจมณีพงศ,คุณ
                                                                                          ิ
พรชัย - อารีย เบ็ญจาศิริโรจน และครอบครัว, คุณมุลี พงษสระพัง, คุณสุภาภรณ มั่นคง, คุณสถาพร คุณบัว,

                                                      อนุ
                                                    ๑๘๘
                                                    โมทนา
                                                     บุญ
คุณประวีร คุณบัว, คุณวันทกานต วงศอครวัต และ ครอบครัว, คุณชัญญา วาศพงศกร,
                                       ั
คุณสุพัตรา ปรศุพัฒนา และ ครอบครัว, คุณวาริณี จูตะวิริยะ, คุณมณี เครือสุวรรณ, คุณเฉลิมเกียรติ สัจจวีระกุล,
คุณประไพ เอือไพจิตร, หจก.มงคลชัยยนตรการ, คุณวิชัย-คุณอรพิน เอื้อบัณฑิต, นางสาวนิธินาถ เอือบัณฑิต,
              ้                                                                               ้
คุณวิวรรธน วิพัฒนกิจเจริญ, คุณอัจฉริยา วิพัฒนกิจเจริญ, คุณสายชล และ เพื่อน, นางลัดดา - คุณมงคล แกว
ทาสี - คุณชาตรี เขตตลาด - นางนิภา อัศยะธรรมานนท

ทําบุญรายละ ๙๙๙.- บาท
คุณปยะ - คุณญาติกา คุณบัว และ ครอบครัว, คุณจตุรพร แหวนคุณ

ทําบุญรายละ ๘๒๐.- บาท
คุณมนตรี-คุณไสคิ้ม รังสรรคลิขิต และ ครอบครัว

ทําบุญรายละ ๗๐๐.- บาท
ครอบครัวประทุมชัย อุทิศใหเจากรรมนายเวร

ทําบุญรายละ ๖๐๐.- บาท
คุณอนงคนุต รังสรรคลิขิต

ทําบุญรายละ ๕๐๐.- บาท
พระการุณย ธิตมโน และครอบครัว พรอมดวย นางสาวพรทิพา รัศมีทานนทและครอบครัว,
คุณวุฒิกร - วรรณภา แยมภิรมยศรี, คุณสุธน - จงรักษ - พิสิษฐ สุวรรณธาร, นางบังอร สุวรรณธาร และ
ครอบครัว, คุณมนัส - จิรพันธ ฤทธิ์ฤาชัย, คุณชาญณรงค ปยพิทยานันต, คุณธีรชานนท - คุณรัชฏา -
คุณวรรณิดา เทียมเรืองวัฒนา, คุณวลีกานต ตรัยรัตนมงคล, คุณยุทธนา รัตนวิสุทธิพนธ,    ั
นางสาวสราพร คํามูลคร, นางสาวพิรุณ เศวตศิริ (คูกา), คุณรัมภม - อิงครัต - ปาจรีย จุฑามณี,
คุณฆรณี แสงมณี, นางสมถวิล ประเสริฐสังข, นางจุฬาลักษณ ประจัญบาน และครอบครัว,
นางเพ็ญศรี จันทรศรี พรอมบุตรหลานทุกคน, คุณอัครเดช - คุณยุวดี - ด.ญ.ทัศนธนัช นอมชอบ -
คุณแมละเอียด นอมชอบ, คุณกุสุมาลย - คุณวุฒิพงศ วงศคุณาธร, คุณสุวรรณา - คุณปรีชา - คุณสาวิตรี
ศรีสังวาล, คุณบัวลี ภูพูลทรัพย,คุณอนุชิตา ลาภจิตร และ ครอบครัว, คุณศรินนา สนิทนอย, คุณเกสร -
นายจักรกฤษณ ศรีจิวังษา - คุณปญญา - คุณบังอร ดาริกานนท, คุณวิสิทธิ์ - คุณมาลินี - ด.ช.ภวิศ ศิลาไศล
โศภิษฐ, คุณวาณี ไพศาลศรีสมสุข และ ครอบครัว, คุณวนิดา ศรีมุงคุณ, คุณแมเอ็ง คุณบัว, คุณสมชาย -
ด.ช.ศุภกร คุณบัว, คุณชัชชัย คุณบัว - คุณดวงดาว เขมะลักษณ, คุณพอบุญชู-คุณณปภัช ตั้งวงษไชย และ
ครอบครัว, คุณกนกวรรณ - คุณสุวิชัย - ด.ช.ธนรรณพ ติณรัตนสกุลชัย, คุณลักษณา ลอมในเมือง และ
ครอบครัว, คุณนวรัตน ศรุตเกรียงไกร และ ครอบครัว, รานทิพวรรณ 1 (ดอนเจดีย), นางนันทกา ปญญาประชุม,
คุณชัยโรจน - คุณกุลทรัพย - คุณโรจนินทร - คุณชยานิษฐ ชนะศรีรัตนกุล, คุณบัวลี ภูพลทรัพย, นางนิสรา
                                                                                      ู
คุณกิตติ์ - อนัญญา เสรีรัตนเสถียร
                                                    อนุ
                                                  ๑๘๙
                                                  โมทนา
                                                   บุญ
ทําบุญรายละ ๔๙๙.- บาท
คุณมนูญ - คุณสุมนา - คุณสนิทพันธ - ด.ช.ธนัช นาควรพงศ - คุณแมสมจิตต แซเลา, คุณซิงเขง แซเตียว -
คุณสุภรรจิต ญาณะนันท - คุณอาคม - คุณดลเดช - คุณดลพร - คุณปุณยนุช สัจจวีระกุล,

ทําบุญรายละ ๔๗๐.- บาท
นายธิติและนางสมร ปราบ ณ ศักดิ์

ทําบุญรายละ ๔๐๐.- บาท
น.ส.ศิริพร ศศิวัฒนพร, ด.ช.ปราณต - ด.ญ.พรจรา - ด.ญ.ธัญจิรา พัฒนจักร, คุณประพิณ สันตติกลชัย,
                                                                                      ุ
คุณภูวนารถ - คุณรัชนิกานต - ด.ช.ณภัทร ศรีสังวาล,

ทําบุญรายละ ๓๐๐.- บาท
พระพุฒินาท อมรธมฺโม และ ครอบครัว, นางสาวสุวรีย ทรงธรรม, นางสาวปานเดือน กังวานเลิศ,
คุณกัลยาณี ถาปนียากร, คุณจุฬาภรณ กลางคาร และ ครอบครัว, ด.ญ.ญาณิศา - ด.ช.ญาณาธิป
บุญประเสริฐ, ด.ญ.รัดใจ - ด.ญ.เบญญาภา - ด.ญ.ปนวรินทร ตรีปญจศิล, คุณยุภาพร มโนวรรณา,
นางปยวรรณ พงศานิตย

ทําบุญรายละ ๒๐๙.- บาท
คุณประชา - นางสุมาพร ตะสันเทียะ

ทําบุญรายละ ๒๑๐.- บาท
นางสุภาพ ขําเอี่ยม

ทําบุญรายละ ๒๐๐.- บาท
รานดอกไม (แมว), คุณอุพิษ มนัส (ยายจอย), นางวัจนะ ประเสริฐสังขและครอบครัว,
นายประเสริฐ ตันติมาลา และครอบครัว, นางสาวกุญรุง กอนแกว, คุณชินพันธ เลิศวงศตระกูล,
นายมนตรี มาศรี นางอัมพรรณ - ดช.ณัฐวุฒิ - ดช.พาโชค ศรีตระกูล, ครอบครัวทัศนกุลวงศ,
คุณธนกฤต - คุณณัชชา - ด.ญ.ญาณิกา - ด.ญ.ปทมพร นิตยสมบัติ, คุณชูชาติ - คุณคนึงนิตย เอกมาศ,
คุณสายฝน ชลธนาภรณ - คุณสุรศักดิ์ มูลแมง และครอบครัว, คุณธนันนิษฐา ประเชิญ,
คุณสมรัก ศรีสงวาลย, คุณเกษรินทร ยือเผาพันธุ, คุณนารีย รวบทองหลาง,
              ั                      ้
คุณอภิญญา สัมฤทธิ์รินทร, คุณสุพิชาภักค สุธนเฉลิมวลัย และ ครอบครัว. คุณประจวบ ชูสกุลเลิศล้ํา,
คุณพงษธร คําสัตย, คุณสมกิจ หมอปะคํา, คุณเอกชัย สวนเกษ และ ครอบครัว,
คุณกัญจนนิกข อภิเมธีธํารง, คุณกฤช สุขก่ํา, คุณชัยวัฒน - คุณนงนุช ภักดิ์นันท, คุณปวริศา ปรัชญาอภิบาล
บริษัท ทีเอ็น การาจ จํากัด, รานมีมี, คุณภราดร - ด.ช.ณฐกร โมกขรัตน - คุณสุรารักษ โกเสยะโยธิน,
คุณยศวรรณ เลียวกายะสุวรรณ และครอบครัว, คุณศตพน อินทรนอก, คุณบงกช เสาวกุล,
                                                  อนุ
                                                ๑๙๐
                                                โมทนา
                                                 บุญ
คุณชลธิชา แอบโคกสูง, คุณอํานวย ลิ้นทอง, คุณปาริชาต ณ หนองคาย, คุณประโลม แสงจันทรทพย,      ิ
คุณเรวัตร ศรีสังวาล, คุณชนิตาภรณ ลิ้นทอง, คุณณัทพงศ สมศรีจันทร, คุณภัทรานี จันทรขํา และ ครอบครัว,
คุณวิมลพรรณ แสนโสดา, คุณนุสรา - คุณโรเจอร แมคอินไทร, คุณปยวรรณ เตชะวณิช,
คุณณัฐวุฒิ ลอมในเมือง, คุณเรณู ศักดิ์เจริญ และ ครอบครัว, คุณศิรกาญจน อรรถสิริสรณ,
คุณพนิดา เอือบัณฑิต, คุณนงนุช เอือบัณฑิต และ ครอบครัว, นายปรมินทร พัฒนจักร,
            ้                     ้
คุณสุรพล-คุณจันทนา ตรีปญจศิล, คุณจิราพร เพชรสะแก, คุณสายจิต เลี่ยนเพชร,
นางพวงเพ็ชร บํารุงเมือง, คุณปาริชาต ณ หนองคาย, คุณณัฐภรณ - รัฐสิทธิ สิทธิทูล

ทําบุญรายละ ๒๑๐.- บาท
คุณแมนตยา - คุณฐีดาภา ธรรมบุตร - นางสาวนารีนาถ ธรรมบุตร - นางวาสนา เกตุแกว - นางสาวนิภาพร
       ิ
ธรรมบุตร - นางสุดหทัย ดีเลิศ - นายพีระพล แกววิเชียร - นายนิพัฒ เกตุแกว

ทําบุญรายละ ๑๙๙.- บาท
คุณกุลชา ธรากุลวงศ และ ครอบครัว, คุณสรไกร โสภณพิพัฒน,
คุณสมภพ - คุณสมพร - ด.ช.ทวิภพ นิลจันทึก

ทําบุญรายละ ๑๕๐.- บาท
คุณสหภพ กมลคุรุนานนท, คุณพัชรีรัตน อภิเมธีธํารง, คุณสาริณีย ใชคําแชม, คุณทองคํา ใชคําแชม

ทําบุญรายละ ๑๒๐.- บาท
คุณเดชา พรบํารุง, คุณอัญชิสา สีสาร และ ครอบครัว, คุณจรุพรรณ หงษาคํา, คุณสุรียรัตน สัชฌุกร,
คุณบุษบง ศิริสม และ ครอบครัว, คุณเพียงใจ - คุณสมบูรณ สามารถ, คุณสกล ดีโยธา

ทําบุญรายละ ๑๑๙.- บาท
คุณศรีสดา คําแหง
       ุ

ทําบุญรายละ ๑๐๙.- บาท
คุณอิศรา วัฒนา, คุณสุรชัย มุงสวนกลาง, คุณจารุวรรณ เจกจันทึก, คุณจงกล เดชะ

ทําบุญรายละ ๑๐๐.- บาท
นางยุวดี ดวงเนตร, นางสาววิฃุดา ไลออน, นางสมศรี อินทรศวรและครอบครัว, คุณถนอม แสงโสดา,
นางวริณรําไพ - ด.ช.พชร - ด.ช.สิระ นันทวงษ, คุณภรภัทร นามโคตร และ ครอบครัว, คุณจูเงียก แซตั้ง,
คุณวธัญญา จริยาวัฒนชัยกุล และ ครอบครัว, คุณนอย แซตั้ง, คุณทิพย แกวทอง, คุณประทุม นิลคูหา และ


                                                   อนุ
                                                 ๑๙๑
                                                 โมทนา
                                                  บุญ
ครอบครัว, คุณอทิตยา - ด.ญ.อริศรา เพิมกลาง, คุณสุรีรัตน เขื่องสะคู, คุณจันทา ศรีสวัสดิ์, คุณนัยนา
                                         ่
ไพบูลย, คุณแจมจรรยา พูลศิลป, ด.ญ.ชัชชญา สอนเต็ม, คุณจิรัชญา สายธารทิพย และ ครอบครัว,
คุณพงษเกียรติ เอือบัณฑิต และ ครอบครัว, คุณณัฐพงษ เอื้อบัณฑิต และ ครอบครัว, คุณพงษสันต เอื้อบัณฑิต,
                   ้
คุณปรีชา ศรีกงพาน, คุณแมเคี่ยม ศรีกงพาน, คุณสุจรรยา ศรีกงพาน และ ครอบครัว,
คุณพูนทรัพย กายประสิทธิ์ และ ครอบครัว, คุณกําพล ศรีกงพาน และ ครอบครัว,
คุณเสกสรร - คุณมันทนา - ด.ช.จักรภัทร รามล, คุณณัฐนันท ทาบโลหะ อุทิศใหเจากรรมนายเวร,
คุณสายหยุด ปานเพชร, คุณกนกชล - คุณณรงคศกดิ์ สิงหลี, คุณจุลินทร ถาวรศักดิ์, นางอรอนงค สมภาร,
                                                 ั
ด.ญ.ธนภร - ด.ช.ธนัท ถาวรศักดิ์, คุณเสาวณีย ลือพรอมชัย อุทิศใหเจากรรมนายเวร, นางบังอร หลาคํา,
ด.ญ.กนกพร - คุณสมโภชน รัตนาลักษณ, คุณบุญเรือน - คุณจีรศักดิ์ ธงสันเทียะ, คุณกาญจนา อดทน,
นางมนัญญา อุบลบาล, นางสายไหม คําภูกา, นางเขมภร สิงหทุย, นางพรทิพย สารศรี,
นางกิ่งฟา หลาคํา, นางสายตา มังคะตา, นางสาวฉวีวรรณ มะหันต, คุณเบญจมาศ ศรีศุภร,
ด.ช.วิชญวศิน แรงกสิวิทย, คุณสุมาลี วีระกุล, คุณสนธยา - ด.ญ.ณัฐชา แกวกลา, คุณปทุมภรณ มีแสงแกว,
คุณสุประวีณ เถื่อนสันเทียะ, คุณอนงคเยาว พราหมณไธสง และ ครอบครัว, คุณผจงจิตต บรรจง และ
ครอบครัว, คุณแมจรรยา เมธานุวัฒน, คุณสังสรรค - คุณวลัยภรณ - ด.ช.รวิภาส - ด.ช.ธนโชติ กริ่งกระโทก,
คุณวารี - คุณวิรงรอง และครอบครัว, คุณสุพตรา นนทแสง และครอบครัว, คุณแดง คําออน และ ครอบครัว,
                                             ั
ด.ช.ธีรภัทร - ด.ช.พีรพัฒน - ด.ญ.ธัญญารัตน ดิษจันทึก, คุณสุดารัตน ดิกขุนทด และครอบครัว,
คุณเขมชาติ - คุณเอมิกา - ด.ช.ธนภัทร - ด.ช.รวิกร ยวนแม, คุณเกศินี - คุณเทียนชัย - ด.ช.ชโยทิต ทองคํา,
คุณนริศร - คุณวิสา ศรีสังวาล, คุณปฏิญญา แตมศรี, คุณณัฐกันต สีหมนตรี, คุณกนกวัลย ทาวนิล,
คุณกรรัตน จันทรหมื่นไวย และ ครอบครัว, คุณจุรีรัตน กิตติเวชรักษ และ ครอบครัว, คุณยุคลธร ตั้งสรณะ,
คุณจุฬาพร จอนเกาะ, คุณฐษา วัฒนศิลป, คุณธนันทฉาย พูนสินโชติภัทร, คุณเนาวรัตน เข็มทอง,
คุณประภา ตาดสูงเนิน, คุณปราณี กลสรร และ ครอบครัว, คุณปวริศา ประชุมกลาง, คุณสุภาพร โพธิ์งาม,
คุณปวีณนุช วงศวิศาลพร, คุณพจรินทร ฝานสูงเนิน, คุณพัชรินทร เหงาวิชัย และ ครอบครัว,
คุณยุพดี สัมฤทธิ์รินทร, คุณรัตติมา นามสวาง, คุณวันเพ็ญ ขอพันธกลาง, คุณศิริพร พิชัยสิทธิพร,
คุณศิริรัตน วิศิษฐปรีชาวุฒิ และ ครอบครัว, คุณสถาพร ธรรมรสเดชา, คุณสุกัณยา อภิเมธีธํารง,
 คุณสุภาภรณ อนุชิตอารมณ และ ครอบครัว, คุณอมรรัตน พึ่งโคกสูง, คุณอัญชลี เข็มทอง,
คุณอิสรีย เปรียบจันทึก, คุณเอกลักษณ จรจันทร, คุณพรชัย - คุณเรณู จามกระโทก และ ครอบครัว,
คุณพอกาเรียน - คุณแมรัก ประเชิญ, คุณคํารณ พิมพทอง, คุณวัลลภ สุขรัตนรุงโรจน, คุณสยมภู ปะรัมย,
คุณสมจริง การะนัด, คุณสมยศ จิตติมานุสรณ, คุณกิตติพงษ ชางการ, คุณจตุรณ ศิริเกตุ,
คุณชลธาร หมายถมกลาง, คุณชูชาติ เดชพร, คุณเชษฐา ถนอมตะคุ, คุณนิรุจน คําแพง,
คุณปรัชญา แตงพลกรัง, คุณพิสิฐ แหวนมุกข, คุณภัทรกร หงสยนต, คุณมัณฑนา สุวรรณเทศ,
คุณยิ่งยง หงสอินทร, คุณศักดิ์ศรี สวางวงษ, คุณศักดิ์สิทธิ คนแรง, คุณศุภชัย มุสเิ กตุ, คุณเกศริน ชืนชม
                                                                                                     ่
คุณสิทธินนท ทองสุดชา, คุณสุชาติวฒิ มังษาอุดม, คุณสุพัฒนา โคดม, คุณอนันตชัย เมธีกสิพิพัฒน,
                                     ุ
คุณเอกพล ตุพิมาย, คุณนันทนภัส กองทอง, คุณวรกาญจน บุญสวาง, คุณวรรณรัตน ธัมมาวัติ,
คุณพิสิษฐ ออนมา, คุณพิศทธิ์ นิพทธสัจก, คุณโชคชัย เริงนิสัย, คุณณัฐวุฒิ ชาญธนกุล,
                             ุ     ั

                                                 อนุ
                                               ๑๙๒
                                               โมทนา
                                                บุญ
คุณอนุพนธ - คุณศุภวัลย เมธานุวัฒน และ ครอบครัว, คุณจุฑารัตน เมธานุวัฒน และ ครอบครัว,
คุณสมเชษฐ เมธานุวัฒน และ ครอบครัว, คุณทัศนีย พรหมบุตร, คุณวราพร วสุนธราสุข,
คุณกิตติพัฒน - คุณธัญญาภัทร ฉัตรมาศ และ ครอบครัว, คุณวชิรา วาทิรอยรัมย, คุณจันทร มวงงาม,
คุณเบญจวรรณ จันทรจํารัส และ ครอบครัว, คุณมรกต - คุณมยุรี กรินรักษ, คุณวชิระ ทองดีนอก,
คุณอาวุธ - คุณรุจิรา ประเสริฐ, คุณสันติ เย็นขุนทด และ ครอบครัว, คุณกัณยาภัค นอยหลุบเลา และ ครอบครัว,
คุณอํานวย - คุณวราพร - ด.ช.จิณณวัตร อวยสูงเนิน, คุณชนาธิป - คุณรัตนา - ด.ญ.บุญสิตา สมดี,
คุณอุไร แสงเรือง, ด.ช.ธนพล - ด.ช.ชุติพนธ ตะสันเทียะ, คุณสมบัติ นิลจันทึก, คุณสมบูรณ กําแหง,
คุณมังกร - นางณัฏฐธิดา - ด.ญ.วิภาดา วุฒิปญญาดี - คุณจันทร จันทรฉาย, นายจิรวัส เสตพรรณ,
นายวันชัย สิงหแกว, คุณพิสมัย ธงชัย, คุณสถาพร โตจํานงค

ทําบุญรายละ ๙๙.- บาท
คุณพุทธมา หกกระโทก และ ครอบครัว

ทําบุญรายละ ๗๐.- บาท
คุณหนูเล็ก ไทยออน

ทําบุญรายละ ๕๐.- บาท
คุณทวัฒชัย หิตายะโส, คุณปยมาศ จงปตนา, คุณพรรษวุฒิ พืชนอก, คุณสุมาลี วีระกุล,
คุณลาวัณย ดาวังปา

ทําบุญรายละ ๔๐.- บาท
คุณสมฤกษ สัมเภาวมาลย

ทําบุญรายละ ๓๙.- บาท
คุณชตาภรณ ลูกสีดา

ทําบุญรายละ ๒๐.- บาท
นางเพ็ญศรี อวมเทศ

ทําบุญรายละ ๑๕.- บาท
คุณปริญญา เดื่อนเครือวัลย

ทําบุญรายละ ๒๒ เลม
คุณ กมลพร แซเลา

                                                  อนุ
                                                ๑๙๓
                                                โมทนา
                                                 บุญ
ทําบุญรายละ ๒๐ เลม
คุณสมชัย - คุณสมหมาย บุญเทียม

ทําบุญรายละ ๑๐ เลม
คุณธนโชติ แสงผะกาย, คุณสุชาติ ศิริไมตรีตระกูล, คุณอรุณี ปญญาบัณฑิต, นางสาวบุศยรินทร บัวจันทร,
คุณอดุลย - นางพัชราภรณ สาระบูรณ, ด.ช.รังสิมัน เริงสําราญ (รานหนึ่งซาวด ขอนแกน)

ทําบุญรายละ ๕ เลม
คุณประสาท - คุณปราณี บัวจันทร (รานศรีเจริญผลไม ขอนแกน),
คุณณัฐกิตติ์ บาคะรม (รานเสริมสวยเต ขอนแกน)

ทําบุญรายละ ๒ เลม
คุณโชคชัย เหลืองสุขสาคร, คุณอุไรวัลย สันสีมา, คุณเฉลิมพล - คุณอรัญญา บัวจันทร (รานศรีเจริญผลไม
ขอนแกน)

ทําบุญรายละ ๑ เลม
ด.ช.ศุภโชติ บัวจันทร, ด.ญ.ปุณฑริกา บัวจันทร, คุณภาณุมาศ บัวจันทร, คุณจารุภา ทองอุทัยศิริ,
ด.ญ.อริสรา สีนอเนตร, ด.ญ.อารยา สีนอเนตร. คุณวีณา ศรจิตรเสนศิริ (รานศรีเจริญผลไม ขอนแกน),
คุณวิภา กองทอง, คุณรัฐภูมิ หมอยา, นางสาวหญิง ศิริวัฒนเกตุ




                                                อนุ
                                               ๑๙๔
                                              โมทนา
                                               บุญ
ขออนุโมทนาแด่ผู้ร่วมสร้างหนังสือบทสวดมนต์วัดศรีโยธินทุกท่าน
     ทั้งผูที่มีชื่อและไมมีชอลงไว รวมถึงผูไมประสงคออกนาม
                              ื่
      ขอความใดและรายชื่อผูใดขาดตก ผิดพลาดประการใด
         ทางคณะผูจัดทําขอกราบอภัยไว ณ ที่นี้ดวย....สาธุ




                               ๑๙๕
บรรณานุกรม


กรมการศาสนา. คูมอสวดมนต ทําวัตรเชา-เย็น : ฉบับกรมการศาสนา สงเสริม
                   ื
ครอบครัวอบอุนดวยธรรมะ. กรุงเทพมหานคร : กรม, 2550.


บุญนิธิหอไตร วัดราชโอรสาราม. ทําวัตร-สวดมนต แปล สําหรับอุบาสก-อุบาสิกา.
หอไตรการพิมพ, 2550.

บุญนิธิหอไตร วัดราชโอรสาราม. คูมือชาวพุทธ : หนังสือทําวัตร-สวดมนตแปล
สําหรับพุทธบริษัทสี่. ม.ป.ท. : ม.ป.พ., 2548.

กวินทรากร. สุวิชา โน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว : ผูรูดีเปนผูเจริญ ผูรูชั่วเปนผูเสื่อม.
                                                  
Retrieved February, 2010, from
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tao&date=18-12-
2007&group=6&gblog=71




                                          ๑๙๖
บันทึก




๑๙๘
วัดศรีโยธิน หมู ๗ ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.กําแพงเพชร ๖๒๐๐๐
                          ๑๙๗

More Related Content

PDF
พจนานุกรมบาลี - ไทย อรรถกถาธรรมบท ภาค ๑ - ๔ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ
PDF
รวมบทสวดพระพุทธมนต์ พร้อมคำแปล
PDF
มาลาบูชาครู
PDF
บทบรรยายพระคุณแม่
PDF
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
PDF
ตำราพรหมชาติ ฉบับสมบูรณ์
PDF
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
พจนานุกรมบาลี - ไทย อรรถกถาธรรมบท ภาค ๑ - ๔ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ
รวมบทสวดพระพุทธมนต์ พร้อมคำแปล
มาลาบูชาครู
บทบรรยายพระคุณแม่
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
ตำราพรหมชาติ ฉบับสมบูรณ์
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้

What's hot (20)

PDF
ปัญหาและเฉลยบาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
ODT
บทสวดมนต์
PDF
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
PDF
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
PDF
มนต์พิธี
PDF
ภาษาบาลี ชุดที่ ๔ การันต์
PDF
ปัญหาเฉลย-นักธรรมชั้นตรี (ปี 2549 - 2564).pdf
PDF
Ebooksint มนต์พิธี
PDF
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย2
PDF
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
PDF
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
PDF
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ย.1-2 พ.ศ.2511-2566 (56 ปี)_Pali grammar Exam...
PDF
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdf
DOCX
กระทู้ ธรรมศึกษาชั้นโท
PDF
โครงสร้างและเนื้อหาสาระพระไตรปิฎก
PDF
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
PDF
หนังสือเรียนวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นตรี แผนใหม่
ปัญหาและเฉลยบาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
บทสวดมนต์
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
มนต์พิธี
ภาษาบาลี ชุดที่ ๔ การันต์
ปัญหาเฉลย-นักธรรมชั้นตรี (ปี 2549 - 2564).pdf
Ebooksint มนต์พิธี
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย2
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ย.1-2 พ.ศ.2511-2566 (56 ปี)_Pali grammar Exam...
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdf
กระทู้ ธรรมศึกษาชั้นโท
โครงสร้างและเนื้อหาสาระพระไตรปิฎก
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
หนังสือเรียนวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นตรี แผนใหม่
Ad

Similar to คู่มือทำวัตรเช้า เย็น แปลไทย (20)

PDF
200789830 katin
PDF
บทสวด
PDF
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
PDF
บทสวดมนต์ข้ามปี
PDF
Saeng Dhamma Vol. 36 No. 434 June 2011
PDF
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
PDF
สวดมนต์ กรรมฐานตามแบบหลวงพ่อจรัญ
PDF
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
PDF
9 mantra
PDF
รายงานการประชุมสมัยวิสามัญครั้งที่ ๒๐ ณ วัดพรหมคุณาราม
PDF
รายงานการประชุมสมัยวิสามัญครั้งที่ ๒๐
PDF
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
PDF
หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ สรีระสังขาร หลวงตามหาบัว
PDF
ระเบียบรายชื่อพระจำพรรษา 2016
DOC
กำหนดการสัมมนา(จริง)
PDF
พระสีวลี
PDF
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
PDF
แผ่นพับ พระธาตุดอยอ่างกุ้ง
PDF
ชาติสุดท้าย
200789830 katin
บทสวด
สวดมนต์ข้ามปี ๒๕๕๖ (ฉบับ สสส.)
บทสวดมนต์ข้ามปี
Saeng Dhamma Vol. 36 No. 434 June 2011
1 บทนำ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า โดย ท่าน ว. วชิรเมธี
สวดมนต์ กรรมฐานตามแบบหลวงพ่อจรัญ
สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
9 mantra
รายงานการประชุมสมัยวิสามัญครั้งที่ ๒๐ ณ วัดพรหมคุณาราม
รายงานการประชุมสมัยวิสามัญครั้งที่ ๒๐
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ สรีระสังขาร หลวงตามหาบัว
ระเบียบรายชื่อพระจำพรรษา 2016
กำหนดการสัมมนา(จริง)
พระสีวลี
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
แผ่นพับ พระธาตุดอยอ่างกุ้ง
ชาติสุดท้าย
Ad

More from Sarod Paichayonrittha (20)

PDF
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร What did the buddha teach
PDF
สูตรของเว่ยหลาง โดย พุทธทาสภิกขุ
PDF
อานาปานสติสูตร
PDF
Ukti marketing brief make it happens -jan2014
PDF
รำลึกวันวาน ปกิณกธรรม หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต_โดยหลวงตาทองคำ_จารุวัณโณ
PDF
The new scada jun2014
PDF
Led lighting outdoor design challenge dec2013
PDF
Kwater investor presentation oct2013
PDF
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
PDF
Oil and gas thailand 2011 v f
PDF
Handbook malaysian fi t feed-in-tariff renewable energy mar2011
PDF
รายงานประเมินผลไทยเข้มแข็ง มีค2554
PDF
ตำราพิชัยสงครามสิบสามบท ของซุนวู
PDF
The ultimatum of god nature the one straw revolution -a recapitulation-1996
PDF
ABB DC Circuit Breakers Catalog
PDF
Led Lighting SSL Road Map US.DOE aug2012
PDF
หลักการเขียนลายเซ็น
PDF
ISA Effective Use of PID Controllers 3-7-2013
PDF
China bullet train population 2013
PDF
Feed in tariff malaysia brochure 2012
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร What did the buddha teach
สูตรของเว่ยหลาง โดย พุทธทาสภิกขุ
อานาปานสติสูตร
Ukti marketing brief make it happens -jan2014
รำลึกวันวาน ปกิณกธรรม หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต_โดยหลวงตาทองคำ_จารุวัณโณ
The new scada jun2014
Led lighting outdoor design challenge dec2013
Kwater investor presentation oct2013
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
Oil and gas thailand 2011 v f
Handbook malaysian fi t feed-in-tariff renewable energy mar2011
รายงานประเมินผลไทยเข้มแข็ง มีค2554
ตำราพิชัยสงครามสิบสามบท ของซุนวู
The ultimatum of god nature the one straw revolution -a recapitulation-1996
ABB DC Circuit Breakers Catalog
Led Lighting SSL Road Map US.DOE aug2012
หลักการเขียนลายเซ็น
ISA Effective Use of PID Controllers 3-7-2013
China bullet train population 2013
Feed in tariff malaysia brochure 2012

Recently uploaded (20)

DOCX
06. สัปปสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
05. ทุติยมารปาสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
DOCX
06. ปมาทสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
23. โคธิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
02. นาคสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
25. มารธีตุสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
16. ปัตตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
08. กตโมรกติสสกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
DOCX
08. นันทนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
09. ปฐมอายุสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
07. สุปติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
07. โกกาลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
01. ตโปกัมมสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
11. ปาสาณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
04. วิชยาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
03. พรหมเทวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
07. อุปจาลาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
04. ปฐมมารปาสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
DOCX
03. สุภสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
DOCX
05. อปราทิฏฐิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
06. สัปปสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
05. ทุติยมารปาสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
06. ปมาทสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
23. โคธิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
02. นาคสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
25. มารธีตุสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
16. ปัตตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
08. กตโมรกติสสกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬา...
08. นันทนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
09. ปฐมอายุสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
07. สุปติสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
07. โกกาลิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
01. ตโปกัมมสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
11. ปาสาณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
04. วิชยาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
03. พรหมเทวสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
07. อุปจาลาสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
04. ปฐมมารปาสสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
03. สุภสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
05. อปราทิฏฐิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...

คู่มือทำวัตรเช้า เย็น แปลไทย

  • 2. คู่มือทําวัตรเช้า-เย็น เมตตาพรหมวิหารภาวนา ประธานกิตติมศักดิ์ : พระครูวุฒิวชิรสาร รวบรวมเรียบเรียง : พระสายัณห ติกฺขปฺโ ถ่ายภาพ : ธีรวุฒิ รุจิมตริ ออกแบบปก : พระสายัณห ติกฺขปฺโ, ธีรวุฒิ รุจิมิตร ออกแบบรูปเล่ม : พระสายัณห ติกฺขปฺโ, อรรถนิติ ลาภากรณ, ปริญญา หิรณยฐิติมา, เพียรพร พรหมโชติ ั กราฟฟิก : ธีรวุฒิ รุจิมตร, อรรถนิติ ลาภากรณ, ปริญญา หิรัณยฐิติมา ิ จัดรูปเล่ม : เพียรพร พรหมโชติ, วุฒิพงษ อัชฌากรลักษณ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : กุมภาพันธ ๒๕๕๓ จํานวน ๒,๐๐๐ เลม ผู้จัดพิมพ์ : พระสายัณห ติกฺขปฺโ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data. วัดศรีโยธิน. คู่มือทําวัตรเช้า-เย็น วัดศรีโยธิน.-- กําแพงเพชร : วัดศรีโยธิน, 2553. 208 หน้า. 1. บทสวดมนต์. 2. วัดศรีโยธิน. I. ชื่อเรื่อง. 294.313 ISBN : 978-974-401- 392-7 กองบรรณาธิการ : พระสายัณห ติกฺขปฺโ พิมพ์ท่ี : อุษาการพิมพ กรุงเทพฯ โทร. ๐๒-๖๕๖-๓๔๗๐
  • 3. หนังสือสวดมนตทําวัตรแปลเลมนี้ ไดรับความอนุเคราะหจากทานพระอาจารย สายัณห ติกฺขปฺโญ เปนผูตรวจสอบทุกขั้นตอนมาโดยตลอด จึงเปนหนังสือเลมหนึ่งที่ ถูกตองสมบูรณ ในการสวดมนตทําวัตรเปนหนาที่ของชาวพุทธผูนับถือพระพุทธศาสนาทุก ๆ คน พึง มีไวเพื่อเปนบรรทัดฐาน ทานพระอาจารยฯ จึงมาปรึกษากับอาตมา อาตมาเห็นชอบดวย จึงมอบ ภาระใหทานจัดการหาทุนทรัพยในการจัดพิมพในครั้งนี้และอาตมาไดอาราธนา นิมนตทาน ฯ มาอบรมสอนวิปสสนากัมมัฏฐานดวย เพื่อเผยแผพระพุทธศาสนานําคําสอน ของพระพุทธเจามา แนะแนวใหญาติโยมไดเขาใจ พรอมกันนี้ ญาติโยมก็ไดบริจาคทรัพย เพื่อสมทบทุนในการจัดพิมพครั้งนี้เปนธรรม ทาน ดังคําพุทธภาษิตที่วา “ธรรมะทานัง ชินาติ” การใหธรรมะเปนทาน จึงมีอานิสงส มากกวาการใหทานทั้งปวง อาตมาขอขอบคุณและขออนุโมทนาในสวนธรรมทานนี้โดยทั่วกัน ขอใหญาติโยมจง มีความสุขความเจริญ ดวยจตุรพิธพรชัย อันมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสาร สมบัตตลอดกาลนาน...เทอญฯ ิ ขอเจริ ญ พร พระครูวฒวชิรสาร ุ ิ (หลวงพอทํานอง คุณงฺกโร) เจาอาวาสวัดศรีโยธิน
  • 4. ส า ร บั ญ เกี่ยวกับวัดศรีโยธิน ๑ ประวัติ วัดศรีโยธิน ๒ ประวัติ หลวงปู่ศรีสรรเพชญ์ ๕ ระเบียบปฏิบัติสําหรับผู้ปฏิบัติธรรม ๑๑ ระเบียบปฏิบัติของผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม ณ วัดศรีโยธิน ๑๒ กําหนดเวลาการปฏิบติธรรม ๑๔ ั การอาราธนาศีล และสมาทานศีล ๑๕ คําบูชาพระรัตนตรัย ๑๖ คําอาราธนาศีลห้า ๑๗ คําอาราธนาศีลแปด ๑๗ ไตรสรณคมน์ ๑๘ คําสมาทานศีล ๑๙ พิธีรักษาอุโบสถศีล ๒๐ พิธีสมาทานกรรมฐาน ๒๗
  • 5. บทสวดมนต์ทําวัตรเช้า (แปล) ๓๑ คําบูชาพระรัตนตรัย ๓๒ ปุพพะภาคะนะมะการ ๓๓ พุทธาภิถุติง ๓๔ ธัมมาภิถุติง ๓๖ สังฆาภิถุติง ๓๗ ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา ๓๙ สังเวคะปริกิตตะนะปาฐะ ๔๐ ทวัตติงสาการะปาฐะ ๔๖ บทพิจารณาสังขาร ๔๘ สัจจะกิรยะคาถา ๕๐ ิ นมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ ๕๑ ตังขณิกปัจจะเวกขณปาฐะ ๕๒ ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ ๕๕ วันทามิ ๕๙ กรวดน้ําตอนเช้า ๖๐ สัพพปัตติทานคาถา ๖๐ ปัตติทานคาถา ๖๑ กราบพระ ๖๔
  • 6. บทสวดมนต์ทําวัตรเย็น (แปล) ๖๕ คําบูชาพระรัตนตรัย ๖๖ ปุพพะภาคะนะมะการ ๖๗ พุทธานุสสติ ๖๘ พุทธาภิคีติง ๖๙ ธัมมานุสสติ ๗๒ ธัมมาภิคีติง ๗๓ สังฆานุสสติ ๗๕ สังฆาภิคีติง ๗๖ บทสวดมนต์พิเศษ ๗๙ ปุพพะภาคะนะมะการ ๘๐ สรณคมนปาฐะ ๘๐ อัฏฐสิกขาปทปาฐะ ๘๑ เขมาเขมสรณทีปิกคาถา ๘๓ อริยธนคาถา ๘๔ ติลักขณาทิคาถา ๘๔ ภารสุตคาถา ๘๖ ภัทเทกรัตตคาถา ๘๗ ธัมมคารวาทิคาถา ๘๘ โอวาทปาฏิโมกขคาถา ๘๙ ปฐมพุทธภาสิตคาถา ๙๑ ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ ๙๒
  • 7. อภิณหะปัจจะเวกขะณะปาฐะ ๙๓ ปราภวสุตตปาฐะ ๙๕ สีลุทเทสปาฐะ ๙๘ อริยมรรคมีองค์แปด ๑๐๐ อตีตปัจจเวกขณปาฐะ ๑๐๙ กรวดน้ําตอนเย็น ๑๑๒ อุททิสสนาธิฏฐานคาถา ๑๑๒ กราบพระ ๑๑๔ บทสวดมนต์วันพระ ๑๑๕ บทถวายพรพระ ๑๑๖ สวดพระพุทธคุณ ๑๐๘ จบ ๑๒๐ เมตตาพรหมะวิหารภาวนา (มหาเมตตาใหญ่) ๑๒๐ บารมี ๓๐ ทัศน์ ๑๓๖ คําถวายกุศลแด่พระธรรมสิงหบุราจารย์ ๑๓๙ คําถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ๑๓๙ บทแผ่เมตตา ๑๔๐ บทอุทิศส่วนกุศล ๑๔๐ กรวดน้ําตอนเย็น ๑๔๒ อุททิสสนาธิฏฐานคาถา ๑๔๒ กราบพระ ๑๔๔
  • 8. บทสวดมนต์วันอาทิตย์ ๑๔๕ ชุมนุมเทวดา ๑๔๖ บทขัดธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร ๑๕๑ บทธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ๑๕๑ คาถาโพธิบาท ๑๕๙ คาถาสวดนพเคราะห์ ๑๖๐ คาถาบูชาดวงชาตา ๑๖๑ คาถามงคลจักรวาฬแปดทิศ ๑๖๑ อุณหิสสะวิชะยะคาถา ๑๖๒ พระคาถาชินบัญชร ๑๖๓ เทวะตาอุยโยชะนะคาถา ๑๖๖ บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (ทํานองสรภัญญะ) ๑๖๗ คําไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ๑๗๐ คําอธิษฐานสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ๑๗๐ คําบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ๑๗๑ กราบพระ ๕ ครั้ง ๑๗๒
  • 9. พิธีลากรรมฐาน ๑๗๓ คําอาราธนาพระปริตร ๑๗๖ คําอาราธนาธรรม ๑๗๗ คําถวายสังฆทาน (ประเภทสามัญ) ๑๗๗ คําถวายสังฆทาน (ประเภทอุทิศให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ๑๗๘ คําอปโลกน์สังฆทาน ๑๗๙ คําถวายข้าวพระพุทธ ๑๘๐ คําลาข้าวพระพุทธ ๑๘๐ คําถวายผ้าป่า (ผ้าบังสุกุลจีวร) ๑๘๑ คําถวายพระพุทธรูป ๑๘๒ คําถวายเทียนพรรษา ๑๘๒ คําถวายผ้าอาบน้ําฝน ๑๘๓ คําถวายทานทั่วไป ๑๘๓ คําสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ ๑๘๔ คําแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ๑๘๖ คําลาพระกลับบ้าน ๑๘๗ รายนามผู้ร่วมบริจาคพิมพ์หนังสือสวดมนต์ ท้ายเล่ม
  • 10. วิธีอานภาษาบาลี  ทุกแหงที่มเครื่องหมาย ๎ อักษรตัวนั้นตองวาใหเร็ว เพราะอักษรตัวนั้น เปนตัวสะกดกึ่งเสียง ี ตัวอยาง คําวา “สุตวา” อักษร ต ออกเสียง ตะ กึ่งหนึ่ง ฉะนั้น ตองออกเสียงเร็วประมาณ ๎ ครึ่งเสียง ถาวาชา จะออกเสียงเปน ต สองตัว เปนการอานผิด
  • 12. ประวัตวัดศรีโยธิน ิ ที่ตั้งของวัด ตั้งอยูที่หมูที่ ๗ ตําบลหนองปลิง อําเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร ตั้งอยูหางจากศาลากลางจังหวัดหลังเกาหรือสี่แยกตนโพธิ์ประมาณ ๓ กิโลเมตร สภาพ พื้นดินเปนดินลูกรัง มีปาไมขึ้นอยูเปนสภาพปาโปรง  บางพื้ น ที่ เ ป น พื้ น ที่ ทํ า ไร เ ลื่ อ นลอยไม ถ าวร เนื่ อ งจากสภาพดิ น เป น ดิ น ลู ก รั ง ผลผลิตไมไดผล การคมนาคมเดิมเปนถนนลูกรังจากกําแพงเพชรผานไปอําเภอพราน กระตาย จังหวัดกําแพงเพชร การคมนาคมยังไมสะดวกประชาชนยังไมนิยมเขาไป ประกอบอาชีพ เนื่องจากสภาพพื้นดินไมอํานวยตอการประกอบการเกษตร ประชาชน สวนใหญพักอาศัยอยูในเมือง ยังไมมีหมูบานอยูอาศัยเปนหลักแหลง และยังมีโจร ผูรายสรางความเดือดรอนอยูเนืองๆ จึงทําใหเปนพื้นที่รกรางและวางเปลา  ต อ มา ร.อ.ทํ า นอง โยธิ น ธนสมบั ติ เป นผู ม องเห็ น การณ ไ กล เนื่ อ งจากเป น ขาราชการรับราชการมานาน เห็ น ว า ต อ ไปในอนาคตข า งหน า จะต อ งมี ค วามเจริ ญ จึ ง ได ซื้ อ ที่ ดิ น จากเจ า ของเดิม ทําการปลูกมะมวง มะขามหวาน เพื่อเปนตัวอยางแกชาวไร แลวทําการตัด ถนนแยกจากถนนสายกําแพงเพชร-พรานกระตาย ไปทางทิศตะวันออก จัดสรรที่ดิน เปนแปลงสําหรับที่อยูอาศัยแบงขายในราคาถูก ผูใดยากจนไมมีเงิน ก็ยกใหอยูอาศัย โดยไม คิ ด มู ล ค า ก็ มี ทั้ ง นี้ เพื่ อ ต อ งการให ป ระชาชนเข า มาอยู อ าศั ย และขอจั ด ตั้ ง หมูบานขึ้น โดยตั้งชื่อหมูบานวา “หมูบานศรีโยธิน” โดยใชชื่อนามสกุลตัวหนาของตน เปนชื่อหมูบานจึงถึงปจจุบันนี้ พ.ศ. ๒๕๒๐ ร.อ.ทํ า นอง เห็ นว า มี ป ระชากรเข า มาอยู อ าศั ย พอสมควรแล ว จึงคิดที่จะสรางวัดใหประชาชนไดทําบุญสรางกุศล ประกอบกับที่ตนเองมีจิตศรัทธา เลื่ อ มใสในพระพุ ท ธศาสนาและเคยสร า งวั ด มาก อ นจึ ง ได ย กที่ ดิ น ของตนเอง จํานวน ๓๐ ไร เพื่อทําการสรางวัดขึ้น พอที่คณะสงฆพาประชาชาชนประกอบศาสนกิจ ไดและนิมนตพระมาจําพรรษาและเปลี่ยนหมุนเวียนไป พ.ศ. ๒๕๓๐ เริ่มดําเนินการกอสรางวิหารหลวงปูพระศรีสรรเพชญ ฯ ซึ่งเปน ๒
  • 13. พระพุทธรูปเกาแก เปนเนื้อศิลาแลง สรางขึ้นในสมัยสุโขทัยตอนตน อายุประมาณ ๑,๐๐๐ ป โดย ร.อ.ทํานอง เปนผูสละทรัพยของตนเอง เพื่อสรางจนหมดถึงขนาดตอง เอาหลักฐานที่ดินเปนหลักทรัพยค้ําประกันเงินกูเพื่อมาสรางวัด ตอมาไดญาติ พี่นอง และผูมีจิตศรัทธารวมสรางทั้งจากกรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี กําแพงเพชร และ จั ง หวั ด อื่ น ๆ มากมายที่ จ ะกล า วถึ ง ได ม าร ว มกั น บริ จ าคทรั พ ย ส มทบทุ น สร า ง โดยจํ าลองแบบใหค ลา ยกับวัดพระพุทธชิ นราชที่ จั งหวัด พิษณุโลก เพื่อให เกิด ขึ้นใน จังหวัดกําแพงเพชรจนสําเร็จ ดังที่ปรากฏอยูในปจจุบัน พ.ศ. ๒๕๓๘ ร.อ.ทํานอง ผูไดลงทุนลงแรงและตั้งใจอยางแรงกลาที่จะสรางวัด ให สํ า เร็ จ จงได เห็ น ว า การพั ฒ นาวั ด ดํ า เนิ น ไปอย า งล า ช า จึ ง ตั ด สิ น ใจอุ ป สมบท (หลวงพอทํานอง คุณงฺกโร) เพื่อสะดวกในการสรางวัดและเผยแผพระศาสนาอยางเต็ม กําลังและไดนําทรัพยสินสวนตัวมาพัฒนาวัด พรอมกันนี้ก็มุงเผยแผหลักธรรมคําสอน ของพระพุทธเจาสูประชาชน เพื่อใหรูจักการดําเนินชีวิตที่ดี รูจักใชหลักธรรมในการ แกปญหาชีวิต ปจจุบัน วัดศรีโยธิน ตั้งอยูกึ่งกลางระหวางศูนยราชการจังหวัดกําแพงเพชรกับ หมูบานศรีโยธิน ในอนาคตประชาชนและชุมชนจะสรางบานเรือนหนาแนนเพิ่มขึ้นอยาง แน น อน มี ถ นนลาดยางสายกํ า แพงเพชร-สุ โ ขทั ย แยกเข า วั ด ศรี โ ยธิ น ได ส ะดวก จึงมีความจําเปนที่จะตองพัฒนาวัดใหทันตอความเจริญที่กําลังเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว ทาง คณะสงฆจังหวัดกําแพงเพชรจึงแตงตั้งให วัดศรีโยธิน เปนวัดวิปสสนากรรมฐานประจํา จังหวัด แตทั้งนี้ ทางวัดยังขาดศาสนสถานที่จําเปนหลายอยาง ไดแก ศาลาการเปรียญ จํานวน ๑ หลัง เพื่อประกอบศาสนกิจและการประชุมอบรมของสวนราชการตางๆ และ การปฏิบัติธรรม เพื่อรองรับการบวชศีลจารินี ปฏิบัติกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน เมื่อป พ.ศ. ๒๕๔๒ ไดบวชศีลจารินีเปนรุนที่ ๑ และบังเกิดผลดีมีประชาชนใหความ สนใจบวชปฏิบัติธรรมเปนจํานวนมาก แตยังมีขอบกพรองและปญหาเรื่องที่พักอาศัยยัง ไมพอเพียง ทางวัดจึงไดสรางศาลาปฏิบัติธรรมขึ้นอีก ๑ หลัง เพื่อสนองความตองการ และอํ า นวยความสะดวก ให แ ก ท า นที่ ม าปฏิ บั ติ ธ รรม เพื่ อ ให เ กิ ด ประโยชน แ ก พุทธศาสนิกชนสืบไป ๓
  • 14.
  • 15. ประวัตหลวงปูพระศรีสรรเพชญ์ ิ ่ พระประธานในอุโบสถ วัดศรีโยธิน อ.เมือง จ.กําแพงเพชร หลวงปูพระศรีสรรเพชญ เปนพระพุทธรูปโบราณปางมารวิชัย เนื้อศิลาแลง สรางสมัยใดนั้นไมปรากฏ แตสันนิษฐานวา เปนสมัยสุโขทัยยุคตน อายุประมาณ ๑,๐๐๐ ป ขนาดหนาตักกวาง ๖ ศอก เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๑ พ.ศ.๒๕๒๕ เปนวันออกพรรษา มีผูใจบุญไดมาทําบุญ ตักบาตรที่วัดฯ บางทานก็มาถือศีลอุโบสถ ในจํานวนนี้มี ร.อ.ทํานอง ไดมารักษา ศีลและนอนคางที่วัดดวย ตอนเย็นหลังจากทําวัตรเย็น สวดมนตเรียบรอยแลว ก็มี การพูดคุยสนทนาธรรมกันวา วันนี้เปนวันออกพรรษา พรุงนี้พระที่จําพรรษาอยูนี้ก็จะ กลั บ ภู มิ ลํ า เนาเดิ ม กั น หมด จะไปหาพระที่ ไ หนมาเฝ า วั ด ได เพราะวั ด ของเรา สรางใหมอยูในปา พระที่ไหนจะมาอยูให เมื่อพูดคุยกันแลว ก็ไมมีใครคิดอะไร แยกยายหลับนอนในที่ของตน ปรากฏวา ในคืนนั้นเอง ร.อ.ทํานอง ก็นิมิตฝนวา “มีพระภิกษุสงฆรูปหนึ่ง แกชรามาก หนังยน ผิวคล้ํา มานั่งที่ศาลาที่ญาติโยมมารักษาศีลนอนอยู โดยที่ผูฝน ไมรูวาทานมาจากไหนอยางไร?...” เมื่อทานมานั่งแลว ก็ยกมือขึ้นแลวก็บอกวา “โยมไมตองวิตก ฉันจะมาเฝาวัด มาชวยกอสรางวัดสรางบานเมืองใหเจริญ” ในฝน ร.อ.ทํานองก็ไมคอยจะเชื่อถือไม เลื่อมใส เพราะเคยหาพระมาเฝาวัดมากตอมากแลว ไมไดดีสักหน แตก็จําใจพูดไป วา “หลวงพอแกแลวมาสรางวัดไหวหรือ อยางดีก็พอเฝาวัดไดเทานั้น” พระภิกษุ ชรารูปนั้นจึงพูดขึ้นวา “ไหวซิ ถามาแลวก็จะหนุมขึ้น” ผูฝนจึงตอบไปวา “คนแกแลว จะใหหนุมไดอยางไร? หลวงพอมียาดีหรือ” ทานบอกวา “มี” ผูฝนก็รบเราทานให บอกสูตรยา ทานก็บอกให และบอกวา “ยานี้เมื่อกินเขาไปแลว มันไมหนุมเหมือน คนหนุมทั้งหลายนะ แตแข็งแรงทํางานไหว” ในตอนที่ไดพูดคุยกันในฝนนั้น ผูฝนสนใจมาก อยากจะไดทานมาอยูดวย จึง ๕
  • 16. ถามทานวา “หลวงพออยูที่ไหน? ชื่ออะไร? ผมจะไดไปรับทานมา” ทานก็บอกใหวา “ทานชื่อพระศรีสรรเพชญ อยูองคเดียวมานานแลวทางทิศตะวันออกเมืองกําแพง” พอถึงตี ๕ ตางคนตางลุกจากที่นอนเพื่อเตรียมตัวที่จะไปทําวัตรเชา เมื่อพระ มารวมกันที่ศาลาครบแลว กอนทําวัตรเชา ผูฝนก็ไดเลานิมิตใหพระภิกษุสงฆและทุก คนไดฟงกัน เมื่อทุกคนไดฟงแลวก็บอกวา “ฝนดีจะมีโชค” เมื่อทําวัตรสวดมตแลว ก็ทําบุญตักบาตรตามประเพณี เสร็จแลว พระทุกรูป ต า งก็ ก ลั บ ภู มิ ลํ า เนาเดิ ม กั น หมด เนื่ อ งจากที่ วั ด ไม มี ผู ใ ดเป น เจ า ภาพทอดกฐิ น เมื่อพระตางกลับภูมิลําเนากันหมด ที่วัดก็เลยไมมีผูใดอยูเฝาวัด ร.อ.ทํานองจึงจาง คนมานอนเฝาวัดตอไป ขณะที่จางคนมาเฝาวัดนั้น ผู ฝนก็คิดถึ งคํา พูดที่ พูดกั น และใบหนาของทา น เสมอ จึงอยากจะไปพบทานตามที่ไดนิมิตฝนแตก็สุดความสามารถที่จะไปติดตามหา ทานได เพราะไมวาจะไปถามใคร ก็ไมมีใครรูจักชื่อเสียงเรียงนามของทานเลย ผูฝน คือ ร.อ.ทํานอง ก็ไมวายที่จะนึกถึงทาน จึงเดินทางเขาบานที่กรุงเทพฯ เพื่อพบพระครูรูปหนึ่งที่ชอบพอกัน ทานอยูที่บุคคโล เมื่อไปถึงก็เลาความฝนใหทาน ฟงทั้งหมด ทานฟงแลว ก็บอกวา “โยม ฉันทํานายฝนไมเปน ฝนแปลกดี ฉันจะพา ไปพบอาจารยของฉัน ทานทํานายฝนแมนมาก” ทานจึงพาผูฝนไปหาอาจารยทานที่ วัดสามปลื้ม ไปพบสมเด็จ ฯ วัดสามปลื้ม เลาความฝนใหทานฟง เมื่อทานฟงแลวก็ บอกวา “โชคดีมาก ฝนดี ที่วัดและบานเมืองแถวถิ่นนั้นจะเจริญรุงเรือง กลับไปให ไปรับทานตามที่ฝนนะ” แลวผูฝนก็กลับบานที่กําแพงเพชรดวยความมืดมน ไมรูจะไป ทางไหน? ไมไดถามใครอีก เพราะไมรูจะถามใคร แตจิตใจก็ยงพะวงคิดอยูเสมอ ั อยู ม าวั น หนึ่ ง จึ ง ได ช วนนายไฉน ไปเที ย วในเมื อ งเพื่ อ หาอาหารทานกั น ขณะนั้นที่วัดคูยางกําลังสรางเมรุ แตแปลกเมรุที่สรางขึ้นเปนเมรุแฝด คือในปลอง เดียวกันมีเตาเผาคู คือ มีสองเตา จึ งเขาไปดู เมื่อ ดูเสร็จแลวก็เตรียมจะกลับบา น เผอิญสายตามอไปพบตนไมใหญตนหนึ่ง ไมทราบวาเปนตนอะไร? แตตรงยอด ตนไมนั้นแกวงไปรอบ ๆ สวนกิ่งอื่น ๆ นั้นไมไหวติงแมแตนอย ขณะนั้น เวลา ๕ โมงเช า ไม มี ล มเลย จึ งได ช วนนายไฉนเข าไปดู นายไฉน บอกว า “น า แปลก ! ทํ า ไมจึ ง หมุ น อยู ก่ิ ง เดี ย ว กิ่ ง อื่ น ๆ ทํ า ไมไม ห มุ น ด ว ย” ๖
  • 17. เมื่อชวนนายไฉนไปดู นายไฉนบอกวา “แกแลว เดินไมไหวเพราะปารกมาก มีกอ ไผหนามทุกชนิด รวมทั้งตนหมามุยก็มากดวย” แตดวยความอยากรูอยากเห็น จึงไดบอกลุงไฉนไปวา “ตามผมมา ผมจะเปนผูแหวกปาเขาไปเอง ใหตามมา โชคดี อาจจะจับชะนีได เพราะตองเปนชะนีหรือลิงแน” แตพอเขาไปถึงใกล ๆ กิ่งไมก็เงียบไมไหวติงแตอยางใด เมื่อเดินออมไปก็พบ เนินดินใหญมีปารกมาก เมื่อขึ้นไปถึงเนินดินแลวก็ไปสะดุดเหยียบตรงไหลของทานเขา พอดี จึงกมลงแหวกกอหญาดู พบเศียรและไหลของทานอยูในทานอนตะแคงเอียง เล็กนอย โผลขึ้นมาจากดินไมมากนัก เมื่อแรกพบเห็นองคทานเหมือนกับใจถูกไฟฟา ช็อตวูบรอนผาวไปทั้งตัว และดีใจเหมือนไดพบกันตอนที่ฝน พรอมกับกําชับนายไฉน วา อยาไปบอกใครเปนอันขาด ใหปดไวกอน แลวคิดวาทําอยางไร? จึงจะนําทานมา ได ตอมา ไดพยายามหาบุคคลอื่นที่แข็งแรงไปชวยกันขุดอยู ๓ วัน จึงสําเร็จ มีนายเสา หมอมา และบุคคลอื่นรวม ๘ คน แตกอนจะลงมือขุดก็จุดธูปเทียนบอก นิมนตทาน พอจะลงมือขุดครั้งแรกก็ไมมีใครลงมือขุดกอน เพราะกลัวจะมีอันเปนไป คณะขุดจึงยกใหผูกองทํานองเปนผูลงมือขุดกอน เพราะเปนผูฝน ตกลงผูฝนจึงตองขุด เปนคนแรก เปนที่นาอัศจรรยอยางยิ่ง ขณะยกจอบขึ้นจะลงดินนั้น ไดมีแมงปองชางตัว เทาปูนาโผลมายกกามชูหางขึ้น (แมในขณะที่ยกองคทานขึ้นสูบัลลังกประดิษฐานที่วัด ศรีโยธิน ซึ่งในขณะนั้นเปนที่พักสงฆ ก็มองเห็นแมงปองชางตัวใหญสีขาวจํานวน ๓ ตัว อยูใตที่ ๆ องคทานนั่งอยู) ผูขดจึงหยุดจอบ แลวบอกวา “ไป ๆ หลวงพอทานบอกให ุ มารับทานไปที่วัด ขอใหหลีกไป” แมงปองชางตัวใหญสีขาวนั้นจึงเดินหายเขาไปในปา จึงทําการขุดกันไดโดยสะดวก ขณะที่ขุดเอาทานขึ้นมานั้นลักษณะองคทานสมบูรณ ๘๐% แตพวกเราก็ขุดจอบ ทําชะแลงไปถูกองคทาน ทําใหเกิดแตกบิ่นผุพังไปก็มาก เพราะลักษณะศิลาแลงเมื่อจมอยูในดินอยูนาน ๆ จะเกิดการออนตัวผุยุย จึงใหชาง ซอมแซมดังที่เห็นอยูจนถึงปจจุบนนี้ ั ๗
  • 18. ทําวัตร ในที่นี้หมายถึง การกระทําโดยตอเนื่องเปนกิจวัตร ซึ่งเปนการ ฝกหัด อันจะมีผลตอการเปลี่ยนแปลงทางจริตนิสัย และเปนหนทางใหเกิด คุณธรรมที่จําเปนตอการดําเนินชีวิตเชนความขยัน ความอดทน ความสํารวม ระมัดระวัง ความตั้งมั่นแหงจิตและความรูแจงในสัจธรรม เปนตน  สวดมนต หมายถึง "การศึกษาเลาเรียน" คําวา "ศึกษา" ในทาง พระพุทธศาสนาครอบคลุมไปถึงการปฏิบัติดวย คือ เมือยังไมรู ก็เรียนใหรู  ่ ฟงใหมาก ทองจํา พิจารณาไตรตรองสิ่งที่เรียน ลงความเห็นวาสิงใดถูกตอง ่ สิ่งใดดีงาม แลวก็ตั้งใจปฎิบติตามนั้นไป ั การทําวัตรสวดมนต ที่จะใหผลดีแกผูทํานั้น ตองระลึกใหถกตองวา ู ไมใชเปนการบรวงสรวงออนวอน หรือไปคิดแตงตั้งใหพระพุทธองค ตลอดจน พระธรรม และพระสงฆเปนผูรับรู และเปนผูท่จะดลบันดาลสิ่งทีตนปรารถนา   ี ่ ซึ่งจะกลายเปนการกระทําทีใกลตอความงมงายไรเหตุผล อันมิใชวิสัยทีแทจริง ่  ่ ของชาวพุทธ การทําวัตรสวดมนต ควรกระทําในลักษณะของการศึกษาเรือง ่ ศีล สมาธิ ปญญา ๘
  • 19. การทําวัตรสวดมนต เมือทําดวยความเคารพสํารวมระวัง บังคับกาย ่ กิริยามารยาทใหเรียบรอยเปนปกติ วาจากลาวในสิ่งที่ถูกตองดีงามสวนนี้ จัดเปน "ศีล" ขณะสวดมนต ตังจิตจดจออยูในเนื้อหา และความหมายของบทธรรม ้ ทําใหจิตทิงอารมณตางๆ มาสูอารมณเดียวที่แนวแน ขณะนั้นจัดเปน "สมาธิ" ้  การมีความรูสึกตัวทัวพรอม มีสติสัมปชัญญะซาบซึ้งอยูในบทธรรม และเกิด  ่ ความเขาใจแจมแจงสวนนี้คือ "ปญญา" ขณะทําวัตรสวดมนต เมือตั้งใจศึกษา แกใขปรับปรุง เปลียนความคิด ่ ่ ความเห็นใหเปนไปตามธรรมะที่ทองบนอยู จนในขณะนั้น จิตใจเกิดความ  ผองใส สงบ เยือกเย็น เปนสภาวะของธรรมปรากฏขึ้นในใจของเรา ปรากฏ ขึ้นในใจของเรา ปรากฏการณเชนนี้ก็จะคลายกับวาเราไดพบกับพระพุทธองคที่ แทจริง คือธรรมะ ดังที่ทานตรัสไววา "ผูใดเห็นธรรมผูนนเห็นเรา"     ้ั ดังนั้น การศึกษาธรรมะในขณะทําวัตรสวดมนต หากไมทําดวยใจที่เลื่อน ลอยหรือจําใจทําแลว หากกระทําดวยสติปญญา ตั้งใจเรียนรู ไตรตรองตาม เหตุผลแลวนําไปปฏิบัติอยางจริงจัง ยอมเปนบอเกิดแหงการเปลี่ยนแปลงทาง จิตใจ จากใจทีสกปรกไปสูใจที่สะอาด จากใจทีมดมัวไปสูใจที่สวาง และจาก ่ ่ ื  ใจที่เรารอนไปสูใจทีสงบในทีสด อันเปนสภาวะจิตใจทีพนทุกข ดังเชนที่ ่ ่ ุ ่  พระพุทธองคไดทรงกระทําใหเราไดเห็นเปนตัวอยางแลว (คัดลอกจากหนังสือ ทําวัตรสวดมนต วัดหนองปาพง จ.อุบลราชธานี) ๙
  • 20. สอบถามกําหนดการปฏิบตธรรม ณ วัดศรีโยธิน โทรศัพท ๐๕๕-๗๑๐-๒๘๐ ั ิ การเตรียมตัว จัดเตรียมขาวของเครื่องใชสวนตัวเทาที่จําเปน ไมควรนําของมีคาติดตัวไป การแตงกาย บุรษแตงชุดขาวสุภาพ สุภาพสตรีแตงชุดขาว นุงผาถุง หมสไบ ๑๐
  • 22. ระเบียบปฏิบัติของผู้ท่เข้ามาปฏิบัติธรรม ณ วัดศรีโยธิน ี ๑. ใหยนดีในเสนาสนะทีจดให และใหทําความสะอาดเก็บกวาดที่พัก ิ ่ั ถนนทางเขาออกใหสะอาด ๒. เมื่อกิจของผูปฏิบัตธรรมเกิดขึน เชน ทําวัตรเชา – เย็น ฯลฯ ิ ้ ใหพรอมกันทํา เมือเลิกใหพรอมกันเลิก อยาทําตนใหเปนทีรงเกียจของ ่ ่ั หมูคณะ คือ เปนผูมายาสาไถย หลีกเลี่ยง แกตว  ั ๓. เวลารับประทานอาหาร ลางภาชนะ ทําความสะอาดใหเรียบรอย ใหทําดวยความมีสติ ๔. ใหทําตนเปนผูมักนอยในการพูด กิน นอน ราเริง จงเปนผูตื่นอยูดวย -    ความเพียร ๕. หามคุยกันเปนกลุมกอนทั้งกลางวันและกลางคืนในที่ทั่วไป หรือทีพัก ่ เวนแตมีเหตุจําเปน ถึงกระนันก็อยาเปนผูคลุกคลีและเอิกเกริกเฮฮา ้ ๖. หามสูบบุหรี่ กินหมาก และสิงเสพติดทุกชนิด ่ ๗. หามเรียไร บอกบุญตาง ๆ โดยเด็ดขาด ่ ๘. ใหตั้งใจในการประพฤติปฏิบัติ ๙. ไมมกจจําเปน หามเขาไปคลุกคลีในกุฏิกบภิกษุและสามเณร โดยเด็ดขาด ีิ ั ๑๐. หามเปดวิทยุ และ การละเลนตางๆ ภายในบริเวณวัด ๑๑. เมื่อจะทําอะไรนอกเหนือจากหนาที่ใหปรึกษาสงฆ หรือ ผูเปนประธานใน สงฆเสียกอน เมือเห็นวาเปนธรรม เปนวินัย และจึงทํา อยาทําตามใจ - ่ ของตัวเองฯ ๑๒
  • 23. ขอกติกาทังหมดนี้ เปนไปเพื่อความเปนระเบียบเรียบรอยของหมูคณะ ้ ขอใหผูปฏิบัติธรรม พึงสังวรไววา เรามาปฏิบตธรรมเพือขัดเกลาจิตใจ และ ั ิ ่ เพื่อสรางจริตนิสยทีดีงามใหเกิดขึ้นแกตน มิใชมาเพื่อทําตามใจตนเอง แตมา ั ่ ทําใจตนเองใหถกตองดวยการประพฤติปฏิบติเจริญสติ เพราะฉะนั้น หากทาน ู ั ผูใดไมสามารถทําตามขอกติกาที่กําหนดไว หรือทําตนเปนคนมีปญหา เรื่อง มากในการกินการอยู ไมปฏิบติตามกฎกติกานี้ คณะสงฆมอํานาจเต็มที่ใน ั ี การบริหารเพื่อใหเกิดความเรียบรอยแกหมูคณะตอไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ๑๓
  • 24. กํา หนดเวลาการปฏิ บั ติ ธ รรม เวลา การปฏิบติ ั ๐๓.๓๐ น. ตื่นนอนทํากิจสวนตัว ๐๔.๐๐ น. สวดมนตทําวัตรเชา – ปฏิบัตธรรม ิ ๐๗.๐๐ น. รับประทานอาหารเชา ๐๗.๓๐ น. พักผอนดวยความมีสติ ๐๘.๓๐ น. ปฏิบติธรรม ั ๑๑.๐๐ น. รับประทานอาหารเที่ยง ๑๒.๓๐ น. ปฏิบติธรรม ั ๑๕.๓๐ น. ทําความสะอาด กวาดลานวัด ทําสรีรกิจสวนตัว ๑๗.๐๐ น. สวดมนตทาวัตรเย็น – ปฏิบติธรรม ํ ั ๑๙.๐๐ น. พักดืมน้ําปานะ ่ ๑๙.๓๐ น. สอบอารมณ – ปฏิบติธรรมั ๒๑.๐๐ น. พักผอนดวยความมีสติ *** ตารางอาจเปลี่ยนแปลงไดตามความเหมาะสม *** ๑๔
  • 26. เมื่อพระคุณเจามาถึง ผูปฏิบตธรรมพึงนั่งคุกเขาประนมมือกราบ ๓ ครัง ั ิ ้ เสร็จแลว กลาวคําบูชาพระ กราบพระ วาดังนี้... คําบูชาพระรัตนตรัย อิมนา สักกาเรนะ, พุทธัง อะภิปชะยามิ, ิ ู อิมนา สักกาเรนะ, ธัมมัง อะภิปชะยามิ, ิ ู อิมนา สักกาเรนะ, สังฆัง อะภิปชะยามิ, ิ ู กราบพระรัตนตรัย วาพรอมกันดังนี้ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ, (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ, (กราบ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สังฆัง นะมามิ. (กราบ) ๑๖
  • 27. ตอไปกลาวคําอาราธนาศีล วาพรอมกันดังนี้ คําอาราธนาศีล ๕ มะยัง ภันเต, วิสง วิสุง รักขะนัตถายะ, ุ ติสะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ, ทุติยมป มะยัง ภันเต, วิสง วิสุง รักขะนัตถายะ, ั ุ ติสะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ, ตะติยมป มะยัง ภันเต, วิสง วิสง รักขะนัตถายะ, ั ุ ุ ติสะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ, คําอาราธนาศีล ๘ มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ, ทุติยมป มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, ั อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ, ตะติยมป มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, ั อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ, เสร็จแลวกราบ ๑ ครั้ง นั่งพับเพียบพนมมือ (ถาคนเดียววา อะหัง ภันเต แทน มะยัง ภันเต, ยาจามิ แทน ยาจามะ.) ๑๗
  • 28. ลําดับนั้น พระคุณเจากลาวคํานมัสการ ฯ นําผูปฏิบติ ใหวาตาม ดังนี้  ั  นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (วา ๓ ครัง) ้ ครั้นแลวพระคุณเจานําเปลงวาจาวาไตรสรณคมนตามไปทีละพากยวา ดังนี้  ไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยมป ั พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยมป ั ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยมป ั สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยมป ั พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยมป ั ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยมป ั สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, เมื่อจบแลว พระคุณเจาบอกวา “ ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ” ผูปฏิบัตพงรับวา “ อามะ ภันเต ” ิ ึ ลําดับนั้นพึงสมาทานสิกขาบท ๕ ประการ หรือ ๘ ประการ วาตามพระคุณเจาดังนี้ ๑๘
  • 29. คําสมาทานศีล ๑. ปาณาติปาตา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๒. อะทินนาทานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๓. อะพ๎รหมะจะริยา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ั ๎ ๔. มุสาวาทา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๖. วิกาละโภชะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๗. นัจจะคีตะวาทิตะ วิสกะทัสสะนะ, มาลาคันธะ วิเลปะนะ, ธาระณะ ู มัณฑะนะ วิภสะนัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ู ๘. อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. สําหรับผูทสมาทานศีล ๕ ใหสมาทานศีล ถึงขอที่ ๕ ่ี และเปลี่ยนขอที่ ๓ วาดังนี้ กาเมสุมจฉาจารา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ิ ลําดับตอจากนั้น พระคุณเจาจะกลาววา อิมานิ อัฏฐะ (ปญจะ*) สิกขาปะทานิ, สีเลนะ สุคะติง ยันติ, สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลง วิโสทะเย. ๎ ั ผูสมาทานศีลพึงรับวา “สาธุ” เสร็จแลวนั่งคุกเขา กราบ ๓ ครั้ง หมายเหตุ: * ใชสาหรับสมาทานศีล ๕ ํ ๑๙
  • 30. พิธีรกษาอุโบสถศีล ั เมื่อพระสงฆสามเณรทําวัตรเชาเสร็จแลวอุบาสก-อุบาสิกา พึงทําวัตรเชา โดยเริ่มคําบูชาพระ วา ยะมะหัง สัมมาสัมพุทธัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะโต, (หญิงวา คะตา) พระผูมพระภาค, พระองคตรัสรูดีแลวโดยชอบพระองคใด, ขาพเจาถึงแลววา  ี  เปนที่พึ่งกําจัดภัยจริง, อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ภะคะวันตัง, อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชา, ซึ่งพระผูมีพระภาคนั้น, ดวยเครื่องสักการะอันนี้.  ยะมะหัง ส๎วากขาตัง, ธัมมัง สะระณัง คะโต, (หญิงวา คะตา) พระธรรมที่พระผูมพระภาค, พระองคตรัสไวดีแลวสิ่งใด, ขาพเจาถึงแลววา ี เปนที่พึงกําจัดภัยจริง, อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ธัมมัง, อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชา, ซึ่งพระธรรมนัน, ดวยเครื่องสักการะอันนี้. ้ ยะมะหัง สุปะฏิบันนัง, สังฆัง สะระณัง คะโต (หญิงวา คะตา) พระสงฆททานเปนผูปฏิบติดีแลวหมูใด, ขาพเจาถึงแลววา เปนที่พึ่งกําจัดภัยจริง, ่ี   ั อิมินา สักกาเรนะ, ตัง สังฆัง, อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชา, ซึ่งพระสงฆหมูนั้น, ดวยเครื่องสักการะอันนี้. อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบ)  ๒๐
  • 31. (ต อ จากนี้ ทํ า วั ต รเช า จบแล ว หั ว หน า อุ บ าสกหรื อ อุ บ าสิ ก าพึ ง คุ ก เข า ประนมมือประกาศองคอุโบสถ ทั้งคําบาลีและคําไทย ดังนี้) อัชชะ โภนโต ปกขัสสะ อัฏฐะมีทวะโส (ถาวันพระ ๑๕ ค่ํา วา ิ ปณณะระสีทวะโส ถา ๑๔ ค่ําวา จาตุททะสีทวะโส) เอวะรูโป โข โภนโต ิ ิ ทิวะโส พุทเธนะ ภะคะวะตา ปญญัตตัสสะ ธัมมัสสะวะนัสสะ เจวะ ตะทัตถายะ อุปาสะกะอุปาสิกานัง อุโปสะถัสสะ จะ กาโล โหติ หันทะ มะยัง โภนโต สัพเพ อิธะ สะมาคะตา ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมานุธัมมะ ปะฏิปตติยา ปูชะนัตถายะ อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง อัฏฐังคะ สะมันนาคะตัง อุโปสะถัง อุปะวะสิสสามาติ กาละปะริจเฉทัง กัต๎วา ตัง ตัง เวระมะณิง อารัมมะณัง กะริต๎วา อะวิกขิตตะจิตตา หุตวา ๎ สักกัจจัง อุโปสะถัง สะมาทิเยยยามะ อีทสง หิ อุโปสะถัง สัมปตตานัง ิ ั อัมหากัง ชีวิตง มา นิรัตถะกัง โหตุ ฯ ั คําแปล ขอประกาศเริ่มเรืองความที่จะสมาทานรักษาอุโบสถ อันพรอมไปดวย ่ องคแปดประการ ใหสาธุชนทีไดตั้งจิตสมาทานทราบทั่วกันกอน แตสมาทาน ่ ณ บัดนี้ ดวยวันนี้ เปนวันอัฏฐะมีดถทแปด (ถาวันพระ ๑๕ ค่ําวา วันปณณะ ิ ี ี่ ระสีดถทสบหา ถา ๑๔ ค่ําวา วันจาตุททะสีดถทสบสี) แหงปกษมาถึงแลว ิ ี ี่ ิ ิ ี ี่ ิ ่ ก็แหละวันเชนนี้ เปนกาลทีสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาทรงบัญญัตแตงตั้งไวให ่  ิ ประชุมกันฟงธรรม และเปนกาลที่จะรักษาอุโบสถของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เพื่อประโยชนแกการฟงธรรมนั้นดวย เชิญเถิดเราทั้งหลายทั้งปวง ที่ไดมา ประชุมพรอมกัน ณ ที่นี้ พึงกําหนดกาลวาจะรักษาอุโบสถตลอดวันหนึ่งกับคืน หนึ่งนี้ แลวพึงทําความเวนโทษนั้นๆเปนอารมณ คือ ๒๑
  • 32. o เวนจากการฆาสัตว ๑ o เวนจากลักฉอ, ถือเอาสิ่งของที่เจาของเขาไมให ๑ o เวนจากประพฤติกรรมที่เปนขาศึกแกพรหมจรรย ๑ o เวนจากเจรจาคําเท็จลอลวงผูอื่น ๑ o เวนจากดื่มสุราเมรัยอันเปนเหตุท่ตั้งแหงความประมาท ๑ ี o เวนจากบริโภคอาหาร ตั้งแตเวลาพระอาทิตยเที่ยงแลวไปจนถึงเวลา อรุณขึ้นมาใหม ๑ o เวนจากฟอนรําขับรองและประโคมเครื่องดนตรีตางๆ แตบรรดาที่ เปนขาศึกแกบุญกุศลทั้งสิ้น และทัดทรงประดับตกแตงรางกายดวย ดอกไมของหอม เครื่องประดับ เครื่องทาเครื่องยอม ผัดผิวทํากาย ใหวิจิตรงดงามตางๆ อันเปนเหตุที่ตั้งแหงความกําหนัดยินดี ๑ o เวน จากการนั่ ง นอนเหนือ เตียงตั่ ง มา ที่มี เทา สูง เกิน ประมาณและ ที่นั่งที่นอนใหญ ภายในมีนุนและสําลี และเครื่องปูลาดที่วิจิตรดวย เงินและทองตางๆ ๑ อยาใหมีจิตฟุงซานสงไปทีอื่น พึงสมาทานเอาองคอุโบสถทั้งแปดประการ ่ โดยเคารพ เพื่อจะบูชาสมเด็จพระผูมีพระภาค พระพุทธเจานั้นดวยธรรมมานุ-  ธรรมะปฏิบติ อนึ่ง ชีวิตของเราทั้งหลาย ที่ไดเปนอยูรอดมาถึงวันอุโบสถเชนนี้ ั จงอยาไดลวงไปเสียเปลาจากประโยชนเลย (เมื่อหัวหนาประกาศจบแลว พระสงฆผแสดงธรรมขึ้นนั่งบนธรรมาสน ู อุบาสก อุบาสิกา พึงนั่งคุกเขากราบพรอมกัน ๓ ครั้ง แลวกลาวคําอาราธนาอุโบสถศีลพรอมกัน วาดังนี้) ๒๒
  • 33. มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ (วา ๓ จบ) ตอนี้ คอยตั้งใจรับสรณคมนและศีลโดยเคารพ คือ ประนมมือวาตามคําที่พระสงฆบอกเปนตอนๆ วา นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ) พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยมป พุทธัง ั สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยมป ธัมมัง ั สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยมป สังฆัง ั สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยมป พุทธัง ั สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยมป ธัมมัง ั สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยมป สังฆังั สะระณัง คัจฉามิ, เมื่อพระสงฆวา ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตง ั พึงรับพรอมกันวา อามะ ภันเต ๑. ปาณาติปาตา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๒. อะทินนาทานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๓. อะพ๎รหมะจะริยา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ั ๎ ๔. มุสาวาทา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๖. วิกาละโภชะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ๒๓
  • 34. ๗. นัจจะคีตะวาทิตะ วิสกะทัสสะนะ, มาลาคันธะ วิเลปะนะ, ธาระณะ ู มัณฑะนะ วิภสะนัฏฐานา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, ู ๘. อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา, เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. อิมง, อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง, พุทธะปญญัตตัง, อุโปสะถัง, ั อิมญจะ รัตติง, อิมญจะ ทิวะสัง, สัมมะเทวะ, อะภิรกขิตุง, สะมาทิยามิ. ั ั ั ขาพเจาขอสมาทาน, ซึ่งอุโบสถศีล, อันประกอบไปดวยองคแปดประการ, เพื่อจะรักษาไวใหด, มิใหขาด, มิใหทําลาย, มิใหดางพรอย, ี  ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่ง, ในเวลานี้ (หยุดรับเพียงเทานี) ้ ตอนนี้ พระสงฆจะวา อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อุโปสะถะวะเสนะ มะนะสิกะริตวา สาธุกง อัปปะมาเทนะ รักขิตพพานิ ๎ ั ั (พึงรับพรอมกันวา) อามะ ภันเต (พระสงฆวาตอ) สีเลนะ สุคะติง ยันติ, สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพุตง ยันติ, ิ ตัสมา สีลง วิโสธะเย. ๎ ั พึงกราบพรอมกัน ๓ ครั้ง ตอนี้นั่งราบพับเพียบ ประนมมือฟงธรรม เมื่อจบแลวพึงใหสาธุการและสวดประกาศตนพรอมกัน ดังนี้ สาธุ สาธุ สาธุ ๒๔
  • 35. อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต (หญิงวา คะตา) อุปาสะกัตตัง (หญิงวา อุปาสิกตตัง) เทเสสิง ภิกขุสงฆัสสะ สัมมุขา ั ั เอตัง เม สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะเย ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง ทุกขะนิสสะระณัสเสวะ ภาคี อัสสัง (หญิงวา ภาคินสสัง) อะนาคะเตฯ ิ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา พุทเธ กุกมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง ั พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ ฯ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา ธัมเม กุกมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง ั ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม ฯ กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา สังเฆ กุกมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง ั สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ ฯ ๒๕
  • 36. คติกรรมฐาน กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทําความเพียรมาก พระธรรมสิงหบุราจารย (หลวงพอจรัญ ตธมฺโม) วัดอัมพวัน จังหวัดสิงหบุรี ๒๖
  • 38. เมื่อพระคุณเจาผูเปนประธานฝายสงฆมาถึง ผูปฏิบัติธรรมนั่งคุกเขา ประนมมือ ผูเปนประธาน ฯ กราบพระนั่งลง ผูปฏิบัติธรรมกราบ ๓ ครั้ง พรอมเพรียงกัน ตั ว แทนผู ป ฏิ บั ติ ธ รรมจุ ด เที ย นธู ป ผู ป ฏิ บั ติ ธ รรมกล า วคํ า บู ช าพระ กราบพระ อาราธนาศีล สมาทานศีล เมื่อสมาทานศีลเสร็จแลว ตอไปพึง ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐาน สมาทานพระกรรมฐาน นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (วา ๓ จบ) พรอมกัน ตอไปพึงวาตามผูนํา ดังนี้ อิมาหัง ภะคะวา, อัตตะภาวัง, ตุม๎หากัง, ปะริจจะชามิ, ขาแตองคสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา, ขาพเจาขอมอบกายถวายชีวิต,  ตอพระรัตนตรัย, คือพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ อิมาหัง อาจะริยะ, อัตตะภาวัง, ตุม๎หากัง, ปะริจจะชามิ, ขาแตพระอาจารยผูเจริญ, ขาพเจาขอมอบกายถวายตัว, ตอครูบาอาจารย, เพื่อเจริญวิปสสนากรรมฐาน นิพพานัสสะ, เม ภันเต, สัจฉิกะระณัตถายะ, กัมมัฏฐานังเทหิ, ขาแตทานผูเจริญ, ขอทานจงใหกรรมฐานแกขาพเจา,  เพื่อทําใหแจง, ซึ่งมรรคผลนิพพานตอไป ๒๘
  • 39. อะหัง สุขโต โหมิ, ิ ขอใหขาพเจาถึงสุข, ปราศจากทุกข, ไมมีเวร, ไมมภัย, ไมมีความ- ี ลําบาก, ไมมีความเดือดรอน, ขอใหมความสุข, รักษาตนอยูเถิด ี สัพเพ สัตตา, สุขิตา โหนตุ, ขอใหสัตวทั้งหลายทุกตัวตน, ตลอดเทพบุตร, เทพธิดาทุกพระองค, พระภิกษุ, สามเณร, และผูปฏิบติธรรมทุกทาน,  ั ขอทานจงมีความสุข, รักษาตนอยูเถิด อัทธุวัง เม ชีวิตตัง, ชีวิตของเราไมแนนอน, ความตายของเราแนนอน, เราตองตายแน, เพราะชีวิตของเรา, มีความตายเปนที่สุด, นับวาเปนโชคอันดีแลว, ที่เราไดเขามาปฏิบติ, วิปสสนากรรมฐาน, ณ โอกาสบัดนี, ั ้ ไมเสียทีทไดเกิดมา, พบพระพุทธศาสนา ี่ เยเนวะ ยันติ, นิพพานัง, พระพุทธเจา, และพระอรหันตสาวก, ไดดําเนินไปสูพระนิพพาน,  ดวยหนทางเสนนี้, ขาพเจาขอตั้งสัจจะอธิษฐาน, ปฏิญาณตน, ตอพระรัตนตรัย, และครูบาอาจารยวา, ตั้งแตนตอไป, ี้ ขาพเจาจะตั้งอกตั้งใจ, ประพฤติและปฏิบัต, เพือใหบรรลุมรรคผล, ิ ่ ดําเนินรอยตามพระองคทาน อิมายะ, ธัมมานุธมมะ, ปะฏิปตติยา, ระตะนัตตะยัง, ปูเชมิ, ั ขาพเจาขอบูชาพระรัตนตรัย, ดวยการปฏิบติธรรม, ั สมควรแกมรรคผลนิพพานนี้, ดวยสัจจะวาจา, ที่กลาวอางมานี้, ขอใหขาพเจาไดบรรลุ, มรรคผลนิพพานดวยเทอญ ฯ สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ (จบแลวกราบ ๓ ครั้ง) ๒๙
  • 40. ผูแทนนําเครื่องสักการะเขาไปถวายพระผูเปนอาจารย เสร็จแลว กราบ ๓ ครั้ง พรอมกัน นั่งพับเพียบประนมมือ ฟงโอวาทจากพระอาจารย... ๓๐
  • 42. เมื่อประธานจุดเทียน ธูป พึงพรอมกันนั่งคุกเขาประนมมือ คําบูชาพระรัตนตรัย (นํา) โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, (รับ) พระผูมพระภาคเจา พระองคใด, เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ, ี ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม. พระธรรมอันพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ตรัสสอนดีแลว, ี สุปะฏิปนโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ปฏิบัติดีแลว ี ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอบูชาอยางยิ่ง, ซึ่งพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น,  พรอมดวยพระธรรม, พรอมดวยพระสงฆ, อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปูชะยามะ, ดวยเครื่องสักการะเหลานี, ที่ยกขึ้นแลวตามสมควร, ้ สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป, พระผูมพระภาคเจา, แมปรินพพานนานแลว, ขอไดทรงกรุณาโปรดเถิด, ี ิ ปจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา, ขอไดมน้ําพระทัย, อนุเคราะหแกหมูชนที่เกิดมาในภายหลัง, ี อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ, ขอจงทรงรับเครืองสักการะทั้งหลายเหลานี, อันเปนบรรณาการของคนยาก, ่ ้ อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ, เพื่อประโยชนและความสุข, แกพวกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญฯ ๓๒
  • 43. อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจา, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง,  ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ, ขาพเจาอภิวาทพระผูมพระภาคเจา, ผูร, ผูตื่น, ผูเบิกบาน (กราบ) ี ู ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมเปนธรรมที่พระผูมพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว, ี ธัมมัง นะมัสสามิ, ขาพเจานมัสการพระธรรม (กราบ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา, ปฏิบัติดแลว,  ี ี สังฆัง นะมามิ, ขาพเจานอบนอมพระสงฆ (กราบ) ปุพพะภาคะนะมะการ (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา, พระองคนั้น,  อะระหะโต, เปนผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทธัสสะ, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, (วา ๓ ครั้ง) ๓๓
  • 44. พุทธาภิถุติง (หันทะ มะยัง พุทธาภิถุตง กะโรมะ เส.) ิ โย โส ตะถาคะโต, พระตถาคตเจานั้นพระองคใด, อะระหัง, เปนผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ, สุคะโต, เปนผูไปแลวดวยดี, โลกะวิท,ู เปนผูรูโลกอยางแจมแจง, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได, อยางไมมีใครยิ่งกวา, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เปนครูผูสอนของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย, พุทโธ, เปนผูรู, ผูตื่น, ผูเบิกบานดวยธรรม, ภะคะวา, เปนผูมีความจําเริญ, จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว, โย อิมง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง ั ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ, พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด, ไดทรงทําความดับทุกขใหแจง, ดวยพระปญญาอันยิ่งเองแลว, ทรงสอนโลกนี้, พรอมทั้งเทวดา, มาร, พรหม, และหมูสตว, พรอมทั้งสมณะพราหมณ, ั พรอมทั้งเทวดาและมนุษยใหรูตาม ๓๔
  • 45. โย ธัมมัง เทเสสิ, พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด, ทรงแสดงธรรมแลว,  อาทิกัล๎ยาณัง, ไพเราะในเบื้องตน, มัชเฌกัลยาณัง, ๎ ไพเราะในทามกลาง, ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง, ไพเราะในที่สุด สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสทธัง พ๎รัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ, ุ ๎ ทรงประกาศพรหมจรรย, คือแบบแหงการปฏิบตอนประเสริฐ, บริสทธิ, ั ิ ั ุ ์ บริบรณสนเชิง, พรอมทั้งอรรถะ(คําอธิบาย), พรอมทั้งพยัญชนะ (หัวขอ), ู ิ้ ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระผูมพระภาคเจา, พระองคนั้น, ี ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ, ขาพเจานอบนอมพระผูมพระภาคเจา, พระองคนน, ดวยเศียรเกลา.  ี ั้ (กราบระลึกพระพุทธคุณ) ๓๕
  • 46. ธัมมาภิถุติง (หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุตง กะโรมะ เส.) ิ โย โส ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมนั้นใด, เปนสิ่งทีพระผูมีพระภาคเจา, ไดตรัสไวดแลว, ่  ี สันทิฏฐิโก, เปนสิ่งทีผศึกษาและปฏิบต, พึงเห็นไดดวยตนเอง, ่ ู ั ิ อะกาลิโก, เปนสิ่งที่ปฏิบติได, และใหผลได, ไมจํากัดกาล. ั เอหิปสสิโก, เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอ่นวา, ทานจงมาดูเถิด,  ื โอปะนะยิโก, เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว, ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิ, เปนสิ่งทีผรูก็รูไดเฉพาะตน. ่ ู ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระธรรมนั้น, ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ, ขาพเจานอบนอมพระธรรมนัน, ดวยเศียรเกลา ้ (กราบระลึกพระธรรมคุณ) ๓๖
  • 47. สังฆาภิถุติง (หันทะ มะยัง สังฆาภิถุตง กะโรมะ เส.) ิ โย โส สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจานั้น หมูใด, ปฏิบัติดแลว,  ี ี อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบติตรงแลว,  ั ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด,  ปฏิบติเพือรูธรรมเปนเครื่องออกจากทุกขแลว, ั ่ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบติสมควรแลว,  ั ยะทิทง, ั ไดแกบุคคลเหลานี้คอ, ื จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, ๑ คูแหงบุรุษ ๔ คู , นับเรียงตัวบุรษได ๘ บุรุษ, ุ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นั่นแหละสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา,  ๑ สี่คูคือ : โสดาปตติมรรค-โสดาปตติผล, สกิทาคามิมรรค-สกิทาคามิผล, อนาคามิมรรค-อนาคามิผล, อรหัตตมรรค-อรหัตผล ๓๗
  • 48. อาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา, ปาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ, ทักขิเณยโย, เปนผูควรรับทักษิณาทาน, อัญชะลีกะระณีโย, เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา, ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ, ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระสงฆหมูนั้น, ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ, ขาพเจานอบนอมพระสงฆหมูนั้น, ดวยเศียรเกลา (กราบระลึกพระสังฆคุณ) เสร็จแลวนั่งพับเพียบ ๓๘
  • 49. ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา (หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส.) พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว, พระพุทธเจาผูบริสทธิ, มีพระกรุณาดุจหวงมหรรณพ, ุ ์ โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน, พระองคใด, มีตาคือญาณอันประเสริฐ, หมดจดถึงที่สุด, โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก, เปนผูฆาเสียซึ่งบาป, และอุปกิเลสของโลก, วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น, โดยใจเคารพเอือเฟอ, ้  ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, พระธรรมของพระศาสดา, สวางรุงเรืองเปรียบดวงประทีป, โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก, จําแนกประเภทคือ, มรรค, ผล, นิพพานสวนใด, โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน, ซึ่งเปนตัวโลกุตตระ, และสวนใดที่ชี้แนวแหงโลกุตตระนั้น, วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น, โดยใจเคารพเอือเฟอ. ้  ๓๙
  • 50. สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต, พระสงฆเปนนาบุญอันยิ่งใหญ, กวานาบุญอันดีทั้งหลาย, โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก, เปนผูเห็นพระนิพพาน, ตรัสรูตามพระสุคตหมูใด, โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส, เปนผูละกิเลสเครื่องโลเล, เปนพระอริยเจามีปญญาดี, วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น, โดยใจเคารพเอื้อเฟอ, อิจเจวะเมกันตะภิปชะเนยยะกัง, วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง, ปุญญัง- ู มะยา ยัง มะมะ สัพพุปททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะ สิทธิยา ฯ บุญใดที่ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งวัตถุสาม, คือ พระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยสวนเดียว, ไดกระทําแลวเปนอยางยิ่งเชนนี้นี้, ขออุปททะวะ (ความชั่ว) ทั้งหลาย, จงอยาไดมีแกขาพเจาเลย, ดวยอํานาจความสําเร็จอันเกิดจากบุญนั้น สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปนโน, พระตถาคตเจาเกิดขึ้นแลวในโลกนี้, อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก, และพระธรรมที่ทรงแสดง, เปนธรรมเครื่องออกจากทุกข, ๔๐
  • 51. อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก, เปนเครื่องสงบกิเลส, เปนไปเพื่อปรินิพพาน, สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต, เปนไปเพื่อความรูพรอม, ไปธรรมที่พระสุคตประกาศ, มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ, พวกเราเมื่อไดฟงธรรมนั้นแลว, จึงไดรูอยางนี้วา, ชาติป ทุกขา, แมความเกิดก็เปนทุกข, ชะราป ทุกขา, แมความแกก็เปนทุกข. มะระณัมป ทุกขัง, แมความตายก็เปนทุกข, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา, แมความโศก, ความร่ําไรรําพัน, ความไมสบายกาย, ความไมสบายใจ, ความคับแคนใจ, ก็เปนทุกข อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ความประสบกับสิ่งไมเปนที่รักที่พอใจ, ก็เปนทุกข, ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักที่พอใจ, ก็เปนทุกข, ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง มีความปรารถนาสิ่งใด, ไมไดสิ่งนั้น, นั่นก็เปนทุกข, สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา, วาโดยยอ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข, เสยยะถีทัง, ไดแกสิ่งเหลานี้คือ, ๔๑
  • 52. รูปูปาทานักขันโธ, ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ รูป, เวทะนูปาทานักขันโธ, ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ เวทนา, สัญูปาทานักขันโธ, ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ สัญญา, สังขารูปาทานักขันโธ, ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ สังขาร, วิญญาณูปาทานักขันโธ, ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น, คือ วิญญาณ, เยสัง ปะริญญายะ, เพื่อใหสาวกกําหนดรอบรูอุปาทานขันธเหลานี้เอง,  ธะระมาโน โส ภะคะวา, จึงพระผูมพระภาคเจานั้น, เมื่อยังทรงพระชนมอยู, ี เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ, ยอมทรงแนะนําสาวกทั้งหลาย, เชนนี้เปนสวนมาก, เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี, พะหุลา ปะวัตตะติ, อนึ่ง คําสังสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น, ยอมเปนไปในสาวก- ่  ทั้งหลาย, สวนมาก, มีสวนคือการจําแนกอยางนี้วา, รูปง อะนิจจัง, รูปไมเที่ยง, เวทะนา อะนิจจา, เวทนาไมเที่ยง, ๔๒
  • 53. สัญญา อะนิจจา, สัญญาไมเที่ยง, สังขารา อะนิจจา, สังขารไมเที่ยง, วิญญาณัง อะนิจจัง, วิญญาณไมเที่ยง, รูปง อะนัตตา, รูปไมใชตวตน, ั เวทะนา อะนัตตา, เวทนาไมใชตัวตน, สัญญา อะนัตตา, สัญญาไมใชตัวตน, สังขารา อะนัตตา, สังขารไมใชตัวตน, วิญญาณัง อะนัตตา, วิญญาณไมใชตัวตน, สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขารทั้งหลายทั้งปวงไมเที่ยง, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ, ธรรมทั้งหลายทั้งปวง, ไมใชตวตน ดังนี, ั ้ เต (ตา)๑ มะยัง โอติณณาม๎หะ, พวกเราทั้งหลาย, เปนผูถูกครอบงําแลว, ชาติยา, โดยความเกิด, ชะรามะระเณนะ, โดยความแกและความตาย, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, โดยความโศก, ความร่ําไรรําพัน, ความไมสบายกาย, ความไมสบายใจ, ความคับแคนใจทั้งหลาย, ทุกโขติณณา, เปนผูถูกความทุกขหยั่งเอาแลว, ทุกขะปะเรตา, เปนผูมีความทุกขเปนเบื้องหนาแลว, อัปเปวะนา มิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปญญาเยถาติ, ทําไฉน, การทําทีสดแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฏชัดแกเราได, ่ ุ ๔๓
  • 54. ( สําหรับพระภิกษุ – สามเณรสวด ) จิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง, เราทั้งหลาย, อุทิศเฉพาะพระผูมีพระภาคเจา, ผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, แมปรินิพพานนานแลวพระองคนั้น, สัทธา อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปพพะชิตา, เปนผูมีศรัทธาออกบวชจากเรือน, ไมเกี่ยวของดวยเรือนแลว, ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรามะ, ประพฤติอยูซึ่งพรหมจรรย, ในพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น, ๑ ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา, ถึงพรอมดวยสิกขาและธรรม, เปนเครื่องเลี้ยงชีวิต, ของภิกษุทั้งหลาย, ตังโน พ๎รัห๎มะจะริยัง อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตูต.ิ ขอใหพรหมจรรยของเราทั้งหลายนั้น, จงเปนไปเพื่อการทําที่สุด, แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้เทอญ ฯ.... ๑ สามเณรไมตองสวดคําวา ภิกขูนง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา พรอมคําแปล ั ๔๔
  • 55. ( สําหรับอุบาสก – อุบาสิกา ) จิระปะรินิพพุตมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคะตา, ั เราทั้งหลาย, ผูถึงแลวซึ่งพระผูมพระภาคเจา, ี แมปรินพพานนานแลว, พระองคนั้น, เปนสรณะ, ิ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ, ถึงพระธรรมดวย, ถึงพระสงฆดวย, ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ, อะนุปะฏิปชชามะ, จักทําในใจอยู, ปฏิบัติตามอยู, ซึ่งคําสังสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น, ่  ตามสติกําลัง, สา สา โน ปะฏิปตติ, ขอใหความปฏิบัตินน ๆ, ของเราทั้งหลาย, ั้ อิมสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อัตตะกิริยายะ สังวัตตะตูติ, ั จงเปนไปเพื่อการทําที่สุด, แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้เทอญ ฯ ๔๕
  • 56. ท๎วัตติงสาการปาฐะ (หันทะ มะยัง ท๎วัตติงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส.) อะยัง โข เม กาโย, กายของเรานี้แล, อุทธัง ปาทะตะลา, เบื้องบนแตพ้นเทาขึ้นมา, ื อะโธ เกสะมัตถะกา, เบื้องต่ําแตปลายผมลงไป, ตะจะปะริยันโต, มีหนังหุมอยูเปนที่สดรอบ, ุ ปูโรนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน, เต็มไปดวยของไมสะอาด มีประการตางๆ, อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย, มีอยูในกายนี้, เกสา, คือ...ผมทั้งหลาย, โลมา, คือ...ขนทั้งหลาย, นะขา, คือ...เล็บทั้งหลาย, ทันตา, คือ...ฟนทั้งหลาย, ตะโจ, หนัง, มังสัง, เนื้อ, นะหารู, เอ็นทั้งหลาย, อัฏฐี, กระดูกทั้งหลาย, อัฏฐิมิญชัง, เยื่อในกระดูก, วักกัง, ไต, หะทะยัง, หัวใจ, ยะกะนัง, ตับ, ๔๖
  • 57. กิโลมะกัง, พังผืด, ปหะกัง, มาม, ปปผาสัง, ปอด, อันตัง, ไสใหญ, อันตะคุณัง, สายรัดไส, อุทะริยัง, อาหารใหม, กะรีสัง, อาหารเกา, ปตตัง, น้ําดี, เสมหัง, น้ําเสลด, ปุพโพ, น้ําเหลือง, โลหิตัง, น้ําเลือด, เสโท, น้ําเหงื่อ, เมโท, น้ํามันขน, อัสสุ, น้ําตา, วะสา, น้ํามันเหลว, เขโฬ, น้ําลาย, สิงฆาณิกา, น้ํามูก, ละสิกา, น้ํามันไขขอ, มุตตัง, น้ํามูตร, มัตถะเกมัตถะลุงคัง, เยื่อในสมอง, เอวะ มะยัง เม กาโย, กายของเรานี้อยางนี้, อุทธังปาทะตะลา, เบื้องบนแตพื้นเทาขึ้นมา, ๔๗
  • 58. อะโธเกสะมัตถะกา, เบื้องต่ําแตปลายผมลงไป, ตะจะปะริยันโต, มีหนังหุมอยูเปนที่สุดรอบ, ปูโรนานัปปะการัสสะ อะสุจโน. ิ เต็มไปดวยของไมสะอาด, มีประการตางๆ อยางนี้แลฯ บทพิจารณาสังขาร (ทุกเวลาทําวัตรเชาและเวลาเขานอน) (หันทะ มะยัง ธัมมะสังเวคะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขารคือรางกายจิตใจ, แลรูปธรรมนามธรรมทังหมดทั้งสิน, ้ ้ มันไมเที่ยง, เกิดขึ้นแลวดับไปมีแลวหายไป, สัพเพ สังขารา ทุกขา, สังขารคือรางกายจิตใจ, แลรูปธรรมนามธรรมทังหมดทั้งสิน, ้ ้ มันเปนทุกขทนยาก, เพราะเกิดขึ้นแลวแกเจ็บตายไป, สัพเพ ธัมมา อะนัตตา, สิ่งทั้งหลายทั้งปวง, ทั้งที่เปนสังขาร, แลมิใชสังขารทั้งหมดทั้งสิ้น, ไมใชตัวไมใชตน, ไมควรถือวาเรา, วาของเราวาตัววาตนของเรา, อะธุวัง ชีวิตัง, ชีวิตเปนของไมยั่งยืน, ธุวัง มะระณัง, ความตายเปนของยั่งยืน, อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง, อันเราจะพึงตายเปนแท, ๔๘
  • 59. มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง, ชีวิตของเรามีความตายเปนที่สดรอบ, ุ ชีวิตัง เม อะนิยะตัง, ชีวิตของเราเปนของไมเที่ยง, มะระณัง เม นิยะตัง, ความตายของเราเปนของเที่ยง, วะตะ, ควรที่จะสังเวช, อะยัง กาโย, รางกายนี้, อะจิรัง, มิไดตั้งอยูนาน, อะเปตะวิญญาโณ, ครั้นปราศจากวิญญาณ, ฉุฑโฑ, อันเขาทิ้งเสียแลว, อะธิเสสสะติ, จักนอนทับ, ปะฐะวิง, ซึ่งแผนดิน, กะลิงคะรัง อิวะ, ประดุจดังวาทอนไมและทอนฟน, นิรัตถัง, หาประโยชนมิได, อะนิจจา วะตะ สังขารา, สังขารทั้งหลายไมเที่ยงหนอ, อุปปาทะวะยะธัมมิโน, มีความเกิดขึ้นแลวมีความเสื่อมไป - เปนธรรมดา, อุปปชชิต๎วา นิรุชฌันติ, ครั้นเกิดขึนแลวก็ยอมดับไป, ้ เตสัง วูปะสะโม สุโข. ความเขาไปสงบระงับสังขารทั้งหลาย, เปนสุขอยางยิ่ง, ดังนี้. ๔๙
  • 60. สัจจะกิริยะคาถา (หันทะ มะยัง สัจจะกิริยะคาถาโย ภะณามะ เส.) นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมม, พระพุทธเจาเปนที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา, ี เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, โหตุ เม ชะยะมังคะลัง, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอความสุขสวัสดี, จงมีแกขาพเจาทั้งหลาย, นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมม, พระธรรมเปนที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา, ี เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, โหตุ เม ชะยะมังคะลัง, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอความสุขสวัสดี, จงมีแกขาพเจาทั้งหลาย, นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมม, พระสงฆเปนที่พ่งอันประเสริฐของขาพเจา, ี ึ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, โหตุ เม ชะยะมังคะลัง, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขอความสุขสวัสดี, จงมีแกขาพเจาทั้งหลาย, ๕๐
  • 61. นมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ (หันทะ มะยัง สะระภัญเญนะ พุทธะมังคะละคาถาโย ภะณามะ เส.) สัมพุทโธ ทิปะทังเสฏโฐ นิสนโน เจวะ มัชฌิเม ิ โกณฑัญโญ ปุพพะภาเค จะ อาคะเนยเย จะ กัสสะโป สารีปตโต จะ ทักขิเณ ุ หะระติเย อุปาลี จะ ปจฉิเมป จะ อานันโท พายัพเพ จะ คะวัมปะติ โมคคัลลาโน จะ อุตตะเร อิสาเนป จะ ราหุโล อิเม โข มังคะลา พุทธา สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา วันทิตา เต จะ อัมเหหิ สักกาเรหิ จะ ปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุ โน ฯ อิจเจวะมัจจัน ตะนะมัสสะเนยยัง นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยัง ยัง ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง ตัสสานุภาเวนะหะตันตะราโย ฯ ๕๑
  • 62. ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ (หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (ข้อว่าด้วยจีวร) ปะฏิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวจึงนุงหมจีวร,  ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว, อุณ๎หสสะ ปะฏิฆาตายะ, ั เพื่อบําบัดความรอน, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด, และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย, ยาวะเทวะ หิริโกปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง ฯ และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะอันใหเกิดความละอาย. (ขอวาดวยบิณฑบาต) ปะฏิสังขา โยนิโส ปณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวฉันบิณฑบาต, เนวะ ทวายะ, ไมใหเปนไปเพือความเพลิดเพลินสนุกสนาน, ่ ๕๒
  • 63. นะ มะทายะ, ไมใหเปนไปเพื่อความเมามันเกิดกําลังพลังทางกาย, นะ มัณฑะนายะ, ไมใชเปนไปเพื่อประดับ, นะ วิภูสะนายะ, ไมใชเปนไปเพื่อตกแตง, ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา, แตใหเปนไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไดแหงกายนี้, ยาปะนายะ, เพื่อความเปนไปไดของอัตภาพ, วิหิงสุปะระติยา, เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบากทางกาย, พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ, เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติพรหมจรรย, อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ, ดวยการทําอยางนี, เรายอมระงับเสียไดซึ่งทุกขเวทนาเกาคือ ความหิว, ้ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น, ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ ฯ อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพนี้ดวย, ความเปนผูหาโทษ- มิไดดวย, และความเปนอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้.  ๕๓
  • 64. (ขอวาดวยเสนาสนะ) ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวใชสอยเสนาสนะ, ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว, อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด, และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย, ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง ฯ เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟาอากาศ, และเพือความเปนผูยินดีอยูไดในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา. ่  (ขอวาดวยคิลานเภสัช) ปะฏิสังขา โยนิโส คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวบริโภคเภสัชบริขารอันเกื้อกูลแกคนไข ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแลว, มีอาพาธตางๆ เปนมูล, อัพ๎ยาปชฌะปะระมะตายาติ. เพื่อความเปนผูไมมโรคเบียดเบียนเปนอยางยิ่ง, ดังนี้. ี ๕๔
  • 65. ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ (หันทะ มะยัง ธาตุปะฏิกูละปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (ขอวาดวยจีวร) ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, ยะทิทง จีวะรัง ฯ ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, ั สิ่งเหลานี้คือ จีวร, และคนผูใชสอยจีวรนั้น, ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ, นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน, นิสชีโว, มิใชชีวะอันเปนบุรุษบุคคล, สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน, สัพพานิ ปะนะ อิมานิ จีวะรานิ อะชิคุฉะนียานิ, ก็จีวรทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ ฯ ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้. ๕๕
  • 66. (ขอวาดวยบิณฑบาต) ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, ยะทิทัง ปณฑะปาโต ฯ ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานี้คือ บิณฑบาต, และคนผูบริโภคบิณฑบาตนั้น, ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ, นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน, นิสชีโว, มิใชชวะอันเปนบุรษบุคคล, ี ุ สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน, สัพโพ ปะนะยัง ปณฑะปาโต อะชิคุฉะนีโย, ก็บิณฑบาตทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายันติ ฯ ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้. (ขอวาดวยเสนาสนะ) ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, ๕๖
  • 67. ยะทิทัง เสนาสะนัง ฯ ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานี้คือ เสนาสนะ, และคนผูใชสอยเสนาสนะนั้น, ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ, นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน, นิสชีโว, มิใชชีวะอันเปนบุรุษบุคคล, สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน, สัพพานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชิคุฉะนียานิ, ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ ฯ ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้. (ขอวาดวยคิลานะเภสัช) ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานีนี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, ้ กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ, ยะทิทัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานีคือ คิลานะเภสัชบริขารอันเกือกูลแกคนไข, ้ ้ และคนผูบริโภคคิลานะเภสัชบริขารนั้น,  ๕๗
  • 68. ธาตุมัตตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ, นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน, นิสชีโว, มิใชชวะอันเปนบุรษบุคคล, ี ุ สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน, สัพโพ ปะนายัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร อะชิคุฉะนีโย, ก็คิลานะเภสัชบริขารทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ ฯ ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน, ดังนี้. ๕๘
  • 69. วันทามิ วันทามิ พุทธัง ภะวะปาระติณณัง, ตีโลกะเกตุง ติภะเวกะนาถัง, โย โลกะเสฏโฐ สะกะลัง กิเลสัง, เฉต๎วานะ โพเธสิ ชะนัง อะนันตัง ฯ ยัง นัมมะทายะ นะทิยา ปุลิเน จะ ตีเร, ยัง สัจจะพันธะคิริเก สุมะนาจะลัคเค, ยัง ตัตถะ โยนะกะปุเร มุนิโน จะ ปาทัง ตัง ปาทะลัญชะนะมะหัง สิระสา นะมามิ ฯ สุวัณณะมาลิเก สุวัณณะปพพะเต, สุมะนะกูเฏ โยนะกะปุเร, นัมมะทายะ นะทิยา ปญจะปาทะวะรัง ฐานัง, อะหัง วันทามิ ทูระโต ฯ อิจเจวะมัจจันตะนะมัสสะเนยยัง นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยัง ยัง ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง ตัสสานุภาเว นะหะตันตะราโย ฯ อามันตะยามิโว ภิกขะเว, ปะฏิเวทะยามิ โว ภิกขะเว ขะยะวะยะธัมมา สังขารา, อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ ฯ ๕๙
  • 70. กรวดน้ํา ตอนเช้ า สัพพปัตติทานคาถา (หันทะ มะยัง สัพพะปตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.) ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ ยานัญญานิ กะตานิ เม, เตสัญจะ ภาคิโน โหนตุ สัตตานันตาปปะมาณะกา, สัตวทั้งหลาย, ไมมที่สุด, ไมมีประมาณ, ี จงมีสวนแหงบุญที่ขาพเจาไดทาในบัดนี,  ํ ้ และแหงบุญอื่นที่ไดทําไวกอนแลว, เย ปยา คุณะวันตา จะ มัยหัง มาตาปตาทะโย, ทิฏฐา เม จาป๎ยะทิฏฐา วา อัญเญ มัชฌัตตะเวริโน, คือจะเปนสัตวเหลาใด, ซึ่งเปนที่รกใครและมีบญคุณ, ั ุ เชนมารดาบิดาของขาพเจาเปนตน ก็ด, ที่ขาพเจาเห็นแลว, ี หรือไมไดเห็นก็ด, สัตวเหลาอื่นที่เปนกลางๆ, หรือเปนคูเวรกัน ก็ด, ี ี สัตตา ติฏฐันติ โลกัส๎มิง เต ภุมมา จะ ตุโยนิกา, ปญเจกะจะตุโวการา สังสะรันตา ภะวาภะเว, สัตวทั้งหลายตั้งอยูในโลก, อยูในภูมิทั้งสาม, อยูในกําเนิดทั้งสี, ่ มีขันธหาขันธ, มีขันธขันธเดียว, มีขันธสี่ขันธ,  กําลังทองเที่ยวอยูในภพนอยภพใหญกด, ็ ี ๖๐
  • 71. ญาตัง เย ปตติทานัมเม อะนุโมทันตุ เต สะยัง, เย จิมัง นัปปะชานันติ เทวา เตสัง นิเวทะยุง, สัตวเหลาใด, รูสวนบุญที่ขาพเจาแผใหแลว, สัตวเหลานัน, ้ จงอนุโมทนาเองเถิด, สวนสัตวเหลาใด, ยังไมรูสวนบุญนี้,  ขอเทวดาทั้งหลาย, จงบอกสัตวเหลานั้นใหรู มะยา ทินนานะ ปุญญานัง อะนุโมทะนะเหตุนา, สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน, เขมัปปะทัญจะ ปปโปนตุ เตสาสา สิชฌะตัง สุภา เพราะเหตุที่ไดอนุโมทนาสวนบุญที่ขาพเจาแผใหแลว, สัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงเปนผูไมมีเวร, อยูเปนสุขทุกเมือ,  ่ จงถึงบทอันเกษม, กลาวคือ พระนิพพาน, ความปรารถนาที่ดีงามของสัตวเหลานั้น, จงสําเร็จเถิด. ปัตติทานคาถา (หันทะ มะยัง ปตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.) ยา เทวะตา สันติวิหาระวาสินี, เทวดาเหลาใด, ที่อยูประจําในวัด, ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง, สิงสถิตอยู่ที่เรือนสถูป, ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์, และที่นั้น ๆ, ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา, เทวดาเหล่านั้น, เป็นผู้ที่เราบูชาด้วยธรรมทาน, ๖๑
  • 72. โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล, ขอจงทําความสวัสดี, ใหเกิดมีในบริเวณวัดนี้, เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว, ภิกษุทั้งหลาย, ที่เปนพระเถระ, เปนมัชฌิมะ, เปนนวกะ, สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา, ชาววัด อุบาสก อุบาสิกา, ผูเปนทานะบดี, คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อิสสะรา, ชาวบาน ชาวนิคม ชาวตางประเทศก็ด, และผูเปนอิสระเปนใหญ, ี สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต, ขอใหผูมีชีวิตเหลานั้น, จงมีความสุขเถิด, ชะลาพุชา เยป จะ อัณฑะสัมภะวา, สัตวทั้งหลาย, ที่เกิดในครรภ, เกิดในไข, เกิดในไคล, สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา, เกิดเปนพรหม, เทวดา, และเกิดในนรก, นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต, จงอาศัยธรรมอันประเสริฐ, เปนทางออกนําออกจากทุกข, สัพเพป ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง, สัตวท้งหลาย, จงทําความสิ้นไปแหงทุกขทั้งปวง, ั ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม, ขอพระธรรมของสัตบุรุษ, จงดํารงอยูตลอดกาลนาน, ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา, ขอบุคคลทั้งหลาย, ผูทรงไวซึ่งความเปนธรรม, จงมีอายุยืน, ๖๒
  • 73. สังโฆ โหตุ สะมัคโค วะ, ขอพระสงฆจงมีความพรอมเพรียงกัน, อัตถายะ จะ หิตายะ จะ, เพื่อประกอบสิ่งอันเปนประโยชน, และความเกื้อกูล, อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม สัพเพป ธัมมะจาริโน, ขอพระสัทธรรมจงรักษาเราทั้งหลาย, ผูประพฤติธรรมทั้งปวง, วุฑฒิง สัมปาปุเนยยามะ ธัมเม อะริยปปะเวทิเต ฯ ั ขอใหเราทั้งหลาย, พึงประสบความเจริญในพระธรรมวินัย, ที่พระอริยเจ้าประกาศไว้แล้ว, ปะสันนา โหนตุ สัพเพป ปาณิโน พุทธะสาสะเน, ขอสรรพสัตวทั้งปวง, จงเปนผูเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา, สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต กาเล เทโว ปะวัสสะตุ, ขอฝนเมื่อจะหลั่งลงมา, จงตกตองตามฤดูกาล, วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง, ขอฝนจงนําความสําเร็จมาสูแผนดิน, เพื่อความเจริญแกสรรพสัตวทั้งหลาย, มาตา ปตา จะ อัตระชัง นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง, ๎ มารดาบิดายอมรักษาบุตรที่เกิดในตนเปนนิจ ฉันใด, เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน, ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา, ขอพระราชาจงปกครองประชาชนโดยธรรม, ในกาลทุกเมื่อฉันนั้น เทอญ ฯ ๖๓
  • 74. กราบพระ อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ, ( กราบระลึกคุณพระพุทธ ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ, ( กราบระลึกคุณพระธรรม ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ, ( กราบระลึกคุณพระสงฆ ) มาตาปตคุณัง, อะหัง วันทามิ, ุ ( กราบระลึกคุณบิดา มารดา ) ครูอุปชฌาอาจาริยะคุณัง, อะหัง วันทามิ, ( กราบระลึกคุณครูบาอาจารย ) ประธาน ดับเทียน กราบพระรัตนตรัย... อุบาสก – อุบาสิกา พนมมือ กราบพระรัตนตรัยตอจาก...พระภิกษุ – สามเณร ๖๔
  • 76. เมื่อประธานจุดเทียน ธูป พึงพรอมกันนั่งคุกเขาประนมมือ คําบูชาพระรัตนตรัย (นํา) โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, (รับ) พระผูมพระภาคเจา พระองคใด, เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ, ี ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม. พระธรรมอันพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ตรัสสอนดีแลว, ี สุปะฏิปนโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา พระองคใด, ปฏิบัติดีแลว ี ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอบูชาอยางยิ่ง, ซึ่งพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น,  พรอมดวยพระธรรม, พรอมดวยพระสงฆ, อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปูชะยามะ, ดวยเครื่องสักการะเหลานี, ที่ยกขึ้นแลวตามสมควร, ้ สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป, พระผูมพระภาคเจา, แมปรินพพานนานแลว, ขอไดทรงกรุณาโปรดเถิด, ี ิ ปจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา, ขอไดมีน้ําพระทัย, อนุเคราะหแกหมูชนที่เกิดมาในภายหลัง, อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ, ขอจงทรงรับเครืองสักการะทั้งหลายเหลานี, อันเปนบรรณาการของคนยาก, ่ ้ อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ, เพือประโยชนและความสุข, แกพวกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญฯ ่ ๖๖
  • 77. อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจา, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง,  ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ, ขาพเจาอภิวาทพระผูมพระภาคเจา, ผูร, ผูตื่น, ผูเบิกบาน (กราบ) ี ู ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมเปนธรรมที่พระผูมพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว, ี ธัมมัง นะมัสสามิ, ขาพเจานมัสการพระธรรม (กราบ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา, ปฏิบัติดแลว,  ี ี สังฆัง นะมามิ, ขาพเจานอบนอมพระสงฆ (กราบ) ปุพพะภาคะนะมะการ (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมพระภาคเจา, พระองคนั้น,  ี อะระหะโต, เปนผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทธัสสะ, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, (วา ๓ ครั้ง) ๖๗
  • 78. ๑.พุทธานุสสติ (หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.) ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, ๎ ก็กตติศพทอันงามของพระผูมพระภาคเจานั้น, ไดฟงไปแลวอยางนี้วา, ิ ั  ี ุ อิตปโส ภะคะวา, ิ  เพราะเหตุอยางนี้ๆ, พระผูมีพระภาคเจานั้น, อะระหัง, เปนผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ, สุคะโต, เปนผูไปแลวดวยดี, โลกะวิทู, เปนผูรูโลกอยางแจมแจง, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได, อยางไมมีใครยิ่งกวา, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เปนครูผูสอนของเทวดาและมนุษยท้งหลาย, ั พุทโธ, เปนผูรู, ผูตื่น, ผูเบิกบานดวยธรรม, ภะคะวาติ. เปนผูมีความจําเริญ, จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว ดังนี้. ๖๘
  • 79. ๒.พุทธาภิคีติ (หันทะ มะยัง พุทธาภิคีตง กะโรมะ เส.) ิ พุทธ๎วาระหันตะวะระตาทิคณาภิยตโต, ุ ุ พระพุทธเจาประกอบดวยคุณ, มีความประเสริฐแหงอรหันตคุณเปนตน, สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต, มีพระองคอนประกอบดวยพระญาณ, และพระกรุณาอันบริสทธิ, ั ุ ์ โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลัง วะ สูโร, พระองคใด, ทรงกระทําชนทีดใหเบิกบาน, ดุจอาทิตยทําบัวใหบาน, ่ ี วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง, ขาพเจาไหวพระชินสีห, ผูไมมกิเลส, พระองคนั้น, ดวยเศียรเกลา, ี พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระพุทธเจาพระองคใด, เปนสรณะอันเกษมสูงสุด, ของสัตวทั้งหลาย, ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น, อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก, องคที่หนึ่ง, ดวยเศียรเกลา, พุทธัสสาหัส๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ พุทโธ เม สามีกิสสะโร, ขาพเจาเปนทาสของพระพุทธเจา, พระพุทธเจาเปนนาย, มีอสระเหนือขาพเจา, ิ ๑ สตรีพึงวา ทาสี ๖๙
  • 80. พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, พระพุทธเจาเปนเครืองกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา, ่ พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระพุทธเจา, วันทันโตหัง (ตีหัง)๒ จะริสสามิ, พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง, ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความตรัสรูดีของพระพุทธเจา, นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, สรณะอื่นของขาพเจาไมม, พระพุทธเจาเปนสรณะอันประเสริฐ - ี ของขาพเจา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนา, ของพระศาสดา, พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระพุทธเจา, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี, ้ สัพเพป อันตะรายา เม..., มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทังปวง, อยาไดมแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น. ้ ี  ๒ ๓ สตรีพึงวา วันทันตีหัง สตรีพึงวา มานายะ ๗๐
  • 81. (หมอบกราบลง แลวกลาวพรอมกันวา...) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ดวยกายก็ดี, ดวยวาจาก็ด, ดวยใจก็ด, ี ี พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจาไดกระทําแลว, ในพระพุทธเจา, พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระพุทธเจา, จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น, กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ, เพื่อการสํารวมระวัง, ในพระพุทธเจา, ในกาลตอไป. บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียงการเปดเผย ยอมรับในความผิดของตนเอง และคําวา ”โทษ” ในที่นี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายเพียงโทษเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว” ระหวาง กันที่พึงอโหสิกรรมกันได การขอขมาชนิดนี้จะสําเร็จได เมื่อผูขอตั้งใจทําจริง ๆ และเปนเพียง ศีลธรรม เปนสิ่งที่ควรประพฤติ ๗๑
  • 82. ๓.ธัมมานุสสติ (หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมใด, เปนสิ่งที่พระผูมพระภาคเจา, ไดตรัสไวดีแลว,  ี สันทิฏฐิโก, เปนสิ่งทีผศึกษาและปฏิบต, พึงเห็นไดดวยตนเอง, ่ ู ั ิ อะกาลิโก, เปนสิ่งที่ปฏิบัติได, และใหผลได, ไมจํากัดกาล. เอหิปสสิโก,  เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอื่นวา, ทานจงมาดูเถิด,  โอปะนะยิโก, เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว, ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ (อานวา วิญ – ู – ฮี – ติ) เปนสิ่งทีผรูก็รูไดเฉพาะตน ดังนี้ ่ ู ๗๒
  • 83. ๔. ธัมมาภิคติ ี (หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส.) ส๎วากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะเสยโย, พระธรรมเปนสิ่งที่ประเสริฐ, เพราะประกอบดวยคุณ, คือความทีพระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดแลวเปนตน ่  ี โย มัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท, มีธรรมอันจําแนกเปน, มรรค, ผล, ปริยัติ, และนิพพาน, ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี, เปนธรรมทรงไวซึ่งผูทรงธรรม, จากการตกไปสูโลกที่ชว, ั่ วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง, ขาพเจาไหวพระธรรมอันประเสริฐนั้น, อันเปนเครื่องขจัดเสียซึ่งความมืด, ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระธรรมใด, เปนสรณะอันเกษมสูงสุด, ของสัตวทั้งหลาย, ทุตยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ิ ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น, อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก, องคที่สอง, ดวยเศียรเกลา, ธัมมัสสาหัส๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ ธัมโม เม สามีกิสสะโร, ขาพเจาเปนทาสของพระธรรม, พระธรรมเปนนาย, มีอสระเหนือขาพเจา ิ ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, พระธรรมเปนเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา, ๗๓
  • 84. ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระธรรม, วันทันโตหัง (ตีหัง)๒ จะริสสามิ, ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง, ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความเปนธรรมดีของพระธรรม, นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, สรณะอื่นของขาพเจาไมม, พระธรรมเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา, ี เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยน้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนา, ี ของพระศาสดา, ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระธรรม, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้, สัพเพป อันตะรายา เม..., มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทังปวง, อยาไดมแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น. ้ ี  (หมอบกราบลง แลวกลาวพรอมกันวา...) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ดวยกายก็ดี, ดวยวาจาก็ด, ดวยใจก็ด, ี ี ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจาไดกระทําแลว, ในพระธรรม, ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระธรรมจงงดซึงโทษลวงเกินอันนั้น, ่ กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม, เพื่อการสํารวมระวัง, ในพระธรรม, ในกาลตอไป. ๑ ๒ ๓ สตรีพึงวา ทาสี สตรีพงวา วันทันตีหัง ึ สตรีพึงวา มานายะ ๗๔
  • 85. ๕. สังฆานุสสติ (หันทะ มะยัง สังฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  สงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัตดีแลว,  ี ิ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัตตรงแลว,  ี ิ ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด,  ปฏิบติเพือรูธรรมเปนเครื่องออกจากทุกขแลว, ั ่ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัตสมควรแลว,  ิ ยะทิทัง, ไดแกบคคลเหลานี้คอ, ุ ื จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, ๑ คูแหงบุรุษ ๔ คู , นับเรียงตัวบุรษได ๘ บุรุษ, ุ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นั่นแหละสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา,  อาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา, ๑ สี่คูคือ : โสดาปตติมรรค-โสดาปตติผล, สกิทาคามิมรรค-สกิทาคามิผล, อนาคามิมรรค-อนาคามิผล, อรหัตตมรรค-อรหัตผล ๗๕
  • 86. ปาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ, ทักขิเณยโย, เปนผูควรรับทักษิณาทาน, อัญชะลีกะระณีโย, เปนผูทบุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี, ี่ อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมนาบุญอื่นยิ่งกวา ดังนี้. ี ๖. สังฆาภิคติ ี (หันทะ มะยัง สังฆาภิคีตง กะโรมะ เส.) ิ สัทธัมมะโช สุปะฏิปตติคุณาทิยุตโต, พระสงฆทเกิดโดยพระสัทธรรม, ประกอบดวยคุณ, ี่ มีความปฏิบัติดีเปนตน, โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ, เปนหมูแหงพระอริยบุคคลอันประเสริฐ, แปดจําพวก,  สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต, มีกายและจิตอันอาศัยธรรม, มีศีลเปนตน, อันบวร, วันทามะหัง ตะมะริยา นะคะณัง สุสทธัง, ุ ขาพเจาไหวหมูแหงพระอริยเจาเหลานั้น, อันบริสุทธิดวยดี,  ์ สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระสงฆหมูใด, เปนสรณะอันเกษมสูงสุด, ของสัตวทั้งหลาย, ๗๖
  • 87. ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น, อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก, องคทสาม, ดวยเศียรเกลา, ี่ สังฆัสสาหัส๎มิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ สังโฆ เม สามีกสสะโร, ิ ขาพเจาเปนทาสของพระสงฆ, พระสงฆเปนนาย, มีอสระเหนือขาพเจา, ิ สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, พระสงฆเปนเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา, สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระสงฆ, วันทันโตหัง (ตีหัง)๒ จะริสสามิ, สังฆัสโสปะฏิปนนะตัง, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งประพฤติตาม, ซึ่งความปฏิบัติดของพระสงฆ, ี นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, สรณะอื่นของขาพเจาไมม, พระสงฆเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา, ี เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนา, ของพระศาสดา สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ)๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระสงฆ, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้, สัพเพป อันตะรายา เม..., มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทังปวง, อยาไดมแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น. ้ ี  ๑ ๒ ๓ สตรีพึงวา ทาสี สตรีพงวา วันทันตีหัง ึ สตรีพึงวา มานายะ ๗๗
  • 88. (หมอบกราบลง แลวกลาวพรอมกันวา...) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ดวยกายก็ดี, ดวยวาจาก็ดี, ดวยใจก็ดี, สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจาไดกระทําแลว, ในพระสงฆ, สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระสงฆจงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น, กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ, เพื่อการสํารวมระวัง, ในพระสงฆ, ในกาลตอไป. ๗๘
  • 90. ปุพพะภาคะนะมะการ (หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา, พระองคนั้น, อะระหะโต, เปนผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทธัสสะ, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, (วา ๓ ครั้ง) สรณคมนปาฐะ (หันทะ มะยัง ติสะระณะคะมะนะปาฐัง เส.) พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ, ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งที่สอง, ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ, ๘๐
  • 91. ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งที่สอง, ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ, ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งที่สอง, ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ, ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งที่สาม, ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ, ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งที่สาม, ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ, ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งที่สาม, ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ, อัฏฐสิกขาปทปาฐะ (หันทะ มะยัง อัฏฐะสิกขาปะทะปาฐัง ภะณามะ เส.) ปาณาติปาตา, เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา, อะทินนาทานา, เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของ, ที่เจาของไมไดใหแลว, อะพ๎รห๎มจะริยา เวระมะณี, ั เจตนาเปนเครื่องเวนจากการกระทํา, อันมิใชพรหมจรรย, มุสาวาทา, เวระมะณี เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง, ๘๑
  • 92. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการดืมสุราและเมรัย, ่ อันเปนที่ตงของความประมาท, ั้ วิกาละโภชะนา, เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการบริโภคอาหาร, ในเวลาวิกาล, นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกะ ทัสสะนะ, มาลา คันธะ วิเลปะนะ, ธาระณะ มัณฑะณะ วิภสะนัฏฐานา, เวระมะณี, ู เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฟอนรํา, การขับเพลง, การดนตรี, การดูการเลน, ชนิดเปนขาศึกตอกุศล, การทัดทรงสวมใส, การประดับ, การตกแตงตนดวยพวงมาลา, ดวยเครื่องกลิน -่ และเครืองผัดทา, ่ อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา, เวระมะณี. เจตนาเปนเครื่องเวนจากการนังนอนบนทีนอนสูง, และที่นอนใหญ, ่ ่ ดังนี้แล. ๘๒
  • 93. เขมาเขมสรณทีปิกคาถา (หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปกะคาถาโย ภะณามะ เส.) พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปพพะตานิ วะนานิ จะ, อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา, มนุษยเปนอันมาก, เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแลว, ก็ถือเอาภูเขาบาง, ปาไมบาง, อารามและรุกขเจดียบางเปนสรณะ เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง, เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะ ทุกขา ปะมุจจะติ, นั่นมิใชสรณะอันเกษมเลย, นั่นมิใชสรณะอันสูงสุด, เขาอาศัยสรณะนั่นแลว, ยอมไมพนจากทุกขทั้งปวงได โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต, จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปญญายะ ปสสะติ, สวนผูใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะแลว,  เห็นอริยสัจจ, คือความจริงอันประเสริฐสี่ดวยปญญาอันชอบ, ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง, อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง คือเห็นความทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความกาวลวงพนทุกขเสียได, และหนทางมีองคแปดอันประเสริฐเครืองถึงความระงับทุกข, ่ เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง, เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ. นั่นแหละเปนสรณะอันเกษม, นั่นเปนสรณะอันสูงสุด, เขาอาศัยสรณะนั่นแลว, ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได. ๘๓
  • 94. อริยธนคาถา (หันทะ มะยัง อะริยะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส.) ยัสสะ สัทธา ตะถาคะเต อะจะลา สุปะติฏฐิตา, ศรัทธาในพระตถาคตของผูใด, ตั้งมั่นอยางดีไมหวั่นไหว, สีลญจะ ยัสสะ กัลยาณัง อะริยะกันตัง ปะสังสิตัง ั ๎ และศีลของผูใดงดงาม, เปนที่สรรเสริญที่พอใจของพระอริยเจา, สังเฆ ปะสาโท ยัสสัตถิ อุชุภูตัญจะ ทัสสะนัง, ความเลือมใสของผูใดมีในพระสงฆ, และความเห็นของผูใดตรง, ่   อะทะลิทโทติ ตัง อาหุ อะโมฆันตัสสะ ชีวิตัง, บัณฑิตกลาวเรียกเขาผูนั้นวาคนไมจน, ชีวิตของเขาไมเปนหมัน, ตัส๎มา สัทธัญจะ สีลัญจะ ปะสาทัง ธัมมะทัสสะนัง, อะนุยุญเชถะ เมธาวี สะรัง พุทธานะ สาสะนัง เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกไดถงคําสั่งสอนของพระพุทธเจาอยู, ึ ผูมปญญาควรสรางศรัทธา, ศีล, ความเลื่อมใส, ี และความเห็นธรรมใหเนืองๆ. ติลักขณาทิคาถา (หันทะ มะยัง ติลกขะณาคาถาโย ภะณามะ เส.) ั สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ, เมื่อใดบุคคลเห็นดวยปญญาวา, สังขารทั้งปวงไมเที่ยง, ๘๔
  • 95. อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา, เมื่อนั้นยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกขท่ตนหลง, ี นั่นแหละเปนทางแหงพระนิพพาน, อันเปนธรรมหมดจด, สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ, เมื่อใดบุคคลเห็นดวยปญญาวา, สังขารทั้งปวงเปนทุกข อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา, เมื่อนั้นยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกขที่ตนหลง, นั่นแหละเปนทางแหงพระนิพพาน, อันเปนธรรมหมดจด, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ, เมื่อใดบุคคลเห็นดวยปญญาวา, ธรรมทั้งปวงเปนอนัตตา, อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา, เมื่อนั้นยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกขที่ตนหลง, นั่นแหละเปนทางแหงพระนิพพาน, อันเปนธรรมหมดจด, อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน, ในหมูมนุษยทั้งหลาย, ผูที่ถึงฝงแหงพระนิพพานมีนอยนัก,  อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ, หมูมนุษยนอกนั้น, ยอมวิ่งเลาะอยูตามฝงในนี่เอง, เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน, ก็ชนเหลาใดประพฤติสมควรแกธรรม, ในธรรมทีตรัสไวชอบแลว, ่ เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง, ชนเหลาใดจักถึงฝงแหงพระนิพพาน, ขามพนบวงแหงมัจจุราชที่ขามไดยากนัก, ๘๕
  • 96. กัณ๎หัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปณฑิโต, จงเปนบัณฑิตละธรรมดําเสีย, แลวเจริญธรรมขาว, โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง, ตัต๎ราภิระติมิจเฉยยะ หิต๎วา กาเม อะกิญจะโน. จงมาถึงทีไมมีน้ํา, จากทีมีน้ํา, จงละกามเสีย, เปนผูไมมความกังวล, ่ ่ ี จงยินดีเฉพาะตอพระนิพพาน, อันเปนทีสงัดซึ่งสัตวยินดีไดโดยยาก. ่ ภารสุตตคาถา (หันทะ มะยัง ภาระสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส.) ภารา หะเว ปญจักขันธา, ขันธทั้งหา เปนของหนักเนอ, ภาระหาโร จะ ปุคคะโล, บุคคลแหละเปนผูแบกของหนักพาไป, ภาราทานัง ทุกขัง โลเก, การแบกถือของหนักเปนความทุกขในโลก, ภาระนิกเขปะนัง สุขัง, การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเปนความสุข, นิกขิปต๎วา คะรุง ภารัง,  พระอริยเจาสลัดทิ้งของหนักลงเสียแลว, อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ, ทั้งไมหยิบฉวยเอาของหนักอันอืนขึ้นมาอีก, ่ สะมูลัง ตัณ๎หัง อัพพุย๎หะ, เปนผูถอนตัณหาขึ้นไดกระทั่งราก, นิจฉาโต ปะรินิพพุโต. เปนผูหมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไมมสวนเหลือ.  ี ๘๖
  • 97. ภัทเทกรัตตคาถา (หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส.) อะตีตง นาน๎วาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง, ั บุคคลไมควรตามคิดถึงสิ่งทีลวงไปแลวดวยอาลัย, ่  และไมพึงพะวงถึงสิงที่ยังไมมาถึง, ่ ยะทะตีตม ปะหีนนตัง (อานวา ปะ-ฮี-นัน-ตัง) อัปปตตัญจะ อะนาคะตัง, ั ั สิ่งเปนอดีตก็ละไปแลว, สิ่งเปนอนาคตก็ยังไมมา, ปจจุปปนนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปสสะติ, อะสังหิรัง อะสังกุปปง ตัง วิทธา มะนุพ๎รูหะเย, ผูใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหนาที่นั้นๆ อยางแจมแจง, ไมงอนแงนคลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเชนนั้นไว อัชเชวะ กิจจะมาตัปปง โก ชัญญา มะระณัง สุเว, ความเพียรเปนกิจทีตองทําวันนี้, ใครจะรูความตายแมพรุงนี้, ่ นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา, เพราะการผัดเพี้ยนตอมัจจุราชซึ่งมีเสนามากยอมไมมสําหรับเรา, ี เอวัง วิหาริมาตาปง อะโหรัตตะมะตันทิตัง, ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุนิ. มุนีผสงบยอมกลาวเรียกผูมีความเพียรอยูเชนนั้น, ไมเกียจครานทั้ง- ู กลางวันกลางคืนวา, "ผูเปนอยูแมเพียงราตรีเดียว ก็นาชม". ๘๗
  • 98. ธัมมคารวาทิคาถา (หันทะ มะยัง ธัมมะคาระวาทิคาถาโย ภะณามะ เส.) เย จะ อะตีตา สัมพุทธา เย จะ พุทธา อะนาคะตา, โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน, พระพุทธเจาบรรดาที่ลวงไปแลวดวย, ที่ยังไมมาตรัสรูดวย, และพระพุทธเจาผูขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ดวย, สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติ จะ, อะถาป วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะ ธัมมะตา, พระพุทธเจาทั้งปวงนั้นทุกพระองค, เคารพพระธรรม, ไดเปนมาแลวดวย, กําลังเปนอยูดวย, และจักเปนดวย, เพราะธรรมดาของพระพุทธเจาทั้งหลายเปนเชนนั้นเอง, ตัส๎มา หิ อัตตะกาเมนะ มะหัตตะ มะภิกังขะตา, สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะ สาสะนัง, เพราะฉะนั้นบุคคลผูรักตน, หวังอยูเฉพาะคุณเบืองสูง, ้ เมื่อระลึกไดถึงคําสังสอนของพระพุทธเจาอยู, ่  จงทําความเคารพพระธรรม, นะ หิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน, ธรรมและอธรรม, จะมีผลเหมือนกันทั้งสองอยางหามิได, อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง, อธรรมยอมนําไปนรก, ธรรมยอมนําใหถึงสุคติ, ๘๘
  • 99. ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง, ธรรมแหละยอมรักษาผูประพฤติธรรมเปนนิตย, ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ, ธรรมที่ประพฤติดีแลว, ยอมนําสุขมาใหตน, เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ. นี่เปนอานิสงสในธรรมที่ตนประพฤติดีแลว. โอวาทปาฏิโมกขคาถา (หันทะ มะยัง โอวาทะปาติโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส.) สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง, การไมทําบาปทั้งปวง, กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทํากุศลใหถึงพรอม, สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, การชําระจิตของตนใหขาวรอบ, เอตัง พุทธานะ สาสะนัง, ธรรม ๓ อยางนี้, เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย, ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา, ขันติ คือความอดกลั้น, เปนธรรมเครื่องเผากิเลสอยางยิ่ง, ๘๙
  • 100. นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา, ผูรูทั้งหลาย, กลาวพระนิพพานวาเปนธรรมอันยิ่ง, นะ หิ ปพพะชิโต ปะรูปะฆาตี, ผูกําจัดสัตวอื่นอยู, ไมช่อวาเปนบรรพชิตเลย,  ื สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต, ผูทําสัตวอนใหลาบากอยู, ไมชื่อวาเปนสมณะเลย, ื่ ํ  อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต, การไมพูดราย, การไมทําราย, ปาติโมกเข จะ สังวะโร, การสํารวมในปาติโมกข, มัตตัญุตา จะ ภัตตัส๎มิง, ความเปนผูรูประมาณในการบริโภค, ปนตัญจะ สะยะนาสะนัง, การนอนการนั่งในทีอันสงัด, ่ อะธิจิตเต จะ อาโยโค, ความหมันประกอบในการทําจิตใหยิ่ง, ่ เอตัง พุทธานะ สาสะนัง. ธรรม ๖ อยางนี้, เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย. ๙๐
  • 101. ปฐมพุทธภาสิตคาถา (หันทะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย ภะณามะ เส.) อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง, เมื่อเรายังไมพบญาณ, ไดแลนทองเที่ยวไปในสงสารอันเปนอเนกชาติ, คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง, แสวงหาอยูซึ่งนายชางปลูกเรือน, คือตัณหาผูสรางภพ,  การเกิดทุกคราวเปนทุกขรําไป, ่ คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ นี่แนะนายชางปลูกเรือน, เรารูจักเจาเสียแลว, เจาจะทําเรือนใหเราไมไดอีกตอไป, สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง, โครงเรือนทั้งหมดของเจาเราหักเสียแลว, ยอดเรือนเราก็รอเสียแลว, ื้ วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณ๎หานัง ขะยะมัชฌะคา, จิตของเราถึงแลวซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแตงไมไดอกตอไป, ี มันไดถึงแลวซึ่งความสิ้นไปแหงตัณหา (คือ ถึงนิพพาน). ๙๑
  • 102. ปัจฉิมพุทธภาสิตคาถา (หันทะ มะยัง ปจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง ภะณามะ เส.) หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, บัดนี้ เราขอเตือนทานทั้งหลายวา,  วะยะธัมมา สังขารา, สังขารทั้งหลาย, มีความเสือมไปเปนธรรมดา, ่ อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ, ทานทั้งหลาย, จงทําความไมประมาทใหถึงพรอมเถิด, อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปจฉิมา วาจา. นี้เปนพระวาจามีในครั้งสุดทาย, ของพระตถาคตเจา. ๙๒
  • 103. อภิณหะปัจจะเวกขะณะปาฐะ (หันทะ มะยัง อะภิณหะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) ชะราธัมโมม๎หิ, เรามีความแกเปนธรรมดา, ชะรัง อะนะตีโต (ตา)๑, เราไมลวงพนความแกไปได, พะยาธิธมโมม๎หิ, ั เรามีความเจ็บไขเปนธรรมดา, ชะรัง อะนะตีโต (ตา)๑, เราไมลวงพนความเจ็บไขไปได, มะระณะธัมโมม๎หิ, เรามีความตายเปนธรรมดา, มะระณัง อะนะตีโต (ตา)๑, เราไมลวงพนความตายไปได, สัพเพหิ เม ปเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว, เรามีความเปนตาง ๆ และมีความละเวน, คือเราจะตองพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, กัมมัสสะโกม๎หิ, เรามีกรรมเปนของของตน, กัมมะทายาโท (ทา)๒, เราจะตองรับผลของกรรม, กัมมะโยนิ (ทา)๒, เรามีกรรมนํามาเกิด, กัมมะพันธุ, เรามีกรรมเปนเผาพันธุพวกพอง, กัมมะปะฏิสะระโณ (ณา)๓, เรามีกรรมเปนที่พึ่งที่อาศัย, ยัง กัมมัง กะริสสามิ, เราจักทํากรรมอันใดไว, กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา, เปนบุญหรือเปนบาป, ตัสสะ ทายาโท (ทา)๒ ภะวิสสามิ, เราจะตองไดรับผลของกรรมนั้น, อะภิณ๎หัง ปจจะเวกขิตัพพัง, เราพึงพิจารณาเห็นเนือง ๆ ดังนี้, ๑สตรีพึงวา “ตา” ๒ สตรีพึงวา “ทา ๓สตรีพึงวา “ณา” ๙๓
  • 104. (นํา) อะยัง กาโย อันวารางกายของเรานี้, อะจิรัง วะตะ ไมนานหนอ, อะเปตะวิญญาโณ มีวิญญาณอันไปปราศแลว, ฉุฑโฑ เปนของสูญเปลา, อะธิเสสสะติ จักนอนทับ, ปะฐะวิง ซึ่งแผนดิน, นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง เปรียบประดุจดังวาทอนฝนอันผุไมมีประโยชนเปนแท, (นํา) สังขารา อันวาสังขารธรรมทั้งหลาย, อะนิจจา วะตะ ไมเที่ยงหนอ, อุปปาทะวะยะธัมมิโน บังเกิดขึ้นแลวก็ยอมเสือมไป, อุปปชชิต๎วา นิรุชฌันติ  ่ บังเกิดขึ้นแลวก็ยอมดับไป, เตสัง วูปะสะโม สุโข พระนิพพานเปนทีดับเพลิง ่ กิเลสและกองทุกข, เปนบรมสุขอันใหญยิ่ง, (นํา) สัพเพ สัตตา สัตวทั้งหลายทั้งปวง, มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสะเร ตายอยูดวย, ตายแลวดวย, จักตายดวย, ตะเถวาหัง มะริสสามิ  เราก็จักตายอยางนั้นเหมือนกัน, นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย ความสงสัยใน - เรื่องตายนี้ไมมแกเรา. ี ๙๔
  • 105. ปราภวสุตตปาฐะ (หันทะ มะยัง ปะราภะวะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส.) สุวิชาโน ภะวัง โหติ, อันบุคคลผูรูไดโดยงายเปนผูเจริญ, ทุวิชาโน ปะราภาโว, อันบุคคลผูรูไดโดยยากเปนผูเสื่อม, ธัมมะกาโม ภะวัง โหติ, ผูใครธรรมเปนผูเจริญ, ธัมมะเทสสี ปะราภะโว, ผูเกลียดชังธรรมเปนผูเสื่อม, อะสันตัสสะ ปยา โหนติ นะ สันเต กุรุเต ปยัง, อะสะตัง ธัมมัง โรเจติ ตัง ปะราภะวะโต มุขง, ั เขานั้นทําความรักในอสัตบุรุษ, ไมทาความรักในสัตบุรุษ, ํ เขาชอบในธรรมของอสัตบุรุษ, ขอนั้นเปนทางแหงความเสื่อม, นิททาสีลี สะภาสีลี อะนุฏฐาตา จะ โย นะโร, อะละโส โกธะปญญาโน ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ผูใดเปนผูชอบนอนหลับ, ชอบพูดคุย, ไมขยัน เกียจครานการงาน,  และเปนคนมักโกรธ, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ โย มาตะรัง ปตะรัง วา ชิณณะกัง คะตะโยพพะนัง, ปะหุสันโต นะ ภะระติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ผูใดมีความสามารถอยู, ไมเลียงดูบิดามารดา, ้ ผูชราอันมีวัยหนุมสาวผานไปแลว, ขอนั้นเปนทางแหงความเสื่อม, ๙๕
  • 106. โย พราหมะณัง สะมะณัง วา อัญญัง วาป วะณิพพะกัง, มุสาวาเทนะ วัญเจติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ผูใดหลอกลวงสมณะพราหมณ, หลอกแมวณิพกคนขอทานอื่นใดดวยมุสาวาท, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ ปะหุตะวิตโต ปุริโส สะหิรัญโญ สะโภชะโน, เอโก ภุญชะติ สาธูนิ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ผูใดมีทรัพยมีเงิน, มีของเหลือกินเหลือใช, เขาบริโภคสิ่งที่ดๆ นั้นแตผูเดียว, ขอนั้นเปนทางแหงความเสื่อม, ี ชาติถัทโธ ธะนะถัทโธ โคตตะถัทโธ จะ โย นะโร, สัญญามะติมัญเญติ ตัง ปะราภะวะโต มุขง, ั ผูใดหยิ่งเพราะชาติกําเนิด, หยิ่งเพราะทรัพย, หยิ่งเพราะโคตร, แลวดูหมินซึ่งญาติของตน, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ ่ อิตถีธตโต สุราธุตโต อักขะธุตโต จะ โย นะโร, ุ ลัทธัง ลัทธัง วินาเสติ ตัง ปะราภะวะโต มุขง, ั ผูใดเปนนักเลงหญิง, นักเลงสุรา, และนักเลงเลนการพนัน, เขาไดทําลายทรัพยทหาไดมาใหพินาศฉิบหายไป, ี่ ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ เสหิ ทาเรหิ อะสันตุฏโฐ เวสิยาสุ ปะทุสสะติ, ทุสสะติ ปะระทาเรสุ ตัง ปะราภะวะโต มุขง, ั ผูใดไมพอใจรักใครในภรรยาตน, กลับไปเที่ยวซุกซนกับหญิงแพศยา, และลอบทําชูกับภรรยาของผูอื่น, ขอนันเปนทางแหงความเสื่อม,  ้ ๙๖
  • 107. อะตีตะโยพพะโน โปโส อาเนติ ติมพะรุตถะนิง, ตัสสา อิสสา นะ สุปปะติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ชายแกผมวัยหนุมผานไปแลว, ไดนําหญิงสาวนอยมาเปนภรรยา, ู ี เขานอนไมหลับ, เพราะความหึงหวงและหวงอาลัยในหญิงนั้น, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ อิตถิง โสณฑิง วิกริณิง ปุริสง วาป ตาทิสัง, ิ ั อิสสะริยัส๎มง ฐะเปติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ิ ชายใดตั้งหญิงนักเลงใชจายสุรยสุรายมาเปนแมเรือน, ุ และหรือหญิงใดตั้งชายนักเลงใชจายสุรุยสุรายมาเปนพอเรือน, ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ อัปปะโภโค มะหาตัณโห ขัตติเย ชายะเต กุเล, โส จะ รัชชัง ปตถะยะติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง, ผูใดมีโภคะนอย, แตมีความอยากใหญ, ปรารถนาราชสมบัต, ิ ขอนั้นเปนทางแหงความเสือม, ่ เอเต ปะราภะเว โลเก ปณฑิโต สะมะเวกขิยะ, อะริโย ทัสสะนะสัมปนโน สะ โลเก ภะชะเต สิวัง, ผูเปนบัณฑิตสมบูรณดวยทัสสนะอันประเสริฐ, ไดเห็นเหตุแหงความเสื่อมทั้งหลายเหลานั้นชัดแลว, ทานยอมเวนสิ่งเหลานี้เสีย, เมื่อเปนเชนนั้น, ทานจึงพบและเสพแตโลกซึ่งมีแตความเจริญ, อิติ. ดวยประการฉะนี้แล. ๙๗
  • 108. สีลุทเทสปาฐะ (หันทะ มะยัง สีลทเทสะ ปาฐัง ภะณามะ เส.) ุ ภาสิตะมิทัง เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, พระผูมีพระภาคเจา, ผูรูเห็น, เปนพระอรหันต,  ตรัสรูเองโดยถูกตองพระองคนน, ไดตรัสคํานี้ไวแลววา, ั้ สัมปนนะสีลา ภิกขะเว วิหะระถะ สัมปนนะปาฏิโมกขา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, เธอทั้งหลาย, จงเปนผูมศีลสมบูรณ,  ี มีพระปาฏิโมกขสมบูรณ, ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะระถะ อาจาระโคจะระสัมปนนา, จงเปนผูสารวมแลว, ดวยความสํารวมในพระปาฏิโมกข, ํ สมบูรณดวยอาจาระและโคจร, คือมารยาทและสถานที่ทภกษุควรไป,  ี่ ิ อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะถะ สิกขาปะเทสูติ ฯ จงเปนผูมปรกติเห็นความนากลัวในโทษแมเพียงเล็กนอย, ี สมาทานศึกษาสําเหนียกในสิกขาบททั้งหลายเถิด, ตัส๎มาติหมเหหิ สิกขิตัพพัง, ั เพราะเหตุนั้นแล, เราทั้งหลาย, พึงทําความศึกษาสําเหนียกวา, สัมปนนะสีลา วิหะริสสามะ สัมปนนะปาฏิโมกขา, เราจักเปนผูมีศลสมบูรณ, มีพระปาฏิโมกขสมบูรณ, ี ๙๘
  • 109. ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะริสสามะ อาจาระโคจะระสัมปนนา, จงเปนผูสารวมแลว, ดวยความสํารวมในพระปาฏิโมกข, ํ สมบูรณดวยอาจาระและโคจร, คือมารยาทและสถานที่ทภกษุควรไป,  ี่ ิ อะนุมตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขิสสามะ สิกขาปะเทสูติ ฯ ั จักเปนผูมปรกติเห็นความนากลัวในโทษแมเพียงเล็กนอย,  ี สมาทานศึกษาสําเหนียกในสิกขาบททั้งหลาย, เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง ฯ เราทั้งหลาย, พึงทําความศึกษาสําเหนียกอยางนี้แล. ๙๙
  • 110. อริยมรรคมีองค์แปด (หันทะ มะยัง อะริยฏฐังคิกะมัคคะปาฐัง ภะณามะ เส) ั อะยะเมวะ อะริโย อัฎฐังคิโก มัคโค, หนทางนี้แล, เปนหนทางอันประเสริฐ ซึงประกอบดวยองคแปด, ่ เสยยะถีทง,ั ไดแกส่งเหลานี้คอ:- ิ ื สัมมาทิฎฐิ, ความเห็นชอบ, สัมมาสังกัปโป, ความดําริชอบ, สัมมาวาจา, การพูดจาชอบ, สัมมากัมมันโต, การทําการงานชอบ, สัมมาอาชีโว, การเลี้ยงชีวิตชอบ, สัมมาวายาโม, ความพากเพียรชอบ, สัมมาสติ, ความระลึกชอบ, สัมมาสมาธิ, ความตั้งใจมั่นชอบ, (องคมรรคที่ 1) กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความเห็นชอบเปนอยางไรเลา? ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความรูอันใด เปนความรูในทุกข,  ๑๐๐
  • 111. ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง, เปนความรูในเหตุใหเกิดทุกข, ทุกขะนิโรเธ ญาณัง, เปนความรูในความดับแหงทุกข, ทุกขะนิโรธะคามินยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง, ิ เปนความรูในทางดําเนินใหถึงความดับแหงทุกข อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความเห็นชอบ, (องคมรรคที่ 2) กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความดําริชอบ เปนอยางไรเลา? เนกขัมมะสังกัปโป, ความดําริในการออกจากกาม, อะพยาปาทะสังกัปโป, ความดําริในการไมมุงราย, อะวิหิงสาสังกัปโป, ความดําริในการไมเบียดเบียน, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความดําริชอบ, ๑๐๑
  • 112. (องคมรรคที่ 3) กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา, ดูกรภิกษุทั้งหลาย, การพูดจาชอบ เปนอยางไรเลา? มุสาวาทา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง ปสุณายะ วาจายะ เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดสอเสียด, ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดหยาบ, สัมผัปปะลาปา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดเพอเจอ, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การพูดจาชอบ, (องคมรรคที่ 4) กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต, ดูกอนภิกษุท้งหลาย การทําการงานชอบ เปนอยางไรเลา? ั ปาณาติปาตา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา, อะทินนาทานา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของที่เจาของไมไดใหแลว, ๑๐๒
  • 113. กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การทําการงานชอบ (องคมรรคที่ 5) กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, การเลี้ยงชีวิตชอบ เปนอยางไรเลา? อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก, ดูกอนภิกษุท้งหลาย, สาวกของพระอริยเจาในธรรมวินัยนี้ ั มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ, ละการเลียงชีวิตที่ผดเสีย, ้ ิ สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกง กัปเปติ, ั ยอมสําเร็จความเปนอยูดวยการเลี้ยงชีวตที่ชอบ ิ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การเลี้ยงชีวิตชอบ, (องคมรรคที่ 6) กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความพากเพียรชอบเปนอยางไรเลา? ๑๐๓
  • 114. อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, อะนุปปนนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตังจิตไว, เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเปนบาปที่ยังไมเกิด ไมใหเกิดขึ้น, ้ อุปปนนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตังจิตไว, เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเปนบาปที่เกิดขึนแลว, ้ ้ อะนุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตังจิตไว, เพื่อจะยังกุศลธรรมทียังไมเกิดใหเกิดขึ้น ้ ่ อุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิตยา, อะสัมโมสายะ, ิ ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ, ปาริปูริยา, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตังจิตไว, เพื่อจะยังกุศลธรรมทียังไมเกิดใหเกิดขึ้น ้ ่ ๑๐๔
  • 115. อุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา, อะสัมโมสายะ, ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ, ปาริปูริยา, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณหาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตังจิตไว, เพื่อความตั้งอยู, ความไมเลอะเลือน, ความงอกงามยิ่งขึ้น, ้ ความไพบูลย, ความเจริญ, ความเต็มรอบ, แหงกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแลว, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความเพียรชอบ, (องคมรรคที่ 7) กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความระลึกชอบ เปนอยางไรเลา? อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, กาเย กายานุปสสี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นกายในกายอยูเปนประจํา,  อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสมปชัญญะ มีสติ, ั ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได, เวทะนาสุ เวทะนานุปสสี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูเปนประจํา,  ๑๐๕
  • 116. อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได, จิตเต จิตตานุปสสี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเปนประจํา,  อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสมปชัญญะ มีสติ, ั ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได, ธัมเมสุ ธัมมานุปสสี วิหะระติ,  ยอมเปนผูพจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยูเปนประจํา,  ิ อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสมปชัญญะ มีสติ, ั ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ, ดูกอนภิกษุท้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความระลึกชอบ, ั (องคมรรคที่ 8) กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความตั้งใจมั่นชอบ เปนอยางไรเลา? อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑๐๖
  • 117. วิวิจเจวะ กาเมหิ, สงัดแลวจากกามทั้งหลาย, วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, สงัดแลวจากธรรมทีเปนอกุศลทั้งหลาย, ่ สะวิตักกัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง ปติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงปฐมฌาน, ประกอบดวยวิตกวิจาร, มีปตและสุขอันเกิดจากวิเวกแลวแลอยู, ิ วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา, เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง, อะวิตักกัง อะวิจารัง, สะมาธิชัง ปติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงทุตยฌาน, เปนเครื่องผองใสแหงใจในภายใน, ิ ใหสมาธิเปนธรรมอันเอกผุดมีขึ้น, ไมมวิตก ไมมวิจาร, ี ี มีแตปติและสุขอันเกิดจากสมาธิแลวแลอยู, ปติยา จะ วิราคา, อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแหงปต, ิ อุเปกขะโก จะ วิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน, ยอมเปนผูอยูอุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ,  สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ, และยอมเสวยความสุขดวยนามกาย, ๑๐๗
  • 118. ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ, อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีต,ิ ชนิดที่พระอริยเจาทั้งหลาย, ยอมกลาวสรรเสริญผูนั้นวา,  “เปนผูอยูอุเบกขา มีสติ อยูเปนปรกติสุข” ดังนี้  ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงตติยฌาน แลวแลอยู, สุขัสสะ จะ ปะหานา, เพราะละสุขเสียได, ทุกขัสสะ จะ ปะหานา, และเพราะละทุกขเสียได, ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา, เพราะความดับไปแหงโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลกอน, อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง, จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงจตุตฌาน, ไมมีทุกขไมมีสุข, มีแตความทีสติเปนธรรมชาติบริสทธิ์เพราะอุเบกขาแลวแลอยู, ่ ุ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความตั้งใจมั่นชอบ, อิติ. ดวยประการฉะนี้แล. ๑๐๘
  • 119. อตีตปัจจเวกขณปาฐะ (หันทะ มะยัง อะตีตะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (ขอวาดวยจีวร) อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา ยัง จีวะรัง ปะริภุตตัง, จีวรใดอันเรานุงหมแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้, ตัง ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, จีวรนั้นเรานุงหมแลวเพียงเพื่อบําบัดความหนาว, อุณ๎หสสะ ปะฏิฆาตายะ, ั เพื่อบําบัดความรอน, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด, และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย ยาวะเทวะ หิริโกปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง ฯ และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะอันใหเกิดความละอาย. (ขอวาดวยบิณฑบาต) อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา โย ปณฑะปาโต ปะริภุตโต, บิณฑบาตใดอันเราฉันแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้, โส เนวะ ท๎วายะ, บิณฑบาตนั้นเราฉันแลว, ไมใชเปนไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน, ๑๐๙
  • 120. นะ มะทายะ, ไมใชเปนไปเพื่อความเมามันเกิดกําลังพลังทางกาย, นะ มัณฑะนายะ, ไมใชเปนไปเพื่อประดับ, นะ วิภูสะนายะ, ไมใชเปนไปเพื่อตกแตง, ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิตยา, ิ แตใหเปนไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไดแหงกายนี้, ยาปะนายะ, เพื่อความเปนไปไดของอัตภาพ, วิหิงสุปะระติยา, เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบากทางกาย, พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ, เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติพรหมจรรย, อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ, ดวยการทําอยางนี้, เรายอมระงับเสียไดซึ่งทุกขเวทนาเกาคือ ความหิว, นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น, ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ ฯ อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพนี้ดวย, ความเปนผูหาโทษมิไดดวย, และความเปนอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้. ๑๑๐
  • 121. (ขอวาดวยเสนาสนะ) อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา ยัง เสนาสะนัง ปะริภุตตัง, เสนาสนะใดอันเราใชสอยแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้, ตัง ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เสนาสนะนั้นเราใชสอยแลวเพียงเพื่อบําบัดความหนาว, อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด, และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย, ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง ฯ เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟาอากาศ, และเพื่อความเปนผูยินดีอยูได, ในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา (ขอวาดวยคิลานเภสัช) อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิต๎วา โย คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร ปะริภุตโต, คิลานะเภสัชบริขารใดอันเราบริโภคแลว, ไมทันพิจารณาในวันนี้, โส ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ, คิลานะเภสัชบริขารนั้นเราบริโภคแลว, เพียงเพื่อบําบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแลว, มีอาพาธตาง ๆ เปนมูล อัพ๎ยาปชฌะปะระมะตายาติ. เพื่อความเปนผูไมมโรคเบียดเบียนเปนอยางยิ่ง, ดังนี้ ี ๑๑๑
  • 122. กรวดน้ํา ตอนเย็ น อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.) อิมินา ปุญญะกัมเมนะ, ดวยบุญนี้อุทิศให, อุปชฌายา คุณุตตะรา, อุปชฌายผูเลิศคุณ, อาจะริยปะการา จะ, ู แลอาจารยผูเกื้อหนุน, มาตา ปตา จะ ญาตะกา (ปยา มะมัง), ทั้งพอแมแลปวงญาติ, สุริโย จันทิมา ราชา, สูรยจันทรและราชา, คุณะวันตา นะราป จะ, ผูทรงคุณหรือสูงชาติ, พ๎รัห๎มะมารา จะ อินทา จะ, พรหมมารและอินทราช, โลกะปาลา จะ เทวะตา, ทั้งทวยเทพและโลกบาล, ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ, ยมราชมนุษยมิตร, มัชฌัตตา เวริกาป จะ, ผูเปนกลาง, ผูจองผลาญ, สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ, ขอใหเปนสุขศานติ์, ทุกทั่วหนาอยาทุกขทน, ปุญญานิ ปะกะตานิ เม, บุญผองที่ขาทํา, จงชวยอํานวยศุภผล, สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ, ใหสุขสามอยางลน, ขิปปง ปาเปถะ โว มะตัง, ใหลุถึงนิพพานพลัน, อิมินา ปุญญะกัมเมนะ, ดวยบุญนี้ที่เราทํา, อิมินา อุททิเสนะ จะ, แลอุทิศใหปวงสัตว, ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ, เราพลันไดซึ่งการตัด, ๑๑๒
  • 123. ตัณหุปาทานะเฉทะนัง, ตัวตัณหาอุปาทาน, เย สันตาเน หินา ธัมมา, สิ่งชั่วในดวงใจ, ยาวะ นิพพานะโต มะมัง, กวาเราจะถึงนิพพาน, นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ, มลายสิ้นจากสันดาน, ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว, ทุกๆ ภพที่เราเกิด, อุชุจิตตัง สะติปญญา, มีจิตตรงและสติ, ทั้งปญญาอันประเสริฐ, สัลเลโข วิริยัม๎หินา, พรอมทั้งความเพียรเลิศ, เปนเครื่องขูดกิเลสหาย, มารา ละภันตุ โนกาสัง, โอกาสอยาพึงมี, แกหมูมารสิ้นทั้งหลาย, กาตุญจะ วิริเยสุ เม, เปนชองประทุษราย, ทําลายลางความเพียรจม, พุทธาธิปะวะโร นาโถ, พระพุทธผูบวรนาถ, ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม, พระธรรมที่พึ่งอุดม, นาโถ ปจเจกะพุทโธ จะ, พระปจเจกะพุทธสม, สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง, ทบพระสงฆที่พึ่งผยอง, เตโสตตะมานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพนั้น, มาโรกาสัง ละภันตุ มา ๑, ขอหมูมารอยาไดชอง,  ทะสะปุญญานุภาเวนะ, ดวยเดชบุญทั้งสิบปอง, มาโรกาสัง ละภันตุ มา, อยาเปดโอกาสแกมาร... เทอญ ฯ ๑ กรณีทไมไดสวดมนตแปล ใหสวดถึงบรรทัดนี้เปนบรรทัดสุดทาย ี่ ๑๑๓
  • 124. กราบพระ อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ, ( กราบระลึกคุณพระพุทธ ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ, ( กราบระลึกคุณพระธรรม ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ, ( กราบระลึกคุณพระสงฆ ) มาตาปตคุณัง, อะหัง วันทามิ, ุ ( กราบระลึกคุณบิดา มารดา ) ครูอุปชฌาอาจาริยะคุณัง, อะหัง วันทามิ,  ( กราบระลึกคุณครูบาอาจารย ) ประธาน ดับเทียน กราบพระรัตนตรัย... อุบาสก – อุบาสิกา พนมมือ กราบพระรัตนตรัยตอจาก...พระภิกษุ – สามเณร ๑๑๔
  • 126. บทถวายพรพระ (นํา) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก  โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ (อานวา วิญ-ู-ฮี-ติ) ๑๑๖
  • 127. สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี - กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ (นํา) พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ มาราติเรกะมะภิยตฌิตะสัพพะรัตติง ุ โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิต๎วา มุนนโท ิ ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ นาฬาคิรง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ิ ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ๑๑๗
  • 128. กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ สัจจัง วิหายะ มะติสจจะกะวาทะเกตุง ั วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอันธะภูตง ั ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ เอตาปพุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิต๎วานะเนกะวิวิธานิ จุปททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ ฯ ๑๑๘
  • 129. (นํา) มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณีนง ั ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปตโต ปะโมทะติ ฯ สุนักขัตตัง สุมงคะลัง ั สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ๑๑๙
  • 130. สวดพระพุทธคุณ ๑๐๘ จบ อิตป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ิ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ ิ เมตตาพรหมะวิหาระภาวนา (มหาเมตตาใหญ่) เอวัมเม สุตง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ ั เชตะวะเน อะนาถะปณฑิกัสสะ อาราเม ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ ฯ ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโว...จะ (หยุด) (นํา) เมตตายะ ภิกขะเว (รับ) เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ เอกา ทะสานิสงสา ปาฏิกังขา ฯ กะตะเม เอกาทะสะ ฯ ั (๑) สุขัง สุปะติ (๒) สุขัง ปะฏิพุชฌะติ (๓) นะ ปาปะกัง สุปนัง ปสสะติ (๔) มะนุสสานัง ปโย โหติ (๕) อะมะนุสสานัง ปโย โหติ (๖) เทวะตา รักขันติ (๗) นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ (๘) ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ (๙) มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ ๑๒๐
  • 131. (๑๐) อะสัมมุฬ๎โห กาลัง กะโรติ (๑๑) อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พ๎รัห๎มะโลกูปะโค โหติ ฯ เมตตายะ ภิ ก ขะเว เจโตวิ มุ ต ติ ย า อาเสวิ ต ายะ ภาวิ ต ายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ อิเม เอกา ทะสานิสังสา ปาฏิกังขา ฯ อัตถิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ อัตถิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ อัตถิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ กะตีหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ กะตีหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ กะตีหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ ปญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมตติ ฯ ุ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ  กะตะเมหิ ปญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโต วิมุตติ ฯ (๑) สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๑
  • 132. (๔) สัพเพ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติ ฯ  อิเมหิ ปญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ  กะตะเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ (๑) สัพพา อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ เทวา อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ๎ ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติ ฯ  อิเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ  กะตะเมหิ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ ๑๒๒
  • 133. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา ั สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๓
  • 134. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๔
  • 135. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา ั สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา ๎ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๕
  • 136. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๖
  • 137. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา ั อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๎ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรตถิมายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา ั อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา ิ อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๎ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปนนา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๗
  • 138. (๑) สัพพา ปุรัตถิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพพา ปจฉิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพพา อุตตะรายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพพา ทักขิณายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพพา ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพพา ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพพา อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพพา ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพพา เหฏฐิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพพา อุปะริมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๘
  • 139. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๒๙
  • 140. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพยาปชฌา ๎ อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๓๐
  • 141. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๓๑
  • 142. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๓๒
  • 143. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรตถิมายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพยาปชฌา ั ๎ อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ ๑๓๓
  • 144. (๑) สัพเพ ปุรตถิมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา ั อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๒) สัพเพ ปจฉิมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๖) สัพเพ ปจฉิมายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ฯ (๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ วินิปาติกา อะเวรา อัพยาปชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตู...ติ ฯ ๎ ๑๓๔
  • 145. อิเมหิ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ สัพเพสัง สัตตานัง ปฬะนัง วัชเชต๎วา อะปฬะนายะ อุปะฆาตัง วัชเชต๎วา อะนุปะฆาเตนะ สันตาปง วัชเชต๎วา อะสันตาเปนะ ปะริยาทานัง วัชเชต๎วา อะปะริยาทาเนนะ วิเหสัง วัชเชต๎วา อะวิเหสายะ สัพเพ สัตตา อะเวริโน โหนตุ มา เวริโน สุขิโน โหนตุ มา ทุกขิโน สุขิตัตตา โหนตุ มา ทุกขิตัตตาติ อิเมหิ อัฏฐะหากาเรหิ สัพเพ สัตเต เมตตายะตีติ เมตตา ตัง ธัมมัง เจตะยะตีติ เจโต สัพพะพ๎ยาปาทะปะริยุฏฐาเนหิ มุจจะตีติ วิมุตติ เมตตา จะ เจโตวิมุตติ จาติ เมตตาเจโตวิมุตติ ฯ เมตตาพ๎รหมะวิหาระภาวนา นิฏฐิตา... ั ๎ ๑๓๕
  • 146. บารมี ๓๐ ทัศน์ (นํา) หันทะ มะยัง มะหาปาระมียง กะโรมะ เส ฯ ั ทานะ ปาระมี สัมปนโน ทานะ อุปะปาระมี สัมปนโน ทานะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปโส ภะคะวา ฯ ิ  สีละ ปาระมี สัมปนโน สีละ อุปะปาระมี สัมปนโน สีละ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติปโส ภะคะวา ฯ เนกขัมมะ ปาระมี สัมปนโน เนกขัมมะ อุปะปาระมี สัมปนโน เนกขัมมะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติปโส ภะคะวา ฯ ปญญา ปาระมี สัมปนโน ปญญา อุปะปาระมี สัมปนโน ปญญา ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน ๑๓๖
  • 147. เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติปโส ภะคะวา ฯ วิริยะ ปาระมี สัมปนโน วิริยะ อุปะปาระมี สัมปนโน วิริยะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติปโส ภะคะวา ฯ ขันติ ปาระมี สัมปนโน ขันติ อุปะปาระมี สัมปนโน ขันติ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติปโส ภะคะวา ฯ สัจจะ ปาระมี สัมปนโน สัจจะ อุปะปาระมี สัมปนโน สัจจะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปโส ภะคะวา ฯ ิ  อธิษฐานะ ปาระมี สัมปนโน อธิษฐานะ อุปะปาระมี สัมปนโน อธิษฐานะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปโส ภะคะวา ฯ ิ  ๑๓๗
  • 148. เมตตา ปาระมี สัมปนโน เมตตา อุปะปาระมี สัมปนโน เมตตา ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิติปโส ภะคะวา ฯ อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อุเบกขา อุปะปาระมี สัมปนโน อุเบกขา ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน ิ อิตปโส ิ ภะคะวา ฯ ทะสะ ปาระมี สัมปนโน ทะสะ อุปะปาระมี สัมปนโน ทะสะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปนโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปนโน อิตปโส ภะคะวา ฯ ิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ...นะมามิหัง ฯ ๑๓๘
  • 149. คําถวายกุศลแด่พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตฺธมฺโม) อิทง, ฐิตะธัมมัสสะ โหตุ, สุขิโต โหตุ, ฐิตะธัมโม. ั ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แดหลวงพอจรัญ ฐิตธัมโม, ฺ ขอใหหลวงพอจรัญ ฐิตฺธมโม, จงมีความสุข. ั คําถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ อิทง, มหาราชะ, ภูมิพะลัสสะ, สะราชินยา โหตุ, สุขิโต โหตุ, ั ี อะโรโค โหตุ, ทีฆายุโก โหตุ, มหาราชะ, ภูมิพะโล, สะราชินี. ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แดพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ฯ, ภูมิพลมหาราช, และสมเด็จพระนางเจาฯ, พระบรมราชินนาถ, ี ขอใหพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ฯ, ภูมพลมหาราช, ิ และสมเด็จพระนางเจาฯ, พระบรมราชินีนาถ, จงทรงพระเกษมสําราญ, ปราศจากโรคาพยาธิแผวพาน, มีพระชนมมายุยิ่งยืนนาน, ชั่วนิรันดร เทอญฯ ๑๓๙
  • 150. บทแผ่เมตตา (ตั้งกัลยาณจิต ไวท่ี ลิ้นป) สัพเพ สัตตา สัตวทั้งหลาย, ที่เปนเพื่อนทุกข, เกิดแกเจ็บตาย, ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเวรา จงเปนสุขเปนสุขเถิด, อยาไดมีเวรแกกันและกันเลย อัพ๎ยาปชฌา จงเปนสุขเปนสุขเถิด, อยาไดพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อะนีฆา จงเปนสุขเปนสุขเถิด, อยาไดมีความทุกขกายทุกใจเลย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ, รักษาตน, ใหพนจากทุกขภยทั้งสิ้นเถิด ฯ  ั บทอุทศส่วนกุศล ิ (ยกจิตจาก ลิ้นป สู หนาผาก) อิทัง เม, มาตาปตูนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, มาตา ปตะโร, ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกมารดาบิดาของขาพเจา, ขอใหมารดาบิดาของขาพเจา, จงมีความสุข ๑๔๐
  • 151. อิทัง เม, ญาตีนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, ญาตะโย, ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกญาติทั้งหลายของขาพเจา, ขอใหญาติทั้งหลายของขาพเจา, จงมีความสุข อิทัง เม, คุรูปชฌายาจะริยานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, คุรูปชฌายาจะริยา, ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกครูอุปชฌาอาจารยของขาพเจา, ขอใหครูอุปชฌาอาจารยของขาพเจา, จงมีความสุข อิทง, สัพพะเทวานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ เทวา, ั ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกเทวดาทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหเทวดาทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข อิทง, สัพพะเปตานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ เปตา, ั ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกเปรตทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหเปรตทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข อิทง, สัพพะเวรีนง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ เวรี, ั ั ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกเจากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหเจากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข อิทง, สัพพะสัตตานัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ, สัพเพ สัตตา, ั ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ, แกสัตวทั้งหลายทั้งปวง, ขอใหสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงมีความสุข ๑๔๑
  • 152. กรวดน้ํา ตอนเย็ น อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.) อิมินา ปุญญะกัมเมนะ, ดวยบุญนี้อุทิศให, อุปชฌายา คุณุตตะรา, อุปชฌายผูเลิศคุณ, อาจะริยปะการา จะ, ู แลอาจารยผูเกื้อหนุน, มาตา ปตา จะ ญาตะกา (ปยา มะมัง), ทั้งพอแมแลปวงญาติ, สุริโย จันทิมา ราชา, สูรยจันทรและราชา, คุณะวันตา นะราป จะ, ผูทรงคุณหรือสูงชาติ, พ๎รัหมะมารา จะ อินทา จะ, พรหมมารและอินทราช, ๎ โลกะปาลา จะ เทวะตา, ทั้งทวยเทพและโลกบาล, ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ, ยมราชมนุษยมิตร, มัชฌัตตา เวริกาป จะ, ผูเปนกลาง, ผูจองผลาญ, สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ, ขอใหเปนสุขศานติ์, ทุกทั่วหนาอยาทุกขทน, ปุญญานิ ปะกะตานิ เม, บุญผองที่ขาทํา, จงชวยอํานวยศุภผล, สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ, ใหสุขสามอยางลน, ขิปปง ปาเปถะ โว มะตัง, ใหลุถึงนิพพานพลัน, อิมินา ปุญญะกัมเมนะ, ดวยบุญนี้ที่เราทํา, อิมินา อุททิเสนะ จะ, แลอุทิศใหปวงสัตว, ๑๔๒
  • 153. ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ, เราพลันไดซึ่งการตัด, ตัณหุปาทานะเฉทะนัง, ตัวตัณหาอุปาทาน, เย สันตาเน หินา ธัมมา, สิ่งชั่วในดวงใจ, ยาวะ นิพพานะโต มะมัง, กวาเราจะถึงนิพพาน, นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ, มลายสิ้นจากสันดาน, ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว, ทุกๆ ภพที่เราเกิด, อุชุจิตตัง สะติปญญา, มีจิตตรงและสติ, ทั้งปญญาอันประเสริฐ, สัลเลโข วิริยม๎หนา, ั ิ พรอมทั้งความเพียรเลิศ, เปนเครื่องขูดกิเลสหาย, มารา ละภันตุ โนกาสัง, โอกาสอยาพึงมี, แกหมูมารสิ้นทั้งหลาย, กาตุญจะ วิริเยสุ เม, เปนชองประทุษราย, ทําลายลางความเพียรจม, พุทธาธิปะวะโร นาโถ, พระพุทธผูบวรนาถ, ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม, พระธรรมที่พึ่งอุดม, นาโถ ปจเจกะพุทโธ จะ, พระปจเจกะพุทธสม, สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง, ทบพระสงฆที่พึ่งผยอง, เตโสตตะมานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพนั้น, มาโรกาสัง ละภันตุ มา, ขอหมูมารอยาไดชอง, ทะสะปุญญานุภาเวนะ, ดวยเดชบุญทั้งสิบปอง, มาโรกาสัง ละภันตุ มา, อยาเปดโอกาสแกมาร... เทอญ ฯ ๑ กรณีทไมไดสวดมนตแปล ใหสวดถึงบรรทัดนี้เปนบรรทัดสุดทาย ี่ ๑๔๓
  • 154. กราบพระ อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ, ( กราบระลึกคุณพระพุทธ ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ, ( กราบระลึกคุณพระธรรม ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ, ( กราบระลึกคุณพระสงฆ ) มาตาปตคุณัง, อะหัง วันทามิ, ุ ( กราบระลึกคุณบิดา มารดา ) ครูอปชฌาอาจาริยะคุณัง, อะหัง วันทามิ, ุ ( กราบระลึกคุณครูบาอาจารย ) ประธาน ดับเทียน กราบพระรัตนตรัย... อุบาสก – อุบาสิกา พนมมือ กราบพระรัตนตรัยตอจาก...พระภิกษุ – สามเณร ๑๔๔
  • 156. ชุมนุมเทวดา สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะริตตานุภาโว สะทา รักขะตูติ ผะริตวานะ เมตตัง ๎ สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตตัง ภะณันตุ สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน, ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต, ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา, ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณนตุ ฯ ั ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ฯ (นํา) นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต อะระหะโต, สัมมา, สัมพุท, ธัสสะ ๑๔๖
  • 157. พุทธัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมป พุทธัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุตยัมป ธัมมัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ิ ทุตยัมป สังฆัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ิ ตะติยัมป พุทธัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมป ธัมมัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมป สังฆัง อายุวัฒฑะณัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ, อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ (อานวา วิญ-ู-ฮี-ติ) สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะ- ปุคคะลา เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ ๑๔๗
  • 158. (นํา) พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธมมะวิธินา ชิต๎วา มุนนโท ั ิ ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ มาราติเรกะมะภิยตฌิตะสัพพะรัตติง ุ โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ๑๔๘
  • 159. สัจจัง วิหายะ มะติสจจะกะวาทะเกตุง ั วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอันธะภูตัง ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง  พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิต๎วา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ เอตาปพุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิต๎วานะเนกะวิวิธานิ จุปททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ ฯ (นํา) มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณีนง ั ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ ๑๔๙
  • 160. ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปตโต ปะโมทะติ ฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ๑๕๐
  • 161. บทขัดธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง อะนุตตะรัง อะภิสมโพธิง ั สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปตติ จะ มัชฌิมา จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกตตะนัง ิ นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เส ฯ ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสปตะเน ิ มิคะทาเย ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ปญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ ๎ เท๎วเม ภิกขะเว อันตา ปพพะชิเตนะ นะ เสวิตพพา โย จายัง กาเมสุ ั กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ ๑๕๑
  • 162. กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทง ฯ สัมมาทิฏฐิ ั สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฯ อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ อิทง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ฯ ชาติป ทุกขา ั ชะราป ทุกขา มะระณัมป ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัต๎ระ ตัต๎ราภินนทินี ฯ ั เสยยะถีทง ฯ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ ั อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง ฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ ิ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฯ ๑๕๒
  • 163. อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ อิทง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ั ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนนติ เม ั ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ๑๕๓
  • 164. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ั ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ อิทง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ั ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเว - ตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตนติ ั เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ยาวะกีวญ จะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ั ปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รหมะเก ั ๎ สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะ มะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจจัญญาสิง ฯ ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ ๑๕๔
  • 165. อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัหมะเก ๎ สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจจัญญาสิง ฯ ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ อิทะมะโว จะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ๎ ภัญญะมาเน อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯ ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ ั วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ ๎ ๎ ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ๑๕๕
  • 166. นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา ๎ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา ๎ (เมื่อจะสวดยอเพียงสวรรค ๖ ชั้น ครั้นสวดมาถึงตรงนี้แลวสวด พ๎รัห๎มะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง แลวลง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยง ั อิสปะตะเน มิคะทาเย ฯลฯ เหมือนกันไปจนจบ) ิ พ๎รัห๎มะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พ๎รัห๎มะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ๎ พ๎รัห๎มะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พ๎รัห๎มะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา มะหาพ๎รัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ๎ มะหาพ๎รัห๎มานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ๎ อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ๑๕๖
  • 167. อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา สุภะกิณ๎หะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุภะกิณ๎หะกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา (อะสัญญิสัตตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะสัญญิสัตตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา) เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ ฯ อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ ฯ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมป สัมปะกัมป ๑๕๗
  • 168. สัมปะเวธิ ฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ อะถะโข ภะคะวา อุ ท านั ง อุ ท าเนสิ อั ญ ญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ ฯ อิ ติ หิ ทั ง อายั ส๎ ม ะโต โกณฑั ญ ญั ส สะ อั ญ ญาโกณฑั ญ โญ เต๎ ว วะ นามัง อะโหสีติ ฯ ๑๕๘
  • 169. คาถาโพธิบาท แบบที่ ๑ บูระพารัส๎มิง พระพุทธะคุณัง บูระพารัส๎มิง พระธัมเมตัง บูระพารัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข สัพพะโศก สัพพะโรค สั พ พะภั ย สั พ พะเคราะห ตั ว นอก สั พ พะเคราะห ตั ว ใน สั พ พะเคราะห กลางวั น สั พ พะเคราะห ก ลางคื น สั พ พะเคราะห ข า งขึ้ น สั พ พะเคราะห ขางแรม เคราะหวันเดือนป เคราะหดีเขามา เคราะหรายออกไป หายทุกข หายโศก หายโรค หายภัย หายเคราะห เสนียดจัญไร หายไปทันที สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เต (เม) รักขันตุ สุรักขันตุ ฯ แบบที่ ๒ บูระพารัสมิง พระพุทธะคุณัง บูระพารัส๎มง พระธัมเมตัง บูระพารัสมิง ๎ ิ ๎ พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะหตัวนอก สัพพะเคราะหตัวใน สัพพะเคราะหใด ๆ ขอใหกลายเปนดี เคราะหป เคราะหเดือน เคราะหวัน เคราะหปขอใหเคลื่อน เคราะหเดือนขอใหคลาย เคราะหวันขอใหหาย เหมือนน้ําดับไฟ วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เต (เม) รักขันตุ สุรกขันตุฯ ั หมายเหตุ –เที่ยวตอไปใหเปลี่ยน บูรพารัส๎มิง เปน อาคะเนยรัส๎มง ิ – ทักษิณรัส๎มิง – หรดีรัสมง – ปจจิมรัส๎มิง – พายัพรัส๎มิง – อุดรรัส๎มิง – อิสานรัส๎มิง ๎ ิ นอกนั้นเหมือนกันหมด , ๑ สวดใหคนอื่น เปลี่ยน เม เปน เต ๑๕๙
  • 170. คาถาสวดนพเคราะห์ อิติป โส ภะคะวา ฯ ขาจะขอไหว พระอาทิตย๑ สะเทวา ขอเชิญ พระอาทิตย๑ เสด็จลงมารักษาอายุได ๖ ป๒ มาเวียนรอบในราศี ในเที่ยงคืน ในราตรี ตองลัคนตองจันทน สัพพะเคราะหตัวนอก สัพพะ - เคราะหตัวใน สารพัดทุกข สารพัดโศก สารพัดโรค สารพัดภัย สารพัด เคราะหเสนียดจัญไร ขออยาใหมีภัย ใหมีแตชัยยะมงคล คุมโทษที่โทษา วิญญาณะสัมปนโน ฯ อิติป โส ภะคะวา ฯ หมายเหตุ : สวดรอบตอไปใหเปลียน ๑ และ ๒ ตามนี้ (รวมเปน ๙ รอบ) ่ ๑ พระจันทร ๒ อายุได ๑๕ ป, ๑ พระอังคาร ๒ อายุได ๘ ป, ๑ ๒ พระพุธ อายุได ๑๗ ป, ๑ พระเสาร ๒ อายุได ๑๐ ป, ๑ พระพฤหัส ๒ อายุได ๑๙ ป, ๑ พระราหู ๒ อายุได ๑๒ ป ๑ พระศุกร ๒ อายุได ๒๑ ป, ๑ พระเกตุ ๒ อายุได ๙ ป, ๑๖๐
  • 171. คาถาบูชาดวงชาตา นะโม เม สัพพะเทวานัง สัพพะคะระหะ จะ เทวานัง สุรยัญจะ ปะมุญจะถะ ิ สะสิ ภุมโม จะ เทวานัง วุโธ ลาภัง ภะวิสสะติ ชีโว สุกะโร จะ มะหาลาภัง โสโร ราหูเกตุ จะ มะหาลาภัง สัพพะ ภะยัง นาสสันติ สัพพะทุกขัง วินาสสันติ สัพพะโรคัง วินาสสันติ ลักขะณา อะหัง วันทามิ สัพพะทา สัพเพ เทวา มัง ปาละยันตุ สัพพะทา เอเตนะ มังคะละเตเชนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุ เม ฯ ปจจุบันนิยมการผูกดวงชาตาของตน เอาไวสาหรับสักการะบูชา เรียกกันวา “ดวงพิชัยสงคราม” ํ หรือมิฉะนั้นก็เอาดวงชาตาบรรจุไวในฐานพระ เมื่อจะบูชาดวงชาตาพึงวา คาถานี้เพื่อจะไดเกิด ลาภสักการะ เปนสุขสวัสดิ์พิพัฒน มงคลเลิศลนดีนักแล ฯ คาถามงคลจักรวาฬแปดทิศ อิมัส๎มิงมงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิ จงมาเปนกําแพงแกว ทั้งเจ็ดชั้น มาปองกันหอมลอมรอบครอบทั่วอนัตตา ราชะเสมานาเขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรกขันตุ ฯ ั หมายเหตุ - เที่ยวตอไปใหเปลี่ยน พุทธะชาละปะริกเขตเต เปน ธัมมะชาละปะริกเขตเต – ปจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต – สังฆะชาละปะริกเขตเต ๑๖๑
  • 172. อุณหิสสะวิชะยะคาถา อัตถิ อุณ๎หิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา สัพพัส๎มา มะระณา มุตโต ฐะเปต๎วา กาละมาริตัง ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตตัง จะเร ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง ปะเรสัง เทสะนัง สุต๎วา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ พระคาถาบทนี้ อยูในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจาไดทรงเมตตาใหเทวดาองคหนึ่งที่ กําลังหมดอายุขัยจะตองลงไปเสวยกรรมในนรก แตเทวดาองคนี้ มีความกลัวมากที่จะตองลง ไปเกิดในเมืองนรก จึงดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะไมไป แตก็ไมมีใครจะชวยเหลือได แมแตองค พระอินทร แตยังโชคดีที่ไดพบพระพุทธเจา และทรงแนะใหภาวนาคาถาบทนี้ จะไดมีอายุยืน ยาวนานตอไป เพื่อที่จะไดใชเวลาที่เหลืออยูนี้ บําเพ็ญภาวนา ใชหนี้กรรมที่มีอยู ใหหมดไป พระคาถาบทนี้ จึงมีพุทธานุภาพมาก ในเรื่องของการมีอายุยืนยาวและยังทําใหสุขภาพ แข็งแรง ไมเจ็บไขไดปวยอยางงาย ๆ อีกดวย ผูที่มีสุขภาพไมดี หรือขี้โรค หรือปวยเปนโรค ที่รักษายากแลว ควรหมั่นทองภาวนาเปนประจํา จะหายไดโดยเร็ววัน ๑๖๒
  • 173. พระคาถาชินบัญชร เพื่อใหเกิดอานุภาพยิงขึ้น กอนเจริญภาวนาพระคาถาชินบัญชร ่ ตั้งนะโม ๓ จบกอน แลวระลึกถึง และบูชาเจาประคุณสมเด็จ ฯ วาดังนี้ ตั้ง นะโม ฯ ๓ จบ ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานัง ปยะตัง สุต๎วา อิตปโส ภะคะวา ยะมะราชาโน ทาวเวสสุวณโณ ิ ั มะระณัง สุขง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ ั (แลวจึงเจริญภาวนา) ๑. ชะยาสะนาคะตา พุทธา เชต๎วา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปวิงสุ นะราสะภา. ๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา. ๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร ๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณทัญโญ ปฏฐิภาคัส๎มิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก. ๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก ๑๖๓
  • 174. ๖. เกสันเต * ปฏฐิภาคัส๎มิง สุริโยวะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปนโน โสภีโต มุนิปุงคะโว ๗. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร ๘. ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสีวลี เถรา ปญจะ อิเม ชาตา นะลาเฏ ติละกา มะมะ. ๙. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา** เอเตสีติ มะหาเถรา** ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา ๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง ธะชัคคัง ปจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง ๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะสุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา ๑๒. ชินะนานาวะระสังยุตตา สัตตะปาการะลังกะตา วาตะปตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปททะวา. ๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปญชะเร ๑๔. ชินะปญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะหีตะเล*** สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา. ๑๖๔
  • 175. ๑๕. อิจเจวะ มันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตปททะโว ู ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโค สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปญชะเรติ. พระคาถาชินบัญชรนี้เปนคาถาทีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ตกทอดมาจากลังกาเจาประคุณสมเด็จ ฯ ่ คนพบในคัมภีรโบราณไดดัดแปลงแกไขแตงเติมใหดีขึ้นเปนเอกลักษณพเศษได เนื้อถอยกระทง ิ ความสมบูรณแปลออกมาแลวมีแตสิ่งสิริมงคลแกผูสวดภาวนาทุกประการ พระคาถานี้เปนการอัญเชิญพระพุทธานุภาพแหงพระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัม - พุทธเจาและพระพุทธเจาที่ไดเคยมาตรัสรูกอนหนานั้น จากนันเปนการอัญเชิญพระอรหันต ้ ขีณาสพ อันสําเร็จคุณธรรมวิเศษแตละองคไมเหมือนกัน นอกนั้นยังอัญเชิญพระสูตรตาง ๆ อันโบราณาจารยถือวา เปนพระพุทธมนตอนวิเศษแตละสูตรมารวมกันสอดคลองเปนกําแพง ั แกวคุมกันตังแตกระหมอมจอมขวัญของผูภาวนาพระคาถาลงมาจนลอมรอบตัว จนกระทั่งหา ้ ชองโหวใหอนตรายสอดแทรกเขามามิได ั ผูใดไดสวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรนี้ เปนประจําอยูสม่ําเสมอ จะทําใหเกิดความสิริ มงคลสมบูรณพูนผล ศัตรูหมูพาลไมกลํ้ากราย ไปทางใด ยอมเกิดเมตตามหานิยม เกิดลาภผล พูนทวี ขจัดภัยจากภูตผีปศาจ ตลอดจนคุณไสยตาง ๆ ทําน้ํามนตรดแกวิกลจริตแกสรรพโรคภัย หายสิ้น เปนสิริมงคลแกชีวิต มีคุณานุภาพตามแตจะปรารถนา ดังคําโบราณวา "ฝอยทวมหลัง ชาง" จะเดินทางไปที่ใด ๆ สวด ๑๐ จบ แลวอธิษฐานจะสําเร็จสมดังใจ * บางตําราใช เกเสนเต, เกสะโต ก็มี ** ฉบับสิงหลไมมีวรรคนี้ *** มะหีตะเล บาลีออกเสียงเปน มะฮีตะเล ๑๖๕
  • 176. เทวะตาอุยโยชะนะคาถา ทุกขัปปตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปตตา จะ นิพภะยา โสกัปปตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพป ปาณิโน เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปตติสิทธิยา ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา ภาวะนา ภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา ฯ (สวดขณะทีพรมน้ําพระพุทธมนต) ่ สัพเพ พุทธา พะลัปปตตา ปจเจกานัญจะ ยัง พะลัง อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโสฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ๑๖๖
  • 177. บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (ทํานองสรภัญญะ) บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (นํา) อิตป โส ภะคะวา (รับพรอมกัน) อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ิ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสะทัมมะสาระถิ ิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ (นํา) องคใดพระสัมพุทธ (รับพรอมกัน) สุวิสทธสันดาน ุ ตัดมูลเกลศมาร บ มิหมนมิหมองมัว หนึ่งในพระทัยทาน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกําจร องคใดประกอบดวย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมูประชากร มละโอฆกันดาร ชี้ทางบรรเทาทุกข และชี้สุขเกษมสานต ชี้ทางพระนฤพาน อันพนโศกวิโยคภัย พรอมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส เห็นเหตุทใกลไกล ี่ ก็เจนจบประจักษจริง กําจัดน้ําใจหยาบ สันดานบาปแหงชายหญิง สัตวโลกไดพึ่งพิง มละบาปบําเพ็ญบุญ ขาขอประณตนอม ศิรเกลาบังคมคุณ สัมพุทธการุญ- ญภาพนั้นนิรันดร ฯ (กราบ) ๑๖๗
  • 178. บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (นํา) ส๎วากขาโต (รับพรอมกัน) ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตพโพ วิญูหีต.  ั ิ (อานวา วิญ-ู-ฮี-ติ) (นํา) ธรรมะคือคุณากร (รับพรอมกัน) สวนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล แหงองคพระศาสดาจารย สองสัตวสนดาน ั สวางกระจางใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เปนแปดพึงยล และเกานับทั้งนฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส อีกธรรมตนทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบติปริยัติเปนสอง ั คือทางดําเนินดุจครอง ใหลวงลุปอง  ยังโลกอุดรโดยตรง ขา ฯ ขอโอนออนอุตมงค นบธรรมจํานง ดวยจิตและกายวาจา ฯ (กราบ) ๑๖๘
  • 179. บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (นํา) สุปะฏิปนโน (รับพรอมกัน) ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ (นํา) สงฆใดสาวกศาสดา รับปฏิบตมา ั ิ แตองคสมเด็จภควันต เห็นแจงจตุสัจเสร็จบรร- ลุทางที่อัน ระงับและดับทุกขภยั โดยเสด็จพระผูตรัสไตร ปญญาผองใส สะอาดและปราศมัวหมอง เหินหางทางขาศึกปอง บ มิลําพอง ดวยกายและวาจาใจ เปนเนื้อนาบุญอันไพ- ศาลแดโลกัย และเกิดพิบูลยพูนผล สมญาเอารสทศพล มีคุณอนนต อเนกจะนับเหลือตรา ขา ฯ ขอนบหมูพระศรา-  พกทรงคุณา- นุคุณประดุจรําพัน ดวยเดชบุญขาอภิวนท ั พระไตรรัตนอัน อุดมดิเรกนิรัติศย ั จงชวยขจัดโพยภัย อันตรายใดใด จงดับและกลับเสื่อมสูญ ฯ (กราบ) ๑๖๙
  • 180. คําไหว้พระบรมสารีรกธาตุ ิ วันทามิ เจติยง, สัพพัง, สัพพัฏฐาเน, สุปะติฏฐิตา, ั สารีรกะธาตุ, มหาโพธิง, พุทธะรูปง, สะกะลัง สะทา ฯ ิ  คําอธิษฐานสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ขาพระพุทธเจา, ขอนอมถวายสักการะบูชา, พระบรมสารีรกธาตุ, พระอรหันตธาตุ, ทีประดิษฐานอยู ณ ที่น, ิ ่ ี้ ทีประดิษฐานอยูทวโลก, ทีประดิษฐานอยูทวมหาจักรวาล, ่  ั่ ่  ั่ ดวยธรรมะปฏิบต, และการบําเพ็ญบุญ, ของขาพระพุทธเจาในครังนี, ั ิ ้ ้ ขออานิสงสผลบุญทังหลายเหลานี, จงเปนพลวปจจัย, ้ ้ ใหถึงซึงพระนิพพาน, ในปจจุบนชาติ, ่ ั หากขาพระพุทธเจา, ไมสามารถเขาถึง, ซึ่งพระนิพพาน, ในปจจุบนชาตินี้เพียงใด, เกิดภพใดชาติใด, ขอความไมม, ั ี ไมสามารถ, ไมสาเร็จ, ไมสมหวัง, จงอยาไดมแกขาพระพุทธเจา, ํ ี  ในทุกภพทุกชาติ, ทีขาพระพุทธเจาไดเกิด, จนกวาจะไดถง, ่ ึ ทีสดแหงกองทุกข, คือพระนิพพาน, ในอนาคตกาล, ่ ุ เบืองหนาโนนเทอญ ฯ ้ ๑๗๐
  • 181. คําบูชาพระบรมสารีรกธาตุ ิ อะหัง วันทามิ สารีรกธาตุ ิ อะหัง วันทามิ ทูระโต อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส อิตปโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ ิ  อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปตอิ ิ ๑๗๑
  • 182. กราบพระ ๕ ครั้ง ยกมือขึ้นเถิดหนา ไหวบูชาพระรัตนตรัย บูชา คุณพระพุทธ ที่บริสุทธิ์และผองใส บูชา คุณพระธรรม ที่ทานนอมนําเชิดชูไว บูชา คุณพระสงฆ ที่ทานดํารงพระศาสนา  บูชา บิดามารดา ที่เลี้ยงเรามาจึงเติบใหญ บูชา ครูบา – อาจารย ที่ทานบันดาลวิชาใหไว บูชา หาอยางนี้จําใหดีนะทานเอย.... เตรียมตัวกราบเถิดหนา ทานที่มาในกองทัพธรรม กราบหนึง คุณพระพุทธ ที่บริสุทธิ์และผองใส ่ กราบสอง คุณพระธรรม ที่ทานนอมนําเชิดชูไว กราบสาม คุณพระสงฆ ที่ทานดํารงพระศาสนา กราบสี่ บิดามารดา ที่เลี้ยงเรามาจึงเติบใหญ กราบหา ครูบา - อาจารย ที่ทานบันดาลวิชาใหไว กราบไหวใหได ๕ ครั้ง เพื่อพลังพระศาสนา ตอไปในภายภาคหนา เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน เราจะถึง...ซึ่งพระนิพพาน ๑๗๒
  • 184. ๑. เมื่อประธานมาถึง ผูปฏิบัติธรรมนั่งคุกเขาประนมมือ เมื่อผูเปนประธาน กราบพระเสร็จแลวนั่งลง ผูปฏิบัติธรรมกราบพรอมกัน ๓ ครั้ง ๒. ตัวแทนผูปฏิบัติธรรม จุดเทียน ธูป กลาวคําบูชาพระ (อิมนา สักกาเรนะ ฯ) ิ กราบพระ (อะระหัง สัมมา ฯ) อาราธนาศีล ๕ (จบแลว กราบ ๑ ครั้ง) นั่งพับเพียบ สมาทานศีล ๕ (เสร็จแลว นั่งคุกเขา กราบ ๓ ครั้ง) ๓. กลาวคําขอขมา ตั้ง นะโม ฯ พรอมกัน ๓ จบ (แลวกลาวตามผูนําดังนี้) วันทามิ พุทธัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต, วันทามิ ธัมมัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต, วันทามิ สังฆัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต, วันทามิ กัมมัฏฐานัง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต, วันทามิ อาราเม, พัทธะเสมายัง, โพธิรุกขัง, เจติยัง, พุทธะรูปง, สัพพะ เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต. ขาพเจาขอวันทา, พระพุทธเจา, พระธรรมเจา, พระสงฆเจา, ขอพระพุทธเจา, พระธรรมเจา, พระสงฆเจา, จงงดโทษ, ของขาพเจาทั้งปวง, ขาพเจาขอวันทา, พระกัมมัฏฐาน, ครูอปชฌาอาจารย, ขอพระกัมมัฏฐาน, ุ ครูอปชฌาอาจารย, จงงดโทษ, ของขาพเจาทั้งปวง, ุ ขาพเจาขอวันทา, พระอาราม, พัทธเสมา, ตนโพธิ, พระเจดีย, พระพุทธรูป, ์ ในอารามนี้, ขอพระอาราม, พัทธเสมา, ตนโพธิ์, พระเจดีย, ในอารามนี้, จงงดโทษ, ของขาพเจาทั้งปวง ๑๗๔
  • 185. อาจะริเย ปะมาเทนะ, ทะวาระตะเยนะ กะตัง, สัพพัง, อะปะราธัง, ขะมะตุ โน ภันเต, ความผิดพลาดทั้งปวง, ที่ขาพเจาทั้งหลาย, ไดกระทําแลว, ดวยกายก็ด, ี ดวยวาจาก็ดี, ดวยใจก็ดี, ตอหนาก็ดี, ลับหลังก็ดี, โดยเจตนาก็ตาม, ไมเจตนาก็ตาม, ในพระอาจารย, ขอพระอาจารย, จงงดโทษเหลานั้น, ใหแกพวกขาพเจา, ทั้งหลายดวยเทอญฯ (กราบพรอมกัน ๓ ครั้ง ตัวแทนนําธูปเทียนแพ ดอกไม เขาไปถวาย ฯ) ๔. ผูปฏิบัติธรรม หรือตัวแทน กลาวแสดงความรูสึก หรือผลที่ไดรับจาก การปฏิบัติธรรม ๕. รับวุฒิบัตร อนุโมทนาบัตร หรือหนังสือแจก หรือรางวัล ของที่ระลึก ๖. รับฟงโอวาท หรือรับพร จบแลว กราบ ๓ ครั้ง ๗. นั่งสมาธิ ประมาณ ๑-๒ นาที (นั่งพับเพียบ) แผเมตตา – อุทิศสวน กุศล เสร็จแลว นั่งคุกเขาประนมมือกราบพระ ๘. ตัวแทนผูปฏิบัติธรรม ดับเทียน ๙. ถวายความเคารพ พระบรมฉายาลั ก ษณ หรื อ พระสาทิ ส ลั ก ษณ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พระเจ า อ ยู หั ว ฯ แ ล ะ ส ม เ ด็ จพระนางเจ า ฯ พระบรมราชินีนาถ ๑๐. รองเพลงสรรเสริญพระบารมี หมายเหตุ - ถามีการถวายจตุปจจัย ผาปา หรือของที่ระลึก ควรกระทํา เมื่อเสร็จขั้นตอนที่ ๕ เสร็ จ พิ ธี ๑๗๕
  • 186. คําอาราธนาพระปริตร วิปตติปะฏิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสิทธิยา, สัพพะ ทุกขะ วินาสายะ, ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ปะริตตัง พ๎รูถะมังคะลัง ฯ วิปตติปะฏิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสิทธิยา, สัพพะ ภะยะ วินาสายะ, ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ปะริตตัง พ๎รูถะมังคะลัง ฯ วิปตติปะฏิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสทธิยา, ิ สัพพะ โรคะ วินาสายะ, ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ปะริตตัง พ๎รถะมังคะลัง ฯ ู (แปล) เพื่อกันความวิบต, เพื่อสมบัตไดเพิ่มพูน, ั ิ ิ เพื่อทุกขพนาศสูญ, พระธัมมะจักร ฯ อันมงคล ฯ ิ เพื่อกันความวิบต, เพื่อสมบัตไดเพิ่มพูน, ั ิ ิ เพื่อภัยพินาศสูญ, พระธัมมะจักร ฯ อันมงคล ฯ เพื่อกันความวิบต, เพื่อสมบัตไดเพิ่มพูน, ั ิ ิ เพื่อโรคพินาศสูญ, พระธัมมะจักร ฯ อันมงคล ฯ ๑๗๖
  • 187. คําอาราธนาธรรม พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะตี, กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ, สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา, เทเสตุ ธัมมัง อะนุกมปมง ปะชังฯ ั ั ทาวสหัมบดีแหงโลก ไดประคองอัญชลี ทูลวิงวอนพระพุทธเจาผูประเสริฐวา สัตวผูมธุลในดวงตานอยมีอยูในโลกนี้ ขอพระคุณเจาโปรดแสดงธรรม ี ี อนุเคราะหดวยเถิด  คําถวายภัตตาหาร (สังฆทาน) (ประเภทสามัญ) อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ๑, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, ภัตตานิ๑, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ ฯ ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, ซึ่งภัตตาหาร๒, กับทั้งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, แดพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งภัตตาหาร๒, กับทั้งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้ ของขาพเจาทั้งหลาย, เพื่อประโยชน, และความสุข, แกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ ฯ ๑ ถาถวายเปนเครื่องสังฆทาน ใชคําวา “สังฆทานานิ” บางแหงอาจใชคําวา “สังฆทานิ” ๒ ใชคําวา “สังฆทาน” ๑๗๗
  • 188. คําถวายสังฆทาน (ประเภทอุทศใหผลวงลับไปแลว) ิ ู  อิมานิ, มะยัง ภันเต, มะตะกะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, มะตะกะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัญ เจวะ, มาตาปตุ, อาทีนัญจะ, ญาตะกานัญจะ, เทวะตานัญจะ, สัพพะเปตานัญจะ, สัพพะเวรีนัญจะ, สัพพะสัตตานัญจะ, กาละกะตานัง , ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ ฯ ขาแตพระภิกษุสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, ซึ่งมะตะกะภัตตาหาร, กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, แกพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งมะตะกะภัตตาหาร, กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย, เพื่อประโยชน, และความสุข, เพือความพนทุกข, เพื่อความเจริญรุงเรือง, ่ แกขาพเจาทั้งหลาย, และแกปยะชนทั้งหลาย, แกญาติทั้งหลาย, มีมารดาบิดา, ญาติสนิทมิตรสหายครูอุปชฌายอาจารย, ผูมบุญคุณ,  ี ผูมพระคุณทุกทาน, ที่ลวงลับไปแลว, เทวดาทังหลาย, เปรตทั้งหลาย, ี ้ เจากรรมนายเวรทั้งหลาย, สัพพะสัตวท้งหลาย, ตลอดกาลนาน...เทอญ ฯ ั ๑๗๘
  • 189. คําอปโลกน์สังฆทาน ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ ขอพระสงฆทั้งปวงจงฟงคําขาพเจา บัดนี้ ทายก ทายิกา ผูมจิตศรัทธา ไดนอมนํามาซึ่งภัตตาหาร มาถวาย  ี เปนสังฆทานแกพระภิกษุสงฆ อันวา สังฆทานนี้ ยอมมีอานิสงสอันยิ่งใหญ สมเด็จพระพุทธองคจะไดจาเพาะเจาะจงวา เปนของภิกษุรปหนึ่งรูปใดก็หามิได ํ ู เพราะเปนของไดแกสงฆทั่วทั้งสังฆมณฑล พระพุทธองคตรัสวา ใหแจกกันตาม บรรดาทีมาถึง ่ ฉะนั้น บัดนี้ ขาพเจา จะสมมติตนเปนผูแจกของสงฆ พระสงฆท้งปวงจะ ั เห็นสมควรหรือไมเห็นสมควร ถาเห็นวาไมเปนการสมควรแลวไซร ขอจงได ทักทวงขึ้นในทามกลางสงฆอยาไดเกรงใจ ถาเห็นวาเปนการสมควรแลว ก็จง เปนผูนิ่งอยู (หยุดนิดหนึ่ง) บัดนี้ พระสงฆทงปวงนิ่งอยู ขาพเจาจักรูไดวา ั้ เปนการสมควรแลว จะไดทําการแจกของสงฆตอไป ณ กาลบัดนี้  อะยัง ปะฐะมะ ภาโค มะหาเถรัสสะ ปาปุณาติ สวนที่ ๑ ยอมถึงแกพระเถระผูใหญผูอยูเหนือขาพเจา อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณาติ สวนที่เหลือจากพระเถระผูใหญแลว ยอมถึงแกขาพเจาทั้งหลาย  ตามบรรดาที่มาถึงพรอมกันทุก ๆ รูป (ตลอดถึงสามเณรดวย) เทอญ ฯ หมายเหตุ มะหาเถรัสสะ นั้น เปลี่ยนเปน เถรัสสะ บาง มัชฌิมะบาง ตามฐานะของหัวหนาในที่น้น ั ตลอดถึงสามเณรดวย ถาไมมีสามเณรอยูดวย ก็ไมตองวา คําอปโลกนนี้เปนหนาที่ของรูปที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็ได ๑๗๙
  • 190. คําถวายข้าวพระพุทธ อิมัง, สูปะ, พยัญชะนะ, สัมปนนัง, สาลีนัง, โภชะนัง, อุทะกังวะรัง, พุทธัสสะ, ปูเชมิ ฯ ขาพเจาขอบูชา, องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา, ดวยโภชนาอาหารและน้ํานี้ คําลาข้าวพระพุทธ เสสัง, มังคะลัง, ยาจามิ ฯ ขาพเจาไดบชาแลว, ขออนุญาตรับประทาน, เพื่อเปนมงคล, ู อาหารนี, ขาพเจาจะรับประทาน, เพื่อบํารุงรางกายใหแข็งแรง, ้ ปราศจากโรคภัยไขเจ็บ, ใหมชีวิตอยู, ไดทําความดี, ไดปฏิบติธรรมะ, ี  ั ขาพเจาจะไมรบประทาน, เพื่อบํารุงกิเลส, ตัณหา, อุปาทาน, ั ขอใหทานผูบริจาค, และบริการทุกทาน, จงมีอายุ, วรรณะ, สุขะ, พละ,  ปราศจากโรคภัยอันตรายทงปวงเทอญ ฯ ๑๘๐
  • 191. คําถวายผ้าป่า (ผ้าบังสุกุลจีวร) (ตั้ง นะโม ฯ ๓ จบ) อิมานิ, มะยัง ภันเต, ปงสะกุละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, ปงสะกุละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัญ เจวะ, มาตาปตุ, อาทีนญจะ, ญาตะกานัญจะ, เทวะตานัญจะ, ั สัพพะเปตานัญจะ, สัพพะเวรีนัญจะ, สัพพะสัตตานัญจะ, กาละกะตานัง, ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ ฯ ขาแตพระภิกษุสงฆผเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, ู ผาบังสกุลจีวร, กับทังสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ้ แกพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งผาบังสกุลจีวร, กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย, เพื่อประโยชน, และความสุข, เพือความพนทุกข, เพื่อความเจริญรุงเรือง, ่ แกขาพเจาทั้งหลาย, แกปยะชนทั้งหลาย, แกญาติทั้งหลาย,  มีมารดาบิดา, ญาติสนิทมิตรสหายครูอุปชฌายอาจารย, ผูมบุญคุณ,  ี ผูมพระคุณทุกทาน, ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู, หรือลวงลับไปแลว, ี เทวดาทั้งหลาย, เปรตทั้งหลาย, เจากรรมนายเวรทั้งหลาย, สัพพะสัตวทั้งหลาย, ตลอดกาลนาน...เทอญ ฯ ๑๘๑
  • 192. คําถวายพระพุทธรูป อิมานิ มะยัง ภันเต, พุทธะรูปง, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุโน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, พุทธะรูปง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง,  ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, พระพุทธปฏิมากร, แดพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ซึ่งพระพุทธปฏิมากร, ของขาพเจาทั้งหลาย, จงเปนไปเพือประโยชน, ่ เพื่อความสุข, แกขาพเจาทั้งหลาย, สินกาลนานเทอญ .  ้ คําถวายเทียนพรรษา ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ปะฏิชานาตุ, มะยัง ภันเต, เอตัง, ปะทีปะยุคัง, สะปะริวารัง, เตมาสัง, พุทธัสสะ, อิมัสมิง, อุโปสะถาคาเร, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต, อะยัง, เตมาสัง, พุทธัสสะ, ปูชะนัตถายะ, ปะทีปะยุคัสสะ, ทานัสสะ, อานิสงโส, อัมหากัญเจวะ, มาตาปตุ, อาทีนัญจะ, ปยะชะนานัง, ั ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ, สังวัตตะตุ ฯ ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขอพระสงฆจงรับทราบ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, เทียนพรรษา, พรอมกับของบริวาร, ไว ณ พระอุโบสถนี้, เพื่อเปนพุทธบูชาตลอดพรรษา, ขออานิสงสแหงการถวาย, เทียนพรรษา, เพื่อเปนพุทธบูชาตลอดพรรษานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย, จงเปนไปเพื่อประโยชน, เพือความสุข, แกขาพเจาทั้งหลายดวย, ่ แกปยชนทั้งหลาย, มีมารดาบิดาเปนตน, ตลอดกาลนานเทอญ ฯ ๑๘๒
  • 193. คําถวายผ้าอาบน้ําฝน อิมานิ มะยัง ภันเต, วัสสิกะสาฏิกานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, วัสสิกะสาฏิกานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคันหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอนอมถวาย, ผาอาบน้ําฝน, กับทังสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ้ แดพระภิกษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ, ผาอาบน้าฝน, ํ กับทั้งสิ่งของที่เปนบริวารทั้งหลายเหลานี้, ของขาพเจาทั้งหลาย, เพื่อประโยชน, และความสุข, แกขาพเจาทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ ฯ คําถวายทานทั่วไป สุทินนัง, วะตะ เม ทานัง, ปะระมัตถะ ทานัง, ปาริสุทธิ ทานัง, อาสะวักขะยาวะหัง, นิพพานังโหตุ, ทานของเรานี้, ใหดแลวหนอ, เปนทานอันเลิศ, เปนทานทีบริสทธิ์, ี ่ ุ เปนไปเพือพระนิพพาน, อันเปนที่สิ้นไปแหงกิเลส เทอญ ฯ ่ ๑๘๓
  • 194. คําสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ ...(เมื่อพระแสดงธรรมจบ ใหรับสาธุการพรอมกันดวยถอยคําขางลางนี้ วาเปนวรรค เปนตอน หยุดตามที่จุดไวทุกๆ จุด) สาธุ พุทธะสุโพธิตา, สาธุ ความตรัสรูดีจริงของพระพุทธเจา, สาธุ ธัมมะสุธัมมะตา, สาธุ ความเปนธรรมดีจริงของพระธรรม, สาธุ สังฆัสสุปะฏิปตติ, สาธุ ความปฏิบัติความดีจริงของพระสงฆ, อะโห พุทโธ, พระพุทธเจา นาอัศจรรยจริง, อะโห ธัมโม, พระธรรมเจา นาอัศจรรยจริง, อะโห สังโฆ, พระสงฆเจา นาอัศจรรยจริง, อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะตา (คะโต)๑ ขาพเจาถึงแลว, ซึ่งพระพุทธเจา, พระธรรมเจา, พระสงฆเจา, วาเปนทีพงที่ระลึกถึง ่ ึ่ อุปาสิกัตตัง (อุปาสะกัตตัง)๑ เทเสสิง ภิกขุสังฆัสสะ สัมมุขา, ขาพเจาขอแสดงตนวา, เปนอุบาสิกา(อุบาสก)๑ ในที่จําเพาะหนาพระภิกษุสงฆ เอตัง เม สะระณัง เขมัง, เอตัง สะระณะมุตตะมัง, พระรัตนตรัยนี้เปนทีพึ่งอันเกษมของขาพเจา, ่ พระรัตนตรัยนี้เปนทีพึ่งอันสูงสุด ่ ๑ สตรีพงวา (คําในวงเล็บ) ึ ๑๘๔
  • 195. ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง ขาพเจาจักประพฤติซงพระธรรมคําสั่งสอน, ของพระสัมมาสัมพุทธเจา, ึ่ โดยสมควรแกกําลัง ทุกขะนิสสะระณัสเสวะ ภาคีนิสสัง (ภาคีอัสสัง)๑ อะนาคะเต ขอขาพเจาพึงมีสวนแหงพระนิพพาน, อันเปนที่ยกตนออกจากทุกข,  ในอนาคตกาลเบืองหนาโนน เทอญ ฯ ้ ๑ สตรีพงวา (คําในวงเล็บ) ึ ๑๘๕
  • 196. คําแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เอสาหัง ภันเต๑, สุจิระปะรินิพพุตัมป, ตัง ภะคะวันตัง, สะระณัง คัจฉามิ๒, ธัมมัญจะ, สังฆัญจะ, พุทธะมามะโกติ มัง๓, สังโฆ ธาเรตุ. "ขาแตพระสงฆผูเจริญ, ขาพเจาทั้งหลาย, ขอถึงพระผูมภาคเจาพระองคนั้น, แมเสด็จปรินพพานแลว, ี ิ พรอมดวยพระธรรม, และพระสงฆ, เปนสรณะ, เปนทีพึ่ง, ่ ที่ระลึก, ที่นับถือ, ขอพระสงฆจงจําขาพเจาทั้งหลายไววา,  เปนพุทธมามะกะ, ตังแตบัดนี้, เปนตนไป” ้ พระสงฆ์ประนมมือรับ "สาธุ" พรอมกัน ๑ ถาปฏิญาณพรอมกันหลายคน ใหเปลี่ยนคําดังนี้ เอสาหัง ผูชายวา เอเต มะยัง ผูหญิงวา เอตา มะยัง ๒ คําวา คัจฉามิ เปลี่ยนเปน คัจฉามะ ๓ คําวา พุทธะมามะโกติ เปน พุทธะมามะกาติ, คําวา มัง เปน โน สามคําหลังนี้วา  เหมือนกัน (สําหรับคําวา พุทธะมามะโกติ ถาผูหญิงกลาวแมคนเดียวก็เปลี่ยนเปน พุทธะมามะกาติ)  ๑๘๖
  • 197. คําลาพระกลับบ้าน หันทะทานิ, มะยัง ภันเต, อาปุจฉามะ, พะหุกิจจา มะยัง, พะหุกะระณียา. บัดนี้ไดเวลาแลวขอรับ, พวกกระผม (ดิฉัน)๑ มีกิจที่จะตองทําอีกมาก, จึงขอกราบลา พระสงฆผรับลากลาวคําวา ู “ ยัสสะทานิ ตุมเห กาลัง มัญญะถะ ” ผูลาพึงรับพรอมกันวา “ สาธุ ภันเต, สาธุ ภันเต, สาธุ ภันเต, ” เสร็จแลว กราบ ๓ ครั้ง ๑ สตรีพงวา (คําในวงเล็บ) ึ ๑๘๗
  • 198. รายนามผูรวมบริจาคพิมพหนังสือสวดมนต  ทําบุญรายละ ๑๐,๐๐๐.- บาท พลเอกวัฒนะ - นภาพร กาญจนะวสิต (รานบุญอัมพวัน), ครอบครัวจังตระกูล - ครอบครัวปญญาบัณฑิต (นางจอย จังตระกูล - นายสุรศักดิ์ ปญญาบัณฑิต - นางสาวจตุพร จังตระกูล - ด.ญ.สุรภา - ด.ช.พงศพิสทธิ์ ปญญาบัณฑิต) ุ ทําบุญรายละ ๕,๐๐๐.- บาท ครอบครัวศิริจิต (คุณประสพสันต ศิริจิต - คุณรัตนา ศิริจิต - คุณจิรภัทร ศิริจิตร - คุณจิรวรรณ ศิริจิตร - คุณจิรพร ศิริจิตร), คุณอุไรวรรณ พันธุสภะ, คุณนิธนทรา กําปนทอง, คุณมนัส - คุณกชพรรณ - ด.ช.กวิน - ด.ช.ธนัช ุ ิ วัฒนศิลป ทําบุญรายละ ๓,๐๐๐.- บาท นางสาวเฉลิมขวัญ พุทธิวงศ, คุณมานพ - นางภารวี - ดช.กูลคูณโชคจ - ดญ.ชันญา - น.ส.ภัคจิรา ศิริเต็มกุล ทําบุญรายละ ๒,๒๔๐.- บาท ไมประสงคออกนาม ทําบุญรายละ ๒,๐๐๐.- บาท พระสมุหสุบิน จนทาโภ (วัดวุฒาราม ขอนแกน), พระสุระ ปฺญาธโร, คุณเบญจพร นันทพงษ, คุณพอซือกุง แซลี้ - คุณแมลเู หี้ยง แซเตียว, คุณพนิดา พัฒนดารงจิตร และครอบครัว, คุณชื่นฤดี สกุลชัยพรเลิศ ํ ทําบุญรายละ ๑,๓๒๐.- บาท คุณสมประสงค สีลาดเลา ทําบุญรายละ ๑,๒๐๐.- บาท คุณแมแสง นกเทียน - คุณสมศักดิ์ อมรฤทธิ์ - นางสายัณห นกเทียน พรอมบุตร และญาติ ทําบุญรายละ ๑,๑๕๐.- บาท คุณศุภรัตน ปรศุพัฒนา - คุณวิไล ตระกูลโอสถ - คุณอรนุช วงศวัฒนาเสถียร - คุณอภิญญา ชุมวรฐายี - คุณมนตรา พึงเทศ ่ ทําบุญรายละ ๑,๐๐๐.- บาท พระบรรหาญ ปภาธโร, นางวันดี กอนแกว, นางจําปา ประจัญบาน, นางสงา ใจแสน, คุณสมรัก รุจมณีพงศ,คุณ ิ พรชัย - อารีย เบ็ญจาศิริโรจน และครอบครัว, คุณมุลี พงษสระพัง, คุณสุภาภรณ มั่นคง, คุณสถาพร คุณบัว, อนุ ๑๘๘ โมทนา บุญ
  • 199. คุณประวีร คุณบัว, คุณวันทกานต วงศอครวัต และ ครอบครัว, คุณชัญญา วาศพงศกร, ั คุณสุพัตรา ปรศุพัฒนา และ ครอบครัว, คุณวาริณี จูตะวิริยะ, คุณมณี เครือสุวรรณ, คุณเฉลิมเกียรติ สัจจวีระกุล, คุณประไพ เอือไพจิตร, หจก.มงคลชัยยนตรการ, คุณวิชัย-คุณอรพิน เอื้อบัณฑิต, นางสาวนิธินาถ เอือบัณฑิต, ้ ้ คุณวิวรรธน วิพัฒนกิจเจริญ, คุณอัจฉริยา วิพัฒนกิจเจริญ, คุณสายชล และ เพื่อน, นางลัดดา - คุณมงคล แกว ทาสี - คุณชาตรี เขตตลาด - นางนิภา อัศยะธรรมานนท ทําบุญรายละ ๙๙๙.- บาท คุณปยะ - คุณญาติกา คุณบัว และ ครอบครัว, คุณจตุรพร แหวนคุณ ทําบุญรายละ ๘๒๐.- บาท คุณมนตรี-คุณไสคิ้ม รังสรรคลิขิต และ ครอบครัว ทําบุญรายละ ๗๐๐.- บาท ครอบครัวประทุมชัย อุทิศใหเจากรรมนายเวร ทําบุญรายละ ๖๐๐.- บาท คุณอนงคนุต รังสรรคลิขิต ทําบุญรายละ ๕๐๐.- บาท พระการุณย ธิตมโน และครอบครัว พรอมดวย นางสาวพรทิพา รัศมีทานนทและครอบครัว, คุณวุฒิกร - วรรณภา แยมภิรมยศรี, คุณสุธน - จงรักษ - พิสิษฐ สุวรรณธาร, นางบังอร สุวรรณธาร และ ครอบครัว, คุณมนัส - จิรพันธ ฤทธิ์ฤาชัย, คุณชาญณรงค ปยพิทยานันต, คุณธีรชานนท - คุณรัชฏา - คุณวรรณิดา เทียมเรืองวัฒนา, คุณวลีกานต ตรัยรัตนมงคล, คุณยุทธนา รัตนวิสุทธิพนธ, ั นางสาวสราพร คํามูลคร, นางสาวพิรุณ เศวตศิริ (คูกา), คุณรัมภม - อิงครัต - ปาจรีย จุฑามณี, คุณฆรณี แสงมณี, นางสมถวิล ประเสริฐสังข, นางจุฬาลักษณ ประจัญบาน และครอบครัว, นางเพ็ญศรี จันทรศรี พรอมบุตรหลานทุกคน, คุณอัครเดช - คุณยุวดี - ด.ญ.ทัศนธนัช นอมชอบ - คุณแมละเอียด นอมชอบ, คุณกุสุมาลย - คุณวุฒิพงศ วงศคุณาธร, คุณสุวรรณา - คุณปรีชา - คุณสาวิตรี ศรีสังวาล, คุณบัวลี ภูพูลทรัพย,คุณอนุชิตา ลาภจิตร และ ครอบครัว, คุณศรินนา สนิทนอย, คุณเกสร - นายจักรกฤษณ ศรีจิวังษา - คุณปญญา - คุณบังอร ดาริกานนท, คุณวิสิทธิ์ - คุณมาลินี - ด.ช.ภวิศ ศิลาไศล โศภิษฐ, คุณวาณี ไพศาลศรีสมสุข และ ครอบครัว, คุณวนิดา ศรีมุงคุณ, คุณแมเอ็ง คุณบัว, คุณสมชาย - ด.ช.ศุภกร คุณบัว, คุณชัชชัย คุณบัว - คุณดวงดาว เขมะลักษณ, คุณพอบุญชู-คุณณปภัช ตั้งวงษไชย และ ครอบครัว, คุณกนกวรรณ - คุณสุวิชัย - ด.ช.ธนรรณพ ติณรัตนสกุลชัย, คุณลักษณา ลอมในเมือง และ ครอบครัว, คุณนวรัตน ศรุตเกรียงไกร และ ครอบครัว, รานทิพวรรณ 1 (ดอนเจดีย), นางนันทกา ปญญาประชุม, คุณชัยโรจน - คุณกุลทรัพย - คุณโรจนินทร - คุณชยานิษฐ ชนะศรีรัตนกุล, คุณบัวลี ภูพลทรัพย, นางนิสรา ู คุณกิตติ์ - อนัญญา เสรีรัตนเสถียร อนุ ๑๘๙ โมทนา บุญ
  • 200. ทําบุญรายละ ๔๙๙.- บาท คุณมนูญ - คุณสุมนา - คุณสนิทพันธ - ด.ช.ธนัช นาควรพงศ - คุณแมสมจิตต แซเลา, คุณซิงเขง แซเตียว - คุณสุภรรจิต ญาณะนันท - คุณอาคม - คุณดลเดช - คุณดลพร - คุณปุณยนุช สัจจวีระกุล, ทําบุญรายละ ๔๗๐.- บาท นายธิติและนางสมร ปราบ ณ ศักดิ์ ทําบุญรายละ ๔๐๐.- บาท น.ส.ศิริพร ศศิวัฒนพร, ด.ช.ปราณต - ด.ญ.พรจรา - ด.ญ.ธัญจิรา พัฒนจักร, คุณประพิณ สันตติกลชัย, ุ คุณภูวนารถ - คุณรัชนิกานต - ด.ช.ณภัทร ศรีสังวาล, ทําบุญรายละ ๓๐๐.- บาท พระพุฒินาท อมรธมฺโม และ ครอบครัว, นางสาวสุวรีย ทรงธรรม, นางสาวปานเดือน กังวานเลิศ, คุณกัลยาณี ถาปนียากร, คุณจุฬาภรณ กลางคาร และ ครอบครัว, ด.ญ.ญาณิศา - ด.ช.ญาณาธิป บุญประเสริฐ, ด.ญ.รัดใจ - ด.ญ.เบญญาภา - ด.ญ.ปนวรินทร ตรีปญจศิล, คุณยุภาพร มโนวรรณา, นางปยวรรณ พงศานิตย ทําบุญรายละ ๒๐๙.- บาท คุณประชา - นางสุมาพร ตะสันเทียะ ทําบุญรายละ ๒๑๐.- บาท นางสุภาพ ขําเอี่ยม ทําบุญรายละ ๒๐๐.- บาท รานดอกไม (แมว), คุณอุพิษ มนัส (ยายจอย), นางวัจนะ ประเสริฐสังขและครอบครัว, นายประเสริฐ ตันติมาลา และครอบครัว, นางสาวกุญรุง กอนแกว, คุณชินพันธ เลิศวงศตระกูล, นายมนตรี มาศรี นางอัมพรรณ - ดช.ณัฐวุฒิ - ดช.พาโชค ศรีตระกูล, ครอบครัวทัศนกุลวงศ, คุณธนกฤต - คุณณัชชา - ด.ญ.ญาณิกา - ด.ญ.ปทมพร นิตยสมบัติ, คุณชูชาติ - คุณคนึงนิตย เอกมาศ, คุณสายฝน ชลธนาภรณ - คุณสุรศักดิ์ มูลแมง และครอบครัว, คุณธนันนิษฐา ประเชิญ, คุณสมรัก ศรีสงวาลย, คุณเกษรินทร ยือเผาพันธุ, คุณนารีย รวบทองหลาง, ั ้ คุณอภิญญา สัมฤทธิ์รินทร, คุณสุพิชาภักค สุธนเฉลิมวลัย และ ครอบครัว. คุณประจวบ ชูสกุลเลิศล้ํา, คุณพงษธร คําสัตย, คุณสมกิจ หมอปะคํา, คุณเอกชัย สวนเกษ และ ครอบครัว, คุณกัญจนนิกข อภิเมธีธํารง, คุณกฤช สุขก่ํา, คุณชัยวัฒน - คุณนงนุช ภักดิ์นันท, คุณปวริศา ปรัชญาอภิบาล บริษัท ทีเอ็น การาจ จํากัด, รานมีมี, คุณภราดร - ด.ช.ณฐกร โมกขรัตน - คุณสุรารักษ โกเสยะโยธิน, คุณยศวรรณ เลียวกายะสุวรรณ และครอบครัว, คุณศตพน อินทรนอก, คุณบงกช เสาวกุล, อนุ ๑๙๐ โมทนา บุญ
  • 201. คุณชลธิชา แอบโคกสูง, คุณอํานวย ลิ้นทอง, คุณปาริชาต ณ หนองคาย, คุณประโลม แสงจันทรทพย, ิ คุณเรวัตร ศรีสังวาล, คุณชนิตาภรณ ลิ้นทอง, คุณณัทพงศ สมศรีจันทร, คุณภัทรานี จันทรขํา และ ครอบครัว, คุณวิมลพรรณ แสนโสดา, คุณนุสรา - คุณโรเจอร แมคอินไทร, คุณปยวรรณ เตชะวณิช, คุณณัฐวุฒิ ลอมในเมือง, คุณเรณู ศักดิ์เจริญ และ ครอบครัว, คุณศิรกาญจน อรรถสิริสรณ, คุณพนิดา เอือบัณฑิต, คุณนงนุช เอือบัณฑิต และ ครอบครัว, นายปรมินทร พัฒนจักร, ้ ้ คุณสุรพล-คุณจันทนา ตรีปญจศิล, คุณจิราพร เพชรสะแก, คุณสายจิต เลี่ยนเพชร, นางพวงเพ็ชร บํารุงเมือง, คุณปาริชาต ณ หนองคาย, คุณณัฐภรณ - รัฐสิทธิ สิทธิทูล ทําบุญรายละ ๒๑๐.- บาท คุณแมนตยา - คุณฐีดาภา ธรรมบุตร - นางสาวนารีนาถ ธรรมบุตร - นางวาสนา เกตุแกว - นางสาวนิภาพร ิ ธรรมบุตร - นางสุดหทัย ดีเลิศ - นายพีระพล แกววิเชียร - นายนิพัฒ เกตุแกว ทําบุญรายละ ๑๙๙.- บาท คุณกุลชา ธรากุลวงศ และ ครอบครัว, คุณสรไกร โสภณพิพัฒน, คุณสมภพ - คุณสมพร - ด.ช.ทวิภพ นิลจันทึก ทําบุญรายละ ๑๕๐.- บาท คุณสหภพ กมลคุรุนานนท, คุณพัชรีรัตน อภิเมธีธํารง, คุณสาริณีย ใชคําแชม, คุณทองคํา ใชคําแชม ทําบุญรายละ ๑๒๐.- บาท คุณเดชา พรบํารุง, คุณอัญชิสา สีสาร และ ครอบครัว, คุณจรุพรรณ หงษาคํา, คุณสุรียรัตน สัชฌุกร, คุณบุษบง ศิริสม และ ครอบครัว, คุณเพียงใจ - คุณสมบูรณ สามารถ, คุณสกล ดีโยธา ทําบุญรายละ ๑๑๙.- บาท คุณศรีสดา คําแหง ุ ทําบุญรายละ ๑๐๙.- บาท คุณอิศรา วัฒนา, คุณสุรชัย มุงสวนกลาง, คุณจารุวรรณ เจกจันทึก, คุณจงกล เดชะ ทําบุญรายละ ๑๐๐.- บาท นางยุวดี ดวงเนตร, นางสาววิฃุดา ไลออน, นางสมศรี อินทรศวรและครอบครัว, คุณถนอม แสงโสดา, นางวริณรําไพ - ด.ช.พชร - ด.ช.สิระ นันทวงษ, คุณภรภัทร นามโคตร และ ครอบครัว, คุณจูเงียก แซตั้ง, คุณวธัญญา จริยาวัฒนชัยกุล และ ครอบครัว, คุณนอย แซตั้ง, คุณทิพย แกวทอง, คุณประทุม นิลคูหา และ อนุ ๑๙๑ โมทนา บุญ
  • 202. ครอบครัว, คุณอทิตยา - ด.ญ.อริศรา เพิมกลาง, คุณสุรีรัตน เขื่องสะคู, คุณจันทา ศรีสวัสดิ์, คุณนัยนา ่ ไพบูลย, คุณแจมจรรยา พูลศิลป, ด.ญ.ชัชชญา สอนเต็ม, คุณจิรัชญา สายธารทิพย และ ครอบครัว, คุณพงษเกียรติ เอือบัณฑิต และ ครอบครัว, คุณณัฐพงษ เอื้อบัณฑิต และ ครอบครัว, คุณพงษสันต เอื้อบัณฑิต, ้ คุณปรีชา ศรีกงพาน, คุณแมเคี่ยม ศรีกงพาน, คุณสุจรรยา ศรีกงพาน และ ครอบครัว, คุณพูนทรัพย กายประสิทธิ์ และ ครอบครัว, คุณกําพล ศรีกงพาน และ ครอบครัว, คุณเสกสรร - คุณมันทนา - ด.ช.จักรภัทร รามล, คุณณัฐนันท ทาบโลหะ อุทิศใหเจากรรมนายเวร, คุณสายหยุด ปานเพชร, คุณกนกชล - คุณณรงคศกดิ์ สิงหลี, คุณจุลินทร ถาวรศักดิ์, นางอรอนงค สมภาร, ั ด.ญ.ธนภร - ด.ช.ธนัท ถาวรศักดิ์, คุณเสาวณีย ลือพรอมชัย อุทิศใหเจากรรมนายเวร, นางบังอร หลาคํา, ด.ญ.กนกพร - คุณสมโภชน รัตนาลักษณ, คุณบุญเรือน - คุณจีรศักดิ์ ธงสันเทียะ, คุณกาญจนา อดทน, นางมนัญญา อุบลบาล, นางสายไหม คําภูกา, นางเขมภร สิงหทุย, นางพรทิพย สารศรี, นางกิ่งฟา หลาคํา, นางสายตา มังคะตา, นางสาวฉวีวรรณ มะหันต, คุณเบญจมาศ ศรีศุภร, ด.ช.วิชญวศิน แรงกสิวิทย, คุณสุมาลี วีระกุล, คุณสนธยา - ด.ญ.ณัฐชา แกวกลา, คุณปทุมภรณ มีแสงแกว, คุณสุประวีณ เถื่อนสันเทียะ, คุณอนงคเยาว พราหมณไธสง และ ครอบครัว, คุณผจงจิตต บรรจง และ ครอบครัว, คุณแมจรรยา เมธานุวัฒน, คุณสังสรรค - คุณวลัยภรณ - ด.ช.รวิภาส - ด.ช.ธนโชติ กริ่งกระโทก, คุณวารี - คุณวิรงรอง และครอบครัว, คุณสุพตรา นนทแสง และครอบครัว, คุณแดง คําออน และ ครอบครัว, ั ด.ช.ธีรภัทร - ด.ช.พีรพัฒน - ด.ญ.ธัญญารัตน ดิษจันทึก, คุณสุดารัตน ดิกขุนทด และครอบครัว, คุณเขมชาติ - คุณเอมิกา - ด.ช.ธนภัทร - ด.ช.รวิกร ยวนแม, คุณเกศินี - คุณเทียนชัย - ด.ช.ชโยทิต ทองคํา, คุณนริศร - คุณวิสา ศรีสังวาล, คุณปฏิญญา แตมศรี, คุณณัฐกันต สีหมนตรี, คุณกนกวัลย ทาวนิล, คุณกรรัตน จันทรหมื่นไวย และ ครอบครัว, คุณจุรีรัตน กิตติเวชรักษ และ ครอบครัว, คุณยุคลธร ตั้งสรณะ, คุณจุฬาพร จอนเกาะ, คุณฐษา วัฒนศิลป, คุณธนันทฉาย พูนสินโชติภัทร, คุณเนาวรัตน เข็มทอง, คุณประภา ตาดสูงเนิน, คุณปราณี กลสรร และ ครอบครัว, คุณปวริศา ประชุมกลาง, คุณสุภาพร โพธิ์งาม, คุณปวีณนุช วงศวิศาลพร, คุณพจรินทร ฝานสูงเนิน, คุณพัชรินทร เหงาวิชัย และ ครอบครัว, คุณยุพดี สัมฤทธิ์รินทร, คุณรัตติมา นามสวาง, คุณวันเพ็ญ ขอพันธกลาง, คุณศิริพร พิชัยสิทธิพร, คุณศิริรัตน วิศิษฐปรีชาวุฒิ และ ครอบครัว, คุณสถาพร ธรรมรสเดชา, คุณสุกัณยา อภิเมธีธํารง, คุณสุภาภรณ อนุชิตอารมณ และ ครอบครัว, คุณอมรรัตน พึ่งโคกสูง, คุณอัญชลี เข็มทอง, คุณอิสรีย เปรียบจันทึก, คุณเอกลักษณ จรจันทร, คุณพรชัย - คุณเรณู จามกระโทก และ ครอบครัว, คุณพอกาเรียน - คุณแมรัก ประเชิญ, คุณคํารณ พิมพทอง, คุณวัลลภ สุขรัตนรุงโรจน, คุณสยมภู ปะรัมย, คุณสมจริง การะนัด, คุณสมยศ จิตติมานุสรณ, คุณกิตติพงษ ชางการ, คุณจตุรณ ศิริเกตุ, คุณชลธาร หมายถมกลาง, คุณชูชาติ เดชพร, คุณเชษฐา ถนอมตะคุ, คุณนิรุจน คําแพง, คุณปรัชญา แตงพลกรัง, คุณพิสิฐ แหวนมุกข, คุณภัทรกร หงสยนต, คุณมัณฑนา สุวรรณเทศ, คุณยิ่งยง หงสอินทร, คุณศักดิ์ศรี สวางวงษ, คุณศักดิ์สิทธิ คนแรง, คุณศุภชัย มุสเิ กตุ, คุณเกศริน ชืนชม ่ คุณสิทธินนท ทองสุดชา, คุณสุชาติวฒิ มังษาอุดม, คุณสุพัฒนา โคดม, คุณอนันตชัย เมธีกสิพิพัฒน, ุ คุณเอกพล ตุพิมาย, คุณนันทนภัส กองทอง, คุณวรกาญจน บุญสวาง, คุณวรรณรัตน ธัมมาวัติ, คุณพิสิษฐ ออนมา, คุณพิศทธิ์ นิพทธสัจก, คุณโชคชัย เริงนิสัย, คุณณัฐวุฒิ ชาญธนกุล, ุ ั อนุ ๑๙๒ โมทนา บุญ
  • 203. คุณอนุพนธ - คุณศุภวัลย เมธานุวัฒน และ ครอบครัว, คุณจุฑารัตน เมธานุวัฒน และ ครอบครัว, คุณสมเชษฐ เมธานุวัฒน และ ครอบครัว, คุณทัศนีย พรหมบุตร, คุณวราพร วสุนธราสุข, คุณกิตติพัฒน - คุณธัญญาภัทร ฉัตรมาศ และ ครอบครัว, คุณวชิรา วาทิรอยรัมย, คุณจันทร มวงงาม, คุณเบญจวรรณ จันทรจํารัส และ ครอบครัว, คุณมรกต - คุณมยุรี กรินรักษ, คุณวชิระ ทองดีนอก, คุณอาวุธ - คุณรุจิรา ประเสริฐ, คุณสันติ เย็นขุนทด และ ครอบครัว, คุณกัณยาภัค นอยหลุบเลา และ ครอบครัว, คุณอํานวย - คุณวราพร - ด.ช.จิณณวัตร อวยสูงเนิน, คุณชนาธิป - คุณรัตนา - ด.ญ.บุญสิตา สมดี, คุณอุไร แสงเรือง, ด.ช.ธนพล - ด.ช.ชุติพนธ ตะสันเทียะ, คุณสมบัติ นิลจันทึก, คุณสมบูรณ กําแหง, คุณมังกร - นางณัฏฐธิดา - ด.ญ.วิภาดา วุฒิปญญาดี - คุณจันทร จันทรฉาย, นายจิรวัส เสตพรรณ, นายวันชัย สิงหแกว, คุณพิสมัย ธงชัย, คุณสถาพร โตจํานงค ทําบุญรายละ ๙๙.- บาท คุณพุทธมา หกกระโทก และ ครอบครัว ทําบุญรายละ ๗๐.- บาท คุณหนูเล็ก ไทยออน ทําบุญรายละ ๕๐.- บาท คุณทวัฒชัย หิตายะโส, คุณปยมาศ จงปตนา, คุณพรรษวุฒิ พืชนอก, คุณสุมาลี วีระกุล, คุณลาวัณย ดาวังปา ทําบุญรายละ ๔๐.- บาท คุณสมฤกษ สัมเภาวมาลย ทําบุญรายละ ๓๙.- บาท คุณชตาภรณ ลูกสีดา ทําบุญรายละ ๒๐.- บาท นางเพ็ญศรี อวมเทศ ทําบุญรายละ ๑๕.- บาท คุณปริญญา เดื่อนเครือวัลย ทําบุญรายละ ๒๒ เลม คุณ กมลพร แซเลา อนุ ๑๙๓ โมทนา บุญ
  • 204. ทําบุญรายละ ๒๐ เลม คุณสมชัย - คุณสมหมาย บุญเทียม ทําบุญรายละ ๑๐ เลม คุณธนโชติ แสงผะกาย, คุณสุชาติ ศิริไมตรีตระกูล, คุณอรุณี ปญญาบัณฑิต, นางสาวบุศยรินทร บัวจันทร, คุณอดุลย - นางพัชราภรณ สาระบูรณ, ด.ช.รังสิมัน เริงสําราญ (รานหนึ่งซาวด ขอนแกน) ทําบุญรายละ ๕ เลม คุณประสาท - คุณปราณี บัวจันทร (รานศรีเจริญผลไม ขอนแกน), คุณณัฐกิตติ์ บาคะรม (รานเสริมสวยเต ขอนแกน) ทําบุญรายละ ๒ เลม คุณโชคชัย เหลืองสุขสาคร, คุณอุไรวัลย สันสีมา, คุณเฉลิมพล - คุณอรัญญา บัวจันทร (รานศรีเจริญผลไม ขอนแกน) ทําบุญรายละ ๑ เลม ด.ช.ศุภโชติ บัวจันทร, ด.ญ.ปุณฑริกา บัวจันทร, คุณภาณุมาศ บัวจันทร, คุณจารุภา ทองอุทัยศิริ, ด.ญ.อริสรา สีนอเนตร, ด.ญ.อารยา สีนอเนตร. คุณวีณา ศรจิตรเสนศิริ (รานศรีเจริญผลไม ขอนแกน), คุณวิภา กองทอง, คุณรัฐภูมิ หมอยา, นางสาวหญิง ศิริวัฒนเกตุ อนุ ๑๙๔ โมทนา บุญ
  • 205. ขออนุโมทนาแด่ผู้ร่วมสร้างหนังสือบทสวดมนต์วัดศรีโยธินทุกท่าน ทั้งผูที่มีชื่อและไมมีชอลงไว รวมถึงผูไมประสงคออกนาม ื่ ขอความใดและรายชื่อผูใดขาดตก ผิดพลาดประการใด ทางคณะผูจัดทําขอกราบอภัยไว ณ ที่นี้ดวย....สาธุ ๑๙๕
  • 206. บรรณานุกรม กรมการศาสนา. คูมอสวดมนต ทําวัตรเชา-เย็น : ฉบับกรมการศาสนา สงเสริม ื ครอบครัวอบอุนดวยธรรมะ. กรุงเทพมหานคร : กรม, 2550. บุญนิธิหอไตร วัดราชโอรสาราม. ทําวัตร-สวดมนต แปล สําหรับอุบาสก-อุบาสิกา. หอไตรการพิมพ, 2550. บุญนิธิหอไตร วัดราชโอรสาราม. คูมือชาวพุทธ : หนังสือทําวัตร-สวดมนตแปล สําหรับพุทธบริษัทสี่. ม.ป.ท. : ม.ป.พ., 2548. กวินทรากร. สุวิชา โน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว : ผูรูดีเปนผูเจริญ ผูรูชั่วเปนผูเสื่อม.  Retrieved February, 2010, from http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tao&date=18-12- 2007&group=6&gblog=71 ๑๙๖
  • 208. วัดศรีโยธิน หมู ๗ ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.กําแพงเพชร ๖๒๐๐๐ ๑๙๗